Add parallel Print Page Options

การสร้างสรรพสิ่ง

ในปฐมกาล พระเจ้าสร้างฟ้าสวรรค์และแผ่นดินโลก แผ่นดินโลกยังไม่เป็นรูปเป็นร่างอีกทั้งยังว่างเปล่า มีเพียงความมืดปกคลุมอยู่เหนือพื้นผิวห้วงน้ำลึก พระวิญญาณพระเจ้าสถิตเหนือผิวน้ำ

แล้วพระเจ้ากล่าวว่า “ความสว่างจงเกิดขึ้นเถิด” ความสว่างจึงบังเกิดขึ้น พระเจ้าเห็นว่าความสว่างนั้นดี พระองค์จึงแยกความสว่างออกจากความมืด พระเจ้าเรียกความสว่างนั้นว่า วัน และเรียกความมืดว่า คืน เกิดเป็นเวลาเย็นและเวลาเช้าขึ้นเป็นวันแรก

แล้วพระเจ้ากล่าวว่า “จงมีโดมกว้างใหญ่ที่แยกห้วงน้ำออกเป็นสองส่วน” พระเจ้าได้สร้างโดมกว้างใหญ่ที่แยกระหว่างห้วงน้ำที่อยู่ใต้โดมกว้างใหญ่และห้วงน้ำที่อยู่เหนือโดมกว้างใหญ่ แล้วมันก็เป็นไปตามนั้น และพระเจ้าเรียกโดมกว้างใหญ่นั้นว่า ฟ้า จึงเกิดเป็นเวลาเย็นและเวลาเช้าขึ้นเป็นวันที่สอง

แล้วพระเจ้ากล่าวว่า “ห้วงน้ำใต้ฟ้าจงรวมตัวเข้าในที่เดียวกัน และให้พื้นดินแห้งปรากฏขึ้น” แล้วมันก็เป็นไปตามนั้น 10 พระเจ้าเรียกพื้นที่แห้งว่า แผ่นดิน และพระองค์เรียกห้วงน้ำที่รวมตัวกันอยู่ว่า ทะเล และพระเจ้าเห็นว่าดี

11 ครั้นแล้วพระเจ้ากล่าวว่า “แผ่นดินจงผลิตพืชพรรณไม้ อันได้แก่ธัญพืช และบรรดาต้นไม้ซึ่งให้ผลที่มีเมล็ดหลากชนิดบนแผ่นดิน” แล้วมันก็เป็นไปตามนั้น 12 ดังนั้น แผ่นดินก็ผลิตพืชพรรณไม้ อันได้แก่ธัญพืชทุกชนิด และต้นไม้ซึ่งให้ผลที่มีเมล็ดตามแต่ละชนิด และพระเจ้าเห็นว่าดี 13 ฉะนั้นจึงเกิดเป็นเวลาเย็นและเวลาเช้าขึ้นเป็นวันที่สาม

14 แล้วพระเจ้ากล่าวว่า “ให้ดวงไฟสว่างทั้งหลายบังเกิดขึ้นในโดมกว้างใหญ่ของท้องฟ้า เพื่อแยกวันออกจากคืน และให้ดวงไฟสว่างเหล่านั้นเป็นเครื่องหมายกำหนดฤดูกาล วัน และปี 15 และให้เป็นดวงไฟสว่างในโดมกว้างใหญ่ของท้องฟ้า เพื่อส่องแสงสว่างแก่แผ่นดินโลก” แล้วมันก็เป็นไปตามนั้น 16 พระเจ้าได้สร้างดวงไฟสว่างใหญ่สองดวง ดวงที่ใหญ่กว่าให้ทำงานควบคุมเวลากลางวัน และดวงที่เล็กกว่าให้ทำงานควบคุมเวลากลางคืน พระองค์สร้างดวงดาวทั้งหลายขึ้นด้วย 17 แล้วพระเจ้าก็ได้วางดวงไฟสว่างเหล่านั้นไว้บนโดมกว้างใหญ่ของท้องฟ้า เพื่อส่องแสงสว่างแก่แผ่นดินโลก 18 เพื่อควบคุมกลางวันและกลางคืน และเพื่อแยกความสว่างออกจากความมืด และพระเจ้าเห็นว่าดี 19 ฉะนั้นจึงเกิดเป็นเวลาเย็นและเวลาเช้าขึ้นเป็นวันที่สี่

20 แล้วพระเจ้ากล่าวว่า “ให้สิ่งมีชีวิตเกิดขึ้นในท้องทะเล และแหวกว่ายอยู่เป็นฝูง หมู่นกโบยบินอยู่เหนือแผ่นดินโลก โผผินไปในโดมกว้างใหญ่ของท้องฟ้า” 21 ฉะนั้น พระเจ้าจึงสร้างฝูงสัตว์ทะเลขนาดมหึมาและสิ่งมีชีวิตทุกชนิดที่เคลื่อนไหวได้อยู่ในน้ำเป็นฝูง รวมถึงนกมีปีกทุกชนิดด้วย และพระเจ้าเห็นว่าดี 22 พระเจ้าได้ให้พรแก่สัตว์ทั้งปวงโดยกล่าวว่า “จงแพร่พันธุ์ให้ทวีจำนวนขึ้นจนเต็มท้องทะเล หมู่นกจงทวีคูณขึ้นในโลก” 23 ฉะนั้นจึงเกิดเป็นเวลาเย็นและเวลาเช้าขึ้นเป็นวันที่ห้า

24 แล้วพระเจ้าก็กล่าวขึ้นอีกว่า “ให้สิ่งมีชีวิตทุกๆ ชนิดบังเกิดขึ้นบนแผ่นดินโลก อันได้แก่สัตว์เลี้ยง สัตว์เลื้อยคลาน และสัตว์ป่าชนิดต่างๆ” แล้วมันก็เป็นไปตามนั้น 25 พระเจ้าได้สร้างสัตว์ป่าชนิดต่างๆ มากมายคือ สัตว์เลี้ยงทุกชนิด สัตว์เลื้อยคลานบนดินชนิดต่างๆ และพระเจ้าเห็นว่าดี

26 ครั้นแล้วพระเจ้าก็กล่าวว่า “เรามาสร้างมนุษย์[a]ตามภาพลักษณ์ของเรากันเถิด ให้มีคุณลักษณะเหมือนเรา และให้พวกเขาควบคุมดูแลปลาในท้องทะเล นกในอากาศ และสัตว์เลี้ยง รวมทั้งควบคุมทั่วทั้งแผ่นดินโลกและบรรดาสัตว์ที่เลื้อยคลานบนพื้นดิน”

