Print Page Options
Previous Prev Day Next DayNext

Bible in 90 Days

An intensive Bible reading plan that walks through the entire Bible in 90 days.
Duration: 88 days
Thai New Testament: Easy-to-Read Version (ERV-TH)
Version
2 พงศ์กษัตริย์ 4:38-15:26

เอลีชากับน้ำแกงที่เป็นพิษ

38 เมื่อเอลีชากลับมาที่กิลกาล และเกิดภาวะอดอยากแห้งแล้งไปทั่วแผ่นดินนั้น ในขณะที่กลุ่มของผู้พูดแทนพระเจ้ากำลังชุมนุมอยู่กับเอลีชา เอลีชาบอกกับคนใช้ของเขาว่า “ตั้งหม้อใบใหญ่และทำน้ำแกงให้กับคนเหล่านี้กินเถิด”

39 คนหนึ่งในกลุ่มพวกเขาได้ออกไปในท้องทุ่ง เพื่อไปเก็บสมุนไพรและได้พบกับน้ำเต้าป่าเถาหนึ่งในป่า เขาได้เก็บผลน้ำเต้าห่อไว้ในเสื้อคลุมจนเต็ม เมื่อเขากลับมาถึง เขาได้หั่นมันใส่ลงไปในหม้อน้ำแกง โดยไม่รู้ว่าเป็นผลอะไร

40 เขาตักน้ำแกงแจกจ่ายให้คนเหล่านั้น แต่เมื่อพวกเขาเริ่มกินมัน พวกเขาก็ร้องออกมาว่า “คนของพระเจ้าเอ๋ย ความตายอยู่ในหม้อใบนี้” และพวกเขาก็ไม่ยอมกินมัน

41 เอลีชาพูดว่า “เอาแป้งมาให้หน่อย” เขาใส่แป้งลงไปในหม้อนั้นและพูดว่า “ตักมันให้กับคนเหล่านี้กินเถิด”

และน้ำแกงหม้อนั้นก็ไม่เป็นอันตรายใดๆ

เอลีชาเลี้ยงกลุ่มผู้พูดแทนพระเจ้า

42 ชายคนหนึ่งที่มาจากบาอัล-ชาลิชาห์นำอาหารที่ทำจากการเก็บเกี่ยวจากผลผลิตแรกของปี มาให้กับคนของพระเจ้าคนนั้น คือมีขนมปังบาร์เลย์ยี่สิบก้อน พร้อมกับปลายเมล็ดข้าวใหม่ในกระสอบของเขา เอลีชาพูดว่า “นำมันไปแจกจ่ายให้กับประชาชนกินเถิด”

43 แต่คนใช้ของเอลีชาถามว่า “อาหารแค่นี้จะพอแจกให้กับคนเป็นร้อยได้ยังไงกัน”

แต่เอลีชาตอบว่า “นำไปแจกให้ประชาชนกินเถิด เพราะพระยาห์เวห์พูดอย่างนี้ว่า ‘พวกเขาจะได้กินมันและยังมีเหลือ’”

44 แล้วเขาก็แจกจ่ายอาหารให้กับคนเหล่านั้น และพวกเขาก็กินกันและยังมีอาหารเหลืออยู่อีก เป็นไปตามคำพูดของพระยาห์เวห์

นาอามานหายจากโรคผิวหนังร้ายแรง

ในเวลานั้น นาอามานเป็นแม่ทัพของกษัตริย์แห่งอารัม เขาคือผู้ยิ่งใหญ่ในสายตาของเจ้านาย[a] ของเขาและเขาได้รับความนับถืออย่างสูง เพราะพระยาห์เวห์ได้ให้ชัยชนะแก่อารัมผ่านทางเขา เขาเป็นทหารกล้า แต่เขาเป็นโรคผิวหนังร้ายแรง

ขณะนั้นเองมีกองโจรจากอารัมออกไปที่อิสราเอล และจับหญิงสาวคนหนึ่งมาจากที่นั่น และนางได้มารับใช้เมียของนาอามาน นางพูดกับนายหญิงของนางว่า “ถ้านายผู้ชายของข้าพเจ้าได้พบกับผู้พูดแทนพระเจ้าคนนั้นที่อยู่ในสะมาเรีย เขาก็จะช่วยให้นายผู้ชายหายจากโรคนั้นได้”

นาอามานไปพบกษัตริย์เจ้านายของเขา และบอกกับกษัตริย์ในสิ่งที่หญิงสาวจากอิสราเอลคนนั้นพูดไว้ กษัตริย์ของอารัมตอบว่า “ไปเถิด เราจะส่งจดหมายไปถึงกษัตริย์ของอิสราเอลให้”

นาอามานจึงออกเดินทางไปและนำเงินไปด้วยสิบตะลันต์[b] ทองคำหนักหกพันเชเขล[c] และเสื้อผ้าอีกสิบชุด จดหมายที่เขานำไปให้กับกษัตริย์ของอิสราเอลนั้น เขียนว่า “เมื่อท่านได้รับจดหมายฉบับนี้ ขอให้ท่านรู้ไว้ว่า เราได้ส่งนาอามานผู้รับใช้ของเรามาพบท่าน เพื่อว่าท่านจะได้รักษาเขาให้หายจากโรคผิวหนังร้ายแรงของเขา”

ทันทีที่กษัตริย์ของอิสราเอลอ่านจดหมายฉบับนั้น เขาก็ฉีกเสื้อคลุมของเขาและพูดว่า “เราเป็นพระเจ้าหรือยังไง คิดว่าเรามีฤทธิ์เหนือความตายและชีวิตหรือ ทำไมชายคนนี้ถึงได้ส่งคนผู้นี้ที่เป็นโรคผิวหนังร้ายแรงมาให้เรารักษา ดูสิ เขากำลังหาเรื่องกับเราชัดๆ”

เมื่อเอลีชาคนของพระเจ้าได้ยินว่ากษัตริย์ของอิสราเอลได้ฉีกเสื้อคลุมของเขา เขาจึงส่งข้อความนี้มาให้ว่า “ทำไมท่านถึงต้องฉีกเสื้อผ้าของท่านด้วยเล่า ให้ชายคนนั้นมาหาข้าพเจ้าเถิด และเขาจะได้รู้ว่า ในอิสราเอล ยังมีผู้พูดแทนพระเจ้าหลงเหลืออยู่อีกคนหนึ่ง”

นาอามานจึงเดินทางไปพร้อมกับบรรดาทหารม้าและรถรบของเขา และไปหยุดอยู่ที่ประตูบ้านของเอลีชา 10 เอลีชาส่งผู้ส่งข่าวคนหนึ่งออกมาบอกกับเขาว่า “ไปล้างตัวของท่านเจ็ดครั้งในแม่น้ำจอร์แดน และผิวหนังของท่านก็จะกลับคืนสู่สภาพเดิมและท่านก็จะหายจากโรค”

11 แต่นาอามานจากไปด้วยความโกรธและพูดว่า “ข้าคิดว่าอย่างน้อยเขาจะออกมาพบกับข้า และยืนอยู่ต่อหน้าข้า พร้อมกับเรียกชื่อของพระยาห์เวห์ พระเจ้าของเขา แล้วก็โบกมือของเขาเหนือจุดที่เป็นโรค แล้วรักษาโรคของข้า 12 ถ้ารู้ว่าจะเป็นอย่างนี้ แม่น้ำอาบานา และแม่น้ำฟารปาร์ของเมืองดามัสกัส ไม่ดีกว่าแม่น้ำทั้งหลายของอิสราเอลหรอกหรือ ทำไมข้าจะไปล้างตัวในแม่น้ำเหล่านั้นแล้วหายจากโรคไม่ได้หรือยังไง” เขาจึงหันกลับออกไปด้วยความโกรธ

13 แต่พวกคนรับใช้ของนาอามานเข้าไปหาเขาและพูดว่า “พ่อของเรา[d] ถ้าผู้พูดแทนพระเจ้าคนนั้นสั่งให้ท่านไปทำสิ่งที่ยากๆท่านก็ยังจะไปทำไม่ใช่หรือ ถ้าอย่างนั้น เมื่อเขาแค่สั่งท่านว่า ‘ไปล้างตัวท่านและหายจากโรค’ ท่านก็ยิ่งน่าจะทำตามนะ”

14 เขาจึงลงไปจุ่มตัวในแม่น้ำจอร์แดนถึงเจ็ดครั้ง ตามที่คนของพระเจ้าได้บอกกับเขาไว้ และผิวหนังของเขาก็กลับคืนเป็นเหมือนกับเด็ก และเขาก็หายจากโรค

15 แล้วนาอามานและคนทั้งหมดของเขาก็ได้กลับไปหาคนของพระเจ้า เขาไปยืนต่อหน้าเอลีชา และพูดว่า “ตอนนี้ข้ารู้แล้วว่าไม่มีพระเจ้าองค์อื่นอีกในโลกนี้นอกจากพระเจ้าของอิสราเอล ได้โปรดยอมรับของขวัญจากข้าผู้รับใช้ท่านด้วยเถิด”

16 แต่เอลีชาผู้พูดแทนพระเจ้าตอบว่า “พระยาห์เวห์ ผู้ที่เรารับใช้ มีชีวิตอยู่แน่ขนาดไหน ก็ให้แน่ใจขนาดนั้นเลยว่า เราจะไม่ยอมรับอะไรสักอย่างจากท่าน”

และถึงแม้ว่านาอามานจะรบเร้าตื้อให้เขารับของขวัญ เขาก็ไม่ยอมรับอยู่ดี 17 นาอามานจึงพูดว่า “ถ้าท่านไม่ยอมรับของขวัญจากเรา ก็ขอได้โปรดให้เราผู้รับใช้ท่านเอาดินที่นี่กลับไป ขอเอาไปมากที่สุดเท่าที่ล่อทั้งสองตัวนี้ของเราจะแบกไปได้[e] เพราะเราผู้รับใช้ท่านจะไม่ถวายเครื่องเผาบูชาและเครื่องสัตวบูชาให้กับพระอื่นอีกแล้ว นอกจากพระยาห์เวห์เท่านั้น 18 แต่ขอให้พระยาห์เวห์ยกโทษให้กับข้าผู้รับใช้ท่านเรื่องหนึ่ง เมื่อกษัตริย์เจ้านายของข้าเข้าไปในวิหารของพระริมโมนเพื่อนมัสการพระนั้น เขาจะต้องพิงแขนของข้าทำให้ข้าต้องก้มลงด้วย เมื่อข้าก้มลงในวิหารของพระริมโมน ขอให้พระยาห์เวห์ยกโทษให้กับข้าผู้รับใช้ท่าน ที่ทำสิ่งนี้ด้วยเถิด”

19 เอลีชาตอบเขาว่า “ไปเป็นสุขเถิด”

ความโลภของเกหะซี

แต่เมื่อนาอามานเดินทางไปได้สักระยะหนึ่ง 20 เกหะซีคนรับใช้ของเอลีชาที่เป็นคนของพระเจ้า คิดในใจว่า “เจ้านายของเรา ปล่อยให้นาอามานชาวอารัมคนนั้นไปง่ายๆอย่างนี้หรือ โดยไม่ยอมรับสิ่งที่เขาเสนอให้ พระยาห์เวห์มีชีวิตอยู่แน่ขนาดไหน ให้แน่ใจขนาดนั้นเลยว่า เราจะต้องวิ่งไปขออะไรจากเขาสักอย่าง” 21 เกหะซีจึงตามหลังนาอามานไป

เมื่อนาอามานเห็นคนวิ่งตามหลังเขามา เขาจึงกระโดดลงมาจากรถรบเพื่อมาพบกับเขา และถามว่า “ทุกอย่างเรียบร้อยดีหรือเปล่า”

22 เกหะซีตอบว่า “ทุกอย่างเรียบร้อยดี เพียงแต่เจ้านายของข้าพเจ้าได้ส่งข้าพเจ้ามาเพื่อบอกว่า ‘มีชายหนุ่มสองคนจากกลุ่มของผู้พูดแทนพระเจ้า[f] เพิ่งมาหาเราจากเทือกเขาเอฟราอิม ขอได้โปรดให้เงินแก่พวกเขาสักหนึ่งตะลันต์[g] และเสื้อผ้าสักสองชุดด้วยเถิด’”

23 นาอามานจึงพูดว่า “ถ้าอย่างนั้น เอาไปสองตะลันต์[h] เลย” เขารบเร้าให้เกหะซียอมรับเงินเหล่านั้น และเอาเงินสองตะลันต์ใส่ไว้ในถุงสองใบพร้อมกับเสื้อผ้าสองชุด เขาได้ให้มันกับคนรับใช้สองคนของเขาและพวกเขาก็แบกเดินนำหน้าเกหะซีไป 24 เมื่อเกหะซีมาถึงเนินเขาของเมืองที่มีป้อม เขารับเอาของเหล่านั้นมาจากคนรับใช้ทั้งสองคนนั้น และเขาก็ได้ให้ชายสองคนนั้นกลับไป แล้วเขาก็เอาของเหล่านั้นไปเก็บที่บ้าน

25 แล้วเกหะซีก็เข้าไปยืนอยู่ต่อหน้าเอลีชาเจ้านายของเขา เอลีชาได้ถามเขาว่า “เกหะซี เจ้าไปไหนมา”

เกหะซีตอบว่า “ผู้รับใช้ท่านไม่ได้ไปไหนเลย”

26 แต่เอลีชาพูดกับเขาว่า “เจ้าไม่รู้หรือว่า วิญญาณของเราอยู่กับเจ้า ตอนที่ชายคนนั้นลงมาจากรถรบของเขาเพื่อมาพบกับเจ้า นี่ไม่ใช่เวลาที่จะไปรับเงินหรือเสื้อผ้า หรือสวนมะกอก หรือสวนองุ่น หรือฝูงแกะ ฝูงวัวหรือทาสชาย-หญิง 27 โรคผิวหนังร้ายแรงของนาอามานจะติดอยู่กับเจ้าและลูกหลานของเจ้าตลอดไป”

