Print Page Options
Previous Prev Day Next DayNext

Bible in 90 Days

An intensive Bible reading plan that walks through the entire Bible in 90 days.
Duration: 88 days
Thai New Testament: Easy-to-Read Version (ERV-TH)
Version
2 พงศาวดาร 7:11-23:15

พระยาห์เวห์มาหาซาโลมอนครั้งที่สอง

(1 พกษ. 9:1-9)

11 เมื่อซาโลมอนสร้างวิหารของพระยาห์เวห์และวังกษัตริย์เสร็จ และทำทุกสิ่งทุกอย่างที่เขาคิดไว้ว่าจะทำในวิหารของพระยาห์เวห์และในวังของเขาเองจนหมดแล้ว 12 พระยาห์เวห์ได้ปรากฏแก่เขาในตอนกลางคืนและพูดว่า

“เราได้ยินคำอธิษฐานของเจ้า และได้เลือกสถานที่นี้สำหรับตัวเราให้เป็นวิหารสำหรับการถวายเครื่องบูชา 13 เมื่อเราปิดสวรรค์เพื่อไม่ให้มีฝนตก หรือสั่งฝูงตั๊กแตนให้มากลืนกินแผ่นดินของเจ้า หรือส่งโรคระบาดให้ลงมาในหมู่ประชาชนของเรา 14 ถ้าประชาชนของเราผู้ที่เราได้ประทับชื่อเราไว้ ถ่อมตัวลงและอธิษฐาน และเริ่มแสวงหาใบหน้าของเรา และหันเหออกจากวิถีทางชั่วทั้งหลายของพวกเขา เราก็จะรับฟังจากสวรรค์ และจะยกโทษบาปของพวกเขาและจะรักษาแผ่นดินของพวกเขา 15 ตอนนี้ดวงตาของเราจะเปิดอยู่ และหูของเราก็จะรับฟังคำอธิษฐานที่พวกเขาอธิษฐานต่อเราในสถานที่แห่งนี้ 16 เราได้เลือกและอุทิศวิหารนี้ให้เป็นเกียรติกับชื่อของเราตลอดไป ดวงตาและหัวใจของเราจะอยู่ที่นั่นเสมอ

17 ส่วนตัวเจ้า ถ้าเจ้าเดินอยู่ต่อหน้าเรา เหมือนกับที่ดาวิดพ่อของเจ้าเคยทำ และทำตามทุกอย่างที่เราสั่ง และรักษาข้อบังคับกับกฎทุกข้อของเรา 18 เราจะทำให้บัลลังก์ของราชวงศ์เจ้ามั่นคงเหมือนกับที่เราได้สัญญาไว้กับดาวิดพ่อของเจ้า เมื่อครั้งที่เราพูดว่า ‘เจ้าจะไม่ขาดผู้สืบเชื้อสายที่จะมาปกครองเหนือชนชาติอิสราเอล’

19 แต่ถ้าพวกเจ้าหันเหไป และละทิ้งข้อบังคับต่างๆและกฎทั้งหลายที่เราได้ให้พวกเจ้าไว้ และไปรับใช้และนมัสการพระอื่นๆ 20 เราก็จะถอนรากชนชาติอิสราเอลออกจากแผ่นดินของเราที่เราได้ยกให้กับพวกเขาไว้ และจะขว้างทิ้งวิหารแห่งนี้ที่เราได้อุทิศไว้ให้เป็นเกียรติกับชื่อของเราให้พ้นไปจากสายตาเรา เราจะทำให้มันเป็นที่หัวเราะเยาะและเย้ยหยันในหมู่ชนชาติทั้งหลาย 21 ถึงแม้ว่าวิหารแห่งนี้จะใหญ่โตสง่างาม แต่ทุกๆคนที่ผ่านไปมาจะต้องกลัวและพูดว่า ‘ทำไมพระยาห์เวห์ต้องทำถึงขนาดนี้กับดินแดนและวิหารแห่งนี้’ 22 คนก็จะตอบว่า ‘เป็นเพราะพวกเขาได้ละทิ้งพระยาห์เวห์พระเจ้าของบรรพบุรุษของพวกเขา พระเจ้าผู้ที่ได้นำพวกเขาออกมาจากแผ่นดินอียิปต์ และพวกเขาได้ไปโอบกอดอยู่กับพระอื่นๆทั้งนมัสการและรับใช้พวกมัน นั่นเป็นเหตุที่พระองค์ถึงได้นำความหายนะทั้งหมดนี้มาสู่พวกเขา’”

ความสำเร็จอื่นๆของซาโลมอน

(1 พกษ. 9:10-28)

ในตอนปลายปีที่ยี่สิบซึ่งเป็นช่วงที่ซาโลมอนได้สร้างวิหารของพระยาห์เวห์ กับวังของเขาเองนั้น ซาโลมอนได้ซ่อมแซมหมู่บ้านต่างๆที่ฮีรามได้ให้เขาไว้และได้ให้ชาวอิสราเอลเข้าไปตั้งรกรากอยู่ในหมู่บ้านเหล่านั้น แล้วซาโลมอนก็ได้ไปที่ฮามัทโศบาห์และไปยึดเอาเมืองนั้นไว้ เขายังสร้างเมืองทัดโมร์ขึ้นในทะเลทรายและเมืองสำหรับเก็บของหลายเมืองในฮามัท เขาสร้างเมืองเบธโฮโรนบน กับเมืองเบธโฮโรนล่างขึ้นมาใหม่ ให้เป็นเมืองป้อมปราการที่มีกำแพงเมือง กับประตูเมือง และลูกกรงเหล็ก ยังมีเมืองบาอาลัท รวมทั้งสร้างเมืองต่างๆที่ใช้สำหรับเก็บข้าวของและเมืองทั้งหลายสำหรับไว้รถรบ และม้าศึกทั้งหลายของเขา และสร้างทุกสิ่งทุกอย่างที่เขาอยากจะสร้าง ทั้งในเยรูซาเล็ม ในเลบานอน และตลอดทั่วทั้งเขตแดนที่เขาปกครองอยู่

ประชาชนทั้งหมดที่เป็นชาวฮิตไทต์ ชาวอาโมไรต์ ชาวเปริสซี ชาวฮีไวต์และชาวเยบุสนั้น (คนเหล่านี้ไม่ใช่คนอิสราเอล) คือ ลูกหลานของคนเผ่าเหล่านี้ ที่ชาวอิสราเอลไม่ได้ทำลายจนหมดสิ้น แต่ยังเหลืออยู่ในแผ่นดิน ซาโลมอนได้เกณฑ์คนเหล่านี้มาเป็นทาสที่ใช้แรงงานจนถึงทุกวันนี้ แต่ซาโลมอนไม่ได้ใช้ชาวอิสราเอลมาทำงานเป็นทาสในงานของเขา ชาวอิสราเอลได้เป็นนักรบ แม่ทัพของกองทหารของเขา และเป็นแม่ทัพของกองรถรบกับกองทหารของรถรบ 10 มีเจ้าหน้าที่ระดับหัวหน้าที่คอยดูแลโครงการต่างๆของกษัตริย์ซาโลมอน พวกเขามีทั้งหมดสองร้อยห้าสิบคน

11 ซาโลมอนพาลูกสาวของกษัตริย์ฟาโรห์ขึ้นมาจากเมืองของดาวิดไปอยู่ในวังที่เขาได้สร้างไว้ให้กับนาง เขาได้พูดว่า “เมียของเราต้องไม่อาศัยอยู่ในวังของกษัตริย์ดาวิดแห่งอิสราเอล เพราะสถานที่ทั้งหลายที่เคยวางหีบของพระยาห์เวห์ นั้นเป็นที่ศักดิ์สิทธิ์”

12 ซาโลมอนเผาเครื่องบูชาให้แก่พระยาห์เวห์บนแท่นบูชาของพระยาห์เวห์ ที่ซาโลมอนได้สร้างไว้ที่ด้านหน้าของระเบียงทางเดิน 13 ซาโลมอนถวายเครื่องบูชาตามที่ได้กำหนดไว้สำหรับวันต่างๆอย่างที่โมเสสได้สั่งไว้ เขาจะต้องถวายเครื่องบูชาในทุกวันหยุดทางศาสนาวันข้างขึ้น[a] และวันเทศกาลประจำปีสามเทศกาลคือ เทศกาลกินขนมปังไม่ใส่เชื้อ เทศกาลสัปดาห์และเทศกาลอยู่เพิง 14 แล้วเพื่อเป็นการรักษากฎของดาวิดผู้เป็นพ่อของเขาไว้ ซาโลมอนจึงได้แต่งตั้งพวกนักบวชขึ้นและแบ่งเวรตามหน้าที่ของพวกเขา และแต่งตั้งชาวเลวีให้คอยนำในการสรรเสริญและมาช่วยเหลือพวกนักบวชในแต่ละวัน เขายังได้แต่งตั้งพวกคนเฝ้าประตูและแบ่งเวรสำหรับประตูแต่ละประตู เพราะนี่คือสิ่งที่ดาวิดคนของพระเจ้าได้สั่งไว้ 15 พวกอิสราเอลไม่ได้หันเหไปจากคำสั่งทั้งหลายของกษัตริย์ซาโลมอนที่ให้กับเหล่านักบวชหรือชาวเลวี ไม่ว่าจะเป็นเรื่องอะไรก็ตาม รวมทั้งคำสั่งที่ให้ไว้เกี่ยวกับพวกคลังสมบัติด้วย

16 งานทุกอย่างของซาโลมอนสำเร็จลุล่วงไปด้วยดี ตั้งแต่วันที่เริ่มวางรากฐานของวิหารของพระยาห์เวห์ จนกระทั่งเสร็จสมบูรณ์ แล้ววิหารของพระยาห์เวห์ก็สร้างจนเสร็จ

17 ซาโลมอนไปที่เมืองเอซีโอนเกเบอร์และเมืองเอโลทบนชายฝั่งของเอโดม 18 ฮีรามส่งเรือมาให้ซาโลมอน โดยมีเจ้าหน้าที่ของเขาซึ่งเป็นผู้ที่รู้เรื่องเกี่ยวกับทะเลเป็นอย่างดีมาเป็นผู้บังคับการเรือ คนเหล่านี้ได้แล่นเรือไปกับคนของซาโลมอนจนถึงเมืองโอฟีร์[b] และได้นำทองคำสิบหกตันกลับมาให้กับกษัตริย์ซาโลมอน

ราชินีของเชบามาพบซาโลมอน

(1 พกษ. 10:1-13)

เมื่อราชินีของเชบาได้ยินถึงชื่อเสียงของซาโลมอน นางมาที่เมืองเยรูซาเล็มเพื่อทดสอบเขาด้วยคำถามยากๆหลายข้อ นางเดินทางมาพร้อมกับข้าราชการมากมาย และมีฝูงอูฐบรรทุกเครื่องเทศมากมาย ทองคำจำนวนมากและพลอยมีค่าหลายชนิด นางมาพบกับซาโลมอนและคุยกับเขาเกี่ยวกับสิ่งต่างๆที่นางคิดไว้ ซาโลมอนตอบคำถามทั้งหมดของนางได้ ไม่มีข้อใดเลยที่ยากเกินไปสำหรับซาโลมอนที่จะอธิบายให้กับนางได้เข้าใจ เมื่อราชินีของเชบาเห็นความเฉลียวฉลาดของซาโลมอน อีกทั้งเห็นวังที่เขาสร้างขึ้น ตลอดจนอาหารต่างๆบนโต๊ะของเขา ที่นั่งของพวกเจ้าหน้าที่ของเขา พวกผู้รับใช้ของเขาและเสื้อผ้าที่พวกเขาใส่อยู่ พวกผู้ถือถ้วยของเขาและชุดที่พวกเขาใส่อยู่ และเครื่องเผาบูชาทั้งหลายที่เขาถวายอยู่ในวิหารของพระยาห์เวห์ นางก็รู้สึกตกตะลึงจนลืมหายใจ นางพูดกับกษัตริย์ว่า “ข่าวที่เราได้ยินในประเทศของเราเกี่ยวกับความสำเร็จต่างๆและความเฉลียวฉลาดของท่านล้วนเป็นความจริงทั้งสิ้น แต่เราไม่เคยเชื่อสิ่งเหล่านี้มาก่อน จนกระทั่งเราได้มาเห็นกับตาของเราเอง อันที่จริง ความเฉลียวฉลาดที่พวกเขาพูดนั้นยังไม่ถึงครึ่งหนึ่งของความเฉลียวฉลาดอันยิ่งใหญ่ที่ท่านมีเสียด้วยซ้ำ ท่านดีกว่าที่เราได้ยินมามากนัก คนของท่าน[c] ช่างได้เกียรติจริงๆ พวกเจ้าหน้าที่ของท่านนี่ช่างได้เกียรติจริงๆ คนพวกนี้ได้ยืนอยู่ต่อหน้าท่านตลอดเวลา และได้ฟังความเฉลียวฉลาดของท่าน ขอสรรเสริญพระยาห์เวห์พระเจ้าของท่านผู้ที่ชื่นชมในตัวท่านและวางท่านไว้บนบัลลังก์ของพระองค์ให้เป็นกษัตริย์ปกครองให้กับพระยาห์เวห์พระเจ้าของท่าน เป็นเพราะความรักของพระเจ้าของท่านที่มีให้กับชนชาติอิสราเอลและความต้องการของพระองค์ที่จะโอบอุ้มพวกเขาไว้ตลอดไป พระองค์ได้ทำให้ท่านเป็นกษัตริย์เหนือพวกเขาเพื่อที่จะรักษาความยุติธรรมและความถูกต้องไว้”

แล้วนางก็มอบทองคำประมาณสี่ตัน เครื่องเทศเป็นจำนวนมาก และพลอยมีค่าอีกหลายอย่างให้กับกษัตริย์ ไม่เคยมีใครนำเครื่องเทศมามากมายเท่ากับที่ราชินีแห่งเชบาเอามาให้กับกษัตริย์ซาโลมอน

10 (คนของฮีรามและคนของซาโลมอนได้นำทองคำมาจากโอฟีร์[d] พวกเขายังได้นำไม้แก่นจันทน์แดงและพลอยมีค่ามาด้วย 11 กษัตริย์ใช้ไม้แก่นจันทน์แดงทำขั้นบันไดของวิหาร ของพระยาห์เวห์ กับบันไดของวังกษัตริย์ และยังใช้ทำพิณใหญ่กับพิณเล็ก สำหรับพวกนักดนตรี ยังไม่เคยมีใครเคยเห็นของสวยเหมือนของพวกนี้มาก่อนในยูดาห์)

