โยเซฟกับภรรยาของโปทิฟาร์

39 บัดนี้โยเซฟถูกนำมาถึงอียิปต์ คนอิชมาเอลได้ขายเขาให้กับโปทิฟาร์ผู้บัญชาการทหารรักษาพระองค์ซึ่งเป็นขุนนางคนหนึ่งของฟาโรห์

องค์พระผู้เป็นเจ้าสถิตกับโยเซฟและทรงอวยพรให้เขาเจริญรุ่งเรืองขึ้นในบ้านของเจ้านายชาวอียิปต์ เมื่อนายเห็นว่าองค์พระผู้เป็นเจ้าสถิตกับเขา และองค์พระผู้เป็นเจ้าประทานความสำเร็จในทุกสิ่งที่เขาทำ โยเซฟจึงเป็นที่โปรดปรานและกลายเป็นคนสนิทของนาย โปทิฟาร์จึงตั้งให้โยเซฟดูแลครัวเรือนของเขา และมอบทุกสิ่งที่เขามีอยู่ไว้ในมือของโยเซฟ ตั้งแต่นายมอบหมายให้โยเซฟดูแลทุกสิ่งในครัวเรือนและทุกสิ่งที่เขามี องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงอวยพรครอบครัวของคนอียิปต์นั้นเพราะเห็นแก่โยเซฟ องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงอวยพรทุกสิ่งของโปทิฟาร์ทั้งในบ้านและในทุ่งนา ดังนั้นโปทิฟาร์จึงไว้ใจให้โยเซฟดูแลทุกสิ่งที่เขามี เมื่อมีโยเซฟเป็นผู้ดูแล เขาไม่ต้องรับรู้เรื่องใดเลย เว้นแต่อาหารที่จะรับประทาน

โยเซฟเป็นชายรูปหล่อหุ่นดี จากนั้นไม่นานภรรยาของเจ้านายจ้องมองโยเซฟตาเป็นมัน นางจึงชวนเขาว่า “มานอนกับฉันสิ!”

แต่โยเซฟปฏิเสธและกล่าวกับนางว่า “ภายใต้การดูแลของข้า นายไม่ต้องรับรู้เรื่องใดในบ้านเลย ทุกสิ่งที่นายมีอยู่ นายก็มอบให้ข้าจัดการ ในบ้านนี้ไม่มีใครใหญ่เกินข้า เจ้านายของข้าไม่หวงสิ่งใดกับข้านอกจากท่าน เพราะท่านเป็นภรรยาของนาย ข้าจะทำสิ่งชั่วร้ายเช่นนี้และทำบาปต่อพระเจ้าได้อย่างไร?” 10 แม้นางชวนโยเซฟวันแล้ววันเล่า เขาก็ปฏิเสธที่จะหลับนอนกับนางหรือแม้แต่จะอยู่ใกล้นาง

11 วันหนึ่งขณะที่โยเซฟเข้าไปในบ้านเพื่อทำงานตามหน้าที่ของเขา ขณะนั้นไม่มีคนรับใช้อื่นๆ อยู่ในบ้านเลย 12 ภรรยาของโปทิฟาร์เข้ามากระชากเสื้อของโยเซฟไว้แล้วบอกว่า “มานอนกับฉันเถิด!” แต่เขาทิ้งเสื้อไว้ในมือของนางแล้ววิ่งหนีออกไปนอกบ้าน

13 เมื่อนางเห็นว่าเสื้อของโยเซฟอยู่ในมือ และตัวเขาวิ่งออกไปนอกบ้านแล้ว 14 นางจึงเรียกคนรับใช้คนอื่นๆ ในบ้านมาและกล่าวว่า “ดูสิ สามีฉันนำเจ้าฮีบรูคนนี้มาหยามพวกเรา มันเข้ามาที่นี่และจะหลับนอนกับข้า แต่ข้ากรีดร้องขึ้น 15 เมื่อมันได้ยินข้าร้องขอความช่วยเหลือ มันจึงทิ้งเสื้อไว้ข้างตัวข้าแล้ววิ่งหนีออกจากบ้านไป”

16 นางเก็บเสื้อตัวนั้นไว้จนกระทั่งสามีกลับมาบ้าน 17 แล้วนางจึงเล่าเรื่องนี้ให้สามีฟังว่า “เจ้าฮีบรูคนนั้นที่ท่านนำมาให้พวกเราจะเข้ามาหยามข้า 18 แต่ทันทีที่ข้ากรีดร้องขอความช่วยเหลือ มันจึงทิ้งเสื้อไว้ข้างตัวข้าแล้ววิ่งหนีออกจากบ้านไป”

19 เมื่อเจ้านายของโยเซฟได้ยินเรื่องนี้จากภรรยาของเขาซึ่งกล่าวว่า “นี่เป็นสิ่งที่ทาสของท่านทำกับข้า” เขาจึงโกรธจัด 20 และเจ้านายนำโยเซฟมาขังไว้ในคุกหลวง

