มัทธิว 21:23-23:39
Thai New Testament: Easy-to-Read Version
ผู้นำชาวยิวสงสัยเรื่องสิทธิอำนาจของพระเยซู
(มก. 11:27-33; ลก. 20:1-8)
23 พระเยซูเข้าไปในวิหาร เมื่อพระองค์กำลังสอนอยู่นั้น พวกหัวหน้านักบวชและพวกผู้นำอาวุโส เข้ามาถามพระองค์ว่า “แกมีสิทธิ์อะไรไปไล่พวกพ่อค้านั้น ใครให้สิทธิ์นี้กับแก”
24 พระเยซูตอบว่า “เราขอถามคุณเรื่องหนึ่งเหมือนกัน ถ้าคุณตอบเรา แล้วเราจะบอกว่าเราใช้สิทธิ์ของใครทำอย่างนี้ 25 ตอบหน่อยสิว่า พิธีจุ่มน้ำของยอห์นมาจากสวรรค์หรือมาจากมนุษย์” พวกหัวหน้านักบวชและพวกผู้นำอาวุโสต่างก็ปรึกษากันว่า “ถ้าเราตอบว่า ‘มาจากสวรรค์’ มันก็จะย้อนถามเราว่า ‘แล้วทำไมพวกคุณถึงไม่เชื่อยอห์นละ’ 26 แต่ถ้าเราตอบว่า ‘มาจากมนุษย์’ เราก็กลัวฝูงชนจะโกรธ เพราะพวกนั้นต่างก็เชื่อว่า ยอห์นเป็นผู้พูดแทนพระเจ้า”
27 พวกเขาจึงตอบพระเยซูว่า “ไม่รู้สิ” พระเยซูก็เลยบอกว่า “ถ้าอย่างนั้น เราก็จะไม่บอกเหมือนกัน ว่าเราใช้สิทธิ์ของใครในการทำสิ่งเหล่านี้”
เรื่องลูกชายสองคน
28 “บอกหน่อยว่า คุณคิดอย่างไรเกี่ยวกับเรื่องนี้ ชายคนหนึ่งมีลูกสองคน เขาบอกลูกชายคนโตว่า ‘ลูกพ่อ วันนี้ไปทำงานในไร่องุ่นของพ่อนะ’
29 เขาตอบว่า ‘ไม่ได้ครับ’ แต่ต่อมาเขาเปลี่ยนใจ แล้วไปทำงานในไร่องุ่น
30 จากนั้นพ่อไปบอกลูกชายอีกคนว่า ‘ลูกพ่อ วันนี้ไปทำงานในไร่องุ่นของพ่อนะ’ เขาตอบว่า ‘ครับพ่อ ผมจะไป’ แต่เขาก็ไม่ได้ไป”
31 “ลูกสองคนนี้ คนไหนที่เชื่อฟังพ่อของเขา” พวกหัวหน้าชาวยิวตอบว่า “ลูกคนแรก” พระเยซูจึงบอกพวกเขาว่า “เราจะบอกให้รู้ว่า คนเก็บภาษีและโสเภณีกำลังเข้าไปในอาณาจักรของพระเจ้าก่อนพวกคุณเสียอีก 32 ยอห์นได้มาชี้ให้เห็นว่า จะใช้ชีวิตที่ถูกต้องกับพระเจ้าได้อย่างไร พวกคุณก็ไม่ยอมเชื่อเขา แต่คนเก็บภาษีและโสเภณีกลับเชื่อยอห์น ถึงแม้คุณเห็นพวกเขาทำอย่างนี้แล้ว แต่ก็ยังไม่ยอมกลับตัวกลับใจมาเชื่อยอห์นเลย
เรื่องเปรียบเทียบเกี่ยวกับชาวสวนชั่ว
(มก. 12:1-12; ลก. 20:9-19)