12 กษัตริย์ซาโลมอนให้ทุกสิ่งทุกอย่างที่ราชินีของเชบาอยากได้และที่นางขอจากเขา ซาโลมอนให้ของกับนางมากกว่าของที่นางนำมาให้เขาเสียอีก แล้วนางก็จากไปและกลับประเทศของนางพร้อมกับพวกข้าราชการของนาง

ทรัพย์สมบัติของซาโลมอน

(1 พกษ. 10:14-29; 2 พศด. 1:14-17)

13 ซาโลมอนรับทองคำในแต่ละปีหนักประมาณยี่สิบสามตัน 14 ไม่รวมถึงทองคำที่ได้จากพวกพ่อค้าเร่ และพวกที่ค้าขายเป็นประจำ และกษัตริย์ทั้งหลายแห่งอาระเบียและพวกผู้ว่าได้นำเงินและทองมาให้กับซาโลมอนด้วย 15 กษัตริย์ซาโลมอนสร้างโล่ขนาดใหญ่สองร้อยอันที่ทำจากทองคำที่ตีแล้ว โดยโล่แต่ละอันใช้ทองคำที่ตีแล้วหนักสามกิโลครึ่ง 16 เขายังสร้างโล่ขนาดเล็กขึ้นสามร้อยอันที่ทำจากทองคำที่ตีแล้วด้วย โดยโล่แต่ละอันใช้ทองคำหนักหนึ่งกิโลเจ็ดขีด กษัตริย์ได้เก็บพวกมันไว้ในวังที่มีชื่อว่า “ป่าแห่งเลบานอน”

17 แล้วกษัตริย์ก็สร้างบัลลังก์อันยิ่งใหญ่ขึ้นบัลลังก์หนึ่ง โดยฝังงาช้างไว้และบุด้วยทองคำบริสุทธิ์ 18 บัลลังก์นี้มีบันไดหกขั้นและมีที่รองเท้า[e] อันหนึ่งทำจากทองคำติดอยู่กับบัลลังก์ มีที่วางแขนอยู่ทั้งสองข้างของที่นั่ง มีรูปปั้นสิงห์สองตัวยืนอยู่ที่ด้านข้างของบัลลังก์ 19 บันไดทั้งหกขั้นนี้ ที่ปลายทั้งสองด้านของบันไดแต่ละขั้นมีรูปปั้นสิงห์อยู่ข้างละตัว รวมทั้งหมดสิบสองตัว ไม่มีอาณาจักรไหนเคยทำได้อย่างนี้มาก่อน 20 ถ้วยสำหรับดื่มเหล้าทั้งหมดของซาโลมอนทำจากทองคำ และข้าวของเครื่องใช้ทุกอย่างในวังของป่าแห่งเลบานอนล้วนทำจากทองคำบริสุทธิ์ ไม่มีอะไรที่ทำจากเงินเลย เพราะในยุคของซาโลมอน เงินแทบจะไม่มีค่าอะไรเลย 21 กษัตริย์มีกองเรือสำหรับค้าขายที่ควบคุมดูแลโดยคนของฮีราม เรือเหล่านี้จะกลับมาทุกๆสามปีโดยนำทองคำ เงินและงาช้างรวมทั้งลิงตัวใหญ่และลิงบาบูนกลับมาด้วย

22 กษัตริย์ซาโลมอนล้ำหน้ากษัตริย์ทุกองค์ในโลกนี้ในเรื่องความร่ำรวยและความเฉลียวฉลาด 23 กษัตริย์ทุกองค์ในโลกต่างพากันมาขอเข้าพบซาโลมอน เพื่อที่จะได้ฟังความเฉลียวฉลาดของเขาที่พระเจ้าได้ใส่ไว้ในใจของเขา 24 ปีแล้วปีเล่า ทุกๆคนที่มาต่างก็นำของขวัญมาให้เขา ไม่ว่าจะเป็นเงินหรือทองคำ เสื้อผ้า อาวุธ เครื่องเทศ ม้าหรือล่อ

25 ซาโลมอนมีคอกม้าถึงสี่พันคอก กับรถรบอีกหลายคัน เขามีม้าทั้งหมดหนึ่งหมื่นสองพันตัวซึ่งได้เก็บอยู่ในเมืองที่เก็บรถรบ และส่วนหนึ่งอยู่กับเขาในเยรูซาเล็ม 26 เขาได้ปกครองอยู่เหนือกษัตริย์อีกหลายๆองค์ตั้งแต่แม่น้ำยูเฟรติสไปจนถึงแผ่นดินของพวกฟีลิสเตีย จนถึงเขตแดนของประเทศอียิปต์ 27 กษัตริย์ได้ทำให้เงินมีมากอย่างกับก้อนหินในเมืองเยรูซาเล็ม และทำให้ไม้สนซีดาร์มีอย่างเกลื่อนกลาดเหมือนกับไม้มะเดื่อตามเชิงเขา 28 ม้าของซาโลมอนถูกนำมาจากประเทศอียิปต์และจากประเทศอื่นๆอีกหลายประเทศ

ซาโลมอนตาย

(1 พกษ. 11:41-43)

29 ส่วนเหตุการณ์อื่นๆในสมัยของซาโลมอนตั้งแต่เริ่มต้นจนสิ้นสุดลงได้รับการจดบันทึกไว้แล้วในบันทึกของนาธันผู้พูดแทนพระเจ้า ในคำเผยแพร่ของอาหิยาห์ชาวเมืองชิโลห์และในนิมิตของอิดโดผู้ที่เห็นนิมิต[f] เกี่ยวกับเยโรโบอัมลูกชายของเนบัท 30 ซาโลมอนได้ปกครองอยู่ในเมืองเยรูซาเล็มเหนือชนชาติอิสราเอลเป็นเวลาสี่สิบปี 31 แล้วเขาก็ได้ตายไปอยู่กับบรรพบุรุษของเขาและถูกฝังอยู่ในเมืองของดาวิดพ่อของเขา และเรโหโบอัมลูกชายของเขาก็ได้ขึ้นเป็นกษัตริย์สืบต่อจากเขา

สงครามกลางเมือง

(1 พกษ. 12:1-24)

10 เรโหโบอัมไปที่เชเคมเพราะชาวอิสราเอลทั้งหมดไปที่นั่นเพื่อที่จะแต่งตั้งเขาขึ้นเป็นกษัตริย์ เมื่อเยโรโบอัมลูกชายของเนบัทได้ยินเรื่องนี้เข้า (ตอนนั้นเขาอยู่ในประเทศอียิปต์ซึ่งเป็นที่ที่เขาหลบหนีไปจากกษัตริย์ซาโลมอน) เขาจึงออกมาจากอียิปต์ กลับมาบ้านของเขา

คนอิสราเอลจึงไปหาเยโรโบอัม เยโรโบอัมพร้อมด้วยชาวอิสราเอลทั้งหมดก็ไปหาเรโหโบอัมและพูดกับเขาว่า “พ่อของท่านบังคับให้พวกเราต้องทำงานอย่างหนัก ตอนนี้ ช่วยทำให้งานที่หนักอึ้งและภาระอันหนักหน่วงที่พ่อท่านเคยวางไว้บนตัวพวกเรานั้นเบาลงด้วยเถิด แล้วพวกเราจะอยู่รับใช้ท่าน”

เรโหโบอัมตอบว่า “อีกสามวันค่อยกลับมาพบเราใหม่” ประชาชนจึงกลับออกไป

แล้วกษัตริย์เรโหโบอัมก็ปรึกษากับพวกผู้อาวุโสที่เคยรับใช้ซาโลมอนพ่อของเขาในช่วงที่ซาโลมอนยังมีชีวิตอยู่ เขาถามว่า “พวกท่านจะแนะนำให้เราตอบประชาชนพวกนั้นยังไงดี”

พวกเขาตอบว่า “ถ้าท่านจะใจดีกับประชาชนเหล่านี้และเอาใจใส่พวกเขา และพูดดีๆกับพวกเขา พวกเขาก็จะอยู่รับใช้ท่านตลอดไป”

แต่เรโหโบอัมไม่ยอมฟังคำแนะนำที่พวกผู้อาวุโสเหล่านั้นให้เขา เขากลับไปปรึกษากับพวกคนหนุ่มๆที่เติบโตขึ้นมาพร้อมกับเขา และทำงานให้กับเขาอยู่ เขาถามคนหนุ่มพวกนั้นว่า “ประชาชนพวกนั้นพูดกับเราว่า ‘ช่วยทำให้แอกที่พ่อของท่านวางไว้บนพวกเราเบาขึ้นด้วยเถิด’ พวกเจ้ามีคำแนะนำว่ายังไง พวกเราจะตอบประชาชนพวกนั้นว่ายังไงดี”

10 คนหนุ่มๆเหล่านั้นผู้ที่เติบโตขึ้นมาพร้อมๆกับเขาตอบว่า “บอกพวกประชาชนที่มาพูดกับท่านว่า ‘พ่อของท่านได้ทำให้แอกของพวกเราหนักเหลือเกิน ขอให้ท่านช่วยทำให้มันเบาขึ้นด้วยเถิด’ บอกพวกเขาไปว่า ‘นิ้วก้อยของเรายังหนากว่าเอวของพ่อเราเสียอีก 11 พ่อของเราได้ทำให้แอกของพวกเจ้าหนัก เราจะทำให้มันหนักยิ่งขึ้นไปอีก พ่อของเราเฆี่ยนพวกเจ้าด้วยแส้ เราจะเฆี่ยนพวกเจ้าด้วยแส้หางแมงป่อง’”

12 อีกสามวันต่อมา เยโรโบอัมและประชาชนทั้งหมดก็กลับมาหาเรโหโบอัมตามที่กษัตริย์ได้บอกกับพวกเขาไว้ที่ว่า “กลับมาหาเราใหม่ในอีกสามวันข้างหน้า” 13 กษัตริย์ตอบพวกเขาไปอย่างหยาบคาย เขาไม่ทำตามคำแนะนำของพวกผู้อาวุโส 14 กษัตริย์เรโหโบอัมไปทำตามคำแนะนำของพวกคนหนุ่มๆและพูดไปว่า “พ่อของเราทำให้แอกของพวกเจ้าหนัก เราจะทำให้มันหนักขึ้นไปอีก พ่อของเราเคยเฆี่ยนพวกเจ้าด้วยแส้ เราจะเฆี่ยนพวกเจ้าด้วยแส้หางแมงป่อง” 15 ดังนั้นกษัตริย์จึงไม่ยอมรับฟังประชาชนเลย เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นจากพระเจ้า เพื่อพระยาห์เวห์จะทำให้คำพูดของพระองค์ที่ได้พูดไว้กับเยโรโบอัมลูกชายของเนบัท ผ่านทางอาหิยาห์ชาวเมืองชิโลห์นั้นสำเร็จ

16 เมื่อคนอิสราเอลทั้งหมดเห็นว่ากษัตริย์ไม่ยอมฟังพวกเขา พวกเขาจึงตอบกษัตริย์ไปว่า “พวกเราเป็นส่วนหนึ่งของครอบครัวดาวิดอย่างนั้นหรือ พวกเราได้ส่วนแบ่งจากที่ดินของเจสซีหรือ เปล่าเลย อิสราเอลเอ๋ย ให้แต่ละคนกลับไปยังเต็นท์ของพวกเรากันเถอะ ปล่อยให้ ลูกของดาวิด ดูแลคนของพวกเขาเอง” ดังนั้น พวกชาวอิสราเอลทั้งหมดจึงกลับไปยังเต็นท์ของตน 17 แต่ส่วนชาวอิสราเอลที่อาศัยอยู่ในเมืองทั้งหลายของยูดาห์ เรโหโบอัมยังคงเป็นคนปกครองพวกเขาอยู่

18 กษัตริย์เรโหโบอัมส่งอาโดนีรัม[g]ผู้ควบคุมคนงานที่ถูกเกณฑ์ไปพูดกับชาวอิสราเอล แต่ชาวอิสราเอลเอาหินขว้างเขาจนตาย ส่วนกษัตริย์เรโหโบอัมหนีขึ้นรถรบของเขาและขับหนีเข้าเมืองเยรูซาเล็มไป 19 ดังนั้น ชาวอิสราเอลจึงแข็งข้อต่อครอบครัวของดาวิดจนกระทั่งถึงทุกวันนี้

11 เมื่อเรโหโบอัมมาถึงเมืองเยรูซาเล็ม เขาได้รวบรวมครอบครัวของยูดาห์และเบนยามิน ได้นักรบมาหนึ่งแสนแปดหมื่นคน เพื่อมาทำสงครามกับชาวอิสราเอล เพื่อแย่งชิงอาณาจักรคืนมาให้กับตัวเอง แต่แล้วคำพูดของพระยาห์เวห์ได้มาถึงเชไมอาห์ที่เป็นคนของพระเจ้าว่า “ไปพูดกับเรโหโบอัมลูกชายของกษัตริย์ซาโลมอนแห่งยูดาห์และกับชาวอิสราเอลทั้งหมดในยูดาห์และในเบนยามินว่า พระยาห์เวห์พูดว่าอย่างนี้ ‘อย่าขึ้นไปต่อสู้กับพี่น้องอิสราเอลของพวกเจ้าเลย ขอให้พวกเจ้าทุกคนกลับไปบ้านเถิด เพราะเราเองเป็นผู้ที่ทำให้เกิดเรื่องนี้ขึ้น’” ดังนั้นพวกเขาจึงเชื่อฟังคำพูดของพระยาห์เวห์ และหันหลังกลับจากการเดินทัพไปต่อสู้กับเยโรโบอัม