แล้วเกหะซีก็ออกไปจากหน้าเอลีชา และเขาก็เป็นโรคผิวหนังร้ายแรงขาวอย่างหิมะ

เอลีชากับหัวขวาน

กลุ่มผู้พูดแทนพระเจ้ามาพูดกับเอลีชาว่า “ดูเถิด สถานที่ที่พวกเราใช้นัดพบกับท่านมันเล็กเกินไปแล้วสำหรับพวกเรา พวกเราไปที่แม่น้ำจอร์แดนกันเถิด พวกเราทุกคนสามารถหาเสามาคนละต้นและมาสร้างเป็นที่อยู่อาศัยกัน เพื่อเราจะได้อยู่กันที่นั่น”

และเอลีชาพูดว่า “ไปเถิด”

แล้วคนหนึ่งในหมู่พวกเขาพูดขึ้นมาว่า “ท่านจะไม่ไปกับพวกเราผู้รับใช้ท่านด้วยหรือ” เอลีชาตอบว่า “ไปสิ”

แล้วเขาก็ไปกับคนเหล่านั้น พวกเขาไปถึงแม่น้ำจอร์แดนและเริ่มตัดต้นไม้ลงหลายต้น มีคนหนึ่งกำลังโค่นต้นไม้ลง หัวขวานของเขากระเด็นตกลงไปในน้ำ เขาร้องออกมาว่า “แย่แล้ว นายท่าน นั่นเป็นขวานที่ขอยืมคนอื่นมา”

คนของพระเจ้า[i] คนนั้นถามเขาว่า “มันตกลงไปตรงไหน”

เมื่อเขาชี้ให้ดูจุดที่มันตกลงไป เอลีชาก็ตัดไม้มากิ่งหนึ่งและโยนลงไปที่นั่น ทำให้หัวขวานเหล็กลอยขึ้นมา เขาพูดว่า “หยิบหัวขวานขึ้นมาสิ” แล้วชายคนนั้นก็เอื้อมมือไปหยิบมันขึ้นมา

กษัตริย์อารัมกับเอลีชา

ในเวลานั้นกษัตริย์ของชาวอารัมกำลังทำสงครามอยู่กับอิสราเอล หลังจากที่กษัตริย์ของชาวอารัมได้ปรึกษากับพวกผู้นำทหารของเขาแล้ว เขาพูดว่า “เราจะจัดตั้งค่ายของเราขึ้นที่ตรงนั้น”

คนของพระเจ้าได้ส่งข่าวมาถึงกษัตริย์ของอิสราเอลว่า “ระวัง อย่าผ่านไปทางนั้น เพราะพวกอารัมกำลังลงไปที่นั่น”

10 กษัตริย์ของอิสราเอลจึงส่งข่าวไปเตือนคนของพระองค์ที่อยู่ตรงแถวนั้น ตามที่คนของพระเจ้าได้เตือนพระองค์มา เรื่องนี้เกิดขึ้นหลายครั้ง พวกเขาจึงระมัดระวังตัวมากขึ้นในที่เหล่านั้น

11 สิ่งนี้ทำให้กษัตริย์ของอารัมโกรธมาก เขาเรียกตัวพวกผู้นำทหารของเขาเข้ามาและถามพวกเขาว่า “บอกเราสิว่า มีใครในพวกเราที่ไปเข้าข้างกษัตริย์ของอิสราเอล”

12 ผู้นำทหารคนหนึ่งตอบว่า “กษัตริย์เจ้านายของข้าพเจ้า ไม่มีใครไปทำอย่างนั้นหรอก แต่เอลีชาผู้พูดแทนพระเจ้าที่อยู่ในอิสราเอล เป็นผู้บอกกษัตริย์ของอิสราเอล ถึงทุกสิ่งที่ท่านพูดไปในห้องนอนของท่าน”

13 กษัตริย์จึงสั่งไปว่า “ไปค้นหามาว่าคนผู้นี้อยู่ที่ไหน เราจะได้ส่งคนไปจับตัวเขามา”

แล้วก็มีรายงานกลับมาว่า “เขาอยู่ในเมืองโดธาน”

14 กษัตริย์จึงส่งกองทหารม้าและพวกรถรบพร้อมกับกองทัพที่แข็งแกร่งไปที่นั่น พวกเขาไปในเวลากลางคืนและไปล้อมเมืองเอาไว้ 15 เมื่อคนรับใช้ของเอลีชาคนของพระเจ้าตื่นขึ้นมา และออกไปข้างนอกแต่เช้าตรู่ มีกองทัพทหารม้ากองหนึ่งและพวกรถรบกำลังล้อมเมืองอยู่

คนใช้คนนั้นจึงถามว่า “แย่แล้ว นายท่าน พวกเราจะทำยังไงดี”

16 ผู้พูดแทนพระเจ้าคนนั้นตอบว่า “ไม่ต้องกลัว พวกที่อยู่ฝ่ายเรามีมากกว่าพวกที่อยู่ฝ่ายนั้นเสียอีก”

17 เอลีชาอธิษฐานว่า “ข้าแต่ พระยาห์เวห์ ได้โปรดเปิดตาของเขาเพื่อเขาจะได้เห็น”

แล้วพระยาห์เวห์ก็ได้เปิดตาของคนรับใช้คนนั้น และเขาเห็นว่าเนินเขาเหล่านั้นเต็มไปด้วยทหารม้าและรถรบที่ลุกเป็นไฟอยู่รอบๆตัวเอลีชา

18 เมื่อศัตรูตรงมาที่ตัวเอลีชา เขาก็อธิษฐานกับพระยาห์เวห์ว่า “ช่วยโจมตีคนพวกนี้ให้ตาบอดด้วยเถิด”

พระองค์จึงโจมตีคนพวกนั้นให้ตาบอดตามที่เอลีชาขอ 19 เอลีชาบอกกับพวกเขาว่า “ไม่ใช่ทางนี้ ไม่ใช่เมืองนี้ ตามเรามา เราจะนำพวกเจ้าไปหาคนนั้นที่พวกเจ้ากำลังตามหาอยู่” และเขาก็นำคนเหล่านั้นไปที่เมืองสะมาเรีย[j]

20 หลังจากที่พวกเขาเข้าไปในเมืองแล้ว เอลีชาพูดว่า “ข้าแต่พระยาห์เวห์ ช่วยเปิดตาของคนเหล่านี้ด้วยเถิด เพื่อพวกเขาจะได้มองเห็น”

แล้วพระยาห์เวห์ก็เปิดตาของพวกเขา และพวกเขาก็มองเห็นและพบว่าพวกเขาอยู่ในเมืองสะมาเรีย 21 เมื่อกษัตริย์ของอิสราเอลเห็นพวกเขา ก็ถามเอลีชาว่า “ท่านพ่อของเรา จะให้เราฆ่าพวกมันหรือเปล่า ฆ่าพวกมันเลยดีไหม”

22 เอลีชาตอบว่า “อย่าเลย คนพวกนี้ที่ท่านกะจะฆ่านั้น ท่านจับมาได้ด้วยดาบหรือธนูของท่านเองหรือยังไง จัดหาอาหารและน้ำมาให้พวกเขากินและดื่มเถิด แล้วปล่อยให้พวกเขากลับไปหาเจ้านายของพวกเขา”

23 กษัตริย์ของอิสราเอลจึงได้จัดเตรียมอาหารมื้อใหญ่ ให้กับคนเหล่านั้น และหลังจากที่พวกเขากินและดื่มเสร็จแล้ว กษัตริย์ก็ส่งคนเหล่านั้นกลับไป และพวกเขาก็กลับไปหาเจ้านายของพวกเขา แล้วกองโจรจากอารัมก็ไม่มาปล้นแผ่นดินของอิสราเอลอีก

สะมาเรียถูกโอบล้อม

24 ต่อมาภายหลัง กษัตริย์เบนฮาดัดของชาวอารัมได้รวบรวมกองทัพทั้งหมดของเขาและเคลื่อนพลเข้ามาล้อมเมืองสะมาเรียไว้ 25 เกิดภาวะขาดแคลนอาหารขึ้นในเมือง พวกเขาล้อมเมืองอยู่นานมากจนกระทั่งแม้แต่หัวลาหัวหนึ่งยังขายกันเป็นเงินหนึ่งกิโลกรัม[k] และขี้ของนกพิราบศูนย์จุดสามลิตร[l] ขายเป็นเงินประมาณหกสิบกรัม[m]

26 เมื่อกษัตริย์ของอิสราเอลเดินผ่านไปบนกำแพง หญิงคนหนึ่งมาร่ำร้องกับเขาว่า “โปรดช่วยข้าพเจ้าด้วยเถิด กษัตริย์เจ้านายของข้าพเจ้า”

27 กษัตริย์ตอบว่า “ถ้าพระยาห์เวห์ไม่ช่วยเจ้าแล้ว เราเองจะช่วยได้ยังไง ลานนวดข้าวและบ่อย่ำองุ่นยังมีอะไรเหลืออยู่อีกหรือ” 28 แล้วเขาถามนางว่า “เจ้ามีเรื่องเดือดร้อนอะไรหรือ”

นางตอบว่า “หญิงคนนี้บอกดิฉันว่า ‘ฆ่าลูกชายของเจ้าเถิด พวกเราจะได้กินเขาในวันนี้ แล้วพรุ่งนี้พวกเราก็จะกินลูกชายของฉัน’ 29 พวกเราก็เลยต้มลูกชายของดิฉันกินกัน วันต่อมาดิฉันพูดกับนางว่า ‘เอาลูกชายของเจ้ามาสิ เราจะได้กินตัวเขา’ แต่นางได้ซ่อนลูกนางไว้”

30 เมื่อกษัตริย์ได้ยินคำพูดของหญิงคนนี้ เขาก็ฉีกเสื้อคลุมของเขา เมื่อเขาเดินต่อไปตามกำแพง ประชาชนต่างมองดูเขาและเห็นว่ากษัตริย์สวมเสื้อกระสอบไว้ข้างใน

31 กษัตริย์พูดว่า “ถ้าหัวของเอลีชาลูกชายของชาฟัทยังอยู่บนบ่าของเขาในวันนี้ ขอให้พระเจ้าลงโทษเราอย่างแสนสาหัส”

32 กษัตริย์ก็เลยส่งคนตามหาเอลีชา ตอนนั้นเอลีชากำลังนั่งอยู่ในบ้านของตัวเอง และพวกผู้ใหญ่ก็นั่งอยู่กับเขาด้วย แต่ก่อนที่คนๆนั้นจะมาถึง เอลีชาพูดกับพวกผู้ใหญ่เหล่านั้นว่า “พวกท่านรู้หรือเปล่าว่า เจ้าฆาตกรคนนี้ได้ส่งคนมาตัดหัวของเรา ดูเอาไว้ เมื่อคนที่เขาส่งมานั้นมาถึง ให้ปิดประตูและขวางเขาไว้ เราได้ยินเสียงฝีเท้าของเจ้านายเขาตามหลังเขามา”

33 ในขณะที่เขากำลังคุยอยู่กับผู้ใหญ่เหล่านั้น คนที่กษัตริย์ส่งมานั้น[n] ก็มาถึง และกษัตริย์ก็พูดว่า “เหตุร้ายในครั้งนี้มาจากพระยาห์เวห์ แล้วเราจะยังฝากความหวังไว้กับพระยาห์เวห์อีกทำไม”

เอลีชาตอบเขาไปว่า “ฟังคำพูดของพระยาห์เวห์ให้ดี พระองค์พูดว่า ‘พรุ่งนี้เวลานี้ ที่ประตูเมืองสะมาเรีย แป้งหนึ่งถัง[o] จะขายกันในราคาหนึ่งเชเขล[p] และข้าวบาร์เลย์สองถังจะขายกันในราคาหนึ่งเชเขล’”

เจ้าหน้าที่คนสนิทของกษัตริย์[q]พูดกับคนของพระเจ้าว่า “ต่อให้พระยาห์เวห์เปิดช่องฟ้าสวรรค์ สิ่งนี้ก็ไม่เกิดขึ้นแน่”

เอลีชาตอบว่า “ท่านจะได้เห็นเรื่องนี้ด้วยตาของท่านเอง แต่ท่านจะไม่ได้กินมันหรอก”

พวกชาวอารัมหนีไป

ในขณะนั้นมีชายที่เป็นโรคผิวหนังร้ายแรงสี่คนอยู่ที่ประตูทางเข้าเมือง พวกเขาคุยกันว่า “พวกเราจะนั่งรอความตายอยู่ที่นี่ทำไมกัน ถ้าเข้าไปในเมืองสะมาเรีย พวกเขากำลังอดตายกันอยู่ พวกเราก็จะตายที่นั่น แต่ถ้าเรานั่งรออยู่ที่นี่ เราก็จะตายเหมือนกัน พวกเราไปที่ค่ายของพวกอารัมกันเถอะ ถ้าพวกเขาไว้ชีวิตพวกเรา เราก็จะรอด แต่ถ้าพวกเขาฆ่าเรา ก็ให้ตายไปเลยก็แล้วกัน”

ในตอนเย็นพวกเขาจึงลุกขึ้นและไปที่ค่ายของชาวอารัม เมื่อพวกเขาไปถึงที่ริมค่าย ไม่เห็นคนอยู่ที่นั่นสักคนเดียว เพราะพระยาห์เวห์ได้ทำให้พวกอารัมได้ยินเสียงของกองรถรบกองทหารม้าและกองทัพที่ยิ่งใหญ่ พวกเขาจึงพูดกันว่า “ดูสิ กษัตริย์ของอิสราเอลได้จ้างพวกกษัตริย์ของชาวฮิตไทต์และชาวอียิปต์ มาโจมตีพวกเราแล้ว”

พวกเขาจึงลุกหลบหนีไปในเย็นวันนั้น และทิ้งเต็นท์ รวมทั้งม้าและลาของพวกเขาไว้ พวกเขาทิ้งค่ายไว้อย่างนั้นและวิ่งหนีเอาตัวรอดไป

เมื่อคนที่เป็นโรคผิวหนังร้ายแรงสี่คนนั้นมาถึงริมค่ายและเข้าไปในเต็นท์หลังหนึ่ง พวกเขาได้กินและดื่ม และเอาเงินและทองคำ รวมทั้งเสื้อผ้าหลายชุดออกมา และเอาของเหล่านั้นไปซ่อน และกลับเข้าไปใหม่และเข้าไปในเต็นท์อีกหลังหนึ่ง ไปเอาสิ่งของมากมายออกมาและเอาไปซ่อนไว้เหมือนเดิม แล้วพวกเขาพูดกันว่า “พวกเราทำไม่ถูกนะ วันนี้เป็นวันแห่งข่าวดี แต่พวกเรากลับเงียบเฉย ถ้าพวกเราคอยจนสว่าง พวกเราก็จะถูกทำโทษ พวกเรารีบไปรายงานเรื่องนี้ให้ในวังรู้กันเถอะ”

