Bible in 90 Days
เปคาห์ครองราชย์ในอิสราเอล
27 ในปีที่ห้าสิบสองของอุสซียาห์กษัตริย์แห่งยูดาห์ เปคาห์บุตรเรมาลิยาห์เริ่มปกครองอิสราเอลในสะมาเรีย ท่านครองราชย์ 20 ปี 28 ท่านกระทำสิ่งที่ชั่วร้ายในสายตาของพระผู้เป็นเจ้า และไม่ได้ละเว้นจากบาปทั้งสิ้นของเยโรโบอัมบุตรเนบัทตลอดชีวิตของท่าน ซึ่งเป็นเหตุให้อิสราเอลทำบาป
29 ในสมัยของเปคาห์กษัตริย์แห่งอิสราเอล ทิกลัทปิเลเสอร์กษัตริย์แห่งอัสซีเรียยกทัพมา และยึดเมืองอิโยน อาเบลเบธมาอาคาห์ ยาโนอาห์ เคเดช ฮาโซร์ กิเลอาด กาลิลี และดินแดนนัฟทาลีทั้งหมด แล้วก็จับประชาชนไปยังอัสซีเรียเพื่อเป็นเชลย 30 ในปีที่ยี่สิบของโยธามบุตรอุสซียาห์ โฮเชยาบุตรเอลาห์กบฏต่อเปคาห์บุตรเรมาลิยาห์ สังหารท่าน และครองราชย์แทนท่าน 31 ดูเถิด กิจอื่นๆ ทั้งสิ้นของเปคาห์ และทุกสิ่งที่ท่านกระทำ ก็ได้มีบันทึกไว้แล้วในหนังสือแห่งพงศาวดารของบรรดากษัตริย์แห่งอิสราเอล
โยธามครองราชย์ในยูดาห์
32 ในปีที่สองของเปคาห์บุตรของเรมาลิยาห์กษัตริย์แห่งอิสราเอล โยธามบุตรอุสซียาห์เริ่มครองราชย์ 33 ท่านมีอายุ 25 ปีเมื่อเริ่มเป็นกษัตริย์ และท่านครองราชย์ 16 ปีในเยรูซาเล็ม มารดาของท่านชื่อเยรูชาห์บุตรหญิงของศาโดก 34 ท่านกระทำสิ่งที่ถูกต้องในสายตาของพระผู้เป็นเจ้า เหมือนกับที่อุสซียาห์บิดาของท่านได้กระทำ 35 แต่สถานบูชาบนภูเขาสูงยังไม่ถูกกำจัดไป และประชาชนยังมอบเครื่องสักการะและเผาเครื่องหอมที่สถานบูชาบนภูเขาสูง ท่านสร้างประตูเหนือของพระตำหนักของพระผู้เป็นเจ้า 36 กิจอื่นๆ ทั้งสิ้นของโยธาม และทุกสิ่งที่ท่านกระทำ ก็ได้มีบันทึกไว้แล้วในหนังสือแห่งพงศาวดารของบรรดากษัตริย์แห่งยูดาห์มิใช่หรือ 37 ในสมัยนั้น พระผู้เป็นเจ้าปล่อยให้เรซีนกษัตริย์แห่งอารัม และเปคาห์บุตรเรมาลิยาห์ โจมตียูดาห์ 38 โยธามสิ้นชีวิตและถูกนำไปวางรวมกับบรรพบุรุษของท่าน ศพถูกบรรจุไว้ในเมืองของดาวิด และอาหัสบุตรของท่านครองราชย์แทนท่าน
อาหัสครองราชย์ในยูดาห์
16 ในปีที่สิบเจ็ดของเปคาห์บุตรเรมาลิยาห์ อาหัสบุตรโยธามกษัตริย์แห่งยูดาห์เริ่มครองราชย์ 2 อาหัสมีอายุ 20 ปีเมื่อเริ่มเป็นกษัตริย์ และท่านครองราชย์ 16 ปีในเยรูซาเล็ม ท่านไม่ได้กระทำสิ่งที่ถูกต้องในสายตาของพระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของท่าน อย่างที่ดาวิดบรรพบุรุษของท่านได้กระทำ 3 แต่ท่านดำเนินชีวิตตามแบบอย่างบรรดากษัตริย์แห่งอิสราเอล ท่านถึงกับเผาบุตรชายของท่านเป็นเครื่องสักการะ ตามอย่างการกระทำอันน่าชังของบรรดาประชาชาติที่พระผู้เป็นเจ้าขับไล่ออกไปต่อหน้าชาวอิสราเอล 4 และท่านได้ถวายเครื่องสักการะ และเผาเครื่องหอมที่สถานบูชาบนภูเขาสูง บนเนินเขา และใต้ต้นไม้เขียวชอุ่มทุกต้น
5 ครั้นแล้ว เรซีนกษัตริย์แห่งอารัม และเปคาห์บุตรของเรมาลิยาห์กษัตริย์แห่งอิสราเอล ยกทัพมาโจมตีเยรูซาเล็ม ปิดล้อมอาหัสแต่ก็ไม่สามารถเอาชนะได้ 6 ในเวลานั้นเรซีนกษัตริย์แห่งอารัมยึดเมืองเอลัทคืนกลับมาให้อารัม และขับไล่ผู้คนชาวยูดาห์ออกไปจากเอลัท และชาวเอโดมเข้ามาอยู่ในเอลัทมาจนถึงทุกวันนี้ 7 ดังนั้น อาหัสจึงให้ผู้ถือสาสน์ไปยังทิกลัทปิเลเสอร์กษัตริย์แห่งอัสซีเรีย กล่าวดังข้อความว่า “ข้าพเจ้าเป็นผู้รับใช้และบุตรของท่าน ขอท่านมาช่วยข้าพเจ้าให้พ้นจากมือของกษัตริย์แห่งอารัม และจากมือของกษัตริย์แห่งอิสราเอล ที่กำลังโจมตีข้าพเจ้า” 8 อาหัสมอบเงินและทองคำที่พบในพระตำหนักของพระผู้เป็นเจ้าและในคลังของกษัตริย์ ให้เป็นของกำนัลแด่กษัตริย์แห่งอัสซีเรีย 9 และกษัตริย์แห่งอัสซีเรียก็ฟังท่าน กษัตริย์แห่งอัสซีเรียจึงยกทัพไปโจมตีดามัสกัสและยึดไว้ได้ จับผู้อยู่อาศัยไปเป็นเชลยที่เมืองคีร์ และสังหารเรซีนเสีย
10 เมื่อกษัตริย์อาหัสไปพบกับทิกลัทปิเลเสอร์กษัตริย์แห่งอัสซีเรียที่ดามัสกัส ท่านเห็นแท่นบูชาที่อยู่ในเมืองนั้น กษัตริย์อาหัสส่งแท่นบูชาจำลองพร้อมด้วยแบบและรายละเอียดทุกอย่างไปให้อุรียาห์ปุโรหิต 11 และอุรียาห์ปุโรหิตจึงสร้างแท่นบูชา ตามแบบที่กษัตริย์อาหัสได้ส่งจากดามัสกัสทุกประการ อุรียาห์สร้างเสร็จก่อนกษัตริย์อาหัสมาถึง 12 เมื่อกษัตริย์มาจากดามัสกัส ท่านมองดูแท่นบูชาและเดินเข้าไปใกล้ๆ แล้วท่านก็ขึ้นไปถึงแท่นนั้น 13 และเผาสัตว์ที่ใช้เป็นของถวาย มอบเครื่องธัญญบูชา เทเครื่องดื่มบูชา และสาดเลือดที่เป็นของถวายเพื่อสามัคคีธรรมที่แท่นบูชา 14 ท่านย้ายแท่นบูชาทองสัมฤทธิ์ที่อยู่เบื้องหน้าพระผู้เป็นเจ้า จากด้านหน้าพระตำหนัก ซึ่งอยู่ระหว่างแท่นบูชาใหม่และพระตำหนักของพระผู้เป็นเจ้า และวางไว้ทางด้านเหนือของแท่นบูชาใหม่ 15 กษัตริย์อาหัสสั่งอุรียาห์ปุโรหิตว่า “จงเผาสัตว์ที่ใช้เป็นของถวายสำหรับเวลาเช้า และมอบเครื่องธัญญบูชาสำหรับเวลาเย็น และมอบสัตว์ที่ใช้เผาเป็นของถวายกับเครื่องธัญญบูชาของกษัตริย์ จงมอบสัตว์ที่ใช้เผาเป็นของถวายกับเครื่องธัญญบูชาและเครื่องดื่มบูชาของประชาชนทั้งปวงในแผ่นดิน บนแท่นบูชาใหญ่นี้ และจงสาดเลือดจากสัตว์ที่เผาเป็นของถวาย และเลือดจากเครื่องสักการะทั้งหมดที่แท่นนี้ แต่แท่นบูชาทองสัมฤทธิ์จะเป็นที่ที่เราใช้เมื่อขอคำปรึกษา” 16 อุรียาห์ปุโรหิตกระทำตามคำสั่งของกษัตริย์อาหัสทุกประการ
17 กษัตริย์อาหัสตัดแผ่นกระดานจากแท่น และย้ายอ่างออก เลื่อนถังเก็บน้ำลงจากโคทองสัมฤทธิ์ที่อยู่เบื้องล่าง และตั้งไว้บนแท่นหิน 18 เป็นเพราะท่านยำเกรงกษัตริย์แห่งอัสซีเรีย ท่านจึงรื้อปะรำที่สร้างไว้ในพระตำหนักที่ใช้สำหรับวันสะบาโต และปิดทางเข้าด้านนอกที่กษัตริย์ใช้เป็นทางเข้าพระตำหนักของพระผู้เป็นเจ้า 19 กิจอื่นๆ ทั้งสิ้นของอาหัส และทุกสิ่งที่ท่านกระทำ ก็ได้มีบันทึกไว้แล้วในหนังสือแห่งพงศาวดารของบรรดากษัตริย์แห่งยูดาห์มิใช่หรือ 20 อาหัสสิ้นชีวิตและถูกนำไปวางรวมกับบรรพบุรุษของท่าน ศพถูกบรรจุไว้ในเมืองของดาวิด และเฮเซคียาห์บุตรของท่านครองราชย์แทนท่าน
โฮเชยาครองราชย์ในอิสราเอล
17 ในปีที่สิบสองของอาหัสกษัตริย์แห่งยูดาห์ โฮเชยาบุตรเอลาห์เริ่มปกครองอิสราเอลในสะมาเรีย ท่านครองราชย์ 9 ปี 2 ท่านกระทำสิ่งที่ชั่วร้ายในสายตาของพระผู้เป็นเจ้า แต่ไม่เหมือนกับบรรดากษัตริย์แห่งอิสราเอลก่อนหน้าท่าน 3 ชัลมันเอเสร์กษัตริย์แห่งอัสซีเรียมาโจมตี โฮเชยายอมอยู่ใต้บังคับและถวายเครื่องบรรณาการแก่ท่าน 4 กษัตริย์แห่งอัสซีเรียพบว่าโฮเชยาเป็นปฏิปักษ์ เพราะท่านให้ผู้ส่งสาสน์ไปยังโสกษัตริย์แห่งอียิปต์ และไม่ยอมมอบเครื่องบรรณาการแก่กษัตริย์แห่งอัสซีเรียเหมือนที่เคยทำในแต่ละปี ดังนั้น กษัตริย์แห่งอัสซีเรียจึงจับกุมและจำคุกท่าน 5 และกษัตริย์แห่งอัสซีเรียก็บุกรุกไปทั่วแผ่นดิน เมื่อมาถึงสะมาเรีย ก็ล้อมเมืองไว้ 3 ปี
อิสราเอลถล่ม
6 ในปีที่เก้าของโฮเชยา[a] กษัตริย์แห่งอัสซีเรียยึดสะมาเรีย และจับชาวอิสราเอลไปอยู่ที่อัสซีเรีย ให้อยู่ที่ฮาลาห์ ใกล้แม่น้ำฮาโบร์ในเมืองโกซาน และในเมืองต่างๆ ของชาวมีเดีย
ถูกเนรเทศเพราะรูปเคารพ