เรโหโบอัมทำให้ยูดาห์แข็งแกร่ง

เรโหโบอัมอาศัยอยู่ในเมืองเยรูซาเล็มและสร้างเมืองต่างๆขึ้นในยูดาห์เพื่อใช้ป้องกันการโจมตี มีเมืองต่อไปนี้คือ เมืองเบธเลเฮม เมืองเอตาม เมืองเทโคอา เมืองเบธซูร์ เมืองโสโค เมืองอดุลลัม เมืองกัท เมืองมาเรชาห์ เมืองศีฟ เมืองอาโดราอิม เมืองลาคีช เมืองอาเซคาห์ 10 เมืองโศราห์ เมืองอัยยาโลน และเมืองเฮโบรน เมืองเหล่านี้เป็นเมืองป้อมปราการในเขตยูดาห์และเขตเบนยามิน 11 เรโหโบอัมทำให้ป้อมปราการต่างๆแข็งแกร่งและให้พวกแม่ทัพอยู่ประจำตามเมืองเหล่านั้น พร้อมกับสะสมเสบียงอาหาร น้ำมันมะกอกและเหล้าองุ่นไว้ที่นั่น 12 เขาเอาโล่และหอกมาเก็บไว้ในเมืองเหล่านั้นทั้งหมด และทำให้เมืองเหล่านั้นแข็งแกร่ง ดังนั้น ยูดาห์และเบนยามินอยู่ในการครอบครองของเขา

13 พวกนักบวชและชาวเลวีมาจากทั่วทั้งอิสราเอล ได้มาอยู่ฝ่ายเดียวกับเรโหโบอัม 14 ชาวเลวีได้ละทิ้งดินแดนแห่งทุ่งหญ้าและที่ดินของพวกเขา และเดินทางมาที่ยูดาห์และเยรูซาเล็ม เพราะเยโรโบอัมกับพวกลูกชายของเขาไม่ยอมให้พวกนี้รับใช้ในฐานะนักบวชของพระยาห์เวห์ 15 และเยโรโบอัมกับพวกลูกชายของเขาก็ได้แต่งตั้งเหล่านักบวชของพวกเขาขึ้นมาเอง เพื่อให้รับใช้อยู่ตามสถานที่สูง กับรับใช้พวกรูปปั้นแพะและรูปปั้นลูกวัวที่พวกเขาได้สร้างขึ้นมา 16 คนอื่นๆที่มาจากเผ่าต่างๆของอิสราเอล ที่ยังตั้งใจแสวงหาพระยาห์เวห์พระเจ้าของอิสราเอลนั้น ก็ได้ติดตามชาวเลวีเหล่านั้นมาถึงเมืองเยรูซาเล็ม เพื่อที่จะถวายเครื่องสัตวบูชาให้แก่พระยาห์เวห์พระเจ้าของบรรพบุรุษของพวกเขา 17 พวกเขาทำให้อาณาจักรของยูดาห์แข็งแกร่งขึ้น และสนับสนุนเรโหโบอัมลูกชายของซาโลมอนอยู่เป็นเวลาสามปี ในช่วงเวลานี้พวกเขาใช้ชีวิตตามอย่างของดาวิดและซาโลมอน

ครอบครัวของเรโหโบอัม

18 เรโหโบอัมแต่งงานกับมาหะลัท นางเป็นลูกสาวของเยรีโมทกับนางอาบีฮาอิล เยรีโมทเป็นลูกชายของดาวิด อาบีฮาอิลเป็นลูกสาวของเอลีอับผู้เป็นลูกชายของเจสซี 19 มาหะลัทคลอดลูกชายให้เรโหโบอัม ชื่อ เยอูช เชมาริยาห์และศาฮัม 20 แล้วเรโหโบอัมแต่งงานกับมาอาคาห์หลานสาว[h]ของอับซาโลม มาอาคาร์คลอดลูกชายให้เรโหโบอัม ชื่อว่า อาบียาห์ อัททัย ศีศาและเชโลมิท 21 เรโหโบอัมรักมาอาคาห์ลูกสาวของอับซาโลมมากกว่าเมียและเมียน้อย[i] คนไหนๆของเขา เขามีเมียทั้งหมดสิบแปดคนและมีเมียน้อยหกสิบคน มีลูกชายยี่สิบแปดคนและมีลูกสาวหกสิบคน

22 เรโหโบอัมแต่งตั้งอาบียาห์ลูกชายของนางมาอาคาห์ขึ้นเป็นผู้สืบทอดบัลลังก์ในหมู่พี่น้องทั้งหลายของเขา เพื่อที่จะให้อาบียาห์เป็นกษัตริย์ 23 เรโหโบอัมมีวิธีการที่ชาญฉลาด เขาแยกพวกลูกชายทั้งหลายของเขาให้ไปอยู่กระจัดกระจายตามเขตต่างๆของยูดาห์และเบนยามิน รวมทั้งตามเมืองที่เป็นป้อมปราการทั้งหลายด้วย เขาได้จัดส่งเสบียงอาหารให้กับลูกๆของเขาอย่างอุดมสมบูรณ์พร้อมทั้งหาเมียให้กับพวกเขาด้วย

กษัตริย์ชิชักโจมตีเยรูซาเล็ม

(1 พกษ. 14:21-31)

12 ภายหลังจากที่อาณาจักรของเรโหโบอัมตั้งมั่นคง และเขาแข็งแกร่งขึ้น ทั้งตัวเขาและชนชาติอิสราเอล[j] ทั้งหมดก็ละทิ้งกฎของพระยาห์เวห์ เพราะพวกเขาไม่ซื่อสัตย์ต่อพระยาห์เวห์ ดังนั้นในปีที่ห้าที่เรโหโบอัมเป็นกษัตริย์ กษัตริย์ชิชักแห่งอียิปต์ได้ขึ้นมาโจมตีเมืองเยรูซาเล็ม กษัตริย์ชิชักนำรถรบหนึ่งหมื่นสองพันคัน ทหารม้าหกหมื่นคนและกองทัพชาวลิเบีย ชาวสุคีอิมและชาวคูชอีกนับจำนวนไม่ถ้วน มาด้วยจากอียิปต์ เขาเข้ายึดเมืองต่างๆที่เป็นป้อมปราการของยูดาห์และบุกเข้ามาจนถึงเมืองเยรูซาเล็ม

แล้วเชไมอาห์ผู้พูดแทนพระเจ้ามาพบเรโหโบอัมกับพวกผู้นำของชาวยูดาห์ ซึ่งมาชุมนุมกันอยู่ในเมืองเยรูซาเล็ม เพราะกลัวกษัตริย์ชิชัก เชไมอาห์พูดกับพวกเขาว่า “นี่คือสิ่งที่พระยาห์เวห์พูด ‘พวกเจ้าได้ทิ้งเรา ดังนั้นเราก็ได้ทิ้งพวกเจ้าให้ตกอยู่ในกำมือของชิชัก’”

พวกผู้นำของชาวอิสราเอลและกษัตริย์ต่างถ่อมตัวลงและพูดว่า “พระยาห์เวห์ทำถูกต้องแล้ว”

เมื่อพระยาห์เวห์เห็นว่าพวกเขาต่างถ่อมตัวลง คำพูดต่อไปนี้ของพระยาห์เวห์จึงมาถึงเชไมอาห์ว่า “พวกเขาได้ถ่อมตัวลง ดังนั้นเราจะไม่ทำลายพวกเขา แต่จะช่วยกู้พวกเขาในเร็วๆนี้ เราจะไม่เทความโกรธของเราลงบนเยรูซาเล็มผ่านทางกษัตริย์ชิชัก แต่พวกเขาจะต้องตกเป็นเชลยของชิชัก เพื่อพวกเขาจะได้รู้ซะบ้างว่า การรับใช้เรากับการรับใช้พวกกษัตริย์ของแผ่นดินอื่นๆมันแตกต่างกันแค่ไหน”

เมื่อกษัตริย์ชิชักแห่งอียิปต์บุกเข้าเมืองเยรูซาเล็ม เขาได้ขนเอาทรัพย์สมบัติในวิหารของพระยาห์เวห์ และทรัพย์สมบัติในวังของกษัตริย์ไป เขาเอาทุกสิ่งทุกอย่างรวมทั้งพวกโล่ทองคำที่ซาโลมอนได้สร้างไว้ 10 ดังนั้นกษัตริย์เรโหโบอัมจึงได้สร้างพวกโล่ทองสัมฤทธิ์ขึ้นมาแทน และให้พวกทหารยามที่เฝ้ารักษาประตูวังเฝ้าดูแล 11 เมื่อไหร่ก็ตามที่กษัตริย์ไปที่วิหารของพระยาห์เวห์ พวกทหารยามก็จะถือโล่เหล่านี้ตามกษัตริย์ไปด้วย หลังจากนั้นพวกเขาก็จะนำพวกมันไปเก็บรักษาไว้ในห้องยาม

12 ความโกรธของพระยาห์เวห์ได้หันไปจากกษัตริย์เรโหโบอัมเพราะเขาถ่อมตัวลง พวกยูดาห์ก็เลยไม่ถูกทำลายทั้งหมด ยูดาห์ก็ยังมีส่วนดีอยู่บ้าง

13 กษัตริย์เรโหโบอัมทำให้ตัวเองมั่นคงขึ้นในเมืองเยรูซาเล็ม และยังคงเป็นกษัตริย์ต่อไป เขามีอายุสี่สิบเอ็ดปีเมื่อเขาขึ้นเป็นกษัตริย์ และเขาครองบัลลังก์อยู่สิบเจ็ดปีในเมืองเยรูซาเล็ม ซึ่งเป็นเมืองที่พระยาห์เวห์ได้เลือกออกมาจากเผ่าทั้งหมดของชนชาติอิสราเอล เพื่อเป็นเกียรติให้กับชื่อของพระองค์ แม่ของเรโหโบอัมชื่อว่านาอามาห์เป็นชาวอัมโมน 14 เรโหโบอัมได้ทำความชั่ว เพราะเขาไม่ได้ตั้งใจที่จะแสวงหาพระยาห์เวห์

15 ส่วนเหตุการณ์อื่นๆในยุคของเรโหโบอัม ตั้งแต่แรกจนจบ ได้ถูกจดไว้ในบันทึกของเชไมอาห์ ผู้พูดแทนพระเจ้า

และในหนังสือบันทึกเชื้อพระวงศ์ที่อิดโดผู้ที่เห็นนิมิตได้จดไว้ เรโหโบอัมกับเยโรโบอัมยังคงทำสงครามกันตลอดเวลา 16 เรโหโบอัมตายไปอยู่กับบรรพบุรุษของเขา และศพของเขาถูกฝังอยู่ในเมืองของดาวิด และอาบียาห์ลูกชายของเขาขึ้นเป็นกษัตริย์สืบต่อจากเขา

กษัตริย์อาบียาห์ปกครองยูดาห์

(1 พกษ. 15:1-8)

13 อาบียาห์ขึ้นเป็นกษัตริย์ของยูดาห์ ซึ่งตรงกับปีที่สิบแปดที่เยโรโบอัมเป็นกษัตริย์ปกครองอิสราเอล[k] อาบียาห์ครองบัลลังก์อยู่ในเมืองเยรูซาเล็มสามปี แม่ของเขาชื่อว่ามีคายาห์ นางเป็นลูกสาวของอุรีเอลจากเมืองกิเบอาห์ ได้เกิดสงครามระหว่างอาบียาห์และเยโรโบอัมขึ้น อาบียาห์ออกไปรบ พร้อมกองทัพทหารที่เก่งกล้าสี่แสนคน และเยโรโบอัมได้ตั้งทัพสู้กับเขา ด้วยกองทัพทหารที่เก่งกล้าแปดแสนคน

อาบียาห์ยืนอยู่บนภูเขาเศมาราอิมในแถบเนินเขาเอฟราอิม และพูดว่า “เยโรโบอัมและชนชาติอิสราเอลทั้งหลาย ฟังเราให้ดี พวกเจ้าไม่รู้หรือว่า พระยาห์เวห์พระเจ้าของชนชาติอิสราเอล ได้ให้ตำแหน่งกษัตริย์ของชนชาติอิสราเอลแก่ดาวิด และลูกหลานของเขาตลอดไปแล้วด้วยคำสัญญาแห่งเกลือ[l] แต่เยโรโบอัมลูกชายเนบัทซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่คนหนึ่งของซาโลมอนลูกชายของดาวิด ได้แข็งข้อกับเจ้านายของเขา พวกต่ำต้อยที่ไร้ค่าบางคนก็ได้ไปรวมตัวกับเขาและต่อต้านเรโหโบอัมลูกชายซาโลมอนตั้งแต่เขายังเป็นหนุ่มยังไม่ประสีประสาและไม่เข้มแข็งพอที่จะต้านทานพวกเขาได้

และตอนนี้ พวกเจ้ายังวางแผนที่จะต่อต้านอาณาจักรของพระยาห์เวห์ ที่อยู่ในมือของลูกหลานของดาวิดอีก จริงอยู่ที่พวกเจ้ามีกองทัพขนาดใหญ่ แถมยังมีพวกลูกวัวทองคำเหล่านั้นที่เยโรโบอัมได้สร้างให้เป็นพวกพระให้กับพวกเจ้า แต่พวกนักบวชของพระยาห์เวห์ พวกเจ้าได้ขับไล่ออกไป คือพวกลูกหลานของอาโรนและชาวเลวี และได้ไปแต่งตั้งพวกนักบวชให้กับตัวเอง เหมือนกับพวกชนชาติในแผ่นดินอื่นๆทำกัน ใครมีวัวหนุ่มตัวหนึ่ง กับแพะตัวผู้เจ็ดตัว ก็สามารถมาอุทิศตัวเป็นนักบวชให้กับพระพวกนี้ที่ไม่ใช่พระจริงได้แล้ว

10 ส่วนพวกเรา พระยาห์เวห์คือพระเจ้าของพวกเรา และพวกเราไม่ได้ละทิ้งพระองค์ และพวกนักบวชที่รับใช้พระยาห์เวห์เป็นลูกหลานของอาโรนและชาวเลวีที่ช่วยเหลือพวกเขา 11 ทุกเช้าเย็น พวกเขาถวายเครื่องเผาบูชา และเครื่องหอมบูชาให้แก่พระยาห์เวห์ พวกเขาจัดวางขนมปังบนโต๊ะที่ศักดิ์สิทธิ์ตามพิธีกรรมและจุดตะเกียงบนโคมไฟยืนทองคำทุกๆเย็น พวกเรารักษาข้อบังคับของพระยาห์เวห์พระเจ้าของพวกเรา แต่พวกเจ้าได้ทอดทิ้งพระองค์ 12 พระเจ้าอยู่ฝ่ายพวกเรา และพระองค์เป็นผู้นำของพวกเรา พวกนักบวชของพระองค์ จะเป่าแตรของพวกเขา ส่งเสียงเข้าประจัญบาน ชายอิสราเอลเอ๋ย อย่าได้ต่อสู้กับพระยาห์เวห์พระเจ้าของบรรพบุรุษของพวกเจ้าเลย เพราะพวกเจ้าจะทำไม่สำเร็จหรอก”