แต่ขณะที่โยเซฟถูกขังอยู่ในคุกนั้น 21 องค์พระผู้เป็นเจ้าสถิตกับโยเซฟ ทรงกรุณาเขา และทำให้โยเซฟเป็นที่โปรดปรานในสายตาของพัศดี 22 ดังนั้นพัศดีจึงตั้งให้โยเซฟเป็นผู้ดูแลนักโทษทุกคน และให้เขารับผิดชอบงานทุกอย่างในคุก 23 พัศดีผู้นั้นไม่ต้องใส่ใจต่อสิ่งใดๆ ที่อยู่ภายใต้การดูแลของโยเซฟ เพราะว่าองค์พระผู้เป็นเจ้าสถิตกับโยเซฟและประทานความสำเร็จในทุกสิ่งที่เขาทำ

ความฝันของฟาโรห์

41 เวลาผ่านไปสองปีเต็ม คืนหนึ่งฟาโรห์ทรงฝันว่าพระองค์ทรงยืนอยู่ที่ริมฝั่งแม่น้ำไนล์ มีวัวอ้วนพีแข็งแรงเจ็ดตัวขึ้นมาจากแม่น้ำไนล์ กินหญ้าอยู่ริมฝั่ง แล้วมีวัวอีกเจ็ดตัวขึ้นมาจากแม่น้ำไนล์ แต่พวกหลังนี้ตัวผอมแห้งจนน่าเกลียด พวกมันเดินมาหยุดยืนอยู่ข้างวัวอ้วนพีแข็งแรง วัวผอมโซน่าเกลียดเหล่านั้นก็กินวัวอ้วนพีแข็งแรงทั้งเจ็ดตัว แล้วฟาโรห์ทรงตื่นจากบรรทม

พระองค์บรรทมหลับไปอีกและทรงฝันเป็นครั้งที่สอง คราวนี้ทรงเห็นข้าวต้นหนึ่งกำลังออกรวงเจ็ดรวงซึ่งมีเมล็ดเต่งงามดี หลังจากนั้นมีอีกเจ็ดรวงผลิออกมา แต่มีเมล็ดเหี่ยวแห้งเพราะลมตะวันออก แล้วรวงข้าวที่เหี่ยวแห้งก็กลืนกินรวงข้าวที่เต่งงามเจ็ดรวงนั้นจนหมด แล้วฟาโรห์ตื่นจากบรรทมและทรงทราบว่าเป็นความฝัน

เช้าวันรุ่งขึ้นฟาโรห์ทรงกังวลพระทัยนักจึงรับสั่งให้บรรดานักเล่นอาคมและปราชญ์ของอียิปต์มาเข้าเฝ้า พระองค์ทรงเล่าความฝันให้ฟัง แต่ไม่มีใครบอกได้ว่าความฝันพวกนั้นหมายถึงอะไร

แล้วหัวหน้าพนักงานเชิญจอกเสวยจึงกราบทูลว่า “วันนี้ข้าพระบาทระลึกถึงความผิดพลาดของตนได้แล้ว 10 ครั้งหนึ่งฟาโรห์กริ้วข้าพระบาท และทรงให้จำคุกข้าพระบาทพร้อมกับหัวหน้าพนักงานทำขนมปังไว้ในบ้านของผู้บัญชาการทหารรักษาพระองค์ 11 คืนหนึ่งข้าพระบาททั้งสองต่างฝันไป และความฝันของแต่ละคนนั้นก็มีความหมายแตกต่างกัน 12 ขณะนั้นชายหนุ่มฮีบรูคนหนึ่งซึ่งเป็นทาสรับใช้ของท่านผู้บัญชาการทหารรักษาพระองค์ได้ถูกจำคุกอยู่กับข้าพระบาททั้งสอง ข้าพระบาทจึงเล่าความฝันให้เขาฟัง เขาก็บอกความหมายของความฝันให้กับข้าพระบาททั้งสอง 13 ทุกสิ่งก็เป็นไปตามที่เขาได้ทำนายให้กับข้าพระบาททุกประการ คือข้าพระบาทได้กลับเข้ามาประจำหน้าที่ดังเดิม ส่วนอีกคนหนึ่งก็ถูกเสียบประหาร”

14 ฟาโรห์จึงรับสั่งให้นำโยเซฟมาเข้าเฝ้า เขาจึงถูกนำตัวออกจากคุกอย่างเร่งด่วน เมื่อโกนหนวดเคราและเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จแล้วก็เข้าเฝ้าฟาโรห์

15 ฟาโรห์ตรัสกับโยเซฟว่า “เราฝันไป และไม่มีใครบอกความหมายของความฝันได้ แต่เราได้ยินมาว่าเมื่อใครเล่าความฝันให้เจ้าฟัง เจ้าก็สามารถบอกความหมายของความฝันนั้นได้”

