Print Page Options
Previous Prev Day Next DayNext

Bible in 90 Days

An intensive Bible reading plan that walks through the entire Bible in 90 days.
Duration: 88 days
Thai New Testament: Easy-to-Read Version (ERV-TH)
Version
เนหะมียาห์ 1:1-13:14

คำอธิษฐานของเนหะมียาห์

นี่คือคำพูดของเนหะมียาห์ ลูกชายของฮาคาลิยาห์

ในเดือนคิสเลฟ ปีที่ยี่สิบ[a] แห่งรัชกาลของกษัตริย์อารทาเซอร์ซีส[b] ขณะที่ผมอยู่ในเขตวังเมืองสุสา[c] ฮานานีพี่น้องของผมคนหนึ่ง กับชายบางคนจากยูดาห์ได้เข้ามาพบผม ผมได้ถามพวกเขาถึงพวกยิวที่เหลืออยู่ที่หนีรอดมา ไม่ตกเป็นเชลย และได้ถามเกี่ยวกับเมืองเยรูซาเล็ม

พวกเขาบอกผมว่า “คนเหล่านั้นที่อยู่ในยูดาห์ ที่หนีรอดมา ไม่ตกเป็นเชลยนั้นกำลังลำบากและอับอายมาก เพราะกำแพงเมืองเยรูซาเล็มได้พังลง และประตูเมืองต่างๆก็ถูกเผา”

เมื่อผมได้ฟังอย่างนั้น ก็ทรุดตัวลงนั่งร้องไห้ และไว้ทุกข์อยู่หลายวัน ผมได้อดอาหารพร้อมกับอธิษฐานต่อหน้าพระเจ้าแห่งสวรรค์ ผมพูดว่า

“ข้าแต่พระยาห์เวห์ พระเจ้าแห่งสวรรค์ พระเจ้าผู้ยิ่งใหญ่และน่าเกรงขาม พระองค์ผู้รักษาคำมั่นสัญญาอย่างสัตย์ซื่อกับคนเหล่านั้นที่รักพระองค์ และเชื่อฟังคำสั่งต่างๆของพระองค์

ขอให้หูของพระองค์รับฟังและตาเปิดออก เพื่อฟังคำอธิษฐานของผู้รับใช้ของพระองค์ ตอนนี้ข้าพเจ้ากำลังอธิษฐานต่อหน้าพระองค์ทั้งวันทั้งคืน สำหรับคนอิสราเอลผู้รับใช้ของพระองค์ และข้าพเจ้ากำลังสารภาพความบาปทั้งหลายของคนอิสราเอล ที่พวกเราได้ทำต่อพระองค์ แม้แต่ข้าพเจ้าและครอบครัวของข้าพเจ้าก็บาปด้วย พวกเราชาวอิสราเอลได้ทำตัวชั่วช้ามากต่อพระองค์ และพวกเราก็ไม่เชื่อฟังพวกคำสั่ง บัญญัติ และกฎทั้งหลายที่พระองค์ให้ไว้กับโมเสส ผู้รับใช้ของพระองค์

ขอพระองค์ระลึกถึงคำพูดที่พระองค์ให้ไว้กับโมเสสผู้รับใช้ของพระองค์ คือตอนที่พระองค์พูดว่า ‘ถ้าพวกเจ้าไม่ซื่อสัตย์ต่อเรา เราจะทำให้พวกเจ้ากระจัดกระจายไปอยู่ตามชนชาติต่างๆ แต่ถ้าพวกเจ้าหันกลับมาหาเรา และทำตามคำสั่งต่างๆของเราอย่างเคร่งครัด เมื่อนั้นถึงแม้พวกเจ้าที่ถูกจับไปเป็นเชลยจะกระจัดกระจายไปอยู่ถึงสุดขอบฟ้า เราก็จะรวบรวมพวกเจ้ากลับมาจากที่นั่น เราจะนำพวกเจ้ามาอยู่ในสถานที่ที่เราได้เลือกไว้ให้เป็นที่สถิตชื่อของเรา’

10 คนอิสราเอลเหล่านี้เป็นผู้รับใช้และเป็นคนของพระองค์ ที่พระองค์ได้ช่วยให้พ้นจากการเป็นทาสด้วยฤทธิ์อำนาจอันยิ่งใหญ่ และมืออันแข็งแกร่งของพระองค์ 11 ข้าแต่องค์เจ้าชีวิตของข้าพเจ้า ขอให้หูของพระองค์รับฟังคำอธิษฐานของข้าพเจ้าผู้รับใช้ของพระองค์ และรับฟังคำอธิษฐานของผู้รับใช้ทั้งหมดของพระองค์ ผู้ที่มีความสุขในการให้เกียรติกับพระองค์ ขอพระองค์มอบความสำเร็จให้กับข้าพเจ้า ผู้รับใช้ของพระองค์ในวันนี้ด้วยเถิด และทำให้กษัตริย์องค์นี้ชอบข้าพเจ้าด้วยเถิด”

ในตอนนั้น ผมมีตำแหน่งเป็นคนชิมเหล้าองุ่น[d] ของกษัตริย์

กษัตริย์ส่งเนหะมียาห์ไปเยรูซาเล็ม

ในเดือนนิสาน ของปีที่ยี่สิบ[e] ในสมัยรัชกาลของกษัตริย์อารทาเซอร์ซีส ในช่วงทานอาหารเย็น ผมได้หยิบเหล้าองุ่นและยื่นให้กับกษัตริย์ ก่อนหน้านี้ เมื่อผมอยู่ต่อหน้ากษัตริย์ผมไม่เคยโศกเศร้าเลย กษัตริย์จึงพูดกับผมว่า “ทำไมใบหน้าของเจ้าจึงเศร้าหมองนัก เจ้าคงไม่ได้ป่วยหรอกนะ นี่คงเป็นเพราะเจ้ากลุ้มใจแน่ๆ”

แล้วผมก็รู้สึกกลัวมาก ผมพูดกับกษัตริย์ว่า “ขอให้กษัตริย์มีอายุยืนยาวตลอดไป จะไม่ให้ข้าพเจ้าเศร้าโศกได้ยังไงครับท่าน ในเมื่อเมืองซึ่งเป็นที่ฝังศพของบรรพบุรุษของข้าพเจ้า ถูกทิ้งเป็นซากปรักหักพังอยู่ และประตูเมืองต่างๆของมันก็ถูกไฟเผาจนวอดวาย”

แล้วกษัตริย์ก็พูดกับผมว่า “แล้วเจ้าต้องการอะไร”

ผมจึงอธิษฐานต่อพระเจ้าแห่งฟ้าสวรรค์ แล้วตอบกษัตริย์ว่า “ถ้าพระองค์เต็มใจและพอใจในตัวข้าพเจ้า ผู้รับใช้ของพระองค์ ช่วยส่งข้าพเจ้าไปยูดาห์ เมืองที่ฝังศพบรรพบุรุษของข้าพเจ้าด้วยเถิด เพื่อข้าพเจ้าจะได้ไปสร้างมันขึ้นมาใหม่”

แล้วกษัตริย์ ซึ่งมีพระราชินีนั่งอยู่ข้างๆได้ถามผมว่า “เจ้าจะไปนานแค่ไหน และจะกลับมาเมื่อไหร่”

หลังจากผมบอกพระองค์ว่าจะไปนานแค่ไหน พระองค์ก็เต็มใจที่จะส่งผมไป แล้วผมจึงพูดกับกษัตริย์ว่า “ถ้าเป็นที่พอใจของพระองค์ ขอพระองค์ได้โปรดมอบพวกจดหมายให้ข้าพเจ้า โดยจ่าหน้าถึงพวกผู้ว่าที่อยู่ในมณฑลฝั่งตะวันตกของแม่น้ำยูเฟรติส เพื่อพวกเขาจะได้ยอมให้ข้าพเจ้าเดินทางไปถึงยูดาห์อย่างปลอดภัย และขอให้พระองค์มอบจดหมายฉบับหนึ่งให้ข้าพเจ้า โดยจ่าหน้าถึงอาสาฟ ผู้ดูแลป่าไม้ของพระองค์ เพื่อเขาจะได้มอบไม้ให้ข้าพเจ้า สำหรับสร้างไม้คานประตูป้อมที่ติดกับวิหาร สำหรับสร้างกำแพงเมือง และสำหรับสร้างบ้านที่ข้าพเจ้าจะอยู่”

กษัตริย์ได้ให้ผมตามที่ผมขอ เพราะมือของพระเจ้าคอยช่วยเหลือผม

ดังนั้น ผมจึงไปหาพวกผู้ว่าของเมืองต่างๆที่อยู่ในมณฑลฝั่งตะวันตกของแม่น้ำยูเฟรติส และมอบจดหมายทั้งหลายของกษัตริย์ให้พวกเขา กษัตริย์ยังส่งพวกนายทัพนายกองและพวกทหารม้ามากับผมด้วย 10 เมื่อสันบาลลัทชาวโฮโรนาอิม และโทบีอาห์เจ้าหน้าที่ชาวอัมโมน ได้ยินเกี่ยวกับเรื่องนี้ พวกเขาไม่พอใจมากที่มีคนมาช่วยประชาชนอิสราเอล

เนหะมียาห์ ตรวจกำแพงเมือง

11 ดังนั้น ผมได้มาที่เมืองเยรูซาเล็มและอยู่ที่นั่นเป็นเวลาสามวัน 12 แล้วในตอนกลางคืน ผมได้ลุกขึ้นและออกไปพร้อมกับชายไม่กี่คน ผมไม่ได้บอกใครถึงเรื่องที่พระเจ้าได้ใส่ไว้ในใจของผม ที่จะทำให้กับเมืองเยรูซาเล็ม ผมไม่ได้เอาสัตว์อะไรไปด้วยเลย นอกจากตัวที่ผมขี่อยู่ 13 ในคืนนั้น ผมได้ออกไป ผ่านทางประตูหุบเขา ผ่านบ่อมังกร ไปไกลถึงประตูกองขยะ ผมตรวจดูพวกกำแพงเมืองของเยรูซาเล็มที่หักพัง และพวกประตูเมืองที่ถูกไฟเผาทำลาย 14 แล้วผมไปยังประตูน้ำพุและสระน้ำของกษัตริย์ แต่ไม่มีทางพอที่จะให้สัตว์ที่ผมขี่ผ่านไปได้ 15 ดังนั้นผมจึงขึ้นไปทางหุบเขาในตอนกลางคืน และผมได้ตรวจดูกำแพงเมือง แล้วกลับมาเข้าทางประตูหุบเขา กลับมายังที่เดิม 16 พวกเจ้าหน้าที่ไม่รู้ว่าผมไปไหน หรือไปทำอะไรมา เพราะผมยังไม่ได้บอกพวกชาวยิว พวกนักบวช พวกผู้นำ พวกเจ้าหน้าที่ หรือคนอื่นๆที่จะเป็นคนทำงาน

17 แต่ในที่สุดผมก็พูดกับพวกเขาว่า “ท่านก็เห็นแล้วถึงความยากลำบากที่เรามีอยู่นี้ ที่เมืองเยรูซาเล็มตกอยู่ในสภาพซากปรักหักพัง และพวกประตูเมืองถูกเผาไป มาเถอะ มาช่วยกันสร้างกำแพงเมืองเยรูซาเล็มขึ้นใหม่ เพื่อเราจะได้ไม่ต้องอับอายขายหน้าอีกต่อไป”

18 ผมบอกพวกเขาว่า มือของพระเจ้าของผมได้คอยช่วยเหลือผมอย่างไร และบอกสิ่งที่กษัตริย์ได้พูดกับผม แล้วพวกเขาจึงพูดว่า “ให้เราลุกขึ้นมาสร้างกำแพงกันเถอะ” แล้วพวกเขาก็เตรียมตัวลงมือทำงานที่ดีนี้ 19 เมื่อสันบาลลัทชาวโฮโรนาอิม และโทบีอาห์เจ้าหน้าที่ชาวอัมโมน และเกเชมชาวอาหรับได้ยินเรื่องนี้ พวกเขาต่างหัวเราะเยาะและดูถูกเหยียดหยามพวกเรา พวกเขาพูดว่า “พวกแกกำลังทำอะไรกันนี่ พวกแกกำลังกบฏต่อกษัตริย์หรือยังไง”

20 ผมตอบพวกเขาว่า “พระเจ้าแห่งฟ้าสวรรค์จะทำให้เราสำเร็จ พวกเรา ผู้รับใช้ของพระองค์ จะลุกขึ้นมาสร้างมันขึ้นมาใหม่ แต่พวกเจ้าไม่มีที่ดินสักแปลงในนี้ ไม่มีอำนาจทางกฎหมายในเมืองนี้ และบรรพบุรุษของเจ้าก็ไม่เคยมีส่วนเกี่ยวข้องกับเมืองเยรูซาเล็มนี้”

สร้างกำแพงเมืองเยรูซาเล็มขึ้นใหม่

เอลียาชีบ หัวหน้านักบวชสูงสุด พร้อมทั้งพวกเพื่อนๆนักบวชของท่าน ได้ลงมือก่อสร้างประตูแกะขึ้นมาใหม่ พวกเขาอุทิศมันให้กับพระเจ้า และพวกเขาได้ติดตั้งบานประตู พวกเขาสร้างกำแพงไปไกลถึงหอคอยร้อยพล และไปไกลจนถึงหอคอยฮานันเอล แล้วพวกเขาได้อุทิศมันให้กับพระเจ้า

พวกคนเยริโคก็ลงมือสร้างกำแพงด้วย พวกเขาอยู่ถัดจากเอลียาชีบออกไป ส่วนศักเกอร์ลูกชายของอิมรี ก็มาสร้างด้วยและอยู่ถัดจากพวกคนเยริโคออกไป

พวกลูกชายของหัสเสนาอาห์ ได้สร้างประตูปลา พวกเขาวางวงกบประตู ติดตั้งบานประตู ติดลูกสลักและดาลประตู

ถัดจากพวกนี้ไป เมเรโมท ลูกชายของอุรียาห์ ที่เป็นลูกชายของฮักโขส มาช่วยซ่อมแซมกำแพงช่วงถัดไป

ถัดจากพวกนี้ไป เมชุลลาม ลูกชายเบเรคิยาห์ ที่เป็นลูกชายของเมเชซาเบล มาช่วยซ่อมแซมกำแพงช่วงถัดไป

และศาโดก ลูกชายของบาอานา มาช่วยซ่อมแซมกำแพงช่วงถัดไป

ต่อจากพวกเขาไป ก็มีพวกผู้ชายชาวเทโคอา มาช่วยซ่อมแซมกำแพงช่วงถัดไป แต่พวกผู้นำของพวกเขาไม่ยอมลงมือทำงานให้กับเจ้านายของพวกเขา