13 แล้วเยโรโบอัมได้ส่งกองทัพ อ้อมไปล้อมทางด้านหลัง เพื่อว่าในขณะที่เขายังอยู่ทางด้านหน้าของยูดาห์ พวกที่อยู่ทางด้านหลังจะได้ดักซุ่มโจมตีอีกทางหนึ่ง 14 ชาวยูดาห์หันไปและเห็นว่าพวกเขาถูกโจมตีทั้งจากทางด้านหน้าและด้านหลัง[m] พวกเขาจึงร้องขอความช่วยเหลือจากพระยาห์เวห์ พวกนักบวชได้เป่าแตรของพวกเขาขึ้น 15 และพวกคนของยูดาห์ก็พากันโห่ร้องเข้าประจัญบาน เมื่อพวกเขาโห่ร้อง พระเจ้าก็โจมตีกองทัพของเยโรโบอัมและชาวอิสราเอลทั้งหมดแตกพ่ายไปต่อหน้าอาบียาห์และชาวยูดาห์ 16 พวกชาวอิสราเอลต่างหลบหนีชาวยูดาห์ และพระเจ้าได้ส่งพวกเขาให้ตกไปอยู่ในกำมือของชาวยูดาห์ 17 อาบียาห์และคนของเขาทั้งหมดสร้างความสูญเสียอย่างหนักให้กับชาวอิสราเอล มีทหารอิสราเอลที่เก่งกล้าต้องตกเป็นเชลยห้าแสนคน 18 คนของอิสราเอลพ่ายแพ้ในการรบครั้งนี้ และคนของยูดาห์ได้รับชัยชนะเป็นเพราะพวกเขาไว้วางใจในพระยาห์เวห์พระเจ้าของบรรพบุรุษของพวกเขา

19 อาบียาห์ไล่ติดตามเยโรโบอัมไปและเข้ายึดเมืองต่างๆของเบธเอล เมืองเยชานาห์และเมืองเอโฟรนกับหมู่บ้านโดยรอบของมัน

20 เยโรโบอัมไม่ได้อำนาจของเขากลับคืนมาอีกเลยในสมัยของอาบียาห์ และพระยาห์เวห์ก็ฆ่าเขาตาย 21 แต่อาบียาห์กลับเข้มแข็งขึ้นเรื่อยๆ เขาแต่งงานมีเมียสิบสี่คนและมีลูกชายยี่สิบสองคน มีลูกสาวสิบหกคน 22 ส่วนเหตุการณ์อื่นๆในสมัยของอาบียาห์ กับสิ่งที่เขาได้ทำและได้พูดไป ได้ถูกจดบันทึกไว้แล้วในหนังสือเรื่องเล่าของอิดโดผู้พูดแทนพระเจ้า

14 อาบียาห์ก็ตายไปอยู่กับบรรพบุรุษของเขาและถูกฝังอยู่ในเมืองของดาวิด อาสาที่เป็นลูกชายของเขาขึ้นเป็นกษัตริย์สืบต่อจากเขา ในสมัยของอาสาแผ่นดินก็มีความสงบสุขอยู่ถึงสิบปี

กษัตริย์อาสาปกครองยูดาห์

(1 พกษ. 15:9-12)

อาสาทำสิ่งที่ดีและถูกต้องในสายตาของพระยาห์เวห์พระเจ้าของเขา เขารื้อพวกแท่นบูชาของชาวต่างชาติและสถานที่นมัสการทั้งหลายออก เขาทุบหินศักดิ์สิทธิ์[n]ทิ้ง และโค่นพวกเสาของพระอาเชราห์ลง เขาสั่งให้ชาวยูดาห์แสวงหาพระยาห์เวห์พระเจ้าของบรรพบุรุษของพวกเขา และให้พวกเขารักษากฎและคำสั่งทุกข้อของพระองค์ เขารื้อสถานนมัสการทั้งหลายและแท่นบูชาเครื่องหอมที่มีอยู่ในทุกๆเมืองของยูดาห์ทิ้ง และอาณาจักรแห่งนั้นก็สงบสุขอยู่ภายใต้การปกครองของเขา เมื่อแผ่นดินสงบสุข เขาได้สร้างเมืองที่เป็นป้อมปราการของยูดาห์ไว้หลายเมือง ไม่มีการสู้รบเกิดขึ้นในช่วงนั้น เพราะพระยาห์เวห์ให้สันติภาพกับเขา

อาสาพูดกับชาวยูดาห์ว่า “เรามาสร้างเมืองเหล่านี้ขึ้นกันเถิด และสร้างกำแพงขึ้นล้อมรอบ มีหอคอย ประตูและกรงเหล็กด้วย แผ่นดินนี้ยังคงเป็นของพวกเรา เพราะพวกเราแสวงหาพระยาห์เวห์พระเจ้าของพวกเรา พวกเราแสวงหาพระองค์และพระองค์ก็ให้พวกเรามีสันติภาพรอบด้าน” ดังนั้นพวกเขาจึงสร้างเมืองขึ้นและร่ำรวยมากขึ้นด้วย

อาสามีกองทัพชาวยูดาห์สามแสนคน ที่มีโล่ขนาดใหญ่และหอก และกองทัพชาวเบนยามินสองแสนแปดหมื่นคนมีโล่กับธนูเป็นอาวุธ พวกเขาทั้งหมดล้วนเป็นนักรบที่กล้าหาญ

เศราห์ที่เป็นชาวคูชยกทัพมาเป็นล้าน มาสู้รบกับพวกเขา พร้อมกับรถรบ สามร้อยคัน พวกเขาเดินทัพมาจนถึงเมืองมาเรชาห์ 10 อาสาออกไปสู้รบกับเขา พวกเขาทั้งหมดสู้กันที่สนามรบในหุบเขาเศฟาธาห์ใกล้กับเมืองมาเรชาห์

11 แล้วอาสาก็ร้องขอความช่วยเหลือจากพระยาห์เวห์พระเจ้าของเขาว่า “ข้าแต่พระยาห์เวห์ พระองค์สามารถช่วยได้ทั้งคนที่มีพลังมากหรือคนที่อ่อนแอ มันไม่แตกต่างอะไรกันเลยสำหรับพระองค์ ข้าแต่พระยาห์เวห์พระเจ้าของเรา โปรดช่วยเราด้วยเถิด เพราะพวกเราพึ่งพระองค์และเรามาต่อสู้กับกองทัพมหึมาพวกนี้ในนามของพระองค์ ข้าแต่พระยาห์เวห์ พระองค์เป็นพระเจ้าของเรา อย่าให้มนุษย์มีชัยเหนือพระองค์เลย”

12 ดังนั้น พระยาห์เวห์จึงทำลายพวกชาวคูชลงต่อหน้าอาสาและชาวยูดาห์ ชาวคูชต่างหลบหนีเอาตัวรอดไป 13 และอาสากับกองทัพของเขาก็ไล่ตามพวกนั้นไปไกลถึงเมืองเกราร์ ชาวคูชจำนวนมากมายมหาศาลนั้นต้องล้มลงอย่างไม่เป็นท่า และไม่สามารถฟื้นตัวขึ้นมาได้อีก พวกเขาถูกทำลายลงต่อหน้าพระยาห์เวห์ และกองทัพของพระองค์ พวกคนของยูดาห์ได้ขนของกลับไปจำนวนมาก 14 อาสาและกองทัพของเขาได้ทำลายหมู่บ้านทั้งหมดรอบๆเมืองเกราร์ เพราะพระยาห์เวห์ทำให้คนเหล่านั้นกลัวพวกเขา พวกเขาปล้นเมืองเหล่านั้น เพราะมีทรัพย์สมบัติอยู่มากมายในนั้น 15 พวกเขายังโจมตีค่ายต่างๆของพวกคนเลี้ยงสัตว์และต้อนเอาฝูงแกะแพะและอูฐไป แล้วพวกเขาก็กลับเมืองเยรูซาเล็ม

การปฎิรูปทางด้านศาสนาของอาสา

(1 พกษ. 15:13-15)

15 พระวิญญาณของพระเจ้าลงมาสถิตกับอาซาริยาห์ลูกชายของโอเดด เขาออกไปพบกับอาสาและพูดว่า “อาสา ชาวยูดาห์ทั้งหมด รวมทั้งชาวเบนยามิน ฟังข้าพเจ้าหน่อย พระยาห์เวห์อยู่กับพวกท่านเมื่อพวกท่านอยู่กับพระองค์ ถ้าพวกท่านแสวงหาพระองค์ พวกท่านก็จะพบพระองค์ แต่ถ้าพวกท่านละทิ้งพระองค์ พระองค์ก็จะละทิ้งพวกท่าน นานมาแล้วชาวอิสราเอลต้องอยู่โดยไม่มีพระเจ้าที่แท้จริง ไม่มีนักบวชคอยสั่งสอนและไม่มีกฎ แต่เมื่อพวกเขาเดือดร้อน พวกเขาก็ได้หันไปหาพระยาห์เวห์ พระเจ้าของชนชาติอิสราเอล และแสวงหาพระองค์ และพวกเขาก็ได้พบกับพระองค์ ในเวลานั้น มันไม่ปลอดภัยที่จะเดินทางไปไหนมาไหน เพราะประชาชนของแผ่นดินทั้งหลายกำลังตกอยู่ในสภาพสับสนวุ่นวาย ชนชาติหนึ่งถูกอีกชนชาติหนึ่งทำลาย และเมืองหนึ่งก็ถูกอีกเมืองหนึ่งทำลาย เพราะพระเจ้าทำให้พวกเขาเดือดร้อนไปซะทุกเรื่อง แต่ส่วนพวกท่าน ให้เข้มแข็งไว้และอย่าอ่อนแอไป เพราะงานของพวกท่านจะได้รับการตอบแทนเป็นอย่างดี”

เมื่ออาสาได้ยินคำพูดและคำเผยแพร่เหล่านี้ของอาซาริยาห์ผู้พูดแทนพระเจ้า ที่เป็นลูกชายของโอเดด อาสาก็เข้มแข็งขึ้น เขารื้อพวกรูปเคารพที่น่าขยะแขยงออกจากแผ่นดินทั้งหมดของชาวยูดาห์และเบนยามิน และรื้อรูปเคารพออกจากเมืองต่างๆที่เขาได้เข้ายึดครองในแถบเทือกเขาของเอฟราอิม เขาซ่อมแซมแท่นบูชาของพระยาห์เวห์ที่ตั้งอยู่ที่ด้านหน้าของระเบียงทางเดินในวิหารของพระยาห์เวห์

แล้วเขาก็เรียกชุมนุมชาวยูดาห์และชาวเบนยามินทั้งหมด รวมทั้งประชาชนจากเอฟราอิม มนัสเสห์และสิเมโอนที่ได้ตั้งรกรากอยู่ในหมู่พวกเขา คนเหล่านี้เป็นจำนวนมากได้ทิ้งอิสราเอลมาอยู่กับอาสา เพราะพวกเขาเห็นว่า พระยาห์เวห์ พระเจ้าของอาสาสถิตอยู่กับอาสา

10 พวกเขามาชุมนุมกันที่เมืองเยรูซาเล็มในเดือนที่สามของปีที่สิบห้าที่อาสาเป็นกษัตริย์ 11 ในเวลานั้น พวกเขาถวายเครื่องบูชาแก่พระยาห์เวห์ เป็นวัวเจ็ดร้อยตัว แกะและแพะเจ็ดพันตัวที่พวกเขายึดมาได้จากการรบ 12 พวกเขาทำสัญญาที่จะแสวงหาพระยาห์เวห์ พระเจ้าของบรรพบุรุษของพวกเขาด้วยสิ้นสุดจิตสุดใจของเขา 13 และใครก็ตามที่ไม่ได้แสวงหาพระยาห์เวห์พระเจ้าของอิสราเอลจะต้องตาย ไม่ว่าจะเป็นคนหนุ่มสาวหรือคนแก่เฒ่า ไม่ว่าจะเป็นชายหรือหญิง 14 แล้วอาสากับประชาชนก็สาบานไว้กับพระยาห์เวห์ ด้วยการเปล่งเสียงอันดัง พวกเขาตะโกนและเป่าแตรกับแตรเขาสัตว์ 15 ชาวยูดาห์ทั้งหมดต่างชื่นชมยินดีกับการสาบานนั้น เพราะพวกเขาได้สาบานอย่างสิ้นสุดใจของพวกเขา พวกเขาแสวงหาพระเจ้าอย่างกระตือรือร้น และก็ได้พบกับพระองค์แล้ว ดังนั้น พระยาห์เวห์จึงให้พวกเขาพักผ่อนจากสงครามในทุกๆด้าน

16 กษัตริย์อาสายังได้ปลดนางมาอาคาห์ที่เป็นย่าของเขาออกจากตำแหน่งแม่ของกษัตริย์ เพราะนางสร้างเสาของพระอาเชราห์ที่น่าขยะแขยง อาสาโค่นเสาต้นนั้นลง เขาทำลายมันและเผามันทิ้งในหุบเขาขิดโรน 17 ถึงแม้ว่าเขาไม่ได้รื้อสถานนมัสการทั้งหลายออกจากอิสราเอล แต่จิตใจของอาสาก็สัตย์ซื่อต่อพระองค์ตลอดชีวิตของเขา

18 อาสาได้เอาข้าวของเครื่องใช้ที่ทำด้วยเงินและทองคำที่เขาและพ่อของเขาได้อุทิศไว้ให้กับวิหาร เข้ามาวางไว้ในวิหารของพระเจ้า 19 ไม่มีสงครามเกิดขึ้นเลยในช่วงนั้น จนกระทั่งถึงปีที่สามสิบห้าในรัชกาลของอาสา[o]

ช่วงท้ายๆของกษัตริย์อาสา

(1 พกษ. 15:16-22)

16 ในปีที่สามสิบหกที่อาสาเป็นกษัตริย์[p] กษัตริย์บาอาชาแห่งอิสราเอลยกขึ้นมาสู้รบกับชาวยูดาห์และสร้างป้อมรามาห์ขึ้น เพื่อป้องกันไม่ให้ใครเข้าออกในดินแดนของกษัตริย์อาสาแห่งยูดาห์