27 ฉะนั้น พระเจ้าจึงสร้างมนุษย์ขึ้นตามภาพลักษณ์ของพระองค์
    พระองค์สร้างมนุษย์ขึ้นตามภาพลักษณ์ของพระเจ้า
    พระองค์ได้สร้างทั้งชายและหญิง[b]

28 พระเจ้าให้พรแก่พวกเขา โดยได้กล่าวกับพวกเขาว่า “จงเกิดลูกเต็มบ้านหลานเต็มเมือง ทวีคนขึ้นจนเต็มแผ่นดินโลก และจงมีอำนาจเหนือแผ่นดินโลก ควบคุมปลาในท้องทะเล หมู่นกในอากาศ และควบคุมสิ่งมีชีวิตที่เคลื่อนไหวทั้งหลายบนพื้นดิน” 29 แล้วพระเจ้าได้กล่าวต่อไปอีกว่า “ดูเถิด เราได้ให้ธัญพืชที่อยู่บนพื้นแผ่นดินโลกทุกชนิดแก่พวกเจ้า รวมถึงต้นไม้ซึ่งให้ผลที่มีเมล็ดทุกชนิดแก่เจ้า เพื่อจะได้ใช้เป็นอาหาร 30 สำหรับสัตว์ป่าทั้งปวงบนแผ่นดินโลก นกในอากาศทุกตัว สัตว์ทุกชนิดที่เลื้อยคลานบนแผ่นดินโลก รวมทั้งสรรพสิ่งที่มีลมหายใจ เรามอบพืชใบเขียวทั้งปวงไว้ให้เป็นอาหาร” แล้วมันก็เป็นไปตามนั้น 31 พระเจ้าเห็นทุกสิ่งที่พระองค์สร้างไว้แล้ว ดูเถิด ทุกสิ่งวิเศษสุด เกิดเป็นเวลาเย็นและเวลาเช้าขึ้นเป็นวันที่หก

ฉะนั้น ฟ้าสวรรค์และแผ่นดินโลก อีกทั้งทุกสิ่งที่อาศัยอยู่ในที่เหล่านั้นได้ถูกสร้างจนสำเร็จทั้งสิ้น

วันที่เจ็ด พระเจ้าหยุดพัก

เมื่อถึงวันที่เจ็ด พระเจ้าก็เสร็จสิ้นจากการงานของพระองค์ ดังนั้นในวันที่เจ็ดพระองค์จึงหยุดพักจากการงานทั้งสิ้นที่ได้กระทำ แล้วพระเจ้าก็อวยพรวันที่เจ็ด และตั้งให้เป็นวันบริสุทธิ์ เพราะเป็นวันที่พระเจ้าหยุดพักจากการงานสร้างสรรค์ทั้งสิ้นของพระองค์

อาดัมกับเอวา

ฟ้าสวรรค์และแผ่นดินโลกถูกสร้างสรรค์ขึ้นตามลำดับดังนี้ ในวันที่พระผู้เป็นเจ้า องค์พระเจ้าสร้างแผ่นดินโลกและฟ้าสวรรค์

ยามที่แผ่นดินโลกยังไม่มีพันธุ์ไม้เขียวชอุ่มอยู่ตามทุ่งนา อีกทั้งผักหญ้าในทุ่งก็ยังไม่งอก เพราะว่าพระผู้เป็นเจ้า องค์พระเจ้ายังไม่ได้บันดาลให้ฝนตกบนแผ่นดินโลก และยังไม่มีผู้ใดทำไร่พรวนดิน มีแต่ละอองน้ำพุ่งขึ้นจากแผ่นดินและรดทั่วพื้นดิน ครั้นแล้ว พระผู้เป็นเจ้า องค์พระเจ้าก็ปั้นมนุษย์[c]ขึ้นจากธุลีดิน แล้วพระองค์ได้ระบายลมหายใจแห่งชีวิตผ่านทางจมูกของเขา และมนุษย์ผู้นั้นก็มีชีวิตขึ้นมา แล้วพระผู้เป็นเจ้า องค์พระเจ้าปลูกสวนแห่งหนึ่งไว้ที่เอเดนทางทิศตะวันออก พระองค์มอบหมายให้มนุษย์ซึ่งพระองค์ปั้นไว้อยู่ที่นั่น และพระผู้เป็นเจ้า องค์พระเจ้าให้ต้นไม้ทุกประเภทที่สวยงามและมีผลใช้เป็นอาหารได้งอกขึ้นจากดิน ที่กลางสวนมีต้นไม้แห่งชีวิตต้นหนึ่ง[d] และต้นไม้แห่งความรู้ในสิ่งดีและชั่ว

10 มีแม่น้ำสายหนึ่งไหลมาจากเอเดนและหล่อเลี้ยงสวนนั้น และจากนั้นก็แยกออกเป็นแม่น้ำ 4 สาย 11 แม่น้ำสายแรกชื่อพิโชน ไหลอยู่โดยรอบแผ่นดินของฮาวิลาห์ ที่นั่นมีแร่ทองคำ 12 ทองคำจากดินแดนนั้นเป็นทองนพคุณ มียางไม้หอมและพลอยหลากสีด้วย 13 แม่น้ำสายที่สองชื่อกีโฮน ไหลอยู่โดยรอบแผ่นดินของคูช 14 แม่น้ำสายที่สามชื่อไทกริส ไหลไปทางทิศตะวันออกของอัชชูร์ และแม่น้ำสายที่สี่ชื่อยูเฟรติส

15 พระผู้เป็นเจ้า องค์พระเจ้าได้ให้มนุษย์ผู้นั้นอาศัยอยู่ในสวนเอเดน เพื่อทำไร่และดูแลรักษาสวน 16 แล้วพระผู้เป็นเจ้า องค์พระเจ้าก็ได้สั่งมนุษย์นั้นว่า “เจ้ากินผลจากต้นไม้ทุกต้นในสวนได้โดยไม่ต้องลังเลใจ 17 แต่จงอย่ากินผลจากต้นไม้แห่งความรู้ในสิ่งดีและชั่ว เพราะในวันที่เจ้ากิน เจ้าจะต้องตายอย่างแน่นอน”