โยยาดา ลูกชายของปาเสอาห์ และเมชุลลาม ลูกชายของเบโสไดอาห์ มาซ่อมแซมประตูเมืองเก่า[f] พวกเขาวางวงกบประตู ติดตั้งบานประตู ติดลูกสลักและดาลประตู ถัดจากพวกเขาไป มีเมลาติยาห์ ซึ่งเป็นชาวกิบโอน และยาโดนซึ่งเป็นชาวเมโรโนท มาช่วยซ่อมแซมด้วย พร้อมกับพวกผู้ชายชาวเมืองกิเบโอน และชาวเมืองมิสปาห์ มิสปาห์เป็นสำนักงานใหญ่ของผู้ว่ามณฑลฝั่งตะวันตกของแม่น้ำยูเฟรติส ถัดจากเมลาติยาห์ มีอุสซีเอลช่างทอง ที่เป็นลูกชายของฮารฮายาห์ มาช่วยซ่อมแซมด้วย และถัดจากเขาไปก็มีฮานันยาห์ ซึ่งเป็นคนทำน้ำหอม มาช่วยซ่อมแซมด้วย พวกเขาตัดส่วนหนึ่งของเยรูซาเล็มเก่าออกไป และซ่อมแซมไปจนถึงกำแพงกว้าง

ถัดจากพวกเขามีเรไฟยาห์ ลูกชายของเฮอร์ ซึ่งเป็นผู้ครอบครองครึ่งหนึ่งของเขตของเมืองเยรูซาเล็ม ได้มาช่วยซ่อมแซมกำแพงด้วย

10 ถัดจากพวกเขามี เยดายาห์ ลูกชายของฮารุมัฟ ได้มาช่วยซ่อมแซมส่วนที่อยู่ตรงข้ามบ้านตัวเอง และถัดจากเขามี ฮัทธัช ลูกชายของฮาชับเนยาห์ ได้มาช่วยซ่อมแซมด้วย

11 มัลคิยาห์ ลูกชายของฮาริม และหัสชูบลูกชายของปาหัทโมอับ ซ่อมแซมอีกส่วนหนึ่งรวมทั้งหอคอยเตาอบ

12 ถัดจากมัลคิยาห์ มี ชัลลูมลูกชายของฮัลโลเหช ผู้ครอบครองครึ่งหนึ่งของเขตเมืองเยรูซาเล็ม ได้มาช่วยซ่อมแซมพร้อมกับพวกลูกสาวของเขา

13 ฮานูน และประชาชนที่อาศัยอยู่ในเมืองศาโนอาห์ ได้มาช่วยซ่อมแซมประตูหุบเขา พวกเขาทำวงกบขึ้นใหม่ และติดตั้งบานประตู ติดลูกสลักและดาลประตู พวกเขาซ่อมกำแพงไปจนถึงประตูกองขยะ รวมเป็นความยาวหนึ่งพันศอก

14 มัลคิยาห์ ลูกชายของเรคาบ ซึ่งปกครองเขตเบธฮัคเคเรม เป็นผู้ซ่อมประตูกองขยะ รวมทั้งทำวงกบและติดตั้งบานประตู ลูกสลักประตู และดาลประตู

15 ชัลลูม ลูกชายของคลโฮเซห์ ซึ่งปกครองเขตมิสปาห์ เป็นคนซ่อมแซมประตูน้ำพุ เขาสร้างหลังคาและยังติดตั้งบานประตู ติดดาลและสลักประตู เขายังซ่อมกำแพงที่สระเชลาห์ ที่อยู่ในสวนของกษัตริย์ เขาได้ซ่อมแซมไปจนถึงบันไดซึ่งลงมาจากนครดาวิด[g]

16 ถัดเขาไปมี เนหะมียาห์ ลูกชายของอัสบูก ซึ่งปกครองครึ่งหนึ่งของเขตเมืองเบธซูร์ เขาได้ซ่อมแซมขึ้นไปจนถึงสถานที่ที่อยู่ตรงข้ามกับอุโมงค์ฝังศพของดาวิด ตลอดไปจนถึงสระน้ำที่สร้างขึ้นและไปถึงโรงทหาร

17 ต่อจากเขามีชาวเลวี ได้มาช่วยซ่อมแซม มี เรฮูม ลูกชายของบานี และถัดจากเขาไปมี ฮาชาบิยาห์ ผู้ครอบครองครึ่งหนึ่งของเขตเคอีลาห์ เขาได้ซ่อมแซมเขตของเขา

18 ถัดจากเขามีพี่น้องของพวกเขา ที่มาช่วยซ่อมแซม มีบินนุย[h] ลูกชายของเฮนาดัด ซึ่งครอบครองครึ่งหนึ่งของเขตเคอีลาห์

19 ถัดจากเขามีเอเซอร์ ลูกชายของเยชูอา ซึ่งครอบครองเมืองมิสปาห์ ที่รับหน้าที่ซ่อมแซมอีกส่วนหนึ่ง ที่อยู่ตรงข้ามทางขึ้นไปคลังอาวุธ ไปจนถึงส่วนหักมุมของกำแพง 20 ต่อจากเขามีบารุค ลูกชายของศับบัย ซึ่งซ่อมแซมส่วนหนึ่งจากส่วนหักมุมของกำแพง ไปจนถึงทางเข้าบ้านของเอลียาชีบ ซึ่งเป็นหัวหน้านักบวชสูงสุด

21 ถัดจากเขาก็มีเมเรโมท ลูกชายของอุรียาห์ ที่เป็นลูกชายของฮักโขส เมเรโมทได้ซ่อมแซมอีกส่วนหนึ่งจากทางเข้าบ้านของเอลียาชีบ ไปจนถึงท้ายสุดของบ้านของเอลียาชีบ 22 ถัดจากเขาไป มีบรรดานักบวชที่ได้มาช่วยซ่อมแซม พวกเขามาจากบริเวณแถวรอบๆเมืองเยรูซาเล็ม

23 ถัดจากพวกเขามีเบนยามิน และหัสชูบ ที่ซ่อมแซมกำแพงส่วนที่อยู่ตรงข้ามบ้านของพวกเขา

ถัดจากพวกเขามีอาซิริยาห์ ลูกชายของมาอาเสอาห์ ที่เป็นลูกชายของอานานิยาห์ อาซาริยาห์ได้ช่วยซ่อมแซมบริเวณที่อยู่ข้างบ้านของเขา

24 ถัดจากเขามีบินนุย ลูกชายของเฮนาดัด ได้ซ่อมแซมอีกส่วนหนึ่งของกำแพงบริเวณจากบ้านของอาซาริยาห์ ไปจนถึงมุมหักของกำแพงไปจนสุดมุม

25 ถัดจากเขาก็มีปาลาล ลูกชายของอุซัย ซึ่งซ่อมแซมส่วนที่อยู่ตรงข้ามกับมุมหักของกำแพง และหอคอยที่ยื่นออกมาจากวังหลังที่อยู่สูงขึ้นไป ซึ่งมีทหารรักษาพระองค์อยู่ ต่อจากเขาก็มีเปดายาห์ ลูกชายของปาโรช

26 พวกคนรับใช้ประจำวิหาร ซึ่งอาศัยอยู่ที่โอเฟล ได้ทำการซ่อมแซมไปจนถึงที่ที่อยู่ตรงข้ามกับประตูน้ำทางทิศตะวันออก และหอคอยที่ยื่นออกมาจากวัง

27 ถัดจากเขา มีพวกชาวเทโคอา ที่ได้ซ่อมแซมอีกส่วนหนึ่ง จากที่ที่อยู่ตรงข้ามหอคอยใหญ่ที่ยื่นออกไปจนถึงกำแพงเมืองโอเฟล

28 พวกนักบวชต่างก็ซ่อมแซมกำแพงส่วนที่อยู่เหนือประตูม้า แต่ละคนต่างซ่อมส่วนที่อยู่ตรงข้ามกับบ้านตัวเอง

29 ถัดจากพวกเขามีศาโดก ลูกชายของอิมเมอร์ ที่ซ่อมแซมส่วนที่อยู่ตรงข้ามบ้านของเขา ต่อจากเขาไป มี เชไมอาห์ ลูกชายของเชคานิยาห์ ซึ่งเป็นคนเฝ้าประตูทิศตะวันออก เขาได้ซ่อมแซมกำแพงช่วงถัดไป

30 ผู้ที่ซ่อมแซมถัดจากเขามี ฮานันยาห์ ลูกชายของเชเลมิยาห์ และฮานูน ลูกชายคนที่หกของศาลาฟ

เมชุลลาม ลูกชายของเบเรคิยาห์ ซ่อมแซมส่วนตรงข้ามกับห้องของเขา

31 ต่อจากเขาไปมี มัลคิยาห์ คนหนึ่งในพวกช่างทอง เขาได้ซ่อมแซมกำแพงไปจนถึงบ้านที่พวกคนรับใช้ประจำวิหาร และพวกพ่อค้าอยู่กัน บริเวณอยู่ตรงข้ามประตูตรวจการ เขาซ่อมแซมไปจนถึงห้องชั้นบนตรงมุม 32 บรรดาช่างทองและพวกพ่อค้า พากันซ่อมแซมส่วนที่อยู่ระหว่างห้องชั้นบนตรงมุมกับประตูแกะ

สันบาลลัทและโทบีอาห์

เมื่อสันบาลลัท ได้ยินว่าเรากำลังสร้างกำแพง เขาโกรธและเดือดดาลมาก เขาหัวเราะเยาะพวกชาวยิว ต่อหน้าเพื่อนร่วมงานและต่อหน้ากองทัพสะมาเรีย เขาพูดว่า “ไอ้พวกยิวที่อ่อนแอเหล่านี้กำลังทำอะไรกันหรือ พวกมันจะจัดการเรื่องนี้เองหรือ พวกมันจะถวายเครื่องบูชาหรือ พวกมันคิดว่าจะทำเสร็จภายในวันเดียวหรือ พวกมันจะเอาหินที่ถูกเผาอยู่ในกองขยะพวกนั้น มาใช้ใหม่หรือยังไง”

โทบีอาห์ที่เป็นชาวอัมโมน ที่ยืนอยู่ข้างๆสันบาลลัท พูดว่า “สิ่งที่พวกเขากำลังสร้างอยู่นั้น แค่สุนัขจิ้งจอกตัวหนึ่งปีนขึ้นไป กำแพงหินพวกนั้นก็พังลงมาแล้ว”

ผม เนหะมียาห์จึงพูดว่า “ข้าแต่พระเจ้าของพวกเรา โปรดฟังเราด้วยเถิด พวกเขาได้ดูถูกเหยียดหยามพวกเรา ขอพระองค์ช่วยให้คำดูถูกเหยียดหยามของพวกเขา กลับไปตกลงบนหัวของพวกเขาเอง ขอให้พวกเขาโดนจับไปเหมือนของที่ถูกปล้นมาและถูกแบกเอาไปต่างแดน ขอพระองค์อย่าได้ปกปิดความผิดของพวกเขา ขอพระองค์อย่าได้ลบล้างความบาปของพวกเขาไปจากสายตาของพระองค์ เพราะพวกเขาได้ทำให้พระองค์โกรธต่อหน้าพวกคนก่อสร้างเหล่านี้”

ดังนั้น เราจึงสร้างกำแพงขึ้นมาใหม่ และกำแพงทั้งหมดได้ถูกก่อสูงขึ้นไปครึ่งหนึ่งแล้ว เพราะประชาชนตื่นเต้นที่จะสร้างมันขึ้นมา

แต่เมื่อสันบาลลัทและโทบีอาห์ รวมทั้งชาวอาหรับ ชาวอัมโมน และชาวอัชโดดได้ยินว่า การซ่อมแซมกำแพงเมืองเยรูซาเล็มกำลังคืบหน้าไปด้วยดี และกำลังปิดช่องโหว่ต่างๆของกำแพง พวกเขาโกรธมาก

ดังนั้น พวกเขาจึงร่วมกันวางแผนที่จะมาต่อสู้กับเมืองเยรูซาเล็ม และสร้างความสับสนวุ่นวายให้กับเมืองนี้ แต่พวกเราได้อธิษฐานต่อพระเจ้าของเรา และจัดเวรยามบริเวณกำแพงทั้งวันทั้งคืน เพื่อป้องกันจากคนพวกนั้น

10 แต่คนยูดาห์พูดว่า “พวกคนงานนั้นกำลังหมดเรี่ยวแรง และมีเศษซากปรักหักพังมากเหลือเกิน พวกเราไม่สามารถสร้างกำแพงนี้ขึ้นมาใหม่ได้หรอก” 11 แล้วพวกศัตรูของเราก็พูดว่า “เราจะบุกเข้าไปก่อนที่พวกยิวนี้จะทันตั้งตัว และฆ่าพวกมันทิ้ง และหยุดงานก่อสร้างของพวกมัน”

12 เมื่อพวกชาวยิวที่อาศัยอยู่ใกล้ศัตรูของเรา ได้มาหาเราจากรอบทิศ พวกเขาได้เตือนเราเป็นสิบๆครั้งว่า “พวกท่านกลับไปบ้านเสียเถอะ”

13 ผมยืนอยู่ในบริเวณที่ต่ำที่สุดหลังกำแพงที่เป็นที่โล่ง ผมได้จัดให้พวกเขาอยู่กันเป็นหมวดหมู่ตามครอบครัว ให้พวกเขาถือดาบ หอก และคันธนูไว้ 14 เมื่อผมตรวจดูพวกเขาแล้ว ผมได้พูดกับพวกผู้นำ พวกเจ้าหน้าที่ และคนที่เหลือว่า “ไม่ต้องกลัวพวกมัน ให้ระลึกถึงองค์เจ้าชีวิตที่ยิ่งใหญ่และน่าเกรงขาม ต่อสู้เพื่อพี่น้องของท่าน เพื่อลูกชายลูกสาวของท่าน เพื่อเมียและบ้านของท่าน”

15 เมื่อศัตรูของเรารู้ว่า เราล่วงรู้แผนการของพวกมันแล้ว และพวกมันรู้ว่าพระเจ้าได้ทำลายแผนการของพวกมันแล้ว พวกเราจึงกลับไปที่กำแพง และทำงานของพวกเราแต่ละคนต่อ

16 หลังจากวันนั้น คนรับใช้ของผมครึ่งหนึ่งไปทำงานก่อสร้างกำแพง ส่วนอีกครึ่งหนึ่งก็ถือโล่ ถือหอก คันธนู และสวมเสื้อเกราะ และมีพวกผู้นำทางทหารยืนอยู่ตามตำแหน่งต่างๆด้านหลังของคนยูดาห์ 17 ผู้ที่กำลังสร้างกำแพงอยู่นั้น ส่วนพวกคนขนของ มือหนึ่งยกของ อีกมือหนึ่งก็ถืออาวุธอยู่