7 เหตุการณ์เกิดขึ้นก็เพราะว่า ประชาชนอิสราเอลได้กระทำบาปต่อพระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของพวกเขา ผู้ที่นำพวกเขาออกจากแผ่นดินอียิปต์ จากเงื้อมมือของฟาโรห์กษัตริย์แห่งอียิปต์ พวกเขาเกรงกลัวบรรดาเทพเจ้า 8 และดำเนินรอยตามบรรดาประชาชาติที่พระผู้เป็นเจ้าได้ขับไล่ออกไปต่อหน้าชาวอิสราเอล และปฏิบัติตามที่บรรดากษัตริย์แห่งอิสราเอลได้ปฏิบัติ 9 และชาวอิสราเอลแอบทำสิ่งที่ไม่ถูกต้องและขัดต่อพระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของพวกเขา และได้สร้างสถานบูชาบนภูเขาสูงในทุกๆ เมืองให้แก่ตนเอง ตั้งแต่หอคอยไปจนถึงเมืองที่ป้องกันไว้อย่างแข็งแกร่ง 10 พวกเขาตั้งเสาหิน และสร้างเทวรูปอาเชราห์ ไว้บนภูเขาสูงทุกลูก และใต้ต้นไม้ทุกต้น 11 เขาเผาเครื่องหอมที่สถานบูชาบนภูเขาสูงทุกแห่ง ปฏิบัติตามอย่างบรรดาประชาชาติที่พระผู้เป็นเจ้าได้ขับไล่ออกไปต่อหน้าพวกเขา และเขากระทำสิ่งที่ชั่วร้าย ซึ่งเป็นการยั่วโทสะพระองค์ 12 พวกเขาบูชารูปเคารพที่พระผู้เป็นเจ้าได้กล่าวแก่พวกเขาแล้วว่า “ห้ามทำเช่นนั้น” 13 พระผู้เป็นเจ้ายังเตือนอิสราเอลและยูดาห์ ผ่านผู้เผยคำกล่าวของพระเจ้าทุกท่านและผู้รู้ทุกท่านว่า “จงหันไปจากความชั่วร้าย และปฏิบัติตามคำบัญญัติ กฎเกณฑ์ และกฎบัญญัติของเรา ตามที่เราบัญชาบรรพบุรุษของเจ้า และส่งผ่านบรรดาผู้เผยคำกล่าวผู้รับใช้ของเรามาให้แก่พวกเจ้า”
14 แต่พวกเขาไม่ฟัง และดื้อรั้น เหมือนที่บรรพบุรุษของพวกเขาเป็นมาแล้ว คือไม่เชื่อในพระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของเขา 15 เขาดูหมิ่นกฎเกณฑ์และพันธสัญญาที่พระองค์ทำไว้กับบรรพบุรุษของเขา และสิ่งที่พระองค์ตักเตือนเขา พวกเขาติดตามรูปเคารพซึ่งไร้ค่า และทำให้ตนเองไร้ค่า พวกเขาประพฤติตามบรรดาประชาชาติที่อยู่รอบข้าง และไม่เชื่อฟังคำบัญชาของพระผู้เป็นเจ้าที่สั่งห้ามไว้ 16 และละทิ้งพระบัญญัติทั้งสิ้นของพระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของเขา และก็หล่อรูปลูกโค 2 ตัวให้ตนเอง[b] และสร้างเทวรูปอาเชราห์รูปหนึ่ง และนมัสการสรรพสิ่งที่อยู่บนท้องฟ้า และบูชาเทวรูปบาอัล[c] 17 เขาเผาบุตรของตนเป็นของถวาย ใช้การทำนายและเวทมนตร์ ปักใจกระทำสิ่งที่ชั่วร้ายในสายตาของพระผู้เป็นเจ้า ซึ่งเป็นการยั่วโทสะของพระองค์ 18 ฉะนั้นพระผู้เป็นเจ้าจึงโกรธกริ้วอิสราเอล และไล่พวกเขาไปให้พ้นหน้าพระองค์ ไม่มีใครเหลืออยู่ นอกจากเผ่ายูดาห์เท่านั้น
19 ส่วนยูดาห์เองก็ไม่รักษาพระบัญญัติของพระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของพวกเขา แต่ดำเนินรอยตามสิ่งชั่วที่อิสราเอลได้กระทำ 20 พระผู้เป็นเจ้าปฏิเสธบรรดาผู้สืบเชื้อสายของอิสราเอล และให้พวกเขารับทุกข์ทรมาน และมอบไว้ในมือของเหล่านักปล้นระดม จนกระทั่งพระองค์ได้ขับไล่พวกเขาไปให้พ้นหน้าพระองค์
21 เมื่อพระองค์ได้แยกอิสราเอลออกจากพงศ์พันธุ์ของดาวิดแล้ว พวกเขาก็ยกเยโรโบอัมบุตรเนบัทให้เป็นกษัตริย์ เยโรโบอัมทำให้อิสราเอลเลิกติดตามพระผู้เป็นเจ้า และเป็นเหตุให้พวกเขาทำบาปร้ายแรง[d] 22 ชาวอิสราเอลกระทำบาปทำนองเดียวกับที่เยโรโบอัมทำ พวกเขาไม่ได้ละเว้นจากบาป 23 จนกระทั่งพระผู้เป็นเจ้าขับไล่อิสราเอลไปให้พ้นหน้าพระองค์ อย่างที่พระองค์ได้กล่าวผ่านบรรดาผู้เผยคำกล่าวของพระเจ้า ผู้รับใช้ของพระองค์ ดังนั้นอิสราเอลถูกเนรเทศออกจากแผ่นดินของพวกตน ไปอยู่ที่อัสซีเรียมาจนถึงทุกวันนี้
การตั้งรกรากที่สะมาเรีย
24 กษัตริย์แห่งอัสซีเรียให้ประชาชนจากบาบิโลน คูธาห์ อัฟวา ฮามัท และเสฟาร์วาอิม มาอยู่ในเมืองต่างๆ ที่แคว้นสะมาเรียแทนประชาชนอิสราเอล คนเหล่านั้นจึงถือสิทธิ์เป็นเจ้าของทุกสิ่งในแคว้นสะมาเรีย และตั้งรกรากอยู่ที่นั่น 25 ในระยะแรกที่อาศัยอยู่ที่นั่น พวกเขาไม่เกรงกลัวพระผู้เป็นเจ้า ฉะนั้นพระผู้เป็นเจ้าส่งสิงโตเข้าไปท่ามกลางพวกเขา และบางคนถูกสิงโตขย้ำตาย 26 กษัตริย์แห่งอัสซีเรียรับทราบมาว่า “บรรดาประชาชาติที่ท่านเนรเทศให้ไปอยู่ในแคว้นสะมาเรียไม่รู้กฎของพระเจ้าของแผ่นดิน พระองค์จึงได้ให้สิงโตเข้าไปท่ามกลางพวกเขา ดูเถิด สิงโตขย้ำพวกเขาตายก็เพราะพวกเขาไม่รู้กฎของพระเจ้าของแผ่นดิน” 27 กษัตริย์แห่งอัสซีเรียจึงสั่งว่า “จงส่งปุโรหิตคนหนึ่งที่ถูกเนรเทศมา ให้เขาไปจากสะมาเรีย และกลับไปอาศัยอยู่ที่นั่น เพื่อสอนกฎของพระเจ้าของแผ่นดินแก่ประชาชน” 28 ดังนั้นปุโรหิตคนหนึ่งที่พวกเขาเนรเทศก็ไปจากสะมาเรีย และกลับมาอยู่ที่เบธเอล เพื่อสอนประชาชนว่าพวกเขาควรเกรงกลัวพระผู้เป็นเจ้าอย่างไร
29 แต่ประชาชาติแต่ละชาติก็ยังสร้างรูปปั้นเทพเจ้าของตนเอง และตั้งไว้ในวิหารบนภูเขาสูงที่ชาวสะมาเรียได้สร้างไว้ก่อนแล้ว ประชาชาติแต่ละชาติสร้างรูปเคารพในเมืองที่ตนอาศัยอยู่ 30 ชาวบาบิโลนสร้างรูปเทพเจ้าสุคคทเบโนท ชาวคูธสร้างรูปเทพเจ้าเนอร์กัล ชาวฮามัทสร้างรูปเทพเจ้าอาชิมา 31 ชาวอัฟวาสร้างรูปเทพเจ้านิบหัสและทาร์ทัก และชาวเสฟาร์วาอิมเผาบุตรของตนเป็นของถวายแก่เทพเจ้าอัดรัมเมเลคและอานัมเมเลค ซึ่งเป็นเทพเจ้าของชาวเสฟาร์วาอิม 32 ประชาชนเกรงกลัวพระผู้เป็นเจ้า แต่ก็ยังเลือกบางคนในพวกเขาเองให้เป็นปุโรหิตประจำสถานบูชาบนภูเขาสูง ให้ถวายเครื่องสักการะเพื่อพวกเขาในวิหารบนภูเขาสูง 33 พวกเขาเกรงกลัวพระผู้เป็นเจ้า แต่ก็ยังนมัสการปวงเทพเจ้าของตน ทำตามแบบอย่างของบรรดาประชาชาติที่พวกเขาเคยอยู่ด้วยก่อนหน้านี้
34 ทุกวันนี้ พวกเขาก็ปฏิบัติเช่นเคย คือไม่เกรงกลัวพระผู้เป็นเจ้าจริงๆ และไม่รักษากฎเกณฑ์ คำบัญชา กฎบัญญัติ หรือพระบัญญัติ ที่พระผู้เป็นเจ้าบัญชาบรรดาบุตรของยาโคบผู้ที่พระองค์ตั้งชื่อว่า อิสราเอล 35 พระผู้เป็นเจ้าทำพันธสัญญากับพวกเขา และบัญชาว่า “อย่าเกรงกลัวบรรดาเทพเจ้า หรือก้มกราบและบูชา หรือมอบเครื่องสักการะให้แก่สิ่งเหล่านั้น 36 แต่เจ้าจงเกรงกลัวพระผู้เป็นเจ้า ผู้นำเจ้าออกมาจากแผ่นดินอียิปต์ด้วยฤทธานุภาพอันยิ่งใหญ่และพลานุภาพ เจ้าจงก้มกราบพระองค์ และจงมอบเครื่องสักการะแด่พระองค์ 37 กฎเกณฑ์ คำบัญชา กฎบัญญัติ และบัญญัติที่เราเขียนให้แก่พวกเจ้า เจ้าก็จงระมัดระวังปฏิบัติตามเสมอ อย่าเกรงกลัวบรรดาเทพเจ้า 38 อย่าลืมพันธสัญญาที่เราได้ทำไว้กับเจ้า อย่าเกรงกลัวบรรดาเทพเจ้า 39 แต่เจ้าจงเกรงกลัวพระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของเจ้า และเราจะช่วยเจ้าให้พ้นจากมือของศัตรูทั้งปวง”[e] 40 แต่พวกเขาก็ไม่ฟัง และยังคงดื้อดึงปฏิบัติเหมือนเดิม
41 ประชาชาติเหล่านี้เกรงกลัวพระผู้เป็นเจ้า และบูชารูปเคารพสลัก ทั้งลูกและหลานของพวกเขาก็กระทำเช่นเดียวกัน เหมือนกับที่บรรพบุรุษปฏิบัติ พวกเขาปฏิบัติเช่นนั้นมาจนถึงทุกวันนี้
เฮเซคียาห์ครองราชย์ในยูดาห์
18 ในปีที่สามของโฮเชยาบุตรของเอลาห์กษัตริย์แห่งอิสราเอล เฮเซคียาห์บุตรของอาหัสกษัตริย์แห่งยูดาห์เริ่มครองราชย์ 2 ท่านมีอายุ 25 ปีเมื่อเริ่มเป็นกษัตริย์ และท่านครองราชย์ 29 ปีในเยรูซาเล็ม มารดาของท่านชื่ออาบียาห์บุตรหญิงของเศคาริยาห์ 3 ท่านกระทำสิ่งที่ถูกต้องในสายตาของพระผู้เป็นเจ้า เหมือนกับทุกสิ่งที่ดาวิดบรรพบุรุษของท่านได้กระทำ 4 ท่านรื้อสถานบูชาบนภูเขาสูง ท่านพังเสาหินและเทวรูปอาเชราห์ และทุบงูทองสัมฤทธิ์ที่โมเสสทำจนหักเป็นชิ้นๆ ประชาชนอิสราเอลได้เผาเครื่องหอมแก่งูนั้นเรื่อยมาจนถึงเวลานั้น[f] ท่านเรียกงูนั้นว่า เนหุชทาน 5 ท่านวางใจในพระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของอิสราเอล ไม่มีผู้ใดในบรรดากษัตริย์แห่งยูดาห์ต่อจากท่าน หรือก่อนหน้าท่าน ที่เป็นเหมือนท่าน 6 เพราะว่าท่านอยู่ใกล้ชิดพระผู้เป็นเจ้า ท่านไม่ห่างเหินไปจากพระองค์ แต่รักษาพระบัญญัติที่พระผู้เป็นเจ้าบัญชาโมเสส 7 และพระผู้เป็นเจ้าก็สถิตกับท่าน ไม่ว่าท่านจะทำสิ่งใด ท่านก็ประสบความสำเร็จ ท่านแข็งข้อต่อกษัตริย์แห่งอัสซีเรีย และไม่ยอมรับใช้ท่าน 8 ท่านโจมตีฟีลิสเตียจนพ่ายไป จนถึงกาซาและอาณาบริเวณ ตั้งแต่หอคอยไปจนถึงเมืองที่ป้องกันไว้อย่างแข็งแกร่ง