16 โยเซฟทูลฟาโรห์ว่า “ข้าพระบาททำไม่ได้ แต่พระเจ้าจะทรงแจ้งให้ฟาโรห์ทราบคำตอบตามที่ฟาโรห์ต้องการ”

17 ฟาโรห์จึงตรัสกับโยเซฟว่า “ในฝันเรายืนอยู่ริมฝั่งแม่น้ำไนล์ 18 มีวัวอ้วนพีแข็งแรงเจ็ดตัวขึ้นมาจากแม่น้ำและกินหญ้าอยู่ริมฝั่ง 19 แล้วก็มีวัวอีกเจ็ดตัวขึ้นมาจากแม่น้ำ ตัวผอมแห้งน่าเกลียดมาก เราไม่เคยเห็นวัวตัวไหนน่าเกลียดขนาดนั้นมาก่อนเลยในแผ่นดินอียิปต์ 20 แล้ววัวผอมแห้งน่าเกลียดเหล่านั้นก็กินวัวอ้วนพีทั้งเจ็ดตัวที่ขึ้นมาก่อนจนหมด 21 แม้พวกมันจะกินวัวเหล่านั้นไปหมดแล้วก็ไม่มีใครรู้ได้ว่าพวกมันได้ทำเช่นนั้น เพราะพวกมันก็ยังผอมแห้งน่าเกลียดอยู่เหมือนเดิม แล้วเราก็ตื่น

22 “เราฝันไปอีกว่าเห็นต้นข้าวต้นหนึ่งออกรวงเจ็ดรวงซึ่งมีเมล็ดเต่งงามดี 23 แล้วมีรวงข้าวอีกเจ็ดรวงงอกขึ้นมาซึ่งมีเมล็ดเหี่ยวแห้งเพราะลมตะวันออก 24 รวงข้าวที่เหี่ยวแห้งนั้นก็กลืนกินรวงข้าวที่เต่งงามทั้งเจ็ดรวงเสียหมด เราเล่าเรื่องนี้ให้บรรดานักเล่นอาคมฟัง แต่ไม่มีใครอธิบายให้เราเข้าใจได้”

25 โยเซฟทูลฟาโรห์ว่า “ความฝันทั้งสองนี้หมายความถึงสิ่งเดียวกัน พระเจ้าทรงเปิดเผยแก่ฟาโรห์ถึงสิ่งที่พระองค์จะทรงกระทำ 26 วัวอ้วนพีเจ็ดตัวหมายถึงเจ็ดปี และรวงข้าวเต่งงามเจ็ดรวงก็หมายถึงเจ็ดปี ความฝันทั้งสองนี้หมายความถึงสิ่งเดียวกัน 27 ส่วนวัวผอมน่าเกลียดเจ็ดตัวที่ขึ้นจากแม่น้ำมาภายหลังหมายถึงเจ็ดปี และรวงข้าวไร้ค่าเจ็ดรวงที่เหี่ยวแห้งไปเพราะลมตะวันออกนั้นก็หมายถึงเจ็ดปีเช่นกัน เป็นเจ็ดปีแห่งการกันดารอาหาร

28 “อย่างที่ข้าพระบาทได้ทูลฟาโรห์ไว้แล้วว่า พระเจ้าได้ทรงสำแดงแก่ฟาโรห์ถึงสิ่งที่พระองค์จะทรงกระทำ 29 ตลอดเจ็ดปีต่อไปนี้จะเป็นช่วงอุดมสมบูรณ์ทั่วแผ่นดินอียิปต์ 30 แต่เจ็ดปีแห่งการกันดารอาหารจะตามมา แล้วประชาชนจะลืมความอุดมสมบูรณ์ทั้งสิ้นของประเทศอียิปต์ และการกันดารอาหารจะทำลายแผ่นดินนี้ 31 ความอุดมสมบูรณ์ของแผ่นดินถูกลบเลือนไปจากความทรงจำ เพราะการกันดารอาหารจะรุนแรงยิ่งนัก 32 เหตุที่พระเจ้าทรงประทานความฝันถึงสองอย่างแก่ฟาโรห์นั้น เพราะว่าพระเจ้าทรงตัดสินพระทัยแน่วแน่แล้ว พระองค์จะทรงให้สิ่งนี้เกิดขึ้นในไม่ช้า

33 “และบัดนี้ขอให้ฟาโรห์ทรงโปรดคัดเลือกคนที่ฉลาดหลักแหลมและมีสติปัญญา และตั้งให้เขาให้ดูแลแผ่นดินอียิปต์ 34 ขอให้ฟาโรห์ทรงแต่งตั้งข้าราชการประจำเขตไว้ทั่วแผ่นดิน ทำหน้าที่เก็บพืชผลหนึ่งในห้าของผลผลิตที่ได้ในตลอดเจ็ดปีแห่งความอุดมสมบูรณ์ 35 พวกเขาควรรวบรวมอาหารทั้งหมดที่ได้ในปีแห่งความอุดมสมบูรณ์ที่กำลังจะมาถึง และให้ฟาโรห์มอบอำนาจให้พวกเขาเก็บสะสมเมล็ดข้าวไว้เป็นคลังอาหารตามเมืองต่างๆ 36 อาหารเหล่านี้ควรเก็บไว้เป็นเสบียงสำรองให้กับประเทศสำหรับช่วงเจ็ดปีแห่งการกันดารอาหารซึ่งจะเกิดขึ้นกับอียิปต์ เพื่อว่าประเทศชาติจะไม่ย่อยยับไปเพราะการกันดารอาหาร”