18 คนก่อสร้างแต่ละคน ในขณะทำการก่อสร้าง ก็มีดาบเหน็บอยู่ที่เอว ชายที่เป่าแตรยืนอยู่ข้างๆผม

19 ผมพูดกับพวกผู้นำ เจ้าหน้าที่ทั้งหลาย พร้อมกับคนอื่นๆที่เหลือว่า “งานก็ใหญ่ และคนทำงานก็กระจายกันไปทั่ว พวกเราเริ่มอยู่ห่างจากกันมากขึ้นบนกำแพง 20 ถ้าได้ยินเสียงแตรเมื่อไหร่ ให้มารวมตัวกันที่นี่ พระเจ้าของเราจะต่อสู้เพื่อพวกเรา”

21 ดังนั้นพวกเราจึงทำงานกันต่อไป คนครึ่งหนึ่งถือหอก ตั้งแต่เช้ามืดจนดาวโผล่บนท้องฟ้า

22 ในตอนนั้น ผมพูดกับประชาชนอีกว่า “ขอให้ชายแต่ละคนและคนใช้ของเขา นอนค้างอยู่ในเมืองเยรูซาเล็ม เพื่อเขาจะได้เป็นทั้งคนงานในตอนกลางวัน และเป็นยามในตอนกลางคืนให้กับพวกเราด้วย” 23 ดังนั้น ผมและพวกญาติสนิท รวมทั้งพวกคนรับใช้ของผม และพวกยามทั้งหลายที่ติดตามผม ไม่มีใครถอดเสื้อผ้าออกเลยแม้แต่ตอนนอน มือขวาของแต่ละคนก็ถืออาวุธไว้ตลอด

เนหะมียาห์ ช่วยเหลือคนยากจน

แต่แล้วก็มีชาวบ้านทั้งชายและหญิง ต่างพากันบ่นต่อว่าพี่น้องชาวยิวของตน

มีบางคนพูดว่า “เรามีลูกชายลูกสาวหลายคน แบ่งข้าวให้กับพวกเราหน่อย พวกเราจะได้มีกินและมีชีวิตต่อไป”

คนอื่นพูดว่า “เราต้องจำนองที่ไร่นา สวนองุ่นและบ้านของเรา เพื่อให้ได้ข้าวมาในช่วงที่กันดารอาหาร”

และยังมีบางคนพูดว่า “เราต้องเอาที่นาและสวนองุ่นของพวกเราไปจำนอง เพื่อกู้เงินมาจ่ายภาษีให้กับกษัตริย์ เราก็มีสายเลือดเดียวกันกับพี่น้องพวกนั้นของเรา ลูกๆเราก็ดีพอๆกับลูกๆของพวกเขา แต่ดูเถิด เราตกอยู่ในสภาพที่จะต้องขายลูกชายลูกสาวของเราไปเป็นทาส อันที่จริงลูกสาวของเราบางคนได้กลายเป็นทาสไปแล้ว และเราก็ช่วยอะไรพวกเขาไม่ได้เลย เพราะไร่นาและสวนองุ่นของพวกเราได้ตกไปเป็นของคนอื่นแล้ว”

เมื่อได้ยินเรื่องที่พวกเขาร้องบ่นและคำพูดเหล่านี้ของพวกเขา ผมก็โกรธมาก ผมได้คิดทบทวนเรื่องเหล่านี้[i] และต่อว่าพวกหัวหน้ากับพวกเจ้าหน้าที่ทั้งหลาย ผมพูดกับพวกเขาว่า “พวกเจ้าได้ยึดทั้งคนทั้งของจากคนของเจ้าเอง เพื่อเอามาค้ำประกันการกู้ยืม” แล้วผมจึงเรียกประชุมใหญ่เพื่อจัดการกับเรื่องนี้

ผมพูดกับพวกเขาว่า “พวกเราได้พยายามซื้อพวกพี่น้องชาวยิวที่ถูกขายไปประเทศอื่นกลับมามากเท่าที่พวกเราจะทำได้ แต่ตอนนี้พวกเจ้ากลับขายพี่น้องของพวกเจ้าเองไปเป็นทาส เลยทำให้พวกเราต้องไปซื้อพวกเขากลับมาอีก”

พวกเขาต่างเงียบกันหมด พูดไม่ออก แล้วผมจึงพูดว่า “สิ่งที่เจ้าทำนั้นมันไม่ถูกต้อง เจ้าน่าจะทำตัวเคารพยำเกรงพระเจ้าของเรา เพื่อคนต่างชาติที่เป็นศัตรูของเราจะได้ไม่เยาะเย้ยพวกเรา ไม่ใช่หรือ

10 ผมเองรวมทั้งพวกพี่น้องของผม และคนใช้ของผมได้ให้พวกเขายืมเงินและข้าวสาร แต่ขอให้พวกเราเลิกเรียกของค้ำประกันจากคนเหล่านี้ที่มากู้ยืมเรา 11 ให้คืนไร่นา สวนองุ่น สวนมะกอกเทศ และบ้านให้กับพวกเขา และให้คืนดอกเบี้ยหนึ่งเปอร์เซ็นต์ที่เจ้าคิดกับพวกเขาต่อเดือน สำหรับเงิน เมล็ดข้าว เหล้าองุ่น และน้ำมันที่เจ้าให้พวกเขายืมไป”

12 แล้วพวกเขาก็พูดว่า “พวกเราจะคืนทุกสิ่งทุกอย่างให้กับคนเหล่านั้น และจะไม่เรียกร้องอะไรเพิ่มอีก เราจะทำตามที่ท่านพูด”

ผมจึงเรียกพวกนักบวชมา และให้พวกที่ปล่อยเงินกู้ สาบานว่าจะทำตามที่พวกเขาได้พูดไว้ 13 ผมได้สะบัดห่อผ้าของตัวเองและพูดว่า “สำหรับคนที่ไม่ทำตามคำสาบานนั้น ขอให้พระเจ้าสะบัดพวกเขาออกจากบ้านและที่ดินของเขาอย่างนี้เหมือนกัน ขอให้พวกเขาถูกสะบัดออกอย่างนี้จนไม่เหลืออะไรเลย”

แล้วทุกคนในที่ประชุมก็พูดว่า “อาเมน” พร้อมกับสรรเสริญพระยาห์เวห์ แล้วทุกคนก็ทำตามคำสาบานของพวกเขา

14 นอกจากนั้นแล้ว ตั้งแต่วันที่ผมได้รับแต่งตั้งให้เป็นเจ้าเมืองในแผ่นดินยูดาห์ จากปีที่ยี่สิบจนถึงปีที่สามสิบสอง ในรัชกาลของกษัตริย์อารทาเซอร์ซีส[j] รวมสิบสองปี ผมและพี่น้องที่สนิท ไม่ได้กินอาหารที่จัดให้สำหรับผู้ว่าเลย 15 พวกเจ้าเมืองในอดีตที่อยู่ก่อนหน้าผม ได้ทำให้ประชาชนต้องรับภาระหนัก พวกเจ้าเมืองได้รีดไถเอาอาหารและเหล้าองุ่น รวมทั้งเงินหนักประมาณครึ่งกิโลกรัม[k] จากประชาชน แม้แต่คนใช้ของเจ้าเมืองพวกนี้ยังใช้อำนาจข่มเหงผู้คนเลย แต่ผมไม่ได้ทำเรื่องพวกนี้ เพราะผมเคารพยำเกรงพระเจ้า

16 แต่ผมได้ทุ่มเทในการสร้างกำแพง และพวกเราก็ไม่ได้ยึดเอาที่ดินของใคร คนของผมทั้งหมดได้รวมตัวกันสร้างกำแพงอยู่ที่นั่น

17 ผมได้เลี้ยงอาหารเจ้าหน้าที่คนยิวทั้งหมดหนึ่งร้อยห้าสิบคนทุกๆวัน ยังไม่รวมถึงคนที่มาจากชนชาติต่างๆรอบข้าง 18 ในแต่ละวัน ก็จะมีวัวหนึ่งตัว แกะอย่างดีหกตัว และเป็ดไก่ที่จัดเตรียมไว้ให้กับผม และทุกๆสิบวัน จะมีเหล้าองุ่นจำนวนมาก ถึงแม้ผมจะเลี้ยงอาหารคนเหล่านี้ทั้งหมด แต่ผมก็ไม่เคยเรียกร้องเอาจากส่วนที่เป็นอาหารประจำตำแหน่งของเจ้าเมืองเลย เพราะแค่งานรับใช้นั้นมันก็หนักหนาสาหัสต่อคนเหล่านี้อยู่แล้ว

19 ข้าแต่พระเจ้าของข้าพเจ้า โปรดระลึกถึงสิ่งที่ข้าพเจ้าได้ทำให้กับคนพวกนี้ด้วย และโปรดอวยพรข้าพเจ้าด้วยเถิด

ปัญหาอื่น

ต่อมา เมื่อมีคนไปรายงานให้สันบาลลัทและโทบีอาห์ รวมทั้งเกเชม ซึ่งเป็นชาวอาหรับ และพวกศัตรูอื่นๆของเราว่าผมได้สร้างกำแพงจนไม่มีรูโหว่เหลืออีกแล้ว (ถึงแม้ว่าในตอนนั้นผมยังไม่ได้ติดตั้งบานประตูที่กำแพงเมืองก็ตาม)

สันบาลลัทและเกเชม ได้ส่งสารมาให้กับผมว่า “ขอให้เรามาเจอกันที่หมู่บ้านแห่งหนึ่งบนที่ราบโอโน”

แต่พวกเขากำลังวางแผนที่จะทำร้ายผม

ผมจึงส่งพวกคนถือสารไปหาพวกเขา บอกว่า “ผมกำลังทำงานสำคัญอยู่ ไม่สามารถลงมาหาได้ ถ้าผมทิ้งงานมาหาพวกท่าน งานก็จะหยุดชะงักไป”

พวกเขาส่งสารเดิมมาให้ผมถึงสี่ครั้ง และผมก็ตอบพวกเขาไปแบบเดิมทุกครั้ง

สันบาลลัทได้ส่งคนใช้ของเขามาหาผมอย่างเคยเป็นครั้งที่ห้า โดยถือจดหมายเปิดผนึกมา[l]

ในจดหมายนั้นเขียนว่า

“มีคนพูดไปทั่วชนชาติต่างๆและเกเชมเองก็ยืนยันว่าเป็นเรื่องจริง ที่ว่า ท่านและพวกชาวยิวกำลังวางแผนจะก่อการกบฏ เพราะเหตุนี้ ท่านถึงได้สร้างกำแพงขึ้นมา และตามรายงานนี้แจ้งว่า ท่านกำลังจะขึ้นเป็นกษัตริย์ของพวกเขา ท่านยังได้แต่งตั้งพวกผู้พูดแทนพระเจ้า เพื่อประกาศเกี่ยวกับตัวท่านในเมืองเยรูซาเล็มว่า ‘มีกษัตริย์ในยูดาห์แล้ว’

ถ้อยคำเหล่านี้จะถูกรายงานให้กษัตริย์อารทาเซอร์ซีสทราบ ดังนั้นขอให้เรามาพบกันหน่อย”

ผมจึงส่งสารกลับไปให้เขาว่า “ไม่มีเรื่องอย่างที่ท่านพูดมานี้เกิดขึ้นเลย ท่านกุขึ้นมาเองตามความคิดของท่าน”

พวกนั้นทุกคนพยายามขู่ให้เราตกใจกลัว พวกเขาคิดว่า “มือของพวกนั้นจะทิ้งงานไป งานจะได้ไม่เสร็จ”

แต่ผมอธิษฐานว่า “ข้าแต่พระเจ้า ตอนนี้ช่วยเพิ่มพลังให้กับมือของข้าพเจ้าด้วยเถิด”

10 อยู่มาวันหนึ่ง ผมไปบ้านของเชไมอาห์ ลูกชายของเดไลยาห์ ที่เป็นลูกชายของเมเหทาเบล เชไมอาห์กำลังวิตกกังวล เขาพูดว่า

“ขอให้เราไปพบกันที่วิหารของพระเจ้า
    เข้าไปข้างในของวิหาร ให้เราปิดประตูวิหาร
เพราะพวกเขากำลังมาฆ่าท่าน
    พวกเขาจะมาฆ่าท่านในตอนกลางคืน”

11 แต่ผมตอบว่า “คนอย่างผมควรจะหนีหรือ แล้วถ้าคนที่ไม่ใช่นักบวชอย่างผมเข้าไปในวิหาร แล้วจะรอดชีวิตได้หรือ ผมจะไม่เข้าไปเด็ดขาด”

12 ทันใดนั้น ผมก็รู้ว่าพระเจ้าไม่ได้ส่งเชไมอาห์มาหรอก แต่เขาแกล้งพูดแทนพระเจ้าเพื่อทำร้ายผม เพราะโทบีอาห์ และสันบาลลัทได้จ้างเขา

13 ที่พวกนั้นว่าจ้างเชไมอาห์ เพื่อจะทำให้ผมกลัว และทำตามที่เขาแนะนำ เพื่อผมจะได้ทำบาป พวกเขาตั้งใจที่จะทำลายชื่อเสียงของผม และทำให้ผมอับอายขายหน้า

14 “ข้าแต่พระเจ้าของข้าพเจ้า โปรดลงโทษโทบีอาห์และสันบาลลัท สำหรับสิ่งที่พวกเขาได้ทำลงไป และโปรดลงโทษโนอัดยาห์ ผู้หญิงที่อ้างว่าพูดแทนพระเจ้า รวมทั้งคนอื่นๆที่อ้างว่าพูดแทนพระเจ้า ที่พยายามขู่ให้ข้าพเจ้าตกใจกลัวด้วยเถิด”

กำแพงสร้างเสร็จ

15 ในที่สุดกำแพงก็ถูกสร้างจนเสร็จในวันที่ยี่สิบห้า ของเดือนเอลูล[m] ใช้เวลาในการสร้างทั้งสิ้นห้าสิบสองวัน

16 เมื่อศัตรูทุกคนของเราได้ยิน และชนชาติทั้งหมดที่อยู่รอบข้างเราได้เห็น พวกเขาก็หมดความทะนงตัวไป พวกเขารู้ว่างานนี้เป็นผลงานของพระเจ้าของเรา