33 ฟังเรื่องเปรียบเทียบนี้ให้ดี เจ้าของที่แปลงหนึ่งได้ทำสวนองุ่นไว้ ล้อมรั้วไว้รอบ ขุดบ่อย่ำองุ่น[a] และสร้างหอคอย แล้วให้ชาวสวนมาเช่าสวนองุ่นนั้น ส่วนตัวเขาเดินทางไปต่างประเทศ 34 เมื่อถึงฤดูเก็บองุ่น เจ้าของสวนส่งพวกทาสของเขามารับส่วนแบ่งองุ่นจากพวกคนเช่า
35 แต่พวกคนเช่าจับทาสของเขาไว้ ทุบตีคนหนึ่ง ฆ่าอีกคนหนึ่ง แล้วเอาหินขว้างอีกคนหนึ่ง 36 เจ้าของสวนจึงส่งพวกทาสมามากกว่าครั้งแรก แต่ก็ถูกพวกคนเช่าสวน ทำเหมือนเดิม 37 สุดท้าย เจ้าของสวนจึงส่งลูกชายของเขามาเอง เขาว่า ‘พวกนั้นจะต้องเคารพยำเกรงลูกชายของเราแน่ๆ’
38 แต่เมื่อพวกคนเช่าเห็นลูกชายของเขามา ก็พูดกันว่า ‘นี่ไง ผู้รับมรดก เร็วเข้าพวกเรา ฆ่ามันซะ สวนนี้จะได้ตกเป็นของพวกเรา’ 39 พวกคนเช่าสวนจึงจับตัวลูกชายเจ้าของสวนโยนออกไปนอกสวนแล้วฆ่าเขา 40 เมื่อเจ้าของสวนมา เขาจะทำอย่างไรกับคนเช่าพวกนี้”
41 พวกหัวหน้านักบวชและพวกผู้นำอาวุโสตอบว่า “เขาจะต้องฆ่าคนชั่วพวกนั้นอย่างโหดเหี้ยม และให้ชาวสวนคนอื่นที่ยอมแบ่งองุ่นให้กับเขาเมื่อถึงฤดูเก็บเกี่ยวมาเช่าต่อ”
42 พระเยซูบอกพวกเขาว่า “พวกคุณไม่เคยอ่านพระคัมภีร์ข้อนี้หรือที่ว่า
‘หินก้อนนี้ที่ช่างก่อสร้างทิ้งแล้ว กลับกลายมาเป็นหินก้อนที่สำคัญที่สุด
องค์เจ้าชีวิตทำให้เป็นอย่างนั้น สำหรับเราแล้วนี่เป็นเรื่องที่เหลือเชื่อจริงๆ’[b]
43 เราจะบอกให้รู้ว่า อาณาจักรของพระเจ้าจะถูกริบเอาไปจากคุณ และยกไปให้กับคนที่ทำตามความต้องการของพระเจ้า 44 คนที่ล้มทับหินนี้ ร่างกายก็จะหักเป็นชิ้นๆ แต่ถ้าถูกหินนี้ล้มทับ คนนั้นก็จะแหลกละเอียด”[c]
45 เมื่อพวกหัวหน้านักบวชและพวกฟาริสีได้ยินเรื่องเปรียบเทียบนี้ ก็รู้ทันทีว่าพระองค์กำลังว่าพวกเขาเป็นคนเช่าชั่วร้ายพวกนั้น 46 พวกเขาจึงหาทางที่จะจับพระเยซู แต่ก็กลัวฝูงชน เพราะพวกนี้เชื่อว่าพระองค์เป็นผู้พูดแทนพระเจ้า
เรื่องคนที่ได้รับเชิญมางานเลี้ยง
(ลก. 14:15-24)
