Add parallel Print Page Options

เมื่องานทั้งสิ้นที่กษัตริย์ซาโลมอนทำสำหรับพระตำหนักของพระผู้เป็นเจ้าเสร็จสิ้นลงแล้ว ซาโลมอนก็ได้นำสิ่งที่ดาวิดบิดาของท่านได้ถวาย คือเครื่องเงิน ทองคำ และภาชนะต่างๆ มาเก็บไว้ในคลังพระตำหนักของพระเจ้า

นำหีบเข้ามาในพระตำหนัก

จากนั้นซาโลมอนก็เรียกประชุมที่เยรูซาเล็ม เพื่อให้บรรดาหัวหน้าชั้นผู้ใหญ่ของอิสราเอล หัวหน้าเผ่าทุกคน และบรรดาหัวหน้าตระกูลของชาวอิสราเอล เป็นผู้นำหีบพันธสัญญาของพระผู้เป็นเจ้า ขึ้นมาจากเมืองของดาวิด คือศิโยน ชาวอิสราเอลทั้งปวงรวมตัวกันเข้ามาเฝ้ากษัตริย์ระหว่างงานเทศกาล ซึ่งเป็นเดือนที่เจ็ด เมื่อบรรดาหัวหน้าชั้นผู้ใหญ่ของอิสราเอลมาถึง พวกเลวีก็ยกหีบ และพวกเขาได้นำหีบ กระโจมที่นัดหมาย และภาชนะอันบริสุทธิ์ทั้งหมดในกระโจมขึ้นมา พวกปุโรหิตที่เป็นชาวเลวีเป็นผู้หามสิ่งเหล่านั้น กษัตริย์ซาโลมอนและชาวอิสราเอลทั้งมวลที่รวมตัวอยู่ด้วยกันกับท่าน ณ เบื้องหน้าหีบ ได้ถวายแกะและโคมากมายจนนับไม่ถ้วน แล้วเหล่าปุโรหิตก็ได้นำหีบพันธสัญญาของพระผู้เป็นเจ้ามายังพระตำหนักชั้นในของพระวิหาร คือในอภิสุทธิสถาน โดยวางไว้ที่ใต้ปีกเครูบทั้งสอง ด้วยว่าเครูบกางปีกขึ้นปกเหนือที่วางหีบ เพื่อโน้มเหนือหีบและคานหาม คานหามนั้นยาวมากจนมองเห็นปลายทั้งสองข้างได้จากวิสุทธิสถานซึ่งอยู่ด้านหน้าพระตำหนักชั้นใน แต่มองไม่เห็นจากลานด้านนอก และคานหามก็ยังอยู่ที่นั่นมาจนถึงทุกวันนี้ 10 ในหีบไม่มีสิ่งใดนอกจากแผ่นศิลา 2 แผ่นที่โมเสสบรรจุไว้เมื่ออยู่ที่โฮเรบ ที่ซึ่งพระผู้เป็นเจ้าได้ทำพันธสัญญากับบรรดาผู้สืบเชื้อสายของอิสราเอล ในช่วงเวลาที่พวกเขาออกจากอียิปต์ 11 และเมื่อปุโรหิตออกจากวิสุทธิสถาน (เนื่องจากปุโรหิตทั้งหมดที่อยู่ที่นั่นได้ชำระตัวให้บริสุทธิ์แล้ว ไม่ว่าจะอยู่ในกองเวรใด 12 และนักร้องชาวเลวีทั้งหมด อาสาฟ เฮมาน และเยดูธูน บุตรชายของพวกเขา และบรรดาพี่น้อง ต่างก็แต่งกายด้วยผ้าป่านเนื้อดี มีฉาบ พิณสิบสาย และพิณเล็ก ยืนอยู่ทางตะวันออกของแท่นบูชา พร้อมกับปุโรหิต 120 คนที่เป่าแตรยาว[a] 13 คนเป่าแตรและนักร้องมีหน้าที่บรรเลงร้องเพลงประสานกันเป็นหนึ่งเดียว สรรเสริญและขอบคุณพระผู้เป็นเจ้า) และเมื่อพวกเขาร้องเพลงพร้อมกับแตรยาว ฉาบ และเครื่องดนตรีอื่นๆ สรรเสริญพระผู้เป็นเจ้าว่า

“เพราะพระองค์ประเสริฐ
    เพราะความรักอันมั่นคงของพระองค์ดำรงอยู่ตลอดกาล”

พระตำหนักของพระผู้เป็นเจ้าก็เต็มไปด้วยเมฆ 14 ทำให้บรรดาปุโรหิตไม่สามารถยืนปฏิบัติหน้าที่ได้เนื่องจากเมฆนั้น เพราะพระบารมีของพระผู้เป็นเจ้าได้ปรากฏขึ้นในพระตำหนักของพระเจ้า

ซาโลมอนอวยพรประชาชน

ครั้นแล้วซาโลมอนกล่าวว่า “พระผู้เป็นเจ้าได้กล่าวว่า พระองค์จะพำนักอยู่ในเมฆอันมืดทึบ[b] ข้าพเจ้าได้สร้างพระตำหนักอันงามตระการถวายแด่พระองค์ เพื่อเป็นสถานที่ให้พระองค์พำนักตลอดไป” แล้วกษัตริย์ก็หันมายังที่ประชุมของอิสราเอลซึ่งกำลังยืนอยู่ และให้พรแก่พวกเขา ท่านกล่าวว่า

“สรรเสริญพระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของอิสราเอล พระองค์ได้กระทำตามสัญญาด้วยวาจาที่ได้ให้แก่ดาวิดบิดาของเราด้วยฤทธานุภาพของพระองค์ พระองค์กล่าวว่า ‘นับตั้งแต่วันที่เรานำอิสราเอลชนชาติของเราออกจากแผ่นดินอียิปต์ เราไม่ได้เลือกเมืองใดจากเผ่าต่างๆ ของอิสราเอล เพื่อสร้างตำหนักให้เป็นที่ยกย่องนามของเรา และเราไม่ได้เลือกผู้ใดมาเป็นผู้ปกครองอิสราเอลชนชาติของเรา แต่เราได้เลือกเยรูซาเล็มให้เป็นที่ยกย่องนามของเรา และเราได้เลือกดาวิดมาเป็นผู้ปกครองอิสราเอลชนชาติของเรา’ ดาวิดบิดาของเราตั้งใจจะสร้างพระตำหนักเพื่อยกย่องพระนามของพระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของอิสราเอล แต่พระผู้เป็นเจ้ากล่าวกับดาวิดบิดาของเราว่า ‘เพราะว่าเจ้าตั้งใจจะสร้างตำหนักเพื่อยกย่องนามของเรา ความตั้งใจของเจ้านั้นดี อย่างไรก็ตาม ไม่ใช่เจ้าที่จะเป็นผู้สร้างตำหนัก แต่บุตรของเจ้าที่จะเกิดแก่เจ้า จะเป็นผู้สร้างตำหนักเพื่อยกย่องนามของเรา’[c] 10 บัดนี้พระผู้เป็นเจ้าก็ได้กระทำตามสัญญา เพราะว่าเราได้ขึ้นมาอยู่ในตำแหน่งของดาวิดบิดาของเรา และนั่งครองบัลลังก์ของอิสราเอล อย่างที่พระผู้เป็นเจ้าได้สัญญาไว้ และเราได้สร้างพระตำหนักเพื่อยกย่องพระนามของพระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของอิสราเอล 11 และเราได้วางหีบอันเป็นที่เก็บพันธสัญญาของพระผู้เป็นเจ้าซึ่งพระองค์ทำกับชาวอิสราเอลไว้ที่นั่นแล้ว”