17 ในช่วงนั้นหลังจากสร้างกำแพงเสร็จ พวกบุคคลสำคัญๆของยูดาห์กำลังส่งจดหมายไปให้โทบีอาห์หลายฉบับ และโทบีอาห์กำลังส่งจดหมายตอบพวกเขามา 18 เพราะมีหลายคนที่ยูดาห์ ได้สาบานที่จะจงรักภักดีต่อโทบีอาห์ เพราะเขาเป็นลูกเขยของเชคานิยาห์ ที่เป็นลูกชายของอาราห์ และเยโฮฮานันลูกชายของโทบีอาห์ ได้แต่งงานกับลูกสาวของเมชุลลาม ที่เป็นลูกชายของเบเรคิยาห์

19 พวกเขาได้แต่พูดเรื่องความดีของโทบีอาห์ให้ผมฟัง และพอผมทำอะไรไป พวกเขาก็ไปรายงานให้โทบีอาห์รู้ โทบีอาห์จึงส่งจดหมายต่างๆมาให้ผม เพื่อขู่ให้ผมตกใจกลัว

เมื่อสร้างกำแพงขึ้นมาใหม่แล้ว ผมได้ติดตั้งพวกบานประตูเข้าไปในที่ของมัน และได้มีการแต่งตั้งพวกคนเฝ้าประตู พวกนักร้องและพวกชาวเลวีขึ้น หลังจากนั้น ผมได้ตั้งให้ฮานานี พี่น้องของผมคอยดูแลเมืองเยรูซาเล็มร่วมกับฮานันยาห์ ผู้บังคับบัญชาป้อมปราการของวิหารเพราะฮานานีเป็นคนซื่อสัตย์ และเคารพยำเกรงพระเจ้ามากกว่าคนส่วนใหญ่

ผมพูดกับพวกเขาว่า “ประตูเมืองของเมืองเยรูซาเล็มจะต้องไม่เปิดจนกว่าแดดร้อน และในขณะที่มียามเฝ้าประตูอยู่ ก็ต้องปิดประตูและใส่กลอนไว้ ควรแต่งตั้งประชาชนที่อาศัยอยู่ในเมืองเยรูซาเล็ม ให้ผลัดกันทำหน้าที่ยาม ให้จัดยามไว้ตามจุดต่างๆรวมทั้งหน้าบ้านของพวกเขาด้วย”

รายชื่อพวกเชลยที่กลับมา

(อสร. 2:1-70)

เยรูซาเล็ม เป็นเมืองที่กว้างขวางใหญ่โต แต่มีผู้คนอาศัยอยู่น้อย และยังมีบ้านที่สร้างขึ้นมาใหม่ไม่มากนัก ดังนั้นพระเจ้าจึงดลใจผม ให้รวบรวมพวกบุคคลสำคัญๆ เจ้าหน้าที่ทั้งหลาย และประชาชนทั่วไป ให้มาจดทะเบียนสำมะโนครัวเป็นครอบครัวๆไป ผมพบหนังสือสำมะโนครัวของเชลยพวกแรกที่กลับมา ผมเห็นมันเขียนไว้อย่างนี้ว่า

ต่อไปนี้คือ ประชาชนของมณฑลที่มาจากการเป็นเชลย ในครั้งที่ถูกกษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์ แห่งบาบิโลนจับตัวไป พวกเขาได้กลับมายังเมืองเยรูซาเล็มและยูดาห์ และต่างก็แยกย้ายกันกลับไปยังบ้านเมืองของตน พวกเขากลับมากับเศรุบบาเบล เยชูอา เนหะมียาห์ อาซาริยาห์ ราอามิยาห์ นาหะมานี โมรเดคัย บิลชาน มิสเปเรท บิกวัย เนฮูม และ บาอานาห์

จำนวนคนอิสราเอลมีดังนี้

ผู้สืบเชื้อสายจากปาโรช รวมสองพันหนึ่งร้อยเจ็ดสิบสองคน

ผู้สืบเชื้อสายจากเชฟาทิยาห์ รวมสามร้อยเจ็ดสิบสองคน

10 ผู้สืบเชื้อสายจากอาราห์ รวมหกร้อยห้าสิบสองคน

11 ผู้สืบเชื้อสายจากปาหัทโมอับ คือ ผู้สืบเชื้อสายจากเยชูอาและโยอาบ รวมสองพันแปดร้อยสิบแปดคน

12 ผู้สืบเชื้อสายจากเอลาม รวมหนึ่งพันสองร้อยห้าสิบสี่คน

13 ผู้สืบเชื้อสายจากศัทธู รวมแปดร้อยสี่สิบห้าคน

14 ผู้สืบเชื้อสายจากศักคัย รวมเจ็ดร้อยหกสิบคน

15 ผู้สืบเชื้อสายจากบินนุย รวมหกร้อยสี่สิบแปดคน

16 ผู้สืบเชื้อสายจากบาบัย รวมหกร้อยยี่สิบแปดคน

17 ผู้สืบเชื้อสายจากอัสกาด รวมสองพันสามร้อยยี่สิบสองคน

18 ผู้สืบเชื้อสายจากอาโดนีคัม รวมหกร้อยหกสิบเจ็ดคน

19 ผู้สืบเชื้อสายจากบิกวัย รวมสองพันหกสิบเจ็ดคน

20 ผู้สืบเชื้อสายจากอาดีน รวมหกร้อยห้าสิบห้าคน

21 ผู้สืบเชื้อสายจากอาเทอร์ คือเฮเซคียาห์ รวมเก้าสิบแปดคน[n]

22 ผู้สืบเชื้อสายจากฮาชูม รวมสามร้อยยี่สิบแปดคน

23 ผู้สืบเชื้อสายจากเบไซ รวมสามร้อยยี่สิบสี่คน

24 ผู้สืบเชื้อสายจากฮาริฟ รวมหนึ่งร้อยสิบสองคน

25 ผู้สืบเชื้อสายจากกิเบโอน รวมเก้าสิบห้าคน

26 คนจากเมืองเบธเลเฮม และเมืองเนโทฟาห์ รวมหนึ่งร้อยแปดสิบแปดคน

27 คนจากเมืองอานาโธท รวมหนึ่งร้อยยี่สิบแปดคน

28 คนจากเมืองเบธอัสมาเวท รวมสี่สิบสองคน

29 คนจากเมืองคิริยาทเยอาริม เมืองเคฟีราห์ และเมืองเบเอโรท รวมเจ็ดร้อยสี่สิบสามคน

30 คนจากเมืองรามาห์ และเมืองเกบา รวมหกร้อยยี่สิบเอ็ดคน

31 คนจากเมืองมิคมาส รวมหนึ่งร้อยยี่สิบสองคน

32 คนจากเมืองเบธเอล และเมืองอัย รวมหนึ่งร้อยยี่สิบสามคน

33 คนจากเมืองเนโบอีกแห่งหนึ่ง รวมห้าสิบสองคน

34 คนจากเมืองเอลามอีกแห่งหนึ่ง รวมหนึ่งพันสองร้อยห้าสิบสี่คน

35 คนจากเมืองฮาริม รวมสามร้อยยี่สิบคน

36 คนจากเมืองเยริโค รวมสามร้อยสี่สิบห้าคน

37 คนจากเมืองโลด เมืองฮาดิด และเมืองโอโน รวมเจ็ดร้อยยี่สิบเอ็ดคน 38 คนจากเมืองเสนาอาห์ รวมสามพันเก้าร้อยสามสิบคน

39 จำนวนพวกนักบวชมีดังนี้คือ

มีผู้สืบเชื้อสายจากเยดายาห์ ซึ่งก็คือครอบครัวของเยชูอา รวมเก้าร้อยเจ็ดสิบสามคน

40 ผู้สืบเชื้อสายจากอิมเมอร์ รวมหนึ่งพันห้าสิบสองคน

41 ผู้สืบเชื้อสายจากปาชเฮอร์ รวมหนึ่งพันสองร้อยสี่สิบเจ็ดคน

42 ผู้สืบเชื้อสายจากฮาริม รวมหนึ่งพันสิบเจ็ดคน

43 จำนวนชาวเลวีมีดังนี้คือ

ผู้สืบเชื้อสายจากเยชูอา คือ ผ่านมาทางขัดมีเอล ที่มาจากครอบครัวของโฮดีอาห์[o] รวมเจ็ดสิบสี่คน

44 จำนวนพวกนักร้องมีดังนี้คือ

ผู้สืบเชื้อสายจากอาสาฟ รวมหนึ่งร้อยสี่สิบแปดคน

45 จำนวนของคนเฝ้าประตูมีดังนี้คือ

ผู้สืบเชื้อสายจากชัลลูม ผู้สืบเชื้อสายจากอาเทอร์ ผู้สืบเชื้อสายจากทัลโมน ผู้สืบเชื้อสายจากอักขูบ ผู้สืบเชื้อสายจากฮาทิธา ผู้สืบเชื้อสายจากโชบัย รวมหนึ่งร้อยสามสิบแปดคน

46 จำนวนของคนรับใช้ประจำวิหารมีดังนี้คือ

ผู้สืบเชื้อสายจากศีหะ ผู้สืบเชื้อสายจากฮาสูฟา ผู้สืบเชื้อสายจากทับบาโอท 47 ผู้สืบเชื้อสายจาก เคโรส ผู้สืบเชื้อสายจากสีอา ผู้สืบเชื้อสายจากพาโดน 48 ผู้สืบเชื้อสายจาก เลบานา ผู้สืบเชื้อสายจากฮากาบา ผู้สืบเชื้อสายจากชัลมัย

49 ผู้สืบเชื้อสายจาก ฮานัน ผู้สืบเชื้อสายจากกิดเดล ผู้สืบเชื้อสายจากกาฮาร์

50 ผู้สืบเชื้อสายจาก เรอายาห์ ผู้สืบเชื้อสายจากเรซีน ผู้สืบเชื้อสายจากเนโคดา

51 ผู้สืบเชื้อสายจากกัสซาม ผู้สืบเชื้อสายจากอุสซาห์ ผู้สืบเชื้อสายจากปาเสอาห์

52 ผู้สืบเชื้อสายจากเบสัย ผู้สืบเชื้อสายจากเมอูนิม ผู้สืบเชื้อสายจากเนฟิสิม

53 ผู้สืบเชื้อสายจากบัคบูค ผู้สืบเชื้อสายจากฮาคูฟา ผู้สืบเชื้อสายจากฮารฮูร

54 ผู้สืบเชื้อสายจากบัสลีท ผู้สืบเชื้อสายจากเมหิดา ผู้สืบเชื้อสายจากฮารชา

55 ผู้สืบเชื้อสายจากบารโขส ผู้สืบเชื้อสายจากสิเสรา ผู้สืบเชื้อสายจากเทมาห์

56 ผู้สืบเชื้อสายจากเนซิยาห์ ผู้สืบเชื้อสายจากฮาทิฟา

57 จำนวนผู้สืบเชื้อสายของคนรับใช้ของกษัตริย์ซาโลมอนมีดังนี้คือ

ผู้สืบเชื้อสายจากโสทัย ผู้สืบเชื้อสายจากโสเฟเรท ผู้สืบเชื้อสายจากเปรีดา 58 ผู้สืบเชื้อสายจากยาอาลา ผู้สืบเชื้อสายจากดารโคน ผู้สืบเชื้อสายจากกิดเดล

59 ผู้สืบเชื้อสายจากเชฟาทิยาห์ ผู้สืบเชื้อสายจากฮัทธิล ผู้สืบเชื้อสายจาก โปเคเรทหัสซาบาอิม และผู้สืบเชื้อสายจากอาโมน

60 คนรับใช้ประจำวิหาร และผู้สืบเชื้อสายคนรับใช้ของซาโลมอน มีจำนวนรวมสามร้อยเก้าสิบสองคน

61 ต่อไปนี้จะเป็นจำนวนคนที่ขึ้นมาเมืองเยรูซาเล็มจากเมืองเทลเมลาห์ เมืองเทลหารชา เมืองเครูบ เมืองอัดโดน และเมืองอิมเมอร์ แต่พวกเขาไม่สามารถพิสูจน์ได้ว่า พวกเขาสืบเชื้อสายมาจากชาวอิสราเอล

62 ผู้สืบเชื้อสายจากเดไลยาห์ ผู้สืบเชื้อสายจากโทบีอาห์ ผู้สืบเชื้อสายจากเนโคดา รวมหกร้อยสี่สิบสองคน

63 จำนวนนักบวชทั้งหลายมีดังนี้คือ

ผู้สืบเชื้อสายจากโฮบายาห์ ผู้สืบเชื้อสายจากฮักโขส และผู้สืบเชื้อสายจากบารซิลลัย (บารซิลลัยคนนี้ได้แต่งงานกับลูกสาวคนหนึ่งของบารซิลลัย ซึ่งเป็นชาวกิเลอาด ดังนั้นเขาจึงใช้ชื่อเรียกตามชื่อพ่อตาเขา)

64 พวกเขาตรวจดูรายชื่อในทะเบียนสำมะโนครัว แต่ไม่พบชื่อของตัวเอง ดังนั้นพวกเขาจึงถูกตัดชื่อออกจากพวกนักบวช เพราะถือว่าไม่บริสุทธิ์ 65 เจ้าเมืองบอกพวกเขาว่า ในช่วงนี้อย่าเพิ่งกินอาหารที่บริสุทธิ์ที่สุดก่อน จนกว่านักบวชสูงสุด จะใช้อูริมและทูมมิมปรึกษาหาคำตอบจากพระเจ้าเสียก่อน

66 รวมคนทั้งหมดที่พูดมาได้สี่หมื่นสองพันสามร้อยหกสิบคน 67 ไม่นับพวกทาสชายหญิงของพวกเขาอีกเจ็ดพันสามร้อยสามสิบเจ็ดคน นอกจากนั้นแล้วพวกเขายังมีนักร้องชายหญิงอีกสองร้อยคน 68 พวกเขายังมีม้าทั้งหมดเจ็ดร้อยสามสิบหกตัว และล่อสองร้อยสี่สิบห้าตัว[p] 69 อูฐสี่ร้อยสามสิบห้าตัว และมีลารวมหกพันเจ็ดร้อยยี่สิบตัว

70 บรรดาหัวหน้าครอบครัวบางคน ให้สิ่งของต่างๆเพื่อสนับสนุนงานนี้ เจ้าเมืองได้ถวายสิ่งต่างๆเหล่านี้เข้ากองคลัง คือทองคำจำนวนแปดกิโลกรัมครึ่ง[q] ชามประพรมห้าสิบใบ และเสื้อผ้าสำหรับนักบวชห้าร้อยสามสิบชุด 71 หัวหน้าครอบครัวบางคน ถวายทองคำหนึ่งร้อยเจ็ดสิบกิโลกรัม[r] และเงินหนึ่งพันสองร้อยกิโลกรัม[s] เข้ากองคลังสำหรับงาน 72 ประชาชนที่เหลือถวายทองคำหนึ่งร้อยเจ็ดสิบกิโลกรัม เงินหนึ่งพันหนึ่งร้อยกิโลกรัม และเสื้อผ้าหกสิบเจ็ดชุดให้กับพวกนักบวช