22 พระเยซูเล่าเรื่องเปรียบเทียบให้พวกเขาฟังอีกว่า 2 “อาณาจักรแห่งสวรรค์เปรียบเหมือนกับกษัตริย์ ที่ได้เตรียมงานแต่งงานให้กับลูกชาย 3 แล้วกษัตริย์ได้เชิญแขกเหรื่อมากมาย เมื่อเตรียมงานเสร็จแล้ว กษัตริย์ส่งทาสไปบอกแขกเหล่านั้นว่า มาได้แล้ว แต่กลับไม่มีใครมา 4 กษัตริย์จึงส่งทาสคนอื่นไปอีกให้ไปบอกพวกแขกเหรื่อนั้นว่า ‘เราได้ฆ่าวัวและลูกวัวอ้วนพีไว้แล้ว ทุกอย่างพร้อมแล้ว มางานเลี้ยงได้แล้ว’
5 แต่ไม่มีใครสนใจ ต่างก็ไปทำธุระของตัวเอง คนหนึ่งไปทำสวน อีกคนหนึ่งไปทำการค้า 6 คนที่เหลือก็จับพวกทาสมาทุบตีและฆ่าทิ้ง 7 กษัตริย์โกรธแค้นมาก ก็เลยส่งกองทัพมาทำลายคนที่ฆ่าพวกทาสของเขา และเผาเมืองของพวกนั้นทิ้งไป
8 แล้วกษัตริย์พูดกับพวกทาสว่า ‘งานแต่งงานก็เตรียมไว้พร้อมแล้ว แต่แขกที่เราเชิญนั้นไม่เหมาะสมที่จะมางานนี้ 9 ออกไปตามหัวถนนต่างๆเจอใครก็เชิญมาให้หมด’ 10 พวกทาสจึงออกไปตามถนนและเชิญทุกคนที่พวกเขาเจอทั้งดีและชั่ว จนมีแขกเต็มห้องโถง
11 เมื่อกษัตริย์เข้ามาดูแขกเหรื่อ ก็เห็นชายคนหนึ่งแต่งตัวไม่เหมาะสมกับงาน 12 พระองค์จึงพูดว่า ‘เพื่อนเอ๋ย เข้ามาได้อย่างไร ชุดใส่สำหรับงานแต่งก็ไม่มี’ ชายคนนั้นก็ไม่มีคำแก้ตัว 13 พระองค์จึงสั่งพวกทาสว่า ‘มัดมือมัดเท้ามัน แล้วโยนออกไปที่มืดข้างนอกที่มีเสียงคนร้องไห้โหยหวนอย่างเจ็บปวด’
14 มีหลายคนที่ได้รับเชิญมา แต่มีน้อยคนที่ถูกเลือกไว้”
คำถามเกี่ยวกับการเสียภาษี
(มก. 12:13-17; ลก. 20:20-26)
15 แล้วพวกฟาริสีก็ออกไปวางแผนหาทางจับผิดคำพูดของพระเยซู 16 พวกเขาจึงส่งลูกศิษย์ของตัวเอง กับพวกที่สนับสนุนกษัตริย์เฮโรดไปถามพระเยซูว่า “อาจารย์ เรารู้ว่าอาจารย์เป็นคนซื่อสัตย์และสอนความจริงที่พระเจ้าต้องการให้คนทำตาม อาจารย์ไม่กลัวว่าคนอื่นจะคิดอย่างไร เพราะอาจารย์ไม่เห็นแก่หน้าใครอยู่แล้ว 17 ถ้าอย่างนั้นช่วยบอกหน่อยว่า มันถูกต้องตามกฎหรือเปล่าที่จะต้องจ่ายภาษีให้กับซีซาร์”
18 แต่พระเยซูรู้ถึงเจตนาที่ชั่วร้ายของพวกเขา พระองค์ย้อนว่า “ไอ้พวกหน้าซื่อใจคด แกพยายามหาเรื่องจับผิดเราทำไม 19 เอาเหรียญที่ใช้เสียภาษีมาให้ดูหน่อย” พวกเขายื่นเหรียญเงินให้พระองค์เหรียญหนึ่ง 20 พระองค์ถามว่า “นี่รูปใคร และมีชื่อใครอยู่บนเหรียญนี้”
