Previous Prev Day Next DayNext

Bible in 90 Days

An intensive Bible reading plan that walks through the entire Bible in 90 days.
Duration: 88 days
Thai New Contemporary Bible (TNCV)
Version
2 พงศาวดาร 23:16-35:15

16 จากนั้นเยโฮยาดาได้ทำพันธสัญญาร่วมกับประชาชนและกษัตริย์ว่า[a]จะเป็นประชากรขององค์พระผู้เป็นเจ้า 17 แล้วทุกคนกรูเข้าไปรื้อทำลายวิหารของพระบาอัล ทุบแท่นบูชาและเทวรูปทั้งหลายทิ้งและประหารมัททานปุโรหิตของพระบาอัลตรงหน้าแท่น

18 แล้วเยโฮยาดาแต่งตั้งปุโรหิตซึ่งเป็นชนเลวีให้ดูแลพระวิหารขององค์พระผู้เป็นเจ้าตามที่ดาวิดมอบหมายไว้ เพื่อถวายเครื่องเผาบูชาแด่องค์พระผู้เป็นเจ้าตามที่บันทึกไว้ในบทบัญญัติของโมเสสด้วยความชื่นชมยินดีและด้วยการร้องเพลงตามที่ดาวิดตรัสสั่งไว้ 19 เยโฮยาดายังได้ตั้งยามประตูพระวิหารขององค์พระผู้เป็นเจ้า เพื่อไม่ให้ผู้ที่เป็นมลทินด้วยเหตุหนึ่งเหตุใดเข้าไปได้

20 จากนั้นเยโฮยาดาร่วมกับบรรดานายกอง ขุนนาง ผู้ปกครอง และประชาชนทั้งปวง นำเสด็จกษัตริย์จากพระวิหารขององค์พระผู้เป็นเจ้า ดำเนินผ่านประตูบนสู่พระราชวัง และอัญเชิญขึ้นประทับบนราชบัลลังก์ 21 ประชาชนทั่วแดนพากันชื่นชมยินดีและนครก็สงบสุข เพราะพระนางอาธาลิยาห์ถูกประหารด้วยดาบแล้ว

โยอาชทรงซ่อมแซมพระวิหาร(A)

24 เมื่อโยอาชขึ้นเป็นกษัตริย์ พระองค์ทรงมีพระชนมายุเจ็ดพรรษา และทรงครองราชย์อยู่ในกรุงเยรูซาเล็มสี่สิบปี ราชมารดาคือศิบียาห์จากเบเออร์เชบา โยอาชทรงทำสิ่งที่ถูกต้องในสายพระเนตรขององค์พระผู้เป็นเจ้าตลอดชั่วอายุของปุโรหิตเยโฮยาดา เยโฮยาดาหามเหสีให้สององค์และโยอาชทรงมีโอรสธิดาหลายองค์

ต่อมาโยอาชตั้งพระทัยจะซ่อมแซมพระวิหารขององค์พระผู้เป็นเจ้า จึงทรงเรียกปุโรหิตและคนเลวีมาประชุม แล้วตรัสกับพวกเขาว่า “จงไปยังหัวเมืองต่างๆ ของยูดาห์ และรวบรวมเงินประจำปีจากอิสราเอลทั้งปวง เพื่อการซ่อมแซมพระวิหารของพระเจ้าของท่าน จงลงมือทำเดี๋ยวนี้” แต่คนเลวีไม่ได้ทำตามทันที

ฉะนั้นกษัตริย์ทรงเรียกเยโฮยาดาหัวหน้าปุโรหิตมาถามว่า “ทำไมท่านจึงไม่ออกคำสั่งให้คนเลวีออกไปเก็บภาษีบำรุงพระวิหารจากหัวเมืองต่างๆ ของยูดาห์และกรุงเยรูซาเล็ม? โมเสสผู้รับใช้ขององค์พระผู้เป็นเจ้ากำหนดให้เก็บภาษีนี้จากประชากรอิสราเอลเพื่อบำรุงรักษาเต็นท์แห่งพันธสัญญา”

ก่อนหน้านี้บริวารของพระนางอาธาลิยาห์ผู้ชั่วร้ายได้บุกเข้าไปในพระวิหาร และถึงกับนำของศักดิ์สิทธิ์ไปใช้สำหรับพระบาอัล

โยอาชตรัสสั่งให้ทำหีบใบหนึ่งตั้งไว้ข้างนอกที่ประตูพระวิหารขององค์พระผู้เป็นเจ้า และออกหมายประกาศในยูดาห์และในกรุงเยรูซาเล็ม ให้ประชาชนนำภาษีซึ่งโมเสสผู้รับใช้ของพระเจ้าได้กำหนดให้เก็บจากชนอิสราเอลในถิ่นกันดารมาถวายแด่องค์พระผู้เป็นเจ้า 10 เจ้าหน้าที่และประชากรทั้งปวงต่างยินดีนำเงินมาใส่ไว้ในหีบจนเต็ม 11 เมื่อใดที่คนเลวียกหีบมาพบเจ้าหน้าที่ของกษัตริย์และพวกเขาเห็นว่ามีเงินมาก ราชเลขากับเจ้าหน้าที่ของมหาปุโรหิตจะเก็บเงินออกจากหีบ แล้วนำหีบไปตั้งไว้ที่เดิม พวกเขาทำเช่นนี้สม่ำเสมอจนได้เงินก้อนใหญ่ 12 กษัตริย์และเยโฮยาดามอบเงินนั้นแก่ผู้ควบคุมการก่อสร้างพระวิหารขององค์พระผู้เป็นเจ้า คนเหล่านี้จ้างช่างก่อ ช่างไม้ ช่างเหล็ก และช่างทองสัมฤทธิ์มาซ่อมแซมพระวิหารขององค์พระผู้เป็นเจ้า

13 เจ้าหน้าที่ฝ่ายต่างๆ ปฏิบัติงานอย่างขยันขันแข็ง ดูแลให้งานซ่อมแซมคืบหน้าไป พวกเขาปฏิสังขรณ์พระวิหารตามรูปแบบเดิมและเสริมให้แข็งแกร่งขึ้น 14 เมื่อทุกอย่างเสร็จสิ้น พวกเขานำเงินที่เหลือมามอบแด่กษัตริย์และเยโฮยาดา และใช้ทำเครื่องใช้ไม้สอยต่างๆ สำหรับพระวิหารขององค์พระผู้เป็นเจ้า เครื่องใช้ในพิธีและการถวายเครื่องเผาบูชา รวมทั้งชามและภาชนะเงินและทอง มีการถวายเครื่องเผาบูชาในพระวิหารขององค์พระผู้เป็นเจ้าอย่างสม่ำเสมอตลอดชั่วอายุของปุโรหิตเยโฮยาดา

15 เยโฮยาดามีอายุยืนมาก เขาสิ้นชีวิตเมื่ออายุ 130 ปี 16 เขาถูกฝังไว้รวมกับกษัตริย์องค์ต่างๆ ในเมืองดาวิด เพราะเขาได้บำเพ็ญประโยชน์มากมายในอิสราเอลเพื่อพระเจ้าและเพื่อพระวิหารของพระองค์

ความชั่วร้ายของโยอาช

17 หลังจากเยโฮยาดาสิ้นชีวิต บรรดาเจ้าหน้าที่ของยูดาห์มาถวายบังคมกษัตริย์และพระองค์ทรงฟังพวกเขา 18 พวกเขาพากันละทิ้งพระวิหารของพระยาห์เวห์พระเจ้าของบรรพบุรุษไปกราบไหว้เสาเจ้าแม่อาเชราห์และรูปเคารพต่างๆ พระพิโรธของพระเจ้าจึงตกแก่ยูดาห์และเยรูซาเล็มเนื่องจากความผิดของพวกเขา 19 แม้องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงใช้ผู้เผยพระวจนะมาเพื่อนำพวกเขาหันกลับไปหาพระองค์ และถึงแม้ว่าผู้เผยพระวจนะเหล่านั้นว่ากล่าวตักเตือน แต่พวกเขาก็ไม่ยอมฟัง

20 แล้วพระวิญญาณของพระเจ้าเสด็จลงมาเหนือเศคาริยาห์บุตรปุโรหิตเยโฮยาดา เขายืนอยู่ต่อหน้าประชาชนและกล่าวว่า “พระเจ้าตรัสว่า ‘เหตุใดพวกเจ้าไม่เชื่อฟังพระบัญชาขององค์พระผู้เป็นเจ้า? พวกเจ้าจะไม่เจริญเพราะเจ้าได้ละทิ้งองค์พระผู้เป็นเจ้าพระองค์จึงได้ทรงละทิ้งเจ้า’ ”

21 แต่พวกเขาคบคิดกันกำจัดเศคาริยาห์ พวกเขารุมเอาหินขว้างเศคาริยาห์จนตายในลานพระวิหารขององค์พระผู้เป็นเจ้าตามพระราชโองการของกษัตริย์ 22 กษัตริย์โยอาชไม่ได้ระลึกถึงบุญคุณของเยโฮยาดาบิดาของเศคาริยาห์เลย แต่กลับฆ่าลูกของเขา ขณะจะสิ้นชีวิต เศคาริยาห์กล่าวว่า “ขอองค์พระผู้เป็นเจ้าทอดพระเนตรสิ่งนี้และเรียกร้องความรับผิดชอบจากท่าน”

23 ในปีต่อมา[b]กองทัพอารัมมารบกับโยอาช บุกโจมตียูดาห์และเยรูซาเล็ม สังหารผู้นำทุกคนของประชาชนและนำของที่ยึดมาได้ทั้งหมดกลับไปถวายกษัตริย์ของพวกเขาในเมืองดามัสกัส 24 แม้กองทัพอารัมมีกำลังพลน้อย แต่องค์พระผู้เป็นเจ้าก็ทรงให้พวกเขาชนะกองทัพใหญ่ เพราะยูดาห์ได้ละทิ้งพระยาห์เวห์พระเจ้าของบรรพบุรุษ โยอาชจึงถูกลงโทษ 25 เมื่อชาวอารัมกลับไป ทิ้งให้โยอาชบาดเจ็บสาหัส ข้าราชการของพระองค์คบคิดกันกำจัดโยอาชที่ได้ประหารบุตรของปุโรหิตเยโฮยาดา จึงปลงพระชนม์โยอาชซึ่งบรรทมอยู่บนแท่น แล้วฝังพระศพไว้ในเมืองดาวิด แต่ไม่ใช่ในสุสานหลวง

26 ผู้สมคบกันคือศาบาด[c]บุตรนางชิเมอัทชาวอัมโมน และเยโฮซาบาดบุตรนางชิมริท[d]ชาวโมอับ 27 เรื่องราวเกี่ยวกับโอรสของโยอาช คำพยากรณ์ต่างๆ ว่าด้วยโยอาช และเรื่องราวการซ่อมแซมพระวิหารมีบันทึกไว้ในจดหมายเหตุกษัตริย์องค์ต่างๆ แล้วอามาซิยาห์โอรสของพระองค์ขึ้นครองราชย์แทน

กษัตริย์อามาซิยาห์แห่งยูดาห์(B)

25 เมื่ออามาซิยาห์ขึ้นเป็นกษัตริย์ พระองค์ทรงมีพระชนมายุ 25 พรรษา และทรงครองราชย์อยู่ในกรุงเยรูซาเล็ม 29 ปี ราชมารดา คือเยโฮอัดดีน[e]จากเยรูซาเล็ม อามาซิยาห์ทรงทำสิ่งที่ถูกต้องในสายพระเนตรขององค์พระผู้เป็นเจ้าแต่ไม่ใช่ด้วยสุดใจ ทันทีที่อามาซิยาห์ทรงกุมอำนาจเหนือราชอาณาจักร ก็ทรงประหารชีวิตข้าราชสำนักที่ปลงพระชนม์ราชบิดาซึ่งเป็นกษัตริย์ อามาซิยาห์ไม่ได้ประหารลูกของพวกเขา แต่ปฏิบัติตามพระบัญชาขององค์พระผู้เป็นเจ้าซึ่งระบุไว้ในบทบัญญัติของโมเสสว่า “อย่าประหารบิดาเพราะบาปของบุตร หรือประหารบุตรเพราะบาปของบิดา แต่ละคนจะต้องตายเพราะบาปของตนเอง”[f]

อามาซิยาห์ทรงเรียกชาวยูดาห์มาชุมนุม และมอบหมายให้พวกเขาเป็นผู้บัญชาการกองพันและผู้บัญชาการกองร้อยตามวงศ์ตระกูลของตนทั่วยูดาห์และเบนยามิน จากนั้นระดมพลที่อายุยี่สิบปีขึ้นไปพบว่ามีสามแสนคนซึ่งพร้อมออกรบ สามารถใช้หอกกับโล่ได้ ทั้งยังทรงใช้เงินหนักประมาณ 3.4 ตัน[g] จ้างนักรบจากอิสราเอลหนึ่งแสนคน

แต่คนของพระเจ้ามาทูลอามาซิยาห์ว่า “ข้าแต่กษัตริย์ อย่าให้ทหารจากอิสราเอลร่วมทัพเลย เพราะองค์พระผู้เป็นเจ้าไม่ได้สถิตกับอิสราเอลหรือคนในเผ่าเอฟราอิมเลย ถึงแม้ท่านออกรบอย่างกล้าหาญ พระเจ้าก็จะทรงเหวี่ยงท่านออกไปต่อหน้าศัตรู เพราะพระเจ้าทรงมีอำนาจจะช่วยเหลือหรือจะโค่นล้มก็ได้”

อามาซิยาห์ตรัสถามคนของพระเจ้าว่า “แล้วเงินหนักประมาณ 3.4 ตันที่เราจ่ายไปให้กองทัพอิสราเอลเหล่านี้เล่า?”