ซาโลมอนอธิษฐานในงานถวาย

12 ครั้นแล้วซาโลมอนก็ยืน ณ เบื้องหน้าแท่นบูชาของพระผู้เป็นเจ้า ต่อหน้าที่ประชุมของอิสราเอล และยกมือขึ้น 13 ซาโลมอนได้สร้างแท่นทองสัมฤทธิ์ขนาดยาว 5 ศอก กว้าง 5 ศอก และสูง 3 ศอก ตั้งแท่นไว้ตรงกลางที่ลานรอบนอก ท่านยืนที่แท่นนั้น และคุกเข่าต่อหน้าที่ประชุมของอิสราเอล และยกมือขึ้นสู่สวรรค์ 14 และกล่าวว่า

“โอ พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของอิสราเอล ไม่มีพระเจ้าอื่นใดที่เหมือนพระองค์ ทั้งในสวรรค์และโลก พระองค์รักษาพันธสัญญา และแสดงความรักอันมั่นคงต่อบรรดาผู้รับใช้ของพระองค์ ที่ดำเนินชีวิตในวิถีทางของพระองค์ด้วยใจจริง 15 พระองค์ได้รักษาสัญญากับดาวิดบิดาของข้าพเจ้า ผู้รับใช้ของพระองค์ พระองค์ได้สัญญาด้วยวาจาของพระองค์ และกระทำตามสัญญาด้วยฤทธานุภาพของพระองค์ในวันนี้ 16 ฉะนั้น บัดนี้ โอ พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของอิสราเอล โปรดรักษาสัญญาที่พระองค์ได้ให้แก่ดาวิดผู้รับใช้ของพระองค์ บิดาของข้าพเจ้า ดังคำของพระองค์ที่ว่า ‘เจ้าจะไม่ขาดคนที่จะนั่งครองบัลลังก์ของอิสราเอล ณ เบื้องหน้าเรา หากบรรดาบุตรของเจ้าใส่ใจในวิถีทางของเขา ให้ดำเนินชีวิตตามกฎบัญญัติของเรา เหมือนกับที่เจ้าได้กระทำมา’ 17 ฉะนั้น โอ พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของอิสราเอล ขอพระองค์ยืนยันคำที่พระองค์ได้กล่าวกับดาวิดผู้รับใช้ของพระองค์ด้วยเถิด

18 แต่พระเจ้าจะพำนักอยู่กับมนุษย์ในโลกหรือ ดูเถิด สวรรค์เบื้องบนและฟ้าสวรรค์ที่อยู่เกินเอื้อมยังจำกัดพระองค์ไม่ได้ แล้วพระตำหนักที่ข้าพเจ้าสร้างขึ้นมาหลังนี้จะเล็กน้อยกว่านั้นเพียงไร 19 แต่กระนั้นพระองค์ยังสนใจคำอธิษฐานและคำวิงวอนของผู้รับใช้ของพระองค์ โอ พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของข้าพเจ้า ขอโปรดฟังเสียงร้องและคำอธิษฐานที่ผู้รับใช้ของพระองค์อธิษฐาน ณ เบื้องหน้าพระองค์ 20 ขอพระองค์เฝ้าดูพระตำหนักหลังนี้ตลอดทั้งวันและคืนเถิด นี่เป็นสถานที่ซึ่งพระองค์สัญญาว่าจะเป็นที่ยกย่องพระนามของพระองค์ ขอพระองค์ฟังคำอธิษฐานของผู้รับใช้ของพระองค์ เวลาที่เราหันหน้าอธิษฐานมาทางสถานที่แห่งนี้ 21 และขอพระองค์ฟังคำขอร้องของผู้รับใช้ของพระองค์ และของอิสราเอลชนชาติของพระองค์เมื่อเขาหันหน้าอธิษฐานมาทางสถานที่แห่งนี้ และเมื่อพระองค์ได้ยินจากสวรรค์ซึ่งเป็นที่พระองค์พำนัก ก็โปรดให้อภัยด้วยเถิด

22 ถ้าหากว่าผู้ใดกระทำบาปต่อเพื่อนบ้านของตน และต้องให้คำสาบาน เวลาที่เขามาและสาบาน ณ เบื้องหน้าแท่นบูชาในพระตำหนักนี้ 23 ก็ขอพระองค์ได้ยินจากสวรรค์ ขอโปรดตอบและพิพากษาบรรดาผู้รับใช้ของพระองค์ สนองตอบผู้ที่ทำผิดตามความผิดของเขา และโปรดช่วยให้ผู้บริสุทธิ์พิสูจน์ได้ว่าเขาไม่มีความผิด และพ้นข้อหาตามความบริสุทธิ์ของเขา

24 เวลาที่อิสราเอลชนชาติของพระองค์พ่ายแพ้ศัตรู เพราะพวกเขากระทำบาปต่อพระองค์ และหันกลับมาหาพระองค์ และยอมรับพระนามของพระองค์ เขาจะอธิษฐานและวิงวอนต่อพระองค์ในพระตำหนักนี้ 25 ก็ขอพระองค์โปรดฟังจากสวรรค์ และให้อภัยบาปของอิสราเอลชนชาติของพระองค์ และนำพวกเขามายังแผ่นดินซึ่งพระองค์ได้มอบให้แก่บรรพบุรุษของพวกเขาอีก

26 เมื่อฟ้าสวรรค์ปิดและไม่เอื้อฝนเนื่องจากพวกเขาได้กระทำบาปต่อพระองค์ ถ้าหากว่าพวกเขาอธิษฐานโดยหันมาทางสถานที่นี้ และยอมรับพระนามของพระองค์ และหยุดกระทำบาป หลังจากที่พระองค์ให้พวกเขารับทุกข์ทรมาน 27 ก็ขอพระองค์โปรดฟังจากสวรรค์ และให้อภัยบาปของบรรดาผู้รับใช้ของพระองค์ คืออิสราเอลชนชาติของพระองค์ เมื่อพระองค์สอนในวิถีทางที่ดีซึ่งพวกเขาควรดำเนิน แล้วพระองค์โปรดให้ฝนโปรยลงบนแผ่นดินซึ่งพระองค์ได้มอบให้แก่ชนชาติของพระองค์เป็นมรดก

28 ถ้าหากว่าเกิดทุพภิกขภัยในแผ่นดิน หรือเกิดภัยพิบัติ ลมร้อนแห้ง หรือเชื้อรา ตั๊กแตน หรือตัวบุ้ง ถ้าหากว่าศัตรูใช้กำลังล้อมพวกเขาในแผ่นดิน ที่ตามประตูเมือง ไม่ว่าจะเป็นภัยพิบัติหรือการเจ็บไข้ได้ป่วยใดๆ ก็ตาม 29 ถ้าหากว่าผู้ใดหรืออิสราเอลชนชาติของพระองค์อธิษฐานหรือวิงวอนในเรื่องใดก็ตาม เมื่อแต่ละคนสำนึกในความทุกข์ทรมานและความเศร้าของตน และเหยียดมือออกมาทางพระตำหนักนี้ 30 ก็ขอพระองค์ฟังจากสวรรค์ซึ่งเป็นที่พำนักของพระองค์ และโปรดให้อภัย และกระทำต่อพวกเขาตามความประพฤติของแต่ละคน เพราะว่าพระองค์ผู้เดียว พระองค์ทราบถึงจิตใจของมนุษย์ทั้งปวง 31 เพื่อพวกเขาจะเกรงกลัวพระองค์ และดำเนินชีวิตในวิถีทางของพระองค์ ตลอดเวลาที่พวกเขาอาศัยอยู่ในแผ่นดินซึ่งพระองค์มอบให้แก่บรรพบุรุษของพวกเรา