9 ในปีที่สี่ของกษัตริย์เฮเซคียาห์ ซึ่งเป็นปีที่เจ็ดของโฮเชยาบุตรเอลาห์กษัตริย์แห่งอิสราเอล ชัลมันเอเสร์กษัตริย์แห่งอัสซีเรียมาโจมตีสะมาเรีย และล้อมเมืองไว้ 10 และท่านก็ยึดเมืองได้ในเวลาเกือบ 3 ปี สะมาเรียถูกยึดไปในปีที่หกของเฮเซคียาห์ ซึ่งเป็นปีที่เก้าของโฮเชยากษัตริย์แห่งอิสราเอล 11 กษัตริย์แห่งอัสซีเรียจับชาวอิสราเอลไปอยู่ที่อัสซีเรีย ให้อยู่ที่ฮาลาห์ ใกล้แม่น้ำฮาโบร์ในเมืองโกซาน และในเมืองต่างๆ ของชาวมีเดีย 12 เพราะพวกเขาไม่เชื่อฟังพระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของเขา และละเมิดพันธสัญญาที่พระองค์บัญชาโมเสสผู้รับใช้ของพระผู้เป็นเจ้า พวกเขาไม่ฟังและไม่ปฏิบัติตามพระองค์เลย
เซนนาเคอริบโจมตียูดาห์
13 ในปีที่สิบสี่ของกษัตริย์เฮเซคียาห์ เซนนาเคอริบกษัตริย์แห่งอัสซีเรียมาโจมตีเมืองทั้งหลายของยูดาห์ที่คุ้มกันไว้อย่างแข็งแกร่ง และยึดไปได้ 14 เฮเซคียาห์กษัตริย์แห่งยูดาห์มีสาสน์ถึงกษัตริย์แห่งอัสซีเรียที่เมืองลาคีชว่า “ข้าพเจ้าได้กระทำผิด ขอท่านถอนทัพไปจากข้าพเจ้า ไม่ว่าท่านจะเรียกร้องจากข้าพเจ้าเท่าไหร่ก็ยอม” กษัตริย์แห่งอัสซีเรียขอเฮเซคียาห์กษัตริย์แห่งยูดาห์ เป็นเงินจำนวน 300 ตะลันต์[g] และทองคำ 30 ตะลันต์ 15 เฮเซคียาห์จึงมอบเงินทั้งหมดที่หาได้ในพระตำหนักของพระผู้เป็นเจ้า และในคลังของกษัตริย์ 16 ในเวลานั้นเฮเซคียาห์เลาะทองคำออกจากประตูพระวิหารของพระผู้เป็นเจ้า และจากกรอบประตูที่เฮเซคียาห์กษัตริย์แห่งยูดาห์ได้กรุไว้ แล้วก็มอบให้แก่กษัตริย์แห่งอัสซีเรีย 17 กษัตริย์แห่งอัสซีเรียใช้แม่ทัพใหญ่ ผู้บัญชาการ ผู้บังคับกองพัน พร้อมกับกองทัพใหญ่จากเมืองลาคีช ให้ไปยังกษัตริย์เฮเซคียาห์ที่เยรูซาเล็ม พวกเขาก็ขึ้นไปยังเยรูซาเล็ม ครั้นไปถึง พวกเขาก็ไปยืนอยู่ที่ถนนหลวงข้างร่องน้ำที่สระบน ซึ่งอยู่ใกล้แหล่งซักผ้า 18 เมื่อพวกเขาเรียกหากษัตริย์ ผู้ที่ออกมาพบคือ เอลียาคิมบุตรฮิลคียาห์ผู้บริหารวัง เชบนาห์เลขาของกษัตริย์ และโยอาห์บุตรอาสาฟผู้บันทึกสาสน์
19 ผู้บังคับกองพันพูดกับพวกเขาว่า “จงไปบอกเฮเซคียาห์ว่า ‘กษัตริย์แห่งอัสซีเรียกษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่กล่าวว่า ท่านวางใจในสิ่งใด จึงมีความมั่นใจเช่นนี้ 20 ท่านคิดหรือว่า คำพูดเท่านั้นจะเป็นวิธีการและกำลังที่ใช้ในศึกสงครามได้ ท่านไว้วางใจใคร ท่านจึงไม่ยอมอยู่ใต้บังคับบัญชาของเรา 21 ดูเถิด ท่านกำลังพึ่งพาอียิปต์ ซึ่งเป็นประหนึ่งไม้เท้าหักที่ทำจากไม้อ้อ และจะทิ่มแทงมือของคนที่ยันมันไว้ ฟาโรห์กษัตริย์แห่งอียิปต์ก็เป็นอย่างนั้นต่อทุกคนที่พึ่งพาเขา 22 แต่ถ้าท่านบอกเราว่า “เราไว้วางใจในพระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของเรา” เฮเซคียาห์เป็นผู้ที่กำจัดสถานบูชาบนภูเขาสูงและแท่นบูชามิใช่หรือ และยังบอกประชาชนชาวยูดาห์และเยรูซาเล็มว่า “เจ้าจงนมัสการที่หน้าแท่นบูชานี้ในเยรูซาเล็ม” 23 มาเถิด มาต่อรองกับกษัตริย์แห่งอัสซีเรียนายข้าพเจ้าว่า ข้าพเจ้าจะให้ม้า 2,000 ตัวแก่ท่าน ถ้าท่านสามารถหาคนขี่ได้ 24 ท่านจะปฏิเสธทหารรับใช้คนหนึ่งในหมู่ผู้รับใช้ผู้น้อยสุดของเจ้านายข้าพเจ้าได้อย่างไร ในขณะที่ท่านพึ่งพาอียิปต์ในเรื่องรถศึกและทหารม้า 25 ยิ่งกว่านั้น ด้วยความช่วยเหลือของพระผู้เป็นเจ้ามิใช่หรอกหรือ ข้าพเจ้าจึงได้ขึ้นมาโจมตีสถานที่นี้ให้พินาศ พระผู้เป็นเจ้ากล่าวกับข้าพเจ้าว่า จงขึ้นไปโจมตีแผ่นดินนี้ให้พินาศ’”
26 เอลียาคิม (บุตรฮิลคียาห์) เชบนาห์ และโยอาห์ พูดกับผู้บังคับกองพันว่า “กรุณาพูดกับบรรดาผู้รับใช้ของท่านเป็นภาษาอาราเมคเถิด เพราะพวกเราเข้าใจ อย่าพูดกับพวกเราเป็นภาษาของชาวยูดาห์ เพราะว่าประชาชนที่อยู่บนกำแพงเมืองกำลังฟังเราพูดกัน” 27 แต่ผู้บังคับกองพันตอบว่า “เจ้านายของข้าพเจ้าให้ข้าพเจ้ามาพูดกับเจ้านายของท่านและกับท่านเท่านั้นหรือ ไม่ให้พูดกับพวกที่นั่งอยู่บนกำแพงเมืองหรือ พวกเขาต้องรับโทษให้กินอุจจาระและปัสสาวะของพวกเขาเองร่วมกับท่านด้วย”
28 แล้วผู้บังคับกองพันก็ยืนขึ้น และร้องเสียงดังเป็นภาษาของชาวยูดาห์ว่า “จงฟังคำของกษัตริย์แห่งอัสซีเรีย กษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่ 29 กษัตริย์กล่าวดังนี้ว่า ‘อย่าให้เฮเซคียาห์หลอกลวงพวกเจ้า เพราะเขาจะไม่สามารถช่วยพวกเจ้าให้หลุดพ้นจากเงื้อมมือของเราได้ 30 อย่าให้เฮเซคียาห์ทำให้พวกเจ้าวางใจในพระผู้เป็นเจ้าด้วย คำพูดที่ว่า พระผู้เป็นเจ้าจะช่วยพวกเราให้รอด และเมืองนี้จะไม่ถูกมอบไว้ในมือของกษัตริย์แห่งอัสซีเรีย’ 31 อย่าฟังเฮเซคียาห์ เพราะกษัตริย์แห่งอัสซีเรียกล่าวดังนี้ว่า ‘จงยอมสงบศึกกับเรา และออกมาหาเรา แล้วพวกเจ้าแต่ละคนจะกินจากเถาองุ่นของตนเอง และจากต้นมะเดื่อของตนเอง และพวกเจ้าแต่ละคนจะดื่มน้ำจากบ่อของตนเอง 32 จนกว่าเราจะมานำพวกเจ้าไปยังแผ่นดินที่เหมือนของพวกเจ้าเอง แผ่นดินแห่งเมล็ดข้าวและเหล้าองุ่น แผ่นดินแห่งขนมปังและไร่องุ่น แผ่นดินแห่งต้นมะกอกและน้ำผึ้ง เพื่อพวกเจ้าจะมีชีวิตอยู่ และไม่ตาย และอย่าฟังเฮเซคียาห์เวลาเขาทำให้พวกเจ้าเข้าใจผิด ด้วยการพูดที่ว่า พระผู้เป็นเจ้าจะช่วยพวกเราให้รอด 33 มีเทพเจ้าของประชาชาติใดบ้าง ที่เคยช่วยแผ่นดินของเขาให้รอดจากเงื้อมมือของกษัตริย์แห่งอัสซีเรียได้ 34 ปวงเทพเจ้าของเมืองฮามัทและอาร์ปัดอยู่ไหนล่ะ ปวงเทพเจ้าของเสฟาร์วาอิม เฮนา และอิฟวาห์อยู่ไหนล่ะ เทพเจ้าเหล่านั้นได้ช่วยสะมาเรียให้รอดจากเงื้อมมือของเราหรือ 35 มีเทพเจ้าใดของแผ่นดินเหล่านี้บ้าง ที่ได้ช่วยแผ่นดินของพวกเขาให้พ้นจากเงื้อมมือของเราได้ อย่างนี้แล้วพระผู้เป็นเจ้าจะช่วยเยรูซาเล็มให้รอดจากเงื้อมมือของเราได้หรือ’”
36 แต่พวกเขาก็เงียบและไม่ตอบเขาสักคำเดียว เพราะกษัตริย์สั่งไว้ว่า “อย่าตอบเขา” 37 เอลียาคิมบุตรฮิลคียาห์ผู้บริหารวัง เชบนาเลขาของกษัตริย์ และโยอาห์บุตรอาสาฟผู้บันทึกสาสน์ จึงฉีกเสื้อผ้าของตน ไปหาเฮเซคียาห์และบอกท่านว่าผู้บังคับกองพันพูดอะไรบ้าง
อิสยาห์ให้ความมั่นใจแก่เฮเซคียาห์