37 ฟาโรห์และข้าราชการทั้งปวงล้วนเห็นชอบกับแผนงานนี้ 38 ดังนั้นฟาโรห์จึงตรัสถามพวกเขาว่า “เราจะหาใครที่มีพระวิญญาณของพระเจ้า[a]อยู่ภายในเหมือนชายผู้นี้ได้หรือ?”

39 แล้วฟาโรห์ตรัสกับโยเซฟว่า “เนื่องจากพระเจ้าทรงเปิดเผยความหมายของความฝันให้เจ้ารู้ จึงไม่มีผู้ใดฉลาดหลักแหลมและมีสติปัญญาเหมือนเจ้า 40 เราจะแต่งตั้งเจ้าให้ดูแลราชสำนักของเรา และราษฎรทั้งหมดของเราจะทำตามคำสั่งของเจ้า เราจะเป็นผู้เดียวที่มีฐานะสูงกว่าเจ้าเพียงเพราะว่าเราเป็นผู้ครองราชบัลลังก์”

โยเซฟปกครองดูแลอียิปต์

41 ดังนั้นฟาโรห์จึงตรัสแก่โยเซฟว่า “บัดนี้เราขอตั้งเจ้าให้ดูแลทั่วแผ่นดินอียิปต์” 42 แล้วฟาโรห์ทรงถอดแหวนตราประจำพระองค์จากนิ้วมาสวมที่นิ้วของโยเซฟ พระองค์ทรงให้เขาสวมเสื้อคลุมผ้าลินินเนื้อดีและประทานสร้อยคอทองคำแก่เขา 43 ฟาโรห์ให้โยเซฟนั่งรถม้าศึกในฐานะผู้มีอำนาจรองจากพระองค์[b] ไม่ว่าเขาจะไปที่ไหนก็มีคนคอยร้องประกาศว่า “จงเปิดทาง![c]” ดังนั้นฟาโรห์จึงทรงแต่งตั้งโยเซฟให้ดูแลทั่วแผ่นดินอียิปต์

44 ฟาโรห์ตรัสกับโยเซฟว่า “แม้ว่าเราคือฟาโรห์ แต่ถ้าเจ้าไม่อนุญาตก็จะไม่มีผู้ใดในแผ่นดินอียิปต์ยกมือยกเท้าได้” 45 ฟาโรห์ประทานนามแก่โยเซฟว่าศาเฟนาทปาเนอาห์ และประทานอาเสนัทบุตรีปุโรหิตโปทิเฟราแห่งเมืองโอนให้เป็นภรรยา และโยเซฟออกตรวจตราทั่วแผ่นดินอียิปต์

46 โยเซฟมีอายุได้สามสิบปีเมื่อเข้ารับราชการกับฟาโรห์กษัตริย์แห่งอียิปต์ โยเซฟได้ทูลลาฟาโรห์และออกเดินทางไปปฏิบัติราชการทั่วแผ่นดินอียิปต์ 47 ตลอดเจ็ดปีแห่งความอุดมสมบูรณ์ แผ่นดินก็ให้ผลผลิตมากมาย 48 โยเซฟรวบรวมอาหารทั้งหมดที่ผลิตได้ในเจ็ดปีแห่งความอุดมสมบูรณ์ของอียิปต์ และเก็บสะสมไว้ตามเมืองต่างๆ ผลผลิตที่เก็บได้จากนารอบเมืองใด เขาก็ให้เก็บไว้ในเมืองนั้น 49 โยเซฟเก็บสะสมเมล็ดข้าวได้มหาศาลเหมือนเม็ดทรายในทะเล จนเขาต้องเลิกทำบัญชี เพราะตรวจนับไม่ไหว

50 ก่อนปีกันดารอาหารจะมาถึง โยเซฟได้บุตรชายสองคนซึ่งเกิดจากนางอาเสนัทบุตรีของปุโรหิตโปทิเฟราแห่งเมืองโอน 51 โยเซฟตั้งชื่อบุตรหัวปีว่ามนัสเสห์[d] เขากล่าวว่า “เพราะพระเจ้าทรงทำให้ข้าพเจ้าลืมความทุกข์ยากทั้งปวงและญาติพี่น้องทั้งหมดในครัวเรือนบิดาของข้าพเจ้า” 52 เขาตั้งชื่อบุตรชายคนที่สองว่าเอฟราอิม[e] เขากล่าวว่า “เพราะพระเจ้าทรงกระทำให้ข้าพเจ้ามีลูกมีหลานมากมายในดินแดนที่ข้าพเจ้าตกทุกข์ได้ยาก”