อาสาจึงเอาเงินและทองคำออกมาจากคลังสมบัติของวิหารของพระยาห์เวห์ และจากวังของเขาเอง และส่งไปให้กับกษัตริย์เบนฮาดัดแห่งอารัม ซึ่งปกครองอยู่ในเมืองดามัสกัส เขาพูดว่า “เรามาเป็นพันธมิตรกันเถิด ให้เหมือนกับที่พ่อของเรากับพ่อของท่านเคยทำกันไว้ ดูสิ เราส่งของขวัญเป็นเงินและทองมาให้ท่าน ขอท่านช่วยเลิกเป็นพันธมิตรกับกษัตริย์บาอาชาของอิสราเอลด้วยเถิด เพื่อเขาจะได้ยกทัพกลับไปจากเรา”

เบนฮาดัดยอมทำตามที่กษัตริย์อาสาขอ และส่งพวกแม่ทัพของกองทัพทั้งหลายของเขาไปโจมตีเมืองต่างๆของชนชาติอิสราเอล พวกเขาเอาชนะเมืองอิโยน เมืองดาน เมืองอาเบลมาอิม และเมืองเก็บเสบียงทั้งหลายของนัฟทาลี เมื่อบาอาชาได้ยินเรื่องนี้เข้า เขาก็หยุดการสร้างป้อมรามาห์และงานทั้งหมด แล้วกษัตริย์อาสาก็นำชาวยูดาห์ออกมาที่ป้อมรามาห์เพื่อขนเอาหินและไม้ที่บาอาชาทิ้งไว้ในการสร้างป้อม และพวกเขาก็ขนเอาไปสร้างเมืองเกบาและเมืองมิสปาห์

ในตอนนั้นฮานานีผู้ที่เห็นนิมิตมาพบกษัตริย์อาสาแห่งยูดาห์และพูดว่า “เป็นเพราะท่านไปพึ่งกษัตริย์ของอารัม แทนที่จะพึ่งพระยาห์เวห์พระเจ้าของท่าน กองทัพของกษัตริย์แห่งอารัมได้หนีไปจากมือของท่านแล้ว จำไม่ได้หรือ ตอนนั้นพวกชาวคูชและชาวลิเบียก็มีกองรถรบ และทหารม้าที่มีพละกำลัง และมีจำนวนมากมายเหมือนกันไม่ใช่หรือ แต่ตอนนั้นท่านได้พึ่งในพระยาห์เวห์ พระองค์จึงได้มอบคนเหล่านั้นไว้ในกำมือของท่าน เพราะตาของพระยาห์เวห์มองไปทั่วทั้งพื้นโลก เพื่อที่จะทำให้คนมีใจสัตย์ซื่อกับพระองค์เข้มแข็ง แต่เที่ยวนี้ท่านได้ทำเรื่องโง่เขลา และต่อไปนี้ท่านจะต้องทำสงคราม”

10 อาสาจึงโกรธผู้ที่เห็นนิมิตคนนั้น และสั่งให้ล่ามโซ่เขาและเอาไปขังไว้ในคุก เพราะเรื่องนี้ทำให้เขาโกรธเป็นฟืนเป็นไฟกับคนนั้น ในช่วงนั้นอาสาเริ่มกดขี่ประชาชนบางคนอย่างโหดร้าย

11 ส่วนเหตุการณ์อื่นๆในสมัยของอาสา ตั้งแต่เริ่มจนจบได้ถูกจดบันทึกไว้ในหนังสือของพวกพงศ์กษัตริย์แห่งยูดาห์และอิสราเอล 12 ในปีที่สามสิบเก้า[q] ที่อาสาเป็นกษัตริย์ เขาได้เป็นโรคที่เท้าทั้งสองข้าง ถึงแม้โรคของเขาจะรุนแรงมาก แต่เขาก็ไม่เคยขอความช่วยเหลือจากพระยาห์เวห์เลย มีแต่ให้หมอรักษาเท่านั้น 13 แล้วในปีที่สี่สิบเอ็ด[r] อาสาก็ได้ตายไปอยู่กับบรรพบุรุษของเขา 14 พวกเขาได้ฝังศพของอาสาไว้ในหลุมฝังศพที่เขาได้เตรียมไว้สำหรับตัวเขาในเมืองของดาวิด พวกเขาวางศพของอาสาไว้บนแคร่วางศพและประพรมด้วยเครื่องเทศและน้ำหอมนานาชนิด และพวกเขาก็ก่อกองไฟขนาดใหญ่ขึ้นเพื่อเป็นเกียรติแก่อาสา[s]

กษัตริย์เยโฮชาฟัทปกครองยูดาห์

17 เยโฮชาฟัทลูกชายของอาสาขึ้นเป็นกษัตริย์สืบต่อจากอาสา เยโฮชาฟัทได้ทำให้ยูดาห์แข็งแกร่ง เพื่อต่อสู้กับชนชาติอิสราเอล เขาจัดวางกองทัพไว้ประจำการตามเมืองต่างๆที่เป็นป้อมปราการของยูดาห์ และวางกองกำลังไว้ในยูดาห์และในเมืองอีกหลายๆเมืองของเอฟราอิมที่อาสาผู้เป็นพ่อของเขายึดมาได้

พระยาห์เวห์สถิตอยู่กับเยโฮชาฟัท เพราะเขาได้ทำตามสิ่งดีๆที่พ่อของเขาทำในช่วงแรกๆ เขาไม่ได้ขอความช่วยเหลือจากพวกพระบาอัล แต่ไปหาพระเจ้าของบรรพบุรุษของเขา และทำตามคำสั่งทุกข้อของพระองค์ แทนที่จะทำตามสิ่งที่อิสราเอลทำกันอยู่ ดังนั้นพระยาห์เวห์จึงทำให้อาณาจักรในมือของเขามั่นคง และชาวยูดาห์ทั้งหมดได้นำของขวัญมากมายมาให้กับเยโฮชาฟัท และเขามีทรัพย์สมบัติมากมายและมีชื่อเสียงมาก จิตใจของเขาชื่นชมยินดีในวิถีทางของพระยาห์เวห์ นอกจากนั้นเขายังรื้อสถานนมัสการทั้งหลายและพวกเสาของพระอาเชราห์ออกจากยูดาห์ด้วย

ในปีที่สาม[t] ที่เขาเป็นกษัตริย์ เยโฮชาฟัทส่งพวกเจ้าหน้าที่ของเขาคือ เบนฮาอิล โอบาดียาห์ เศคาริยาห์ เนธันเอลและมีคายาห์ให้ไปสอนคนในเมืองต่างๆของยูดาห์ พวกเขาพาชาวเลวีบางคนไปด้วย คือ เชไมอาห์ เนธานิยาห์ เศบาดิยาห์ อาสาเฮล เชมิราโมท เยโฮนาธัน อาโดนียาห์ โทบียาห์ และโทอาโดนิยาห์ และพวกนักบวชคือ เอลีชามาและเยโฮรัม พวกเขาสั่งสอนคนไปทั่วทั้งยูดาห์ โดยได้นำหนังสือกฎของพระยาห์เวห์ติดตัวไปด้วย พวกเขาเดินทางไปรอบๆทั่วทุกเมืองของยูดาห์และสั่งสอนประชาชนไปด้วย

10 พระยาห์เวห์ทำให้อาณาจักรทั้งหลายที่อยู่ล้อมรอบยูดาห์ยำเกรงพระองค์ เพื่อพวกเขาจะได้ไม่มาทำสงครามกับเยโฮชาฟัท 11 ชาวฟีลิสเตียบางพวกได้นำของขวัญมากมายและเงินมาให้กับเยโฮชาฟัท และพวกอาหรับนำแกะตัวผู้เจ็ดพันเจ็ดร้อยตัว และแพะเจ็ดพันเจ็ดร้อยตัวมาให้กับเขา

12 เยโฮชาฟัทมีอำนาจมากขึ้นเรื่อยๆ เขาได้สร้างพวกป้อมและพวกเมืองสำหรับเก็บเสบียงในยูดาห์ 13 มีเสบียงเก็บอยู่มากมายตามหัวเมืองต่างๆของยูดาห์ เขายังมีพวกทหารที่เก่งกล้าอยู่ในเมืองเยรูซาเล็มด้วย 14 พวกทหารเหล่านี้ได้รับการลงทะเบียนไว้ตามตระกูลของพวกเขา

จากชาวยูดาห์ พวกแม่ทัพกองพัน มี

อัดนาห์เป็นแม่ทัพ มีนักรบอยู่สามแสนคน

15 ถัดไปคือแม่ทัพเยโฮฮานัน มีนักรบอยู่สองแสนแปดหมื่นคน

16 ต่อจากนั้นคือ อามัสยาห์ลูกชายของศิครี เขาสมัครเข้ามารับใช้พระยาห์เวห์เอง เขามีนักรบอยู่สองแสนคน

17 จากชาวเบนยามิน

มี เอลียาดาซึ่งเป็นทหารกล้า มีนักรบสองแสนคน มีธนูและโล่เป็นอาวุธ

18 ถัดไปคือเยโฮซาบาด กับคนหนึ่งแสนแปดหมื่นคนที่มีอาวุธพร้อมรบ

19 คนเหล่านี้คือทหารที่รับใช้กษัตริย์ และกษัตริย์ก็ยังมีพวกทหารที่กษัตริย์ส่งไปอยู่ประจำการตามหัวเมืองต่างๆที่มีป้อมปราการทั่วแผ่นดินยูดาห์

มีคายาห์เตือนกษัตริย์อาหับ

(1 พกษ. 22:1-28)

18 ในเวลานั้น เยโฮชาฟัทมีทรัพย์สมบัติมากมายและมีชื่อเสียงมาก และเขาเป็นพันธมิตรกับกษัตริย์อาหับด้วยการแต่งงาน[u]กับราชวงศ์นั้น อีกหลายปีต่อมา เขาลงไปเยี่ยมเยียนกษัตริย์อาหับในเมืองสะมาเรีย อาหับได้ฆ่า[v] แกะและวัวหลายตัวเพื่อเลี้ยงดูเขาและคนที่มากับเขา และได้ยุยงเขาให้โจมตีราโมทกิเลอาด กษัตริย์อาหับแห่งอิสราเอลถามกษัตริย์เยโฮชาฟัทแห่งยูดาห์ว่า “ท่านจะไปสู้รบกับราโมทกิเลอาดด้วยกันกับเราไหม” เยโฮชาฟัทตอบว่า “เรากับท่านก็เป็นเหมือนคนๆเดียวกัน ทหารของเราก็เป็นเหมือนกับทหารของท่าน พวกเราจะเข้าร่วมสงครามกับท่านด้วย” แต่เยโฮชาฟัทยังพูดกับกษัตริย์แห่งอิสราเอลว่า “แต่ก่อนอื่น ให้เราไปขอคำปรึกษาจากพระยาห์เวห์ก่อน”

ดังนั้น กษัตริย์แห่งอิสราเอลจึงพาพวกผู้พูดแทนพระเจ้ามาสี่ร้อยคนและถามพวกเขาว่า “พวกเราควรจะไปทำสงครามกับราโมท-กิเลอาดหรือไม่ หรือว่าให้รอไว้ก่อน” พวกเขาตอบว่า “ไปเถิด เพราะพระเจ้าจะมอบมันให้อยู่ในกำมือของท่าน”

แต่เยโฮชาฟัทถามว่า “ยังมีคนอื่นที่เป็นผู้พูดแทนพระยาห์เวห์อยู่ที่นี่หรือเปล่า ที่เราจะสอบถามเขาได้”

กษัตริย์อาหับแห่งอิสราเอลตอบเยโฮชาฟัทไปว่า “ยังมีอยู่อีกคนหนึ่ง ชื่อ มีคายาห์ เขาเป็นลูกชายของอิมลาห์ เราจะถามพระยาห์เวห์ผ่านทางเขาได้ แต่เราเกลียดเขา เพราะเมื่อเขาพูดแทนพระเจ้า เขาไม่เคยพูดอะไรดีๆเกี่ยวกับเราเลย มีแต่เรื่องร้ายๆ”

เยโฮชาฟัทตอบว่า “กษัตริย์ไม่ควรพูดอย่างนั้น”

ดังนั้น กษัตริย์แห่งอิสราเอลจึงเรียกเจ้าหน้าที่คนหนึ่งของเขามาและสั่งว่า “เร็วเข้า ไปนำตัว มีคายาห์ลูกชายของอิมลาห์มา”

กษัตริย์ของอิสราเอลและกษัตริย์เยโฮชาฟัทของยูดาห์ใส่ชุดกษัตริย์เต็มยศ นั่งอยู่บนบัลลังก์ของพวกเขาที่ลานนวดข้าวตรงทางเข้าประตูเมืองสะมาเรีย โดยมีเหล่าผู้พูดแทนพระเจ้าอยู่ต่อหน้าพวกเขา ที่กำลังอ้างว่าพูดแทนพระเจ้าอยู่ 10 ตอนนั้น เศเดคียาห์ลูกชายของเคนาอะนาห์ได้ทำเขาสัตว์เหล็กขึ้นและมาประกาศว่า “นี่คือสิ่งที่พระยาห์เวห์พูด ‘พวกท่านจะได้ใช้ของเหล่านี้ทิ่มแทงพวกอารัมจนกระทั่งพวกนั้นถูกทำลายไป’”

11 พวกผู้พูดแทนพระเจ้าที่เหลือทั้งหมดต่างทำนายเหมือนกันหมด พวกเขาพูดว่า “บุกไปโจมตีราโมท-กิเลอาดเลย แล้วท่านจะได้รับชัยชนะ เพราะพระยาห์เวห์จะให้มันตกอยู่ในกำมือของกษัตริย์”

12 ผู้ส่งข่าวที่ไปเรียกมีคายาห์ พูดกับเขาว่า “ดูเถิด พวกผู้พูดแทนพระเจ้าต่างทำนายถึงความสำเร็จของกษัตริย์เหมือนกันหมด ขอให้ท่านพูดเหมือนกับพวกเขาและให้พูดแต่สิ่งที่ดีด้วยเถิด”

13 แต่มีคายาห์กลับพูดว่า “พระยาห์เวห์มีชีวิตอยู่แน่ขนาดไหน ก็ให้แน่ใจขนาดนั้นเลยว่า พระเจ้าของผมพูดอะไร ผมก็จะพูดอย่างนั้น”