คนของพระเจ้าตอบว่า “องค์พระผู้เป็นเจ้าสามารถประทานแก่ท่านมากกว่านั้นมากนัก”

10 ดังนั้นอามาซิยาห์จึงทรงปลดกองทหารที่มาจากเอฟราอิมให้กลับบ้านไป ซึ่งทำให้พวกเขาโกรธแค้นยูดาห์และกลับบ้านไปด้วยความเกรี้ยวกราด

11 แล้วอามาซิยาห์ทรงรวบรวมพลและนำทัพไปยังหุบเขาเกลือ สังหารชาวเสอีร์หนึ่งหมื่นคน 12 กองทัพยูดาห์จับเป็นชาวเสอีร์อีกหนึ่งหมื่นคน แล้วนำพวกเขาขึ้นไปบนยอดผาและโยนลงมาให้แหลกเป็นชิ้นๆ

13 ส่วนกองทหารรับจ้างซึ่งถูกส่งกลับบ้านโดยไม่ได้ร่วมรบก็บุกปล้นเมืองต่างๆ ของยูดาห์ จากสะมาเรียถึงเบธโฮโรน พวกเขาฆ่าผู้คนสามพันคน และริบเอาข้าวของไปเป็นอันมาก

14 เมื่ออามาซิยาห์เสด็จกลับมาจากการฆ่าฟันคนเอโดม พระองค์ทรงนำเทวรูปต่างๆ ของชาวเสอีร์มาสถาปนาขึ้นเป็นเทพเจ้าของพระองค์ ทรงหมอบกราบและเผาเครื่องบูชาถวายแก่เทวรูปเหล่านั้น 15 องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงพระพิโรธอามาซิยาห์ยิ่งนัก จึงทรงใช้ผู้เผยพระวจนะมาถามว่า “เหตุใดเจ้าจึงไปหาพระต่างๆ ของชนชาตินี้ ซึ่งไม่อาจแม้แต่ช่วยคนของตัวให้พ้นมือเจ้าได้?”

16 ขณะที่ผู้เผยพระวจนะกำลังพูดอยู่ กษัตริย์ตรัสโต้ตอบว่า “เราได้แต่งตั้งเจ้าให้เป็นที่ปรึกษาของกษัตริย์ตั้งแต่เมื่อใด? เงียบนะ! จะให้เราฆ่าเจ้าทำไม?”

ผู้เผยพระวจนะจึงหยุดแต่กล่าวว่า “ข้าพเจ้าทราบว่าพระเจ้าตกลงพระทัยจะทำลายท่านแล้วเพราะท่านทำอย่างนี้ และไม่รับฟังคำแนะนำของข้าพเจ้า”

17 ต่อมากษัตริย์อามาซิยาห์แห่งยูดาห์ทรงหารือกับคณะที่ปรึกษา แล้วส่งคำท้าทายไปยังกษัตริย์เยโฮอาช[h]แห่งอิสราเอล โอรสของเยโฮอาหาสโอรสของเยฮูว่า “จงออกมาเผชิญหน้ากัน”

18 แต่กษัตริย์เยโฮอาชแห่งอิสราเอลทรงตอบกษัตริย์อามาซิยาห์แห่งยูดาห์ว่า “ต้นหนามในเลบานอนส่งข่าวมาถึงต้นสนซีดาร์ในเลบานอนว่า ‘ยกลูกสาวของท่านให้แต่งงานกับลูกชายของข้าพเจ้าเถิด’ แล้วมีสัตว์ป่าตัวหนึ่งในเลบานอนมาเหยียบย่ำต้นหนามนั้นป่นปี้ 19 ท่านพิชิตเอโดมได้ก็เลยผยอง แต่จงอยู่กับบ้าน! จะแกว่งเท้าหาเสี้ยนไปทำไม ทำไมหาเรื่องให้ตัวท่านเองและยูดาห์ย่อยยับไปด้วย?”

20 แต่อามาซิยาห์ไม่ทรงฟัง เพราะพระเจ้าทรงเตรียมมอบพวกเขาให้กับเยโฮอาช เนื่องจากพวกเขาหันไปหาพระต่างๆ ของเอโดม 21 กษัตริย์เยโฮอาชแห่งอิสราเอลจึงทรงบุกเข้าโจมตี และมาเผชิญหน้ากับกษัตริย์อามาซิยาห์แห่งยูดาห์ที่เบธเชเมชในยูดาห์ 22 แล้วยูดาห์ก็ถูกอิสราเอลรุกไล่ ทุกคนพ่ายหนีกลับบ้านของตน 23 กษัตริย์เยโฮอาชแห่งอิสราเอลทรงจับกุมกษัตริย์อามาซิยาห์แห่งยูดาห์ ซึ่งเป็นโอรสของโยอาชผู้เป็นโอรสอาหัสยาห์[i]ได้ที่เบธเชเมช แล้วนำตัวมายังกรุงเยรูซาเล็ม เยโฮอาชทรงทลายกำแพงเมืองเยรูซาเล็มตั้งแต่ประตูเอฟราอิมจนถึงประตูมุมเป็นระยะทาง 400 ศอก[j] 24 พระองค์ทรงริบเงินและทองทั้งหมด ตลอดจนเครื่องใช้ไม้สอยทุกชิ้นที่พบในพระวิหารของพระเจ้าซึ่งโอเบดเอโดมดูแลรับผิดชอบอยู่ พร้อมทั้งริบทรัพย์สมบัติจากพระราชวังและจากตัวประกัน แล้วเสด็จกลับสะมาเรีย

25 อามาซิยาห์โอรสกษัตริย์โยอาชแห่งยูดาห์ทรงมีพระชนม์อยู่ต่อไปอีกสิบห้าปีหลังจากเยโฮอาชโอรสกษัตริย์เยโฮอาหาสแห่งอิสราเอลสิ้นพระชนม์ 26 เหตุการณ์อื่นๆ ในรัชกาลอามาซิยาห์ตั้งแต่ต้นจนจบมีบันทึกไว้ในจดหมายเหตุกษัตริย์แห่งยูดาห์และอิสราเอลไม่ใช่หรือ? 27 ตั้งแต่อามาซิยาห์หันเหจากการติดตามองค์พระผู้เป็นเจ้า มีผู้คิดร้ายหมายปลงพระชนม์อามาซิยาห์ในกรุงเยรูซาเล็ม พระองค์จึงเสด็จหนีไปยังเมืองลาคีช แต่ผู้คิดร้ายเหล่านั้นส่งคนตามไปปลงพระชนม์พระองค์ที่นั่น 28 พระศพถูกนำขึ้นหลังม้ากลับมา และถูกฝังไว้กับบรรพบุรุษของพระองค์ในนครแห่งยูดาห์

กษัตริย์อุสซียาห์แห่งยูดาห์(C)

26 แล้วชาวยูดาห์ทั้งปวงก็แต่งตั้งอุสซียาห์[k]ผู้มีพระชนมายุสิบหกพรรษา ขึ้นเป็นกษัตริย์แทนอามาซิยาห์ราชบิดา หลังจากอามาซิยาห์ทรงล่วงลับไปอยู่กับบรรพบุรุษ อุสซียาห์ทรงสร้างเมืองเอลัทขึ้นใหม่และกู้คืนมาเป็นของยูดาห์

เมื่ออุสซียาห์ขึ้นเป็นกษัตริย์ทรงมีพระชนมายุสิบหกพรรษา และทรงครองราชย์อยู่ในกรุงเยรูซาเล็ม 52 ปี ราชมารดาคือเยโคลียาห์จากเยรูซาเล็ม อุสซียาห์ทรงทำสิ่งที่ถูกต้องในสายพระเนตรขององค์พระผู้เป็นเจ้าเช่นเดียวกับอามาซิยาห์ราชบิดา พระองค์ทรงแสวงหาพระเจ้าตลอดชั่วอายุของเศคาริยาห์ผู้อบรมสั่งสอนให้ทรงยำเกรงพระเจ้า[l] และตราบเท่าที่พระองค์ทรงแสวงหาพระยาห์เวห์ พระเจ้าก็ประทานความสำเร็จให้กับพระองค์

อุสซียาห์ทรงรบกับชาวฟีลิสเตีย ทรงทลายกำแพงเมืองกัท ยับเนห์ และอัชโดด จากนั้นทรงสร้างเมืองต่างๆ ในย่านอัชโดด และในภูมิภาคอื่นๆ ของฟีลิสเตีย พระเจ้าทรงช่วยอุสซียาห์ในการรบกับชาวฟีลิสเตีย ชาวอาหรับซึ่งอาศัยอยู่ในเมืองกูร์บาอัล และชาวเมอูนี ชาวอัมโมนมาถวายเครื่องบรรณาการแด่อุสซียาห์ และกิตติศัพท์ของพระองค์เลื่องลือไปถึงอียิปต์ เพราะทรงมีอำนาจมาก

อุสซียาห์ทรงสร้างหอคอยในกรุงเยรูซาเล็มที่ประตูมุม ประตูหุบเขา และที่มุมกำแพงและทรงทำให้หอคอยเหล่านั้นแข็งแกร่ง 10 ทั้งทรงสร้างหอคอยในถิ่นกันดารและขุดบ่อเก็บน้ำหลายแห่ง เพราะทรงมีฝูงปศุสัตว์มากมายทั้งแถบเชิงเขาและตามที่ราบ และทรงให้คนทำงานในไร่นาและสวนองุ่นทั้งหลายทั้งที่อยู่บนเนินเขาและในดินแดนอุดมต่างๆ เพราะพระองค์ทรงรักการเกษตร

11 อุสซียาห์ทรงมีกองทัพที่ผ่านการฝึกฝนมาอย่างดีและพร้อมออกรบ แบ่งเป็นกองตามกำลังพล ผู้ระดมพลคือราชเลขาเยอีเอล และมาอาเสอาห์เจ้าหน้าที่ภายใต้การบัญชาการของฮานันยาห์ ซึ่งเป็นข้าราชสำนักคนหนึ่ง 12 มีผู้นำครอบครัวทั้งสิ้น 2,600 คนคอยดูแลนักรบ 13 กองทัพที่อยู่ภายใต้การบัญชาการของพวกเขาประกอบด้วยทหาร 307,500 คน ผ่านการฝึกฝนมาอย่างดี เป็นแสนยานุภาพไว้ต่อกรกับศัตรูของกษัตริย์ 14 อุสซียาห์ทรงจัดหาโล่ หอก หมวกเหล็ก เสื้อเกราะ ธนู และสลิงให้ทั้งกองทัพ 15 และทรงผลิตเครื่องกลสู้รบขึ้นในกรุงเยรูซาเล็ม ซึ่งประดิษฐ์โดยผู้เชี่ยวชาญ ใช้ยิงธนูและหินก้อนมหึมาจากหอคอยและมุมกำแพง พระองค์ทรงมีชื่อเสียงเลื่องลือเพราะพระเจ้าทรงช่วยเหลืออุสซียาห์อย่างเหลือล้นจนพระองค์ทรงมีอำนาจยิ่งใหญ่

16 แต่เมื่ออุสซียาห์เรืองอำนาจ ความเย่อหยิ่งลืมตนก็นำพระองค์ไปสู่ความตกต่ำ อุสซียาห์ไม่ซื่อสัตย์ต่อพระยาห์เวห์พระเจ้าของพระองค์ และล่วงล้ำเข้าไปในพระวิหารขององค์พระผู้เป็นเจ้าเพื่อเผาเครื่องหอมบนแท่น 17 ปุโรหิตอาซาริยาห์ตามเข้ามาพร้อมด้วยปุโรหิตผู้กล้าหาญขององค์พระผู้เป็นเจ้าอีกแปดสิบคน 18 เขาเหล่านั้นทูลทัดทานว่า “ข้าแต่อุสซียาห์ ไม่ใช่หน้าที่ของฝ่าพระบาทที่จะมาเผาเครื่องหอมถวายองค์พระผู้เป็นเจ้า แต่เป็นงานของปุโรหิตวงศ์วานอาโรนซึ่งผ่านการชำระตนเพื่อเผาเครื่องหอม ขอทรงเสด็จออกไปจากสถานนมัสการนี้เถิด เพราะฝ่าพระบาทไม่ซื่อสัตย์แล้ว และพระเจ้าพระยาห์เวห์จะไม่เชิดชูฝ่าพระบาทที่ทำเช่นนี้”