53 ในที่สุดเจ็ดปีแห่งความอุดมสมบูรณ์ก็สิ้นสุดลง 54 และเจ็ดปีแห่งการกันดารอาหารก็เริ่มต้นขึ้นตามที่โยเซฟได้กล่าวไว้ เกิดการกันดารอาหารขึ้นทั่วทุกประเทศ แต่ทั่วแผ่นดินอียิปต์มีอาหาร 55 เมื่อชาวอียิปต์เริ่มได้รับผลกระทบจากการกันดารอาหาร ผู้คนต่างก็มาทูลขออาหารจากฟาโรห์ ฟาโรห์จึงสั่งชาวอียิปต์ทุกคนว่า “จงไปหาโยเซฟและทำตามสิ่งที่เขาบอก”

56 เมื่อการกันดารอาหารขยายไปทั่วประเทศ โยเซฟจึงเปิดคลังขายข้าวให้แก่ชาวอียิปต์ เพราะเกิดการกันดารอาหารอย่างรุนแรงทั่วทั้งอียิปต์ 57 ทุกประเทศทั่วโลกพากันมายังอียิปต์เพื่อซื้อข้าวจากโยเซฟ เพราะการกันดารอาหารรุนแรงทั่วโลก

Footnotes

  1. 41:38 หรือของเทพเจ้าทั้งหลาย
  2. 41:43 หรือรถม้าศึกของผู้มีอำนาจรองจากพระองค์หรือรถม้าศึกคันที่สองของพระองค์
  3. 41:43 หรือจงหมอบลง!
  4. 41:51 คำว่ามนัสเสห์มีเสียงคล้ายและอาจมาจากคำภาษาฮีบรูที่มีความหมายว่าลืม
  5. 41:52 คำว่าเอฟราอิมมีเสียงคล้ายคำภาษาฮีบรูที่มีความหมายว่าเกิดผลสองเท่า

การเดินทางไปอียิปต์ครั้งที่สอง

43 ขณะนั้นการกันดารอาหารยังคงรุนแรงอยู่ เมื่อข้าวที่พวกเขาเอามาจากอียิปต์หมดแล้ว บิดาก็พูดกับพวกเขาว่า “จงกลับไปซื้ออาหารมาให้เราอีกหน่อย”

แต่ยูดาห์พูดกับบิดาว่า “คนๆ นั้นกำชับไว้ว่า ‘เจ้าจะไม่ได้รับอนุญาตให้มาพบเรา ถ้าไม่พาน้องชายคนเล็กมาด้วย’ ถ้าพ่อยอมให้น้องไปกับพวกเรา พวกเราก็จะลงไปอียิปต์เพื่อซื้ออาหารมาให้พ่อ แต่ถ้าพ่อไม่ยอมให้น้องไป พวกเราก็จะไม่ไป เพราะเจ้านายคนนั้นสั่งไว้ว่า ‘เจ้าจะไม่ได้รับอนุญาตให้มาพบเรา ถ้าไม่พาน้องชายคนเล็กมาด้วย’ ”

อิสราเอลผู้เป็นบิดาจึงถามว่า “ทำไมเจ้านำปัญหามาให้เราเช่นนี้ เจ้าไปบอกเขาทำไมว่ามีน้องชายอีกคนหนึ่ง?”

พวกเขาตอบว่า “ก็เขาเจาะจงถามถึงพวกเราและครอบครัวของเรา เขาถามเราว่า ‘พ่อของเจ้ายังมีชีวิตอยู่หรือ? เจ้ามีน้องอีกคนหนึ่งไหม?’ เราเพียงแต่ตอบไปตามที่เขาถาม เราจะไปรู้หรือว่าเขาจะสั่งว่า ‘จงพาน้องชายของพวกเจ้าลงมาที่นี่’?”

แล้วยูดาห์ก็พูดกับอิสราเอลบิดาของเขาว่า “ให้น้องไปกับเราเถิด เราจะได้ออกเดินทางทันที เพื่อว่าพวกเรา ตัวพ่อ และลูกๆ ของเราจะไม่ต้องอดตาย ตัวข้าเองจะรับประกันความปลอดภัยของเขา ให้พ่อถือว่าข้าเป็นผู้รับผิดชอบเขาเอง ถ้าข้าพาเขากลับมาให้พ่อเห็นหน้าไม่ได้ ก็ขอให้เป็นตราบาปติดตัวข้าไปตลอดชีวิต 10 ถ้าพวกเราไม่มัวรีรออยู่เช่นนี้ ป่านนี้พวกเราคงไปและกลับมาเป็นครั้งที่สองแล้ว”