18 แล้วพระผู้เป็นเจ้า องค์พระเจ้ากล่าวว่า “ไม่ดีเลยถ้ามนุษย์นี้จะต้องอยู่อย่างโดดเดี่ยว เราจะสร้างผู้ช่วยที่เหมาะสมให้เขา” 19 ดังนั้นพระผู้เป็นเจ้า องค์พระเจ้าจึงได้ปั้นสัตว์ป่าทุกชนิดที่อยู่ในทุ่ง และนกในอากาศทุกชนิดขึ้นจากดิน แล้วพามาให้มนุษย์นั้นดูว่าจะเรียกมันว่าอะไร เมื่อมนุษย์เรียกชื่อสิ่งมีชีวิตแต่ละชนิดแล้ว ชื่อของมันก็เป็นไปตามนั้น 20 มนุษย์ผู้นั้นตั้งชื่อสัตว์เลี้ยงทั้งหมด อีกทั้งนกในอากาศ และสัตว์ป่าทุกชนิดในทุ่ง แต่ก็ยังไม่มีผู้ช่วยที่เหมาะสมสำหรับอาดัม 21 ดังนั้นพระผู้เป็นเจ้า องค์พระเจ้าจึงทำให้เขาหลับสนิท และขณะที่หลับอยู่นั้นเอง พระองค์ได้ชักกระดูกซี่โครงซี่หนึ่งของเขาออกมา และปิดเนื้อให้สนิทดังเดิม 22 ซี่โครงที่พระผู้เป็นเจ้า องค์พระเจ้าได้ชักออกมานั้น ก็เอามาสร้างเป็นหญิงผู้หนึ่ง และนำมาให้มนุษย์ผู้นั้น

23 ครั้นแล้วมนุษย์จึงกล่าวว่า

“ในที่สุด นี่คือกระดูกจากกระดูกของเรา
    และเนื้อจากเนื้อของเรา
เราจะเรียกนี่ว่า ‘หญิง’[e]
    เพราะนี่เป็นส่วนหนึ่งที่มาจากชาย”

24 ด้วยเหตุนี้ ผู้ชายจะจากบิดาและมารดาของเขาไป และผูกพันอยู่กับภรรยาของตน และเขาทั้งสองจะเป็นหนึ่งเดียวกัน[f] 25 ชายคนนั้นกับภรรยาของเขาต่างเปลือยกายและไร้ความเขินอายต่อกัน

การพลาดครั้งแรกของมนุษย์

งูนั้นเจ้าเล่ห์กว่าสัตว์ป่าอื่นที่อยู่ในทุ่งที่พระผู้เป็นเจ้า องค์พระเจ้าได้สร้างไว้

งูพูดกับหญิงนั้นว่า “จริงหรือที่พระเจ้าพูดว่า ‘อย่ากินผลไม้ที่มาจากต้นไม้ใดๆ ในสวน’” หญิงนั้นจึงพูดกับงูว่า “เรากินผลจากต้นไม้ทั้งหลายในสวนได้ แต่ต้นที่อยู่กลางสวน พระเจ้ากล่าวว่า ‘เจ้าอย่ากินผลจากต้นนั้น และอย่าแตะต้องมันด้วย มิฉะนั้นเจ้าจะตาย’” แต่งูพูดกับหญิงนั้นว่า “เจ้าจะไม่ตายหรอก พระเจ้าทราบว่าวันใดที่พวกเจ้ากินผลไม้จากต้นนั้นแล้ว ตาของพวกเจ้าจะมองเห็นความเป็นจริง และเจ้าจะเป็นเหมือนกับพระเจ้า คือรู้ว่าสิ่งใดดีสิ่งใดชั่ว” เมื่อหญิงนั้นเห็นว่าผลจากต้นนั้นกินเป็นอาหารได้ แถมยังดูน่ากิน และเป็นต้นที่ชวนให้อยากได้ เพื่อทำให้ตนฉลาดรอบรู้ นางจึงเด็ดผลจากต้นนั้นกิน แล้วนำไปให้สามี และเขาก็กิน ครั้นแล้วตาของคนทั้งสองก็เห็นความเป็นจริง เห็นว่ากายของตัวเองเปลือยอยู่ จึงนำใบมะเดื่อมากลัดโยงเข้าด้วยกันไว้ที่เอวเพื่อปกปิดร่างของตน

แล้วสองคนได้ยินเสียงย่างเท้าของพระผู้เป็นเจ้า องค์พระเจ้าในสวน ขณะที่สายลมกำลังพัดผ่านในเย็นวันนั้น ชายผู้นั้นกับภรรยาพากันซ่อนตัวในหมู่ต้นไม้ในสวน ไม่ให้พระองค์เห็นตัว แต่พระผู้เป็นเจ้า องค์พระเจ้าเรียกเขาโดยกล่าวว่า “เจ้าอยู่ไหน” 10 เขาพูดว่า “ข้าพเจ้าได้ยินเสียงพระองค์ในสวน และข้าพเจ้ากลัว เพราะว่ากายของข้าพเจ้าเปลือย ข้าพเจ้าจึงซ่อนตัวอยู่” 11 พระองค์กล่าวว่า “ใครบอกเจ้าว่ากายของเจ้าเปลือย เจ้ากินผลไม้จากต้นไม้ที่เราสั่งห้ามใช่ไหม” 12 ชายนั้นพูดว่า “หญิงที่พระองค์มอบให้เพื่ออยู่กับข้าพเจ้า เอาผลจากต้นไม้มาให้ข้าพเจ้า ข้าพเจ้าก็รับประทาน” 13 แล้วพระผู้เป็นเจ้า องค์พระเจ้าจึงกล่าวกับหญิงนั้นว่า “เจ้าทำอะไรลงไป” หญิงผู้นั้นพูดว่า “งูตัวนั้นลวงหลอกข้าพเจ้า ข้าพเจ้าจึงรับประทาน”

14 พระผู้เป็นเจ้า องค์พระเจ้าจึงพูดกับงูว่า

“ในจำนวนพวกสัตว์เลี้ยง
    และสัตว์ป่าทั้งปวงในทุ่ง
เจ้านั่นเองที่จะถูกสาปแช่ง
    เพราะการกระทำของเจ้าครั้งนี้
เจ้าจะต้องใช้ท้องเลื้อยคลานไป
    และต้องกินดินไปตลอดชีวิตของเจ้า
15 เราจะทำให้เจ้าและหญิงผู้นั้นเป็นคู่อริกัน
    แม้เชื้อสายของเจ้าและเชื้อสายของนางก็เช่นกัน
เขาจะทำให้หัวของเจ้าฟกช้ำ
    และเจ้าจะฉกส้นเท้าของเขา”