10 พวกเขาจึงไปร้องเรียกหาคนเฝ้าประตูเมืองและบอกว่า “พวกเราได้เข้าไปในค่ายของพวกอารัม และไม่พบใครเลยสักคนที่นั่น ไม่มีแม้แต่เสียงของคน มีเพียงเสียงฝีเท้าของม้าและลา และเต็นท์ก็ถูกทิ้งอยู่อย่างนั้น”

11 คนเฝ้าประตูตะโกนบอกข่าวดีและข่าวนั้นก็เข้าไปถึงในวัง 12 กษัตริย์จึงลุกขึ้นกลางดึกและพูดกับข้าราชการของเขาว่า “เราจะบอกให้พวกเจ้ารู้ว่า พวกอารัมจะทำอะไรกับพวกเรา พวกมันรู้ว่าพวกเรากำลังจะอดตาย พวกมันจึงแกล้งทำเป็นทิ้งค่ายไป แล้วไปแอบสุ่มอยู่ในทุ่งนา พวกมันคิดว่า ‘พวกนั้นจะต้องออกมาแน่ แล้วพวกเราจะได้จับพวกนั้นเป็นๆและบุกเข้าไปในเมือง’”

13 ข้าราชการคนหนึ่งของเขาตอบว่า “ให้บางคนเอาม้าห้าตัวที่ยังเหลืออยู่ในเมืองไป เพราะยังไงอีกไม่นานม้าพวกนี้ก็ต้องตายอยู่ดี เช่นเดียวกันกับชาวอิสราเอลทั้งหมดที่ยังคงเหลืออยู่ที่นี่ ให้ส่งคนพวกนี้ไปดูสิว่าเกิดอะไรขึ้น”

14 พวกเขาจึงเลือกรถรบมาสองคันพร้อมกับม้า และกษัตริย์ก็ส่งพวกเขาไปติดตามดูกองทัพของพวกอารัม เขาได้สั่งคนขับว่า “ไปดูสิว่าเกิดอะไรขึ้น”

15 พวกเขาได้ติดตามกองทัพของพวกอารัมไปไกลถึงแม่น้ำจอร์แดน และพวกเขาพบว่าตามถนนนั้นเกลื่อนกลาดไปด้วยเสื้อผ้าและอุปกรณ์ของพวกอารัมที่โยนทิ้งไว้จากการหลบหนีอย่างเร่งรีบ พวกที่ถูกส่งไปกลุ่มนั้น จึงกลับมารายงานกับกษัตริย์

16 แล้วประชาชนต่างก็กรูกันออกไปและไปริบเอาข้าวของจากค่ายของพวกอารัม ดังนั้น แป้งหนึ่งถังจึงขายกันในราคาเพียงหนึ่งเชเขลและข้าวบาร์เลย์สองถังก็ขายเพียงหนึ่งเชเขลเหมือนที่พระยาห์เวห์ได้พูดไว้

17 ขณะนั้นกษัตริย์ได้ตั้งเจ้าหน้าที่คนสนิทของกษัตริย์คนนั้น ให้ไปเฝ้าดูแลความเรียบร้อยที่ประตูเมือง แต่เขาถูกฝูงชนเหยียบย่ำจนตายอยู่ที่ประตูเมือง ตามที่เอลีชาคนของพระเจ้าได้บอกกับเขาไว้ ตอนที่กษัตริย์ลงมาหาเอลีชาที่บ้าน 18 และสิ่งที่เอลีชาคนของพระเจ้าได้บอกกับกษัตริย์ไว้ ก็เกิดขึ้นจริงตามนั้นที่ว่า “พรุ่งนี้ เวลานี้ ที่ประตูเมืองสะมาเรีย แป้งหนึ่งถังจะขายกันในราคาหนึ่งเชเขล และข้าวบาร์เลย์สองถังจะขายกันในราคาหนึ่งเชเขล” 19 เจ้าหน้าที่คนนั้นเคยพูดกับเอลีชา คนของพระเจ้าว่า “ต่อให้ พระยาห์เวห์เปิดช่องสวรรค์ สิ่งนี้ก็ไม่เกิดขึ้นแน่” เอลีชาตอบเขาไปว่า “ท่านจะได้เห็นมันด้วยตาของท่านเอง แต่ท่านจะไม่ได้กินมัน” 20 และมันก็เกิดขึ้นกับเขาจริง เพราะเขาถูกฝูงชนเหยียบย่ำจนตายอยู่ที่ประตูเมืองนั่นเอง

กษัตริย์กับผู้หญิงชาวชูเนม

ในเวลานั้นเอลีชาพูดกับหญิงชาวชูเนมที่เขาได้ทำให้ลูกชายของนางฟื้นคืนชีพขึ้นมา[r] ว่า “ให้ท่านกับครอบครัวของท่านย้ายไปอยู่ที่อื่นที่ท่านจะสามารถเลี้ยงชีพอยู่ได้ เพราะพระยาห์เวห์ได้สั่งให้เกิดความอดอยากขึ้นในแผ่นดินนี้ มันจะยาวนานถึงเจ็ดปี”

หญิงคนนั้นทำตามที่คนของพระเจ้าบอก นางและครอบครัวของนางได้ย้ายออกจากเมืองและไปอยู่ในดินแดนของชาวฟีลิสเตียเป็นเวลาเจ็ดปี และเมื่อครบเจ็ดปี นางก็กลับมาจากดินแดนของชาวฟีลิสเตีย

และนางได้ไปพบกับกษัตริย์เพื่อขอบ้านและที่ดินของนางคืน

กษัตริย์กำลังคุยอยู่กับเกหะซีคนรับใช้ของคนของพระเจ้าว่า “ช่วยเล่าให้เราฟังหน่อย ถึงเรื่องยิ่งใหญ่ต่างๆที่เอลีชาเคยทำไป”

ในขณะที่เกหะซีกำลังเล่าให้กษัตริย์ฟังว่า เอลีชาทำให้คนที่ตายไปแล้วฟื้นคืนชีพขึ้นมาได้อย่างไร หญิงคนที่เอลีชาได้ทำให้ลูกชายของนางฟื้นขึ้น ก็ได้เข้ามาหากษัตริย์ นางมาขอบ้านและที่ดินของนางคืนจากกษัตริย์ เกหะซีพูดว่า “กษัตริย์เจ้านายของข้าพเจ้า หญิงคนนี้แหละ ที่เอลีชาได้ทำให้ลูกชายของนางฟื้นขึ้นมา”

กษัตริย์ถามหญิงคนนั้นว่านางต้องการอะไร และนางได้บอกกับเขาไป

กษัตริย์จึงมอบหมายเรื่องของนางให้เจ้าหน้าที่คนหนึ่งจัดการ กษัตริย์สั่งเขาว่า “คืนทุกสิ่งทุกอย่างที่เคยเป็นของนางให้กับนาง รวมทั้งรายได้จากที่ดินของนางนับตั้งแต่วันที่นางออกจากประเทศนี้ไปจนถึงวันนี้”

เบนฮาดัดถูกฆ่าตาย

เอลีชาไปที่เมืองดามัสกัส ตอนที่กษัตริย์เบนฮาดัดของชาวอารัมกำลังไม่สบาย เมื่อมีคนมาบอกกษัตริย์ว่า “คนของพระเจ้ามาถึงที่นี่แล้ว”

กษัตริย์จึงพูดกับฮาซาเอลว่า “ให้ท่านนำของขวัญไปพบกับคนของพระเจ้าคนนั้น และให้เขาถามพระยาห์เวห์ว่า เราจะหายป่วยในครั้งนี้หรือไม่”

ฮาซาเอลไปพบเอลีชา และเอาของขวัญที่ดีที่สุดหลายอย่างในดามัสกัส บรรทุกเต็มหลังอูฐสี่สิบตัว เขาได้เข้าไปยืนอยู่ต่อหน้าเอลีชาและพูดว่า “กษัตริย์เบนฮาดัดของอารัมลูกชายของท่านส่งเรามาถามท่านว่า ‘เราจะหายป่วยหรือไม่’”

10 เอลีชาตอบว่า “ให้ไปบอกเขาว่า ‘ท่านจะหายป่วยแน่’ แต่พระยาห์เวห์ได้เปิดเผยให้เรารู้ว่าจริงๆแล้วเขาจะตาย”

11 เอลีชาจ้องมองฮาซาเอลด้วยสายตาเขม็งไม่ขยับเขยื้อนอยู่นานจนกระทั่งฮาซาเอลเริ่มรู้สึกอึดอัด แล้วคนของพระเจ้าก็เริ่มร้องไห้ออกมา 12 ฮาซาเอลถามเขาว่า “เจ้านายของเราร้องไห้ทำไม” เขาตอบว่า “ก็เพราะเรารู้ว่าท่านจะเป็นอันตรายกับชาวอิสราเอลทั้งหลายอย่างไรบ้างนะสิ ท่านจะเผาป้อมปราการทุกแห่ง ท่านจะฆ่าคนหนุ่มของพวกเขาด้วยดาบ ท่านจะฟาดเด็กเล็กลงบนพื้นเป็นชิ้นๆและจะแหวกท้องหญิงที่มีครรภ์”

13 ฮาซาเอลพูดว่า “ผู้รับใช้ของท่านที่เป็นเพียงหมาตัวหนึ่งจะทำร้ายพวกท่านถึงขนาดนั้นได้อย่างไรกัน”

เอลีชาตอบไปว่า “พระยาห์เวห์ได้แสดงให้เราเห็นว่าท่านจะได้เป็นกษัตริย์ของชาวอารัม”

14 แล้วฮาซาเอลก็จากเอลีชาและกลับไปหาเจ้านายของเขา เมื่อเบนฮาดัดถามเขาว่า “เอลีชาได้พูดอะไรกับเจ้าบ้าง”

ฮาซาเอลตอบเขาไปว่า “เขาบอกกับข้าพเจ้าว่าท่านจะหายป่วยอย่างแน่นอน”

15 แต่ในวันต่อมา ฮาซาเอลเอาผ้าหนาๆชุบน้ำจนเปียกชุ่มและเอามันโปะไว้บนหน้าของกษัตริย์จนกระทั่งเขาขาดใจตาย แล้วฮาซาเอลก็ขึ้นเป็นกษัตริย์ต่อจากเบนฮาดัด

เยโฮรัมปกครองยูดาห์

(2 พศด. 21:1-20)

16 เยโฮรัมลูกชายของเยโฮชาฟัทขึ้นเป็นกษัตริย์ของยูดาห์ ตรงกับปีที่ห้าที่โยรัมเป็นกษัตริย์ของอิสราเอล โยรัมเป็นลูกชายของอาหับ[s] 17 ตอนที่เยโฮรัมขึ้นเป็นกษัตริย์นั้น เขามีอายุสามสิบสองปี และเขาครองราชย์อยู่แปดปีในเมืองเยรูซาเล็ม 18 เยโฮรัมเดินตามรอยของกษัตริย์อิสราเอลองค์ก่อนๆ เขาใช้ชีวิตเหมือนกับที่ครอบครัวของอาหับเคยทำไว้ เพราะเขาแต่งงานกับลูกสาวของอาหับ เขาได้ทำชั่วในสายตาของพระยาห์เวห์ 19 อย่างไรก็ตาม เพราะพระยาห์เวห์เห็นแก่ดาวิดผู้รับใช้พระองค์ พระองค์จึงไม่ทำลายยูดาห์ พระองค์เคยสัญญาว่าจะรักษาตะเกียงไว้ดวงหนึ่งสำหรับดาวิดและลูกหลานของเขาตลอดไป

20 ในยุคของเยโฮรัม ชาวเอโดมได้กบฏต่อยูดาห์และตั้งกษัตริย์ของตัวเองขึ้น

21 เยโฮรัม[t] กับกองทัพรถรบของเขาจึงยกไปที่ศาอีร์ ชาวเอโดมเข้าล้อมเขาและล้อมพวกผู้บังคับบัญชารถรบทั้งหลายของเขาไว้ แต่เขาลุกขึ้นและตีฝ่าออกมาได้ในตอนกลางคืน แต่กองทัพของเขาหนีกลับบ้านไป 22 พวกเอโดมจึงได้กบฏ และแยกตัวออกจากยูดาห์จนถึงทุกวันนี้

และในช่วงเดียวกันนั้น พวกลิบนาห์ก็ได้กบฏ แยกตัวออกจากยูดาห์ด้วย

23 เหตุการณ์ต่างๆในยุคสมัยของเยโฮรัม และทุกๆอย่างที่เขาได้ทำไป ได้จดบันทึกไว้แล้วในหนังสือประวัติของบรรดากษัตริย์แห่งยูดาห์

24 เยโฮรัมล่วงลับไปอยู่กับบรรพบุรุษของเขาและถูกฝังอยู่กับพวกเขาในเมืองของดาวิด และอาหัสยาห์ลูกชายของเขาก็ขึ้นเป็นกษัตริย์สืบต่อจากเขา

อาหัสยาห์ปกครองยูดาห์

(2 พศด. 22:1-6)

25 อาหัสยาห์ ลูกชายของเยโฮรัมขึ้นเป็นกษัตริย์ของยูดาห์ ตรงกับปีที่สิบสองที่โยรัมเป็นกษัตริย์ของอิสราเอล โยรัมเป็นลูกชายของอาหับ 26 ตอนที่อาหัสยาห์ขึ้นเป็นกษัตริย์นั้น เขามีอายุยี่สิบสองปี และเขาครองราชย์อยู่หนึ่งปีในเมืองเยรูซาเล็ม แม่ของเขาชื่อว่านางอาธาลิยาห์ เป็นหลานสาวของกษัตริย์อมรีแห่งอิสราเอล 27 อาหัสยาห์เดินตามรอยของครอบครัวอาหับ และได้ทำชั่วในสายตาของพระยาห์เวห์ เหมือนกับที่ครอบครัวของอาหับเคยทำไว้ เพราะเขาได้แต่งงานกับครอบครัวของอาหับ