14 เมื่อเขามาถึง กษัตริย์อาหับถามเขาว่า “มีคายาห์ พวกเราควรจะออกไปสู้รบกับราโมท-กิเลอาด หรือจะหยุดอยู่ก่อนดี” เขาตอบกษัตริย์ไปว่า “บุกไปเถิดและท่านจะได้รับชัยชนะ เพราะพวกนั้นจะตกอยู่ในกำมือของท่าน”

15 กษัตริย์อาหับพูดกับเขาว่า “เราให้เจ้าสาบานไม่รู้กี่ครั้งแล้ว ว่าให้เจ้าพูดแต่ความจริงกับเรา ในนามของพระยาห์เวห์”

16 แล้วมีคายาห์ก็ตอบไปว่า “เราได้เห็นชนชาติอิสราเอลทั้งหมดต้องกระจัดกระจายไปตามแถบเนินเขา เหมือนกับแกะที่ไม่มีคนเลี้ยง และพระยาห์เวห์ได้พูดว่า ‘คนเหล่านี้ไม่มีเจ้านาย ให้พวกเขาทุกคนกลับบ้านไปอย่างสันติเถิด’”

17 กษัตริย์อาหับแห่งอิสราเอลจึงพูดกับเยโฮชาฟัทว่า “เห็นไหม เราบอกท่านแล้ว ว่าเขาไม่เคยพูดสิ่งดีๆเกี่ยวกับเราเลย มีแต่เรื่องร้ายๆ”

18 มีคายาห์พูดอีกว่า “ฟังคำพูดของพระยาห์เวห์ให้ดี เราเห็นพระยาห์เวห์นั่งอยู่บนบัลลังก์ของพระองค์ พร้อมกับกองทัพสวรรค์ทั้งหมดยืนอยู่ทั้งด้านซ้ายและด้านขวาของพระองค์ 19 และพระยาห์เวห์พูดว่า ‘ใครจะเป็นผู้ล่อลวงกษัตริย์อาหับแห่งอิสราเอลให้ไปบุกราโมท-กิเลอาดและไปตายอยู่ที่นั่น’ ทูตสวรรค์ผู้หนึ่งแนะนำวิธีหนึ่ง และอีกผู้หนึ่งก็แนะนำอีกวิธีหนึ่ง 20 ในที่สุด วิญญาณท่านหนึ่งก็ก้าวออกมายืนอยู่ต่อหน้าพระยาห์เวห์และพูดว่า ‘ข้าพเจ้าจะไปล่อลวงเขาเอง’ พระยาห์เวห์จึงถามเขาว่า ‘เจ้าจะใช้วิธีอะไรหรือ’ 21 วิญญาณท่านนั้นตอบไปว่า ‘ข้าพเจ้าจะไปเป็นวิญญาณที่โกหกอยู่ที่ปากของพวกผู้พูดแทนพระเจ้าของเขาทุกคน’ พระยาห์เวห์จึงพูดว่า ‘เจ้าจะล่อลวงเขาได้สำเร็จแน่ ไปลงมือเถิด’

22 ดังนั้น ในเวลานี้ พระยาห์เวห์ได้วางวิญญาณโกหกไว้ที่ปากของพวกผู้พูดแทนพระเจ้าเหล่านั้นของท่าน พระยาห์เวห์ได้ออกคำสั่งให้ความหายนะมาสู่ท่านแล้ว”

23 แล้วเศเดคียาห์ลูกชายของเคนาอะนาห์ก็ขึ้นไปตบหน้าของมีคายาห์ เขาถามว่า “ถ้าอย่างนั้น พระวิญญาณของพระยาห์เวห์ไปทางไหน เมื่อพระองค์ออกจากเราเพื่อที่จะไปพูดกับเจ้า” 24 มีคายาห์ตอบว่า “ท่านจะรู้เองในวันที่ท่านไปหลบซ่อนตัวอยู่ในห้องด้านในสุด”

25 กษัตริย์อาหับของอิสราเอลสั่งไปว่า “จับตัวมีคายาห์ส่งกลับไปให้กับอาโมนเจ้าเมืองและโยอาชลูกชายของเรา 26 และบอกกับพวกเขาว่า ‘กษัตริย์สั่งว่า ให้เอาตัวเจ้าหมอนี่ไปขังไว้ในคุก อย่าให้อะไรกับมัน นอกจากขนมปังและน้ำ จนกว่าเราจะกลับมาอย่างปลอดภัย’”

27 มีคายาห์ประกาศไปว่า “ประชาชนทั้งหลาย ฟังให้ดี ถ้าอาหับกลับมาอย่างปลอดภัย ก็แสดงว่าพระยาห์เวห์ไม่ได้พูดผ่านเรา”

อาหับถูกฆ่าตายที่ราโมทกิเลอาด

(1 พกษ. 22:29-40)

28 กษัตริย์อาหับของอิสราเอลและกษัตริย์เยโฮชาฟัทของยูดาห์จึงยกขึ้นไปสู้รบกับชาวอารัมที่เมืองราโมท-กิเลอาด 29 กษัตริย์อาหับของอิสราเอลพูดกับกษัตริย์เยโฮชาฟัทว่า “เราจะปลอมตัวเข้าไปรบ แต่ท่านสวมเสื้อกษัตริย์ของท่าน” กษัตริย์อาหับของอิสราเอลจึงได้ปลอมตัวเป็นทหารธรรมดาและพวกเขาเข้าไปสู้รบ

30 ในขณะนั้น กษัตริย์ของชาวอารัมสั่งพวกผู้บัญชาการกองทัพรถรบของเขาว่า “อย่าได้ไล่ตามใครไป ไม่ว่าจะเล็กหรือใหญ่ ยกเว้นกษัตริย์ของอิสราเอลเท่านั้น” 31 เมื่อพวกผู้บัญชาการกองทัพรถรบเห็นเยโฮชาฟัท พวกเขาพูดว่า “เขาต้องเป็นกษัตริย์ของอิสราเอลแน่ๆ” พวกเขาจึงได้หันไปสู้กับเยโฮชาฟัท แต่เมื่อเยโฮชาฟัทร้องออกมา และพระยาห์เวห์ได้ช่วยเขา พระองค์ดึงพวกนั้นไปจากเขา 32 เพราะเมื่อพวกผู้บัญชาการกองทัพรถรบรู้ว่าเขาไม่ใช่กษัตริย์ของอิสราเอล จึงหยุดไล่ตามเขาไป 33 แต่มีคนหนึ่งโก่งคันธนูของเขายิงออกไปแบบสุ่มๆไปถูกกษัตริย์ของอิสราเอลเข้าตรงช่องว่างของเสื้อเกราะ กษัตริย์บอกกับคนขับรถรบของเขาว่า “กลับรถไปและพาเราออกจากสนามรบ เราได้รับบาดเจ็บ” 34 การรบครั้งนี้ยาวนานตลอดทั้งวันและดุเดือดมาก และกษัตริย์อาหับของอิสราเอลยันตัวเองไว้กับรถรบของเขา เผชิญหน้ากับพวกอารัม จนกระทั่งถึงเย็น เมื่อดวงอาทิตย์ตกดินเขาก็ตาย

19 เมื่อกษัตริย์เยโฮชาฟัทแห่งยูดาห์กลับมาถึงวังของเขาในเมืองเยรูซาเล็มอย่างปลอดภัย เยฮูผู้ที่เห็นนิมิต[w] ลูกชายของฮานานีออกมาพบกับกษัตริย์และพูดว่า “นี่ท่านไปช่วยเหลือคนชั่วและไปรักคนที่เกลียดชังพระยาห์เวห์ ใช่ไหม เพราะเรื่องนี้ ความโกรธของพระยาห์เวห์จึงตกลงบนท่าน แต่ท่านก็ยังพอมีส่วนดีอยู่บ้าง เพราะท่านได้กำจัดพวกเสาของพระอาเชราห์ออกจากดินแดนนี้และตั้งใจที่จะแสวงหาพระเจ้า”

เยโฮชาฟัทเลือกบรรดาผู้พิพากษา

เยโฮชาฟัทอาศัยอยู่ในเมืองเยรูซาเล็ม และเขาจะออกไปอยู่ท่ามกลางประชาชนทั่วยูดาห์ ตั้งแต่เบเออร์เชบาไปจนถึงแถบเนินเขาของเอฟราอิม เขาไปช่วยนำประชาชนให้หันกลับมาหาพระยาห์เวห์พระเจ้าของบรรพบุรุษของพวกเขา เขาได้แต่งตั้งผู้พิพากษาในแผ่นดินนั้น และตามเมืองที่เป็นป้อมปราการทั้งสิ้นของชาวยูดาห์ เขาบอกกับผู้พิพากษาเหล่านั้นว่า “ให้ระมัดระวังในสิ่งที่พวกท่านทำ เพราะท่านไม่ได้ตัดสินให้กับมนุษย์ แต่ท่านกำลังตัดสินให้กับพระยาห์เวห์ พระองค์อยู่กับพวกท่านนะ ตอนที่พวกท่านให้คำตัดสินนั้น อย่างนั้น ให้พวกท่านเกรงกลัวพระยาห์เวห์ ตัดสินอย่างระมัดระวัง เพราะพระยาห์เวห์พระเจ้าของพวกเรานั้น ไม่บิดเบือนความยุติธรรม ไม่ลำเอียง และไม่รับสินบนใดๆทั้งสิ้น”

ในเมืองเยรูซาเล็มก็เหมือนกัน เยโฮชาฟัทแต่งตั้งชาวเลวีบางคน พวกนักบวช และพวกผู้นำครอบครัวชาวอิสราเอล ให้คำตัดสินเพื่อพระยาห์เวห์ และให้ตัดสินคดีที่โต้แย้งกัน คนพวกนี้อาศัยอยู่ในเมืองเยรูซาเล็ม เยโฮชาฟัทได้กำชับพวกเขาว่า “พวกท่านต้องรับใช้ด้วยความยำเกรงพระยาห์เวห์ ด้วยความซื่อสัตย์และด้วยสิ้นสุดใจของท่าน 10 ทุกๆคดีที่ญาติพี่น้องของท่านที่อาศัยอยู่ในเมืองต่างๆนำมา ไม่ว่าจะเป็นเรื่องฆ่าฟันกัน หรือเรื่องที่เกี่ยวกับกฎ คำสั่ง ระเบียบหรือข้อบังคับ พวกท่านต้องตักเตือนพวกเขาไม่ให้ทำบาปต่อพระยาห์เวห์ ไม่อย่างนั้น ความโกรธของพระองค์จะตกอยู่กับพวกท่านและพี่น้องของพวกท่าน ให้ทำตามนี้แล้วพวกท่านจะได้ไม่มีความผิดบาป 11 อามาริยาห์ที่เป็นหัวหน้านักบวชจะคอยให้คำแนะนำพวกท่านในทุกเรื่องที่เกี่ยวกับพระยาห์เวห์ ส่วนเศบาดิยาห์ลูกชายของอิชมาเอลผู้นำของเผ่ายูดาห์จะคอยให้คำแนะนำพวกท่านในทุกเรื่องที่เกี่ยวกับกษัตริย์ และชาวเลวีจะเป็นเจ้าหน้าที่[x] รับใช้อยู่ต่อหน้าพวกท่าน ให้ทำอย่างกล้าหาญ ขอให้พระยาห์เวห์อยู่กับคนที่ทำความดีเถิด”

เยโฮชาฟัทต้องทำสงคราม

20 หลังจากนั้นชาวโมอับและชาวอัมโมนพร้อมกับชาวเมอูนี[y] ส่วนหนึ่งได้ยกทัพมาสู้รบกับเยโฮชาฟัท มีคนมาบอกกับเยโฮชาฟัทว่า “มีกองทัพขนาดมหึมายกมาสู้รบกับท่าน พวกนั้นมาจากเอโดมจากอีกด้านหนึ่งของทะเลตาย ตอนนี้มาอยู่ที่ฮาซาโซน-ทามาร์แล้ว” (คือ เอนเกดี) เยโฮชาฟัทตกใจมาก เขาตัดสินใจที่จะไปถามพระยาห์เวห์ว่าจะทำอย่างไรดี เขาประกาศให้มีการอดอาหารทั่วทั้งยูดาห์ ประชาชนของยูดาห์ได้มารวมกันเพื่อที่จะขอความช่วยเหลือจากพระยาห์เวห์ พวกเขาพากันมาจากทุกเมืองในยูดาห์ เพื่อแสวงหาพระยาห์เวห์

แล้วเยโฮชาฟัทยืนขึ้นในที่ชุมนุมของชาวยูดาห์และของเมืองเยรูซาเล็มที่วิหารของพระยาห์เวห์ ตรงด้านหน้าของลานแห่งใหม่นั้น และพูดว่า

“ข้าแต่พระยาห์เวห์ พระเจ้าแห่งบรรพบุรุษของพวกเรา พระองค์คือพระเจ้าที่อยู่บนสวรรค์ พระองค์ปกครองเหนืออาณาจักรของชนชาติทุกชนชาติ พลังและอำนาจอยู่ในมือของพระองค์ ไม่มีใครที่จะต่อต้านพระองค์ได้ ข้าแต่พระเจ้าของพวกเรา พระองค์ได้ขับไล่ประชาชนของแผ่นดินนี้ออกไปต่อหน้าชาวอิสราเอลที่เป็นประชาชนของพระองค์ และยกแผ่นดินนี้ให้กับลูกหลานของอับราฮัมตลอดไป อับราฮัมที่เป็นเพื่อนของพระองค์ ลูกหลานของเขาได้เข้ามาอาศัยอยู่ในดินแดนนี้ และได้สร้างวิหารอันศักดิ์สิทธิ์ไว้เพื่อเป็นเกียรติให้กับชื่อของพระองค์ พวกเขาพูดว่า ‘ถ้ามีความหายนะอย่างใหญ่หลวงเกิดขึ้นกับพวกเรา ไม่ว่าจะเป็นดาบแห่งการตัดสิน หรือโรคระบาดหรือความอดอยาก พวกเราจะมายืนอยู่ต่อหน้าพระองค์ที่วิหารนี้ ซึ่งเป็นที่ที่ชื่อของพระองค์สถิตอยู่ และพวกเราจะร้องต่อพระองค์ถึงความทุกข์ของพวกเรา และพระองค์ก็จะได้ยินและช่วยกู้พวกเรา’