16 พระองค์กล่าวกับหญิงนั้นว่า

“เราจะทวีความลำบากของเจ้าให้มากขึ้นยามมีครรภ์
    รวมถึงความเจ็บปวดยามคลอดลูก
แม้กระนั้นเจ้ายังจะปรารถนาในสามีของเจ้า
    และเขาจะเป็นใหญ่เหนือเจ้า”

17 แล้วพระองค์ก็กล่าวกับอาดัมว่า “เพราะเจ้าฟังเสียงภรรยาของเจ้า และกินผลจากต้นที่เราสั่งห้ามไว้ว่า ‘เจ้าอย่ากินจากต้นนั้น’

เป็นเพราะเจ้า พื้นดินจึงถูกสาปแช่ง
    เจ้าต้องตรากตรำหากินจากพื้นดิน
    จนตลอดชีวิตของเจ้า
18 พื้นดินจะทำให้เจ้าต้องเผชิญกับพุ่มไม้หนาม
    และพืชพันธุ์ไม้มีหนาม
และต้องกินพืชในทุ่ง
19 กว่าจะได้กิน เจ้าจะต้อง
    ทำงานหนักอาบเหงื่อต่างน้ำ
จนกว่าจะกลับคืนเป็นดิน
    เพราะเจ้ามาจากดิน เจ้าเป็นผงธุลี
และเจ้าจะต้องกลับไปเป็นผงธุลี”

20 อาดัมตั้งชื่อภรรยาของเขาว่า เอวา เพราะว่านางเป็นมารดาของมนุษยชาติทั้งปวง 21 และพระผู้เป็นเจ้า องค์พระเจ้าได้ทำเสื้อขึ้นจากหนังสัตว์สำหรับอาดัมและภรรยาของเขา และพระองค์สวมเสื้อให้กับเขาทั้งสอง

22 และพระผู้เป็นเจ้า องค์พระเจ้ากล่าวว่า “ดูเถิด มนุษย์นั้นกลายมาเป็นเหมือนพวกเราแล้ว คือมีความรู้สึกผิดชอบชั่วดี เกรงว่าพวกเขาจะยื่นมือไปเด็ดจากต้นไม้แห่งชีวิตกินเสีย แล้วจะมีชีวิตตลอดไปชั่วนิรันดร์” 23 ดังนั้นพระผู้เป็นเจ้า องค์พระเจ้าจึงให้เขาออกไปจากสวนเอเดน ไปทำไร่พรวนดินซึ่งเป็นสิ่งที่พระเจ้าใช้ปั้นตัวเขาขึ้นมาแต่แรก 24 ครั้นพระองค์ขับไล่ชายคนนั้นออกไปแล้ว พระองค์ก็ให้ตัวเครูบ[g]และดาบเพลิงที่เคลื่อนไหวได้รอบทิศทางมาประจำอยู่ในทิศตะวันออกของสวนเอเดน เพื่อเฝ้าทางเข้าสู่ต้นไม้แห่งชีวิต

คาอินและอาเบล

อาดัมสมสู่อยู่กับเอวาภรรยาของตน แล้วนางก็ตั้งครรภ์และคลอดบุตรชื่อคาอิน นางพูดว่า “ฉันมีบุตรชายได้เพราะพระผู้เป็นเจ้าช่วยเหลือ” ต่อมานางได้คลอดบุตรชายเป็นน้องของคาอินชื่ออาเบล อาเบลเป็นคนเลี้ยงฝูงแกะ ส่วนคาอินเป็นคนทำไร่พรวนดิน วันเวลาล่วงไป คาอินนำผลที่ได้จากไร่นาเป็นของถวายสำหรับพระผู้เป็นเจ้า ส่วนอาเบลนำลูกแกะตัวแรกจากฝูงของเขามา และนำส่วนดีที่สุดอันเป็นไขมันของแกะมาให้ พระผู้เป็นเจ้าพอใจอาเบลกับของถวายของเขา แต่พระองค์กลับไม่พอใจคาอินกับของถวาย ฉะนั้นคาอินจึงเดือดดาลมาก และหน้าตาก็หม่นหมอง พระผู้เป็นเจ้ากล่าวกับคาอินว่า “ทำไมเจ้าจึงเดือดดาล ทำไมหน้าตาของเจ้าจึงหม่นหมองเช่นนั้น ถ้าเจ้าทำดี แล้วเราจะไม่รับเจ้าเช่นนั้นหรือ แต่ถ้าเจ้าทำไม่ดี บาปก็กำลังรอตะครุบเจ้าอยู่ที่ประตู มันต้องการตัวเจ้า เจ้าจะต้องเอาชนะมันให้ได้”

คาอินพูดกับอาเบลน้องชายของตนว่า “เราออกไปที่ทุ่งกันเถิด” เมื่อเขาทั้งสองอยู่ในทุ่ง คาอินโถมตัวเข้าใส่อาเบลน้องชายของตน และฆ่าเขาเสีย แล้วพระผู้เป็นเจ้ากล่าวกับคาอินว่า “อาเบลน้องชายของเจ้าอยู่ไหน” เขาตอบว่า “ข้าพเจ้าไม่ทราบ ข้าพเจ้ามีหน้าที่ดูแลน้องหรือ” 10 พระผู้เป็นเจ้ากล่าวว่า “เจ้าทำอะไรลงไป เลือดของน้องชายเจ้ากำลังฟ้องร้องขึ้นมาจากพื้นดิน 11 และบัดนี้เจ้าได้ถูกสาปแช่งจากแผ่นดินที่ซึมซับรับเอาเลือดของน้องชายเจ้า ที่หลั่งออกมาเพราะมือของเจ้าเอง 12 เวลาเจ้าทำไร่พรวนดิน พืชผลจะไม่ให้ผลแก่เจ้าอีกต่อไป เจ้าจะหลบหนีและซัดเซพเนจรไปในโลก” 13 คาอินพูดกับพระผู้เป็นเจ้าว่า “โทษของข้าพเจ้าสาหัสเกินที่ข้าพเจ้าจะรับได้ 14 ดูเถิด วันนี้พระองค์ขับไล่ข้าพเจ้าออกจากแผ่นดิน ข้าพเจ้าก็ต้องไปให้พ้นหน้าพระองค์ ข้าพเจ้าจะหลบหนีและซัดเซพเนจรไปในโลก ใครก็ตามที่พบข้าพเจ้าจะฆ่าข้าพเจ้าเสีย” 15 แล้วพระผู้เป็นเจ้ากล่าวกับเขาว่า “ไม่ใช่อย่างนั้นหรอก ถ้าใครฆ่าคาอิน เขาจะได้รับโทษคืน 7 เท่าเป็นการแก้แค้น” แล้วพระผู้เป็นเจ้าทำเครื่องหมายไว้ที่ตัวคาอิน เพื่อว่าเวลาผู้ใดพบกับเขา จะได้ไม่ฆ่าเขา 16 คาอินก็ไปจนพ้นหน้าพระผู้เป็นเจ้า แล้วไปอาศัยอยู่ที่ดินแดนแห่งโนดทางทิศตะวันออกของเอเดน