19 อุสซียาห์ซึ่งถือกระถางไฟพร้อมที่จะเผาเครื่องหอมได้ยินดังนั้นก็โกรธ และเมื่อพระองค์เกรี้ยวกราดใส่ปุโรหิตที่หน้าแท่นเผาเครื่องหอมในพระวิหารขององค์พระผู้เป็นเจ้า โรคเรื้อน[m]ก็ปรากฏขึ้นที่หน้าผากของพระองค์ 20 เมื่อหัวหน้าปุโรหิตอาซาริยาห์และปุโรหิตอื่นๆ เห็นโรคเรื้อนบนหน้าผากของพระองค์ก็ผลักไสพระองค์ออกไป อันที่จริงอุสซียาห์เองก็ร้อนพระทัยจะออกไปอยู่แล้วเพราะถูกองค์พระผู้เป็นเจ้าลงโทษ

21 กษัตริย์อุสซียาห์ทรงเป็นโรคเรื้อนจนสิ้นพระชนม์ และประทับแยกอยู่ในพระตำหนักต่างหาก[n] ถูกตัดขาดจากพระวิหารขององค์พระผู้เป็นเจ้า โยธามราชโอรสของพระองค์ทรงดูแลพระราชวังและปกครองประชาชนในแผ่นดินนั้น

22 เหตุการณ์อื่นๆ ในรัชกาลอุสซียาห์ตั้งแต่ต้นจนจบมีบันทึกไว้โดยผู้เผยพระวจนะอิสยาห์บุตรอาโมศ 23 อุสซียาห์ทรงล่วงลับไปอยู่กับบรรพบุรุษ พระศพถูกฝังไว้ในทุ่งที่ใช้ฝังศพซึ่งเป็นของกษัตริย์ เพราะประชาชนกล่าวว่า “พระองค์ทรงเป็นโรคเรื้อน” แล้วโยธามโอรสของพระองค์ขึ้นครองราชย์แทน

กษัตริย์โยธามแห่งยูดาห์(D)

27 เมื่อโยธามขึ้นเป็นกษัตริย์ พระองค์ทรงมีพระชนมายุ 25 พรรษา ทรงครองราชย์อยู่ในกรุงเยรูซาเล็มสิบหกปี ราชมารดาคือเยรูชาธิดาของศาโดก โยธามทรงทำสิ่งที่ถูกต้องในสายพระเนตรขององค์พระผู้เป็นเจ้าเช่นเดียวกับอุสซียาห์ราชบิดา แต่ไม่ได้ล่วงล้ำเข้าไปในพระวิหารขององค์พระผู้เป็นเจ้าเหมือนอุสซียาห์ ส่วนประชาชนยังคงประพฤติตัวเสื่อมทรามต่อไป โยธามทรงบูรณะประตูบนของพระวิหารขององค์พระผู้เป็นเจ้าขึ้นใหม่ ทั้งได้ต่อเติมกำแพงบนเนินเขาแห่งโอเฟล ทรงสร้างเมืองต่างๆ บนเนินเขาของยูดาห์ และตั้งป้อมกับหอคอยต่างๆ ในเขตป่าไม้

โยธามทรงรบชนะกษัตริย์ของชาวอัมโมน ในปีนั้นโยธามจึงได้รับเครื่องบรรณาการประจำปีจากชาวอัมโมนเป็นเงินหนักประมาณ 3.4 ตัน[o] ข้าวสาลีประมาณ 2,200 กิโลลิตร[p] และข้าวบาร์เลย์ประมาณ 2,200 กิโลลิตร และชาวอัมโมนได้ถวายเครื่องบรรณาการจำนวนเท่าเดิมในปีที่สองและสามด้วย

โยธามทรงเรืองอำนาจเพราะทรงดำเนินตามพระยาห์เวห์พระเจ้าของพระองค์อย่างแน่วแน่

เหตุการณ์อื่นๆ ในรัชกาลของโยธาม รวมทั้งสงครามและพระราชกิจทั้งปวงมีบันทึกไว้ในจดหมายเหตุกษัตริย์แห่งอิสราเอลและยูดาห์ เมื่อโยธามขึ้นครองราชย์ พระองค์ทรงมีพระชนมายุ 25 พรรษา และทรงครองราชย์อยู่ในกรุงเยรูซาเล็มสิบหกปี โยธามทรงล่วงลับไปอยู่กับบรรพบุรุษและถูกฝังไว้ในเมืองดาวิด จากนั้นอาหัสโอรสของพระองค์ขึ้นครองราชย์แทน

กษัตริย์อาหัสแห่งยูดาห์(E)

28 เมื่ออาหัสขึ้นเป็นกษัตริย์ พระองค์ทรงมีพระชนมายุยี่สิบพรรษา และทรงครองราชย์อยู่ในกรุงเยรูซาเล็มสิบหกปี พระองค์ไม่ได้ทรงทำสิ่งที่ถูกต้องในสายพระเนตรขององค์พระผู้เป็นเจ้าเหมือนที่ดาวิดผู้เป็นบรรพบุรุษเคยทำ แต่ทรงทำตามอย่างกษัตริย์ทั้งหลายของอิสราเอล ทั้งยังทรงหล่อรูปเคารพต่างๆ สำหรับบูชาพระบาอัล อาหัสเผาเครื่องบูชาในหุบเขาเบนฮินโนม และนำโอรสของพระองค์มาเผาบูชายัญตามแบบอย่างอันน่าชิงชังของชนชาติต่างๆ ที่องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงขับไล่ออกไปให้พ้นหน้าชาวอิสราเอล อาหัสถวายเครื่องบูชาและเผาเครื่องหอมตามสถานบูชาบนที่สูงทั้งหลาย บนเนินเขาต่างๆ และใต้ต้นไม้ใหญ่ทุกต้น

ฉะนั้นพระยาห์เวห์พระเจ้าของพระองค์ทรงมอบอาหัสไว้ในมือของกษัตริย์แห่งอารัม ชาวอารัมเข้ามาพิชิตและจับประชาชนจำนวนมากไปเป็นเชลยที่ดามัสกัส

พระเจ้ายังทรงมอบอาหัสไว้ในมือของกษัตริย์อิสราเอลด้วย ทำให้ต้องสูญเสียกำลังพลมากมาย ภายในวันเดียวเปคาห์บุตรเรมาลิยาห์ฆ่าทหารยูดาห์ถึง 120,000 คน เพราะยูดาห์ละทิ้งพระยาห์เวห์พระเจ้าของบรรพบุรุษของพวกเขา ศิครีนักรบจากเอฟราอิมสังหารมาอาเสอาห์โอรสของอาหัส อัสรีคัมเจ้ากรมวัง และอุปราชเอลคานาห์ กองทัพอิสราเอลจับภรรยา บุตรชาย และบุตรสาวของญาติพี่น้องชาวยูดาห์สองแสนคนไปเป็นเชลย และยึดข้าวของจำนวนมากกลับไปสะมาเรีย

แต่โอเดดผู้เผยพระวจนะขององค์พระผู้เป็นเจ้าอยู่ที่นั่น และออกมาต้อนรับกองทัพซึ่งกลับมายังสะมาเรีย เขากล่าวกับคนเหล่านั้นว่า “พระยาห์เวห์พระเจ้าของบรรพบุรุษของท่านทรงพระพิโรธยูดาห์ จึงทรงมอบพวกเขาไว้ในมือพวกท่าน แต่ท่านได้สังหารพวกเขาอย่างโหดเหี้ยมจนสะเทือนไปถึงฟ้าสวรรค์ 10 และบัดนี้ท่านตั้งใจจะจับตัวชายหญิงชาวยูดาห์และชาวเยรูซาเล็มเหล่านี้มาเป็นทาส พวกท่านไม่ได้ทำบาปต่อพระยาห์เวห์พระเจ้าของพวกท่านด้วยหรือ? 11 จงฟังข้าพเจ้า! จงส่งพี่น้องร่วมชาติที่ท่านจับมาเป็นเชลยกลับไป เพราะพระพิโรธอันรุนแรงขององค์พระผู้เป็นเจ้าตกอยู่แก่ท่านแล้ว”

12 ผู้นำบางคนของเอฟราอิมได้แก่ อาซาริยาห์บุตรเยโฮฮานัน เบเรคิยาห์บุตรเมชิลเลโมท เยฮิสคียาห์บุตรชัลลูม และอามาสาบุตรหัดลัย เผชิญหน้ากับพวกที่กลับมาจากการรบ 13 และกล่าวว่า “อย่านำพวกเชลยมาที่นี่ มิฉะนั้นเราจะมีความผิดต่อหน้าองค์พระผู้เป็นเจ้า ท่านจงใจจะเพิ่มบาปผิดของเราให้หนักขึ้นไปอีกหรือ? เพราะความผิดของเราก็หนักหนาอยู่แล้ว และพระพิโรธอันรุนแรงของพระเจ้าก็ตกแก่อิสราเอลแล้ว”

14 ดังนั้นพวกทหารจึงปล่อยเชลยและคืนข้าวของที่ริบมาต่อหน้าบรรดาเจ้าหน้าที่และประชากรทั้งปวง 15 คนทั้งสี่ที่เอ่ยนามมาแล้วนั้นก็แจกจ่ายเสื้อผ้าที่ยึดมาได้ให้แก่เชลยทุกคนที่เปลือยกายอยู่ ให้เสื้อผ้า รองเท้า อาหาร เครื่องดื่ม และยาสมานแผล คนที่อ่อนแอก็ให้นั่งบนหลังลา จากนั้นพวกเขานำเหล่าเชลยกลับไปหาพี่น้องร่วมชาติที่เยรีโคเมืองแห่งต้นอินทผลัม แล้วพวกเขากลับมายังสะมาเรีย

16 ครั้งนั้นกษัตริย์อาหัสส่งคนไปขอความช่วยเหลือจากกษัตริย์[q]อัสซีเรีย 17 ชาวเอโดมมารุกรานยูดาห์อีก และกวาดต้อนผู้คนไปเป็นเชลย 18 ขณะเดียวกันชาวฟีลิสเตียก็ปล้นเมืองต่างๆ แถบเชิงเขากับในเนเกบแห่งยูดาห์และยึดครองเมืองเบธเชเมช อัยยาโลน เกเดโรท โสโค ทิมนาห์ และกิมโซกับหมู่บ้านโดยรอบของเมืองเหล่านี้ 19 องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงกระทำให้ยูดาห์ตกต่ำเนื่องจากกษัตริย์อาหัสแห่งอิสราเอล[r] เพราะอาหัสส่งเสริมความชั่วร้ายในยูดาห์ และไม่ซื่อสัตย์ต่อองค์พระผู้เป็นเจ้าอย่างมากที่สุด 20 กษัตริย์ทิกลัทปิเลเสอร์[s]แห่งอัสซีเรียมาหาพระองค์ก็จริง แต่มาสร้างความเดือดร้อนแทนที่จะช่วย 21 อาหัสทรงนำทรัพย์สิ่งของจากพระวิหารขององค์พระผู้เป็นเจ้าจากพระราชวัง และจากเจ้านายองค์ต่างๆ มามอบให้แก่กษัตริย์อัสซีเรีย แต่ก็ช่วยอะไรไม่ได้

22 ในยามเดือดร้อนลำเค็ญเช่นนี้ กษัตริย์อาหัสยิ่งไม่ซื่อสัตย์ต่อองค์พระผู้เป็นเจ้า 23 พระองค์ทรงถวายเครื่องบูชาแก่บรรดาเทพเจ้าแห่งดามัสกัสซึ่งรบชนะพระองค์ เพราะคิดว่า “พระเหล่านี้ได้ช่วยเหลือเหล่ากษัตริย์อารัม เราก็จะถวายเครื่องบูชาให้ด้วยเพื่อพระจะได้ช่วยเหลือเราบ้าง” แต่พระเหล่านี้คือหายนะของพระองค์กับอิสราเอลทั้งปวง

24 อาหัสทรงรวบรวมภาชนะต่างๆ จากพระวิหารของพระเจ้าและนำออกไป[t] ทรงปิดประตูพระวิหารขององค์พระผู้เป็นเจ้า และตั้งแท่นบูชาไว้ทุกหัวมุมถนนในกรุงเยรูซาเล็ม 25 ทรงสร้างสถานบูชาบนที่สูงในทุกเมืองของยูดาห์ เพื่อเผาเครื่องบูชาแด่พระต่างๆ เป็นการยั่วยุพระพิโรธของพระยาห์เวห์พระเจ้าของบรรพบุรุษของพระองค์