32 ในทำนองเดียวกัน เมื่อชาวต่างแดนซึ่งไม่ใช่อิสราเอลชนชาติของพระองค์มาจากดินแดนแสนไกล เพราะพระนามอันยิ่งใหญ่ของพระองค์ อานุภาพและพลานุภาพของพระองค์ เมื่อเขามาและอธิษฐานมาทางพระตำหนักนี้ 33 ขอพระองค์ฟังจากสวรรค์ซึ่งเป็นที่พำนักของพระองค์ และโปรดทำตามที่ชาวต่างแดนทั้งปวงร้องขอต่อพระองค์ เพื่อชนชาติทั้งปวงบนโลกจะได้รู้จักพระนามของพระองค์ และเกรงกลัวพระองค์ อย่างที่อิสราเอลชนชาติของพระองค์รู้จัก และพวกเขาจะทราบว่าพระตำหนักที่ข้าพเจ้าสร้างหลังนี้ได้รับเรียกว่าเป็นของพระองค์

34 ถ้าหากว่าชนชาติของพระองค์ออกศึกสู้กับศัตรู ไม่ว่าที่ใดก็ตาม และพวกเขาอธิษฐานต่อพระผู้เป็นเจ้า โดยหันมาทางเมืองที่พระองค์ได้เลือก และพระตำหนักที่ข้าพเจ้าได้สร้างเพื่อพระนามของพระองค์ 35 ก็ขอพระองค์ฟังคำอธิษฐานและคำวิงวอนของพวกเขาจากสวรรค์ และช่วยเหลือพวกเขา

36 ถ้าหากว่าพวกเขาทำบาปต่อพระองค์ เนื่องจากว่าไม่มีผู้ใดที่ไม่ทำบาป[d] พระองค์จะโกรธกริ้วพวกเขา และให้ศัตรูจับตัวพวกเขาไปเป็นเชลยในดินแดนที่อยู่ไกลหรือใกล้ 37 แต่ถ้าพวกเขามีใจสำนึกได้เมื่ออยู่ในดินแดนที่ตนถูกจับไปเป็นเชลย โดยการกลับใจและขอร้องพระองค์ในดินแดนนั้น กล่าวว่า ‘พวกเราได้กระทำบาป ประพฤติผิด และกระทำตัวเลวทราม’ 38 ถ้าหากว่าพวกเขากลับใจเข้าหาพระองค์อย่างสุดดวงใจและสุดดวงจิต ในดินแดนที่พวกเขาถูกจับตัวไปเป็นเชลย และอธิษฐานโดยหันมาทางแผ่นดินของพวกเขา ซึ่งพระองค์มอบให้แก่บรรพบุรุษ เมืองที่พระองค์ได้เลือก และพระตำหนักที่ข้าพเจ้าสร้างไว้เพื่อพระนามของพระองค์ 39 ก็ขอพระองค์โปรดฟังคำอธิษฐานและคำวิงวอนจากสวรรค์ซึ่งเป็นที่พำนักของพระองค์ และช่วยเหลือพวกเขา และให้อภัยชนชาติของพระองค์ ที่ได้ทำบาปต่อพระองค์

40 บัดนี้ โอ พระเจ้าของข้าพเจ้า ขอพระองค์เฝ้าดู และฟังคำอธิษฐานในที่แห่งนี้เถิด

41 บัดนี้ ได้โปรดลุกขึ้นเถิด โอ พระผู้เป็นเจ้า องค์พระเจ้า และไปยังที่พักของพระองค์
    ทั้งพระองค์และหีบพันธสัญญาอันมีอานุภาพของพระองค์
โอ พระผู้เป็นเจ้า องค์พระเจ้า ขอให้บรรดาปุโรหิตของพระองค์สวมคลุมด้วยความรอดพ้น
    และขอให้บรรดาผู้บริสุทธิ์ของพระเจ้าชื่นชมยินดีในความกรุณาของพระองค์
42 โอ พระผู้เป็นเจ้า องค์พระเจ้า ขออย่าเมินหน้าไปจากผู้ได้รับการเจิมของพระองค์
    ขอพระองค์ระลึกถึงความรักอันมั่นคงของพระองค์ที่มีต่อดาวิดผู้รับใช้ของพระองค์”

ไฟจากสวรรค์

ทันทีที่ซาโลมอนอธิษฐานจบ ก็มีไฟลงมาจากสวรรค์ และเผาไหม้สัตว์ที่ใช้เผาเป็นของถวายและเครื่องสักการะ และพระบารมีของพระผู้เป็นเจ้าปรากฏขึ้นในพระตำหนัก บรรดาปุโรหิตไม่สามารถเข้าไปในพระตำหนักของพระผู้เป็นเจ้า เพราะพระบารมีของพระผู้เป็นเจ้าปรากฏขึ้นในพระตำหนักของพระผู้เป็นเจ้า เมื่อประชาชนอิสราเอลเห็นไฟลงมา และพระบารมีของพระผู้เป็นเจ้าสถิตบนพระตำหนัก พวกเขาก็ซบหน้าลงกับพื้น นมัสการและสรรเสริญพระผู้เป็นเจ้าว่า “เพราะพระองค์ประเสริฐ เพราะความรักอันมั่นคงของพระองค์ดำรงอยู่ตลอดกาล”

การถวายพระตำหนัก

จากนั้นกษัตริย์และประชาชนทั้งปวงก็ถวายเครื่องสักการะ ณ เบื้องหน้าพระผู้เป็นเจ้า กษัตริย์ซาโลมอนถวายโค 22,000 ตัว และแกะ 120,000 ตัว เท่ากับว่ากษัตริย์และประชาชนทั้งปวงได้ถวายพระตำหนักของพระเจ้าแล้ว บรรดาปุโรหิตต่างก็ยืนที่ตำแหน่งของตน ชาวเลวีก็เช่นกัน พร้อมด้วยเครื่องดนตรีเพื่อถวายแด่พระผู้เป็นเจ้า กษัตริย์ดาวิดได้สร้างเครื่องดนตรี เพื่อใช้ในการสรรเสริญพระผู้เป็นเจ้า เพราะความรักอันมั่นคงของพระองค์ดำรงอยู่ตลอดกาล บรรดาปุโรหิตยืนเป่าแตรยาวอยู่ฝั่งตรงข้ามกับชาวเลวี และอิสราเอลทั้งปวงก็ยืนขึ้น

ซาโลมอนทำพิธีชำระให้ส่วนกลางของลานที่อยู่หน้าพระตำหนักของพระผู้เป็นเจ้าบริสุทธิ์ เพราะท่านได้มอบสัตว์ที่เผาเป็นของถวายและไขมันจากของถวายเพื่อสามัคคีธรรม เนื่องจากแท่นบูชาทองสัมฤทธิ์ที่ซาโลมอนสร้างไว้แล้ว ไม่ใหญ่พอสำหรับบรรจุสัตว์ที่เผาเป็นของถวายและเครื่องธัญญบูชาและไขมันได้

ในเวลานั้นซาโลมอนฉลองเทศกาลนานถึง 7 วันร่วมกับอิสราเอลทั้งปวง มีผู้ร่วมงานด้วยเป็นจำนวนมากจากบริเวณใกล้เลโบฮามัทไปจนถึงธารน้ำของอียิปต์ ในวันที่แปด เขาทั้งหลายมีประชุม เพราะได้ถวายแท่นบูชา 7 วัน และงานเทศกาล 7 วัน 10 ในวันที่ยี่สิบสามของเดือนเจ็ด ซาโลมอนให้ประชาชนกลับบ้านไป ด้วยความยินดีและใจเปรมปรีดิ์ที่พระผู้เป็นเจ้าได้กระทำสิ่งดีๆ แก่ดาวิดและซาโลมอน และแก่อิสราเอลชนชาติของพระองค์