28 อาหัสยาห์ร่วมกับโยรัม ลูกชายของอาหับ ออกไปสู้รบกับกษัตริย์ฮาซาเอลของชาวอารัม ที่ราโมท-กิเลอาด ชาวอารัมทำให้โยรัมได้รับบาดเจ็บ 29 กษัตริย์โยรัมจึงกลับไปที่ยิสเรเอล เพื่อรักษาบาดแผลที่ชาวอารัมได้ทำร้ายเขาไว้ที่ราโมท-กิเลอาดตอนที่เขาสู้รบกับกษัตริย์ฮาซาเอลของชาวอารัม อาหัสยาห์กษัตริย์ของยูดาห์ ลูกชายของเยโฮรัมได้ไปที่ยิสเรเอลเพื่อเยี่ยมเยียนกษัตริย์โยรัมลูกชายของอาหับที่บาดเจ็บอยู่

การแต่งตั้งเยฮูเป็นกษัตริย์

เอลีชาผู้พูดแทนพระเจ้าได้เรียกชายคนหนึ่งมาจากกลุ่มของผู้พูดแทนพระเจ้าและพูดกับเขาว่า “เอาเสื้อคลุมของท่านเสียบเข้าในเข็มขัด เอาน้ำมันขวดนี้ไปกับท่านและไปที่ราโมท-กิเลอาด เมื่อท่านไปถึงที่นั่น ให้มองหาเยฮู ลูกชายของเยโฮชาฟัทที่เป็นลูกชายของนิมชี ให้ไปพบเขา แยกตัวเขาออกมาจากเพื่อนฝูง และพาเขาเข้าไปในห้องด้านใน เอาขวดน้ำมันนี้ออกมา เทน้ำมันลงบนหัวของเขาและประกาศว่า ‘พระยาห์เวห์พูดว่า “เราขอแต่งตั้งให้เจ้าเป็นกษัตริย์เหนืออิสราเอล” แล้วรีบเปิดประตู วิ่งหนีไป อย่าได้เถลไถล’”

ชายหนุ่มผู้พูดแทนพระเจ้าคนนั้น จึงไปที่ราโมท-กิเลอาด เมื่อเขามาถึง เขาได้พบกับพวกผู้นำกองทัพกำลังนั่งอยู่ด้วยกันที่นั่น เขาพูดว่า “ท่านแม่ทัพ เรามีข่าวมาให้กับท่าน”

เยฮูถามว่า “แม่ทัพคนไหนล่ะ”

เขาตอบว่า “ท่านแม่ทัพ ท่านเองนั่นแหละครับ”

เยฮูจึงลุกขึ้นและเข้าไปในบ้าน แล้วคนหนุ่มนั้นก็เทน้ำมันลงบนหัวของเยฮูและประกาศว่า “พระยาห์เวห์ พระเจ้าของอิสราเอลพูดว่า ‘เราขอแต่งตั้ง ให้เจ้าเป็นกษัตริย์เหนืออิสราเอลประชากรของพระยาห์เวห์ เจ้าต้องทำลายครอบครัวของอาหับเจ้านายของเจ้าเสีย เราจะได้แก้แค้นแทนเลือดของพวกผู้พูดแทนพระเจ้าที่เป็นผู้รับใช้เรา และเลือดของพวกผู้รับใช้พระยาห์เวห์ทุกคนที่ไหลนองด้วยน้ำมือของนางเยเซเบล ครอบครัวทั้งหมดของอาหับจะถูกทำลายล้าง เราจะตัดพวกผู้ชายของอาหับทุกคนออกไปจากอิสราเอลไม่ว่าจะเป็นทาสหรือไม่ใช่ทาสก็ตาม เราจะทำให้ครอบครัวของอาหับเป็นเหมือนครอบครัวเยโรโบอัมลูกชายของเนบัท และเป็นเหมือนครอบครัวของบาอาชาลูกชายของอาหิยาห์ 10 ส่วนเยเซเบล พวกหมาจะมารุมกินศพของนางบนพื้นดินที่เมืองยิสเรเอลและจะไม่มีใครฝังศพให้นาง’”

พูดจบแล้วเขาก็เปิดประตู วิ่งหนีไป

11 เมื่อเยฮูออกมาหาผู้นำกองทัพของกษัตริย์ พวกนั้นถามเขาว่า “มีเรื่องอะไรหรือเปล่า ทำไมคนบ้าคนนั้นจึงได้มาขอพบท่าน” เยฮูตอบว่า “ท่านก็รู้ๆอยู่แล้วว่าเขาเป็นคนยังไง ชอบพูดเรื่องไร้สาระ”

12 พวกเขาพูดว่า “ไม่จริงหรอก บอกพวกเรามาเถิด” เยฮูจึงพูดว่า “เขาพูดกับเราว่า ‘พระยาห์เวห์พูดว่า เราขอแต่งตั้งให้เจ้าเป็นกษัตริย์เหนืออิสราเอล’”

13 พวกเขารีบเอาเสื้อคลุมของพวกเขามาปูลงต่อหน้าเยฮูบนขั้นบันไดที่ว่างเปล่าอยู่ แล้วพวกเขาก็เป่าแตรขึ้นและตะโกนว่า “เยฮูคือกษัตริย์”

เยฮูไปยิสเรเอล

14 เยฮูลูกชายของเยโฮชาฟัทที่เป็นลูกชายของนิมชี จึงได้รวบรวมผู้คนขึ้นกบฏต่อโยรัม (ขณะนั้น โยรัมและอิสราเอลทั้งหมดกำลังต่อสู้ป้องกันราโมท-กิเลอาด จากกษัตริย์ฮาซาเอลของอารัม 15 แต่กษัตริย์โยรัมได้กลับมาถึงยิสเรเอลเพื่อรักษาตัวจากบาดแผลที่พวกอารัมได้ทำร้ายเขาไว้จากการรบกับกษัตริย์ฮาซาเอลของอารัม)

เยฮูพูดว่า “ถ้าพวกท่านเห็นด้วยกับสิ่งที่เราทำ อย่าให้ใครหลบออกไปจากเมืองเพื่อไปบอกข่าวในยิสเรเอลได้”

16 แล้วเยฮูก็ขึ้นรถรบของเขาและขับมันไปที่ยิสเรเอล เพราะโยรัมกำลังพักฟื้นอยู่ที่นั่นพอดี ในเวลานั้นกษัตริย์อาหัสยาห์ของยูดาห์ได้ลงไปเยี่ยมเยียนกษัตริย์โยรัม

17 เมื่อคนเฝ้ายามที่ยืนอยู่บนหอคอยในยิสเรเอลเห็นกองทัพของเยฮูกำลังใกล้เข้ามา เขาร้องออกมาว่า “เราเห็นกองทัพจำนวนหนึ่งกำลังใกล้เข้ามา”

กษัตริย์โยรัมจึงออกคำสั่งไปว่า “เตรียมทหารม้าไว้คนหนึ่ง ส่งเขาไปพบคนเหล่านั้นและถามว่า ‘พวกท่านมาอย่างสันติหรือไม่’”

18 ทหารม้าคนนั้นขี่ม้าออกไปพบกับเยฮูและพูดว่า “กษัตริย์สั่งให้มาถามว่า ‘พวกท่านมาอย่างสันติหรือไม่’”

เยฮูตอบไปว่า “ท่านต้องการสันติไปทำอะไร มาติดตามเราเถิด”

คนสังเกตการณ์มารายงานว่า “คนส่งข่าวไปถึงพวกเขาแล้ว แต่ไม่ได้กลับออกมา”

19 กษัตริย์จึงส่งทหารม้าคนที่สองออกไปอีก เมื่อเขาเข้าไปหาคนเหล่านั้น เขาก็พูดว่า “กษัตริย์สั่งให้มาถามว่า ‘ท่านมาอย่างสันติ[u] หรือไม่’”

เยฮูตอบไปว่า “ท่านต้องการสันติไปทำอะไร มาติดตามเราเถิด”

20 คนสังเกตการณ์กลับมารายงานว่า “คนส่งข่าวไปถึงคนพวกนั้นแล้ว แต่เขาก็ไม่ได้กลับออกมาเหมือนกัน คนขับรถรบนั้นเหมือนกับเยฮู ลูกชายของนิมชี เขาขับเหมือนกับคนบ้า”

21 โยรัมออกคำสั่งไปว่า “เตรียมรถรบให้เรา”

และเมื่อรถรบมาถึง กษัตริย์โยรัมของอิสราเอลและกษัตริย์อาหัสยาห์ของยูดาห์ก็ได้ขับมันออกไป ทั้งสองคนต่างก็ขับรถรบของตัวเองไป เพื่อไปพบกับเยฮู พวกเขามาพบเยฮูบนที่ดินผืนหนึ่งที่เป็นของนาโบทชาวยิสเรเอล

22 เมื่อโยรัมเห็นเยฮูก็ถามขึ้นว่า “เยฮู ท่านมาอย่างสันติหรือเปล่า”

เยฮูตอบว่า “จะมีสันติได้อย่างไร ในเมื่อบรรดารูปเคารพและเวทมนตร์คาถา[v] เหล่านั้นของแม่ท่าน ยังมีอยู่อย่างเกลื่อนกลาด”

23 โยรัมหันรถกลับและหนีไป เขาร้องบอกกับอาหัสยาห์ว่า “อาหัสยาห์ มันทรยศพวกเรา”

24 แล้วเยฮูก็โก่งคันธนูสุดแรงเกิดของเขา ยิงไปถูกโยรัมตรงระหว่างไหล่[w] ลูกธนูปักทะลุหัวใจของโยรัม และเขาก็ล้มลงอยู่ในรถรบของเขา

25 เยฮูได้พูดกับบิดคาร์ที่เป็นเจ้าหน้าที่ประจำรถรบของโยรัมว่า “เอาตัวเขาขึ้นมาและโยนเขาไว้ในที่นาของนาโบทชาวยิสเรเอล จำได้ไหมว่า เรากับท่านเคยขับรถรบร่วมกันตามหลังอาหับพ่อของโยรัมเมื่อครั้งที่พระยาห์เวห์ทำนายเกี่ยวกับเขาไว้ว่า 26 ‘พระยาห์เวห์ประกาศว่า เมื่อวานนี้ เราได้เห็นเลือดของนาโบทและเลือดของบรรดาลูกชายของเขา และพระยาห์เวห์ ประกาศอีกว่า เราจะทำให้เจ้าต้องชดใช้มันบนที่ดินที่เป็นของเขา’ ฉะนั้นในตอนนี้ เอาตัวเขาขึ้นมาและโยนเขาไปบนที่ดินผืนนั้น ตามคำพูดของพระยาห์เวห์”

27 เมื่อกษัตริย์อาหัสยาห์ของยูดาห์ได้เห็นสิ่งที่เกิดขึ้นแล้ว ก็หลบหนีไปบนถนนที่ไปสู่เบธฮักกาน เยฮูไล่ตามเขาไปและตะโกนว่า “ฆ่ามันด้วย”

พวกเขาทำให้กษัตริย์อาหัสยาห์ได้รับบาดเจ็บอยู่บนรถรบของเขาในระหว่างทางที่จะขึ้นไปเมืองกูร์ซึ่งอยู่ใกล้กับเมืองอิบเลอัม แต่เขาได้หนีไปถึงเมกิดโดและตายที่นั่น 28 บรรดาคนรับใช้ของเขาได้ใช้รถรบบรรทุกศพของเขาไปถึงเมืองเยรูซาเล็มและฝังเขาไว้กับบรรพบุรุษของเขาที่หลุมฝังศพของเขาในเมืองของดาวิด

29 (อาหัสยาห์ขึ้นเป็นกษัตริย์ของยูดาห์ ตรงกับปีที่สิบเอ็ดที่โยรัมลูกชายของอาหับ เป็นกษัตริย์ของอิสราเอล)

ความตายที่น่ากลัวของเยเซเบล

30 แล้วเยฮูก็ไปที่เมืองยิสเรเอล เมื่อเยเซเบลได้ยินเรื่องนี้เข้า นางใช้เครื่องสำอางแต่งที่ตาของนาง และทำผมใหม่และมองออกไปที่หน้าต่างบานหนึ่ง 31 เมื่อเยฮูเข้ามาที่ประตู นางถามว่า “ศิมรี[x] เจ้ามาอย่างสันติหรือ เจ้าฆาตกรผู้ฆ่าเจ้านายของตัวเอง”

32 เยฮูมองขึ้นไปที่หน้าต่างบานนั้น และร้องออกมาว่า “ใครอยู่ฝ่ายเรา ใครบ้าง”

มีขันทีอยู่สองสามคนมองลงมาที่เขา 33 เยฮูจึงพูดว่า “โยนตัวนางลงมาสิ”

พวกเขาจึงโยนนางลงมา เลือดของนางบางส่วนกระเด็นไปติดกำแพงและติดตัวม้าบางตัวที่เหยียบย่ำลงบนตัวนาง 34 เยฮูเข้าไปในบ้าน ไปกินและดื่ม เขาพูดว่า “ดูแลหญิงที่ถูกสาปแช่งคนนั้น และฝังนางไว้ เพราะอย่างไรเสียนางก็เป็นลูกสาวของกษัตริย์”

35 แต่เมื่อพวกเขาออกไปเพื่อที่จะฝังศพนาง พวกเขาก็ไม่พบชิ้นส่วนใดของนางเลย นอกจากหัวกะโหลก เท้าและมือทั้งสองข้างของนาง 36 พวกเขากลับมาบอกเยฮู เยฮูจึงบอกไปว่า “พระยาห์เวห์ได้พูดผ่านทางเอลียาห์ชาวเมืองทิชบีผู้รับใช้พระองค์ว่า บนที่ดินในเมืองยิสเรเอล หมาหลายตัวจะมารุมกินเนื้อของเยเซเบล 37 ศพของเยเซเบลจะกระจัดกระจายไปเหมือนขี้วัวทั่วทุ่งในเขตแดนยิสเรเอล เพื่อจะได้ไม่มีใครบอกได้ว่า ‘นี่คือเยเซเบล’”