26 เหตุการณ์อื่นๆ ในรัชกาลและพระราชกิจทั้งปวงตั้งแต่ต้นจนจบมีบันทึกไว้ในจดหมายเหตุกษัตริย์แห่งยูดาห์และอิสราเอล 27 อาหัสทรงล่วงลับไปอยู่กับบรรพบุรุษ พระศพถูกฝังไว้ในกรุงเยรูซาเล็ม แต่ไม่ใช่ในสุสานหลวงของกษัตริย์แห่งอิสราเอล แล้วเฮเซคียาห์โอรสของพระองค์ขึ้นครองราชย์แทน

เฮเซคียาห์ทรงชำระพระวิหาร(F)

29 เมื่อเฮเซคียาห์ขึ้นเป็นกษัตริย์ พระองค์ทรงมีพระชนมายุ 25 พรรษา และทรงครองราชย์อยู่ในกรุงเยรูซาเล็ม 29 ปี ราชมารดาคืออาบียาห์ธิดาของเศคาริยาห์ พระองค์ทรงทำสิ่งที่ถูกต้องในสายพระเนตรขององค์พระผู้เป็นเจ้าเหมือนที่ดาวิดบรรพบุรุษได้ทำ

ในเดือนแรกของปีที่หนึ่งแห่งรัชกาลเฮเซคียาห์ พระองค์ทรงเปิดประตูพระวิหารขององค์พระผู้เป็นเจ้า และซ่อมแซมเสียใหม่ พระองค์ทรงเรียกปุโรหิตกับคนเลวีมาประชุมที่ลานกลางแจ้งด้านตะวันออก และตรัสว่า “ฟังเถิดชาวเลวีทั้งหลาย บัดนี้จงชำระตนให้บริสุทธิ์ และชำระพระวิหารของพระยาห์เวห์พระเจ้าของบรรพบุรุษของพวกท่าน จงขจัดมลทินทั้งปวงจากสถานนมัสการ บรรพบุรุษของเราไม่ซื่อสัตย์ ทำสิ่งที่ชั่วในสายพระเนตรของพระยาห์เวห์พระเจ้าของเราและละทิ้งพระองค์ พวกเขาหันหน้าหนีจากที่ประทับขององค์พระผู้เป็นเจ้าและหันหลังให้พระองค์ พวกเขาปิดประตูมุขพระวิหาร ดับประทีป ไม่เผาเครื่องหอมหรือถวายเครื่องเผาบูชาใดๆ ในสถานนมัสการแด่พระเจ้าแห่งอิสราเอล ฉะนั้นพระพิโรธขององค์พระผู้เป็นเจ้าจึงตกแก่ยูดาห์และเยรูซาเล็ม พระเจ้าทรงทำให้พวกเขาเป็นที่น่าขยะแขยง น่าสยดสยอง และน่าเหยียดหยาม ดังที่ท่านเห็นกับตา บรรพบุรุษของเราถูกฆ่าตายในสงคราม ลูกชายลูกสาวและภรรยาของเราถูกจับไปเป็นเชลยก็เพราะเหตุนี้ 10 บัดนี้ข้าพเจ้าตั้งใจจะทำพันธสัญญากับพระยาห์เวห์พระเจ้าแห่งอิสราเอล เพื่อพระพิโรธอันรุนแรงของพระองค์จะหันเหไปจากเราทั้งหลาย 11 ลูกๆ เอ๋ย อย่าละเลยหน้าที่ของท่าน เพราะองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงเลือกท่านให้ยืนอยู่ต่อหน้าพระองค์และรับใช้พระองค์ ปฏิบัติหน้าที่ต่อหน้าพระองค์และเผาเครื่องหอมถวาย”

12 ชนเลวีจึงเข้าปฏิบัติงาน

จากตระกูลโคฮาท ได้แก่

มาฮาทบุตรอามาสัยกับโยเอลบุตรอาซาริยาห์

จากตระกูลเมรารี ได้แก่

คีชบุตรอับดีกับอาซาริยาห์บุตรเยฮาลเลเลล

จากตระกูลเกอร์โชน ได้แก่

โยอาห์บุตรศิมมาห์กับเอเดนบุตรโยอาห์

13 จากวงศ์วานเอลีซาฟาน ได้แก่

ชิมรีกับเยอีเอล

จากวงศ์วานอาสาฟ ได้แก่

เศคาริยาห์กับมัททานิยาห์

14 จากวงศ์วานเฮมาน ได้แก่

เยฮีเอลกับชิเมอี

จากวงศ์วานเยดูธูน ได้แก่

เชไมอาห์กับอุสซีเอล

15 เมื่อคนเหล่านี้ได้เรียกพวกพี่น้องของตนมาชุมนุมและชำระตัวแล้ว พวกเขาก็เริ่มชำระพระวิหารขององค์พระผู้เป็นเจ้าให้บริสุทธิ์ตามพระบัญชาของกษัตริย์ ซึ่งปฏิบัติตามพระดำรัสขององค์พระผู้เป็นเจ้า 16 บรรดาปุโรหิตเข้าไปชำระสถานนมัสการขององค์พระผู้เป็นเจ้า พวกเขานำเอาสิ่งที่เป็นมลทินทั้งปวงที่พบในพระวิหารขององค์พระผู้เป็นเจ้าออกมาที่ลานพระวิหารขององค์พระผู้เป็นเจ้า ให้คนเลวีขนไปทิ้งที่หุบเขาขิดโรน 17 พวกเขาเริ่มชำระพระวิหารเมื่อวันที่หนึ่งเดือนที่หนึ่ง และในวันที่แปดของเดือนนั้นก็ชำระออกมาถึงหน้ามุขขององค์พระผู้เป็นเจ้า ใช้เวลาอีกแปดวันในการชำระพระวิหารขององค์พระผู้เป็นเจ้า งานทั้งหมดจึงเสร็จสิ้นในวันที่สิบหกของเดือนที่หนึ่ง

18 แล้วพวกเขากลับมาทูลรายงานกษัตริย์เฮเซคียาห์ว่า “ข้าพระบาททั้งหลายได้ชำระพระวิหารขององค์พระผู้เป็นเจ้าทั้งหมด ตลอดจนแท่นเผาบูชาและอุปกรณ์ใช้สอยต่างๆ โต๊ะวางขนมปังเบื้องพระพักตร์ และเครื่องใช้ไม้สอยทุกชิ้นเรียบร้อยแล้ว 19 ทั้งได้เตรียมและชำระเครื่องใช้ไม้สอยทุกชิ้นที่กษัตริย์อาหัสย้ายออกไป เพราะพระองค์ไม่ซื่อสัตย์ต่อพระเจ้าในขณะที่พระองค์ทรงเป็นกษัตริย์ บัดนี้ของเหล่านั้นอยู่หน้าแท่นบูชาขององค์พระผู้เป็นเจ้าแล้ว”

20 เช้าตรู่วันรุ่งขึ้นกษัตริย์เฮเซคียาห์เสด็จเข้าสู่พระวิหารขององค์พระผู้เป็นเจ้าพร้อมด้วยบรรดาเจ้าหน้าที่ของเมืองนั้น 21 ทรงนำวัวผู้เจ็ดตัว แกะผู้เจ็ดตัว ลูกแกะตัวผู้เจ็ดตัว และแพะผู้เจ็ดตัว มาเป็นเครื่องบูชาไถ่บาปสำหรับราชอาณาจักร สำหรับสถานนมัสการ และสำหรับยูดาห์ กษัตริย์ทรงบัญชาให้บรรดาปุโรหิตวงศ์วานของอาโรนถวายสัตว์เหล่านั้นบนแท่นบูชาขององค์พระผู้เป็นเจ้า 22 พวกเขาจึงฆ่าวัวผู้ แล้วปุโรหิตนำเลือดไปประพรมบนแท่นบูชา และจากนั้นฆ่าแกะผู้แล้วประพรมเลือดบนแท่นบูชา จากนั้นฆ่าลูกแกะแล้วประพรมเลือดบนแท่นบูชา 23 แพะผู้สำหรับเป็นเครื่องบูชาไถ่บาปถูกนำออกมาต่อหน้ากษัตริย์และชุมนุมประชากร แล้วพวกเขาวางมือลงบนแพะเหล่านั้น 24 จากนั้นปุโรหิตก็ฆ่าแพะ เอาเลือดประพรมบนแท่นเพื่อเป็นเครื่องบูชาไถ่บาป เพื่อลบบาปให้กับอิสราเอลทั้งปวง เพราะกษัตริย์ทรงบัญชาให้ถวายเครื่องเผาบูชาและเครื่องบูชาไถ่บาปสำหรับอิสราเอลทั้งหมด

25 เฮเซคียาห์ทรงตั้งคนเลวีประจำหน้าที่ในพระวิหารขององค์พระผู้เป็นเจ้า ให้บรรเลงฉาบ พิณใหญ่ และพิณเขาคู่ตามที่ดาวิดและกาดผู้ทำนายของกษัตริย์และผู้เผยพระวจนะนาธันได้กำหนดไว้ องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงบัญชาเช่นนี้ผ่านทางผู้เผยพระวจนะของพระองค์ 26 คนเลวีจึงเข้าประจำที่เตรียมบรรเลงเครื่องดนตรีที่ดาวิดทำขึ้น ส่วนปุโรหิตก็เข้าประจำที่เตรียมเป่าแตร

27 เฮเซคียาห์ทรงบัญชาให้ถวายเครื่องเผาบูชาบนแท่น และเมื่อเริ่มการถวาย ก็เริ่มร้องสรรเสริญองค์พระผู้เป็นเจ้าคลอด้วยเสียงแตรและเครื่องดนตรีของกษัตริย์ดาวิดแห่งอิสราเอล 28 ขณะที่นักร้องขับร้องและนักดนตรีเป่าแตร ชุมนุมประชากรทั้งสิ้นก็น้อมกราบนมัสการ เป็นเช่นนี้จนกระทั่งถวายเครื่องเผาบูชาเสร็จ

29 เมื่อถวายเครื่องบูชาเสร็จแล้ว กษัตริย์และคนที่อยู่กับพระองค์ก็คุกเข่าลงกราบนมัสการ 30 แล้วกษัตริย์เฮเซคียาห์และขุนนางสั่งให้คนเลวีสรรเสริญองค์พระผู้เป็นเจ้าด้วยบทสดุดีของดาวิดและของผู้ทำนายอาสาฟ ดังนั้นพวกเขาจึงร้องเพลงสรรเสริญด้วยความยินดีและก้มกราบนมัสการ

31 แล้วเฮเซคียาห์ตรัสว่า “บัดนี้ท่านทั้งหลายได้ถวายตัวแด่องค์พระผู้เป็นเจ้าแล้ว จงนำของถวายและเครื่องบูชาขอบพระคุณมายังพระวิหารขององค์พระผู้เป็นเจ้าเถิด” ดังนั้นประชากรจึงนำของถวายและเครื่องบูชาขอบพระคุณมาถวาย และทุกคนที่เต็มใจก็นำเครื่องเผาบูชามาถวายด้วย

32 เครื่องเผาบูชาซึ่งประชากรนำมาถวายมีดังนี้คือ วัวผู้เจ็ดสิบตัว แกะผู้หนึ่งร้อยตัว และลูกแกะตัวผู้สองร้อยตัว ทั้งหมดนี้เป็นเครื่องเผาบูชาแด่องค์พระผู้เป็นเจ้า 33 จำนวนสัตว์ที่ชำระถวายเป็นเครื่องบูชาได้แก่ วัวผู้หกร้อยตัว แกะและแพะสามพันตัว 34 แต่มีปุโรหิตน้อยเกินไปสำหรับการถลกหนังสัตว์ที่เป็นเครื่องเผาบูชาทั้งหมด ฉะนั้นคนเลวีซึ่งเป็นพี่น้องของปุโรหิตจึงช่วยเหลือจนเสร็จ และจนปุโรหิตอื่นๆ ชำระตนแล้ว ทั้งนี้เพราะคนเลวีเคร่งครัดในการชำระตนมากกว่าปุโรหิต 35 มีเครื่องเผาบูชามากมาย พร้อมทั้งไขมันของเครื่องสันติบูชา และเครื่องดื่มบูชาควบคู่เครื่องเผาบูชา

ดังนั้นการนมัสการในพระวิหารขององค์พระผู้เป็นเจ้าได้รับการฟื้นฟูขึ้นอีกครั้ง 36 เฮเซคียาห์และมวลประชากรชื่นชมยินดีในสิ่งที่พระเจ้าทรงกระทำเพื่อประชากรของพระองค์ เพราะทุกอย่างเสร็จสิ้นอย่างรวดเร็ว