19 ทันทีที่กษัตริย์เฮเซคียาห์ได้ยินเรื่องทั้งหมด ท่านก็ฉีกเสื้อของท่าน นุ่งห่มด้วยผ้ากระสอบ และเข้าไปในพระตำหนักของพระผู้เป็นเจ้า 2 ท่านใช้เอลียาคิมผู้บริหารวัง เชบนาเลขาของกษัตริย์ และบรรดาปุโรหิตอาวุโส ซึ่งต่างก็นุ่งห่มด้วยผ้ากระสอบ ให้ไปหาอิสยาห์บุตรอามอส ผู้เป็นผู้เผยคำกล่าวของพระเจ้า[h] 3 พวกเขาบอกท่านว่า “เฮเซคียาห์กล่าวว่า วันนี้เป็นวันแห่งความทุกข์ การถูกลงโทษ และความอับอาย ลูกๆ ถึงกำหนดคลอด แต่ไม่มีแรงเบ่งให้คลอด 4 พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของท่านอาจจะได้ยินทุกถ้อยคำที่กษัตริย์แห่งอัสซีเรียเจ้านายของผู้บังคับกองพัน ใช้เขาให้มาพูดดูหมิ่นพระเจ้าผู้ดำรงชีวิตอยู่ และพระองค์จะลงโทษเขาในสิ่งที่พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของท่านได้ยิน ฉะนั้น ขอท่านอธิษฐานเพื่อคนที่มีชีวิตเหลืออยู่” 5 เมื่อบรรดาผู้ปฏิบัติงานของกษัตริย์เฮเซคียาห์มาหาอิสยาห์ 6 อิสยาห์ตอบพวกเขาว่า “จงบอกเจ้านายของท่านว่า ‘พระผู้เป็นเจ้ากล่าวดังนี้ว่า “อย่าให้สิ่งที่คนของกษัตริย์แห่งอัสซีเรียพูดหมิ่นประมาทเรา ซึ่งเจ้าได้ยินนั้นเป็นเหตุทำให้เจ้ากลัว 7 ดูเถิด เราจะดลใจเขา จะทำให้เขาได้ยินข่าวลือ และกลับไปยังแผ่นดินของเขา และเราจะทำให้เขาล้มลงด้วยคมดาบในแผ่นดินของเขาเอง”’”
เซนนาเคอริบท้าทายพระผู้เป็นเจ้า
8 ผู้บังคับกองพันกลับไปยังลาคีช และก็พบว่ากษัตริย์แห่งอัสซีเรียได้ออกจากลาคีชแล้ว และกำลังต่อสู้กับลิบนาห์ 9 เมื่อกษัตริย์ทราบเรื่องทีร์หคาห์กษัตริย์แห่งคูชที่พูดว่า “ดูเถิด เขาได้ยกทัพมาโจมตีท่าน” ท่านจึงใช้คนถือสาสน์ไปยังเฮเซคียาห์อีกว่า 10 “จงบอกเฮเซคียาห์กษัตริย์แห่งยูดาห์ว่า ‘อย่าให้พระเจ้าที่ท่านไว้วางใจหลอกลวงท่านด้วยคำสัญญาที่ว่า เยรูซาเล็มจะไม่ตกอยู่ในมือของกษัตริย์แห่งอัสซีเรีย 11 ดูเถิด ท่านได้ยินแล้วว่า บรรดากษัตริย์แห่งอัสซีเรียกระทำสิ่งใดบ้างต่อแผ่นดินทั้งปวง และพวกเขาถูกกำหนดให้พินาศ แล้วท่านจะได้รับความช่วยเหลือให้รอดหรือ 12 ปวงเทพเจ้าของบรรดาประชาชาติเช่น เมืองโกซาน ฮาราน เรเซฟ และชาวเอเดนที่อยู่ในเทลอัสสาร์ ซึ่งบรรพบุรุษของเราทำให้พินาศไปแล้วนั้น ช่วยพวกเขาให้รอดแล้วหรือ 13 กษัตริย์แห่งฮามัท กษัตริย์แห่งอาร์ปัด กษัตริย์แห่งเสฟาร์วาอิม กษัตริย์แห่งเฮนา และกษัตริย์แห่งอิฟวาห์ อยู่ไหนล่ะ’”
คำอธิษฐานของเฮเซคียาห์
14 เฮเซคียาห์ได้รับจดหมายจากมือของผู้ถือสาสน์ แล้วก็อ่านข้อความ เฮเซคียาห์ขึ้นไปยังพระตำหนักของพระผู้เป็นเจ้า และคลี่จดหมายออกที่เบื้องหน้าพระผู้เป็นเจ้า 15 และเฮเซคียาห์อธิษฐาน ณ เบื้องหน้าพระผู้เป็นเจ้าดังนี้ “โอ พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของอิสราเอล ผู้สถิตบนบัลลังก์เหนือตัวเครูบ[i] พระองค์เป็นพระเจ้าแต่เพียงผู้เดียวของอาณาจักรทั้งปวงในโลก พระองค์ได้สร้างฟ้าสวรรค์และแผ่นดินโลก 16 โอ พระผู้เป็นเจ้า ขอพระองค์เงี่ยหูฟัง โอ พระผู้เป็นเจ้า ขอพระองค์มองดู และฟังสิ่งที่เซนนาเคอริบใช้ให้มาพูดเพื่อดูหมิ่นพระเจ้าผู้ดำรงชีวิตอยู่ 17 โอ พระผู้เป็นเจ้า เป็นความจริงที่บรรดากษัตริย์แห่งอัสซีเรียได้ทำลายบรรดาประชาชาติและแผ่นดินของพวกเขา 18 และได้เผาเทวรูปของพวกเขา เพราะสิ่งเหล่านั้นไม่ใช่เทพเจ้า แต่เป็นสิ่งที่มนุษย์ทำขึ้นด้วยไม้และหิน ฉะนั้นจึงถูกทำลายเสีย 19 บัดนี้ โอ พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของเรา โปรดช่วยพวกเราให้รอดจากเงื้อมมือของเขาเถิด โอ พระผู้เป็นเจ้า เพื่ออาณาจักรทั้งปวงในโลกจะทราบว่า พระผู้เป็นเจ้าเป็นพระเจ้าแต่เพียงผู้เดียว”
20 อิสยาห์บุตรอามอสจึงส่งสาสน์ไปถึงเฮเซคียาห์ว่า “พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของอิสราเอลกล่าวดังนี้คือ เราได้ยินคำอธิษฐานของเจ้าเรื่องเซนนาเคอริบกษัตริย์แห่งอัสซีเรียแล้ว
21 พระผู้เป็นเจ้าได้กล่าวเกี่ยวกับเขาว่า
‘ธิดาพรหมจารีแห่งศิโยนดูถูกเจ้า
และเหยียดหยามเจ้า
ธิดาแห่งเยรูซาเล็ม
สั่นศีรษะอยู่ข้างหลังเจ้า
22 เจ้าเหยียดหยามและพูดหมิ่นประมาทผู้ใด
เจ้าขึ้นเสียง และใช้สายตา
ที่เย่อหยิ่งคัดค้านผู้ใด
ต่อองค์ผู้บริสุทธิ์แห่งอิสราเอลน่ะสิ
23 เจ้าได้ดูหมิ่นพระผู้เป็นเจ้าด้วยผู้ถือสาสน์ของเจ้า
และเจ้าพูดว่า เราได้ขึ้นไปบนภูเขาสูงสุดด้วยรถศึกมากมาย
ไปยังที่ห่างไกลแห่งเลบานอน
เราโค่นต้นซีดาร์ที่สูงสุด
และต้นสนที่งามสุด
เราเข้าถึงที่พักที่ไกลสุด
เราเข้าถึงป่าไม้อันอุดมที่สุด
24 เราขุดบ่อและดื่มน้ำในที่ต่างแดน
เราเหยียบธารน้ำทั้งหมดของอียิปต์
ซึ่งเราทำให้แห้งลงได้
25 เจ้าไม่รู้เลยหรือว่า
เรามุ่งหมายเรื่องนี้มานานแล้ว
เราวางแผนมาตั้งแต่สมัยดึกดำบรรพ์
สิ่งใดที่เป็นไปในเวลานี้ก็เนื่องมาจากเรา
เจ้าทำให้เมืองที่คุ้มกันไว้อย่างแข็งแกร่ง
ต้องล้มลงเป็นกองซากปรักหักพัง
26 ผู้อยู่อาศัยในเมืองหมดกำลัง
หวั่นกลัวและอับอาย
กลายเป็นเหมือนพืชในทุ่งนา
และเหมือนหญ้าอ่อน
เหมือนหญ้าบนหลังคา
ซึ่งถูกเผาก่อนที่จะงอกโตขึ้น
27 แต่เรารู้เวลาที่เจ้านั่งลง
เวลาที่เจ้าไปไหนมาไหน
และเวลาที่เจ้าเกรี้ยวกราดต่อเรา
28 เพราะเจ้าได้เกรี้ยวกราดต่อเรา
และเราได้ยินถึงการสบประมาทของเจ้า
เราจะใช้เบ็ดคล้องจมูกเจ้า
และใส่เหล็กขวางปากเจ้า
และเราจะให้เจ้าหันกลับไปทางที่เจ้ามา’
29 และหมายสำคัญสำหรับเจ้าก็คือ ปีนี้เจ้าจะกินสิ่งที่งอกขึ้นเอง ปีที่สองก็จะเป็นสิ่งที่งอกเหมือนเดิม ปีที่สาม เจ้าจงหว่านและเก็บเกี่ยว ปลูกสวนองุ่น และกินผลของมัน 30 และพงศ์พันธุ์ยูดาห์ที่รอดชีวิตและยังเหลืออยู่ ก็จะเจาะรากลึกลงไป และออกผลขึ้นมา 31 ด้วยว่า บรรดาผู้ที่มีชีวิตเหลืออยู่จะออกไปจากเยรูซาเล็ม นั่นก็คือ กลุ่มที่รอดชีวิตจะออกไปจากภูเขาศิโยน ความรักอันแรงกล้าของพระผู้เป็นเจ้าจะกระทำการนี้
32 ฉะนั้น พระผู้เป็นเจ้ากล่าวถึงกษัตริย์แห่งอัสซีเรียดังนี้คือ เขาจะไม่เข้ามาในเมืองนี้ หรือยิงลูกธนูเข้าไปในนั้น หรือถือโล่มาประจัญเมือง หรือก่อเชิงเทินประชิดเมือง 33 พระผู้เป็นเจ้าประกาศว่า เขามาจากทางใด เขาก็จะกลับออกไปทางนั้น และเขาจะไม่เข้ามาในเมืองนี้ 34 เพราะว่าเราจะปกป้องเมืองนี้ให้รอดปลอดภัยเพื่อนามของเรา และเพื่อดาวิดผู้รับใช้ของเรา”[j]
35 ในคืนนั้นทูตสวรรค์ของพระผู้เป็นเจ้าไปที่ค่ายของชาวอัสซีเรีย และสังหารทหาร 185,000 คน และเช้าตรู่วันรุ่งขึ้นประชาชนก็พบว่า ทหารเหล่านั้นเป็นศพไปหมดแล้ว 36 แล้วเซนนาเคอริบกษัตริย์แห่งอัสซีเรียก็ยกทัพกลับบ้านไป และอาศัยอยู่ที่นีนะเวห์ 37 วันหนึ่งเมื่อท่านกำลังนมัสการอยู่ในวิหารของนิสโรคเทพเจ้าของท่าน อัดรัมเมเลคและชาเรเซอร์บุตรของท่านใช้ดาบฆ่าท่าน แล้วหนีเข้าไปในแผ่นดินอารารัต และเอสาร์ฮัดโดนบุตรของท่านครองราชย์แทนท่าน
เฮเซคียาห์ป่วย
20 ในครั้งนั้นเฮเซคียาห์ล้มป่วยใกล้สิ้นใจ อิสยาห์ผู้เผยคำกล่าวของพระเจ้า บุตรของอามอสมาเยี่ยมท่าน และพูดว่า “พระผู้เป็นเจ้ากล่าวดังนี้ ‘จงจัดการสั่งเสียให้เรียบร้อย เพราะเจ้าจะตาย เจ้าจะไม่หายป่วย’” 2 แล้วเฮเซคียาห์หันหน้าเข้าฝาผนัง และอธิษฐานต่อพระผู้เป็นเจ้าว่า 3 “โอ พระผู้เป็นเจ้า ขอพระองค์ระลึกว่า ข้าพเจ้าดำเนินชีวิต ณ เบื้องหน้าพระองค์ด้วยความภักดีและด้วยสุดจิตสุดใจอย่างไร และข้าพเจ้าได้กระทำสิ่งที่ดีในสายตาของพระองค์” และเฮเซคียาห์ก็ร้องไห้อย่างขมขื่น 4 ก่อนที่อิสยาห์ออกไปจากลานกลาง พระผู้เป็นเจ้ากล่าวกับท่านว่า 5 “จงเดินหันกลับไป และบอกเฮเซคียาห์ผู้นำของประชาชนของเราว่า พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของดาวิดบรรพบุรุษของเจ้ากล่าวดังนี้ เราได้ยินคำอธิษฐานของเจ้าแล้ว เราเห็นน้ำตาของเจ้า ดูเถิด เราจะรักษาเจ้าให้หาย 3 วันต่อจากนี้ เจ้าจะขึ้นไปยังพระตำหนักของพระผู้เป็นเจ้า 6 และเราจะให้เจ้ามีชีวิตต่อไปอีก 15 ปี เราจะช่วยเจ้าและเมืองนี้ให้พ้นจากมือของกษัตริย์แห่งอัสซีเรีย และเราจะปกป้องเมืองนี้ เพื่อนามของเรา และเพื่อดาวิดผู้รับใช้ของเรา” 7 อิสยาห์พูดว่า “จงเอามะเดื่อแห้ง 1 ก้อน และให้เขาเอาไปแปะฝี เพื่อให้ท่านหายจากโรค”