10 ตอนนี้ คนพวกนี้ที่มาจากอัมโมน โมอับและจากภูเขาเสอีร์ ซึ่งเป็นดินแดนที่พระองค์ห้ามไม่ให้ชาวอิสราเอลไปบุกรุก ตอนที่พวกเขาออกมาจากประเทศอียิปต์[z] ดังนั้น ชนชาติอิสราเอลจึงได้หันเหไปจากชนชาติเหล่านี้และไม่ได้ทำลายพวกมัน 11 ดูสิว่าพวกเขาตอบแทนพวกเราด้วยการมาขับไล่พวกเราออกจากแผ่นดินที่พระองค์ให้พวกเราไว้เป็นมรดก 12 ข้าแต่พระเจ้าของพวกเรา พระองค์จะไม่ตัดสินพวกเขาหรือ ลำพังพวกเราไม่มีพละกำลังเพียงพอที่จะไปเผชิญหน้ากับกองทัพขนาดมหึมาที่กำลังจะเข้ามาโจมตีพวกเราได้ พวกเราไม่รู้จะทำอย่างไรแล้ว แต่ตาของพวกเรามองหาความช่วยเหลือจากพระองค์”[aa]

13 ชาวยูดาห์ทั้งหมดกับเมียของพวกเขาและลูกๆรวมทั้งเด็กเล็กๆได้มายืนอยู่ที่นั่นต่อหน้าพระยาห์เวห์ 14 แล้วพระวิญญาณของพระยาห์เวห์ก็ลงมาสถิตกับยาฮาซีเอลลูกชายของเศคาริยาห์ ผู้เป็นลูกชายของเบไนยาห์ ผู้เป็นลูกชายของเยอีเอล ผู้เป็นลูกชายของมัทธานิยาห์ ที่เป็นชาวเลวีและเป็นลูกหลานของอาสาฟ ในขณะที่ยาฮาซีเอล ยืนอยู่ท่ามกลางที่ประชุม 15 เขาได้พูดว่า “ฟังให้ดี กษัตริย์เยโฮชาฟัท และทุกคนที่อาศัยอยู่ในยูดาห์ และเมืองเยรูซาเล็ม นี่คือสิ่งที่พระยาห์เวห์พูดกับพวกท่าน ‘พวกเจ้าไม่ต้องกลัวหรือท้อแท้ต่อกองทัพใหญ่นี้ เพราะการสู้รบไม่ใช่เป็นของพวกเจ้า แต่เป็นเรื่องของพระเจ้า 16 พรุ่งนี้ ให้ยกทัพไปสู้กับพวกเขา พวกเขาจะขึ้นไปที่ตำบลศิสและพวกเจ้าจะพบพวกเขาอยู่ที่ปลายทางของหุบเขาแคบๆในทะเลทรายเยรูเอล 17 พวกเจ้าจะไม่ต้องต่อสู้ในการรบครั้งนี้เลย แค่อยู่ประจำที่ของพวกเจ้า ยืนอยู่อย่างมั่นคงและคอยดูชัยชนะที่พระยาห์เวห์จะทำให้กับพวกเจ้า

ยูดาห์และเยรูซาเล็มเอ๋ย อย่ากลัว อย่าท้อแท้ ออกไปเผชิญหน้ากับพวกเขาในวันพรุ่งนี้เถิด แล้วพระยาห์เวห์จะอยู่กับพวกเจ้า’”

18 เยโฮชาฟัทก้มกราบหน้าจดพื้น และประชาชนทั้งหมดของยูดาห์และเยรูซาเล็มก็คุกเข่าลงนมัสการอยู่ต่อหน้าพระยาห์เวห์ 19 แล้วชาวเลวีบางกลุ่มจากชาวโคฮาทและโคราห์ได้ยืนขึ้นและสรรเสริญพระยาห์เวห์พระเจ้าของอิสราเอลด้วยเสียงอันดัง

20 เช้าตรู่ของวันรุ่งขึ้น พวกเขาออกไปที่ทะเลทรายเทโคอา เมื่อพวกเขาออกเดินทาง เยโฮชาฟัทยืนขึ้นและพูดว่า “ชาวยูดาห์และประชาชนของเมืองเยรูซาเล็ม ฟังเราให้ดี ขอเพียงแต่เชื่อในพระยาห์เวห์ พระเจ้าของพวกเจ้า และพวกเจ้าก็จะตั้งมั่นคง ให้เชื่อพวกผู้พูดแทนพระเจ้า”

21 หลังจากที่ได้หารือร่วมกับประชาชนแล้ว เยโฮชาฟัทได้แต่งตั้งคนหลายคนให้เป็นผู้ร้องเพลงให้กับพระยาห์เวห์และสรรเสริญพระองค์ถึงความสง่างามอันศักดิ์สิทธิ์ของพระองค์ ในขณะที่พวกเขาออกไปที่ด้านหน้าของกองทัพ พวกเขาก็พูดว่า

“ให้ขอบคุณพระยาห์เวห์
    เพราะความรักมั่นคงของพระองค์นั้นจะคงอยู่ตลอดไป”[ab]

22 เมื่อพวกเขาเริ่มร้องเพลงและสรรเสริญ พระยาห์เวห์ได้จัดกองกำลังไว้ซุ่มโจมตีพวกคนอัมโมน โมอับและพวกคนจากภูเขาเสอีร์ที่มาบุกรุกยูดาห์ และคนเหล่านั้นก็พ่ายแพ้ไป 23 คนของอัมโมนและโมอับได้ลุกขึ้นต่อสู้กับคนที่มาจากภูเขาเสอีร์เพื่อทำลายและกวาดล้างพวกเขา หลังจากที่พวกเขาฆ่าคนจากเสอีร์หมดแล้ว พวกคนอัมโมนและคนโมอับก็หันมาทำลายล้างกันเอง

24 เมื่อพวกคนของยูดาห์มาถึงจุดที่สามารถมองกว้างออกไปในทะเลทราย และสามารถมองเห็นกองทัพขนาดมหึมาของพวกนั้น ชาวยูดาห์ก็ได้เห็นแต่ซากศพนอนเกลื่อนกลาดบนพื้นดิน ไม่มีใครหนีรอดไปได้ 25 เยโฮชาฟัทกับคนของเขาทั้งหมดจึงได้ลงไปยึดเอาสิ่งของของคนเหล่านั้นไว้ พวกเขาก็ได้พบฝูงสัตว์เลี้ยงมากมาย พบข้าวของเครื่องใช้ เสื้อผ้าและของมีค่าจำนวนมากมายเกินกว่าที่พวกเขาจะเก็บได้หมด มีของมากจนกระทั่งพวกเขาต้องใช้เวลาเก็บถึงสามวัน 26 ในวันที่สี่ พวกเขาได้ชุมนุมกันอยู่ในหุบเขาเบราคาห์[ac] ซึ่งเป็นสถานที่ที่ใช้สรรเสริญพระยาห์เวห์ หุบเขาแห่งนั้นจึงมีชื่อว่าหุบเขาเบราคาห์จนถึงทุกวันนี้

27 แล้วพวกคนจากยูดาห์และเยรูซาเล็มทั้งหมด ที่เยโฮชาฟัทนำอยู่นั้น ต่างก็กลับเมืองเยรูซาเล็มด้วยความยินดี เพราะพระยาห์เวห์ทำให้พวกเขาชื่นชมยินดีที่มีชัยเหนือศัตรูของพวกเขา 28 พวกเขาเข้าเมืองเยรูซาเล็มและไปที่วิหารของพระยาห์เวห์พร้อมกับพวกพิณใหญ่ พิณเล็กและแตร

29 ผู้คนที่อยู่ในอาณาจักรรอบข้างต่างก็เกิดความเกรงกลัวพระเจ้า เมื่อพวกเขาได้ยินถึงสิ่งที่พระยาห์เวห์ได้ทำต่อศัตรูของชนชาติอิสราเอล 30 และอาณาจักรของเยโฮชาฟัทก็สงบสุขเพราะพระเจ้าของเขาได้ให้เขาหยุดพักจากสงครามรอบด้าน

การปกครองของเยโฮชาฟัทสิ้นสุดลง

(1 พกษ. 22:41-50)

31 ดังนั้นเยโฮชาฟัทปกครองอยู่เหนือยูดาห์ เขามีอายุสามสิบห้าปีเมื่อขึ้นเป็นกษัตริย์ของยูดาห์ และเขาครองบัลลังก์อยู่ในเมืองเยรูซาเล็มยี่สิบห้าปี แม่ของเขาชื่ออาซูบาห์ นางเป็นลูกสาวของชิลหิ 32 เยโฮชาฟัทเดินตามทางของอาสาพ่อของเขาและไม่ออกนอกลู่นอกทางเลย เขาทำสิ่งที่ถูกต้องในสายตาของพระยาห์เวห์ 33 แต่เขาไม่ได้รื้อสถานนมัสการต่างๆทิ้ง และประชาชนก็ยังไม่ได้เทใจของเขาให้กับพระเจ้าของบรรพบุรุษของพวกเขา

34 ส่วนเหตุการณ์อื่นๆในสมัยของเยโฮชาฟัท ตั้งแต่ต้นจนจบ ได้ถูกจดบันทึกไว้ในบันทึกประจำปีของเยฮูลูกชายของฮานานี ซึ่งได้ถูกบันทึกลงในหนังสือพงศ์กษัตริย์แห่งอิสราเอล

35 ในเวลาต่อมา กษัตริย์เยโฮชาฟัทแห่งยูดาห์ไปคบค้ากับกษัตริย์อาหัสยาห์แห่งอิสราเอล อาหัสยาห์เป็นคนชั่วช้ามาก 36 เยโฮชาฟัทร่วมมือกับกษัตริย์อาหัสยาห์สร้างกองเรือเพื่อการค้าขายขึ้นในเมืองเอซีโอน-เกเบอร์ 37 มีชายคนหนึ่งมาจากเมืองมาเรชาห์ ชื่อว่าเอลีเยเซอร์เขาเป็นลูกชายของโดดาวาหุ เอลีเยเซอร์ได้พูดต่อต้านเยโฮชาฟัทว่า “พระยาห์เวห์จะทำลายสิ่งที่ท่านสร้างขึ้นมา เพราะท่านไปคบค้ากับอาหัสยาห์” กองเรือนั้นก็อับปางลงและไม่สามารถที่จะใช้แล่นเพื่อค้าขายได้อีก

กษัตริย์เยโฮรัมปกครองยูดาห์

(2 พกษ. 8:16-19)

21 แล้วเยโฮชาฟัทก็ตายไปอยู่กับบรรพบุรุษของเขาและศพของเขาถูกฝังอยู่ในเมืองของดาวิด และเยโฮรัมลูกชายของเขาก็ขึ้นเป็นกษัตริย์สืบต่อจากเขา พวกพี่น้องของเยโฮรัมที่เป็นลูกชายของเยโฮชาฟัทคือ อาซาริยาห์ เยฮีเอล เศคาริยาห์ อาซาริยาห์ มีคาเอลและเชฟาทิยาห์ ทั้งหมดนี้คือลูกชายของกษัตริย์เยโฮชาฟัทแห่งอิสราเอล[ad] พ่อของพวกเขาได้มอบของขวัญเป็นเงินและทองคำ รวมทั้งข้าวของที่มีค่ามากมาย และเมืองที่เป็นป้อมปราการทั้งหลายในยูดาห์ให้กับพวกเขา แต่เยโฮชาฟัทได้มอบอาณาจักรนี้ให้กับเยโฮรัมเพราะเขาเป็นลูกชายคนแรก

เมื่อเยโฮรัมขึ้นครองบัลลังก์อย่างมั่นคงในอาณาจักรของพ่อเขา เขาใช้ดาบฆ่าพี่น้องทั้งหมดของเขา รวมทั้งผู้นำบางคนของอิสราเอลด้วย ตอนที่เยโฮรัมขึ้นเป็นกษัตริย์นั้น เขามีอายุสามสิบสองปี เขาครองบัลลังก์อยู่ในเมืองเยรูซาเล็มแปดปี เขาเจริญรอยตามพวกกษัตริย์แห่งอิสราเอล เขาใช้ชีวิตแบบเดียวกับครอบครัวของอาหับ เพราะเขาไปแต่งงานกับลูกสาวของอาหับ และเขาได้ทำความชั่วในสายตาของพระยาห์เวห์ อย่างไรก็ตาม พระยาห์เวห์ไม่ได้ทำลายครอบครัวของดาวิด เพราะพระองค์เคยทำสัญญาไว้กับดาวิดว่า พระองค์จะเก็บรักษาตะเกียงดวงหนึ่งไว้สำหรับเขาและลูกหลานของเขาตลอดไป[ae]

เอโดมกบฏ

(2 พกษ. 8:20-22)

ในยุคของเยโฮรัม เอโดมได้กบฏต่อการครอบครองของชาวยูดาห์และตั้งกษัตริย์ของพวกเขาขึ้นมาเอง ดังนั้นเยโฮรัมจึงไปที่เอโดมพร้อมกับพวกผู้บังคับบัญชาและรถรบทั้งหมดของเขา ชาวเอโดมได้ล้อมเยโฮรัมกับพวกผู้บังคับบัญชารถรบของเขาไว้ แต่เยโฮรัมตีฝ่าวงล้อมออกมาได้ในตอนกลางคืน 10 พวกเอโดมก็ยังคงกบฏต่อการครอบครองของยูดาห์จนถึงทุกวันนี้ ในช่วงเวลาเดียวกันนั้น พวกลิบนาห์ก็ได้กบฏต่อการครอบครองของเยโฮรัมเหมือนกัน เพราะเขาได้ละทิ้งพระยาห์เวห์พระเจ้าของบรรพบุรุษของเขา

จดหมายของเอลียาห์

11 เยโฮรัมยังได้สร้างสถานที่นมัสการหลายแห่งไว้ตามเนินเขาของยูดาห์ และเป็นต้นเหตุให้ประชาชนของเมืองเยรูซาเล็มไม่สัตย์ซื่อต่อพระยาห์เวห์ เขานำชาวยูดาห์ให้หลงผิดไป