เฮเซคียาห์ฉลองปัสกา

30 เฮเซคียาห์ทรงแจ้งไปทั่วแดนอิสราเอลกับยูดาห์ และส่งสาส์นไปยังเอฟราอิมกับมนัสเสห์ เชื้อเชิญทุกคนให้มายังพระวิหารขององค์พระผู้เป็นเจ้าที่กรุงเยรูซาเล็ม เพื่อฉลองเทศกาลปัสกาถวายแด่พระยาห์เวห์พระเจ้าแห่งอิสราเอล กษัตริย์เฮเซคียาห์ ข้าราชบริพาร และประชากรทั้งปวงในเยรูซาเล็มกำหนดให้ฉลองปัสกาในเดือนที่สอง พวกเขาไม่สามารถเฉลิมฉลองตามกำหนดเดิมได้ เพราะปุโรหิตที่ชำระตนแล้วมีไม่เพียงพอและประชาชนยังไม่ได้มาชุมนุมกันที่กรุงเยรูซาเล็ม กษัตริย์และเหล่าประชากรต่างเห็นชอบกับมตินี้ จึงมีการประกาศไปทั่วอิสราเอลจากเมืองเบเออร์เชบาจดเมืองดาน เชิญชวนทุกคนมาร่วมกันฉลองปัสกาถวายแด่พระยาห์เวห์พระเจ้าแห่งอิสราเอลที่กรุงเยรูซาเล็ม เท่าที่มีบันทึกมายังไม่เคยมีคนมาร่วมฉลองกันมากมายเช่นนั้นเลย

ผู้ส่งข่าวนำพระราชสาส์นและสาส์นจากเหล่าข้าราชบริพารไปทั่วอิสราเอลและยูดาห์ตามพระบัญชาของกษัตริย์ ความว่า

“ประชากรอิสราเอลเอ๋ย จงหันกลับมาหาพระยาห์เวห์พระเจ้าของอับราฮัม อิสอัค และอิสราเอลเถิด เพื่อพระองค์จะทรงหันกลับมาหาท่านทั้งหลายที่เหลืออยู่ซึ่งรอดพ้นจากเงื้อมมือของเหล่ากษัตริย์อัสซีเรีย อย่าเป็นอย่างบรรพบุรุษและพี่น้องของท่านซึ่งไม่ซื่อสัตย์ต่อพระยาห์เวห์พระเจ้าของบรรพบุรุษ จนพระองค์ทำให้พวกเขาเป็นที่น่าสยดสยองดังที่เห็นอยู่ อย่าดื้อด้านเหมือนบรรพบุรุษของท่าน จงยอมจำนนต่อองค์พระผู้เป็นเจ้า จงมายังสถานนมัสการซึ่งทรงชำระให้บริสุทธิ์เป็นนิตย์ จงปรนนิบัติพระยาห์เวห์พระเจ้าของท่าน เพื่อพระพิโรธอันรุนแรงของพระองค์จะหันเหไปจากท่าน หากท่านหันกลับมาหาองค์พระผู้เป็นเจ้า พี่น้องและลูกหลานของท่านจะได้รับความเมตตาเอ็นดูจากผู้ที่จับเขาไปเป็นเชลย และจะกลับมายังดินแดนแห่งนี้อีก เพราะพระยาห์เวห์พระเจ้าของท่านทรงเปี่ยมด้วยพระคุณและพระเมตตา พระองค์จะไม่ทรงเบือนพระพักตร์ไปจากท่าน หากท่านหันกลับมาหาพระองค์”

10 ผู้ส่งข่าวเดินทางจากเมืองหนึ่งไปอีกเมืองหนึ่งทั่วแดนเอฟราอิมกับมนัสเสห์และไปไกลถึงเศบูลุน แต่ถูกประชาชนเยาะเย้ยเหยียดหยาม 11 แต่มีบางคนจากเผ่าอาเชอร์ มนัสเสห์ และเศบูลุน ถ่อมใจลงและมายังกรุงเยรูซาเล็ม 12 ในขณะเดียวกันพระหัตถ์ของพระเจ้าก็อยู่เหนือประชาชนในยูดาห์ ทำให้พวกเขาพร้อมใจกันทำตามคำสั่งของกษัตริย์และข้าราชบริพารซึ่งเป็นไปตามพระดำรัสขององค์พระผู้เป็นเจ้า

13 ประชากรมากมายหลั่งไหลมาชุมนุมกันที่กรุงเยรูซาเล็มในเดือนที่สอง เพื่อฉลองเทศกาลขนมปังไม่ใส่เชื้อ 14 พวกเขารื้อแท่นบูชาทั้งหลายในกรุงเยรูซาเล็มกับแท่นเผาเครื่องหอมต่างๆ และนำไปทิ้งในหุบเขาขิดโรน

15 ในวันที่สิบสี่เดือนที่สอง ประชากรได้ฆ่าแกะปัสกา จากนั้นบรรดาปุโรหิตและคนเลวีรู้สึกละอายใจและชำระตน แล้วพวกเขานำเครื่องเผาบูชามายังพระวิหารขององค์พระผู้เป็นเจ้า 16 พวกเขาเข้าประจำหน้าที่ตามที่ระบุไว้ในบทบัญญัติของโมเสสซึ่งเป็นคนของพระเจ้า และบรรดาปุโรหิตได้ประพรมเลือดซึ่งรับมาจากคนเลวี 17 เนื่องจากมีประชาชนหลายคนที่ไม่ได้ชำระตน คนเลวีจึงต้องฆ่าลูกแกะปัสกาให้ทุกคนที่เป็นมลทินตามระเบียบพิธี และไม่สามารถชำระลูกแกะของตนถวายแด่องค์พระผู้เป็นเจ้า 18 ถึงแม้ว่าคนส่วนใหญ่ในหมู่ประชากรที่มาจากเอฟราอิม มนัสเสห์ อิสสาคาร์ และเศบูลุน ไม่ได้ชำระตน ก็รับประทานปัสกาทั้งๆ ที่ขัดต่อบทบัญญัติ แต่เฮเซคียาห์อธิษฐานเผื่อพวกเขาว่า “ขอองค์พระผู้เป็นเจ้าผู้ประเสริฐทรงอภัยโทษแก่ทุกคน 19 ที่ตั้งใจจะแสวงหาพระเจ้า พระยาห์เวห์พระเจ้าของบรรพบุรุษ แม้ว่าตามกฎของสถานนมัสการเขายังเป็นมลทินอยู่” 20 องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงสดับฟังเฮเซคียาห์ และทรงรักษาเหล่าประชากร

21 ชนอิสราเอลที่อยู่กันพร้อมหน้าในกรุงเยรูซาเล็มจึงฉลองเทศกาลขนมปังไม่ใส่เชื้อตลอดเจ็ดวันด้วยความชื่นชมยินดีอย่างใหญ่หลวง ฝ่ายคนเลวีและบรรดาปุโรหิตก็ร้องเพลงถวายองค์พระผู้เป็นเจ้าทุกวัน คลอกับเสียงเครื่องดนตรีที่ใช้สรรเสริญองค์พระผู้เป็นเจ้า

22 เฮเซคียาห์ตรัสให้กำลังใจคนเลวีทั้งปวงที่ได้รับใช้องค์พระผู้เป็นเจ้าอย่างดี พวกเขารับประทานอาหารส่วนของตน ถวายเครื่องสันติบูชา และสรรเสริญพระยาห์เวห์พระเจ้าของบรรพบุรุษตลอดเจ็ดวัน

23 แล้วประชากรทั้งปวงเห็นพ้องต้องกันว่าจะฉลองเทศกาลต่อไปอีกเจ็ดวัน จึงมีการฉลองต่อไปอีกเจ็ดวันด้วยความชื่นชมยินดี 24 กษัตริย์เฮเซคียาห์แห่งยูดาห์ประทานวัวผู้หนึ่งพันตัวกับแกะและแพะเจ็ดพันตัวแก่ชุมนุมประชากร เหล่าข้าราชบริพารมอบวัวผู้หนึ่งพันตัวกับแกะและแพะหนึ่งหมื่นตัว ปุโรหิตจำนวนมากชำระตนให้บริสุทธิ์ 25 ประชากรยูดาห์ทั้งปวงร่วมกับบรรดาปุโรหิต คนเลวี และคนทั้งหลายจากอิสราเอล รวมทั้งคนต่างด้าวที่มาจากอิสราเอลและที่อาศัยอยู่ในยูดาห์ต่างพากันชื่นชมยินดี 26 มีความเปรมปรีดิ์ใหญ่หลวงในกรุงเยรูซาเล็ม เพราะไม่เคยมีพิธีฉลองอย่างนี้เลยตั้งแต่สมัยกษัตริย์โซโลมอนโอรสกษัตริย์ดาวิดแห่งอิสราเอล 27 ปุโรหิตและคนเลวียืนอวยพรเหล่าประชากร พระเจ้าทรงสดับฟังพวกเขาเพราะคำอธิษฐานของเขาเหล่านั้นขึ้นไปถึงฟ้าสวรรค์ที่ประทับอันบริสุทธิ์ของพระองค์

31 เมื่อจบพิธีฉลองแล้ว ชนอิสราเอลซึ่งอยู่ที่นั่นก็ออกไปยังเมืองต่างๆ ของยูดาห์ ทุบทำลายหินศักดิ์สิทธิ์ โค่นเสาเจ้าแม่อาเชราห์ ทำลายสถานบูชาบนที่สูงทั้งหลาย และทำลายแท่นบูชาต่างๆ ทั่วยูดาห์ เบนยามิน และในเอฟราอิมกับมนัสเสห์ หลังจากทำลายหมดสิ้นแล้วชาวอิสราเอลทั้งปวงก็กลับสู่บ้านเมืองและที่ดินของตน

ร่วมกันถวายเพื่อการนมัสการ(G)

เฮเซคียาห์ทรงแบ่งปุโรหิตและคนเลวีเป็นหมู่เหล่าตามหน้าที่ของแต่ละคน เพื่อถวายเครื่องเผาบูชากับเครื่องสันติบูชา เพื่อปรนนิบัติ ถวายคำขอบพระคุณ และร้องเพลงสรรเสริญที่ประตูต่างๆ ของที่ประทับขององค์พระผู้เป็นเจ้า เฮเซคียาห์ถวายทรัพย์สินส่วนพระองค์เพื่อเครื่องเผาบูชาประจำวันเวลาเช้าและเวลาเย็น เพื่อเครื่องเผาบูชาสำหรับวันสะบาโต วันขึ้นหนึ่งค่ำ และเทศกาลต่างๆ ประจำปีตามที่ระบุไว้ในบทบัญญัติขององค์พระผู้เป็นเจ้า พระองค์ทรงบัญชาให้ประชากรในกรุงเยรูซาเล็มนำส่วนที่ปุโรหิตและคนเลวีควรได้รับมาให้พวกเขา เพื่อปุโรหิตและคนเลวีจะอุทิศตนตามบทบัญญัติขององค์พระผู้เป็นเจ้า ประชากรตอบสนองต่อพระบัญชาทันทีอย่างใจกว้างขวาง โดยนำผลแรกของเมล็ดข้าว เหล้าองุ่นใหม่ น้ำมัน น้ำผึ้ง และพืชพันธุ์ทุกชนิดมาถวาย พวกเขาได้นำของถวายมามากมายคือหนึ่งในสิบของทุกอย่างที่มี ชนอิสราเอลและยูดาห์ซึ่งอาศัยในเมืองต่างๆ ของยูดาห์ยังนำหนึ่งในสิบของฝูงวัวกับฝูงแพะแกะ และหนึ่งในสิบของสิ่งบริสุทธิ์มาถวายแด่พระยาห์เวห์พระเจ้าของพวกเขา โดยรวมไว้เป็นกองๆ พวกเขาเริ่มนำเข้ามาในเดือนที่สามจนครบถ้วนในเดือนที่เจ็ด เมื่อเฮเซคียาห์และเหล่าข้าราชบริพารมาเห็นกองของถวายเหล่านี้ก็สรรเสริญองค์พระผู้เป็นเจ้าและอวยพรประชากรอิสราเอล

เฮเซคียาห์ตรัสถามปุโรหิตและคนเลวีเกี่ยวกับของถวายเหล่านั้น 10 และหัวหน้าปุโรหิตอาซาริยาห์จากครอบครัวของศาโดกทูลตอบว่า “ตั้งแต่ประชาชนนำของถวายมายังพระวิหารขององค์พระผู้เป็นเจ้า พวกข้าพเจ้ารับประทานจนอิ่มและยังเหลือมากมายขนาดนี้ เพราะองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงอวยพรเหล่าประชากร”

11 เฮเซคียาห์ทรงบัญชาให้จัดเตรียมคลังไว้ในพระวิหารขององค์พระผู้เป็นเจ้า พวกเขาก็จัด 12 แล้วนำของถวายต่างๆ รวมทั้งสิบลดเข้ามาเก็บไว้อย่างซื่อสัตย์ โคนานิยาห์คนเลวีเป็นหัวหน้าดูแล รองลงมาคือชิเมอีน้องชายของเขา 13 เยฮีเอล อาซาซิยาห์ นาหาท อาสาเฮล เยรีโมท โยซาบาด เอลีเอล อิสมาคิยาห์ มาฮาท และเบไนยาห์ เป็นผู้กำกับดูแลภายใต้การบังคับบัญชาของโคนานิยาห์กับชิเมอีน้องชายของเขา คนเหล่านี้ได้รับการแต่งตั้งโดยกษัตริย์เฮเซคียาห์และอาซาริยาห์เจ้าหน้าที่ดูแลพระวิหารของพระเจ้า