21 พวกเขาตอบว่า “ซีซาร์” พระองค์บอกพวกเขาว่า “ของๆซีซาร์ก็ให้กับซีซาร์ ของๆพระเจ้าก็ให้กับพระเจ้า”
22 เมื่อได้ยินอย่างนั้น พวกเขาก็ตะลึงอึ้งไปเลย แล้วพากันจากไป
พวกสะดูสีจับผิดพระเยซู
(มก. 12:18-27; ลก. 20:27-40)
23 ในวันเดียวกันนั้น พวกสะดูสีซึ่งเป็นพวกที่เชื่อว่าคนตายแล้วจะไม่ฟื้น ได้มาถามพระเยซูว่า 24 “อาจารย์ โมเสสบอกพวกเราว่า ‘ถ้าชายคนไหนตายและยังไม่มีลูก น้องชายของเขาต้องแต่งกับหญิงม่ายคนนั้น จะได้มีลูกไว้สืบสกุลให้กับพี่ชายของเขา’ 25 ครั้งหนึ่ง มีพี่น้องอยู่เจ็ดคน พี่ชายคนโตแต่งงานแล้วตายไป แต่ยังไม่มีลูก เขาได้ทิ้งภรรยาของเขาไว้ให้กับน้องชาย 26 แล้วน้องชายคนที่สองก็ตายและไม่มีลูก น้องชายคนที่สามก็เหมือนกันไปจนถึงคนที่เจ็ด 27 ในที่สุดหญิงคนนั้นก็ตายด้วย 28 ในวันที่ทุกคนฟื้นขึ้นมาจากความตาย ทีนี้เธอจะเป็นภรรยาของใคร ในเมื่อทั้งเจ็ดคนนั้นก็เคยเป็นสามีของเธอ”
29 พระเยซูตอบว่า “พวกคุณนี่ผิดถนัดเลย นี่เป็นเพราะพวกคุณไม่เข้าใจพระคัมภีร์ และไม่รู้จักฤทธิ์เดชของพระเจ้า 30 เมื่อคนฟื้นขึ้นจากความตายนั้น ก็จะไม่มีการแต่งงาน หรือยกให้เป็นผัวเมียกันอีกแล้ว แต่พวกเขาจะเป็นเหมือนทูตสวรรค์ 31 ในเรื่องการฟื้นขึ้นจากความตายนั้น พวกคุณไม่เคยอ่านเลยหรือ ที่พระเจ้าพูดว่า 32 ‘เราเป็นพระเจ้าของอับราฮัม พระเจ้าของอิสอัค และพระเจ้าของยาโคบ’[d] ดังนั้นพระเจ้าเป็นพระเจ้าของคนที่มีชีวิต ไม่ใช่ของคนตาย”
33 เมื่อฝูงชนได้ยินอย่างนี้ ต่างก็ทึ่งในคำสอนของพระองค์
กฎข้อไหนสำคัญที่สุด
(มก. 12:28-34; ลก. 10:25-28)
34 เมื่อพวกฟาริสีได้ยินว่าพระเยซูทำให้พวกสะดูสีถึงกับอึ้งไปเลย พวกเขาก็มาชุมนุมกัน 35 คนหนึ่งในพวกเขาที่คล่องกฎของโมเสสมาก ได้มาทดสอบพระเยซูว่า 36 “อาจารย์ ในกฎของโมเสส คำสั่งข้อไหนสำคัญที่สุดครับ”
37 พระเยซูจึงตอบว่า “‘รักองค์เจ้าชีวิตพระเจ้าของคุณอย่างสุดใจ สุดจิต และสิ้นสุดความคิด’[e] 38 นี่คือคำสั่งข้อแรกและข้อสำคัญที่สุด 39 ส่วนคำสั่งข้อสองที่สำคัญรองลงมาคือ ‘รักเพื่อนบ้านเหมือนรักตัวเอง’[f] 40 กฎปฏิบัติทั้งหมดและสิ่งที่ผู้พูดแทนพระเจ้า เขียนไว้ ก็ขึ้นอยู่กับคำสั่งสองข้อนี้”