ถ้าประชาชนของเราอธิษฐาน

11 เมื่อซาโลมอนสร้างพระตำหนักของพระผู้เป็นเจ้า และวังของกษัตริย์เสร็จสิ้น ท่านกระทำทุกสิ่งที่ได้วางแผนจะกระทำสำหรับพระตำหนักของพระผู้เป็นเจ้า และสำหรับวังของท่านเองด้วยความสำเร็จทุกประการ 12 ครั้นแล้วพระผู้เป็นเจ้าก็ปรากฏแก่ซาโลมอนในเวลากลางคืน และกล่าวกับท่านว่า “เราได้ยินคำอธิษฐานของเจ้า และเราได้เลือกสถานที่นี้สำหรับเรา เพื่อเป็นตำหนักสำหรับเครื่องสักการะบูชา 13 เมื่อเราปิดท้องฟ้า ไม่เอื้อฝน หรือสั่งให้ตั๊กแตนมากินพืชจนเกลี้ยงแผ่นดิน หรือให้ประชาชนประสบกับโรคระบาด 14 ถ้าประชาชนของเรา ซึ่งได้รับเรียกว่าเป็นคนของเรา จะถ่อมตัว อธิษฐาน แสวงหาเรา และหันไปจากหนทางที่ชั่วร้าย เราก็จะฟังจากสวรรค์ และจะให้อภัยบาปของพวกเขา และรักษาทั่วทั้งแผ่นดินให้ดีดังเดิม 15 บัดนี้ เราจะเฝ้าดู และจะตั้งใจฟังคำอธิษฐานที่กล่าวในที่นี้ 16 เพราะว่าบัดนี้เราได้เลือกและทำให้ตำหนักนี้บริสุทธิ์ เพื่อนามของเราจะเป็นที่ยกย่องที่นั่นตลอดกาล เราจะเฝ้าดูและระลึกถึงอยู่ที่นั่นตลอดไป 17 ส่วนตัวเจ้าเอง ถ้าหากว่าเจ้าดำเนินตามแบบอย่างของดาวิดบิดาของเจ้า ณ เบื้องหน้าเรา กระทำตามทุกสิ่งที่เราได้บัญชาเจ้าแล้ว โดยรักษากฎเกณฑ์และคำบัญชาของเรา 18 แล้วเราจะสถาปนาบัลลังก์ของเจ้า ดังที่เราได้มีพันธสัญญากับดาวิดบิดาของเจ้าว่า ‘เจ้าจะไม่ขาดคนที่จะปกครองอิสราเอล’[e]

19 แต่ถ้าเจ้าหันเหไป และไม่ปฏิบัติตามกฎเกณฑ์และคำบัญญัติของเรา ที่เราได้ตั้งไว้ให้เจ้า เจ้าไปบูชาบรรดาเทพเจ้า และนมัสการสิ่งเหล่านั้น 20 เราก็จะถอนเจ้าออกไปจากแผ่นดินของเราที่เราได้มอบให้แก่พวกเขา และตำหนักที่เราได้ทำให้บริสุทธิ์เพื่อเป็นที่ยกย่องนามของเรานั้น เราจะทำให้พ้นไปจากสายตาของเรา และเราจะทำให้อิสราเอลเป็นดั่งคำเปรียบเปรยในสุภาษิต และเป็นที่หัวเราะเยาะของชนชาติทั้งปวง 21 ตำหนักนี้ที่เคยเป็นที่ยกย่อง จะกลับทำให้ทุกคนที่ผ่านมาตกตะลึง และจะพูดว่า ‘ทำไมพระผู้เป็นเจ้าจึงได้กระทำอย่างนี้ต่อแผ่นดินนี้และต่อพระตำหนักนี้’ 22 แล้วพวกเขาก็จะพูดว่า ‘เพราะว่าพวกเขาทอดทิ้งพระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของบรรพบุรุษของพวกเขา ผู้นำพวกเขาออกจากแผ่นดินอียิปต์ แล้วพวกเขาก็หันไปเชื่อบรรดาเทพเจ้า จนถึงกับนมัสการและบูชาสิ่งเหล่านั้น ฉะนั้นพระผู้เป็นเจ้าจึงให้ความวิบัติเกิดขึ้นกับพวกเขา’”

กิจกรรมอื่นๆ ของซาโลมอน

ซาโลมอนใช้เวลา 20 ปีในการสร้างพระตำหนักของพระผู้เป็นเจ้า และวังของท่านเอง ซาโลมอนเสริมสร้างเมืองต่างๆ ที่ฮีรามได้มอบแก่ท่าน และให้ประชาชนชาวอิสราเอลตั้งหลักแหล่งในเมืองเหล่านั้น

ซาโลมอนไปยังฮามัทโศบาห์ และโจมตีเมืองนั้นได้ ท่านสร้างเมืองทัดโมร์ไว้ในถิ่นทุรกันดาร รวมทั้งเมืองคลังหลวงในฮามัททั้งหมด ท่านสร้างเมืองเบธโฮโรนบนและเบธโฮโรนล่าง เมืองต่างๆ ที่มีกำแพง ประตูเมือง และดาลประตูคุ้มกันอย่างแข็งแกร่ง รวมทั้งเมืองบาอาลัท และเมืองคลังหลวงทั้งหมด เมืองต่างๆ สำหรับเก็บรถศึก และเมืองสำหรับทหารม้าของท่าน และสร้างทุกอย่างตามที่ซาโลมอนต้องการในเยรูซาเล็ม เลบานอน และทั่วทั้งราชอาณาจักรของท่าน กลุ่มชนที่ไม่ใช่ชนชาติอิสราเอลซึ่งยังมีชีวิตอยู่ ได้แก่ชาวฮิต ชาวอาโมร์ ชาวเปริส ชาวฮีว และชาวเยบุส ผู้สืบเชื้อสายของคนเหล่านี้ที่ยังมีชีวิตอยู่ในแผ่นดิน ซึ่งชาวอิสราเอลไม่ได้กำจัดไปให้หมด ซาโลมอนจึงได้เกณฑ์พวกเขามาทำงานหนักมาจนถึงทุกวันนี้ แต่ว่าซาโลมอนไม่ได้ให้ชาวอิสราเอลมาเป็นทาสรับใช้งานของท่าน แต่ให้พวกเขาเป็นทหาร เจ้าหน้าที่ประจำของท่าน ผู้บัญชา นายทหาร ผู้บัญชาการรถศึกและสารถีของท่าน 10 มีเจ้าหน้าที่ชั้นสูง 250 คนที่คอยควบคุมประชาชน

11 ซาโลมอนให้ธิดาของฟาโรห์ขึ้นมาจากเมืองของดาวิด ไปอยู่ที่ตำหนักที่ท่านสร้างให้นาง ท่านกล่าวว่า “ภรรยาของเราจะไม่อยู่ในวังของดาวิดกษัตริย์แห่งอิสราเอล เพราะสถานที่ซึ่งหีบของพระผู้เป็นเจ้าอยู่นับว่าบริสุทธิ์”

12 ซาโลมอนมอบสัตว์ที่เผาเป็นของถวายบนแท่นบูชาของพระผู้เป็นเจ้าที่ท่านสร้างให้ ที่เบื้องหน้ามุขแด่พระผู้เป็นเจ้า 13 ท่านปฏิบัติตามหน้าที่เป็นประจำ ถวายตามกฎบัญญัติของโมเสส ในวันสะบาโต ในเทศกาลข้างขึ้น เทศกาลประจำปี 3 เทศกาลคือ เทศกาลขนมปังไร้เชื้อ เทศกาลครบ 7 สัปดาห์ และเทศกาลอยู่เพิง 14 ท่านกำหนดกองเวรของบรรดาปุโรหิตในการปฏิบัติหน้าที่ ตามคำบัญชาของดาวิดบิดาของท่าน ให้ชาวเลวีนำนมัสการและช่วยบรรดาปุโรหิตเป็นประจำในแต่ละวัน และบรรดาผู้เฝ้าประตูในกองเวรก็ประจำอยู่ที่ประตู ด้วยว่าดาวิดคนของพระเจ้าได้บัญชาไว้ตามนั้น 15 พวกเขาไม่ได้ละเลยสิ่งที่กษัตริย์ได้บัญชาไว้แก่บรรดาปุโรหิตและชาวเลวีไม่ว่าเรื่องใด ทั้งเรื่องการคลังด้วย