14 โคเรบุตรอิมนาห์คนเลวีซึ่งเป็นยามเฝ้าประตูตะวันออกดูแลของถวายตามความสมัครใจแด่พระเจ้า มีหน้าที่แจกจ่ายของที่ถวายแด่องค์พระผู้เป็นเจ้าและของถวายอันบริสุทธิ์ 15 เอเดน มินยามิน เยชูอา เชไมอาห์ อามาริยาห์ และเชคานิยาห์ คอยช่วยเหลือเขาอย่างซื่อสัตย์ในเมืองต่างๆ ของปุโรหิต โดยทำหน้าที่แจกจ่ายให้แก่พี่น้องปุโรหิตตามหมู่เหล่าของพวกเขาอย่างเท่าเทียมกันไม่ว่าหนุ่มหรือแก่

16 นอกจากนี้พวกเขายังแจกจ่ายให้กับผู้ชายอายุสามปีขึ้นไปซึ่งมีชื่ออยู่ในบันทึกลำดับวงศ์ตระกูล คือทุกคนที่จะเข้าไปยังพระวิหารขององค์พระผู้เป็นเจ้า เพื่อปฏิบัติหน้าที่ประจำวันของพวกเขา ตามหน้าที่รับผิดชอบและหมู่เหล่าของพวกเขา 17 และพวกเขาแจกจ่ายแก่ปุโรหิตที่มีชื่อในบันทึกลำดับวงศ์ตระกูลตามครอบครัวของพวกเขา และแก่คนเลวีอายุยี่สิบปีขึ้นไป ตามความรับผิดชอบและหมู่เหล่าของพวกเขาด้วยเช่นกัน 18 รวมทั้งลูกเล็กเด็กแดง ภรรยา และบุตรชายบุตรสาวในชุมชนทั้งหมด ตามรายชื่อบันทึกลำดับวงศ์ตระกูล เพราะพวกเขาซื่อสัตย์ในการชำระตนให้บริสุทธิ์

19 สำหรับปุโรหิตซึ่งเป็นวงศ์วานของอาโรนที่อาศัยอยู่ในทุ่งหญ้าโดยรอบหรือในเมืองอื่นๆ จะมีการระบุชื่อผู้แจกจ่ายส่วนแบ่งให้แก่ชายทุกคนในพวกเขาและแก่คนทั้งปวงที่มีชื่ออยู่ในบันทึกลำดับวงศ์ตระกูลของคนเลวี

20 เฮเซคียาห์ทรงทำเช่นนี้ทั่วยูดาห์เป็นการทำสิ่งที่ดีงาม ถูกต้อง และซื่อสัตย์ต่อหน้าพระยาห์เวห์พระเจ้าของพระองค์ 21 เฮเซคียาห์ทรงทำทุกสิ่งเพื่องานในพระวิหารของพระเจ้า และปฏิบัติตามบทบัญญัติและพระบัญชาด้วยการแสวงหาพระเจ้าและทำงานอย่างสุดใจ พระองค์จึงทรงเจริญรุ่งเรือง

เซนนาเคอริบคุกคามกรุงเยรูซาเล็ม(H)

32 หลังจากกษัตริย์เฮเซคียาห์ได้ปฏิบัติพระราชกิจทั้งสิ้นอย่างซื่อสัตย์แล้ว กษัตริย์เซนนาเคอริบแห่งอัสซีเรียมารุกรานยูดาห์ และล้อมเมืองป้อมปราการทั้งหลาย หมายจะพิชิตเป็นเมืองขึ้น เมื่อเฮเซคียาห์เห็นว่าเซนนาเคอริบตั้งใจจะสู้รบกับเยรูซาเล็ม ก็ทรงปรึกษากับข้าราชบริพารและนายทหารเพื่อจะถมธารน้ำพุต่างๆ นอกเมืองและพวกเขาก็ช่วยพระองค์ ระดมกำลังคนมากมายเพื่ออุดตาน้ำและปิดกั้นลำธารที่ไหลผ่านทั่วแดน พวกเขากล่าวว่า “ทำไมจะให้บรรดากษัตริย์[u]อัสซีเรียมาพบน้ำมากมายเล่า?” จากนั้นพระองค์ทรงเร่งซ่อมกำแพง อุดรอยโหว่ทุกแห่ง และสร้างหอคอยบนกำแพง ก่อกำแพงรอบนอก และเสริมกำลังป้อมปราการ[v]ในเมืองดาวิด พระองค์ยังได้ทำอาวุธกับโล่จำนวนมากด้วย

พระองค์ทรงแต่งตั้งนายทหารดูแลประชาชน และให้พวกเขามาชุมนุมกันต่อหน้าพระองค์ที่ลานประตูเมือง และตรัสให้กำลังใจพวกเขาว่า “จงเข้มแข็งและกล้าหาญ อย่ากลัวหรือท้อแท้เพราะกษัตริย์อัสซีเรียกับกองทัพมหึมาของเขา เพราะมีพลังอำนาจหนึ่งอยู่ฝ่ายเราซึ่งยิ่งใหญ่กว่าฝ่ายเขามากนัก พวกเขาเป็นเพียงมนุษย์ ส่วนเรามีพระยาห์เวห์พระเจ้าของเราซึ่งจะช่วยเราทำสงคราม” สิ่งที่เฮเซคียาห์แห่งยูดาห์ตรัส ทำให้ประชาชนมีความมั่นใจยิ่งนัก

ต่อมากษัตริย์เซนนาเคอริบแห่งอัสซีเรียกับกองกำลังทั้งหมดซึ่งล้อมเมืองลาคีชอยู่ส่งเจ้าหน้าที่มายังกรุงเยรูซาเล็ม ให้นำสาส์นมาถึงกษัตริย์เฮเซคียาห์แห่งยูดาห์และปวงชนยูดาห์ซึ่งอยู่ที่นั่นความว่า

10 “กษัตริย์เซนนาเคอริบแห่งอัสซีเรียตรัสดังนี้ว่า เจ้าทั้งหลายพึ่งพาอะไร จึงยังอยู่ในเยรูซาเล็มท่ามกลางวงล้อมของเรา? 11 เฮเซคียาห์หลอกลวงพวกเจ้า จะให้พวกเจ้าตายเพราะความหิวและกระหาย โดยพูดว่า ‘พระยาห์เวห์พระเจ้าของเราจะช่วยเราให้พ้นมือกษัตริย์อัสซีเรีย’ 12 ก็เฮเซคียาห์คนนี้เองไม่ใช่หรือที่รื้อทำลายสถานบูชาบนที่สูงทั้งหลายกับแท่นบูชาต่างๆ และบัญชายูดาห์กับเยรูซาเล็มว่า ‘ท่านจะต้องนมัสการและเผาเครื่องบูชาโดยใช้แท่นบูชาในพระวิหารเพียงแห่งเดียวเท่านั้น’?

13 “เจ้าไม่รู้หรือว่าเรากับบรรพบุรุษทำอะไรแก่ชนชาติทั้งหลายในดินแดนต่างๆ บ้าง? พระทั้งปวงของชนชาติเหล่านั้นสามารถกอบกู้ดินแดนของเขาจากมือเราได้หรือ? 14 เทพเจ้าของชนชาติต่างๆ องค์ไหนบ้างที่บรรพบุรุษของเราทำลายล้างไปซึ่งสามารถช่วยคนของตนให้พ้นจากมือเราได้? ก็แล้วพระเจ้าของพวกเจ้าจะช่วยเจ้าจากมือเราได้อย่างไร? 15 อย่าให้เฮเซคียาห์ล่อหลอกหรือเกลี้ยกล่อมเจ้า อย่าเชื่อเขาเลย เพราะไม่มีเทพเจ้าองค์ไหนของชนชาติหรืออาณาจักรใดๆ สามารถกอบกู้คนของตนให้พ้นจากมือของเราหรือของบรรพบุรุษของเราได้ พระเจ้าของเจ้ายิ่งไม่อาจช่วยเจ้าให้พ้นมือเรา!”

16 คนของเซนนาเคอริบยังกล่าวลบหลู่ดูหมิ่นพระเจ้าพระยาห์เวห์และเฮเซคียาห์ผู้รับใช้ของพระองค์อีกต่างๆ นานา 17 เซนนาเคอริบยังส่งสาส์นมาดูหมิ่นพระยาห์เวห์พระเจ้าแห่งอิสราเอลว่า “เช่นเดียวกับพระของชนชาติทั้งหลายในดินแดนต่างๆ ที่ไม่อาจช่วยคนของตนจากมือเรา พระเจ้าของเฮเซคียาห์ก็ไม่อาจช่วยคนของเขาจากมือเราเช่นกัน” 18 จากนั้นพวกเขาร้องบอกเป็นภาษาฮีบรูข่มขู่ประชาชนบนกำแพงเมืองเพื่อข่มขวัญให้เสียกำลังใจ จะได้ยึดเมือง 19 พวกเขากล่าวถึงพระเจ้าแห่งเยรูซาเล็มเหมือนที่ได้กล่าวถึงพระต่างๆ ของชนชาติทั้งหลายในโลกซึ่งสร้างขึ้นด้วยมือมนุษย์

20 กษัตริย์เฮเซคียาห์และผู้เผยพระวจนะอิสยาห์บุตรอาโมศร้องทูลอธิษฐานขึ้นสู่ฟ้าสวรรค์เกี่ยวกับเรื่องนี้ 21 และองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงส่งทูตองค์หนึ่งมาทำลายล้างนักรบ ผู้นำ และนายทหารทั้งปวงในค่ายของกษัตริย์อัสซีเรียจนหมดสิ้น เซนนาเคอริบจึงถอยทัพกลับดินแดนของพระองค์ไปด้วยความอัปยศอดสู และเมื่อพระองค์เสด็จเข้าไปในวิหารของเทพเจ้าของพระองค์ ก็ถูกโอรสบางองค์ปลงพระชนม์ด้วยดาบ

22 เป็นอันว่าองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงช่วยเฮเซคียาห์และชาวเยรูซาเล็มจากเงื้อมมือกษัตริย์เซนนาเคอริบแห่งอัสซีเรียและคนอื่นๆ พระองค์ทรงปกป้องดูแลพวกเขา[w]ทุกด้าน 23 คนมากมายนำของถวายมายังกรุงเยรูซาเล็ม เพื่อถวายแด่องค์พระผู้เป็นเจ้าและนำของมีค่ามาถวายแด่กษัตริย์เฮเซคียาห์แห่งยูดาห์ นับแต่นั้นมาพระองค์ทรงเป็นที่นับถืออย่างยิ่งของชนชาติทั้งปวง

ความเย่อหยิ่ง ความสำเร็จ และการสิ้นพระชนม์ของเฮเซคียาห์(I)

24 ครั้งนั้นเฮเซคียาห์ประชวรหนักใกล้สิ้นพระชนม์ พระองค์ทรงอธิษฐานต่อองค์พระผู้เป็นเจ้าผู้ทรงตอบโดยประทานหมายสำคัญ 25 แต่เฮเซคียาห์มีพระทัยหยิ่งผยองและไม่ได้สำนึกในพระกรุณา องค์พระผู้เป็นเจ้าจึงทรงพระพิโรธเฮเซคียาห์ ยูดาห์ และเยรูซาเล็ม 26 แล้วเฮเซคียาห์และชาวเยรูซาเล็มกลับใจจากความเย่อหยิ่ง ฉะนั้นพระพิโรธขององค์พระผู้เป็นเจ้าจึงไม่ได้ตกแก่พวกเขาในรัชกาลเฮเซคียาห์

27 เฮเซคียาห์ทรงมั่งคั่งด้วยทรัพย์สมบัติและทรงเกียรติอย่างมาก ทรงสร้างคลังต่างๆ เพื่อเก็บเงินทอง เพชรนิลจินดา เครื่องเทศ โล่ และของมีค่าทั้งปวง 28 ทั้งทรงสร้างคลังเก็บข้าว เหล้าองุ่นใหม่ น้ำมัน พร้อมทั้งคอกต่างๆ สำหรับปศุสัตว์ แกะและแพะ 29 พระองค์ทรงสร้างหมู่บ้านหลายแห่ง ทรงมีฝูงสัตว์และฝูงแพะแกะมากมาย เนื่องจากพระเจ้าประทานความมั่งคั่งแก่พระองค์เป็นอันมาก

30 เฮเซคียาห์ทรงกั้นน้ำพุกีโฮนด้านบน และทำทางระบายน้ำมาทางแถบตะวันตกของเมืองดาวิด พระองค์ทรงประสบความสำเร็จในกิจการทุกอย่างที่ทรงทำ 31 แต่เมื่อคณะทูตจากผู้ปกครองบาบิโลนมาทูลถามเกี่ยวกับหมายสำคัญที่เกิดขึ้นในดินแดน พระเจ้าทรงปล่อยเฮเซคียาห์เพื่อจะทดสอบและเพื่อจะทราบธาตุแท้ในใจของเฮเซคียาห์