การเริ่มของวัฒนธรรม

17 คาอินสมสู่อยู่กับภรรยาของตน นางตั้งครรภ์และคลอดบุตรชื่อเอโนค เขาสร้างเมืองขึ้นเมืองหนึ่ง และตั้งชื่อเมืองตามชื่อของบุตรชายคือ เอโนค 18 เอโนคมีบุตรชื่ออิราด และอิราดเป็นบิดาของเมหุยาเอล เมหุยาเอลเป็นบิดาของเมธูชาเอล เมธูชาเอลเป็นบิดาของลาเมค 19 ลาเมคมีภรรยา 2 คน คนหนึ่งชื่ออาดาห์ อีกคนหนึ่งชื่อศิลลาห์ 20 อาดาห์คลอดบุตรชื่อยาบาล ซึ่งเป็นบิดาของกลุ่มคนที่อาศัยอยู่ในกระโจมและเป็นเจ้าของปศุสัตว์ 21 เขามีน้องชายชื่อยูบาล ยูบาลเป็นบรรพบุรุษของบรรดาผู้เล่นพิณสิบสายและปี่ 22 ส่วนศิลลาห์คลอดบุตรชายเช่นกัน ชื่อทูบัลคาอินเป็นช่างตีเหล็กและทองสัมฤทธิ์ซึ่งใช้ประดิษฐ์เครื่องมือสารพัดชนิด น้องสาวของเขาชื่อนาอามาห์

23 ลาเมคพูดกับภรรยาของตนว่า

“อาดาห์และศิลลาห์ จงฟังเสียงของเรา
    ภรรยาลาเมคเอ๋ย จงเงี่ยหูฟังเราไว้
เราได้ฆ่าชายคนหนึ่งที่ทำให้เราบาดเจ็บ
    เด็กหนุ่มที่ขูดข่วนให้เราฟกช้ำ
24 ถ้ามีการแก้แค้นให้คาอินเป็น 7 เท่า
    การแก้แค้นให้ลาเมคจะเป็น 77 เท่า”

25 อาดัมสมสู่อยู่กับภรรยาของตนเรื่อยมา นางคลอดบุตรชายและตั้งชื่อเขาว่า เสท เพราะนางพูดว่า “พระเจ้าได้ให้ลูกอีกคนแทนอาเบล เพราะคาอินฆ่าเขา” 26 เสทได้บุตรชายคนหนึ่ง และตั้งชื่อเขาว่า เอโนช ในเวลานั้นมนุษย์เริ่มร้องเรียกพระนามของพระผู้เป็นเจ้า

เชื้อสายของอาดัม

บันทึกต่อไปนี้เป็นการลำดับเชื้อสายของอาดัม ในวันที่พระเจ้าสร้างมนุษย์ขึ้น พระองค์สร้างเขาขึ้นตามคุณลักษณะของพระเจ้า พระองค์สร้างทั้งชายและหญิง พระองค์ให้พรแก่พวกเขา และเรียกพวกเขาว่า มนุษย์ เมื่ออาดัมมีอายุได้ 130 ปี ก็มีบุตรชายคนหนึ่งตามคุณลักษณะและภาพลักษณ์ของเขาเอง และตั้งชื่อเขาว่า เสท หลังจากเสทเกิดแล้ว อาดัมมีชีวิตอยู่ต่อไปอีก 800 ปี และมีบุตรชายบุตรหญิงอีกหลายคน อาดัมมีอายุยืนถึง 930 ปี แล้วก็สิ้นชีวิต

เมื่อเสทมีอายุได้ 105 ปี ก็มีบุตรกำเนิดแก่เขาคือเอโนช หลังจากเอโนชเกิด เสทมีชีวิตอยู่ต่อไปอีก 807 ปี และมีบุตรชายบุตรหญิงอีกหลายคน เสทมีอายุยืนถึง 912 ปี แล้วก็สิ้นชีวิต

เมื่อเอโนชมีอายุได้ 90 ปี ก็มีบุตรกำเนิดแก่เขาคือเคนัน 10 หลังจากเคนันเกิด เอโนชมีชีวิตอยู่ต่อไปอีก 815 ปี มีบุตรชายบุตรหญิงอีกหลายคน 11 ก่อนสิ้นชีวิตเอโนชมีอายุยืนถึง 905 ปี

12 เมื่อเคนันมีอายุได้ 70 ปี ก็มีบุตรกำเนิดแก่เขาคือมาหะลาเลล 13 หลังจากมาหะลาเลลเกิด เคนันมีชีวิตอยู่ต่อไปอีก 840 ปี มีบุตรชายบุตรหญิงอีกหลายคน 14 เคนันมีอายุยืนถึง 910 ปี แล้วก็สิ้นชีวิต

15 เมื่อมาหะลาเลลมีอายุได้ 65 ปี ก็มีบุตรกำเนิดแก่เขาคือยาเรด 16 หลังจากยาเรดเกิด มาหะลาเลลมีชีวิตอยู่ต่อไปอีก 830 ปี มีบุตรชายบุตรหญิงอีกหลายคน 17 มาหะลาเลลมีอายุยืนถึง 895 ปี แล้วก็สิ้นชีวิต

18 เมื่อยาเรดมีอายุได้ 162 ปี ก็มีบุตรกำเนิดแก่เขาคือเอโนค 19 หลังจากเอโนคเกิด ยาเรดมีชีวิตอยู่ต่อไปอีก 800 ปี มีบุตรชายบุตรหญิงอีกหลายคน 20 ยาเรดมีอายุยืนถึง 962 ปี แล้วก็สิ้นชีวิต