16 ภารกิจทั้งสิ้นของซาโลมอนดำเนินไป ตั้งแต่วันที่วางฐานรากพระตำหนักของพระผู้เป็นเจ้า จนถึงวันที่สร้างเสร็จ ดังนั้นพระตำหนักของพระผู้เป็นเจ้าจึงเสร็จอย่างบริบูรณ์

17 ซาโลมอนจึงไปยังเอซีโอนเกเบอร์และเอโลท ที่อยู่บนฝั่งทะเลในดินแดนของเอโดม 18 ฮีรามใช้เจ้าหน้าที่ส่งกองเรือและบรรดาผู้ชำนาญการเดินเรือไปให้ท่าน และพวกเขาไปยังเมืองโอฟีร์กับบรรดาผู้รับใช้ของซาโลมอน และได้นำทองคำจากที่นั่นมา 450 ตะลันต์เพื่อมอบแก่กษัตริย์ซาโลมอน

ราชินีแห่งเช-บา

เมื่อราชินีแห่งเช-บาได้ยินกิตติศัพท์ของซาโลมอน นางจึงมายังเมืองเยรูซาเล็มเพื่อทดสอบท่านด้วยคำถามปริศนาลึกล้ำ โดยมาพร้อมกับข้าราชบริพารมากมาย ขบวนอูฐแบกทั้งเครื่องเทศ ทองคำ และเพชรนิลจินดามาเป็นจำนวนมาก เมื่อนางมาพบกับซาโลมอน นางก็บอกสิ่งที่อยู่ในใจแก่ท่านจนหมดสิ้น และซาโลมอนก็ไขข้อข้องใจทุกประการ ไม่มีสิ่งใดลึกล้ำเกินกว่าที่ซาโลมอนจะอธิบายแก่นาง ครั้นราชินีแห่งเช-บาได้เห็นว่าคำพูดของซาโลมอนกอปรด้วยสติปัญญา อีกทั้งวังที่ท่านสร้าง อาหารที่โต๊ะของท่าน เจ้าหน้าที่ชั้นสูงนั่งประจำที่ และการมีต้นห้องคอยรับใช้ เครื่องแต่งกายของพวกเขา พนักงานถวายเหล้าองุ่นและเครื่องแต่งกาย และสัตว์ที่ท่านมอบเป็นของถวายที่พระตำหนักของพระผู้เป็นเจ้า ทำให้นางถึงกับตกตะลึง

นางจึงกล่าวกับกษัตริย์ว่า “เรื่องราวที่ข้าพเจ้าได้ยินในแผ่นดินของข้าพเจ้าเอง ความสำเร็จของท่านและสติปัญญาของท่านก็เป็นความจริง แต่ข้าพเจ้าไม่เชื่อสิ่งที่ได้ยิน จนกระทั่งได้มาถึงที่นี่และได้เห็นด้วยตาของข้าพเจ้าเอง ดูสิ ข้าพเจ้าได้ยินมาเพียงครึ่งเดียว สติปัญญาของท่านมากยิ่งกว่าคำบอกเล่าที่ข้าพเจ้าได้ยินมา คนของท่านก็เป็นสุข บรรดาผู้รับใช้ของท่านก็เป็นสุข ที่มีโอกาสได้ฟังคำพูดอันกอปรด้วยสติปัญญาของท่านเรื่อยไป ขอพระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของท่านได้รับพระพรเถิด พระองค์ชื่นชอบในตัวท่าน และให้ท่านเป็นกษัตริย์ครองบัลลังก์ของพระองค์ เพื่อพระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของท่าน เพราะว่าพระผู้เป็นเจ้ารักอิสราเอล และจะสถาปนาพวกเขาเป็นนิตย์ พระองค์กำหนดให้ท่านเป็นกษัตริย์ เพื่อให้ท่านตัดสินด้วยความยุติธรรมและความชอบธรรม” แล้วนางก็มอบทองคำ 120 ตะลันต์แก่กษัตริย์ และเครื่องเทศมากมาย อีกทั้งเพชรนิลจินดาด้วย ไม่มีเครื่องเทศอื่นใดที่เหมือนกับเครื่องเทศที่ราชินีมอบให้แก่กษัตริย์ซาโลมอนเลย

10 นอกเหนือจากนั้นแล้ว บรรดาผู้รับใช้ของกษัตริย์ฮีรามและผู้รับใช้ของซาโลมอนที่นำทองคำมาจากโอฟีร์ ก็ได้นำไม้จันทน์และเพชรนิลจินดาจำนวนมากมายมาด้วย 11 และกษัตริย์ให้ใช้ไม้จันทน์ทำราวบันไดในพระตำหนักของพระผู้เป็นเจ้า และในวังของกษัตริย์ และให้ใช้ทำพิณเล็กและพิณสิบสายสำหรับบรรดานักร้อง ในดินแดนของยูดาห์ ไม่เคยมีใครเห็นไม้จันทน์มากมายเช่นนี้มาก่อนเลย

12 กษัตริย์ซาโลมอนมอบทุกสิ่งที่ราชินีแห่งเช-บาต้องการ ไม่ว่านางจะขอสิ่งใด ท่านให้มากเกินกว่าที่นางนำมามอบให้ จากนั้นนางก็กลับไปยังแผ่นดินพร้อมกับบรรดาผู้รับใช้ของนาง

ความมั่งคั่งของซาโลมอน

13 ในแต่ละปี ซาโลมอนได้รับทองคำหนัก 666 ตะลันต์ 14 นอกเหนือจากทองที่พ่อค้าระหว่างประเทศและพ่อค้าภายในอาณาจักรนำมา และจากบรรดากษัตริย์แห่งอาระเบียและเจ้าเมืองทั้งปวงของแผ่นดินก็นำทองคำและเงินมามอบให้แก่ซาโลมอนด้วย 15 กษัตริย์ซาโลมอนให้คนทำโล่ใหญ่ 200 อันจากทองคำตีด้วยค้อน โล่แต่ละอันใช้ทองคำหนัก 600 เชเขล[f]ตีด้วยค้อน 16 และท่านให้ทำโล่เล็ก 300 อัน จากทองคำตีด้วยค้อน โล่แต่ละอันใช้ทองคำหนัก 300 เชเขล และกษัตริย์เก็บโล่ไว้ในตำหนักวนาลัยแห่งเลบานอน 17 กษัตริย์ให้ใช้งาช้างสร้างบัลลังก์ใหญ่หุ้มด้วยทองคำบริสุทธิ์ 18 บัลลังก์มีบันได 6 ขั้น และที่วางเท้าทองคำซึ่งติดอยู่กับบัลลังก์ แต่ละข้างของที่นั่งมีเท้าแขน รูปสิงโต 2 ตัวยืนอยู่ข้างๆ เท้าแขนทั้งสอง 19 แต่ละข้างของขั้นบันได 6 ขั้น มีรูปสิงโตยืนอยู่ที่แต่ละขั้น ไม่เคยมีอาณาจักรอื่นใดที่สร้างบัลลังก์ได้เหมือนอย่างนี้ 20 ภาชนะทุกชิ้นสำหรับเครื่องดื่มทำด้วยทองคำ และภาชนะทุกชิ้นของตำหนักวนาลัยแห่งเลบานอนทำด้วยทองคำบริสุทธิ์ เงินในสมัยของซาโลมอนนับว่าไม่มีค่าอะไร 21 ด้วยว่ากษัตริย์มีกองเรือเดินทะเลไปยังเมืองทาร์ชิช โดยล่องไปกับบรรดาผู้รับใช้ของฮีราม กองเรือเดินทะเลมักจะขนทองคำ เงิน งาช้าง ลิง และนกยูงมา ทุกๆ 3 ปี