32 เหตุการณ์อื่นๆ ในรัชกาลเฮเซคียาห์ และพระราชกิจทั้งปวงที่พระองค์ทรงทุ่มเทเพื่อพระเจ้ามีบันทึกอยู่ในนิมิตของผู้เผยพระวจนะอิสยาห์บุตรอาโมศในจดหมายเหตุกษัตริย์แห่งยูดาห์และอิสราเอล 33 เฮเซคียาห์ทรงล่วงลับไปอยู่กับบรรพบุรุษและถูกฝังไว้บนเนินเขาซึ่งเป็นอุโมงค์ฝังพระศพของวงศ์วานดาวิด ประชากรทั่วทั้งยูดาห์และเยรูซาเล็มร่วมถวายพระเกียรติเมื่อพระองค์สิ้นพระชนม์ จากนั้นมนัสเสห์โอรสของพระองค์ขึ้นครองราชย์แทน

กษัตริย์มนัสเสห์แห่งยูดาห์(J)

33 เมื่อมนัสเสห์ขึ้นเป็นกษัตริย์ พระองค์มีพระชนมายุสิบสองพรรษา และทรงครองราชย์อยู่ในกรุงเยรูซาเล็ม 55 ปี มนัสเสห์ทรงทำสิ่งที่ชั่วในสายพระเนตรขององค์พระผู้เป็นเจ้า ตามแบบอย่างอันน่าชิงชังของชนชาติทั้งหลายที่องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงขับไล่ออกไปให้พ้นหน้าชาวอิสราเอล มนัสเสห์ทรงสร้างสถานบูชาบนที่สูงทั้งหลายซึ่งเฮเซคียาห์ราชบิดาได้ทำลายทิ้งไปแล้วขึ้นมาใหม่ ทั้งทรงสร้างแท่นบูชาพระบาอัลและเสาเจ้าแม่อาเชราห์ ทรงกราบไหว้นมัสการดวงดาวทั้งปวงในฟากฟ้า พระองค์ทรงสร้างแท่นบูชาสำหรับพระต่างๆ ในพระวิหารขององค์พระผู้เป็นเจ้า ซึ่งองค์พระผู้เป็นเจ้าได้ตรัสไว้ว่า “นามของเราจะดำรงอยู่ในเยรูซาเล็มตลอดไป” พระองค์ทรงสร้างแท่นบูชาสำหรับดวงดาวทั้งปวงในฟากฟ้าที่ลานทั้งสองของพระวิหารขององค์พระผู้เป็นเจ้า พระองค์ทรงนำโอรสของพระองค์เองมาเผาบูชายัญ [x]ในหุบเขาเบนฮินโนม พระองค์ทรงเล่นคาถาอาคม ทำนายโชคชะตาราศี ใช้เวทมนตร์ และทรงปรึกษาคนทรงกับหมอผี ทรงทำสิ่งที่ชั่วร้ายมากในสายพระเนตรขององค์พระผู้เป็นเจ้าและยั่วยุพระพิโรธของพระองค์

มนัสเสห์ตั้งรูปเคารพแกะสลักที่ทรงทำขึ้นไว้ในพระวิหารของพระเจ้า ที่ซึ่งพระเจ้าได้ตรัสไว้กับดาวิดและโซโลมอนราชโอรสว่า “เราจะสถาปนานามของเราไว้เป็นนิตย์ในวิหารแห่งนี้และในเยรูซาเล็มซึ่งเราได้เลือกสรรจากทุกเผ่าของอิสราเอล และขอเพียงแต่ชนอิสราเอลใส่ใจปฏิบัติตามทุกสิ่งที่เราสั่งไว้ผ่านทางโมเสส เกี่ยวกับบทบัญญัติ กฎหมาย และข้อปฏิบัติต่างๆ เราก็จะไม่ทำให้พวกเขาต้องระเห็จจากดินแดนที่เรายกให้บรรพบุรุษของพวกเขาอีกเลย” แต่มนัสเสห์กลับชักนำชาวยูดาห์และชาวเยรูซาเล็มให้หลงผิดไป ทรงทำสิ่งที่ชั่วร้ายยิ่งกว่าชนชาติต่างๆ ซึ่งองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงทำลายไปให้พ้นหน้าชนอิสราเอลเสียอีก

10 องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสเตือนมนัสเสห์กับประชากร แต่พวกเขาไม่สนใจ 11 ฉะนั้นองค์พระผู้เป็นเจ้าจึงทรงส่งแม่ทัพของกษัตริย์อัสซีเรียมาสู้รบ และจับมนัสเสห์ไปเป็นเชลย เอาเบ็ดเกี่ยวจมูกของพระองค์ พันธนาการด้วยโซ่ตรวนทองสัมฤทธิ์ และคุมตัวไปยังบาบิโลน 12 ในความทุกข์ลำบาก มนัสเสห์ทรงถ่อมพระทัยลงอย่างยิ่งและทรงร้องขอความเมตตาจากพระยาห์เวห์พระเจ้าของบรรพบุรุษ 13 เมื่อมนัสเสห์อธิษฐาน พระองค์ก็ทรงสดับฟังและทรงตอบคำทูลวิงวอนพระองค์ให้มนัสเสห์ได้กลับคืนสู่กรุงเยรูซาเล็มและราชอาณาจักรอีกครั้งหนึ่ง มนัสเสห์จึงทรงสำนึกว่าพระยาห์เวห์ทรงเป็นพระเจ้า

14 ต่อมามนัสเสห์ทรงสร้างกำแพงชั้นนอกของเมืองดาวิดขึ้นใหม่ จากด้านตะวันตกของธารน้ำพุกีโฮนในหุบเขาจนถึงประตูปลา และโอบล้อมเนินเขาโอเฟล และยังทรงสร้างกำแพงนั้นให้สูงขึ้นกว่าเดิมอย่างมาก ทรงให้ผู้บัญชาการทหารเข้าประจำการในเมืองป้อมปราการทั้งหมดของยูดาห์

15 พระองค์ทรงกำจัดบรรดาพระต่างชาติออกไป และนำรูปเคารพออกจากพระวิหารขององค์พระผู้เป็นเจ้า ทรงรื้อแท่นบูชาทั้งหมดที่ทรงสร้างขึ้นบนภูเขาที่พระวิหารตั้งอยู่และในกรุงเยรูซาเล็ม และนำสิ่งเหล่านี้ไปทิ้งนอกเมือง 16 จากนั้นทรงซ่อมแซมแท่นบูชาขององค์พระผู้เป็นเจ้า แล้วทรงถวายเครื่องสันติบูชาและเครื่องบูชาขอบพระคุณบนแท่นนั้น และทรงบัญชาให้ยูดาห์ปรนนิบัติพระยาห์เวห์พระเจ้าแห่งอิสราเอล 17 แต่ประชากรยังคงถวายเครื่องบูชาตามสถานบูชาบนที่สูงทั้งหลาย เพียงแต่ถวายแด่พระยาห์เวห์พระเจ้าของพวกเขา

18 เหตุการณ์อื่นๆ ในรัชกาลมนัสเสห์ รวมทั้งคำอธิษฐานต่อพระเจ้าและคำทูลของบรรดาผู้ทำนายในพระนามพระยาห์เวห์พระเจ้าแห่งอิสราเอลล้วนบันทึกไว้ในจดหมายเหตุกษัตริย์แห่งอิสราเอล[y] 19 คำอธิษฐานของมนัสเสห์ การที่พระเจ้าทรงตอบ ตลอดจนบาปและความไม่ซื่อสัตย์ทั้งปวงของมนัสเสห์ รวมทั้งสถานที่ต่างๆ ที่ทรงสร้างสถานบูชาบนที่สูงทั้งหลาย เสาเจ้าแม่อาเชราห์และรูปเคารพต่างๆ ไว้ก่อนที่จะทรงถ่อมพระองค์ลง ล้วนกล่าวไว้ในบันทึกของผู้เผยพระวจนะ[z] 20 มนัสเสห์ทรงล่วงลับไปอยู่กับบรรพบุรุษและถูกฝังไว้ในพระราชวังของพระองค์ แล้วอาโมนโอรสของพระองค์ขึ้นครองราชย์แทน

กษัตริย์อาโมนแห่งยูดาห์(K)

21 เมื่ออาโมนขึ้นเป็นกษัตริย์ พระองค์ทรงมีพระชนมายุ 22 พรรษาและทรงครองราชย์อยู่ในกรุงเยรูซาเล็มสองปี 22 อาโมนทรงทำสิ่งที่ชั่วในสายพระเนตรขององค์พระผู้เป็นเจ้าตามอย่างมนัสเสห์ราชบิดา ทรงนมัสการและถวายเครื่องบูชาแก่รูปเคารพทั้งหมดที่มนัสเสห์ได้สร้างขึ้น 23 แต่ไม่ได้ทรงถ่อมพระองค์ลงต่อหน้าองค์พระผู้เป็นเจ้าเหมือนมนัสเสห์ราชบิดา อาโมนกลับทำผิดมากยิ่งขึ้น

24 ข้าราชบริพารของอาโมนคบคิดกันปลงพระชนม์พระองค์ในพระราชวัง 25 แล้วประชาชนจึงประหารบรรดาผู้ที่คบคิดกันปลงพระชนม์กษัตริย์อาโมน และแต่งตั้งโยสิยาห์โอรสของอาโมนขึ้นครองราชย์แทน

โยสิยาห์ทรงปฏิรูป(L)

34 เมื่อโยสิยาห์ขึ้นเป็นกษัตริย์ พระองค์ทรงมีพระชนมายุแปดพรรษา และทรงครองราชย์อยู่ในกรุงเยรูซาเล็ม 31 ปี โยสิยาห์ทรงทำสิ่งที่ถูกต้องในสายพระเนตรขององค์พระผู้เป็นเจ้า ทรงดำเนินตามแบบอย่างของดาวิดผู้เป็นบรรพบุรุษโดยไม่หันเหไปทางขวาหรือทางซ้าย

ในปีที่แปดแห่งรัชกาลของพระองค์ เมื่อยังทรงพระเยาว์ ก็ทรงเริ่มแสวงหาพระเจ้าของดาวิดผู้เป็นบรรพบุรุษ และในปีที่สิบสองแห่งรัชกาลทรงเริ่มชำระยูดาห์และเยรูซาเล็ม กำจัดสถานบูชาบนที่สูงทั้งหลาย เสาเจ้าแม่อาเชราห์ รูปเคารพแกะสลัก และรูปเคารพหล่อทั้งปวง พระองค์ทรงสั่งให้ทุบแท่นบูชาพระบาอัลทิ้งและทำลายแท่นเผาเครื่องหอมเหนือแท่นบูชา ทุบเสาเจ้าแม่อาเชราห์และรูปเคารพทั้งหลาย แล้วนำไปโปรยบนหลุมศพของบรรดาผู้ที่ถวายเครื่องบูชาแก่พระเหล่านั้น พระองค์ทรงเผากระดูกของบรรดาปุโรหิตของพระเหล่านั้นบนแท่นบูชาของพวกเขาเอง เป็นการชำระยูดาห์และเยรูซาเล็ม นอกจากนี้ในเมืองต่างๆ ของมนัสเสห์ เอฟราอิม และสิเมโอนไปจนถึงนัฟทาลี และในซากปรักหักพังโดยรอบ พระองค์ทรงรื้อทำลายแท่นบูชา เสาเจ้าแม่อาเชราห์ บดขยี้รูปเคารพเป็นผุยผง ทุบแท่นเผาเครื่องหอมทั่วแดนอิสราเอล แล้วเสด็จกลับมายังกรุงเยรูซาเล็ม

ในการชำระดินแดนและพระวิหารในปีที่สิบแปดแห่งรัชกาลกษัตริย์โยสิยาห์ โยสิยาห์ทรงแต่งตั้งชาฟานบุตรอาซาลิยาห์และมาอาเสอาห์ผู้ปกครองเมืองกับอาลักษณ์โยอาห์บุตรโยอาฮาส ให้ซ่อมแซมพระวิหารของพระยาห์เวห์พระเจ้าของพระองค์

คนเหล่านี้ไปพบมหาปุโรหิตฮิลคียาห์และมอบเงินที่คนนำมาถวายในพระวิหารของพระเจ้าให้เขา ชนเลวีที่เป็นยามประตูได้รับเงินเหล่านี้จากชาวมนัสเสห์ ชาวเอฟราอิม และประชาชนที่ยังเหลืออยู่ในอิสราเอลทั้งหมด ตลอดจนชาวยูดาห์ ชาวเบนยามิน และผู้คนที่อาศัยในกรุงเยรูซาเล็ม 10 แล้วพวกเขานำเงินนี้ไปมอบให้ผู้ควบคุมการซ่อมแซมพระวิหารขององค์พระผู้เป็นเจ้า เพื่อจ่ายให้คนงานที่มาซ่อมแซมบูรณะพระวิหาร 11 และให้ช่างไม้และช่างก่อไปซื้อหินที่สกัดและแต่งแล้ว กับซุง กระดาน ไม้คาน สำหรับอาคารต่างๆ ที่บรรดากษัตริย์ยูดาห์ปล่อยทิ้งไว้ในสภาพปรักหักพัง