11 ในที่สุดอิสราเอลก็พูดกับพวกเขาว่า “หากต้องเป็นเช่นนี้ ก็ให้ทำดังนี้ก็แล้วกัน คือพวกเจ้าจงเอาของดีที่สุดในดินแดนของเรา ได้แก่ยางไม้ น้ำผึ้ง เครื่องเทศ มดยอบ ถั่วพิสทาชิโอ และอัลมอนด์ใส่กระสอบไปเป็นของกำนัลแด่ชายผู้นั้น 12 เอาเงินไปสองเท่าด้วย จะได้คืนเงินที่ติดมาในกระสอบ นี่อาจจะเป็นเรื่องผิดพลาดก็ได้ 13 จงพาน้องไปด้วย ไปพบชายผู้นั้นทันที 14 ขอพระเจ้าผู้ทรงฤทธิ์ทรงเมตตาพวกเจ้าเมื่ออยู่ต่อหน้าชายผู้นั้น เขาจะได้ปล่อยสิเมโอนและเบนยามินกลับมาพร้อมกับพวกเจ้า ส่วนเราถ้าจะต้องไว้ทุกข์ก็ต้องยอม”

15 พวกเขาจึงนำของกำนัลและเงินสองเท่าพร้อมกับเบนยามิน รีบเดินทางลงไปอียิปต์และเข้าพบโยเซฟ 16 เมื่อโยเซฟเห็นเบนยามินมาด้วยจึงสั่งคนต้นเรือนว่า “จงพาชายเหล่านี้ไปที่บ้านของข้า แล้วฆ่าสัตว์สักตัวหนึ่งเตรียมอาหารไว้ พวกเขาจะกินอาหารกลางวันกับข้า”

17 เขาก็ทำตามคำสั่ง แล้วพาชายเหล่านั้นไปยังบ้านของโยเซฟ 18 พวกเขาตกใจกลัวมากเมื่อถูกพามาที่บ้านของโยเซฟ พวกเขาต่างคิดว่า “พวกเราถูกพามาที่นี่เพราะเงินที่ถูกใส่คืนให้เราในกระสอบเมื่อคราวก่อนแน่ๆ เลย เขาต้องการจะใส่ความเรา เล่นงานเรา แล้วก็จับตัวพวกเราเป็นทาสพร้อมทั้งริบลาของพวกเรา”

19 ดังนั้นพวกเขาจึงไปหาคนต้นเรือนของโยเซฟที่ประตูบ้านและพูดว่า 20 “ขอโทษขอรับท่าน คราวก่อนเมื่อพวกเราเดินทางมาซื้ออาหารที่นี่ 21 คืนแรกที่พวกเราแวะพักแรม พวกเราได้เปิดกระสอบออกมาดูก็เห็นเงินค่าข้าวอยู่ที่ปากกระสอบของพวกเราแต่ละคนตามจำนวนที่พวกเราจ่ายไปพอดี ดังนั้นพวกเราจึงเอามาคืน 22 พวกเราได้นำเงินมาเพิ่มอีกเพื่อที่จะซื้ออาหาร พวกเราไม่รู้ว่าใครนำเงินเหล่านี้ใส่เข้าไปในกระสอบของพวกเรา”

23 คนต้นเรือนตอบว่า “ทำใจให้สงบเถิด อย่ากลัวเลย พระเจ้าของพวกท่าน พระเจ้าของบิดาท่านทรงประทานทรัพย์สินที่อยู่ในกระสอบให้ท่าน เราได้รับเงินจากพวกท่านเรียบร้อยแล้ว” แล้วคนต้นเรือนก็พาสิเมโอนออกมาพบพวกเขา

24 จากนั้นคนต้นเรือนพาพวกเขาเข้าไปในบ้านของโยเซฟ เอาน้ำมาให้ล้างเท้า และให้อาหารแก่ลาของพวกเขา 25 พวกเขาก็เตรียมของกำนัลเพื่อมอบให้แก่โยเซฟซึ่งจะมาถึงตอนเที่ยง เพราะพวกเขาได้ยินว่าจะรับประทานอาหารด้วยกันที่นั่น

26 เมื่อโยเซฟมาถึงบ้าน พวกพี่น้องก็มอบของกำนัลให้เขา และหมอบกราบเขาลงถึงดิน 27 โยเซฟถามถึงทุกข์สุขของพวกเขาและถามอีกว่า “พ่อผู้ชราที่พวกเจ้าพูดถึงยังสุขสบายดีไหม? ยังมีชีวิตอยู่หรือเปล่า?”