73 พวกนักบวช บรรดาชาวเลวี คนเฝ้าประตู พวกนักร้อง และประชาชนบางคน รวมทั้งพวกคนรับใช้ประจำวิหาร และชาวอิสราเอลทั้งหมด ก็อาศัยอยู่ตามบ้านเมืองของตน

เอสราอ่านกฎบัญญัติให้ประชาชนฟัง

เมื่อเดือนที่เจ็ด[t]มาถึง ประชาชนชาวอิสราเอลที่ได้ย้ายเข้ามาอาศัยอยู่ตามเมืองต่างๆของตน

ทุกคนได้มาประชุมกันที่ลานเมือง ที่อยู่ตรงด้านหน้าของประตูน้ำ พวกเขาบอกเอสราผู้เป็นอาจารย์ ให้เอากฎบัญญัติของโมเสสมาด้วย ซึ่งพระยาห์เวห์ได้มอบไว้ให้กับคนอิสราเอล ดังนั้น วันแรกของเดือนที่เจ็ด นักบวชเอสราได้เอากฎบัญญัตินั้นมาอยู่ต่อหน้ากลุ่มคนที่มาชุมนุมกันทั้งชายและหญิง รวมทั้งเด็กที่โตพอที่จะฟังรู้เรื่อง เอสราอ่านกฎบัญญัตินั้นอยู่หน้าลานเมือง ซึ่งอยู่ตรงด้านหน้าของประตูน้ำ เขาอ่านต่อหน้าชายและหญิง รวมทั้งเด็กที่โตพอที่จะฟังรู้เรื่อง เขาอ่านตั้งแต่เช้าตรู่ไปจนถึงเที่ยงวัน ทุกคนต่างก็ตั้งใจฟังกฎบัญญัติเป็นอย่างดี

เอสราผู้เป็นอาจารย์ยืนอยู่บนเวทีไม้ที่สร้างขึ้นมาสำหรับงานนี้โดยเฉพาะ ทางด้านขวาของเอสรา ก็มีมัททีธิยาห์ เชมา อานายาห์ อุรียาห์ ฮิลคียาห์ และมาอาเสอาห์ยืนอยู่ ส่วนทางด้านซ้าย ก็มีเปดายาห์ มิชาเอล มัลคิยาห์ ฮาชูม อัชบัดดานาห์ เศคาริยาห์ และเมชุลลามยืนอยู่

เอสราเปิดหนังสือกฎบัญญัติออกต่อหน้าต่อตาประชาชนทั้งหลาย เพราะเขายืนอยู่สูงกว่าพวกเขา เมื่อเอสราเปิดหนังสือออก ประชาชนทุกคนต่างก็ยืนขึ้น เมื่อเอสราสรรเสริญพระยาห์เวห์ พระเจ้าผู้ยิ่งใหญ่ ทุกคนต่างตอบรับว่า “อาเมน อาเมน” พร้อมยกมือทั้งสองขึ้นและก้มกราบลง และนมัสการพระยาห์เวห์ ใบหน้าซบพื้น

ในขณะที่ผู้คนยืนอยู่กับที่นั้น พวกชาวเลวี คือ เยชูอา บานี เชเรบิยาห์ ยามีน อักขูบ ชับเบธัย โฮดียาห์ มาอาเสอาห์ เคลิทา อาซาริยาห์ โยซาบาด ฮานัน และเปไลยาห์ ก็ได้มาสั่งสอนพวกเขาให้เข้าใจถึงกฎบัญญัตินั้น ชาวเลวีเหล่านั้นได้อ่านหนังสือซึ่งเป็นกฎบัญญัติของพระเจ้าเป็นตอนๆและอธิบายให้ผู้คนเข้าใจในข้อความที่อ่านนั้น

เนหะมียาห์ ผู้เป็นเจ้าเมือง และเอสรา ผู้เป็นทั้งนักบวชและอาจารย์ รวมทั้งชาวเลวีทั้งหลายที่ช่วยสั่งสอนประชาชน ต่างพากันพูดกับทุกคนว่า “วันนี้เป็นวันศักดิ์สิทธิ์[u] ของพระยาห์เวห์ พระเจ้าของพวกท่าน ดังนั้นอย่าเศร้าโศกและร้องไห้เลย” เพราะประชาชนทุกคนกำลังร้องไห้ในขณะที่ฟังกฎบัญญัตินั้น

10 เอสราพูดกับพวกเขาว่า “ไปกินอาหารที่เอร็ดอร่อย และดื่มเหล้าองุ่นรสหวาน และส่งบางส่วนไปให้กับคนที่ไม่สามารถเตรียมของพวกนี้ เพราะวันนี้เป็นวันศักดิ์สิทธิ์ของพระยาห์เวห์ของเรา อย่าได้เศร้าโศกเลย เพราะความชื่นชมยินดีที่พวกท่านมีในพระยาห์เวห์นั้น เป็นพละกำลังของพวกท่าน”

11 พวกชาวเลวีทำให้ประชาชนสงบเงียบลง โดยพูดว่า “เลิกร้องไห้เถอะ เพราะวันนี้เป็นวันศักดิ์สิทธิ์ อย่าเศร้าโศกเลย”

12 หลังจากนั้นประชาชนทุกคนก็จากไป ไปกินและดื่มกัน และส่งอาหารบางส่วนไปให้กับคนที่อื่น พวกเขาเฉลิมฉลองกันอย่างสนุกสนาน เพราะพวกเขาเข้าใจในถ้อยคำที่ชาวเลวีได้อ่านให้พวกเขาฟังนั้น

13 ในวันที่สองของเดือน หัวหน้าครอบครัวของประชาชนทั้งหมด พวกนักบวช และพวกชาวเลวี ได้รวมตัวกันมาพบเอสราผู้เป็นอาจารย์ เพื่อศึกษาคำสอนของกฎบัญญัติ

14 พวกเขาได้เจอคำสั่งของพระยาห์เวห์ ที่เขียนไว้ในกฎบัญญัติที่ผ่านมาทางโมเสส ที่ว่าคนอิสราเอลจะต้องอาศัยอยู่ในเพิงชั่วคราว ในช่วงเทศกาลของเดือนเจ็ด[v] 15 และพวกเขาควรจะประกาศและเผยแพร่ถ้อยคำต่อไปนี้ไปทั่วทุกเมือง รวมทั้งในเมืองเยรูซาเล็มด้วย ที่ว่า “ให้ออกไปที่เนินเขาในชนบท และให้เก็บกิ่งมะกอกเทศ กิ่งมะกอกป่า กิ่งต้นน้ำมันเขียว ใบปาล์ม และกิ่งไม้จากต้นอื่นๆที่ให้ร่มเงา เพื่อเอามาสร้างเพิงชั่วคราว เหมือนกับที่ได้เขียนไว้ในกฎบัญญัติ”

16 ดังนั้นประชาชนจึงออกไปเอากิ่งไม้เหล่านั้นกลับมา และสร้างเพิงชั่วคราวให้กับตัวเอง มีทั้งสร้างไว้บนดาดฟ้าบ้าน และที่ลานบ้านของตัวเอง รวมทั้งที่ลานวิหารของพระเจ้า และที่ลานเมืองใกล้ๆประตูน้ำ และสร้างไว้ที่ลานเมืองของประตูเอฟราอิม 17 คนทั้งกลุ่มที่กลับมาจากการเป็นเชลย ได้สร้างเพิงชั่วคราวและอยู่ในเพิงเหล่านั้น คนอิสราเอลไม่ได้ทำอย่างนี้เลย ตั้งแต่สมัยของเยชูอา ลูกชายของนูน จนกระทั่งถึงวันนั้น และพวกเขาก็มีความชื่นชมยินดีอย่างยิ่ง

18 ดังนั้น ตั้งแต่วันแรกของเทศกาลจนถึงวันสุดท้าย เอสราได้อ่านหนังสือกฎบัญญัติของพระเจ้าทุกวัน พวกเขาเฉลิมฉลองเทศกาลเป็นเวลาเจ็ดวัน และในวันที่แปดก็เป็นวันชุมนุมพิเศษตามที่กฎบัญญัติบอกไว้

ประชาชนอิสราเอลสารภาพบาป

ในวันที่ยี่สิบสี่ของเดือนนี้ ประชาชนชาวอิสราเอลมารวมตัวกันเพื่ออดอาหาร พวกเขาใส่ชุดผ้ากระสอบ และเอาดินโรยหัวของพวกเขา บรรดาลูกหลานของอิสราเอล ได้แยกตัวเองออกมาจากคนต่างชาติทั้งปวง พวกเขายืนและสารภาพบาปของพวกเขา รวมทั้งสารภาพความชั่วช้าที่บรรพบุรุษของพวกเขาได้ทำไป พวกเขายืนในที่ของตน และฟังคนอ่านหนังสือกฎบัญญัติของพระเจ้าของพวกเขาเป็นเวลาสามชั่วโมง และอีกสามชั่วโมง พวกเขาใช้สารภาพและนมัสการพระยาห์เวห์พระเจ้าของพวกเขา

แล้วเยชูอา บานี ขัดมีเอล เชบานิยาห์ บุนนี เชเรบิยาห์ บานี และเคนานี ต่างก็ยืนอยู่บนบันไดสำหรับพวกเลวี และ พวกเขาร้องด้วยเสียงดังต่อพระยาห์เวห์พระเจ้าของพวกเขา แล้วเลวีพวกนี้ คือเยชูอา ขัดมีเอล บานี ฮาชับเนยาห์ เชเรบิยาห์ โฮดียาห์ เชบานิยาห์ และเปธาหิยาห์ ได้พูดขึ้นว่า “ลุกขึ้น และสรรเสริญพระยาห์เวห์พระเจ้าของพวกท่านเถิด