12 คนงานทำหน้าที่อย่างซื่อสัตย์ ผู้สั่งการได้แก่ ยาหาทกับโอบาดีห์ ชนเลวีจากตระกูลเมรารี เศคาริยาห์กับเมชุลลามจากตระกูลโคฮาท ส่วนคนเลวีซึ่งเชี่ยวชาญในการบรรเลงดนตรี 13 มีหน้าที่ดูแลสั่งการคนงานให้ทำงานแต่ละอย่าง คนเลวีบางคนทำหน้าที่เลขานุการ อาลักษณ์ และยามประตู

พบหนังสือธรรมบัญญัติ(M)

14 วันหนึ่งขณะที่พวกเขานำเงินซึ่งประชากรถวายเข้าพระวิหารขององค์พระผู้เป็นเจ้าออกมา ปุโรหิตฮิลคียาห์พบม้วนหนังสือพระบัญญัติขององค์พระผู้เป็นเจ้าซึ่งประทานผ่านทางโมเสส 15 ฮิลคียาห์กล่าวกับราชเลขาชาฟานว่า “ข้าพเจ้าได้พบหนังสือพระบัญญัติในพระวิหารขององค์พระผู้เป็นเจ้า” แล้วมอบหนังสือม้วนนั้นแก่ชาฟาน

16 ชาฟานจึงนำไปถวายแด่กษัตริย์ และทูลรายงานว่า “บรรดาเจ้าหน้าที่ทำทุกอย่างตามที่ได้รับมอบหมาย 17 พวกเขานำเงินออกมาจากพระวิหารขององค์พระผู้เป็นเจ้า มอบให้แก่หัวหน้าผู้ดูแลและคนงาน” 18 แล้วราชเลขาชาฟานทูลกษัตริย์ว่า “ปุโรหิตฮิลคียาห์ได้มอบหนังสือนี้แก่ข้าพระบาท” ชาฟานจึงอ่านหนังสือนั้นต่อหน้ากษัตริย์

19 เมื่อกษัตริย์ได้ทรงฟังเนื้อความในหนังสือบทบัญญัตินั้นก็ทรงฉีกฉลองพระองค์ 20 และทรงบัญชาฮิลคียาห์ อาหิคัมบุตรชาฟาน อับโดนบุตรมีคาห์[aa] ราชเลขาชาฟาน และมหาดเล็กอาสายาห์ว่า 21 “จงไปทูลถามองค์พระผู้เป็นเจ้าให้เราและให้ชนหยิบมือที่เหลือในอิสราเอลและยูดาห์เกี่ยวกับสิ่งที่บันทึกไว้ในหนังสือที่ได้พบนี้ พระพิโรธขององค์พระผู้เป็นเจ้าที่ตกแก่เรานั้นใหญ่หลวงนัก เพราะบรรพบุรุษของเราไม่ได้ยึดพระวจนะขององค์พระผู้เป็นเจ้า ไม่ได้ปฏิบัติตามสิ่งทั้งปวงที่บันทึกไว้ในหนังสือนี้เลย”

22 ฮิลคียาห์กับคนที่กษัตริย์ส่งมาด้วยจึงไปพบผู้เผยพระวจนะหญิงฮุลดาห์ซึ่งอาศัยอยู่ที่เยรูซาเล็มแขวงสอง นางเป็นภรรยาของชัลลูมบุตรทกหาท[ab]บุตรของหัสราห์[ac] ชัลลูมเป็นผู้ดูแลเครื่องทรงในพระวิหาร

23 นางกล่าวกับพวกเขาว่า “พระยาห์เวห์พระเจ้าแห่งอิสราเอลตรัสดังนี้ว่า จงแจ้งผู้ที่ใช้เจ้ามาหาเราว่า 24 องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสดังนี้ว่า เราจะนำหายนะมายังที่แห่งนี้และมายังประชากรตามคำสาปแช่งทั้งปวงที่เขียนไว้ในหนังสือซึ่งอ่านกันต่อหน้ากษัตริย์ยูดาห์ 25 เพราะพวกเขาได้ทอดทิ้งเราไปเผาเครื่องหอมถวายเทพเจ้าอื่นๆ และยั่วโทสะของเราด้วยทุกอย่างที่มือของพวกเขาได้ทำขึ้น[ad] เราจะระบายความโกรธลงเหนือที่แห่งนี้และจะระงับไม่ได้’ 26 จงบอกกษัตริย์ยูดาห์ซึ่งใช้พวกเจ้ามาทูลถามองค์พระผู้เป็นเจ้านั้นว่า ‘พระยาห์เวห์พระเจ้าแห่งอิสราเอลตรัสเกี่ยวกับข้อความที่เจ้าได้ยินดังนี้ว่า 27 เนื่องจากจิตใจของเจ้าน้อมรับ และเจ้าได้ถ่อมตัวลงต่อหน้าพระเจ้าเมื่อได้ยินสิ่งที่เรากล่าวไว้เกี่ยวกับสถานที่นี้และประชากร และเพราะเจ้าถ่อมตัว ฉีกเสื้อผ้า และร่ำไห้ต่อหน้าเรา เราได้ยินแล้ว องค์พระผู้เป็นเจ้าประกาศดังนี้ 28 เราจะรวบรวมเจ้าไปอยู่กับบรรพบุรุษและเจ้าจะถูกฝังอย่างสงบสุข ไม่ต้องเห็นหายนะทั้งปวงซึ่งเราจะนำมายังสถานที่นี้และประชาชนเหล่านี้’ ”

พวกเขาจึงนำคำตอบของนางกลับไปทูลกษัตริย์

29 กษัตริย์โยสิยาห์จึงทรงเรียกผู้อาวุโสของยูดาห์และเยรูซาเล็มทุกคนมารวมกัน 30 พระองค์เสด็จไปยังพระวิหารขององค์พระผู้เป็นเจ้าพร้อมชาวยูดาห์ ชาวเยรูซาเล็ม ปุโรหิต และคนเลวีคือประชากรทั้งปวง ตั้งแต่ผู้น้อยที่สุดจนถึงผู้ใหญ่ที่สุด กษัตริย์ทรงอ่านทุกถ้อยคำในหนังสือพันธสัญญาซึ่งพบในพระวิหารขององค์พระผู้เป็นเจ้าต่อหน้าพวกเขา 31 พระองค์ประทับยืนอยู่ข้างเสา ทรงรื้อฟื้นพันธสัญญาต่อหน้าองค์พระผู้เป็นเจ้าที่ว่าจะติดตามองค์พระผู้เป็นเจ้า และปฏิบัติตามพระบัญชา กฎระเบียบ และกฎหมายของพระองค์ด้วยสุดจิตสุดใจ และที่จะเชื่อฟังถ้อยคำแห่งพันธสัญญาที่เขียนไว้ในหนังสือนี้

32 แล้วโยสิยาห์ทรงให้ทุกคนในเยรูซาเล็มและเบนยามินปฏิญาณตนต่อพันธสัญญานั้น ชาวเยรูซาเล็มก็ทำเช่นนี้ตามพันธสัญญาของพระเจ้าผู้เป็นพระเจ้าของบรรพบุรุษของพวกเขา

33 โยสิยาห์ทรงกำจัดรูปคารพอันน่าชิงชังทั้งปวงไปจากดินแดนทั้งหมดที่เป็นของชนอิสราเอล และทรงเรียกร้องให้คนทั้งปวงในอิสราเอลปรนนิบัติพระยาห์เวห์พระเจ้าของพวกเขา พวกเขาติดตามพระยาห์เวห์พระเจ้าของบรรพบุรุษของพวกเขาตลอดรัชกาลของโยสิยาห์

โยสิยาห์ทรงฉลองปัสกา(N)

35 โยสิยาห์ทรงฉลองปัสกาถวายแด่องค์พระผู้เป็นเจ้าในกรุงเยรูซาเล็ม มีการฆ่าแกะปัสกา ในวันที่สิบสี่เดือนที่หนึ่ง พระองค์ทรงแต่งตั้งปุโรหิตให้เข้าประจำหน้าที่ และสนับสนุนให้รับใช้ในงานพระวิหารขององค์พระผู้เป็นเจ้า พระองค์ตรัสกับคนเลวีผู้สั่งสอนชนอิสราเอลทั้งปวงและผู้ชำระตนถวายแก่ องค์พระผู้เป็นเจ้าแล้วนั้นว่า “จงเก็บหีบพันธสัญญาอันบริสุทธิ์ศักดิ์สิทธิ์ไว้ในพระวิหารซึ่งโซโลมอนโอรสของกษัตริย์ดาวิดแห่งอิสราเอลสร้างขึ้น ไม่ต้องหามขึ้นบ่า บัดนี้จงปรนนิบัติพระยาห์เวห์พระเจ้าของท่านและปรนนิบัติอิสราเอลประชากรของพระองค์ จงเตรียมตัวทำหน้าที่ตามครอบครัวเป็นหมู่เหล่า ตามที่กษัตริย์ดาวิดแห่งอิสราเอลและโซโลมอนราชโอรสกำหนดไว้เถิด

“ให้คนเลวีแต่ละกลุ่มประจำหน้าที่ในวิสุทธิสถานเพื่อปรนนิบัติพี่น้องร่วมชาติตามกลุ่มครอบครัวแต่ละกลุ่มที่ได้แบ่งไว้ จงฆ่าแกะปัสกา ชำระตน และเตรียมลูกแกะเพื่อพี่น้องร่วมชาติของท่าน ซึ่งเป็นการปฏิบัติตามที่องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงบัญชาไว้ผ่านทางโมเสส”

โยสิยาห์ทรงเตรียมลูกแกะลูกแพะเพื่อเป็นเครื่องบูชาปัสกาสามหมื่นตัว และวัวผู้สามพันตัว จากทรัพย์สินส่วนพระองค์สำหรับประชาชนทุกคนที่นั่น

ข้าราชบริพารของกษัตริย์ก็มอบของด้วยความสมัครใจแก่ประชาชน ปุโรหิต และคนเลวี ส่วนฮิลคียาห์ เศคาริยาห์ และเยฮีเอล เจ้าหน้าที่พระวิหารของพระเจ้ามอบลูกแกะลูกแพะ 2,600 ตัว และวัวผู้ 300 ตัวแก่ปุโรหิตเป็นเครื่องบูชาปัสกา บรรดาผู้นำของคนเลวีได้แก่ โคนานิยาห์ กับเชไมอาห์และเนธันเอลน้องชายของเขา และฮาชาบิยาห์ เยอีเอล และโยซาบาดมอบลูกแกะลูกแพะปัสกาห้าพันตัวกับวัวผู้ห้าร้อยตัวแก่คนเลวี

10 เมื่อเตรียมทุกอย่างเรียบร้อย และปุโรหิตทั้งหลายเข้าประจำที่ของตน พร้อมทั้งคนเลวีได้เข้ากลุ่มปฏิบัติงานตามหมู่เหล่าดังที่กษัตริย์ตรัสบัญชาไว้แล้ว 11 ก็ฆ่าลูกแกะปัสกา ส่งเลือดให้ปุโรหิตประพรม ขณะที่คนเลวีถลกหนังสัตว์ 12 พวกเขาแยกเครื่องเผาบูชาเพื่อมอบให้ตระกูลต่างๆ เพื่อให้ประชาชนถวายแด่องค์พระผู้เป็นเจ้าตามที่บันทึกไว้ในบทบัญญัติของโมเสส พวกเขาก็ทำอย่างเดียวกันกับวัวผู้ 13 พวกเขาย่างสัตว์ปัสกาตามที่ระบุไว้ และต้มของถวายอันบริสุทธิ์ในหม้อ กระทะ ภาชนะต่างๆ แล้วรีบนำออกไปให้ประชากรทั้งปวงรับประทาน 14 หลังจากนั้นคนเลวีก็จัดเตรียมสำหรับตนเองกับปุโรหิต เพราะปุโรหิตวงศ์วานอาโรนง่วนอยู่กับการถวายเครื่องเผาบูชาและไขมันเครื่องบูชาจนค่ำ ดังนั้นคนเลวีจึงจัดเตรียมอาหารสำหรับตนเองและปุโรหิตวงศ์วานของอาโรน

15 เหล่านักดนตรีวงศ์วานของอาสาฟเข้าประจำที่ตามที่ดาวิด อาสาฟ เฮมาน และเยดูธูนผู้ทำนาย ส่วนพระองค์ของดาวิดกำหนดไว้ ยามเฝ้าประตูแต่ละประตูไม่จำเป็นต้องละจากจุดปฏิบัติงาน เพราะพี่น้องเลวีของเขาเตรียมอาหารไว้ให้

Thai New Contemporary Bible (TNCV)

Thai New Contemporary Bible Copyright © 1999, 2001, 2007 by Biblica, Inc.® Used by permission. All rights reserved worldwide.