22 ฉะนั้น กษัตริย์ซาโลมอนมั่งคั่งและเปี่ยมด้วยสติปัญญามากกว่ากษัตริย์อื่นๆ ในแผ่นดินโลก 23 และกษัตริย์ทั้งปวงของแผ่นดินโลกปรารถนาที่จะได้เห็นและได้ฟังคำพูดอันกอปรด้วยสติปัญญา ซึ่งพระเจ้าเป็นผู้ปลูกฝังไว้ในจิตใจของท่าน 24 ทุกคนต่างก็นำของบรรณาการอันได้แก่ เครื่องเงินและทองคำ เครื่องแต่งกาย เครื่องอาวุธ เครื่องเทศ ม้า และล่อ มามอบให้จำนวนมากเป็นประจำทุกปี 25 ซาโลมอนมีคอกม้า 4,000 คอก รถศึก และทหารม้า 12,000 คน ซึ่งท่านให้ประจำอยู่ที่เมืองเก็บรถศึกทั้งหลาย และประจำอยู่กับท่านในเมืองเยรูซาเล็มด้วย 26 ซาโลมอนปกครองกษัตริย์ทั้งปวง ตั้งแต่แม่น้ำยูเฟรติสไปจนถึงแผ่นดินของชาวฟีลิสเตีย และถึงเขตแดนอียิปต์ 27 กษัตริย์ทำให้มีเงินใช้อยู่ทั่วไปในเยรูซาเล็มราวกับใช้ก้อนหิน และท่านมีไม้ซีดาร์มากมายราวกับต้นมะเดื่อในที่ลุ่ม 28 ม้าที่นำเข้ามามอบให้ซาโลมอน มาจากอียิปต์และจากประเทศอื่นๆ

ซาโลมอนสิ้นชีวิต

29 กิจอื่นๆ ทั้งสิ้นของซาโลมอน ตั้งแต่ต้นจนจบ ก็ได้มีบันทึกไว้แล้วในประวัติของนาธานผู้เผยคำกล่าวของพระเจ้า และถึงการเผยความของอาหิยาห์ชาวชิโลห์ และภาพนิมิตของอิดโดซึ่งเป็นผู้รู้ในเรื่องเกี่ยวกับเยโรโบอัมบุตรเนบัท มิใช่หรือ 30 ซาโลมอนครองราชย์ในเยรูซาเล็ม ปกครองอิสราเอลทั้งหมดรวมเป็นเวลา 40 ปี 31 และซาโลมอนสิ้นชีวิตและถูกนำไปวางรวมกับบรรพบุรุษของท่าน ศพถูกบรรจุไว้ในเมืองของดาวิดบิดาของท่าน และเรโหโบอัมครองราชย์แทนท่าน

อิสราเอลกบฏต่อเรโหโบอัม

10 เรโหโบอัมไปยังเมืองเชเคม เพราะชาวอิสราเอลทั้งปวงได้ไปยังเชเคมเพื่อแต่งตั้งท่านให้เป็นกษัตริย์ ทันทีที่เยโรโบอัมบุตรเนบัททราบเรื่อง (เขาหนีกษัตริย์ซาโลมอนไปอยู่ในประเทศอียิปต์) เขาจึงกลับมาจากอียิปต์ ชาวอิสราเอลที่มาจากทิศเหนือให้คนไปตามเยโรโบอัมกลับไป และพวกเขาพูดกับเรโหโบอัมว่า “บิดาของท่านทำให้พวกเราแบกแอกเหมือนกับแบกภาระหนัก ฉะนั้นในเวลานี้ โปรดช่วยให้งานและการแบกแอกหนักผ่อนลงให้เบาเถิด แล้วพวกเราจะคอยรับใช้ท่าน” ท่านตอบว่า “กลับมาหาเราภายใน 3 วัน” ประชาชนจึงจากไป

กษัตริย์เรโหโบอัมปรึกษากับบรรดาผู้สูงอายุที่เคยรับใช้ซาโลมอนบิดาของท่านเมื่อครั้งที่ท่านยังมีชีวิตอยู่ ท่านถามว่า “พวกท่านจะแนะนำให้เราตอบประชาชนเหล่านี้อย่างไร” เขาเหล่านั้นตอบว่า “ถ้าท่านจะกระทำดีต่อประชาชนเหล่านี้ และทำให้พวกเขาพอใจ และพูดจาดีกับพวกเขา พวกเขาก็จะเป็นผู้รับใช้ของท่านตลอดไป” แต่ว่าท่านกลับไม่ใส่ใจในคำปรึกษาที่บรรดาผู้สูงอายุแนะนำ แต่กลับไปรับคำปรึกษาของบรรดาชายหนุ่มที่เป็นผู้รับใช้ซึ่งเติบโตมาด้วยกัน ท่านพูดกับพวกเขาว่า “ท่านจะแนะนำเราอย่างไร เราควรจะตอบประชาชนเหล่านี้อย่างไรดี พวกเขาพูดกับเราว่า ‘ขอให้ท่านช่วยผ่อนแอกที่บิดาของท่านให้พวกเราหามเบาลง’” 10 บรรดาชายหนุ่มที่ได้เติบโตมากับท่านตอบว่า “สำหรับประชาชนที่มาพูดกับท่านว่า ‘บิดาของท่านทำให้พวกเราต้องแบกแอกหนัก แต่ขอให้ท่านผ่อนหนักให้เบาลงเพื่อพวกเรา’ นั้น ท่านน่าจะพูดกับพวกเขาว่า ‘นิ้วก้อยของเราใหญ่กว่าต้นขาของบิดาของเรา 11 และบัดนี้ เมื่อบิดาของเราได้วางแอกหนักไว้กับท่าน เราจะทำให้แอกของท่านหนักยิ่งขึ้น บิดาของเราสั่งสอนท่านด้วยไม้เรียว แต่เราจะสั่งสอนท่านด้วยแมงป่อง’”

12 ดังนั้นเยโรโบอัมและประชาชนทั้งปวงจึงมาหาเรโหโบอัมในวันที่สาม ตามคำสั่งของกษัตริย์ที่ว่า “กลับมาหาเราภายใน 3 วัน” 13 และกษัตริย์ตอบพวกเขาอย่างแข็งกร้าว และไม่สนใจกับคำปรึกษาของบรรดาผู้สูงอายุ 14 กษัตริย์เรโหโบอัมพูดกับพวกเขา ตามคำปรึกษาของพวกชายหนุ่มว่า “บิดาของเราทำให้แอกของพวกท่านหนัก แต่เราจะทำให้แอกของท่านหนักยิ่งขึ้น บิดาของเราสั่งสอนท่านด้วยไม้เรียว แต่เราจะสั่งสอนท่านด้วยแมงป่อง” 15 ดังนั้นกษัตริย์ไม่ได้ฟังประชาชน เพราะว่าพระเจ้าประสงค์ให้เหตุการณ์เป็นไปอย่างนั้น เพื่อสิ่งที่พระผู้เป็นเจ้ากล่าวแก่เยโรโบอัมบุตรเนบัทโดยผ่านทางอาหิยาห์ชาวชิโลห์ จะเกิดขึ้นตามคำกล่าวของพระองค์