8 เฮเซคียาห์ถามอิสยาห์ว่า “อะไรจะเป็นหมายสำคัญว่า พระผู้เป็นเจ้าจะรักษาเราให้หายจากโรค และเราจะขึ้นไปยังพระตำหนักของพระผู้เป็นเจ้าในอีก 3 วัน” 9 อิสยาห์ตอบว่า “หมายสำคัญจากพระผู้เป็นเจ้าสำหรับท่านคือ พระผู้เป็นเจ้าจะกระทำสิ่งที่พระองค์ได้สัญญาไว้ ท่านจะขอให้เงาทอดลงข้างหน้า 10 ขั้น หรือย้อนหลัง 10 ขั้น” 10 เฮเซคียาห์ตอบว่า “เงาจะทอดลงข้างหน้า 10 ขั้นย่อมง่ายกว่า ดังนั้นขอให้ย้อนหลัง 10 ขั้นเถิด” 11 อิสยาห์ผู้เผยคำกล่าวของพระเจ้าจึงส่งเสียงร้องต่อพระผู้เป็นเจ้า และพระองค์ทำให้เงาย้อนหลัง 10 ขั้นบนนาฬิกาแดดของอาหัส[k]
เฮเซคียาห์และผู้ถือสาสน์ชาวบาบิโลน
12 ในครั้งนั้น เมโรดัคบาลาดันบุตรของบาลาดันกษัตริย์แห่งบาบิโลนใช้คนถือสาสน์ไปพร้อมกับเครื่องบรรณาการถึงเฮเซคียาห์ เพราะทราบว่าเฮเซคียาห์ป่วย 13 เฮเซคียาห์ต้อนรับพวกเขา และให้ดูของมีค่าทั้งสิ้นในคลัง เช่น เงิน ทองคำ เครื่องหอม น้ำมันหอม อาวุธยุทโธปกรณ์ คือทุกสิ่งที่เก็บไว้ในโรงเก็บของ ไม่มีสิ่งใดในวังและอาณาจักรที่เฮเซคียาห์ไม่ได้พาพวกเขาไปดู 14 ครั้นแล้ว อิสยาห์ผู้เผยคำกล่าวของพระเจ้าก็มาหากษัตริย์เฮเซคียาห์ และพูดว่า “ชายเหล่านี้พูดอะไรบ้าง และพวกเขามาจากไหน” เฮเซคียาห์ตอบว่า “พวกเขามาหาเราจากแดนไกล จากบาบิโลน” 15 ท่านถามอีกว่า “พวกเขาเห็นอะไรในวังของท่านบ้าง” เฮเซคียาห์ตอบว่า “พวกเขาเห็นทุกสิ่งที่อยู่ในวังของเรา ไม่มีสิ่งใดในคลังสมบัติของเราทั้งหมดที่เราไม่ได้ให้เขาดู”
16 อิสยาห์พูดกับเฮเซคียาห์ดังนี้ “ขอท่านฟังคำของพระผู้เป็นเจ้า 17 ดูเถิด ใกล้จะถึงวันนั้น เมื่อทุกสิ่งที่อยู่ในวังของท่าน ซึ่งเป็นสิ่งที่บรรพบุรุษของท่านได้สะสมไว้มาจนถึงทุกวันนี้ จะถูกขนไปยังบาบิโลน พระผู้เป็นเจ้ากล่าวว่า จะไม่มีสิ่งใดเหลืออยู่เลย 18 และบุตรหลานของท่านบางคนซึ่งเป็นเลือดเนื้อเชื้อไขของท่านเอง ที่จะเกิดแก่ท่าน พวกเขาจะถูกพาตัวไปเป็นขันทีในวังของกษัตริย์แห่งบาบิโลน” 19 เฮเซคียาห์พูดกับอิสยาห์ว่า “สิ่งที่พระผู้เป็นเจ้ากล่าวผ่านท่านนั้นเป็นสิ่งดี” เพราะท่านคิดว่า “จะไม่มีสันติสุขและความปลอดภัยขณะที่เรามีชีวิตอยู่หรือ”[l]
20 กิจอื่นๆ ทั้งสิ้นของเฮเซคียาห์ ความสำเร็จ และสระน้ำ ร่องน้ำในถ้ำที่ท่านสร้างเพื่อนำน้ำเข้ามาในเมือง ก็ได้มีบันทึกไว้แล้วในหนังสือแห่งพงศาวดารของบรรดากษัตริย์แห่งยูดาห์มิใช่หรือ 21 และเฮเซคียาห์สิ้นชีวิตและถูกนำไปวางรวมกับบรรพบุรุษของท่าน และมนัสเสห์บุตรของท่านครองราชย์แทนท่าน
มนัสเสห์ครองราชย์ในยูดาห์
21 มนัสเสห์มีอายุ 12 ปีเมื่อเริ่มเป็นกษัตริย์ และท่านครองราชย์ 55 ปีในเยรูซาเล็ม มารดาท่านชื่อเฮฟซีบาห์[m] 2 ท่านกระทำสิ่งที่ชั่วร้ายในสายตาของพระผู้เป็นเจ้า คือทำตามสิ่งที่น่ารังเกียจของบรรดาประชาชาติซึ่งพระผู้เป็นเจ้าได้ขับไล่ออกไปต่อหน้าชาวอิสราเอล 3 เพราะท่านได้กลับมาสร้างสถานบูชาบนภูเขาสูงซึ่งเฮเซคียาห์บิดาของท่านได้ทำลายไปขึ้นมาใหม่ และท่านก่อตั้งแท่นบูชาต่างๆ ให้แก่เทพเจ้าบาอัล และสลักเทวรูปอาเชราห์รูปหนึ่ง อย่างที่อาหับกษัตริย์แห่งอิสราเอลได้กระทำ ทั้งยังได้กราบนมัสการและบูชาสรรพสิ่งที่อยู่บนท้องฟ้า 4 และท่านสร้างแท่นบูชาหลายแท่นในพระตำหนักของพระผู้เป็นเจ้า ทั้งๆ ที่พระผู้เป็นเจ้าได้กล่าวไว้ว่า “นามของเราจะเป็นที่ยกย่องในเยรูซาเล็ม”[n] 5 และท่านสร้างแท่นบูชาหลายแท่นให้สรรพสิ่งที่อยู่บนท้องฟ้า ไว้ที่ลานทั้งสองของพระตำหนักของพระผู้เป็นเจ้า 6 และท่านเผาบุตรชายของท่านให้เป็นของถวาย ใช้การทำนายและเวทมนตร์ ปรึกษาคนทรงและผู้สื่อกับคนตาย ท่านกระทำสิ่งที่ชั่วร้ายมากมายในสายตาของพระผู้เป็นเจ้า และยั่วโทสะพระองค์ 7 และยังตั้งเทวรูปอาเชราห์ที่สลักไว้ในพระตำหนักซึ่งพระผู้เป็นเจ้ากล่าวกับดาวิดและซาโลมอนผู้เป็นบุตรว่า “นามของเราจะเป็นที่ยกย่องชั่วนิรันดร์กาลในตำหนักนี้และในเยรูซาเล็ม คือเมืองที่เราได้เลือกจากเผ่าทั้งปวงของอิสราเอล 8 และเราจะไม่ทำให้เท้าของอิสราเอลต้องพเนจรออกไปจากแผ่นดินที่เรามอบให้แก่บรรพบุรุษของพวกเขาอีกต่อไป เพียงแต่ให้พวกเขาระมัดระวังปฏิบัติตามทุกสิ่งที่เราบัญชาพวกเขาไว้แล้ว และตามกฎบัญญัติที่โมเสสผู้รับใช้ของเราบัญชาพวกเขา” 9 แต่พวกเขากลับไม่ฟัง และมนัสเสห์นำพวกเขาไปในทางที่ผิด และกระทำสิ่งชั่วร้ายยิ่งกว่าที่บรรดาประชาชาติ ซึ่งพระผู้เป็นเจ้าได้กำจัดออกไปต่อหน้าชาวอิสราเอล
การบูชารูปเคารพของมนัสเสห์
10 พระผู้เป็นเจ้ากล่าวผ่านบรรดาผู้เผยคำกล่าวของพระเจ้า ซึ่งเป็นผู้รับใช้ของพระองค์ว่า 11 “มนัสเสห์กษัตริย์แห่งยูดาห์ได้กระทำสิ่งที่น่ารังเกียจเหล่านี้ และได้กระทำสิ่งที่ชั่วร้ายยิ่งกว่าชาวอาโมร์ผู้เป็นคนดั้งเดิมของดินแดนกระทำ และยังทำให้ยูดาห์กระทำบาปด้วยรูปเคารพของเขา 12 ฉะนั้น พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของอิสราเอลกล่าวว่า ดูเถิด เรากำลังจะนำความพินาศมาสู่เยรูซาเล็มและยูดาห์ ซึ่งจะทำให้ทุกคนที่ได้ยินต้องตกตะลึง 13 และเราจะลงโทษเยรูซาเล็มเหมือนที่กระทำต่อสะมาเรียคือใช้สายดิ่ง และเหมือนที่กระทำต่อพงศ์พันธุ์ของอาหับคือใช้ลูกดิ่งเป็นมาตรฐาน และเราจะกวาดล้างเยรูซาเล็มเหมือนกับคนที่ล้างจานชาม ทั้งล้างทั้งคว่ำ จากหน้ามือเป็นหลังมือ 14 และเราจะทอดทิ้งผู้สืบทายาทที่เหลือของเรา เราจะมอบพวกเขาไว้ในมือของศัตรูของเขา และพวกเขาจะเป็นเหยื่อและเป็นสิ่งของที่ศัตรูของพวกเขาริบมาได้ 15 เพราะว่าพวกเขาได้กระทำสิ่งที่ชั่วร้ายในสายตาของเรา และยั่วโทสะเรา นับตั้งแต่วันที่บรรพบุรุษของพวกเขาออกมาจากประเทศอียิปต์ มาจนถึงทุกวันนี้”
16 ยิ่งกว่านั้น มนัสเสห์ก็ได้ฆ่าคนไร้ความผิด จนโลหิตไหลเต็มเมืองเยรูซาเล็ม จากปลายทางด้านหนึ่งจรดปลายทางอีกด้านหนึ่ง นอกเหนือจากบาปที่ท่านให้ยูดาห์กระทำ ซึ่งเป็นสิ่งที่ชั่วร้ายในสายตาของพระผู้เป็นเจ้า
17 กิจอื่นๆ ทั้งสิ้นของมนัสเสห์ ทุกสิ่งที่ท่านกระทำ และบาปที่ท่านกระทำ ก็ได้มีบันทึกไว้แล้วในหนังสือแห่งพงศาวดารของบรรดากษัตริย์แห่งยูดาห์มิใช่หรือ 18 มนัสเสห์สิ้นชีวิตและถูกนำไปวางรวมกับบรรพบุรุษของท่าน ศพถูกบรรจุไว้ในสวนที่วังของท่าน ในสวนของอุสซา และอาโมนบุตรของท่านครองราชย์แทนท่าน
อาโมนครองราชย์ในยูดาห์
19 อาโมนมีอายุ 22 ปีเมื่อเริ่มเป็นกษัตริย์ และท่านครองราชย์ 2 ปีในเยรูซาเล็ม มารดาของท่านชื่อ เมชุลเลเมทบุตรหญิงของฮารูสแห่งโยทบาห์ 20 ท่านกระทำสิ่งที่ชั่วร้ายในสายตาของพระผู้เป็นเจ้า เหมือนกับที่มนัสเสห์บิดาของท่านได้กระทำ 21 ท่านดำเนินชีวิตตามแบบอย่างบิดาของท่านทุกประการ บูชาและนมัสการรูปเคารพที่บิดาของท่านกระทำ 22 ท่านทอดทิ้งพระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของบรรพบุรุษของท่าน และไม่ดำเนินชีวิตในวิถีทางของพระผู้เป็นเจ้า 23 และบรรดาเจ้าหน้าที่ชั้นสูงของอาโมนคบคิดกบฏต่อท่าน และสังหารกษัตริย์ในวังของท่านเอง 24 แต่ประชาชนของแผ่นดินก็ฆ่าทุกคนที่ได้เป็นกบฏต่อกษัตริย์อาโมน และประชาชนของแผ่นดินแต่งตั้งโยสิยาห์บุตรของท่านให้เป็นกษัตริย์แทน 25 กิจอื่นๆ ทั้งสิ้นของอาโมน ก็ได้มีบันทึกไว้แล้วในหนังสือแห่งพงศาวดารของบรรดากษัตริย์แห่งยูดาห์มิใช่หรือ 26 และท่านถูกบรรจุไว้ในที่เก็บศพในสวนของอุสซา และโยสิยาห์บุตรของท่านครองราชย์แทนท่าน