21 เมื่อเอโนคมีอายุได้ 65 ปี ก็มีบุตรกำเนิดแก่เขาคือเมธูเสลาห์ 22 เอโนคดำเนินชีวิตในทางของพระเจ้า หลังจากเมธูเสลาห์เกิด เอโนคมีชีวิตอยู่ต่อไปอีก 300 ปี มีบุตรชายและบุตรหญิงอีกหลายคน 23 เอโนคมีอายุยืนถึง 365 ปี 24 เอโนคดำเนินชีวิตในทางของพระเจ้า และไม่มีใครเห็นหน้าเขาอีกเลย เพราะว่าพระเจ้ารับตัวเขาไป

25 เมื่อเมธูเสลาห์มีอายุได้ 187 ปี ก็มีบุตรกำเนิดแก่เขาคือลาเมค 26 หลังจากลาเมคเกิด เมธูเสลาห์มีชีวิตอยู่ต่อไปอีก 782 ปี มีบุตรชายบุตรหญิงอีกหลายคน 27 เมธูเสลาห์มีอายุยืนถึง 969 ปี แล้วก็สิ้นชีวิต

28 เมื่อลาเมคมีอายุได้ 182 ปี ก็มีบุตรชายกำเนิดแก่เขาคนหนึ่ง 29 และตั้งชื่อเขาว่า โนอาห์ พลางพูดว่า “พื้นดินที่พระผู้เป็นเจ้าได้สาปแช่งไว้เป็นเหตุให้เราต้องตรากตรำทำงาน และลูกคนนี้จะเป็นผู้แบ่งเบาภาระของเรา” 30 หลังจากโนอาห์เกิด ลาเมคมีชีวิตอยู่ต่อไปอีก 595 ปี และมีบุตรชายบุตรหญิงอีกหลายคน 31 ลาเมคมีอายุยืนถึง 777 ปี แล้วก็สิ้นชีวิต

32 เมื่อโนอาห์มีอายุได้ 500 ปี ก็มีบุตรชายกำเนิดแก่เขาคือเชม ฮามและยาเฟท

ความชั่วของมนุษยชาติ

เมื่อจำนวนมนุษย์เริ่มทวีขึ้นบนแผ่นดิน และให้กำเนิดบุตรหญิง บรรดาบุตรชายของพระเจ้าเห็นว่าพวกบุตรหญิงของมนุษย์งามนัก จึงเลือกไว้เป็นภรรยา แล้วพระผู้เป็นเจ้ากล่าวว่า “วิญญาณของเรามิได้ดำรงอยู่ในมนุษย์ตลอดกาล เพราะมนุษย์เป็นก็เพียงเนื้อหนัง และจะมีอายุเพียง 120 ปี” ในสมัยนั้นมีพวกเนฟิลอยู่บนแผ่นดินโลกแล้ว[h] ซึ่งต่อมาภายหลังก็ยังคงมีอยู่ เวลาบรรดาบุตรของพระเจ้าไปหลับนอนอยู่กับพวกบุตรหญิงของมนุษย์ พวกเขาก็ให้กำเนิดลูกหลานที่เป็นวีรบุรุษมีชื่อเสียงมาแต่ครั้งโบราณกาล

พระผู้เป็นเจ้าได้เห็นความชั่วมากมายในตัวมนุษย์บนแผ่นดินโลก และล้วนแต่มีใจคิดมุ่งร้ายอยู่ตลอดเวลา พระผู้เป็นเจ้ารู้สึกเสียใจที่ได้สร้างมนุษย์ขึ้นมาบนแผ่นดินโลก พระองค์เศร้าใจยิ่งนัก ดังนั้นพระผู้เป็นเจ้าจึงกล่าวว่า “เราจะกวาดล้างมนุษย์ที่เราได้สร้าง ทั้งมนุษย์ สัตว์ สัตว์เลื้อยคลาน และนกในอากาศให้สิ้นไปจากแผ่นดินโลก เพราะเราเสียใจที่เราได้สร้างพวกเขาขึ้นมา” แต่โนอาห์เป็นผู้ที่โปรดปรานในสายตาของพระผู้เป็นเจ้า

โนอาห์เป็นที่พอใจของพระเจ้า

การลำดับเชื้อสายของโนอาห์เป็นดังนี้ โนอาห์เป็นผู้มีความชอบธรรม และไร้ข้อตำหนิตลอดทั้งชีวิต โนอาห์ดำเนินชีวิตในทางของพระเจ้า 10 โนอาห์มีบุตรชาย 3 คนชื่อ เชม ฮาม และยาเฟท

11 แต่ว่าแผ่นดินโลกได้เสื่อมศีลธรรมลงในสายตาของพระเจ้า และเต็มด้วยความป่าเถื่อน 12 และพระเจ้ามองเห็นว่าคนบนแผ่นดินโลกไร้ศีลธรรม เพราะมนุษย์ทั้งปวงบนโลกล้วนแต่ประพฤติผิดศีลธรรม 13 พระเจ้ากล่าวกับโนอาห์ว่า “เราตัดสินใจจะทำให้ชีวิตของมนุษย์ทุกคนจบสิ้นลง เพราะมนุษย์ทำให้แผ่นดินโลกเต็มด้วยความป่าเถื่อน คอยดูเถิด เราจะทำลายพวกเขาจนหมดสิ้นไปจากแผ่นดินโลก 14 เจ้าจงต่อเรือใหญ่ด้วยไม้สนโกเฟอร์ให้ตัวเอง ภายในก็กั้นเป็นห้องๆ และใช้ชันยาเรือทั้งข้างในและข้างนอก 15 จงสร้างเรือตามนี้เถิด ให้เรือมีความยาว 300 ศอก กว้าง 50 ศอก และสูง 30 ศอก 16 ทำหลังคาเรือโดยมีช่องว่างลงมาจรดผนังตอนบนสุด 1 ศอก และตั้งประตูเรือที่ด้านข้าง มีชั้นล่าง ชั้นกลาง และชั้นบน 17 คอยดูเถิด เรานี่แหละจะบันดาลให้น้ำท่วมแผ่นดินโลก เพื่อทำลายร่างของสิ่งมีชีวิตทั้งปวงที่มีลมหายใจทั่วทั้งโลก ทุกสิ่งที่อยู่บนแผ่นดินโลกจะตาย 18 แต่เราจะทำพันธสัญญาระหว่างเรากับเจ้า และเจ้าจะเข้าไปในเรือใหญ่ ตัวเจ้าเองพร้อมกับบุตรชายของเจ้า ภรรยาของเจ้า และบุตรสะใภ้ของเจ้า 19 เจ้าจงพาสิ่งมีชีวิตทุกชนิดเข้าไปในเรือ ชนิดละคู่ ทั้งตัวผู้และตัวเมียเพื่อให้มีชีวิตรอดอยู่กับเจ้า 20 นกทุกชนิด สัตว์ทุกชนิด สัตว์เลื้อยคลานบนพื้นดินทุกชนิด ชนิดละคู่จะมาหาเจ้า เพื่อให้เจ้าดูแลให้มีชีวิตอยู่รอด 21 และจงสะสมของกินทุกชนิดสำหรับตัวเจ้า เพื่อใช้เป็นอาหารของเจ้าและของพวกสัตว์ด้วย” 22 โนอาห์กระทำตามนั้น เขาทำทุกสิ่งที่พระเจ้าสั่งเขา