พระเยซูถามว่าพระคริสต์เป็นใคร
(มก. 12:35-37; ลก. 20:41-44)
41 ขณะที่พวกฟาริสียังชุมนุมกันอยู่ที่นั่น พระเยซูได้ถามพวกเขาว่า 42 “คิดอย่างไรเกี่ยวกับพระคริสต์ เขาเป็นลูกของใคร” พวกฟาริสีตอบว่า “เป็นลูกของดาวิด”
43 พระเยซูจึงถามต่อว่า “แล้วทำไมดาวิด ซึ่งพูดโดยอำนาจของพระวิญญาณบริสุทธิ์ ถึงเรียกเขาว่า ‘องค์เจ้าชีวิต’ และพูดว่า
44 ‘พระเจ้าพูดกับองค์เจ้าชีวิตของผมผู้เป็นพระคริสต์ว่า
“นั่งลงทางขวามือของเรา
จนกว่าเราจะทำให้ศัตรูของท่านถูกเหยียบอยู่ใต้เท้าของท่าน”’[g]
45 ถ้าดาวิดเรียกพระคริสต์ว่า ‘องค์เจ้าชีวิต’ แล้วเขาจะเป็นลูกของดาวิดได้อย่างไร”
46 ไม่มีใครตอบพระเยซูได้สักคน นับตั้งแต่วันนั้นมาก็ไม่มีใครกล้าถามอะไรพระองค์อีกเลย
พระเยซูเตือนให้รู้เกี่ยวกับผู้นำศาสนา
(มก. 12:38-40; ลก. 11:37-52; 20:45-47)
23 พระเยซูพูดกับฝูงชน และพวกศิษย์ของพระองค์ว่า 2 “พวกครูสอนกฎปฏิบัติและพวกฟาริสีมีอำนาจในการสอนพวกคุณเรื่องกฎของโมเสส 3 ให้เชื่อฟังและทำตามสิ่งที่เขาสอนนั้น แต่อย่าไปทำตามสิ่งที่เขาทำเลย เพราะเขาสอนอย่างหนึ่งแต่ทำอีกอย่างหนึ่ง 4 เขาสร้างกฎที่เป็นภาระหนักอึ้งให้คนอื่นแบกไว้ แต่ตัวเขาเองไม่ช่วยยกแม้แต่นิ้วเดียว
5 เขาทำทุกอย่างเพื่ออวดคนเท่านั้น เขาทำกล่องใส่ข้อพระคัมภีร์[h] อันใหญ่กว่าธรรมดามาผูกที่หน้าผากและข้อมือ และเอาพวกพู่ห้อยที่ยาวกว่าธรรมดามาแขวนที่ชายเสื้อคลุม 6 เขาชอบนั่งอยู่หัวโต๊ะในงานเลี้ยง และนั่งในที่สำคัญที่สุดในที่ประชุม 7 พวกเขาชอบให้คนทำความเคารพเขาที่กลางตลาด และชอบให้คนเรียกว่า ‘อาจารย์’
8 อย่ายอมให้ใครเรียกคุณว่า ‘อาจารย์’ เพราะคุณมีอาจารย์เพียงคนเดียว และพวกคุณก็เป็นพี่น้องกันหมด 9 อย่าเรียกใครบนโลกนี้ว่า ‘บิดา’ เพราะคุณมีพระบิดาเพียงองค์เดียวอยู่บนสวรรค์ 10 และอย่าให้ใครมาเรียกคุณว่า ‘ครู’ เพราะคุณมีครูเพียงคนเดียวคือพระคริสต์ 11 คนที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในหมู่พวกคุณต้องเป็นผู้รับใช้ 12 คนที่ยกตัวเองให้ใหญ่กว่าคนอื่น จะถูกกดให้ต่ำต้อยลง คนที่ถ่อมตัวลง จะถูกเชิดชูให้ยิ่งใหญ่ขึ้น