การฆ่าล้างเผ่าพันธ์กษัตริย์อาหับ

10 มีลูกชายของอาหับอยู่เจ็ดสิบคนในเมืองสะมาเรีย เยฮูจึงเขียนจดหมายหลายฉบับส่งไปเมืองสะมาเรีย ไปถึงพวกผู้นำของเมืองยิสเรเอล ไปถึงพวกผู้ใหญ่และพวกผู้ดูแลลูกๆของอาหับ เยฮูพูดว่า “เนื่องจากว่าพวกลูกชายของเจ้านายท่านยังอยู่กับท่าน และท่านก็ยังมีพวกรถรบและพวกม้า มีเมืองที่เป็นป้อมปราการ มีพวกอาวุธ ทันทีที่จดหมายฉบับนี้ถึงมือท่าน ให้เลือกลูกชายคนที่ดีที่สุดและที่เหมาะสมที่สุดในบรรดาลูกชายทั้งหมดของเจ้านายท่าน และให้เขาขึ้นนั่งบนบัลลังก์ของพ่อของเขา และให้ต่อสู้เพื่อครอบครัวของเจ้านายท่านสิ”

แต่พวกเขากลัวสุดขีดและพูดกันว่า “ดูสิ ขนาดกษัตริย์สององค์ยังไม่สามารถต่อต้านเขาได้เลย แล้วพวกเราจะไปหยุดเขาได้ยังไง”

ดังนั้น ผู้ดูแลวัง ผู้ว่าการเมือง บรรดาผู้ใหญ่ทั้งหลายและผู้ดูแลลูกๆของอาหับจึงได้ส่งคนไปบอกเยฮูว่า “พวกข้าพเจ้าคือผู้รับใช้ของท่านและพวกข้าพเจ้าจะทำทุกสิ่งทุกอย่างตามที่ท่านพูด พวกข้าพเจ้าจะไม่แต่งตั้งใครเป็นกษัตริย์ทั้งสิ้น ท่านเห็นว่าอะไรดีก็ทำเถิด”

แล้วเยฮูก็เขียนจดหมายฉบับที่สองถึงพวกเขาว่า “ถ้าพวกท่านอยู่ฝ่ายเรา และเชื่อฟังเรา วันพรุ่งนี้ เวลานี้ ให้เอาหัว[y] ของพวกลูกชายเจ้านายท่านมาให้กับเราในเมืองยิสเรเอล”

ในเวลานั้น พวกเจ้าชายทั้งเจ็ดสิบองค์ได้อยู่กับพวกผู้นำของเมืองที่มีหน้าที่ดูแลพวกเขาอยู่ เมื่อจดหมายฉบับนี้มาถึง คนเหล่านี้ก็จับตัวพวกเจ้าชายเหล่านั้นมาฆ่าทิ้งหมดทั้งเจ็ดสิบองค์ พวกเขาเอาหัวของเจ้าชายเหล่านั้นใส่ไว้ในตะกร้าและส่งไปให้กับเยฮูในเมืองยิสเรเอล เมื่อคนส่งข่าวมาถึง เขาได้บอกกับเยฮูว่า “พวกเขาได้นำหัวของเจ้าชายเหล่านั้นมาแล้ว”

เยฮูจึงสั่งไปว่า “เอาหัวเหล่านั้นกองไว้เป็นสองกองที่ทางเข้าประตูเมืองจนกว่าจะเช้า”

เช้าวันต่อมา เยฮูได้ออกไปข้างนอก เขาไปยืนอยู่ต่อหน้าประชาชนทั้งหมดและพูดว่า “พวกเจ้าไร้ความผิด เป็นเราเองที่ได้กบฏต่อเจ้านายของเราและฆ่าเขาเสีย แต่ใครล่ะที่ฆ่าคนเหล่านี้ 10 รู้ไว้เถิดว่า คำพูดทุกคำที่พระยาห์เวห์ได้พูดต่อต้านครอบครัวของอาหับนั้น จะต้องเป็นจริงทุกคำ พระยาห์เวห์ได้ทำในสิ่งที่พระองค์ได้พูดไว้ผ่านทางเอลียาห์ผู้รับใช้พระองค์”

11 เยฮูก็เลยฆ่าทุกคนในครอบครัวของอาหับที่ยังเหลืออยู่ในเมืองยิสเรเอลจนหมด รวมทั้งพวกผู้นำของเขา รวมทั้งเพื่อนสนิทและพวกนักบวชของเขา ไม่เหลือใครสักคนเลย

12 แล้วเยฮูก็ออกเดินทางไปที่เมืองสะมาเรีย ถึงที่เบธเอเขดซึ่งเป็นค่ายของพวกคนเลี้ยงแกะ 13 เขาพบกับญาติๆของกษัตริย์อาหัสยาห์แห่งยูดาห์ และได้ถามพวกเขาว่า “พวกเจ้าเป็นใครกัน”

พวกเขาตอบว่า “พวกเราเป็นญาติของอาหัสยาห์ และพวกเราได้ลงมาที่นี่เพื่อเยี่ยมเยียนครอบครัวของกษัตริย์และครอบครัวของแม่กษัตริย์”

14 เยฮูสั่งว่า “จับพวกมันทั้งเป็น” พวกเขาจึงได้จับตัวคนเหล่านั้นไว้และนำตัวไปฆ่าที่ข้างบ่อเก็บน้ำของเบธเอเขด รวมทั้งหมดสี่สิบสองคน เขาไม่ไว้ชีวิตสักคนเลย

เยฮูพบกับเยโฮนาดับ

15 หลังจากที่เยฮูออกจากที่นั่น เขาได้พบกับเยโฮนาดับลูกชายของเรคาบซึ่งกำลังมาหาเขา เยฮูทักทายเยโฮนาดับ และพูดว่า “เจ้าเป็นเพื่อนที่ซื่อตรงต่อเรา เหมือนกับที่เราซื่อตรงต่อเจ้าหรือเปล่า”[z]

เยโฮนาดับตอบว่า “ซื่อตรงสิ”

เยฮูพูดอีกว่า “ถ้าเป็นอย่างนั้น ให้เราจับมือสัญญากัน”

เยโฮนาดับจึงยื่นมือให้ แล้วเยฮูก็ให้เขาขึ้นมาบนรถรบ

16 เยฮูพูดว่า “ไปกับเราและไปดูความร้อนรนของเราที่มีต่อพระยาห์เวห์เถิด”

แล้วเขาก็พาเยโฮนาดับไปกับรถรบของเขาด้วย 17 เมื่อเยฮูมาถึงเมืองสะมาเรีย เขาได้ฆ่าทุกคนในครอบครัวของอาหับที่ยังเหลืออยู่ จนหมดเกลี้ยง ตามคำพูดของพระยาห์เวห์ที่ได้พูดไว้กับเอลียาห์

เยฮูฆ่าคนที่นมัสการพระบาอัล

18 แล้วเยฮูเรียกประชาชนทั้งหมดมารวมตัวกันและพูดกับพวกเขาว่า “อาหับรับใช้พระบาอัลแต่เพียงเล็กน้อย แต่เยฮูจะรับใช้พระบาอัลให้มากกว่านั้นอีก 19 ตอนนี้ เรียกตัวพวกผู้พูดแทนพระบาอัลทั้งหมด รวมทั้งผู้นมัสการและนักบวชของพระบาอัลทั้งหมดมา ดูให้ดีอย่าให้ขาดใครแม้แต่คนเดียว เพราะเรากำลังจะถวายเครื่องบูชาที่ยิ่งใหญ่ให้กับพระบาอัล ใครที่ไม่มาร่วมงานจะต้องตาย”

แต่เยฮูกำลังหลอกพวกเขาเพื่อที่จะได้ทำลายพวกที่บูชาพระบาอัลให้หมด 20 เยฮูสั่งว่า “ให้จัดประชุมอันศักดิ์สิทธิ์ให้กับพระบาอัล” พวกเขาจึงได้ประกาศออกไป 21 แล้วเยฮูก็ประกาศไปทั่วอิสราเอล และพวกที่บูชาพระบาอัลทั้งหมดก็มา ไม่ขาดใครเลยแม้แต่คนเดียว พวกเขาได้ชุมนุมกันอยู่ในวิหาร ของพระบาอัลจนกระทั่งวิหารมีคนเต็มไปหมดทุกด้าน

22 เยฮูก็พูดกับคนดูแลเรื่องเสื้อผ้าว่า “หาเสื้อมาให้กับผู้ที่บูชาพระบาอัลทั้งหมด” เขาก็เอาชุดเหล่านั้นออกมาให้พวกนั้น

23 แล้วเยฮูและเยโฮนาดับลูกชายของเรคาบ เข้าไปในวิหารของพระบาอัล เยฮูพูดกับพวกที่บูชาพระบาอัลว่า “ดูให้ดี ให้แน่ใจว่าไม่มีพวกที่นมัสการพระยาห์เวห์อยู่ท่ามกลางพวกเจ้า ให้เหลือแต่คนที่บูชาพระบาอัลเท่านั้น” 24 พวกเขาจึงเข้าไปถวายเครื่องสัตวบูชาและเครื่องเผาบูชา

ขณะนั้นเยฮูได้จัดคนไว้แปดสิบคนให้อยู่ด้านนอกพร้อมกับสั่งพวกเขาไว้ว่า “ถ้าพวกเจ้าคนหนึ่งคนใดปล่อยให้ใครในพวกนั้นที่เราได้มอบไว้ในมือของพวกเจ้าแล้ว หลบหนีไปได้ พวกเจ้าจะต้องชดใช้ด้วยชีวิตของเจ้าเอง”

25 ทันทีที่เยฮูถวายเครื่องเผาบูชาเสร็จสิ้นลง เขาก็ได้สั่งพวกทหารรักษาพระองค์และพวกผู้นำทหารว่า “เข้าไปฆ่าพวกมันให้หมด อย่าให้มีใครเล็ดรอดไปได้”

ดังนั้นพวกเขาจึงเอาดาบฆ่าฟันคนเหล่านั้น เหล่าทหารรักษาพระองค์และพวกผู้นำทหารได้โยนศพออกมาทิ้งข้างนอก แล้วก็เข้าไปในห้องด้านใน[aa] ของวิหารพระบาอัลแห่งนั้น 26 พวกเขาเอาแท่งหินศักดิ์สิทธิ์ออกมาจากวิหารของพระบาอัลและเผามันทิ้ง 27 นอกจากได้ทุบแท่งหินศักดิ์สิทธิ์ของพระบาอัลจนแตกละเอียดแล้ว พวกเขาก็ยังทำลายวิหารของพระบาอัลอีกด้วย และใช้สถานที่นั้นเป็นส้วมสาธารณะมาจนถึงทุกวันนี้

28 แล้วเยฮูก็ได้ทำลายพวกที่บูชาพระบาอัลในอิสราเอลจนหมด 29 ถึงอย่างนั้นก็ตาม เขาก็ไม่ได้หันเหไปจากบาปต่างๆที่เยโรโบอัมลูกชายของเนบัทเคยทำไว้ ซึ่งทำให้อิสราเอลพลอยทำบาปไปด้วย คือเยฮูไม่ได้ทำลายรูปปั้นลูกวัวทองคำที่อยู่ในเบธเอลและดาน

พระยาห์เวห์อวยพรเยฮู

30 พระยาห์เวห์พูดกับเยฮูว่า “เจ้าได้ทำสิ่งที่ถูกต้องในสายตาของเราจนสำเร็จ และได้ทำให้ครอบครัวของอาหับเป็นเหมือนกับที่เราได้คิดไว้ เพราะอย่างนั้น ลูกหลานของเจ้าจะได้นั่งอยู่บนบัลลังก์ของอิสราเอลจนถึงสี่ชั่วคน”

31 แต่เยฮูไม่ระมัดระวังที่จะทำตามกฎของพระยาห์เวห์พระเจ้าของอิสราเอลไว้ด้วยสิ้นสุดใจของเขา เขาไม่ยอมหันเหไปจากบาปของเยโรโบอัม ซึ่งทำให้อิสราเอลพลอยทำบาปไปด้วย

ฮาซาเอลเอาชนะอิสราเอลได้

32 ในสมัยนั้น พระยาห์เวห์เริ่มตัดส่วนต่างๆของอิสราเอลออก กษัตริย์ฮาซาเอลของอารัมได้เอาชนะชาวอิสราเอลตามพรมแดนของพวกเขา 33 ตั้งแต่ทางฝั่งตะวันออกของแม่น้ำจอร์แดน ดินแดนทั้งหมดของกิเลอาด รวมทั้งดินแดนที่เป็นของเผ่ากาด เผ่ารูเบนและเผ่ามนัสเสห์ และเขามีชัยตั้งแต่อาโรเออร์ที่อยู่ติดกับลำธารอารโนนไปจนถึงกิเลอาดและบาชาน

ความตายของเยฮู

34 เหตุการณ์อื่นๆในยุคสมัยของเยฮู ทุกสิ่งทุกอย่างที่เขาได้ทำไปและความสำเร็จต่างๆของเขา ได้จดบันทึกไว้แล้วในหนังสือประวัติของบรรดากษัตริย์แห่งอิสราเอล 35 แล้วเยฮูก็ตายไปอยู่กับบรรพบุรุษของเขาและถูกฝังอยู่ในเมืองสะมาเรีย และเยโฮอาหาสลูกชายของเขาก็ขึ้นเป็นกษัตริย์สืบต่อจากเขา 36 เยฮูปกครองอิสราเอลอยู่ในเมืองสะมาเรียเป็นเวลายี่สิบแปดปี

นางอาธาลิยาห์ฆ่าพวกลูกๆของกษัตริย์

(2 พศด. 22:10-12)

11 เมื่อนางอาธาลิยาห์ซึ่งเป็นแม่ของอาหัสยาห์เห็นว่าลูกชายของนางตายแล้ว นางได้ลงมือฆ่าครอบครัวของกษัตริย์อาหัสยาห์ทั้งหมด