12 เยโฮรัมได้รับจดหมายจากเอลียาห์ผู้พูดแทนพระเจ้า ที่เขียนว่า

“นี่คือสิ่งที่พระยาห์เวห์พระเจ้าของดาวิดบรรพบุรุษของท่านพูด ‘เยโฮรัม เจ้าไม่ได้เดินตามทางของเยโฮชาฟัทพ่อของเจ้า หรือตามทางของกษัตริย์อาสาแห่งยูดาห์ 13 แต่เจ้ากลับไปเดินตามทางของพวกกษัตริย์แห่งอิสราเอล และทำให้ชาวยูดาห์และประชาชนของเมืองเยรูซาเล็มไม่สัตย์ซื่อ เหมือนกับที่ครอบครัวของอาหับเคยทำให้อิสราเอลไม่สัตย์ซื่อ เจ้ายังฆ่าพวกพี่น้องของเจ้าเองคือสมาชิกในครอบครัวของพ่อเจ้าซึ่งเป็นคนที่ดีกว่าเจ้า 14 ดังนั้นพระยาห์เวห์จะนำภัยพิบัติอย่างใหญ่หลวงมาสู่ประชาชนของเจ้า พวกลูกชายและพวกเมียของเจ้า รวมทั้งทุกสิ่งทุกอย่างที่เป็นของเจ้า 15 ตัวเจ้าเองก็จะเจ็บป่วยอย่างแสนสาหัสด้วยโรคลำไส้ จนลำไส้ทะลักออกมา และอยู่อย่างนั้นวันแล้ววันเล่าเพราะโรคนั้น’”

16 พระยาห์เวห์ยุให้ชาวฟีลิสเตียกับชาวอาหรับที่อาศัยอยู่ใกล้กับพวกชาวคูชนั้นตั้งตัวเป็นศัตรูกับเยโฮรัม 17 พวกเขาเข้าโจมตียูดาห์ ได้บุกเข้าไปขนเอาทรัพย์สินที่อยู่ในวังของกษัตริย์ออกมาจนหมด รวมทั้งพวกลูกชายและเมียทั้งหลายของเขาด้วย เหลือไว้เพียงอาหัสยาห์[af] ลูกชายคนสุดท้องของเขา

เยโฮรัมเป็นโรคและตายไป

(2 พกษ. 8:23-24)

18 หลังจากเหตุการณ์นั้นเป็นต้นมา พระยาห์เวห์ทำให้เยโฮรัมต้องทนทุกข์ทรมานด้วยโรคลำไส้ที่ไม่สามารถรักษาให้หายได้ 19 อีกสองปีต่อมาลำไส้ของเขาได้ทะลักออกมาเพราะโรคที่เขาเป็นอยู่ แล้วเขาก็ได้ตายอย่างเจ็บปวดทรมาน ประชาชนของเขาไม่ได้ก่อกองไฟให้เกียรติกับเขาเหมือนกับที่เคยทำให้กับบรรพบุรุษของเขา 20 เยโฮรัมมีอายุสามสิบสองปีเมื่อเขาขึ้นเป็นกษัตริย์ และเขาได้ครองบัลลังก์อยู่ในเมืองเยรูซาเล็มแปดปี เขาจากไปโดยไม่มีใครรู้สึกเสียใจเลย ศพของเขาถูกฝังอยู่ในเมืองของดาวิดแต่ไม่ได้อยู่ในหลุมฝังศพของพวกกษัตริย์

กษัตริย์อาหัสยาห์ปกครองยูดาห์

(2 พกษ. 8:25-29; 9:14-16, 27-29)

22 ประชาชนในเมืองเยรูซาเล็มยกอาหัสยาห์[ag]ลูกชายคนเล็กของเยโฮรัมขึ้นเป็นกษัตริย์ต่อจากเยโฮรัม เพราะคนเหล่านั้นกับคนอาหรับที่มาบุกรุกค่าย ได้ฆ่าลูกชายคนอื่นๆของเยโฮรัมไปหมดแล้ว ดังนั้นอาหัสยาห์ลูกชายของกษัตริย์เยโฮรัมแห่งยูดาห์จึงได้เริ่มปกครองในยูดาห์ อาหัสยาห์มีอายุยี่สิบสองปีเมื่อเขาขึ้นเป็นกษัตริย์[ah] และเขาครองบัลลังก์อยู่ในเมืองเยรูซาเล็มเป็นเวลาหนึ่งปี แม่ของเขามีชื่อว่าอาธาลิยาห์เป็นหลานสาวของอมรี อาหัสยาห์เองก็เดินตามรอยของครอบครัวของอาหับ เพราะแม่ของเขาหนุนให้เขาทำในสิ่งที่ชั่ว อาหัสยาห์ทำความชั่วในสายตาของพระยาห์เวห์ เหมือนกับที่ครอบครัวของอาหับเคยทำ เพราะหลังจากที่พ่อของอาหัสยาห์ตาย ครอบครัวของอาหับก็เป็นผู้แนะนำเขาให้ทำในสิ่งที่ชั่วร้าย อาหัสยาห์ได้ทำตามคำแนะนำของครอบครัวอาหับ เขาไปกับโยรัมลูกชายของกษัตริย์อาหับแห่งอิสราเอล เพื่อทำสงครามกับกษัตริย์ฮาซาเอลแห่งอารัม ที่ราโมท-กิเลอาด พวกชาวอารัมทำร้ายโยรัมจนได้รับบาดเจ็บ โยรัมจึงกลับไปยิสราเอลเพื่อรักษาบาดแผลของเขา ที่เกิดจากการต่อสู้กับกษัตริย์ฮาซาเอลแห่งอารัมที่เมืองราโมท-กิเลอาด

แล้วอาหัสยาห์ลูกชายของกษัตริย์เยโฮรัมแห่งยูดาห์ก็ลงไปที่ยิสเรเอลเพื่อเยี่ยมเยียนโยรัมลูกชายของอาหับ เพราะโยรัมบาดเจ็บอยู่

จากการที่อาหัสยาห์ไปเยี่ยมเยียนโยรัม พระเจ้าก็ได้นำความหายนะมาสู่อาหัสยาห์ เมื่ออาหัสยาห์มาถึง เขาออกไปกับโยรัมเพื่อไปสู้รบกับเยฮูลูกชายของนิมชี พระยาห์เวห์ได้แต่งตั้งเยฮูขึ้นมา เพื่อให้ทำลายครอบครัวของอาหับ ในขณะที่เยฮูกำลังลงมือฆ่าครอบครัวของอาหับ เขาก็พบพวกผู้นำของยูดาห์และพวกญาติๆของอาหัสยาห์ที่เข้าร่วมกับอาหัสยาห์ เยฮูได้ฆ่าคนเหล่านั้นเสีย แล้วเขาได้เข้าไปค้นหาตัวอาหัสยาห์ คนของเยฮูจับตัวอาหัสยาห์ไว้ได้ในขณะที่เขากำลังหลบซ่อนตัวอยู่ในสะมาเรีย อาหัสยาห์ถูกนำตัวมาพบกับเยฮู และพวกเขาก็ฆ่าอาหัสยาห์ แต่เขาฝังศพให้กับอาหัสยาห์ เพราะพวกเขาพูดกันว่า “เขาเป็นลูกหลานของเยโฮชาฟัทผู้ที่แสวงหาพระยาห์เวห์ด้วยสิ้นสุดใจของเขา” แล้วไม่มีใครในครอบครัวของอาหัสยาห์ที่จะมีอำนาจเพียงพอที่จะรักษาอาณาจักรยูดาห์ไว้ได้อีก

ราชินีอาธาลิยาห์

(2 พกษ. 11:1-3)

10 เมื่อนางอาธาลิยาห์ที่เป็นแม่ของอาหัสยาห์เห็นว่าลูกชายของนางตายแล้ว นางจึงฆ่าลูกๆของกษัตริย์ทั้งหมดในยูดาห์ 11 แต่เยโฮชาเบอาทลูกสาวของกษัตริย์เยโฮรัมแอบอุ้มโยอาชลูกชายของอาหัสยาห์ออกไปจากเจ้าชายทั้งหลายที่กำลังจะถูกฆ่า และนางได้ซ่อนตัวโยอาชกับพี่เลี้ยงของเขาไว้ในห้องนอนห้องหนึ่ง เยโฮชาเบอาทเป็นลูกสาวของกษัตริย์เยโฮรัม และเป็นเมียของนักบวชเยโฮยาดา และนางก็ยังเป็นน้องสาวของอาหัสยาห์ นางซ่อนเด็กคนนั้นไว้จากนางอาธาลิยาห์ นางอาธาลิยาห์จึงไม่สามารถฆ่าโยอาชได้ 12 โยอาชยังคงซ่อนตัวอยู่กับพวกเขาในวิหารของพระเจ้าเป็นเวลาหกปี ในขณะที่นางอาธาลิยาห์ปกครองแผ่นดินอยู่

นักบวชเยโฮยาดากับกษัตริย์โยอาช

(2 พกษ. 11:4-21)

23 ในปีที่เจ็ด นักบวชเยโฮยาดาได้แสดงความแข็งแกร่งของเขา เขาทำข้อตกลงกับพวกนายร้อยทั้งหลาย คือ อาซาริยาห์ลูกชายของเยโรฮัม อิชมาเอลลูกชายของเยโฮฮานัน อาซาริยาห์ลูกชายของโอเบด มาอาเสอาห์ลูกชายของอาดายาห์ และเอลีชาฟัทลูกชายของศิครี พวกเขาไปทั่วทั้งยูดาห์ และไปรวบรวมชาวเลวีและพวกผู้นำครอบครัวชาวอิสราเอลมาจากทุกเมือง เมื่อพวกเขามาถึงเมืองเยรูซาเล็ม คนที่มาชุมนุมทั้งหมดได้ให้คำมั่นสัญญากับกษัตริย์ที่วิหารของพระเจ้า

เยโฮยาดาพูดกับพวกเขาว่า “ลูกชายของกษัตริย์จะต้องครองบัลลังก์เหมือนที่พระยาห์เวห์ได้สัญญาไว้เกี่ยวกับพวกลูกหลานของดาวิด ต่อไปนี้คือสิ่งที่พวกท่านจะต้องทำ หนึ่งในสามของพวกท่านที่เป็นนักบวชและชาวเลวีที่กำลังอยู่เวรในวันหยุดทางศาสนาจะต้องเฝ้าดูแลอยู่ที่ประตูทั้งหลาย อีกหนึ่งในสามของพวกท่านให้เฝ้าอยู่ที่วังกษัตริย์ และอีกหนึ่งในสามที่เหลือให้เฝ้าอยู่ตรงประตูฐานราก และคนอื่นๆที่เหลือจะต้องอยู่ที่ลานของวิหารของพระยาห์เวห์ ห้ามใครเข้าในวิหารของพระยาห์เวห์ ยกเว้นพวกนักบวชและชาวเลวีที่อยู่เวร พวกเขาได้รับอนุญาตให้เข้าไปได้ เพราะว่าพวกเขาบริสุทธิ์ แต่คนอื่นๆต้องคอยเฝ้าตามจุดที่พระยาห์เวห์ได้มอบหมายให้พวกเขาอยู่ พวกชาวเลวีต้องอยู่ใกล้ๆกษัตริย์ ทุกคนจะต้องมีอาวุธอยู่ในมือ ใครก็ตามที่บุกรุกเข้าไปในวิหารจะต้องถูกฆ่า อยู่ให้ใกล้กับกษัตริย์ไว้ ไม่ว่าเขาจะไปที่ไหนก็ตาม”

พวกชาวเลวีและคนของยูดาห์ทั้งหมดทำตามคำสั่งของนักบวชเยโฮยาดา แต่ละคนพาคนของเขามา คือทั้งพวกที่อยู่เวรในวันหยุดทางศาสนา และพวกที่กำลังจะออกเวร เพราะนักบวชเยโฮยาดาไม่ปล่อยให้ใครว่างเลย แล้วเขาก็มอบหอกกับโล่ใหญ่และโล่เล็กที่เคยเป็นของกษัตริย์ดาวิด ที่เก็บอยู่ในวิหารของพระเจ้าให้กับพวกนายร้อย 10 เขาได้วางกำลังคนทั้งหมดประจำที่ แต่ละคนถืออาวุธพร้อมมือ เฝ้าอยู่รอบๆตัวกษัตริย์ ใกล้กับแท่นบูชาและวิหาร ตั้งแต่ทิศใต้จดทิศเหนือของวิหาร 11 เยโฮยาดากับพวกลูกชายของเขานำตัวโยอาชลูกชายของกษัตริย์ออกมา และสวมมงกุฎไว้บนหัวของโยอาช พวกเขามอบสำเนาข้อตกลง[ai] ให้กับกษัตริย์ และประกาศให้โยอาชเป็นกษัตริย์ พวกเขาเจิมแต่งตั้งโยอาชและตะโกนออกมาว่า “ขอให้กษัตริย์จงเจริญ”

12 เมื่อนางอาธาลิยาห์ได้ยินเสียงอึกทึกของประชาชนที่กำลังวิ่งและโห่ร้องให้กับกษัตริย์ นางออกไปหาพวกเขาที่วิหารของพระยาห์เวห์ 13 นางมองออกไปและเห็นกษัตริย์องค์นั้นยืนอยู่ข้างเสาของเขาที่ทางเข้า มีพวกเจ้าหน้าที่และคนเป่าแตรอยู่ข้างๆกษัตริย์ และประชาชนทั้งหมดบนแผ่นดินนั้นก็กำลังสนุกสนานรื่นเริงและเป่าแตรกัน พวกนักร้องกับนักดนตรีก็กำลังร้องนำบทสรรเสริญ นางอาธาลิยาห์จึงฉีกเสื้อของนางออก[aj] และตะโกนว่า “พวกทรยศ พวกทรยศ”

14 นักบวชเยโฮยาดาได้ส่งพวกนายร้อยที่ดูแลกองทัพ เขาพูดกับพวกนั้นว่า “นำตัวนางออกไปจากท่ามกลางกองทัพและฆ่าทุกคนที่ติดตามนาง” เพราะนักบวชพูดว่า “อย่าฆ่านางในวิหารของพระยาห์เวห์” 15 ดังนั้น พวกเขาจึงจับตัวนางไว้ได้ ตอนที่นางวิ่งไปถึงทางเข้าของประตูม้า ในเขตวัง พวกเขาจับนางและฆ่านางที่นั่น

Thai New Testament: Easy-to-Read Version (ERV-TH)

พระคริสตธรรมคัมภีร์: ฉบับอ่านเข้าใจง่าย ภาคคำสัญญาใหม่ © 2015 Bible League International