13 น่าละอายจริงๆพวกเจ้าที่เป็นครูสอนกฎปฏิบัติและพวกฟาริสีหน้าซื่อใจคด[i] เจ้าปิดหนทางคนอื่นไม่ให้ไปถึงอาณาจักรแห่งสวรรค์ ตัวเจ้าเองไม่ยอมเข้าไป แล้วยังไปขัดขวางไม่ให้คนอื่นที่เขาพยายามเข้าไปอีกด้วย 14 [j]
15 น่าละอายจริงๆพวกเจ้าที่เป็นครูสอนกฎปฏิบัติและพวกฟาริสีหน้าซื่อใจคด พวกเจ้าอุตส่าห์ข้ามน้ำข้ามทะเล เพื่อจะหาคนมานับถือศาสนาอย่างเจ้า แต่พอเจ้าได้เขามาแล้ว เจ้ากลับทำให้เขาสมควรที่จะตกนรกมากกว่าเจ้าเองถึงสองเท่า
16 น่าละอายจริงๆพวกเจ้าที่เป็นคนนำทางตาบอด พวกเจ้าสอนว่า ‘ถ้าใครสาบานต่อวิหาร ก็ไม่มีผลอะไรเลย แต่ถ้าใครสาบานต่อทองคำในวิหารนั้น เขาจะต้องทำตามคำสาบานนั้น’ 17 เจ้าคนโง่ตาบอด อันไหนสำคัญกว่ากัน ระหว่างทองคำกับวิหารที่ทำให้ทองคำนั้นศักดิ์สิทธิ์ 18 พวกเจ้ายังพูดอีกว่า ‘ถ้าใครสาบานต่อแท่นบูชา มันไม่มีผลอะไรเลย แต่ถ้าใครสาบานต่อเครื่องเซ่นไหว้บนแท่นบูชานั้น เขาต้องทำตามคำสาบานนั้น’ 19 เจ้ามันตาบอดจริงๆ อะไรสำคัญกว่ากัน ระหว่างของเซ่นไหว้กับแท่นบูชาที่ทำให้ของนั้นศักดิ์สิทธิ์ 20 ด้วยเหตุนี้ คนที่สาบานต่อแท่นบูชา ก็สาบานต่อแท่นบูชารวมถึงทุกสิ่งที่อยู่บนแท่นบูชานั้นด้วย 21 คนที่สาบานต่อวิหาร ก็สาบานต่อวิหารรวมถึงพระองค์ผู้ที่อยู่ในวิหารนั้นด้วย 22 คนที่ได้สาบานต่อสวรรค์ ก็สาบานต่อบัลลังก์ของพระเจ้ารวมถึงพระองค์ที่นั่งอยู่บนบัลลังก์นั้นด้วย
23 น่าละอายจริงๆพวกเจ้าที่เป็นครูสอนกฎปฏิบัติและพวกฟาริสีหน้าซื่อใจคด พวกเจ้าได้ให้หนึ่งในสิบส่วนของทุกอย่างที่เจ้ามีกับพระเจ้า แม้แต่สะระแหน่ ลูกผักชี และยี่หร่า เจ้าก็ให้ แต่พวกเจ้ากลับมองข้ามเรื่องที่สำคัญกว่าในกฎปฏิบัตินั้น คือความยุติธรรม ความเมตตา และความซื่อสัตย์ การให้หนึ่งในสิบส่วนนั้นก็ดีอยู่แล้ว แต่ก็ไม่ควรทิ้งคำสอนที่สำคัญกว่านี้ด้วยเหมือนกัน 24 เจ้าคนนำทางตาบอด พวกเจ้ากรองแมลงออกจากน้ำดื่ม แต่กลับกลืนอูฐเข้าไปทั้งตัว[k]