อาณาจักรแตกแยก

16 ครั้นชาวอิสราเอลทั้งปวงเห็นว่ากษัตริย์ไม่ได้ฟังพวกเขา ประชาชนจึงตอบกษัตริย์ว่า “พวกเรามีส่วนร่วมอะไรด้วยกับดาวิดหรือ เราไม่ได้รับอะไรที่ตกทอดมาจากบุตรของเจสซี โอ อิสราเอลเอ๋ย แต่ละคนจงกลับไปยังกระโจมของตนเถิด บัดนี้ โอ ดาวิดเอ๋ย ดูแลพงศ์พันธุ์ของท่านไปเถิด” ดังนั้นชาวอิสราเอลจึงกลับไปยังกระโจมของตน 17 แต่เรโหโบอัมก็ปกครองลูกหลานของอิสราเอลที่อาศัยอยู่ในเมืองต่างๆ ของยูดาห์ 18 และกษัตริย์เรโหโบอัมให้ฮาโดรัมควบคุมพวกที่ถูกเกณฑ์มาทำงานหนัก ชาวอิสราเอลทั้งปวงก็ใช้หินขว้างเขาจนตาย กษัตริย์เรโหโบอัมจึงรีบขึ้นรถศึกของท่านหนีกลับไปยังเมืองเยรูซาเล็ม 19 ดังนั้นอิสราเอลจึงได้แข็งข้อต่อพงศ์พันธุ์ของดาวิดเรื่อยมาจนถึงทุกวันนี้

Footnotes

  1. 5:12 ทำจากโลหะ มีเสียงแหลม
  2. 6:1 เลวีนิติ 16:2
  3. 6:9 2 ซามูเอล 7:12,13; 1 พงศาวดาร 17:11,12
  4. 6:36 สดุดี 14:3; โรม 3:23
  5. 7:18 2 ซามูเอล 7:13
  6. 9:15 1 เชเขล หนักประมาณ 11.4 กรัม

อาสาครองราชย์ในยูดาห์

14 อาบียาห์สิ้นชีวิตและถูกนำไปวางรวมกับบรรพบุรุษของท่าน ศพถูกบรรจุไว้ในเมืองของดาวิด อาสาผู้เป็นบุตรของท่านครองราชย์แทนท่าน ในสมัยของท่าน แผ่นดินมีความสงบสุขเป็นเวลา 10 ปี อาสากระทำสิ่งที่ดีและถูกต้องในสายตาของพระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของท่าน ท่านกำจัดแท่นบูชาของชนชาติอื่น และสถานบูชาบนภูเขาสูง พังเสาหลัก และฟันเทวรูปอาเชราห์ลง[a] ท่านสั่งให้ชาวยูดาห์แสวงหาพระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของบรรพบุรุษของพวกเขา และให้รักษากฎบัญญัติและพระบัญญัติของพระองค์ ท่านกำจัดสถานบูชาบนภูเขาสูงและแท่นสำหรับเครื่องหอมออกไปจากเมืองของยูดาห์ทุกเมือง และอาณาจักรมีความสงบสุขภายใต้การปกครองของท่าน ท่านสร้างเมืองต่างๆ ที่มีการคุ้มกันอย่างแข็งแกร่งในยูดาห์ ในขณะที่แผ่นดินได้หยุดพัก ท่านไม่ต้องทำศึกสงครามในระหว่างนั้น เพราะพระผู้เป็นเจ้าให้ท่านได้รับความสงบ ท่านกล่าวกับยูดาห์ว่า “เรามาสร้างเมืองเหล่านี้กันเถิด ให้เป็นเมืองที่มีกำแพงและหอคอย ประตูกับดาลประตู แผ่นดินยังเป็นของพวกเรา เพราะเราได้แสวงหาพระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของเรา เราได้แสวงหาพระองค์ และพระองค์ได้ให้พวกเรามีความสงบรอบด้าน” พวกเขาจึงสร้างและประสบความเจริญรุ่งเรือง อาสามีทหารจำนวน 300,000 คน จากพงศ์พันธุ์ยูดาห์ซึ่งมีโล่และหอกขนาดใหญ่อย่างพรั่งพร้อม และมีชาย 280,000 คนจากพงศ์พันธุ์ของเบนยามินซึ่งมีโล่และธนู ชายเหล่านี้เป็นนักรบผู้เก่งกล้า

เศรัคชาวคูชออกมาต่อสู้กับพวกเขาด้วยทหารจำนวน 1,000,000 คน กับรถศึก 300 คัน และมาจนถึงเมืองมาเรชาห์ 10 อาสาออกไปเผชิญหน้ากับพวกเขา โดยตั้งแนวรบในหุบเขาเศฟาธาห์ที่มาเรชาห์ 11 อาสาร้องเรียกถึงพระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของท่านว่า “โอ พระผู้เป็นเจ้า ไม่มีผู้ใดเหมือนพระองค์ที่จะช่วยผู้อ่อนกำลังให้ต่อสู้กับผู้มีอำนาจมาก โอ พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของเรา โปรดช่วยพวกเราด้วย เราวางใจในพระองค์ เรามาต่อสู้คนจำนวนมหาศาลในพระนามของพระองค์ โอ พระผู้เป็นเจ้า พระองค์เป็นพระเจ้าของพวกเรา อย่าปล่อยให้มนุษย์ชนะพระองค์เลย” 12 ดังนั้นพระผู้เป็นเจ้าทำให้ชาวคูชพ่ายแพ้ต่อหน้าอาสาและยูดาห์ และชาวคูชหนีเตลิดไป 13 อาสาและคนที่อยู่กับท่านจึงไล่ตามพวกเขาไปจนถึงเมืองเก-ราร์ และชาวคูชล้มตายกันจนหมด เพราะพวกเขาถูกปราบอย่างราบคาบ ณ เบื้องหน้าพระผู้เป็นเจ้าและกองทัพของพระองค์ คนของยูดาห์ขนของที่ริบมาได้มากมาย 14 และพวกเขาโจมตีเมืองต่างๆ ที่อยู่รอบเมืองเก-ราร์ ชาวเมืองต่างเกรงกลัวพระผู้เป็นเจ้า พวกของอาสาริบสิ่งของจากเมืองทุกเมืองได้มากมาย 15 นอกจากนั้นก็ยังได้โค่นกระโจมของคนเลี้ยงสัตว์ และต้อนแพะแกะและอูฐไปได้เป็นจำนวนมาก แล้วจึงกลับไปยังเยรูซาเล็ม

อาสาปฏิรูปความเชื่อ

15 อาซาริยาห์บุตรของโอเดดเปี่ยมด้วยพระวิญญาณพระเจ้า เขาออกไปพบกับอาสา และกล่าวกับท่านว่า “อาสา ยูดาห์ทั้งปวง และเบนยามิน โปรดฟังข้าพเจ้าเถิด พระผู้เป็นเจ้าสถิตกับพวกท่านในขณะที่ท่านอยู่กับพระองค์ ถ้าหากว่าท่านแสวงหาพระองค์ พวกท่านก็จะพบพระองค์ แต่ถ้าหากว่าท่านละทิ้งพระองค์ พระองค์ก็จะละทิ้งพวกท่าน เป็นเวลานานแล้วที่อิสราเอลอยู่โดยปราศจากพระเจ้าที่แท้จริง ไม่มีปุโรหิตผู้สั่งสอน และห่างเหินจากกฎบัญญัติ เมื่อพวกเขาเป็นทุกข์ เขาก็หันเข้าหาพระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของอิสราเอล และแสวงหาพระองค์ และพวกเขาก็พบพระองค์ การเดินทางไปไหนมาไหนในสมัยก่อนไม่ปลอดภัย เพราะผู้อยู่อาศัยในแผ่นดินทุกคนต่างอยู่อย่างมีความทุกข์มาก ประชาชาติแต่ละชาติและเมืองแต่ละเมืองต่างก่อกวนกันเอง เพราะพระเจ้าให้พวกเขาลำบากจากความทุกข์สารพัดที่รุมเข้ามา ส่วนพวกท่าน จงกล้าหาญเถิด อย่าท้อถอย เพราะการงานที่ท่านทำจะได้รับผลตอบแทนแน่นอน”