แต่เยโฮเชบาที่เป็นลูกสาวของกษัตริย์เยโฮรัม[ab] และเป็นน้องสาวของอาหัสยาห์ได้แอบพาโยอาชลูกชายของอาหัสยาห์ไปจากพวกเจ้าชายทั้งหลายที่กำลังจะถูกฆ่า นางได้เอาตัวโยอาชและพี่เลี้ยงของเขาไปไว้ในห้องนอนห้องหนึ่งเพื่อหลบซ่อนตัวจากนางอาธาลิยาห์ โยอาชก็เลยไม่ได้ถูกฆ่าไปด้วย

โยอาชยังคงหลบซ่อนตัวกับพี่เลี้ยงของเขาอยู่ในวิหาร ของพระยาห์เวห์เป็นเวลาถึงหกปีในช่วงที่นางอาธาลิยาห์ปกครองแผ่นดินนั้น

เยโฮยาดาเจิมโยอาชเป็นกษัตริย์

(2 พศด. 23:1-21)

ในปีที่เจ็ด นักบวชเยโฮยาดาเรียกพวกผู้นำทหารของชาวคารี[ac] และทหารรักษาพระองค์มา และสั่งให้พวกเขามาหาที่วิหารของพระยาห์เวห์ เขาได้ทำข้อตกลงกับคนเหล่านั้น และให้พวกเขาสาบานที่วิหารของพระยาห์เวห์ แล้วเขาถึงเอาโยอาชที่เป็นลูกชายของกษัตริย์ออกมา

เยโฮยาดาสั่งคนเหล่านั้นว่า “นี่คือสิ่งที่พวกท่านจะต้องทำ หนึ่งในสามของพวกท่าน ที่ต้องมาอยู่เวรในวันหยุดทางศาสนา จะต้องไปเฝ้าดูวังของกษัตริย์ อีกหนึ่งในสามต้องเฝ้าดูอยู่ที่ประตูสูร และอีกหนึ่งในสามที่เหลือไปอยู่ที่ประตูที่อยู่ด้านหลังทหารรักษาพระองค์ อย่างนี้พวกท่านก็จะเฝ้าดูแลวังจากทุกด้าน ส่วนพวกท่านสองกลุ่มที่ไม่ต้องอยู่เวรในวันหยุดทางศาสนา จะต้องมาคอยเฝ้าวิหารของพระยาห์เวห์และปกป้องกษัตริย์ พวกท่านจะต้องล้อมรอบกษัตริย์ไว้ ให้แต่ละคนถืออาวุธพร้อมมือ ใครก็ตามที่เข้ามาใกล้กษัตริย์ต้องถูกฆ่า ให้อยู่กับกษัตริย์ไม่ว่าเขาจะไปที่ไหนก็ตาม”

พวกผู้นำเหล่าทัพได้ทำตามที่เยโฮยาดานักบวชได้สั่งไว้ แต่ละคนได้นำทหารของเขามา ทั้งที่อยู่เวรในวันหยุดทางศาสนา และคนที่ไม่ได้อยู่เวร พวกเขาได้พากันมาหานักบวชเยโฮยาดา 10 แล้วเขาก็ได้แจกพวกหอกและโล่ให้กับพวกผู้นำเหล่าทัพนั้น มันเป็นหอกและโล่ของกษัตริย์ดาวิดที่เก็บอยู่ในวิหารของพระยาห์เวห์นั่นเอง 11 เหล่าทหารรักษาพระองค์ทุกคนถืออาวุธพร้อมมือ ประจำที่ของตนรอบๆวิหาร จากด้านใต้จดด้านเหนือ พวกเขายืนอยู่รอบแท่นบูชาและวิหาร รวมทั้งยืนอยู่รอบตัวกษัตริย์ด้วย 12 เยโฮยาดาได้พาโยอาชที่เป็นลูกชายกษัตริย์ออกมาและสวมมงกุฎให้กับเขา และได้มอบสำเนาข้อตกลง[ad]ที่พระเจ้าได้ทำกับคนของพระองค์ให้กับเขา พวกเขาได้เจิมโยอาชขึ้นเป็นกษัตริย์และพวกเขาก็ตบมือโห่ร้องว่า “กษัตริย์จงเจริญ”

13 เมื่อนางอาธาลิยาห์ได้ยินเสียงอึกทึกที่เหล่าทหารรักษาพระองค์และประชาชนตะโกน นางออกมาหาประชาชนที่วิหารของพระยาห์เวห์ 14 นางมองไปและเห็นกษัตริย์ยืนอยู่ข้างเสาตามประเพณี มีพวกผู้นำเหล่าทัพและคนเป่าแตรอยู่ที่ด้านข้างของกษัตริย์ และประชาชนทั้งหมดในแผ่นดินต่างก็ร่าเริงยินดีและเป่าเขาสัตว์กัน นางอาธาลิยาห์ก็ฉีกเสื้อผ้าของนางและร้องตะโกนว่า “กบฏ กบฏ”

15 นักบวชเยโฮยาดาสั่งพวกผู้นำเหล่าทัพที่ได้ตั้งให้ดูแลกองทัพว่า “นำนางออกมาจากท่ามกลางกองทหาร และฆ่าทุกคนที่ติดตามนาง” เพราะนักบวชพูดว่า “อย่าฆ่านางภายในวิหารของพระยาห์เวห์แห่งนี้”

16 พวกเขาจับตัวนางไว้ได้ ในขณะที่นางกำลังจะเข้าไปในวังทางประตูม้า และนางก็ถูกฆ่าตายที่นั่น

17 แล้วเยโฮยาดาก็ได้ทำข้อตกลงระหว่างพระยาห์เวห์กับกษัตริย์และประชาชน ว่าพวกเขาจะเป็นประชาชนของพระยาห์เวห์ เขายังได้ทำข้อตกลงระหว่างกษัตริย์กับประชาชนอีกด้วย

18 ประชาชนทั้งหมดในแผ่นดินนั้นได้ไปที่วิหารของพระบาอัลและรื้อมันทิ้งไป พวกเขาทุบพวกแท่นบูชาและรูปเคารพทั้งหมดจนแตกเป็นชิ้นๆและฆ่ามัทธานที่เป็นนักบวชของพระบาอัลที่หน้าแท่นบูชาเหล่านั้น

แล้วนักบวชเยโฮยาดาก็ให้ทหารยามอยู่เฝ้าที่วิหารของพระยาห์เวห์ 19 เขากับพวกผู้นำเหล่าทัพ คนคารี และทหารรักษาพระองค์ รวมทั้งประชาชนทั้งหมดของแผ่นดิน ได้พากษัตริย์ลงมาจากวิหารของพระยาห์เวห์ และเข้าไปในวัง ผ่านทางประตูสำหรับทหารรักษาพระองค์ แล้วกษัตริย์ก็ขึ้นไปนั่งบนบัลลังก์ 20 และประชาชนทั้งหมดบนแผ่นดินนั้นต่างก็เฉลิมฉลองรื่นเริงกัน และบ้านเมืองก็สงบสุข เพราะนางอาธาลิยาห์ถูกฆ่าด้วยดาบแล้วภายในวัง

21 โยอาชมีอายุเจ็ดปีเมื่อเขาขึ้นครองราชย์

โยอาชเริ่มปกครอง

(2 พศด. 24:1-16)

12 โยอาชขึ้นครองราชย์ ตรงกับปีที่เจ็ดที่เยฮูเป็นกษัตริย์ของอิสราเอล โยอาชครองราชย์อยู่ในเมืองเยรูซาเล็มเป็นเวลาสี่สิบปี แม่ของเขาชื่อศิบียาห์ นางมาจากเมืองเบเออร์เชบา โยอาชทำในสิ่งที่ถูกต้องในสายตาของพระยาห์เวห์ตลอดชีวิตของเขา เขาทำตามที่นักบวชเยโฮยาดาได้สั่งสอนเขาไว้ แต่สถานนมัสการต่างๆก็ยังไม่ได้ถูกรื้อทิ้ง ประชาชนยังคงไปถวายเครื่องสัตวบูชาและเผาเครื่องหอมที่นั่นเหมือนเดิม

โยอาชสั่งให้ซ่อมแซมวิหาร

(2 พศด. 24:1-14)

โยอาชพูดกับพวกนักบวชว่า “เงินทั้งหมดที่คนเอาเข้ามาในวิหารของพระยาห์เวห์ เพื่อถวายเป็นของขวัญศักดิ์สิทธิ์ เช่น เงินที่กำหนดให้จ่ายตามรายบุคคล เงินที่ได้มาจากการแก้บน เงินที่คนเอามาถวายด้วยความสมัครใจให้กับวิหารแห่งนี้ ให้นักบวชแต่ละคนรับเงินเหล่านั้นมาจากคนที่พวกเขาให้บริการนั้น และให้ใช้เงินเหล่านั้นในการซ่อมแซมจุดต่างๆในวิหารที่พวกเขาเห็นว่าเสียหาย”

แต่จนถึงปีที่ยี่สิบสามของกษัตริย์โยอาช พวกนักบวชก็ยังไม่ได้ซ่อมแซมวิหารนั้น กษัตริย์โยอาชจึงได้เรียกตัวนักบวชเยโฮยาดาและนักบวชคนอื่นๆเข้ามาและถามพวกเขาว่า “ทำไมพวกท่านถึงยังไม่ได้ซ่อมแซมวิหาร พวกท่านหยุดรับเงินจากคนที่พวกท่านให้บริการได้แล้ว ให้มอบเงินนั้นให้กับคนอื่นซ่อมแซมวิหารได้แล้ว”

พวกนักบวชต่างเห็นด้วยที่จะไม่เก็บเงินจากประชาชนอีก และตัดสินใจที่จะไม่ซ่อมแซมวิหารเองด้วย นักบวชเยโฮยาดาเอาหีบใส่เงินใบหนึ่งเจาะรูไว้บนฝาของมัน แล้วนำไปวางไว้ที่ด้านข้างทางขวาของแท่นบูชา หีบนี้อยู่ใกล้ประตูทางเข้าวิหารของพระยาห์เวห์ นักบวชบางคนที่เฝ้าอยู่ที่ประตูทางเข้า[ae] ได้เอาเงินที่คนเอามาถวายให้กับพระยาห์เวห์ ใส่ไว้ในหีบใบนั้น

10 เมื่อไหร่ก็ตามที่พวกเขาเห็นว่ามีเงินอยู่ในหีบใบนั้นมากแล้ว เลขาของกษัตริย์และนักบวชชั้นสูงสุด ก็จะมานับเงินนั้นในวิหารของพระยาห์เวห์และใส่ไว้ในถุงหลายใบ 11 เมื่อมีจำนวนเงินมากแล้ว พวกเขาก็เอาเงินนั้นไปให้กับผู้ควบคุมงานในวิหารแห่งนั้น พวกนี้ก็จะได้เอาเงินนี้ไปจ่ายให้กับคนงานที่ทำงานอยู่ในวิหารของพระยาห์เวห์ เช่น ช่างไม้ ช่างก่อสร้าง 12 ช่างอิฐ และคนตัดหิน พวกเขาเอาเงินนั้นไปซื้อไม้และหินที่ตัดแต่งแล้วมาเพื่อใช้ในการซ่อมแซมวิหารของพระยาห์เวห์ รวมทั้งค่าใช้จ่ายอื่นๆที่จำเป็นในการซ่อมแซมวิหาร

13 เงินที่ได้มานี้ นักบวชไม่สามารถนำไปใช้ในการทำอ่างเงิน กรรไกรตัดไส้ตะเกียง ชามสำหรับประพรม แตรเขาสัตว์ หรือข้าวของเครื่องใช้ที่ทำขึ้นจากทองคำหรือเงินสำหรับวิหารของพระยาห์เวห์ 14 แต่เขาจ่ายเงินนั้นสำหรับพวกคนงานที่ต้องใช้เงินในการซ่อมแซมวิหาร 15 พวกที่ให้เงินนี้ ไม่ได้ขอให้คนงานทำบัญชีค่าใช้จ่าย เพราะพวกคนงานเหล่านี้ล้วนไว้ใจได้

16 เงินที่ได้จากเครื่องบูชาชำระล้างและเครื่องบูชาตอบแทน ไม่ได้เอามาเก็บไว้ในวิหารเพราะมันเป็นของพวกนักบวช

โยอาชยอมสละของมีค่าให้ฮาซาเอล

17 ในเวลานั้น กษัตริย์ฮาซาเอลของอารัมได้ขึ้นมาโจมตีเมืองกัทและยึดเมืองไว้ได้ แล้วเขาก็ตั้งใจที่จะขึ้นมาโจมตีเมืองเยรูซาเล็ม

18 แต่กษัตริย์โยอาช[af] ของยูดาห์ได้เอาของทั้งหมดที่บรรพบุรุษของเขาคือเยโฮชาฟัท เยโฮรัมและอาหัสยาห์ ที่เคยเป็นกษัตริย์ของยูดาห์ ได้อุทิศให้กับพระยาห์เวห์ รวมทั้งของที่ตัวท่านเองได้อุทิศไว้ด้วย ตลอดจนทองคำทั้งหมดที่อยู่ในคลังของพระยาห์เวห์ และในวังของกษัตริย์ด้วย เขาเอาของมีค่าทั้งหมดนี้ส่งไปให้กับกษัตริย์ฮาซาเอลของชาวอารัม แล้วฮาซาเอลก็ได้ถอยทัพไปจากเมืองเยรูซาเล็ม

โยอาชตาย

(2 พศด. 24:23-27)

19 ส่วนเหตุการณ์อื่นๆในสมัยของโยอาชและสิ่งที่เขาได้ทำไปทั้งหมด ได้จดบันทึกไว้แล้วในหนังสือประวัติของบรรดากษัตริย์แห่งยูดาห์

20 พวกข้าราชการของโยอาช ได้รวมหัวกันวางแผนกบฏและฆ่าเขาที่เบธมิลโล บนทางที่จะลงไปสิลลา 21 พวกข้าราชการที่ได้ฆ่าเขาก็คือโยซาคาร์ลูกชายของชิเมอัทและเยโฮซาบาดลูกชายของโชเมอร์

เขาตายและถูกฝังไว้กับบรรพบุรุษของเขาในเมืองของดาวิด และอามาซิยาห์ที่เป็นลูกชายของเขาก็ขึ้นเป็นกษัตริย์สืบต่อจากเขา