ข้าแต่พระยาห์เวห์ พระเจ้าของพวกเรา
    ขอพระองค์ได้รับการเชิดชูตลอดชั่วนิจนิรันดร์ถึงชั่วนิจนิรันดร์
ขอให้พวกเขาเชิดชูชื่ออันยิ่งใหญ่ของพระองค์
    ซึ่งได้รับการยกย่องเหนือคำเชิดชูและคำสรรเสริญทั้งปวง
พระองค์เป็นพระเจ้า
    ข้าแต่พระยาห์เวห์ มีแต่พระองค์เท่านั้นที่เป็นพระเจ้า
พระองค์เป็นผู้สร้างท้องฟ้า
    สวรรค์ชั้นสูงสุด และดวงดาวทั้งสิ้นในท้องฟ้า
พระองค์สร้างโลกและทุกสิ่งบนโลก
    พระองค์สร้างทะเลและทุกอย่างที่อยู่ในทะเล
พระองค์ให้ชีวิตกับทุกสิ่ง
    และพวกดวงดาวทั้งหลายบนท้องฟ้านมัสการพระองค์
พระองค์คือพระยาห์เวห์
    พระเจ้าผู้เลือกอับราม
และนำตัวเขาออกมาจากเมืองเออร์แห่งประเทศเคลเดีย
    และตั้งชื่อให้เขาว่าอับราฮัม[w]
พระองค์เห็นว่าเขามีจิตใจซื่อสัตย์ต่อพระองค์
    ดังนั้นพระองค์จึงทำข้อตกลงกับเขา
ที่จะยกแผ่นดินของคนเหล่านี้ให้กับลูกหลานของเขา
    คือแผ่นดินของคนคานาอัน คนฮิตไทต์ คนอาโมไรต์ คนเปริสซีคนเยบุส และคนเกอร์กาชี
พระองค์ได้ทำตามคำพูดของพระองค์
    เพราะพระองค์นั้นซื่อสัตย์
พระองค์ได้เห็นถึงความทุกข์ทรมานของบรรพบุรุษของพวกเราในอียิปต์
    และพระองค์ได้ยินเสียงร้องให้ช่วยของพวกเขาที่ทะเลต้นอ้อ[x]
10 พระองค์ได้แสดงปรากฏการณ์ต่างๆและสิ่งมหัศจรรย์ต่างๆ
    เพื่อต่อต้านฟาโรห์ กษัตริย์ของอียิปต์ และต่อต้านพวกข้าราชการทั้งสิ้น และประชาชนบนแผ่นดินของกษัตริย์ฟาโรห์
เพราะพระองค์รู้ว่าพวกเขาได้ข่มเหงบรรพบุรุษของพวกเรา
    พระองค์ก็เลยมีชื่อเสียงโด่งดังมาจนถึงทุกวันนี้
11 พระองค์ได้แยกทะเลออกต่อหน้าพวกเขา
    และพวกเขาเดินผ่านทะเลไปบนพื้นแห้ง
แต่พระองค์ได้โยนพวกที่ไล่ตามพวกเขาลงทะเลลึก
    เหมือนก้อนหินที่ถูกโยนลงไปในทะเลที่ปั่นป่วน
12 พระองค์ได้นำทางพวกเขาด้วยเสาเมฆในตอนกลางวันและด้วยเสาไฟในตอนกลางคืน
    เพื่อส่องทางให้พวกเขาเดินไปในทางที่พวกเขาควรไป
13 พระองค์ลงมาอยู่บนภูเขาซีนาย
    และพูดกับพวกเขาจากสวรรค์
และได้มอบกฎระเบียบที่ถูกต้องและกฎบัญญัติที่แท้จริง
    รวมทั้งพวกบัญญัติและคำสั่งต่างๆที่ดีให้กับพวกเขา
14 และพระองค์ได้บอกให้พวกเขารู้เกี่ยวกับวันหยุดอันศักดิ์สิทธิ์ของพระองค์
    และพระองค์ให้คำสั่งต่างๆ กฎระเบียบ และบัญญัติกับพวกเขา ผ่านทางโมเสส ผู้รับใช้ของพระองค์
15 ในยามที่พวกเขาหิว พระองค์ให้อาหารกับพวกเขาจากสวรรค์
    ในยามที่พวกเขากระหาย พระองค์ให้น้ำไหลออกจากหินมาให้พวกเขาดื่ม
พระองค์บอกให้พวกเขาไปยึดเอาแผ่นดินที่พระองค์ได้สัญญาว่าจะมอบให้กับพวกเขา
16 แต่พวกบรรพบุรุษของพวกเราทำตัวเย่อหยิ่งจองหองและหัวแข็งดื้อรั้น
    พวกเขาไม่ยอมฟังคำสั่งต่างๆของพระองค์
17 พวกเขาไม่ยอมเชื่อฟังและพวกเขาไม่ได้จดจำ
    ถึงการอัศจรรย์ต่างๆของพระองค์ที่พระองค์ได้ทำไปท่ามกลางพวกเขา
แต่พวกเขากลับหัวแข็งดื้อรั้นและได้แต่งตั้งหัวหน้าขึ้นมา
    เพื่อนำพวกเขากลับไปเป็นทาสในอียิปต์อีก
แต่พระองค์เป็นพระเจ้าที่ให้อภัย มีใจเมตตาและกรุณา มีความอดทนและมีความรักอันมั่นคง
    ดังนั้นพระองค์จึงไม่ได้ทอดทิ้งพวกเขา
18 ถึงแม้พวกบรรพบุรุษของพวกเราจะหล่อโลหะรูปลูกวัวขึ้นมาสำหรับพวกเขาเอง
    และบอกว่า ‘นี่คือพระเจ้าของเจ้าที่นำเจ้าออกมาจากอียิปต์’
ถึงแม้การกระทำนี้จะดูหมิ่นพระองค์อย่างยิ่ง
19 แต่พระองค์เต็มเปี่ยมไปด้วยความเมตตากรุณา
    พระองค์ก็เลยไม่ได้ทอดทิ้งพวกเขาไว้ในทะเลทราย
เสาเมฆไม่ได้หยุดนำทางพวกเขาในการเดินทางตอนกลางวันและเสาไฟในตอนกลางคืน
    ก็ไม่ได้หยุดส่องแสงให้กับพวกเขาในทางที่พวกเขาควรจะไป
20 พระองค์ได้ให้พระวิญญาณอันดีของพระองค์เพื่อสอนพวกเขา
    พระองค์ไม่ได้เอาอาหารทิพย์ ไปจากปากของพวกเขา
และพระองค์ได้ให้น้ำเพื่อดับกระหายกับพวกเขา
21 พระองค์ดูแลพวกเขาเป็นเวลาสี่สิบปีในทะเลทราย
    โดยที่พวกเขาไม่ขาดอะไรเลย
    เสื้อผ้าของพวกเขาก็ไม่ฉีกขาด และเท้าของเขาก็ไม่บวม
22 พระองค์มอบอาณาจักรต่างๆและชนชาติต่างๆให้กับพวกเขา
    พระองค์ได้ให้แผ่นดินเหล่านี้กลายเป็นแนวชายแดนให้กับพวกเขา
พวกเขาได้ยึดครองแผ่นดินของกษัตริย์สิโหนแห่งเมืองเฮชโบน
    และแผ่นดินของกษัตริย์โอกแห่งแคว้นบาชาน
23 พระองค์ทำให้พวกเขามีลูกหลานมากมายมหาศาลเหมือนดวงดาวบนท้องฟ้า
    พระองค์นำพวกเขามายังแผ่นดินที่พระองค์บอกบรรพบุรุษของพวกเขาให้เข้าไปยึดครอง
24 ดังนั้น พวกลูกหลานของพวกเขาจึงเข้าไปยึดครองแผ่นดินนั้น
    และพระองค์ได้ปราบพวกชาวคานาอันที่อาศัยอยู่เดิมให้พ่ายแพ้ไป
และให้พวกชาวคานาอันตกอยู่ในกำมือของบรรพบุรุษของพวกเรา รวมถึงพวกกษัตริย์ และประชาชนของแผ่นดินนั้น
    พวกบรรพบุรุษของพวกเราสามารถจัดการกับพวกเขาได้ตามใจชอบ
25 พวกเขายึดเมืองที่มีป้อมปราการและแผ่นดินที่อุดมสมบูรณ์
    พวกเขายึดบ้านต่างๆที่เต็มไปด้วยของดีๆที่มีทั้งบ่อน้ำที่ขุดไว้แล้ว ไร่องุ่น ต้นมะกอกและต้นผลไม้มากมาย
พวกเขากินกันจนอิ่มแปล้และอ้วนท้วน
    และพวกเขาต่างก็มีความสุขในความดีงามอันยิ่งใหญ่ของพระองค์
26 แต่พวกเขากลับไม่เชื่อฟัง และกบฏต่อพระองค์ และโยนบัญญัติของพระองค์ทิ้งไป
    นอกจากนั้นพวกเขายังฆ่าพวกผู้พูดแทนพระองค์ที่ได้ตักเตือนพวกเขาให้กลับมาหาพระองค์
พวกเขาได้ดูหมิ่นพระองค์อย่างใหญ่หลวง
27 ดังนั้นพระองค์จึงมอบพวกเขาให้ตกไปอยู่ในกำมือพวกศัตรู
    และศัตรูพวกนั้น ได้ข่มเหงพวกเขาอย่างทารุณโหดร้าย
ในยามที่พวกเขาทุกข์ยาก พวกเขาต่างร้องขอความช่วยเหลือจากพระองค์
    และพระองค์ได้ยินเสียงพวกเขาจากสวรรค์
พระองค์ก็ส่งผู้กู้ชาติมาช่วยพวกเขาครั้งแล้วครั้งเล่าให้รอดพ้นจากเงื้อมมือของพวกศัตรู
    เพราะพระองค์เต็มเปี่ยมไปด้วยความเมตตากรุณา
28 แต่ทันทีที่พวกเขาได้รับการปลดปล่อยจากพวกศัตรู
    พวกเขาก็ได้ทำในสิ่งที่พระองค์ถือว่าเป็นสิ่งชั่วร้ายอีก
ดังนั้นพระองค์จึงปล่อยให้พวกเขาตกไปอยู่ในกำมือของพวกศัตรูอีก
    แล้วพวกศัตรูเหล่านั้นก็ได้ปกครองเหนือพวกเขา
แต่แล้วเมื่อพวกเขาร้องขอความช่วยเหลือจากพระองค์
    พระองค์ก็ได้ยินพวกเขาจากสวรรค์
แล้วช่วยกู้พวกเขาครั้งแล้วครั้งเล่า
    เพราะพระองค์เต็มเปี่ยมไปด้วยความเมตตากรุณา
29 พระองค์เตือนพวกเขาเพื่อให้พวกเขากลับมาหาคำสอนของพระองค์
    แต่พวกเขากลับเย่อหยิ่งจองหองและไม่ยอมเชื่อฟังคำสั่งต่างๆของพระองค์
พวกเขาทำบาปต่อกฎของพระองค์ซึ่งเป็นกฎที่นำชีวิตมาให้กับคนที่รักษากฎเหล่านั้น
    พวกเขายักไหล่อย่างดื้อรั้นและหัวแข็งดื้อดึง และไม่ยอมฟัง
30 พระองค์อดทนกับพวกเขาอยู่หลายปี
    และพระองค์ได้เตือนพวกเขาด้วยพระวิญญาณผ่านทางพวกผู้พูดแทนพระองค์
แต่พวกเขาก็ยังไม่ยอมฟัง
    จนในที่สุดพระองค์ได้มอบพวกเขาให้กับพวกชนชาติต่างๆ
31 แต่ถึงอย่างนั้นก็ตาม พระองค์ก็เต็มเปี่ยมไปด้วยความเมตตากรุณา
    พระองค์ไม่ได้ทำลายพวกเขาอย่างสิ้นซาก
และไม่ได้ทอดทิ้งพวกเขา
    เพราะพระองค์เป็นพระเจ้าผู้ทรงพระคุณและความเมตตากรุณา
32 ข้าแต่พระเจ้าของพวกเรา พระเจ้าที่ยิ่งใหญ่ผู้มีฤทธิ์อำนาจและน่าเกรงขาม
    พระองค์รักษาคำมั่นสัญญาด้วยความรักอันสัตย์ซื่อ
ขอพระองค์อย่าได้ถือว่าความทุกข์ยากทั้งหลายที่เกิดขึ้นกับพวกเราตั้งแต่สมัยของกษัตริย์อัสซีเรียจนถึงตอนนี้เป็นเรื่องเล็กน้อยเลย
    คือ ความทุกข์ยากที่เกิดขึ้นกับพวกกษัตริย์ของเรา กับพวกผู้นำเรา กับเหล่านักบวชของเรา กับคนเหล่านั้นที่พูดแทนพระองค์ให้กับเรา กับพวกบรรพบุรุษของเรา และกับประชาชนทุกคนของพระองค์
33 ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นกับเรานั้น พระองค์ทำอย่างยุติธรรมแล้ว
    พระองค์ทำในสิ่งที่ซื่อสัตย์ ในขณะที่พวกเราทำแต่ความผิด
34 พวกกษัตริย์ พวกผู้นำ พวกนักบวช และพวกบรรพบุรุษของเรา ไม่ได้รักษากฎบัญญัติของพระองค์
    พวกเขาไม่ใส่ใจกับคำสั่งต่างๆและคำตักเตือนที่พระองค์ให้กับพวกเขา
35 แม้แต่ตอนที่พวกเขาอยู่ในอาณาจักรของพวกเขาเอง และมีความสุขกับความเจริญรุ่งเรืองอันยิ่งใหญ่ และแผ่นดินอันกว้างใหญ่ที่อุดมสมบูรณ์ที่พระองค์มอบให้กับพวกเขา
    พวกเขาก็ไม่ได้รับใช้พระองค์และไม่ได้หันไปจากการกระทำอันชั่วร้ายของพวกเขา
36 ดูสิ วันนี้พวกเราได้ตกเป็นทาส
    พระองค์ได้ยกแผ่นดินนี้ให้กับบรรพบุรุษของพวกเรา
เพื่อพวกเขาจะได้กินผลไม้และสิ่งดีๆจากแผ่นดินนี้
    แต่พวกเรากลับตกเป็นทาสอยู่ในแผ่นดินนี้
37 แล้วผลผลิตมากมายของแผ่นดินนี้
    ตอนนี้ได้ตกไปเป็นของพวกกษัตริย์ที่พระองค์ได้ตั้งไว้เหนือเราเนื่องจากบาปที่เราทำ
พวกเขาใช้อำนาจเหนือเราและฝูงสัตว์ของเราตามความพอใจของพวกเขา
    ในขณะที่เราต้องทนทุกข์อย่างใหญ่หลวง
38 แต่ถึงแม้ว่าเราจะเจอกับเรื่องทั้งหมดนี้ เราก็กำลังทำสัญญาอันมั่นคงกับพระองค์
    และบันทึกไว้แล้วให้พวกผู้นำ พวกชาวเลวีและพวกนักบวชของเราลงชื่อและประทับตรา[y] ของพวกเขาไว้”

10 ในสัญญาซึ่งประทับตราไว้ มีชื่อ เนหะมียาห์เจ้าเมืองที่เป็นลูกชายของฮาคาลิยาห์ พร้อมด้วยเศเดคียาห์ เสไรอาห์ อาซาริยาห์ เยเรมียาห์ ปาชเฮอร์ อามาริยาห์ มัลคิยาห์ ฮัทธัช เชบานิยาห์ มัลลูค ฮาริม เมเรโมท โอบาดีห์ ดาเนียล กินเนโธน บารุค เมชุลลาม อาบียาห์ มิยามิน มาอาซิยาห์ บิลกัย เชไมอาห์ ทั้งหมดนี้เป็นรายชื่อของพวกนักบวช ที่มีอยู่ในสัญญา

ต่อไปนี้เป็นรายชื่อของชาวเลวี ที่มีชื่ออยู่ในสัญญา คือ เยชูอาลูกชายของอาซันยาห์ บินนุย ผู้สืบเชื้อสายจาก เฮนาดัด ขัดมีเอล 10 และเพื่อนร่วมงานของพวกเขา คือ เชบานิยาห์ โฮดียาห์ เคลิทา เปไลยาห์ ฮานัน 11 มีคา เรโหบ ฮาชาบิยาห์ 12 ศักเกอร์ เชเรบิยาห์ เชบานิยาห์ 13 โฮดียาห์ บานี เบนินู 14 ต่อไปนี้เป็นรายชื่อของพวกผู้นำประชาชน ที่มีชื่ออยู่ในสัญญา คือ ปาโรส ปาหัทโมอับ เอลาม ศัทธู บานี 15 บุนนี อัสกาด เบบัย 16 อาโดนียาห์ บิกวัย อาดีน 17 อาเทอร์ เฮเซคียาห์ อัสซูร์ 18 โฮดียาห์ ฮาชูม เบไซ 19 ฮาริฟ อานาโธท เนบัย 20 มักปีอาช เมชุลลาม เฮซีร์ 21 เมเชซาเบล ศาโดก ยาดดูวา 22 เปลาทิยาห์ ฮานัน อานายาห์ 23 โฮเชยา ฮานันยาห์ หัสชูบ 24 ฮัลโลเหช ปิลหา โชเบก 25 เรฮูม ฮาชับนาห์ มาอาเสอาห์ 26 อาหิอาห์ ฮานัน อานัน 27 มัลลูค ฮาริม บาอานาห์

28 ส่วนประชาชนที่เหลือ รวมทั้งพวกนักบวช พวกชาวเลวี พวกคนเฝ้าประตู เหล่านักร้อง พวกคนรับใช้ประจำวิหาร รวมทั้งพวกภรรยาและลูกชายลูกสาวของพวกเขา คือทุกคนที่โตพอที่จะรู้เรื่อง ได้แยกตัวออกจากชนต่างชาติที่อยู่ตามดินแดนรอบข้าง เพื่อมาติดสนิทกับกฎของพระเจ้า 29 พวกเขาต่างสาบานร่วมกันกับญาติพี่น้องและพวกผู้นำของพวกเขา และพวกเขายอมถูกสาปแช่งถ้าไม่ทำตามคำสาบาน พวกเขาสาบานว่าจะทำตามกฎบัญญัติของพระเจ้า ที่ผ่านมาทางโมเสสผู้รับใช้ของพระองค์ และจะทำตามคำสั่งต่างๆของพระยาห์เวห์องค์เจ้าชีวิตของพวกเรา และทำตามกฎ และบัญญัติของพระองค์

30 เราสัญญาว่าจะไม่ยกลูกสาวของพวกเราให้ไปเป็นเมียคนต่างชาติในแผ่นดินนี้ และเราจะไม่ยอมรับลูกสาวของพวกเขามาเป็นเมียของลูกชายของพวกเราด้วย

31 ถ้าชนต่างชาติในแผ่นดินนี้ นำสินค้าหรือเมล็ดข้าวมาขายในวันหยุดทางศาสนา เราจะไม่ซื้อจากพวกเขาในวันหยุดทางศาสนาหรือในวันศักดิ์สิทธิ์ใดๆก็ตาม เราจะไม่เก็บเกี่ยวผลผลิตในปีที่เจ็ด[z] และจะยกเลิกหนี้สินทุกอย่างในปีนั้น