ทันทีที่อาสาได้ยินอาซาริยาห์บุตรของโอเดดเผยคำกล่าว ท่านก็มีกำลังใจดีขึ้น และกำจัดพวกรูปเคารพที่น่ารังเกียจออกไปจากดินแดนของยูดาห์และเบนยามิน และจากเมืองต่างๆ ที่ท่านยึดได้ในแถบภูเขาเอฟราอิม และท่านได้ซ่อมแซมแท่นบูชาของพระผู้เป็นเจ้าที่อยู่เบื้องหน้ามุขพระตำหนักของพระผู้เป็นเจ้า อาสารวบรวมคนจากยูดาห์และเบนยามินทั้งหมด และจากเอฟราอิม มนัสเสห์ และสิเมโอน ที่มาอาศัยอยู่ด้วย มีคนจำนวนมากหนีจากอิสราเอลมาหาท่าน เพราะพวกเขาเห็นว่าพระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของท่านสถิตกับท่าน 10 ผู้คนมารวมกันที่เยรูซาเล็มในเดือนที่สาม ปีที่สิบห้าแห่งรัชสมัยของอาสา 11 เขาทั้งหลายมอบเครื่องสักการะแด่พระผู้เป็นเจ้าในวันนั้น จากสิ่งที่ริบมา เป็นโคตัวผู้ 700 ตัว และแพะแกะ 7,000 ตัว 12 เขาทั้งหลายทำพันธสัญญาที่จะแสวงหาพระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของบรรพบุรุษ ด้วยสุดดวงใจและสุดดวงจิตของพวกเขา 13 ส่วนผู้ที่ไม่ยอมแสวงหาพระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของอิสราเอล ก็จะต้องรับโทษถึงชีวิต ไม่ว่าจะเป็นเด็กหรือผู้ใหญ่ ชายหรือหญิงก็ตาม 14 พวกเขาสาบานต่อพระผู้เป็นเจ้าด้วยเสียงอันดัง ด้วยเสียงโห่ร้อง เสียงแตรยาวและแตรงอน 15 ชาวยูดาห์ต่างยินดีในคำสาบาน เพราะพวกเขาได้สาบานด้วยสุดจิตสุดใจ ปรารถนาแสวงหาพระองค์ด้วยใจจริง และก็ได้พบพระองค์ พระผู้เป็นเจ้าจึงให้พวกเขาได้หยุดพักจากสงครามรอบด้าน

16 อาสาผู้เป็นกษัตริย์ถอดถอนมาอาคาห์มารดาของท่านออกจากตำแหน่งมารดากษัตริย์ด้วย เพราะนางได้สร้างเสาเทวรูปอาเชราห์ที่น่ารังเกียจ อาสาโค่นเทวรูปนาง ทุบออกเป็นเสี่ยงๆ และเผาทิ้งที่หุบเขาขิดโรน 17 แต่สถานบูชาบนภูเขาสูงไม่ถูกกำจัดออกไปจากอิสราเอล กระนั้นก็ดี อาสาก็ยังมีใจภักดีตลอดชีวิตของท่าน 18 และท่านนำของบริสุทธิ์ที่เป็นของบิดาของท่าน และที่เป็นของท่านเองด้วย เช่นเงิน ทองคำ และภาชนะ เข้าไปไว้ในพระตำหนักของพระเจ้า 19 และไม่มีสงครามอีก จนกระทั่งปีที่สามสิบห้าของรัชสมัยของอาสา

ปีท้ายๆ ในสมัยของอาสา

16 ในปีที่สามสิบหกของรัชสมัยของอาสา บาอาชากษัตริย์แห่งอิสราเอลขึ้นไปโจมตียูดาห์ และสร้างเมืองรามาห์ให้แข็งแกร่ง เพื่อป้องกันไม่ให้ใครไปมาหาสู่กับอาสาผู้เป็นกษัตริย์แห่งยูดาห์ อาสาจึงนำเงินและทองคำที่มาจากคลังพระตำหนักของพระผู้เป็นเจ้า และวังของกษัตริย์ และส่งไปยังเบนฮาดัดกษัตริย์แห่งอารัม ผู้อาศัยอยู่ในเมืองดามัสกัส พร้อมกับกล่าวว่า “ขอให้ทำสัญญาระหว่างท่านกับเราเหมือนกับที่บิดาของท่านและของเราทำ ดูเถิด เราได้ส่งเงินและทองคำมาให้ท่าน ขอท่านตัดความสัมพันธ์กับบาอาชากษัตริย์แห่งอิสราเอลเถิด ท่านจะได้ถอนทัพออกไปจากดินแดนของเรา” เบนฮาดัดฟังคำของอาสาผู้เป็นกษัตริย์ และส่งบรรดาผู้บังคับกองพันของท่านไปโจมตีเมืองต่างๆ ของอิสราเอล และยึดเมืองอิโยน ดาน อาเบลมาอิม และเมืองคลังหลวงของนัฟทาลีทั้งหมด เมื่อบาอาชาทราบดังนั้น ท่านจึงหยุดการก่อสร้างเมืองรามาห์ และทิ้งงานค้างไว้ และอาสาผู้เป็นกษัตริย์ก็นำคนของยูดาห์มาทั้งหมด ขนหินและไม้ที่บาอาชาใช้สร้างรามาห์ แล้วเอามาสร้างเมืองเก-บาและเมืองมิสปาห์

ในครั้งนั้นฮานานีผู้รู้มาหาอาสาผู้เป็นกษัตริย์แห่งยูดาห์ และพูดกับท่านว่า “เหตุเพราะท่านไว้วางใจในกษัตริย์แห่งอารัม และไม่วางใจพระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของท่าน กองทัพของกษัตริย์แห่งอารัมจึงหนีรอดไปจากท่านได้ ชาวคูชและชาวลิเบียมิใช่หรือ ที่เป็นกองทัพใหญ่พร้อมด้วยรถศึกและทหารม้า แต่เพราะท่านวางใจพระผู้เป็นเจ้า พระองค์จึงมอบพวกเขาไว้ในมือของท่าน เพราะว่าพระผู้เป็นเจ้าเฝ้าจับตามองไปทั่วแผ่นดินโลก เพื่อเสริมกำลังแก่บรรดาผู้ที่มุ่งมั่นต่อพระองค์ แต่ท่านกลับทำตัวอย่างคนเขลา จากนี้ไปท่านจะต้องเผชิญกับสงคราม” 10 อาสาจึงโกรธผู้รู้ และสั่งให้จำจองเขา เรื่องนี้ทำให้ท่านโกรธมาก และในเวลาเดียวกันอาสาก็กดขี่ข่มเหงประชาชนบางคนอย่างทารุณด้วย

11 กิจอื่นๆ ทั้งสิ้นของอาสา ตั้งแต่ต้นจนจบ ก็ได้มีบันทึกไว้แล้วในหนังสือของบรรดากษัตริย์แห่งยูดาห์และอิสราเอล 12 ในปีที่สามสิบเก้าของรัชสมัยของอาสา ท่านเป็นโรคที่เท้าขั้นรุนแรงมาก แม้กระนั้นท่านก็ยังไม่แสวงหาพระผู้เป็นเจ้า แต่ไปหาความช่วยเหลือจากแพทย์เท่านั้น 13 ในปีที่สี่สิบเอ็ดของรัชสมัยของท่าน อาสาสิ้นชีวิตและถูกนำไปวางรวมกับบรรพบุรุษของท่าน 14 พวกเขาบรรจุศพท่านไว้ในถ้ำที่ท่านได้สกัดไว้เองในเมืองของดาวิด ศพถูกวางไว้บนแคร่ที่เต็มด้วยเครื่องเทศและน้ำหอมสารพัดชนิด ซึ่งนักปรุงเครื่องหอมเป็นผู้เตรียมให้ และมีการจุดเพลิงใหญ่ให้สมเกียรติของท่าน

Footnotes

  1. 14:3 นางเป็นเทพเจ้าของชาวคานาอัน เป็นคู่ของเทพเจ้าบาอัล ชาวคานาอันเชื่อว่า นางเป็นเทพแห่งลมฟ้าอากาศ และให้ความอุดมสมบูรณ์แก่มนุษย์และสัตว์