25 น่าละอายจริงๆพวกเจ้าที่เป็นครูสอนกฎปฏิบัติและพวกฟาริสีหน้าซื่อใจคด พวกเจ้าได้ล้างถ้วยล้างจานแต่เพียงภายนอก แต่ภายในมีแต่ความโลภและกิเลสเต็มไปหมด 26 เจ้าฟาริสีตาบอด ทำความสะอาดภายในถ้วยชามเสียก่อน แล้วภายนอกก็จะสะอาดไปเอง
27 น่าละอายจริงๆพวกเจ้าที่เป็นครูสอนกฎปฏิบัติและพวกฟาริสีหน้าซื่อใจคด พวกเจ้าเหมือนกับอุโมงค์ฝังศพที่ทาสีขาว ข้างนอกดูสวยงาม แต่ข้างในเต็มไปด้วยกระดูกคนตายและสิ่งสกปรกสารพัด 28 เหมือนกับพวกเจ้า ที่ภายนอกคนเห็นว่าเป็นคนที่ทำตามใจพระเจ้า แต่ภายในเต็มไปด้วยความหน้าซื่อใจคดและความชั่วร้าย
29 น่าละอายจริงๆพวกเจ้าที่เป็นครูสอนกฎปฏิบัติและพวกฟาริสีหน้าซื่อใจคด พวกเจ้าได้สร้างอุโมงค์ฝังศพให้กับพวกผู้พูดแทนพระเจ้า และตกแต่งอนุสาวรีย์ให้กับคนเหล่านั้นที่ทำตามใจพระเจ้า 30 แล้วเจ้าก็พูดว่า ‘ถ้าเราอยู่ในสมัยบรรพบุรุษของเรานั้น เราจะไม่ยอมร่วมมือกับเขาในการฆ่าพวกผู้พูดแทนพระเจ้าพวกนี้แน่’ 31 นี่แสดงให้เห็นว่า พวกเจ้ายอมรับว่า ตัวเองเป็นลูกหลานของคนพวกนั้นที่ฆ่าผู้พูดแทนพระเจ้า 32 ดังนั้นไปทำความบาปที่บรรพบุรุษเจ้าได้เริ่มไว้ให้เสร็จเสียสิ
33 เจ้าพวกงูร้าย พวกอสรพิษ พวกเจ้าจะหนีนรกไปพ้นได้อย่างไร 34 เราส่งพวกผู้พูดแทนพระเจ้า คนที่มีปัญญา และครูมาหาเจ้า แล้วพวกเจ้าก็จับพวกเขาไปฆ่าบ้าง ไปตรึงบนไม้กางเขนบ้าง ไปเฆี่ยนในที่ประชุมบ้าง และไล่ล่าพวกเขาหนีจากเมืองหนึ่งไปยังอีกเมืองหนึ่งบ้าง 35 ดังนั้นเลือดของคนที่ทำตามใจพระเจ้าที่หลั่งไหลลงบนโลกนี้จะตกลงบนพวกเจ้า ตั้งแต่เลือดของอาเบลจนถึงเลือดของเศคาริยาห์[l] ลูกของเบเรคิยาห์ที่โดนพวกเจ้าฆ่าตายระหว่างวิหารกับแท่นบูชา 36 เราจะบอกให้รู้ว่า ผลกรรมเหล่านั้นจะตกอยู่กับคนในสมัยนี้อย่างแน่นอน
พระเยซูเตือนคนในเมืองเยรูซาเล็ม
(ลก. 13:34-35)