32 ในทุกๆปี เรายินดีที่จะให้เงินหนึ่งส่วนสามเชเขล[aa] สำหรับการรับใช้ในวิหารของพระเจ้าของเรา 33 เพื่อจ่ายสำหรับสิ่งต่างๆเหล่านี้ คือค่าขนมปังที่วางบนโต๊ะ ค่าเครื่องบูชาประจำวันจากเมล็ดพืช ค่าเครื่องเผาบูชาประจำวัน ค่าเครื่องถวายบูชาในวันหยุดทางศาสนา ในเทศกาลวันพระจันทร์ใหม่[ab] และในเทศกาลต่างๆที่กำหนดขึ้น และจ่ายสำหรับการถวายเครื่องบูชาอันศักดิ์สิทธิ์ การถวายเครื่องบูชาชำระล้าง เพื่อชำระสถานที่ศักดิ์สิทธิ์แทนประชาชนอิสราเอล และจ่ายสำหรับงานทุกอย่างในวิหารของพระเจ้าของเรา

34 พวกเรา ซึ่งหมายถึงพวกนักบวช พวกชาวเลวี และประชาชนทั้งหลาย ได้ทำการจับสลาก[ac] เพื่อดูว่าครอบครัวไหนบ้างจะต้องหาไม้ฟืนมาสำหรับเทศกาลไหนในแต่ละปี และนำไม้ฟืนนั้นเข้ามาในวิหารของพระเจ้าของเรา เพื่อเอามาเผาเครื่องบูชาบนแท่นบูชาของพระยาห์เวห์พระเจ้าของเรา ตามที่ได้เขียนไว้ในกฎบัญญัติ

35 เราถือว่าเป็นหน้าที่ของเราที่จะต้องเอาผลผลิตแรกของแผ่นดิน และผลผลิตแรกจากต้นผลไม้ทุกชนิด มายังวิหารของพระเจ้าเป็นประจำทุกปี

36 ตามที่ได้เขียนไว้ในกฎบัญญัติ เราถือว่าเป็นหน้าที่ของเราที่จะเอาบุตรชายคนแรก และสัตว์เลี้ยงตัวแรกจากฝูงของเรา รวมทั้งลูกของแพะแกะตัวแรก มายังวิหารของพระเจ้าของเรา เพื่อมอบให้พวกนักบวช ที่รับใช้อยู่ในวิหารของพระเจ้าของเรา

37 นอกจากนั้น เราจะนำแป้งสาลีนิ่มที่นวดแล้วส่วนแรก ผลไม้จากทุกต้น เหล้าองุ่นใหม่ และน้ำมันของพวกเรา มาให้พวกนักบวชเพื่อเอาไปเก็บไว้ในห้องเก็บของในวิหารของพระเจ้าของเรา เราจะนำผลผลิตหนึ่งในสิบส่วนมาให้พวกชาวเลวี พวกชาวเลวีเป็นผู้เก็บรวบรวมหนึ่งในสิบส่วน จากทุกหมู่บ้านที่ทำสวนทำไร่ 38 และนักบวชที่เป็นลูกหลานของอาโรนจะต้องอยู่กับพวกชาวเลวี ในขณะที่พวกเขาเก็บรวบรวมหนึ่งในสิบส่วนของผลผลิต และพวกชาวเลวีจะนำส่วนที่เก็บได้เหล่านั้น มาไว้ยังพวกห้องเก็บของในวิหารของพระเจ้า 39 เพราะ ประชาชนชาวอิสราเอล และพวกชาวเลวี จะต้องนำของที่ถวายนี้ คือ เมล็ดข้าว เหล้าองุ่นใหม่ และน้ำมันมาไว้ยังพวกห้องเก็บของ และเป็นสถานที่เก็บเครื่องมือเครื่องใช้ของวิหาร และเป็นที่อยู่ของพวกนักบวชที่อยู่เวร รวมทั้งพวกคนเฝ้าประตู และพวกนักร้อง

“พวกเราจะไม่ละเลยวิหารของพระเจ้าของเรา”

คนใหม่ย้ายไปอยู่เยรูซาเล็ม

11 พวกผู้นำของประชาชน พากันเข้าไปอาศัยอยู่ในเมืองเยรูซาเล็ม ส่วนประชาชนที่เหลือก็จับสลากกัน เพื่อเลือกเอาสิบเปอร์เซ็นต์ของประชาชนมาอยู่ในเมืองเยรูซาเล็มเมืองอันศักดิ์สิทธิ์ ส่วนเก้าสิบเปอร์เซ็นต์ที่เหลือก็ให้ไปอยู่ตามเมืองอื่นๆ ประชาชนต่างพากันอวยพรคนเหล่านั้นที่สมัครใจมาอยู่ในเมืองเยรูซาเล็ม

คนเหล่านี้คือพวกผู้นำของมณฑลที่มาอาศัยอยู่ในเมืองเยรูซาเล็ม (พวกอิสราเอลบางคน พวกนักบวช พวกคนเลวี พวกคนรับใช้ในวิหาร และพวกลูกหลานของคนรับใช้ของกษัตริย์ซาโลมอน ต่างก็พากันอาศัยอยู่ตามเมืองต่างๆของแคว้นยูดาห์ พวกเขาอาศัยอยู่ในที่ดินของตนในเมืองของตน มีบางคนจากครอบครัวของยูดาห์ และของเบนยามิน อาศัยอยู่ในเมืองเยรูซาเล็ม)

พวกลูกหลานของยูดาห์ที่อาศัยอยู่ในเมืองเยรูซาเล็ม

มีดังต่อไปนี้คือ อาธายาห์ ลูกชายของอุสซียาห์ ที่เป็นลูกชายของเศคาริยาห์ ที่เป็นลูกชายของอามาริยาห์ ที่เป็นลูกชายของเชฟาทิยาห์ ที่เป็นลูกชายของมาหะลาเลล ที่เป็นคนหนึ่งในพวกลูกหลานของเปเรศ และมาอาเสอาห์ ลูกชายของบารุค ที่เป็นลูกชายของคลโฮเซห์ ที่เป็นลูกชายของฮาซายาห์ ที่เป็นลูกชายของอาดายาห์ ที่เป็นลูกชายของโยยาริบ ที่เป็นลูกชายของเศคาริยาห์ ที่เป็นลูกหลานคนหนึ่งของชิโลห์ พวกลูกหลานของเปเรศ ที่อาศัยอยู่ในเมืองเยรูซาเล็ม มีทั้งหมดสี่ร้อยหกสิบแปดคน ล้วนแต่เป็นผู้กล้าหาญ

พวกลูกหลานของเบนยามินที่อาศัยอยู่ในเมืองเยรูซาเล็ม

มีดังต่อไปนี้ คือ สัลลู ลูกชายของเมชุลลาม ที่เป็นลูกชายของโยเอด ที่เป็นลูกชายของเปดายาห์ ที่เป็นลูกชายของโคลายาห์ ที่เป็นลูกชายของมาอาเสอาห์ ที่เป็นลูกชายของอิธีเอล ที่เป็นลูกชายของเยชายาห์ และต่อจากเขาไปมีกับบัย และสัลลัย รวมกันทั้งหมดมีเก้าร้อยยี่สิบแปดคน โยเอล ลูกชายของศิครี ได้รับการแต่งตั้งให้ปกครองพวกเขา ส่วนยูดาห์ ลูกชายของหัสเสนูอาห์ เป็นรองผู้บัญชาการของเมือง

10 พวกนักบวชที่มาอาศัยอยู่ในเมืองเยรูซาเล็ม

มีดังต่อไปนี้คือ เยดายาห์ลูกชายของโยยาริบยาคีน 11 และเสไรอาห์ผู้ควบคุมดูแลวิหารของพระเจ้า เขาเป็นลูกชายฮิลคียาห์ ที่เป็นลูกชายเมชุลลาม ที่เป็นลูกชายศาโดก ที่เป็นลูกชายเมราโยท ที่เป็นลูกชายอาหิทูบ 12 รวมทั้งเพื่อนร่วมงานทั้งหมดของพวกเขาที่ทำงานอยู่ในวิหาร มีจำนวนแปดร้อยยี่สิบสองคน นอกจากนั้นยังมีอาดายาห์ ลูกชายเยโรฮัม ที่เป็นลูกชายเปไลยาห์ ที่เป็นลูกชายอัมซี ที่เป็นลูกชายเศคาริยาห์ ที่เป็นลูกชายปาชเฮอร์ ที่เป็นลูกชายมัลคิยาห์ 13 รวมทั้งเพื่อนร่วมงานของเขา ที่เป็นหัวหน้าครอบครัว มีสองร้อยสี่สิบสองคน และยังมีอามาชสัยลูกชายของอาซาเรล ที่เป็นลูกชายอัคซัย ที่เป็นลูกชายเมชิลเลโมท ที่เป็นลูกชายอิมเมอร์ 14 รวมทั้งเพื่อนร่วมงานของเขา ที่เป็นนักรบเก่งกล้า มีหนึ่งร้อยยี่สิบแปดคน มีเจ้าหน้าที่ปกครองเหนือพวกเขาคือศับดีเอล ลูกชายของฮักเกโดลิม

15 พวกชาวเลวีที่เข้ามาอาศัยอยู่ในเมืองเยรูซาเล็ม

มีดังนี้ คือ เชไมอาห์ ลูกชายของหัสชูบ ที่เป็นลูกชายอัสรีคัม ที่เป็นลูกชายฮาชาบิยาห์ ที่เป็นลูกชายบุนนี 16 รวมทั้งชับเบธัยกับโยซาบาด ผู้นำสองคนของชาวเลวี สองคนนี้ดูแลงานด้านนอกของวิหารของพระเจ้า 17 มัทธานิยาห์ ผู้เป็นหัวหน้านำการร้องเพลงขอบคุณในช่วงเวลาอธิษฐาน เขาเป็นลูกชายมีคา ที่เป็นลูกชายศับดี ที่เป็นลูกชายอาสาฟ และมีบัคบูคิยาห์ เป็นรองหัวหน้าในหมู่เพื่อนร่วมงานของเขา และอับดา ลูกชายของชัมมุอา ที่เป็นลูกชายของกาลาล ที่เป็นลูกชายของเยดูธูน 18 ดังนั้น มีพวกชาวเลวีที่อยู่ในเมืองเยรูซาเล็มเมืองศักดิ์สิทธิ์ทั้งสิ้นสองร้อยแปดสิบสี่คน

19 พวกคนเฝ้าประตู ที่เข้ามาอาศัยอยู่ในเมืองเยรูซาเล็ม

มีดังต่อไปนี้คือ อักขูบ ทัลโมน และเพื่อนร่วมงานที่เฝ้าประตูของพวกเขา มีจำนวนหนึ่งร้อยเจ็ดสิบสองคน

20 ส่วนชาวอิสราเอลที่เหลือ พวกนักบวชที่เหลือ และพวกชาวเลวีที่เหลือนั้น ก็ได้ไปอาศัยอยู่ตามเมืองต่างๆของแคว้นยูดาห์ พวกเขาต่างก็ไปอยู่ในที่ดินของบรรพบุรุษของตน 21 พวกคนรับใช้ในวิหาร อาศัยอยู่บนเนินเขาโอเฟล โดยมีศีหะและกิชปาเป็นผู้ดูแลพวกคนรับใช้ในวิหารเหล่านั้น

22 หัวหน้าของพวกชาวเลวีในเยรูซาเล็ม คืออุสซี ลูกชายบานี ที่เป็นลูกของฮาชาบิยาห์ ที่เป็นลูกชายมัทธานิยาห์ ที่เป็นลูกชายมีคา ที่เป็นคนหนึ่งในพวกลูกหลานของอาสาฟ ที่เป็นพวกนักร้อง ที่มีหน้าที่ร้องเพลงรับใช้อยู่ในวิหารของพระเจ้า 23 พวกนักร้องนี้ รับคำสั่งจากกษัตริย์ กษัตริย์จะบอกพวกเขาว่าให้ทำอะไรบ้างในแต่ละวัน 24 เปธาหิยาห์ เป็นที่ปรึกษาของกษัตริย์ในทุกเรื่องที่เกี่ยวกับประชาชน เขาเป็นลูกชายเมเชซาเบล ที่เป็นลูกหลานคนหนึ่งของเศราห์ ที่เป็นลูกชายของยูดาห์

หมู่บ้านรอบเมืองเยรูซาเล็ม

25 คนยูดาห์บางคนไปอาศัยอยู่ตามหมู่บ้านและไร่นาต่างๆเหล่านี้ คือเมืองคิริยาทอารบา และหมู่บ้านต่างๆที่ล้อมรอบเมืองนั้น เมืองดีโบนและหมู่บ้านต่างๆที่ล้อมรอบเมืองนั้น และเมืองเยขับเซเอลและหมู่บ้านต่างๆที่ล้อมรอบเมืองนั้น 26 และเมืองเยชูอา ในเมืองโมลาดาห์ และในเมืองเบธเปเลต 27 ในเมืองฮาซารชูอาล ในเมืองเบเออร์เชบา และหมู่บ้านต่างๆที่ล้อมรอบเมืองเหล่านั้น 28 ในเมืองศิกลาก ในเมืองเมโคนาห์ และหมู่บ้านต่างๆที่ล้อมรอบเมืองเหล่านั้น 29 ในเมืองเอนริมโมน ในเมืองโศราห์ ในเมืองยารมูท 30 ในเมืองศาโนอาห์ ในเมืองอดุลลัม และหมู่บ้านต่างๆที่ล้อมรอบเมืองเหล่านั้น ในเมืองลาคีชและตามไร่นาของเมืองนั้น ในเมืองอาเซคาห์ และหมู่บ้านต่างๆที่ล้อมรอบเมืองนั้น พวกเขาพากันตั้งถิ่นฐาน ตั้งแต่เมืองเบเออร์เชบา ไปจนถึงหุบเขาฮินโนม

31 คนเบนยามิน บางคนก็ไปตั้งถิ่นฐานในเมืองเกบา ในเมืองมิคมาช ในเมืองอัยยา ในเมืองเบธเอล และหมู่บ้านต่างๆที่ล้อมรอบเมืองเหล่านั้น 32 ในเมืองอานาโธท ในเมืองโนบ ในเมืองอานานิยาห์ 33 ในเมืองฮาโซร์ ในเมืองรามา ในเมืองกิททาอิม 34 ในเมืองฮาดิด ในเมืองเศโบอิม ในเมืองเนบัลลัท 35 ในเมืองโลด และในเมืองโอโน และในหุบเขาของบรรดาช่างฝีมือ 36 บางกลุ่มของครอบครัวเลวีที่อยู่ในแคว้นยูดาห์ ได้รับมอบหมายให้ย้ายไปอยู่กับเผ่าเบนยามิน