โยสิยาห์ครองราชย์ในยูดาห์
22 โยสิยาห์มีอายุ 8 ปีเมื่อเริ่มเป็นกษัตริย์ และท่านครองราชย์ 31 ปีในเยรูซาเล็ม มารดาของท่านชื่อเยดีดาห์บุตรหญิงของอาดายาห์แห่งโบสคาท 2 ท่านกระทำสิ่งที่ถูกต้องในสายตาของพระผู้เป็นเจ้า และดำเนินชีวิตตามแบบอย่างดาวิดบรรพบุรุษของท่าน และท่านไม่ได้หันเหไปจากการปฏิบัติตามกฎบัญญัติ
โยสิยาห์ปฏิสังขรณ์พระตำหนัก
3 ในปีที่สิบแปดของกษัตริย์โยสิยาห์ กษัตริย์ใช้เลขาของท่านคือชาฟานบุตรของอาซาลิยาห์ ผู้เป็นบุตรของเมชุลลาม ไปยังพระตำหนักของพระผู้เป็นเจ้า โดยกล่าวว่า 4 “จงขึ้นไปหาฮิลคียาห์หัวหน้ามหาปุโรหิต จะได้ทราบจำนวนเงินถวายของพระตำหนักของพระผู้เป็นเจ้า ซึ่งบรรดาผู้เฝ้าประตูได้รับมาจากประชาชน 5 และมอบเงินให้แก่บรรดาผู้คุมงานในพระตำหนักของพระผู้เป็นเจ้า และให้พวกเขาจ่ายเงินให้แก่ช่างที่ซ่อมแซมพระตำหนักของพระผู้เป็นเจ้า 6 (คือช่างไม้ ช่างก่อสร้าง และช่างก่ออิฐ) ให้พวกเขาใช้เงินซื้อไม้ และหินที่แต่งแล้วเพื่อใช้ซ่อมแซมพระตำหนัก 7 และจะไม่ต้องมีการถามไถ่เรื่องบัญชีที่บรรดาผู้คุมงานดูแล เพราะพวกเขาสุจริตในเรื่องนั้น”
ฮิลคียาห์พบหนังสือกฎบัญญัติ
8 ฮิลคียาห์หัวหน้ามหาปุโรหิตพูดกับชาฟานเลขาว่า “เราพบหนังสือกฎบัญญัติในพระตำหนักของพระผู้เป็นเจ้า” และฮิลคียาห์ก็มอบหนังสือนั้นให้แก่ชาฟาน และเขาก็อ่าน 9 ชาฟานเลขาไปหากษัตริย์ และรายงานกับท่านว่า “บรรดาเจ้าหน้าที่ของท่านได้เอาเงินตราจากพระตำหนักทั้งหมดมามอบให้แก่บรรดาผู้คุมงานพระตำหนักของพระผู้เป็นเจ้า” 10 และชาฟานเลขารายงานกษัตริย์ว่า “ฮิลคียาห์ปุโรหิตได้มอบหนังสือเล่มหนึ่งแก่ข้าพเจ้า” และชาฟานก็อ่านให้กษัตริย์ฟัง
11 เมื่อกษัตริย์ได้ยินสิ่งที่บันทึกในหนังสือกฎบัญญัติ ท่านก็ฉีกเสื้อของท่าน 12 และกษัตริย์สั่งฮิลคียาห์ปุโรหิต อาหิคามบุตรชาฟาน และอัคโบร์บุตรมิคายาห์ และชาฟานเลขา และอาสายาห์คนรับใช้ของกษัตริย์ว่า 13 “จงไปถามพระผู้เป็นเจ้าให้เราและประชาชน รวมถึงชาวยูดาห์ทั้งหมด จงถามถึงสิ่งที่บันทึกไว้ในหนังสือที่พบ เพราะพระผู้เป็นเจ้ากริ้วพวกเราอย่างที่สุด เนื่องจากว่าบรรพบุรุษของเราไม่ได้เชื่อฟังคำที่บันทึกในหนังสือฉบับนี้ ไม่ได้กระทำตามทุกสิ่งที่บันทึกไว้เพื่อพวกเรา”
14 ดังนั้น ฮิลคียาห์ปุโรหิต อาหิคาม อัคโบร์ ชาฟาน และอาสายาห์ จึงไปหาฮุลดาห์หญิงผู้เผยคำกล่าวของพระเจ้า นางเป็นภรรยาของชัลลูมบุตรทิกวาห์ ผู้เป็นบุตรฮาร์ฮัส ฮาร์ฮัสเป็นผู้ดูแลรักษาเครื่องแต่งกาย (นางอาศัยอยู่ที่เยรูซาเล็มเขตสอง) และชายเหล่านั้นเล่าให้นางฟัง 15 นางตอบพวกเขาว่า “พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของอิสราเอลกล่าวดังนี้ ‘จงบอกผู้ที่ใช้พวกเจ้าให้มาหาเราว่า 16 พระผู้เป็นเจ้ากล่าวว่า ดูเถิด เราจะนำความวิบัติมาสู่สถานที่นี้และประชาชนในเมืองด้วย ตามคำที่กล่าวในหนังสือที่กษัตริย์แห่งยูดาห์อ่าน 17 เพราะพวกเขาได้ทอดทิ้งเรา และได้เผาเครื่องหอมแก่ปวงเทพเจ้า และยั่วโทสะเราด้วยรูปเคารพที่สร้างด้วยมือของพวกเขา ฉะนั้นเราจึงกริ้วต่อบ้านเมืองนี้มาก และจะไม่อาจดับได้’ 18 ส่วนกษัตริย์แห่งยูดาห์ที่ใช้พวกท่านให้มาถามพระผู้เป็นเจ้า ก็จงไปบอกท่านว่า พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของอิสราเอลกล่าวว่า ‘เรื่องที่เจ้าได้ยินนั้น 19 เป็นเพราะใจของเจ้ารู้สำนึกในความผิด และเจ้าถ่อมตัว ณ เบื้องหน้าพระผู้เป็นเจ้า เมื่อเจ้าได้ยินว่า เราพูดคัดค้านบ้านเมืองนี้และผู้อยู่อาศัยว่า พวกเขาสมควรที่จะประสบกับความหายนะและการแช่งสาป และเจ้าได้ฉีกเสื้อของเจ้า และร้องไห้ต่อหน้าเรา เราได้ยินเจ้าแล้ว พระผู้เป็นเจ้าประกาศดังนั้น 20 ฉะนั้น ดูเถิด เราจะรวมเจ้าไว้กับบรรพบุรุษของเจ้า และเจ้าจะถูกบรรจุรวมไว้ในที่เก็บศพอย่างสันติ และเจ้าจะไม่เห็นสิ่งชั่วร้ายทั้งสิ้นที่เราจะให้เกิดขึ้นกับบ้านเมืองนี้’” แล้วเขาเหล่านั้นก็กลับไปรายงานให้กษัตริย์ทราบ
การปฏิรูปของโยสิยาห์
23 แล้วกษัตริย์ก็เรียกหัวหน้าชั้นผู้ใหญ่ทั้งปวงของยูดาห์และเยรูซาเล็มมาประชุมร่วมกับท่าน 2 และเขาทั้งปวงขึ้นไปยังพระตำหนักของพระผู้เป็นเจ้าด้วยกันกับกษัตริย์ มีผู้อื่นที่ไปด้วยคือ ผู้อยู่อาศัยของยูดาห์และเยรูซาเล็ม บรรดาปุโรหิตและผู้เผยคำกล่าวของพระเจ้า และประชาชนใหญ่น้อยทั้งปวง กษัตริย์อ่านทุกสิ่งที่กล่าวในหนังสือพันธสัญญาที่พบในพระตำหนักของพระผู้เป็นเจ้าให้คนทั้งปวงฟัง 3 กษัตริย์ยืนที่ข้างเสาพระตำหนัก และทำสัญญา ณ เบื้องหน้าพระผู้เป็นเจ้าว่า จะดำเนินชีวิตในวิถีทางของพระผู้เป็นเจ้า และรักษาบัญญัติ คำสั่ง และกฎเกณฑ์ของพระองค์อย่างสุดดวงใจและสุดดวงจิต เพื่อประพฤติตามคำในพันธสัญญาที่เขียนในหนังสือฉบับนี้ และประชาชนทั้งปวงก็สัญญาต่อพันธสัญญาเช่นกัน
4 กษัตริย์บัญชาฮิลคียาห์หัวหน้ามหาปุโรหิต บรรดาปุโรหิตรอง และบรรดาผู้เฝ้าประตู ให้นำภาชนะที่ใช้สำหรับเทวรูปบาอัล เทวรูปอาเชราห์ และสรรพสิ่งที่อยู่บนท้องฟ้าออกมาจากพระวิหารของพระผู้เป็นเจ้า ท่านเผาสิ่งเหล่านั้นที่นอกเมืองเยรูซาเล็ม ในทุ่งนาที่ขิดโรน และขนขี้เถ้าไปที่เบธเอล 5 กษัตริย์ปลดตำแหน่งปุโรหิตที่บรรดากษัตริย์แห่งยูดาห์ได้แต่งตั้งให้เผาเครื่องหอมที่สถานบูชาบนภูเขาสูงในเมืองต่างๆ ของยูดาห์และรอบเมืองเยรูซาเล็ม คือคนเหล่านั้นเผาเครื่องหอมแก่เทวรูปบาอัล ดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ กลุ่มดาว และสรรพสิ่งที่อยู่บนท้องฟ้า 6 ท่านขนเทวรูปอาเชราห์ออกมาจากพระตำหนักของพระผู้เป็นเจ้า ไปที่นอกเมืองเยรูซาเล็ม ที่ธารน้ำขิดโรน และเผาเทวรูปที่นั่น ทุบเศษที่เหลือจนแหลกละเอียด และโปรยบนที่หลุมศพของคนสามัญ 7 และท่านพังห้องพักของชายแพศยาที่อยู่ในพระตำหนักของพระผู้เป็นเจ้า ซึ่งเป็นที่ที่พวกผู้หญิงได้ทอผ้าเพื่อแขวนประดับให้เทวรูปอาเชราห์ 8 ท่านให้บรรดาปุโรหิตออกมาจากเมืองต่างๆ ของยูดาห์ และท่านกำจัดสถานบูชาบนภูเขาสูงที่บรรดาปุโรหิตเผาเครื่องหอม ตั้งแต่เมืองเก-บาจนถึงเมืองเบเออร์เช-บา และท่านพังสถานบูชาบนภูเขาสูงตรงทางเข้าที่ประตูโยชูวาผู้ว่าราชการเมือง ซึ่งอยู่ทางซ้ายมือของประตูเวลาหันหน้าเข้าประตูเมือง 9 อย่างไรก็ตาม บรรดาปุโรหิตของสถานบูชาบนภูเขาสูงไม่ได้ขึ้นไปยังแท่นบูชาของพระผู้เป็นเจ้าในเยรูซาเล็ม แต่พวกเขารับประทานขนมปังไร้เชื้อเหมือนกับปุโรหิตอื่นๆ 10 ท่านทำลายโทเฟท[o] ซึ่งอยู่ในหุบเขาแห่งบุตรของฮินโนม เพื่อว่าจะไม่มีผู้ใดเผาบุตรชายหรือบุตรหญิงของตนเป็นเครื่องสักการะแก่เทพเจ้าโมเลค 11 ท่านกำจัดม้าที่บรรดากษัตริย์แห่งยูดาห์ถวายแก่ดวงอาทิตย์ ที่ทางเข้าพระตำหนักของพระผู้เป็นเจ้า ที่ข้างห้องของนาธานเมเลคเจ้าหน้าที่ ซึ่งอยู่บนลานเปิดโล่ง ท่านใช้ไฟเผารถศึกของดวงอาทิตย์ 12 แท่นบูชาที่ห้องบนดาดฟ้าของอาหัส ที่บรรดากษัตริย์แห่งยูดาสร้างขึ้น และแท่นบูชาที่มนัสเสห์ได้สร้างไว้สำหรับลานทั้งสองของพระตำหนักของพระผู้เป็นเจ้า ท่านก็ล้มมันลงจนหักเป็นเสี่ยงๆ และโยนเศษขยะลงในธารน้ำขิดโรน 13 และกษัตริย์พังทลายสถานบูชาบนภูเขาสูงที่อยู่ทางตะวันออกของเยรูซาเล็ม ไปจนถึงทางใต้ของภูเขาแห่งความเสื่อมเสีย ซึ่งซาโลมอนกษัตริย์แห่งอิสราเอลได้สร้างสำหรับเทพเจ้าอัชโทเรท[p]ที่น่ารังเกียจของชาวไซดอน สำหรับเทพเจ้าเคโมชที่น่ารังเกียจของโมอับ และสำหรับเทพเจ้ามิลโคมที่น่ารังเกียจของชาวอัมโมน 14 ท่านทุบเสาหินแตกออกเป็นเสี่ยงๆ ฟันพวกเทวรูปอาเชราห์ลง แล้วก็สุมกระดูกมนุษย์ไว้ที่นั่น