เยโฮอาหาสปกครองอิสราเอล

13 เยโฮอาหาสลูกชายของเยฮูขึ้นเป็นกษัตริย์ของอิสราเอลในเมืองสะมาเรีย ตรงกับปีที่ยี่สิบสาม ที่กษัตริย์โยอาชปกครองยูดาห์ โยอาชเป็นลูกชายของอาหัสยาห์ เยโฮอาหาสครองราชย์อยู่สิบเจ็ดปี

เยโฮอาหาสทำความชั่วในสายตาของพระยาห์เวห์ เขาทำบาปตามเยโรโบอัมลูกชายของเนบัท ซึ่งทำให้อิสราเอลพลอยทำบาปไปด้วย เยโฮอาหาสไม่ยอมหันไปจากบาปเหล่านั้น ดังนั้น ความโกรธของพระยาห์เวห์จึงลุกเป็นไฟขึ้นต่ออิสราเอล และพระองค์ทำให้พวกเขาต้องตกอยู่ใต้อำนาจของกษัตริย์ฮาซาเอลของชาวอารัมและของเบนฮาดัดลูกชายของเขาอยู่เรื่อยๆ

พระยาห์เวห์เมตตาชาวอิสราเอล

แล้วเยโฮอาหาสก็อ้อนวอนให้พระยาห์เวห์ช่วย และพระยาห์เวห์ฟังเขา เพราะพระองค์เห็นแล้วว่ากษัตริย์ของชาวอารัมได้กดขี่ข่มเหงอิสราเอลอย่างรุนแรง

พระยาห์เวห์ได้ส่งคนหนึ่งมาช่วยเหลืออิสราเอล แล้วอิสราเอลก็หลุดพ้นจากอำนาจของอารัม แล้วชาวอิสราเอลก็ได้อาศัยอยู่ในบ้านเมืองของพวกเขาอย่างเดิม

แต่อย่างไรก็ตาม ชาวอิสราเอลก็ยังไม่ได้เลิกทำตามพวกบาปต่างๆของครอบครัวเยโรโบอัม ซึ่งทำให้อิสราเอลพลอยทำบาปไปด้วย พวกอิสราเอลยังดำเนินในบาปนั้น และพวกเขาก็ยังเก็บเสาศักดิ์สิทธิ์ของพระนางอาเชราห์ไว้ในเมืองสะมาเรียเหมือนเดิม

ในกองทัพของเยโฮอาหาสไม่มีอะไรหลงเหลืออยู่เลย นอกจากทหารม้าห้าสิบคน รถรบสิบคันและทหารเดินเท้าหนึ่งหมื่นคน เพราะกษัตริย์ของอารัมได้ทำลายพวกเขาไปอย่างกับแกลบที่ลอยไปตามลมตอนฝัดร่อนข้าว

ส่วนเหตุการณ์อื่นๆในสมัยของเยโฮอาหาส สิ่งที่เขาได้ทำไปทั้งหมดและความสำเร็จของเขา ได้จดบันทึกไว้แล้วในหนังสือประวัติของบรรดากษัตริย์แห่งอิสราเอล แล้วเยโฮอาหาสก็ตายไปอยู่กับบรรพบุรุษของเขาและถูกฝังอยู่ในเมืองสะมาเรีย และเยโฮอาชลูกชายของเขาก็ขึ้นเป็นกษัตริย์สืบต่อจากเขา

เยโฮอาชปกครองอิสราเอล

10 เยโฮอาชลูกชายของเยโฮอาหาสขึ้นเป็นกษัตริย์ของอิสราเอลในเมืองสะมาเรีย ตรงกับปีที่สามสิบเจ็ดที่กษัตริย์โยอาชปกครองยูดาห์ และเขาครองราชย์อยู่สิบหกปี 11 เยโฮอาชได้ทำความชั่วในสายตาของพระยาห์เวห์และไม่ยอมหันออกจากบาปทั้งสิ้นที่เยโรโบอัมลูกชายของเนบัททำ ซึ่งทำให้อิสราเอลพลอยทำบาปไปด้วย เยโฮอาชยังคงใช้ชีวิตอยู่ในบาปเหล่านั้น 12 ส่วนเหตุการณ์อื่นๆในยุคสมัยของเยโฮอาช ทุกอย่างที่เขาได้ทำไป และความสำเร็จของเขา รวมทั้งสงครามระหว่างเขากับกษัตริย์อามาซิยาห์ของยูดาห์นั้น ได้จดบันทึกไว้แล้วในหนังสือประวัติของบรรดากษัตริย์แห่งอิสราเอล 13 แล้วเยโฮอาชก็ได้ตายไปอยู่กับบรรพบุรุษของเขาและเยโรโบอัมก็ขึ้นเป็นกษัตริย์สืบต่อจากเขา ศพของเยโฮอาชถูกฝังอยู่ในเมืองสะมาเรียกับพวกกษัตริย์แห่งอิสราเอล

เอลีชาตาย

14 เมื่อเอลีชาล้มป่วยไม่สบาย จนทำให้เขาตายในที่สุด กษัตริย์เยโฮอาชของอิสราเอลได้ลงไปเยี่ยมเยียนเขาและกษัตริย์ก็ร้องไห้ต่อหน้าเขา กษัตริย์ได้ร่ำร้องไปว่า “ท่านพ่อ ท่านพ่อ ท่านเป็นพวกรถรบและพวกทหารม้าของอิสราเอล”[ag]

15 เอลีชาพูดว่า “ขอคันธนูหนึ่งคันกับลูกธนูจำนวนหนึ่งสิ”

และเขาก็ทำตาม 16 เอลีชาพูดกับกษัตริย์ของอิสราเอลว่า “จับคันธนูไว้ในมือของท่าน” เมื่อกษัตริย์ได้จับมันไว้แล้ว เอลีชาก็เอามือของเขาจับมือทั้งสองข้างของกษัตริย์ไว้ 17 เอลีชาพูดอีกว่า “เปิดหน้าต่างทางทิศตะวันออก” เขาก็ทำตามนั้น แล้วเอลีชาก็พูดว่า “ยิง”

และเขาก็ยิงลูกธนูออกไป เอลีชาก็ได้ประกาศออกมาว่า “นี่จะเป็นลูกธนูแห่งชัยชนะของพระยาห์เวห์ ลูกธนูแห่งชัยชนะเหนือพวกอารัม ท่านจะทำลายชาวอารัมได้อย่างราบคาบที่อาเฟก”

18 แล้วเอลีชาก็พูดว่า “หยิบลูกธนูพวกนั้นมา” แล้วกษัตริย์ได้หยิบลูกธนูเหล่านั้นมา เอลีชาบอกกับเขาว่า “ตีลงไปที่พื้นสิ”

เขาตีลงไปที่พื้นสามครั้งแล้วหยุด 19 เอลีชาคนของพระเจ้าโกรธกษัตริย์ และพูดว่า “ท่านควรจะตีห้าหรือหกครั้ง แล้วท่านจะได้ชัยชนะเหนือพวกอารัมและได้ทำลายพวกนั้นจนหมด แต่ตอนนี้ ท่านจะชนะพวกเขาได้แค่สามครั้งเท่านั้น”

กระดูกเอลีชาทำให้คนฟื้น

20 เอลีชาตายและถูกฝังไว้ ปกติแล้วกองโจรชาวโมอับชอบมาปล้นชาวอิสราเอลในช่วงฤดูใบไม้ผลิ 21 มีอยู่ครั้งหนึ่ง ในขณะที่ชาวอิสราเอลกำลังฝังศพชายคนหนึ่งอยู่ ทันใดนั้น พวกเขาก็ได้เห็นกองโจรมา พวกเขาจึงโยนศพของชายคนนั้นลงไปในหลุมศพของเอลีชา เมื่อศพนั้นไปโดนกระดูกของเอลีชาเข้า ชายคนนั้นก็กลับมีชีวิตขึ้น และยืนขึ้นมา

เยโฮอาชยึดเมืองคืนจากเบนฮาดัด

22 ในสมัยของกษัตริย์เยโฮอาหาส กษัตริย์ฮาซาเอลของชาวอารัมได้กดขี่ข่มเหงอิสราเอลตลอดเวลา 23 แต่พระยาห์เวห์มีเมตตากรุณาต่ออิสราเอลและสงสารพวกเขา ที่พระองค์ห่วงใยพวกเขาก็เป็นเพราะข้อตกลงที่พระองค์ได้ทำไว้กับอับราฮัม อิสอัคและยาโคบ จนกระทั่งวันนี้ พระองค์ก็ยังไม่ทำลายพวกเขาหรือล้มล้างพวกเขาให้หมดไปจากหน้าของพระองค์

24 กษัตริย์ฮาซาเอลของชาวอารัมตายไป และเบนฮาดัดลูกชายของเขาขึ้นเป็นกษัตริย์สืบต่อจากเขา 25 เมืองต่างๆของอิสราเอลที่ฮาซาเอลพ่อของเบนฮาดัดยึดไปตอนสมัยของเยโฮอาหาส ตอนนี้เยโฮอาชลูกชายเยโฮอาหาสได้ยึดคืนมาจากเบนฮาดัดลูกชายของฮาซาเอล เยโฮอาชชนะเบนฮาดัดสามครั้ง และได้ยึดเอาเมืองต่างๆของอิสราเอลคืนมาได้

อามาซิยาห์ปกครองยูดาห์

(2 พศด. 25:1-26:2)

14 อามาซิยาห์ลูกชายของกษัตริย์โยอาชของยูดาห์ ขึ้นเป็นกษัตริย์ปกครองยูดาห์ ตรงกับปีที่สองของเยโฮอาช เป็นกษัตริย์ปกครองอิสราเอล เยโฮอาชเป็นลูกชายของเยโฮอาหาส อามาซิยาห์มีอายุยี่สิบห้าปี ตอนที่เขาขึ้นเป็นกษัตริย์และเขาได้ครองราชย์อยู่ในเมืองเยรูซาเล็มเป็นเวลายี่สิบเก้าปี แม่ของเขามีชื่อว่า เยโฮอัดดีน นางมาจากเมืองเยรูซาเล็ม อามาซิยาห์ได้ทำสิ่งที่ถูกต้องในสายตาของพระยาห์เวห์ แต่ไม่เหมือนกับที่ดาวิดบรรพบุรุษของเขาเคยทำไว้ เขาทำตามตัวอย่างของโยอาชผู้เป็นพ่อของเขาทุกอย่าง แต่สถานนมัสการต่างๆก็ยังไม่ได้ถูกรื้อทิ้ง ประชาชนก็ยังคงถวายเครื่องสัตวบูชาและเผาเครื่องหอมที่นั่นเหมือนเดิม

หลังจากที่อามาซิยาห์ได้ทำให้แผ่นดินมั่นคงเป็นปึกแผ่นแล้ว เขาได้สั่งฆ่าพวกข้าราชการที่เคยฆ่ากษัตริย์ผู้เป็นพ่อของเขา แต่เขาไม่ได้ฆ่าพวกลูกชายของคนเหล่านั้น ตามสิ่งที่เขียนไว้ในหนังสือบัญญัติของโมเสส ที่พระยาห์เวห์สั่งไว้ว่า “อย่าประหารพ่อแม่เพราะสิ่งที่ลูกๆเขาทำ และอย่าประหารลูกๆเพราะสิ่งที่พ่อแม่เขาทำ แต่ให้ประหารคนเพราะบาปที่คนๆนั้นทำเอง”[ah]

อามาซิยาห์ได้ฆ่าชาวเอโดมถึงหนึ่งหมื่นคนในหุบเขาเกลือ และยึดเมืองเส-ลาไว้ได้จากการรบ เขาเรียกเมืองนั้นว่า โยกเธเอล ซึ่งเป็นชื่อของมันมาจนถึงทุกวันนี้

แล้วอามาซิยาห์ได้ส่งพวกคนส่งข่าวไปหาเยโฮอาช

กษัตริย์ของอิสราเอล ที่เป็นลูกชายของเยโฮอาหาสที่เป็นลูกชายของเยฮู ข้อความนั้นท้าทายเยโฮอาชว่า “มาสิ มาสู้กันซึ่งๆหน้า”

แต่กษัตริย์เยโฮอาชของอิสราเอล ตอบกษัตริย์อามาซิยาห์ของยูดาห์ว่า “ต้นหนามต้นหนึ่งในเลบานอนได้ส่งข่าวมาถึงต้นสนซีดาร์ต้นหนึ่งในเลบานอนว่า ‘ให้ยกลูกสาวของเจ้าให้แต่งงานกับลูกชายของเรา’ แต่สัตว์ป่าตัวหนึ่งในเลบานอนผ่านมา และได้เหยียบย่ำต้นหนามต้นนั้นไป 10 จริงอยู่เจ้าได้ชนะพวกเอโดม และตอนนี้ใจของเจ้าก็พองโต ให้พอใจในชัยชนะของเจ้าอยู่กับบ้านดีกว่า จะหาเรื่องใส่ตัวไปทำไม เดี๋ยวจะล้มลงเปล่าๆทั้งตัวเจ้าและเผ่ายูดาห์ด้วย”

11 แต่อามาซิยาห์ไม่ยอมฟังคำเตือน ดังนั้น กษัตริย์เยโฮอาชของอิสราเอลจึงได้เข้าโจมตีกษัตริย์อามาซิยาห์แห่งยูดาห์ที่เบธเชเมชในยูดาห์ 12 และยูดาห์ก็พ่ายแพ้ต่ออิสราเอล และคนยูดาห์ต่างก็หนีกลับบ้านของตน 13 กษัตริย์เยโฮอาชแห่งอิสราเอลจับตัวกษัตริย์อามาซิยาห์แห่งยูดาห์ได้ที่เบธเชเมช กษัตริย์อามาซิยาห์เป็นลูกชายของโยอาช ซึ่งเป็นลูกชายของอาหัสยาห์ แล้วกษัตริย์เยโฮอาชก็ได้บุกเข้าไปในเมืองเยรูซาเล็มและทำลายกำแพงเมืองเยรูซาเล็มทิ้งไป ตั้งแต่ประตูเอฟราอิมไปจนถึงประตูตรงหัวมุม รวมความยาวได้สี่ร้อยศอก 14 กษัตริย์เยโฮอาชเข้าไปเอาทองคำและเงินและเครื่องใช้ต่างๆที่อยู่ในวิหารของพระยาห์เวห์ และที่อยู่ในคลังสมบัติของวังกษัตริย์ ไปจนหมดสิ้น กษัตริย์เยโฮอาชยังได้ต้อนเชลยกลับไปเมืองสะมาเรียด้วย