น้ำท่วมครั้งใหญ่

ครั้นแล้ว พระผู้เป็นเจ้ากล่าวกับโนอาห์ว่า “จงเข้าไปในเรือใหญ่ ทั้งตัวเจ้าและทุกคนในครอบครัว เพราะเราเห็นแล้วว่า จากบรรดาผู้คนสมัยนี้ เจ้าเป็นคนที่มีความชอบธรรมในสายตาของเรา จงเอาสัตว์ที่สะอาดชนิดละ 7 คู่ ทั้งตัวผู้และคู่ของมันเอง และสัตว์ที่มีมลทิน[i]ชนิดละคู่ ทั้งตัวผู้และคู่ของมันเองไปกับเจ้า อีกทั้งนกในอากาศด้วย ตัวผู้และตัวเมียชนิดละ 7 คู่ เพื่อให้มีชีวิตคงไว้สืบพันธุ์ต่อไปทั่วทั้งแผ่นดินโลก เพราะว่าอีก 7 วัน เราจะให้ฝนตกบนแผ่นดินโลก 40 วัน 40 คืน และเราจะกวาดล้างสิ่งมีชีวิตทุกสิ่งที่เราได้สร้างไว้ ให้สิ้นไปจากแผ่นดิน” แล้วโนอาห์ก็ทำตามที่พระผู้เป็นเจ้าได้บัญชาทุกประการ

เวลาที่น้ำท่วมแผ่นดินโลก โนอาห์มีอายุได้ 600 ปี โนอาห์กับบุตรชาย ภรรยาของเขากับบุตรสะใภ้เข้าไปในเรือใหญ่ด้วยกัน เพื่อให้พ้นจากภัยน้ำท่วม บรรดาสัตว์ที่สะอาด และสัตว์ที่มีมลทิน พวกนกและทุกสิ่งที่เลื้อยคลานบนดิน เดินกันเป็นคู่ ทั้งตัวผู้และตัวเมียต่างก็เข้าไปในเรือใหญ่กับโนอาห์ ตามที่พระเจ้าได้บัญชาโนอาห์ไว้ 10 หลังจากนั้น 7 วันน้ำก็เริ่มท่วมแผ่นดินโลก

11 เมื่อโนอาห์อายุได้ 600 ปี ในวันที่สิบเจ็ดของเดือนที่สอง วันนั้นเอง บ่อน้ำพุทุกแห่งทะลักออกมาจากห้วงน้ำลึก และประตูน้ำในฟ้าสวรรค์ก็เปิดออก 12 แล้วฝนก็ตกลงบนแผ่นดินโลกตลอด 40 วัน 40 คืน 13 ในวันเดียวกันนั้นเอง โนอาห์กับเชม ฮาม และยาเฟท บุตรชายของเขา รวมทั้งภรรยาของโนอาห์และบุตรสะใภ้ทั้งสามก็เข้าไปในเรือใหญ่ด้วยกัน 14 ทั้งพวกเขาและสัตว์ป่าทั้งหมดตามชนิดของมัน สัตว์เลี้ยงทั้งหมดตามชนิดของมัน ทุกสิ่งที่เลื้อยคลานบนดินตามชนิดของมัน นกทั้งหลายตามชนิดของมันคือ นกทุกชนิด 15 สัตว์ที่มีชีวิตที่มีลมหายใจเดินกันเป็นคู่ๆ เข้าไปหาโนอาห์ในเรือใหญ่ 16 พวกที่ได้เข้าไปเป็นสัตว์ที่มีชีวิตตัวผู้และตัวเมีย พวกมันเข้าไปตามที่พระเจ้าได้บัญชาเขาไว้ ครั้นแล้วพระผู้เป็นเจ้าก็ปิดประตูให้โนอาห์

17 น้ำท่วมแผ่นดินโลกตลอด 40 วัน ระดับน้ำก็เพิ่มขึ้น ทำให้เรือใหญ่ลอยสูงเหนือแผ่นดินโลก 18 น้ำปริมาณมหาศาลเพิ่มขึ้นมา และได้ท่วมแผ่นดินโลกสูงขึ้นทุกที เรือใหญ่จึงลอยอยู่บนผิวน้ำ 19 และน้ำปริมาณมหาศาล ได้ท่วมแผ่นดินโลกจนท่วมเทือกเขาสูงทุกแห่งที่อยู่ใต้ฟ้าจนมิด 20 น้ำท่วมเหนือเทือกเขา ระดับน้ำสูงเกินยอดเขาขึ้นไปอีกประมาณ 15 ศอก 21 และสิ่งมีชีวิตที่เคยเคลื่อนไหวบนแผ่นดินโลกก็ตายสิ้น ไม่ว่าจะเป็นนก สัตว์เลี้ยง สัตว์ป่า สิ่งที่เลื้อยคลานบนดิน และมนุษย์ทุกคน 22 ทุกสิ่งที่หายใจเข้าออกทางจมูกในยามอาศัยอยู่บนพื้นที่แห้งล้วนตายหมด 23 พระองค์กวาดล้างสิ่งมีชีวิตทุกสิ่งที่อยู่บนพื้นดิน ทั้งมนุษย์ สัตว์ สัตว์เลื้อยคลาน และนกในอากาศ สิ่งเหล่านี้ถูกกวาดล้างไปจากแผ่นดินโลก จะมีเหลืออยู่ก็แต่โนอาห์และทุกชีวิตที่อยู่กับเขาในเรือใหญ่ 24 น้ำปริมาณมหาศาลท่วมจนมิดแผ่นดินโลกนานถึง 150 วัน