28 พวกเขาตอบว่า “พ่อของเราผู้รับใช้ของท่าน ยังมีชีวิตอยู่และสบายดี” และพวกเขาก็หมอบกราบราบกับพื้นต่อหน้าโยเซฟ

29 ขณะที่โยเซฟมองดูพวกเขาและเห็นเบนยามินน้องชายร่วมมารดา จึงถามว่า “คนนี้หรือคือน้องชายคนสุดท้องที่พวกเจ้าพูดถึง?” แล้วพูดกับเบนยามินว่า “ลูกเอ๋ย ขอพระเจ้าทรงเมตตาเจ้าเถิด” 30 เมื่อโยเซฟได้พบหน้าน้องชายก็ตื้นตันใจเหลือล้นจนต้องผลุนผลันออกไปหาที่ร้องไห้ เขาจึงเข้าไปร้องไห้ในห้องส่วนตัว

31 จากนั้นเขาก็ล้างหน้าล้างตา ควบคุมอารมณ์ และกลับออกมาสั่งว่า “ยกอาหารมาเถิด”

32 พวกเขาจัดอาหารให้โยเซฟรับประทานแต่ลำพัง โต๊ะของพี่น้องแยกต่างหาก ส่วนชาวอียิปต์ที่ร่วมรับประทานอาหารกับโยเซฟก็อยู่อีกโต๊ะหนึ่ง คนอียิปต์ไม่นั่งร่วมโต๊ะกับคนฮีบรูเพราะถือว่าเป็นสิ่งน่ารังเกียจสำหรับชาวอียิปต์ 33 โยเซฟจัดให้ชายเหล่านั้นแต่ละคนนั่งเรียงกันตามลำดับอายุ ตั้งแต่คนโตสุดถึงคนเล็กสุด ทำให้ชายเหล่านั้นมองหน้ากันด้วยความสงสัย 34 เมื่ออาหารส่วนของพวกเขาถูกส่งมาจากโต๊ะของโยเซฟ เบนยามินได้มากเป็นห้าเท่าของคนอื่นๆ พวกเขาก็กินดื่มร่วมกับโยเซฟจนอิ่มหนำสำราญ

โยเซฟแสดงตัวกับพี่น้อง

45 โยเซฟไม่สามารถควบคุมตนเองต่อหน้าบรรดาคนที่ยืนอยู่ได้อีกต่อไป จึงร้องสั่งบริวารว่า “จงออกไปให้พ้นหน้าเราให้หมดทุกคน!” ดังนั้นจึงไม่มีผู้อื่นอยู่กับโยเซฟเมื่อเขาแสดงตัวกับพี่น้องของเขา แล้วเขาก็ร้องไห้เสียงดังจนชาวอียิปต์ทั้งหลายได้ยิน และข่าวก็ไปถึงราชวังของฟาโรห์

โยเซฟบอกพวกพี่น้องว่า “เราคือโยเซฟ! พ่อของเรายังมีชีวิตอยู่หรือ?” แต่พวกพี่น้องก็พูดอะไรไม่ออก เพราะพวกเขาต่างตกใจกลัวที่ได้เผชิญหน้ากับโยเซฟ

แล้วโยเซฟจึงพูดกับพี่น้องของเขาว่า “เข้ามาใกล้ๆ เราเถิด” พวกเขาก็เดินเข้าไปใกล้ เขาพูดอีกว่า “เราคือโยเซฟพี่น้องของท่าน คนที่ท่านขายเข้ามาในอียิปต์ แต่บัดนี้อย่าเสียใจและอย่าโกรธตนเองที่ได้ขายเรามาที่นี่ เพราะว่าพระเจ้าทรงส่งเรามาล่วงหน้าพวกพี่เพื่อช่วยชีวิตคนทั้งหลาย การกันดารอาหารในแผ่นดินนี้เพิ่งเกิดขึ้นเพียงสองปี แล้วอีกห้าปีข้างหน้าก็จะเพาะปลูกหรือเก็บเกี่ยวไม่ได้ แต่พระเจ้าทรงส่งเรามาล่วงหน้าพวกพี่เพื่อปกป้องรักษาคนที่เหลือบนแผ่นดินโลกไว้ และทรงช่วยชีวิตพวกพี่ไว้ด้วยการช่วยกู้ยิ่งใหญ่[a]

“ฉะนั้นจึงไม่ใช่พวกพี่ที่ส่งเรามาที่นี่ แต่เป็นพระเจ้าเอง พระองค์ทรงโปรดให้เราเป็นเหมือนบิดาแก่ฟาโรห์ เป็นเจ้านายเหนือข้าราชสำนักทั้งสิ้นและเป็นผู้ปกครองอียิปต์ทั้งประเทศ บัดนี้จงรีบกลับไปหาพ่อของเราเถิด และบอกพ่อว่า ‘โยเซฟลูกของพ่อกล่าวดังนี้ว่า พระเจ้าทรงกระทำให้เราเป็นเจ้านายเหนือดินแดนอียิปต์ เชิญลงมาหาเราเถิด อย่าชักช้าอยู่เลย 10 พ่อจะได้มาอยู่ในดินแดนโกเชน อยู่ใกล้ๆ เรา ทั้งตัวพ่อพร้อมลูกหลาน ฝูงสัตว์ และทุกสิ่งทุกอย่างที่ท่านมี 11 เราจะดูแลจัดหาสิ่งต่างๆ ให้พ่อที่นั่น เพราะจะกันดารอาหารอีกห้าปี มิฉะนั้นแล้วทั้งตัวพ่อ ครัวเรือนของพ่อ และคนของพ่อทุกคนจะต้องอดอยากกันหมด’