15 ส่วนเหตุการณ์อื่นๆในยุคสมัยของเยโฮอาช สิ่งที่เขาได้ทำไปและความสำเร็จของเขา รวมทั้งสงครามระหว่างเขากับกษัตริย์อามาซิยาห์แห่งยูดาห์ ได้จดบันทึกไว้แล้วในหนังสือประวัติของบรรดากษัตริย์แห่งอิสราเอล 16 แล้วเยโฮอาชก็ตายไปอยู่กับบรรพบุรุษของเขา และศพของเขาถูกฝังอยู่ในเมืองสะมาเรียรวมกับกษัตริย์องค์อื่นๆของอิสราเอล และเยโรโบอัมลูกชายของเขาก็ขึ้นเป็นกษัตริย์สืบต่อจากเขา

17 หลังจากที่เยโฮอาชลูกชายของกษัตริย์เยโฮอาหาสแห่งอิสราเอลตายไปแล้ว อามาซิยาห์ลูกชายของกษัตริย์โยอาชแห่งยูดาห์ก็มีชีวิตอยู่ต่อไปอีกสิบห้าปี 18 เหตุการณ์อื่นๆในยุคสมัยของอามาซิยาห์ ได้จดบันทึกไว้แล้วในหนังสือประวัติของบรรดากษัตริย์แห่งยูดาห์ 19 พวกประชาชนได้กบฏต่อกษัตริย์อามาซิยาห์ในเมืองเยรูซาเล็ม และกษัตริย์ได้หลบหนีไปถึงเมืองลาคีช แต่คนเหล่านั้นส่งคนไปตามล่าเขาถึงเมืองลาคีชและฆ่าเขาตายที่นั่น 20 ศพของอามาซิยาห์ถูกนำกลับมาด้วยม้าและนำมาฝังไว้ในเมืองเยรูซาเล็มรวมกับบรรพบุรุษของเขาในเมืองของดาวิด

อุสซียาห์ปกครองยูดาห์

21 แล้วประชาชนของยูดาห์ทั้งหมดก็ตั้งอุสซียาห์เป็นกษัตริย์องค์ใหม่แทนอามาซิยาห์พ่อของเขา ตอนนั้นอุสซียาห์มีอายุสิบหกปี 22 กษัตริย์อามาซิยาห์ตายไปอยู่กับบรรพบุรุษของเขา แล้วกษัตริย์อุสซียาห์ได้ตีเอาเมืองเอลัทกลับคืนมาให้กับยูดาห์ และสร้างเมืองเอลัทขึ้นมาใหม่

เยโรโบอัมที่สองปกครองอิสราเอล

23 เยโรโบอัม ลูกชายของกษัตริย์เยโฮอาชของอิสราเอลขึ้นเป็นกษัตริย์ปกครองสะมาเรีย ตรงกับปีที่สิบห้าของกษัตริย์อามาซิยาห์แห่งยูดาห์ที่เป็นลูกชายของโยอาช เยโรโบอัมครองราชย์อยู่สี่สิบเอ็ดปี 24 เขาได้ทำความชั่วในสายตาของพระยาห์เวห์ และไม่ยอมหันไปจากบาปทั้งสิ้นของเยโรโบอัม ลูกชายของเนบัท ที่ได้ทำให้อิสราเอลพลอยทำบาปไปด้วย 25 เยโรโบอัมเป็นคนที่ยึดเอาดินแดนของอิสราเอลคืนมา ตั้งแต่เลโบฮามัทไปจนถึงทะเลอาราบาห์[ai] ซึ่งเป็นไปตามคำพูดของพระยาห์เวห์พระเจ้าของอิสราเอล ที่ได้พูดไว้ผ่านทางโยนาห์ลูกชายของอามิททัย โยนาห์เป็นผู้พูดแทนพระเจ้าที่มาจากกัทเฮเฟอร์ 26 พระยาห์เวห์เห็นความเดือดร้อนที่แสนขมขื่นของคนอิสราเอลทุกคน ไม่ว่าจะเป็นทาสหรือคนที่ไม่ใช่ทาส แล้วก็ไม่มีใครช่วยพวกเขาด้วย 27 พระองค์จึงช่วยเหลือพวกเขาผ่านทางมือของเยโรโบอัมลูกชายของเยโฮอาช เพราะพระยาห์เวห์ไม่เคยพูดว่า พระองค์จะลบชื่อของอิสราเอลออกจากใต้ฟ้าสวรรค์

28 เหตุการณ์อื่นๆในยุคสมัยของเยโรโบอัม สิ่งที่เขาได้ทำไปทั้งหมด และความสำเร็จด้านการทหารของเขา รวมทั้งการที่เขาได้ตีเอาเมืองดามัสกัสและเมืองฮามัทที่เคยเป็นของยูดาห์คืนมาได้นั้น ได้จดบันทึกไว้แล้วในหนังสือประวัติของบรรดากษัตริย์แห่งอิสราเอล 29 เยโรโบอัมตายไปอยู่กับบรรพบุรุษของเขาคือพวกกษัตริย์ของอิสราเอล และเศคาริยาห์ลูกชายของเขาก็ขึ้นเป็นกษัตริย์สืบต่อจากเขา

อุสซียาห์ปกครองยูดาห์

(2 พศด. 26:3-23)

15 อุสซียาห์[aj] ลูกชายของกษัตริย์อามาซิยาห์แห่งยูดาห์ได้ขึ้นเป็นกษัตริย์ ตรงกับปีที่ยี่สิบเจ็ด ที่เยโรโบอัมเป็นกษัตริย์ของอิสราเอล อุสซียาห์มีอายุสิบหกปีเมื่อเขาขึ้นเป็นกษัตริย์ และเขาได้ครองราชย์อยู่ในเมืองเยรูซาเล็มห้าสิบสองปี แม่ของเขามีชื่อว่าเยโคลียาห์ นางมาจากเมืองเยรูซาเล็ม เขาได้ทำสิ่งที่ถูกต้องในสายตาของพระยาห์เวห์ เหมือนกับที่อามาซิยาห์พ่อของเขาทำ แต่สถานนมัสการต่างๆก็ยังไม่ได้ถูกรื้อทิ้ง ประชาชนยังคงไปถวายเครื่องสัตวบูชาและเผาเครื่องหอม ที่นั่นอยู่เหมือนเดิม

พระยาห์เวห์ทำให้กษัตริย์อุสซียาห์ต้องทนทุกข์ทรมานจากโรคผิวหนังร้ายแรงจนถึงวันตาย และอุสซียาห์ใช้ชีวิตอยู่ในบ้านที่แยกออกมาต่างหาก โยธามลูกชายของเขา ได้ทำหน้าที่ดูแลวังและปกครองประชาชนในแผ่นดินนั้น

เหตุการณ์อื่นๆในยุคสมัยของอุสซียาห์และทุกสิ่งที่เขาได้ทำไป ได้จดบันทึกไว้แล้วในหนังสือประวัติของบรรดากษัตริย์แห่งยูดาห์ อุสซียาห์ได้ตายไปอยู่กับบรรพบุรุษของเขา และศพของเขาถูกฝังรวมกับบรรพบุรุษของเขาในเมืองของดาวิด และโยธามลูกชายของเขาก็ได้ขึ้นเป็นกษัตริย์สืบต่อจากเขา

เศคาริยาห์ปกครองอิสราเอล

เศคาริยาห์ลูกชายของเยโรโบอัมได้ขึ้นเป็นกษัตริย์ในเมืองสะมาเรียของอิสราเอล ตรงกับปีที่สามสิบแปด ที่อุสซียาห์เป็นกษัตริย์ปกครองยูดาห์ เศคาริยาห์ได้ครองราชย์อยู่หกเดือน เศคาริยาห์ได้ทำความชั่วในสายตาของพระยาห์เวห์เหมือนกับที่บรรพบุรุษของเขาทำ เขาไม่ยอมหันไปจากพวกบาปของเยโรโบอัม ลูกชายของเนบัท ที่ทำให้อิสราเอลพลอยทำบาปไปด้วย

10 ชัลลูมลูกชายของยาเบชได้กบฏต่อเศคาริยาห์ เขาได้ล้มเศคาริยาห์ลงต่อหน้าประชาชน และฆ่าเขา แล้วขึ้นเป็นกษัตริย์แทน 11 เหตุการณ์อื่นในยุคสมัยของเศคาริยาห์ได้จดบันทึกไว้แล้วในหนังสือประวัติของบรรดากษัตริย์แห่งอิสราเอล 12 เรื่องนี้เป็นไปตามคำสัญญาที่พระยาห์เวห์เคยให้ไว้กับกษัตริย์เยฮู ที่ว่า “ลูกหลานของเจ้าจะได้นั่งอยู่บนบัลลังก์อิสราเอลถึงสี่ชั่วคน”

ชัลลูมปกครองอิสราเอล

13 ชัลลูมลูกชายของยาเบชได้ขึ้นเป็นกษัตริย์ ตรงกับปีที่สามสิบเก้าของกษัตริย์อุสซียาห์แห่งยูดาห์ และเขาได้ครองราชย์อยู่ในเมืองสะมาเรียเพียงหนึ่งเดือน

14 เมนาเฮมลูกชายของกาดีได้มาจากเมืองทีรซาห์ขึ้นไปที่เมืองสะมาเรีย เขาได้ล้มชัลลูมลูกชายของยาเบชลงและฆ่าเขาในสะมาเรีย และขึ้นเป็นกษัตริย์แทน

15 เหตุการณ์อื่นๆในสมัยของชัลลูมและการสมคบกันกบฏที่มีเขาเป็นผู้นำนั้น ได้จดบันทึกไว้แล้วในหนังสือประวัติของบรรดากษัตริย์แห่งอิสราเอล

เมนาเฮมปกครองอิสราเอล

16 ในเวลานั้น เมนาเฮมที่ออกเดินทางมาจากเมืองทีรซาห์ ได้เข้าโจมตีเมืองทิฟสาห์และผู้คนที่อยู่ในเมืองนั้น รวมทั้งเมืองที่อยู่รอบๆเพราะคนเหล่านั้นไม่ยอมเปิดประตูเมืองให้ เขาปล้นเมืองเหล่านั้นและแหวกท้องของหญิงมีครรภ์ทุกคน

17 เมนาเฮมลูกชายของกาดีได้ขึ้นเป็นกษัตริย์ของอิสราเอล ตรงกับปีที่สามสิบเก้าที่กษัตริย์อุสซียาห์ปกครองยูดาห์ เขาได้ครองราชย์อยู่ในเมืองสะมาเรียเป็นเวลาสิบปี 18 เขาได้ทำความชั่วในสายตาของพระยาห์เวห์ ตลอดเวลาที่เขาครองราชย์อยู่ เขาไม่เคยหันไปจากพวกบาปของเยโรโบอัมลูกชายของเนบัท ที่ทำให้อิสราเอลพลอยทำบาปไปด้วย

19 แล้วกษัตริย์ปูล[ak] แห่งอัสซีเรียได้มาบุกอิสราเอล กษัตริย์เมนาเฮมได้ให้เงินสามหมื่นสี่พันกิโลกรัม[al] แก่กษัตริย์ปูล เพื่อให้กษัตริย์ปูลสนับสนุนเขา และช่วยให้เขากุมอำนาจในการเป็นกษัตริย์ต่อไป 20 เมนาเฮมได้เรี่ยไรเงินจากคนอิสราเอลที่เป็นคนรวย เขาให้คนรวยจ่ายภาษีคนละห้าสิบเชเขล[am] แล้วเอาเงินนั้นมาให้กับกษัตริย์ปูลของอัสซีเรีย ดังนั้น กษัตริย์ปูลของอัสซีเรียจึงยอมถอยทัพกลับ ไม่อยู่ในแผ่นดินอิสราเอลอีกต่อไป

21 เหตุการณ์อื่นๆในสมัยของเมนาเฮม และสิ่งที่เขาได้ทำทั้งหมด ได้จดบันทึกไว้แล้วในหนังสือประวัติของบรรดากษัตริย์ของอิสราเอล 22 เมนาเฮมได้ตายไปอยู่กับบรรพบุรุษของเขา และเปคาหิยาห์ลูกชายของเขาก็ได้ขึ้นเป็นกษัตริย์สืบต่อจากเขา

เปคาหิยาห์ปกครองอิสราเอล

23 เปคาหิยาห์ลูกชายของเมนาเฮมได้ขึ้นเป็นกษัตริย์ของอิสราเอลอยู่ในเมืองสะมาเรีย ตรงกับปีที่ห้าสิบที่กษัตริย์อุสซียาห์ปกครองยูดาห์ เปคาหิยาห์ได้ครองราชย์อยู่สองปี 24 เปคาหิยาห์ได้ทำความชั่วในสายตาของพระยาห์เวห์ เขาไม่ได้หันไปจากพวกบาปทั้งหลายของเยโรโบอัมลูกชายของเนบัท ที่ทำให้อิสราเอลพลอยทำบาปไปด้วย

25 แม่ทัพคนหนึ่งของเปคาหิยาห์ ชื่อเปคาห์ลูกชายของเรมาลิยาห์ได้คิดวางแผนกบฏต่อเขา เปคาห์ได้รวบรวมคนห้าสิบคนมาจากกิเลอาด และได้ฆ่าเปคาหิยาห์พร้อมกับอารโกบและอาริเอห์ตายที่ป้อมของวังกษัตริย์ที่เมืองสะมาเรีย ดังนั้น เปคาห์ได้ฆ่าเปคาหิยาห์และขึ้นเป็นกษัตริย์แทน

26 ส่วนเหตุการณ์อื่นๆในยุคสมัยของเปคาหิยาห์และทุกสิ่งที่เขาได้ทำไป ได้จดบันทึกไว้แล้วในหนังสือประวัติของบรรดากษัตริย์ของอิสราเอล

Thai New Testament: Easy-to-Read Version (ERV-TH)

พระคริสตธรรมคัมภีร์: ฉบับอ่านเข้าใจง่าย ภาคคำสัญญาใหม่ © 2015 Bible League International