15 ยิ่งกว่านั้น ยังมีแท่นบูชาที่เบธเอลอันเป็นสถานบูชาบนภูเขาสูงที่เยโรโบอัมบุตรเนบัทสร้างขึ้น และก็เป็นเหตุให้อิสราเอลกระทำบาป โยสิยาห์พังแท่นบูชาบนภูเขาสูงนั้น และเผาจนเป็นเถ้าถ่าน ท่านเผาเทวรูปอาเชราห์ด้วย 16 ขณะที่โยสิยาห์หันดูรอบๆ ก็แลเห็นถ้ำเก็บศพที่ภูเขา ท่านจึงให้ไปเอากระดูกออกจากถ้ำไปเผาบนแท่นบูชาและทำให้แท่นมีมลทิน ตามคำของพระผู้เป็นเจ้า ดังที่คนของพระเจ้าประกาศ และได้เป็นผู้เผยให้ทราบถึงสิ่งเหล่านี้ล่วงหน้าไว้แล้ว[q] 17 และโยสิยาห์พูดว่า “อนุสาวรีย์ที่เรามองเห็นนั้นคืออะไร” ชาวเมืองบอกท่านว่า “นั่นเป็นถ้ำบรรจุศพของคนของพระเจ้า ที่มาจากยูดาห์ และเผยให้ทราบถึงสิ่งเหล่านี้ล่วงหน้าว่า ท่านกระทำอะไรบ้างต่อแท่นบูชาที่เบธเอล” 18 ท่านพูดว่า “ปล่อยเขาไว้ อย่าให้ใครย้ายกระดูกของเขา” เขาเหล่านั้นจึงไม่ย้ายกระดูกของท่าน รวมถึงกระดูกของผู้เผยคำกล่าวที่มาจากสะมาเรียด้วย 19 และโยสิยาห์โค่นวิหารทุกแห่งที่สถานบูชาบนภูเขาสูงที่อยู่ในเมืองต่างๆ ของสะมาเรีย ซึ่งกษัตริย์แห่งอิสราเอลได้สร้างและยั่วโทสะพระผู้เป็นเจ้า ท่านกระทำต่อแท่นบูชาเหล่านั้น เหมือนทุกสิ่งที่ได้กระทำแล้วที่เบธเอล 20 และท่านประหารบรรดาปุโรหิตบนแท่นบูชา ซึ่งประจำอยู่บนสถานบูชาบนภูเขาสูง และเผากระดูกคนบนแท่น แล้วท่านก็กลับไปยังเยรูซาเล็ม
โยสิยาห์ให้ฉลองเทศกาลปัสกา
21 กษัตริย์บัญชาประชาชนทั้งปวงว่า “จงฉลองเทศกาลปัสกาแด่พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของเจ้า เหมือนที่บันทึกในหนังสือพันธสัญญาฉบับนี้”[r] 22 ด้วยว่า การฉลองเทศกาลปัสกาเหมือนอย่างนี้ไม่เคยมีมาตั้งแต่สมัยบรรดาผู้วินิจฉัยที่ปกครองอิสราเอล หรือระหว่างสมัยบรรดากษัตริย์แห่งอิสราเอลหรือยูดาห์ 23 แต่ในปีที่สิบแปดของกษัตริย์โยสิยาห์ มีการฉลองเทศกาลปัสกานี้เพื่อให้เกียรติแด่พระผู้เป็นเจ้าในเยรูซาเล็ม
24 ยิ่งกว่านั้น โยสิยาห์ได้กวาดล้างพวกคนทรงและพ่อมดแม่มด เทพเจ้าและรูปเคารพประจำบ้าน และสิ่งที่น่ารังเกียจทั้งปวงที่เห็นกันอยู่ในแผ่นดินของยูดาห์และเยรูซาเล็ม เพื่อท่านจะสถาปนาคำสั่งในกฎบัญญัติที่เขียนไว้ในหนังสือที่ฮิลคียาห์ปุโรหิตพบในพระตำหนักของพระผู้เป็นเจ้า 25 ทั้งก่อนหน้าท่านและหลังจากท่าน ไม่มีกษัตริย์ที่เป็นเหมือนท่าน ที่หันเข้าหาพระผู้เป็นเจ้าอย่างสุดดวงใจ สุดดวงจิต และสุดความคิดของท่าน ดังที่มีในกฎบัญญัติของโมเสสทั้งหมด
26 ถึงกระนั้นพระผู้เป็นเจ้าก็ยังไม่คลายจากความกริ้วอันร้อนแรงของพระองค์ เพราะพระองค์กริ้วยูดาห์เนื่องจากสิ่งที่มนัสเสห์ยั่วโทสะพระองค์ 27 และพระผู้เป็นเจ้ากล่าวว่า “เราจะไล่ยูดาห์ไปให้พ้นหน้าเรา เหมือนกับที่ไล่อิสราเอลไปแล้ว และเราจะไม่ยอมรับทั้งเยรูซาเล็มอันเป็นเมืองที่เราได้เลือกไว้ และตำหนักที่เราพูดถึงว่า ‘นามของเราจะเป็นที่ยกย่องที่นั่น’”
โยสิยาห์เสียชีวิตในสงคราม
28 กิจอื่นๆ ทั้งสิ้นของโยสิยาห์ และทุกสิ่งที่ท่านกระทำ ก็ได้มีบันทึกไว้แล้วในหนังสือแห่งพงศาวดารของบรรดากษัตริย์แห่งยูดาห์มิใช่หรือ 29 ในสมัยของท่าน ฟาโรห์เนโคกษัตริย์แห่งอียิปต์ยกทัพไปช่วยกษัตริย์แห่งอัสซีเรีย เมื่อถึงแม่น้ำยูเฟรติส กษัตริย์โยสิยาห์ก็ออกไปประจันหน้ากับฟาโรห์เนโค และทันทีที่ฟาโรห์เนโคเห็นท่าน ก็ฆ่าท่านที่เมกิดโด 30 บรรดาทหารหามร่างของท่านขึ้นรถศึกจากเมกิดโด ไปยังเยรูซาเล็ม และบรรจุศพไว้ในถ้ำเก็บศพของท่าน และประชาชนในแผ่นดินรับเยโฮอาหาสบุตรโยสิยาห์ ทั้งเจิมและแต่งตั้งท่านให้เป็นกษัตริย์แทนบิดาของท่าน
เยโฮอาหาสกษัตริย์แห่งยูดาห์
31 เยโฮอาหาสมีอายุ 23 ปีเมื่อเริ่มเป็นกษัตริย์ และท่านครองราชย์ 3 เดือนในเยรูซาเล็ม มารดาชื่อฮามุทาลบุตรหญิงของเยเรมีย์แห่งลิบนาห์ 32 ท่านกระทำสิ่งที่ชั่วร้ายในสายตาของพระผู้เป็นเจ้า เหมือนกับที่บรรพบุรุษของท่านได้กระทำทั้งสิ้น 33 ฟาโรห์เนโคกักขังท่านไว้ที่ริบลาห์ใกล้แผ่นดินฮามัท เพื่อกันไม่ให้ท่านครองราชย์ในเยรูซาเล็ม บังคับให้ยูดาห์มอบเครื่องบรรณาการเป็นเงินหนัก 100 ตะลันต์ และทองคำ 1 ตะลันต์ 34 ฟาโรห์เนโคแต่งตั้งเอลียาคิมบุตรของโยสิยาห์ ให้เป็นกษัตริย์แทนโยสิยาห์ผู้เป็นบิดา และเปลี่ยนชื่อเป็นเยโฮยาคิม และท่านก็ได้นำเยโฮอาหาสไปยังอียิปต์ซึ่งท่านได้สิ้นชีวิตที่นั่น 35 เยโฮยาคิมมอบเงินและทองคำแก่ฟาโรห์ตามคำสั่ง ท่านจึงต้องเก็บภาษีที่ดินจ่ายให้แก่ฟาโรห์ ท่านเก็บเงินและทองคำจากประชาชนของแผ่นดินทุกคนตามความมั่งมีของแต่ละคน เพื่อมอบแก่ฟาโรห์เนโค
เยโฮยาคิมครองราชย์ในยูดาห์
36 เยโฮยาคิมมีอายุ 25 ปีเมื่อเริ่มเป็นกษัตริย์ และท่านครองราชย์ 11 ปีในเยรูซาเล็ม มารดาของท่านชื่อ เศบิดาห์บุตรหญิงของเปดายาห์แห่งรูมาห์ 37 ท่านกระทำสิ่งที่ชั่วร้ายในสายตาของพระผู้เป็นเจ้า เหมือนกับที่บรรพบุรุษของท่านได้กระทำทั้งสิ้น
24 ในสมัยของเยโฮยาคิม เนบูคัดเนสซาร์กษัตริย์แห่งบาบิโลนยกทัพมายังยูดาห์ เยโฮยาคิมถูกบังคับให้เป็นข้ารับใช้ 3 ปี แต่ต่อมาท่านกลับแข็งข้อต่อท่าน 2 และพระผู้เป็นเจ้าใช้กลุ่มโจรชาวเคลเดีย ชาวอารัม ชาวโมอับ และชาวอัมโมน มาต่อสู้กับยูดาห์ให้พินาศไป ตามคำกล่าวของพระผู้เป็นเจ้า ที่พระองค์ได้บอกผ่านบรรดาผู้รับใช้ของพระองค์ คือผู้เผยคำกล่าวของพระเจ้า 3 เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นกับยูดาห์ตามคำบัญชาของพระผู้เป็นเจ้า เพื่อกำจัดพวกเขาให้พ้นจากหน้าพระองค์ เพราะบาปที่มนัสเสห์ได้กระทำทั้งสิ้น 4 และเพราะเหตุที่ท่านฆ่าคนที่ไร้ความผิด ท่านฆ่าคนที่ไร้ความผิดไปทั่วทั้งเยรูซาเล็ม และพระผู้เป็นเจ้าจะไม่ให้อภัย 5 กิจอื่นๆ ทั้งสิ้นของเยโฮยาคิม และทุกสิ่งที่ท่านกระทำ ก็ได้มีบันทึกไว้ แล้วในหนังสือแห่งพงศาวดารของบรรดากษัตริย์แห่งยูดาห์มิใช่หรือ 6 ดังนั้นเยโฮยาคิมสิ้นชีวิตและถูกนำไปวางรวมกับบรรพบุรุษของท่าน และเยโฮยาคีน[s]บุตรของท่านครองราชย์แทนท่าน 7 ส่วนกษัตริย์แห่งอียิปต์ไม่ได้ยกทัพออกจากแผ่นดินของท่านอีก เพราะกษัตริย์แห่งบาบิโลนได้ยึดทุกสิ่งที่เป็นของกษัตริย์แห่งอียิปต์ ตั้งแต่ธารน้ำของอียิปต์ไปจนถึงแม่น้ำยูเฟรติส
เยโฮยาคีนครองราชย์ในยูดาห์
8 เยโฮยาคีนมีอายุ 18 ปีเมื่อเริ่มเป็นกษัตริย์ และท่านครองราชย์ 3 เดือนในเยรูซาเล็ม มารดาของท่านชื่อ เนหุชทาบุตรหญิงของเอลนาธานแห่งเยรูซาเล็ม 9 และท่านกระทำสิ่งที่ชั่วร้ายในสายตาของพระผู้เป็นเจ้า เหมือนกับที่บรรพบุรุษของท่านได้กระทำทั้งสิ้น
เยรูซาเล็มถูกยึด