37 เยรูซาเล็ม เยรูซาเล็มเอ๋ย เจ้าได้ฆ่าพวกผู้พูดแทนพระเจ้า และเอาหินขว้างคนที่พระเจ้าส่งมาหาเจ้าจนตาย มีหลายครั้งที่เราอยากจะโอบลูกๆของเจ้าเข้ามาเหมือนแม่ไก่กกลูกอยู่ใต้ปีกของมัน แต่เจ้าก็ไม่ยอม 38 ตอนนี้บ้านของพวกเจ้าจะถูกทิ้งให้รกร้าง 39 จากนี้ไป พวกเจ้าจะไม่ได้เห็นเราอีกจนกว่าพวกเจ้าจะพูดว่า ‘ขอให้พระเจ้าอวยพรผู้ที่มาในนามขององค์เจ้าชีวิต’[m]”
Footnotes
- 21:33 บ่อย่ำองุ่น หมายถึง สถานที่ที่ขุดลงไปในหินเพื่อใช้สำหรับย่ำองุ่น และเก็บน้ำองุ่นไปทำเหล้าองุ่น
- 21:42 อ้างมาจากหนังสือ สดุดี 118:22-23
- 21:44 สำเนากรีกบางฉบับไม่มีข้อนี้
- 22:32 เราเป็นพระเจ้า … ยาโคบ อับราฮัม อิสอัค ยาโคบ คือ บรรพบุรุษที่สำคัญมากของชนชาติอิสราเอลในสมัยพระคัมภีร์เดิม อ้างมาจากหนังสือ อพยพ 3:6 ตอนที่พระเจ้าพูดกับโมเสสนี้ สามคนนี้ตายไปนานแล้ว แสดงว่ามีการฟื้นคืนชีวิตหลังความตาย
- 22:37 อ้างมาจากหนังสือ เฉลยธรรมบัญญัติ 6:5
- 22:39 อ้างมาจากหนังสือ เลวีนิติ 19:18
- 22:44 อ้างมาจากหนังสือ สดุดี 110:1
- 23:5 กล่องใส่ข้อพระคัมภีร์ คือ กล่องหนังใบเล็กๆบรรจุข้อพระคัมภีร์ 4 ชุด ดูได้จากหนังสืออพยพ 13:1-10, 11-16 และหนังสือเฉลยธรรมบัญญัติ 6:4-9; 11:13-21 ชาวยิวบางคนมัดกล่องพระคัมภีร์ไว้ที่หน้าผากและแขนซ้ายเพื่อแสดงให้เห็นว่าเขาเคร่งศาสนา
- 23:13 หน้าซื่อใจคด คำนี้แปลตรงๆจากภาษากรีกว่า นักแสดง
- 23:14 ข้อนี้ สำเนากรีกบางฉบับ ได้เติมข้อที่ 14 ว่า “น่าละอายจริงๆพวกเจ้าที่เป็นครูสอนกฎปฏิบัติและพวกฟาริสี ไอ้พวกหน้าซื่อใจคด พวกเจ้าได้ยึดบ้านของหญิงม่าย และแกล้งอธิษฐานเสียยืดยาวเพื่อให้คนอื่นๆเห็น ดังนั้นพวกเจ้าจะได้รับโทษหนักยิ่งขึ้น” ดูจากหนังสือ มาระโก 12:40 และ ลูกา 20:47
- 23:24 กรองแมลง … ทั้งตัว หมายความว่า “พวกคุณกังวลเรื่องความผิดเล็กๆน้อยๆแต่กลับทำบาปที่ร้ายแรงที่สุด”
- 23:35 เลือด … เศคาริยาห์ ในพระคัมภีร์เดิม ปฐมกาล 4:8 และ 2 พงศาวดาร 24:21 อาเบลและเศคาริยาห์เป็นคนแรกและคนสุดท้ายที่ถูกฆ่า
- 23:39 อ้างมาจากหนังสือ สดุดี 118:26
พระคริสตธรรมคัมภีร์: ฉบับอ่านเข้าใจง่าย ภาคคำสัญญาใหม่ © 2015 Bible League International