น้ำหยุดท่วม

แต่ว่าพระเจ้าระลึกถึงโนอาห์ สัตว์ป่า และสัตว์เลี้ยงทั้งปวงที่อยู่กับเขาในเรือใหญ่ จึงทำให้เกิดลมพัดบนแผ่นดินโลก และระดับน้ำก็ลดลง บ่อน้ำพุแห่งห้วงน้ำลึกและประตูน้ำในฟ้าสวรรค์ถูกปิด ฝนจากท้องฟ้าก็หยุด น้ำบนแผ่นดินโลกก็ลดระดับลงไปเรื่อยๆ หลังจาก 150 วันแล้ว ระดับน้ำก็ลดต่ำลง ในวันที่สิบเจ็ดของเดือนที่เจ็ด เรือใหญ่ได้ลอยไปเกยตื้นอยู่บนเทือกเขาอารารัต[j] น้ำลดระดับลงไปเรื่อยๆ จนถึงเดือนที่สิบ วันแรกของเดือนที่สิบ ยอดเขาเริ่มโผล่ให้เห็น

สี่สิบวันต่อมา โนอาห์เปิดหน้าต่างเรือใหญ่ที่เขาทำไว้ และปล่อยอีกาตัวหนึ่งออกไป มันบินไปมาจนกระทั่งน้ำแห้งไปจากแผ่นดินโลก แล้วโนอาห์ก็ปล่อยนกพิราบตัวหนึ่งให้ออกไป เพื่อดูว่าน้ำลดถึงผิวดินแล้วหรือยัง แต่นกพิราบไม่มีที่เกาะ จึงบินกลับมาหาเขาที่เรือใหญ่ เพราะว่าน้ำยังท่วมทั่วผิวแผ่นดินโลกอยู่ ดังนั้นเขาจึงยื่นมือให้นกเกาะและนำกลับเข้ามาอยู่ในเรือใหญ่กับเขาอีก 10 เขารอต่อไปอีก 7 วัน จึงได้ปล่อยให้นกพิราบบินออกไปจากเรือใหญ่อีกครั้ง 11 และนกก็กลับมาหาเขาในเวลาเย็น ดูเถิด มันคาบใบมะกอกเขียวสดที่จิกมาได้ โนอาห์จึงทราบว่าน้ำได้ลดลงจากแผ่นดินแล้ว 12 เขารอต่อไปอีก 7 วัน ครั้งนี้เมื่อเขาปล่อยนกพิราบออกไป มันไม่ได้บินกลับมาหาเขาอีกเลย

13 โนอาห์อายุได้ 601 ปี ในวันแรกของเดือนที่หนึ่ง น้ำได้แห้งเหือดไปจากแผ่นดินโลก โนอาห์จึงเปิดช่องหลังคาเรือใหญ่ออกและสังเกตเห็นว่าผิวดินแห้งแล้ว 14 วันที่ยี่สิบเจ็ดของเดือนที่สอง แผ่นดินโลกแห้งสนิท 15 แล้วพระเจ้ากล่าวกับโนอาห์ว่า 16 “จงออกไปจากเรือใหญ่ เจ้าจงให้ภรรยาของเจ้า บุตรชายและบุตรสะใภ้ของเจ้าไปกับเจ้า 17 พาสัตว์ป่าทั้งปวงที่อยู่กับเจ้าไปด้วย สัตว์ที่มีชีวิตอย่างพวกนก สัตว์เลี้ยง และสัตว์เลื้อยคลานที่สามารถเลื้อยได้บนดิน เพื่อจะได้แพร่พันธุ์ออกไปบนแผ่นดินโลก ให้มีลูกดกเพื่อทวีจำนวนขึ้นบนแผ่นดิน” 18 แล้วโนอาห์ก็ออกไป บุตรชาย ภรรยา และบุตรสะใภ้ก็ตามเขาไปด้วย 19 สัตว์ป่าทั้งหมด สัตว์เลื้อยคลาน นกทุกชนิด และทุกสิ่งที่คลานบนดินก็ออกไปจากเรือใหญ่เป็นหมู่ตามชนิดของมัน

สัญญาของพระเจ้าที่มีต่อโนอาห์

20 ครั้นแล้ว โนอาห์ก็สร้างแท่นบูชาถวายแด่พระผู้เป็นเจ้า และเลือกเอาสัตว์ที่สะอาดบางตัวในกลุ่มสัตว์เลี้ยงและนก ไปเผาที่แท่นบูชาเป็นของถวาย 21 เมื่อพระผู้เป็นเจ้าได้กลิ่นหอมอันน่าพอใจ พระผู้เป็นเจ้าคิดว่า “เราจะไม่สาปแช่งพื้นดินเพราะมนุษย์อีก ถึงแม้ว่ามนุษย์มีจิตใจชั่วร้ายตั้งแต่เยาว์วัย และเราจะไม่ทำลายสิ่งมีชีวิตทั้งหลายเหมือนกับที่เราได้ทำไปแล้วอีก 22 ตราบที่แผ่นดินโลกยังคงอยู่ ฤดูกาล เช่นฤดูหว่านเมล็ดกับฤดูเก็บเกี่ยว วันเวลาที่เหน็บหนาวและร้อนระอุ ฤดูร้อนกับฤดูหนาว วันและคืน ก็จะไม่มีวันหยุดลง”

Footnotes

  1. 1:26 รากศัพท์ในภาษาฮีบรู อาดาม มีความหมายว่า มนุษย์
  2. 1:27 มัทธิว 19:4; มาระโก 10:6
  3. 2:7 รากศัพท์ในภาษาฮีบรู อาดาม มีความหมายว่า มนุษย์, อาดามาห์ มีความหมายว่า ดิน
  4. 2:9 วิวรณ์ 22:2,19
  5. 2:23 รากศัพท์ในภาษาฮีบรู อิช มีความหมายว่า ชาย, อิชา มีความหมายว่า หญิง
  6. 2:24 มัทธิว 19:5; มาระโก 10:7,8
  7. 3:24 ทูตสวรรค์ผู้อารักขา
  8. 6:4 บางคนเข้าใจว่า เนฟิลเป็นพวกมนุษย์ยักษ์ ฉบับกันดารวิถี 13:33
  9. 7:2 คือสัตว์ที่พระเจ้าไม่นับว่าควรใช้เป็นอาหารสำหรับรับประทาน หรือใช้เป็นเครื่องสักการะได้
  10. 8:4 เทือกเขาอารารัตอยู่ในประเทศตุรกี