10 ในเวลานั้น บรรดานายทหารของเนบูคัดเนสซาร์กษัตริย์แห่งบาบิโลนยกทัพมายังเยรูซาเล็ม และล้อมเมืองไว้ได้ 11 เนบูคัดเนสซาร์กษัตริย์แห่งบาบิโลนมาถึงเมืองขณะที่นายทหารของท่านกำลังล้อมเมืองอยู่ 12 เยโฮยาคีนกษัตริย์แห่งยูดาห์ยอมจำนนต่อกษัตริย์แห่งบาบิโลน มารดาของท่าน บรรดาผู้รับใช้ เจ้าหน้าที่ชั้นสูง และบรรดาขันทีก็เช่นกัน กษัตริย์แห่งบาบิโลนจับท่านไปเป็นเชลยหลังจากที่ท่านครองราชย์ได้ 8 ปี 13 กษัตริย์แห่งบาบิโลนขนของล้ำค่าไปจากพระวิหารของพระผู้เป็นเจ้า และของมีค่าไปจากวังของกษัตริย์ รวมทั้งภาชนะทองคำในพระตำหนักของพระผู้เป็นเจ้า ที่ถูกทอนเป็นชิ้นเล็กๆ ซึ่งภาชนะเหล่านี้ซาโลมอนกษัตริย์แห่งอิสราเอลโปรดให้หล่อขึ้น พระผู้เป็นเจ้าได้กล่าวถึงสิ่งเหล่านี้ล่วงหน้าแล้ว[t] 14 เนบูคัดเนสซาร์จับคนจากเยรูซาเล็มไปหมด มีทั้งนายทหารและทหารกล้า รวมได้ 10,000 คนไปเป็นเชลย อีกทั้งช่างไม้ฝีมือดี และช่างเหล็กทั้งหมด ไม่มีใครเหลืออยู่เลย ยกเว้นคนยากไร้ที่สุดในแผ่นดินเท่านั้น 15 ท่านจับเยโฮยาคีนไปยังบาบิโลน มารดาของกษัตริย์ บรรดาภรรยาของกษัตริย์ เจ้าหน้าที่ชั้นสูงของท่าน และบรรดาผู้นำของแผ่นดิน ก็ถูกจับจากเยรูซาเล็มไปเป็นเชลยที่บาบิโลน 16 กษัตริย์แห่งบาบิโลนนำเชลยที่เป็นทหารกล้าทั้งหมด 7,000 คน ช่างไม้ฝีมือดีและ ช่างเหล็ก 1,000 คนไปที่บาบิโลน ทุกคนล้วนแต่กำยำและเหมาะที่จะสู้รบ 17 กษัตริย์แห่งบาบิโลนแต่งตั้งมัทธานิยาห์ซึ่งเป็นลุงของเยโฮยาคีน ให้ครองราชย์แทนท่าน และเปลี่ยนชื่อเป็น เศเดคียาห์
เศเดคียาห์ครองราชย์ในยูดาห์
18 เศเดคียาห์มีอายุ 21 ปีเมื่อเริ่มเป็นกษัตริย์ และท่านครองราชย์ 11 ปีในเยรูซาเล็ม มารดาของท่านชื่อ ฮามุทาลบุตรหญิงของเยเรมีย์แห่งลิบนาห์ 19 ท่านกระทำสิ่งที่ชั่วร้ายในสายตาของพระผู้เป็นเจ้า เหมือนกับที่เยโฮยาคิมได้กระทำทั้งสิ้น 20 เพราะความโกรธกริ้วของพระผู้เป็นเจ้าถึงขั้นที่พระองค์ไล่พวกเขาออกไปจากเยรูซาเล็มและยูดาห์ ให้พ้นจากหน้าของพระองค์
ครั้งนั้น เศเดคียาห์ได้แข็งข้อต่อกษัตริย์แห่งบาบิโลน
เยรูซาเล็มแตก
25 ในปีที่เก้าที่เศเดคียาห์ครองราชย์ วันที่สิบของเดือนสิบ เนบูคัดเนสซาร์กษัตริย์แห่งบาบิโลนและกองทัพของท่านทั้งหมดมาโจมตีเยรูซาเล็ม[u] พวกเขาตั้งค่าย และก่อเชิงเทินรอบเมือง 2 ดังนั้น เมืองถูกล้อมจนถึงปีที่สิบเอ็ดของกษัตริย์เศเดคียาห์ 3 วันที่เก้าของเดือนสี่ ทุพภิกขภัยรุนแรงที่สุดเกิดขึ้นในเมือง จนไม่มีอาหารให้แก่ประชาชนของแผ่นดิน 4 ครั้นแล้วกำแพงเมืองก็พังทลายลง พวกนักรบทั้งหมดพากันหนีเมื่อถึงเวลากลางคืน โดยออกไปทางประตูเมืองระหว่างกำแพง 2 กำแพงที่ข้างสวนของกษัตริย์แม้ว่าชาวเคลเดียกำลังล้อมเมืองอยู่ และพวกเขาหนีไปทางที่จะไปอาราบาห์ 5 แต่กองทัพของชาวเคลเดียไล่ตามกษัตริย์ และจับกุมท่านได้ในที่ราบเยรีโค ฝ่ายกองทัพของท่านก็เตลิดหนีทิ้งท่านไป 6 แล้วพวกเขาจับกษัตริย์ขึ้นไปให้กษัตริย์แห่งบาบิโลนที่ริบลาห์ และพวกเขาประกาศโทษแก่ท่าน 7 เขาประหารบรรดาบุตรชายของเศเดคียาห์ต่อหน้าต่อตาท่าน แล้วควักลูกตาของเศเดคียาห์และล่ามโซ่ และนำตัวท่านไปยังบาบิโลน[v]
8 ในวันที่เจ็ดของเดือนห้า ซึ่งเป็นปีที่สิบเก้าของเนบูคัดเนสซาร์กษัตริย์แห่งบาบิโลน เนบูซาระดานผู้บัญชาการทหารคุ้มกัน ซึ่งเป็นผู้รับใช้ของกษัตริย์แห่งบาบิโลนมายังเยรูซาเล็ม 9 และเขาเผาพระตำหนักของพระผู้เป็นเจ้า เผาวังของกษัตริย์และบ้านทุกหลังในเยรูซาเล็ม และสถานที่สำคัญทุกแห่ง 10 กองทัพของชาวเคลเดียทั้งกองทัพที่อยู่กับผู้บัญชาการทหารคุ้มกันก็ได้พังทลายกำแพงรอบเมืองเยรูซาเล็ม 11 เนบูซาระดานผู้บัญชาการทหารคุ้มกันจับตัวประชาชนที่เหลืออยู่ในเมือง พวกที่ทิ้งบ้านทิ้งเมืองและหนีไปหากษัตริย์แห่งบาบิโลน อีกทั้งผู้คนจำนวนมากไปเป็นเชลย 12 แต่ผู้บัญชาการทหารคุ้มกันปล่อยคนที่ยากไร้ที่สุดในแผ่นดินบางคนให้เป็นคนทำสวนองุ่นและทำไร่ไถนา
13 ชาวเคลเดียทุบเสาหลักทองสัมฤทธิ์ที่อยู่ในพระตำหนักของพระผู้เป็นเจ้า ฐานรองรับและถังเก็บน้ำทองสัมฤทธิ์ที่อยู่ในพระตำหนักของพระผู้เป็นเจ้า ให้หักเป็นชิ้นๆ และขนทองสัมฤทธิ์ไปยังบาบิโลน 14 สิ่งอื่นๆ ที่พวกเขาได้ขนไปมี หม้อรองรับขี้เถ้า ทัพพี กรรไกรตัดไส้ดวงประทีป ภาชนะเครื่องหอม และภาชนะทองสัมฤทธิ์ทั้งสิ้นที่ใช้ในงานของพระตำหนัก 15 ผู้บัญชาการทหารคุ้มกันก็ขนถาดที่ใช้เก็บถ่านร้อน อีกทั้งถ้วยที่เป็นทองคำและเงิน 16 ส่วนเสาหลัก 2 ต้น ถังเก็บน้ำ 1 ใบ และฐานรองรับที่ซาโลมอนได้หล่อไว้สำหรับพระตำหนักของพระผู้เป็นเจ้า ภาชนะเหล่านี้ทุกชิ้นที่เป็นทองสัมฤทธิ์ก็หนักเกินที่จะชั่งได้ 17 เสาหลักต้นหนึ่งสูง 18 ศอก และบนยอดเสาเป็นทองสัมฤทธิ์ ยอดเสาสูง 3 ศอก งานโซ่ถักเป็นตาข่าย และลูกทับทิม เป็นทองสัมฤทธิ์ทั้งหมดที่รอบยอดเสา และเสาหลักต้นที่สองก็เป็นงานโซ่ถักที่เป็นตาข่ายเหมือนกัน
18 ผู้บัญชาการทหารคุ้มกันก็จับเสไรยาห์หัวหน้ามหาปุโรหิต เศฟันยาห์ปุโรหิตรอง และผู้เฝ้าประตู 3 คน 19 เขาจับข้าราชสำนักซึ่งเป็นผู้บัญชาการกองทัพ และที่ปรึกษาของกษัตริย์อีก 5 คนที่พบในเมือง เลขาของผู้บัญชาการทหารที่เกณฑ์ราษฎรของแผ่นดิน และประชาชน 60 คนของแผ่นดินที่พบในเมือง 20 เนบูซาระดานผู้บัญชาการทหารคุ้มกันจับคนเหล่านี้ไปให้กษัตริย์แห่งบาบิโลนที่ริบลาห์ 21 กษัตริย์แห่งบาบิโลนก็ให้สังหารพวกเขาที่ริบลาห์ในแผ่นดินฮามัท ฉะนั้นยูดาห์จึงถูกเนรเทศออกจากแผ่นดินของตน
เก-ดาลิยาห์ผู้ว่าราชการของยูดาห์
22 เนบูคัดเนสซาร์แต่งตั้งเก-ดาลิยาห์บุตรอาหิคาม ผู้เป็นบุตรของชาฟานให้เป็นผู้ว่าราชการปกครองประชาชนที่ถูกปล่อยให้อยู่ในแผ่นดินยูดาห์ 23 เมื่อบรรดาผู้บัญชาการและเหล่าทหารทราบว่า กษัตริย์แห่งบาบิโลนได้แต่งตั้งเก-ดาลิยาห์ให้เป็นผู้ว่าราชการ พวกเขาจึงไปหาเก-ดาลิยาห์ที่มิสปาห์ บรรดาผู้ที่ไปมี อิชมาเอลบุตรเนธานิยาห์ โยฮานานบุตรคาเรอัค เสไรยาห์บุตรทันหุเมทชาวเนโทฟาห์ และยาอาซันยาห์บุตรตระกูลมาอาคาห์ 24 เก-ดาลิยาห์สาบานต่อบรรดาผู้บัญชาการและเหล่าทหารว่า “อย่ากลัวเจ้าหน้าที่ชั้นสูงชาวเคลเดีย พวกท่านจงตั้งรกรากอยู่ในแผ่นดิน และรับใช้กษัตริย์แห่งบาบิโลน แล้วทุกอย่างก็จะเป็นไปด้วยดีกับท่าน” 25 ในเดือนที่เจ็ด อิชมาเอลบุตรเนธานิยาห์ผู้เป็นบุตรของเอลีชามา ซึ่งมีเลือดเนื้อเชื้อไขกษัตริย์ของชาวยูดาห์ มากับชาย 10 คน และได้ฆ่าเก-ดาลิยาห์ เขาสิ้นชีวิตพร้อมกับชาวยิวและชาวเคลเดียที่อยู่กับท่านที่มิสปาห์ 26 ครั้นแล้ว ประชาชนใหญ่น้อยทั้งปวงและบรรดาผู้บัญชาการกองทัพจึงรีบไปยังอียิปต์ เพราะพวกเขากลัวชาวเคลเดีย
เยโฮยาคีนออกจากคุก
27 หลังจากที่เยโฮยาคีนกษัตริย์แห่งยูดาห์ถูกเนรเทศเป็นเวลานานถึง 37 ปี ในปีที่เอวิลเมโรดัคเริ่มเป็นกษัตริย์แห่งบาบิโลน ท่านได้กรุณาปลดปล่อยเยโฮยาคีนกษัตริย์แห่งยูดาห์ออกจากที่คุมขังในวันที่ยี่สิบเจ็ดของเดือนสิบสอง 28 ท่านแสดงความเมตตาต่อเยโฮยาคีน และให้ตำแหน่งสูงกว่ากษัตริย์อื่นๆ ที่ถูกเนรเทศไปยังบาบิโลนพร้อมๆ กัน 29 ดังนั้น เยโฮยาคีนจึงไม่สวมเสื้อนักโทษอีก และได้รับประทานอาหารร่วมโต๊ะกับกษัตริย์เป็นประจำทุกวัน 30 กษัตริย์กำหนดเงินให้เป็นค่าใช้จ่ายแก่ท่าน ตามความจำเป็นในแต่ละวันไปจนตลอดชีวิตของท่าน
Copyright © 1998, 2012, 2020 by New Thai Version Foundation