12 “พี่ๆ ก็เห็นอยู่กับตา น้องเบนยามินก็เห็นว่าเป็นเราจริงๆ ที่กำลังพูดอยู่กับพวกท่าน 13 จงเล่าให้พ่อของเราฟังว่า เรามียศถาบรรดาศักดิ์ที่ยิ่งใหญ่ในอียิปต์ และจงเล่าทุกอย่างตามที่เห็น แล้วพาพ่อมาที่นี่โดยเร็ว”

14 แล้วโยเซฟก็สวมกอดเบนยามินน้องชายของเขาแล้วร้องไห้ เบนยามินก็กอดพี่แล้วร้องไห้ 15 โยเซฟจูบพี่น้องทุกคนและร้องไห้ หลังจากนั้นพี่น้องของเขาก็พูดคุยกับโยเซฟ

16 เมื่อข่าวแพร่ไปถึงพระราชวังของฟาโรห์ว่าพี่น้องของโยเซฟมา ฟาโรห์กับเหล่าข้าราชบริพารทั้งหมดก็พากันยินดี 17 ฟาโรห์รับสั่งกับโยเซฟว่า “จงไปบอกพี่น้องของเจ้าว่า ‘จงทำตามนี้คือ นำสัตว์บรรทุกสิ่งของกลับไปยังคานาอัน 18 รับตัวบิดาของเจ้ากับทุกคนในครอบครัวกลับมาหาเรา เราจะยกดินแดนที่ดีที่สุดในอียิปต์ให้พวกเจ้า และพวกเจ้าจะได้ชื่นชมกับผลิตผลอันอุดมสมบูรณ์ในแผ่นดินนี้’

19 “เจ้าจงบอกพวกเขาด้วยว่า ‘จงทำตามนี้คือ จงนำขบวนเกวียนจากอียิปต์ไปรับลูกหลานของพวกเจ้า บรรดาภรรยา และบิดาของเจ้ามาที่นี่ 20 อย่าห่วงพะวงถึงทรัพย์สมบัติของพวกเจ้าที่นั่นเลย เพราะพวกเจ้าจะได้รับสิ่งของชั้นเยี่ยมต่างๆ นานาที่มีอยู่ในอียิปต์’ ”

21 ดังนั้นบรรดาบุตรชายของอิสราเอลจึงทำตามนั้น โยเซฟจึงให้ขบวนเกวียนไปกับพวกเขาตามรับสั่งของฟาโรห์ และเขายังให้เสบียงไปกินตามทางด้วย 22 เขาให้เสื้อผ้าใหม่กับพี่น้องทุกคน ส่วนเบนยามินได้รับเงิน 300 เชเขล[b]และเสื้อผ้าห้าชุด 23 และโยเซฟได้ส่งสิ่งของต่างๆ เหล่านี้ให้แก่บิดาของเขา คือลาสิบตัวบรรทุกสิ่งของชั้นเยี่ยมที่มีอยู่ในอียิปต์ และลาตัวเมียอีกสิบตัวบรรทุกข้าว ขนมปัง และเสบียงอื่นๆ ให้บิดาไว้กินตามทาง 24 โยเซฟจึงส่งพวกพี่น้องออกเดินทางไป และก่อนจากกันโยเซฟพูดกับพวกเขาว่า “อย่าทะเลาะกันระหว่างทาง!”

25 ดังนั้นพวกเขาจึงเดินทางออกจากอียิปต์กลับไปหายาโคบผู้เป็นบิดาที่คานาอัน 26 พวกเขาบอกยาโคบว่า “โยเซฟยังมีชีวิตอยู่! จริงๆ แล้วเขาได้เป็นถึงผู้ปกครองอียิปต์ทั้งประเทศ” ยาโคบตะลึงงันและไม่เชื่อพวกเขา 27 แต่เมื่อพวกเขาได้เล่าทุกสิ่งทุกอย่างที่โยเซฟได้พูดกับพวกเขาให้บิดาฟัง และเมื่อยาโคบเห็นขบวนเกวียนที่โยเซฟส่งมารับเขากลับไป จิตใจของยาโคบบิดาของพวกเขาก็ชุ่มชื่นขึ้น 28 แล้วอิสราเอลก็พูดว่า “พอแล้ว! เราเชื่อแล้วว่าโยเซฟลูกของเรายังมีชีวิตอยู่ เราจะไปพบเขาก่อนเราตาย”

Footnotes

  1. 45:7 หรือช่วยท่านในฐานะผู้รอดชีวิตกลุ่มใหญ่
  2. 45:22 1 เชเขล คือเงินหนักประมาณ 11.5 กรัม มีค่าเท่ากับค่าแรงสองเดือน