พวกนักบวชและพวกชาวเลวี

12 พวกนักบวช และพวกชาวเลวี ที่มาเมืองเยรูซาเล็ม พร้อมกับเศรุบบาเบลลูกชายของเชอัลทิเอล กับเยชูอาคือ เสไรอาห์ เยเรมียาห์ เอสรา อามาริยาห์ มัลลูค ฮัทธัช เชคานิยาห์ เรฮูม เมเรโมท อิดโด กินเนธอย อาบียาห์ มิยามิน มาอาดียาห์ บิลกาห์ เชไมอาห์ โยยาริบ เยดายาห์ สัลลู อาโมค ฮิลคียาห์ และเยดายาห์ คนเหล่านี้คือพวกหัวหน้านักบวช และพี่น้องของพวกเขาในสมัยของเยชูอา

พวกชาวเลวี ก็มี เยชูอา บินนุย ขัดมีเอล เชเรบิยาห์ ยูดาห์ และมัทธานิยาห์ มัทธานิยาห์และเพื่อนร่วมงานของเขา มีหน้าที่จัดการเรื่องเพลงขอบคุณพระเจ้า เพื่อนร่วมงานของพวกเขาคือ บัคบูคิยาห์ และอุนโน สองคนนี้ยืนอยู่ฝั่งตรงข้ามพวกเขา ในช่วงที่รับใช้ด้วยเสียงเพลงอยู่นั้น 10 เยชูอาเป็นพ่อของโยยาคิม โยยาคิมเป็นพ่อของเอลียาชีบ เอลียาชีบเป็นพ่อของโยยาดา 11 และโยยาดาเป็นพ่อของโยนาธาน โยนาธานเป็นพ่อของยาดดูวา

12 ในสมัยของโยยาคิม ต่อไปนี้เป็นรายชื่อของหัวหน้าครอบครัวนักบวช คือ

เมรายาห์ เป็นหัวหน้าครอบครัวเสไรอาห์

ฮานันยาห์ เป็นหัวหน้าครอบครัวเยเรมียาห์

13 เมชุลลามเป็นหัวหน้าครอบครัวเอสรา

เยโฮฮานันเป็นหัวหน้าครอบครัวอามาริยาห์

14 โยนาธาน เป็นหัวหน้าครอบครัวมัลลูคี

โยเซฟ เป็นหัวหน้าครอบครัวเชบานิยาห์

15 อัดนา เป็นหัวหน้าครอบครัวฮาริม

เฮลคาย เป็นหัวหน้าครอบครัวเมราโยท

16 เศคาริยาห์ เป็นหัวหน้าครอบครัวอิดโด

เมชุลลาม เป็นหัวหน้าครอบครัวกินเนโธน

17 ศิครี เป็นหัวหน้าครอบครัวอาบียาห์[ad] เป็นหัวหน้าครอบครัวมินยามิน

ปิลทัยเป็นหัวหน้าครอบครัวโมอัดยาห์

18 ชัมมุอา เป็นหัวหน้าครอบครัวบิลกาห์

เยโฮนาธัน เป็นหัวหน้าครอบครัวเชไมอาห์

19 มัทเธนัย เป็นหัวหน้าครอบครัวโยยาริบ

อุสซีเป็นหัวหน้าครอบครัวเยดายาห์

20 คาลลัย เป็นหัวหน้าครอบครัวสัลลัย

เอเบอร์ เป็นหัวหน้าครอบครัวอาโมค

21 ฮาชาบิยาห์ เป็นหัวหน้าครอบครัวฮิลคียาห์ เนธันเอลเป็นหัวหน้าครอบครัวเยดายาห์

22 ในสมัยของเอลียาชีบ โยยาดา โยฮานัน และยาดดูวาได้มีการบันทึกรายชื่อของพวกหัวหน้าครอบครัวชาวเลวี ในสมัยของกษัตริย์ดาริอัส[ae]แห่งเปอร์เซีย ได้มีการจดรายชื่อของพวกนักบวช 23 รายชื่อของพวกหัวหน้าครอบครัวชาวเลวี ได้จดบันทึกไว้ในหนังสือมาจนถึงสมัยของโยฮานัน ลูกชายของเอลียาชีบ 24 พวกหัวหน้าของพวกชาวเลวีได้แก่ ฮาชาบิยาห์ เชเรบิยาห์ เยชูอา

บินนุย ขัดมีเอล และเพื่อนร่วมงานของพวกเขาที่ยืนอยู่ตรงข้ามพวกเขาที่ร้องสรรเสริญและขอบคุณพระเจ้า ตามคำสั่งของดาวิดคนของพระเจ้า และมีอีกกลุ่มหนึ่งร้องตอบกลับมาจากฝั่งตรงข้าม

25 มัทธานิยาห์ บัคบูคิยาห์ โอบาดีห์ เมชุลลาม ทัลโมน และอักขูบ เป็นยามเฝ้าประตู ยืนเฝ้าอยู่ตามประตูทั้งหลายข้างๆพวกห้องเก็บของ 26 คนเหล่านี้รับใช้อยู่ในสมัยของโยยาคิม ลูกชายเยชูอาที่เป็นลูกโยซาดัก และในสมัยที่เนหะมียาห์เป็นเจ้าเมือง และเอสราเป็นนักบวชและอาจารย์

พิธีมอบถวายกำแพงเมืองเยรูซาเล็ม

27 เมื่อถึงเวลามอบถวายกำแพงเมืองเยรูซาเล็ม พวกเขาพากันค้นหาพวกชาวเลวีจากทั่วทุกหนแห่ง และพาพวกเขามาที่เมืองเยรูซาเล็ม เพื่อเฉลิมฉลองพิธีมอบถวายกำแพงด้วยความยินดี มีคณะนักร้องขับร้องเพลงขอบคุณพระเจ้า และมีการร้องเพลง ด้วยฉาบ พิณใหญ่ และพิณเล็ก

28 พวกเขาได้ไปรวบรวมพวกนักร้องมาจากมณฑลรอบๆเมืองเยรูซาเล็ม และจากหมู่บ้านต่างๆของเมืองเนโทฟาห์ 29 เมืองเบธกิลกาล และจากทุ่งนาเกบา และอัสมาเวท เนื่องจากพวกนักร้อง ได้สร้างหมู่บ้านของตนขึ้นล้อมรอบเมืองเยรูซาเล็ม

30 บรรดานักบวชและพวกชาวเลวี ต่างชำระตนให้บริสุทธิ์ และชำระประชาชน รวมทั้งประตูและกำแพงเมืองให้บริสุทธิ์

31 จากนั้น ผมจึงนำพวกหัวหน้าของยูดาห์ ขึ้นไปบนกำแพงเมือง และแต่งตั้งคณะนักร้องใหญ่ขึ้นสองกลุ่ม ไว้ร้องเพลงขอบคุณพระเจ้า นักร้องกลุ่มแรกไปทางขวาของกำแพงไปจนถึงประตูกองขยะ 32 ถัดจากพวกเขาไปคือโฮชายาห์ และพวกหัวหน้ายูดาห์ ครึ่งหนึ่ง 33 รวมทั้งอาซาริยาห์ เอสรา เมชุลลาม 34 ยูดาห์ เบนยามิน เชไมอาห์ และเยเรมียาห์ 35 และมีพวกนักบวชบางคนที่มีแตร รวมทั้งมีเศคาริยาห์ ลูกชายโยนาธาน ที่เป็นลูกชายเชไมอาห์ ที่เป็นลูกชายมัทธานิยาห์ ที่เป็นลูกชายมีคายาห์ ที่เป็นลูกชายศักเกอร์ ที่เป็นลูกชายอาสาฟ 36 รวมทั้งพวกญาติพี่น้องของเขาคือ เชไมอาห์ อาซาเรล มิลาลัย กิลาลัย มาอัย เนธันเอล ยูดาห์ และฮานานี พร้อมกับเครื่องดนตรีของดาวิดคนของพระเจ้า เอสราผู้เป็นอาจารย์ เดินนำหน้าพวกเขา 37 พวกเขาเดินไปจนถึงประตูน้ำพุ แล้วพวกเขาเดินตรงขึ้นบันไดของเมืองดาวิด[af] ผ่านทางบันไดที่ขึ้นไปบนกำแพงเมือง ผ่านวังของดาวิด ไปถึงประตูน้ำที่อยู่ทางทิศตะวันออก

38 คณะนักร้องกลุ่มที่สองที่ร้องขอบคุณพระเจ้า เดินไปทางซ้าย และผมกับอีกครึ่งหนึ่งของพวกผู้นำประชาชน ได้เดินตามพวกเขาไปบนกำแพง ผ่านหอคอยเตาอบ ไปจนถึงกำแพงกว้าง 39 ผ่านประตูเอฟราอิม และประตูเมืองเก่า[ag] ประตูปลา หอคอยฮานันเอล หอคอยร้อยพล จนถึงประตูแกะ และมาหยุดที่ประตูยาม 40 นักร้องขอบคุณพระเจ้าทั้งสองกลุ่มยืนประจำที่ในวิหารของพระเจ้า เช่นเดียวกับผมและเจ้าหน้าที่ครึ่งหนึ่งที่อยู่กับผม 41 นักบวชที่มีแตร คือเอลียาคิม มาอาเสอาห์ มินยามิน มีคายาห์ เอลีโอเอนัย เศคาริยาห์ และฮานันยาห์ 42 และมีนักบวชชื่อ มาอาเสอาห์ เชไมอาห์ เอเลอาซาร์ อุสซี เยโฮฮานัน มัลคิยาห์ เอลาม และเอเซอร์

บรรดานักร้องต่างร้องเพลง มียิสรายาห์เป็นหัวหน้าพวกเขา 43 ในวันนั้น พวกเขาพากันถวายเครื่องบูชาอันยิ่งใหญ่ด้วยความยินดี เพราะพระเจ้าทำให้พวกเขามีความสุขสนุกสนานรื่นเริงยิ่งนัก พวกผู้หญิงและเด็กต่างก็พากันรื่นเริงด้วย เสียงรื่นเริงในเยรูซาเล็มนั้นได้ยินไปไกล

44 ในช่วงนั้น พวกเขาได้เลือกผู้ชายบางคนขึ้นมาเพื่อดูแลพวกห้องเก็บของ ที่เอาไว้เก็บของถวาย เก็บพวกผลผลิตแรกของปี เก็บของที่คนเอามาถวายจากสิบเปอร์เซ็นต์ของผลผลิตของเขา ผู้ชายพวกนี้จะต้องเก็บรวบรวมผลผลิตจากพวกไร่นาที่เป็นของเมือง ตามที่กฎของโมเสสได้กำหนดไว้ให้ประชาชนเอามาให้กับพวกนักบวช และพวกเลวี คนยูดาห์พอใจกับพวกนักบวชและพวกเลวีเหล่านั้นที่รับใช้อยู่ต่อหน้าพระยาห์เวห์ 45 พวกนักบวชและพวกเลวี ทำหน้าที่รับใช้พระเจ้าของพวกเขา และทำพิธีชำระต่างๆ ส่วนพวกนักร้อง และพวกยามเฝ้าประตูก็ทำหน้าที่ของตนตามคำสั่งของดาวิดและซาโลมอนผู้เป็นลูกชายเขา 46 นานมาแล้ว ในสมัยของดาวิด และอาสาฟ พวกเขามีคณะผู้นำนักร้อง และผู้นำสรรเสริญและขอบคุณพระเจ้า

47 ดังนั้นในสมัยของเศรุบบาเบล และในสมัยของเนหะมียาห์ คนอิสราเอลทั้งหมดจึงได้แบ่งอาหารส่วนหนึ่งให้กับพวกนักร้องและพวกยามเฝ้าประตูตามความต้องการในแต่ละวัน พวกเขายังแบ่งอาหารส่วนหนึ่งให้แก่พวกชาวเลวี และพวกชาวเลวีก็ได้แบ่งอาหารส่วนหนึ่งให้แก่ผู้สืบเชื้อสายมาจากอาโรน

คำสั่งสุดท้ายของเนหะมียาห์

13 ในวันนั้นพวกเขาอ่านหนังสือของโมเสสให้ประชาชนฟัง พวกเขาพบข้อความซึ่งเขียนไว้ว่า ไม่ควรให้ชาวอัมโมนหรือชาวโมอับเข้าในที่ประชุมเพื่อนมัสการพระเจ้า เพราะชาวอัมโมนและชาวโมอับไม่ได้ให้ขนมปังและน้ำกับชาวอิสราเอล แต่กลับจ้างบาลาอัมมาสาปแช่งพวกอิสราเอล แต่พระเจ้าได้เปลี่ยนคำสาปแช่งเป็นคำอวยพร[ah] เมื่อประชาชนได้ยินกฎบัญญัติ พวกเขาก็แยกคนต่างชาติออกจากคนอิสราเอล

ก่อนหน้านี้ เอลียาชีบผู้เป็นนักบวช มีหน้าที่รับผิดชอบดูแลห้องต่างๆในวิหารของพระเจ้า เขาได้แต่งงานกับญาติของโทบีอาห์ชาวอัมโมน เอลียาชีบได้ยกห้องใหญ่ห้องหนึ่งให้กับโทบีอาห์ ซึ่งเป็นห้องที่มีไว้เพื่อเก็บเครื่องถวายจากเมล็ดพืช เครื่องหอม เครื่องใช้ต่างๆของวิหาร และใช้เก็บสิบเปอร์เซ็นต์ของเมล็ดพืช ของเหล้าองุ่นใหม่ และของน้ำมัน สำหรับพวกชาวเลวี พวกนักร้อง และพวกยามเฝ้าประตู และเอาไว้เก็บของที่คนนำมาถวายให้กับพวกนักบวชด้วย ตามที่บัญญัติของโมเสสสั่งไว้

ตอนที่เกิดเรื่องทั้งหมดนี้ ผมไม่ได้อยู่ในเมืองเยรูซาเล็ม เนื่องจากผมได้กลับไปหากษัตริย์อารทาเซอร์ซีสแห่งบาบิโลน ซึ่งตรงกับปีที่สามสิบสองที่พระองค์ขึ้นครองราชย์[ai] แต่ต่อมา ผมได้ขออนุญาตกษัตริย์ และกลับมายังเมืองเยรูซาเล็ม ผมได้รู้ถึงสิ่งที่เอลียาชีบผู้ชั่วร้ายได้ทำให้โทบีอาห์ นั่นคือเขาได้ยกห้องๆหนึ่งในวิหารของพระเจ้าให้กับโทบีอาห์ ผมถือว่ามันเป็นเรื่องชั่วร้ายมาก ดังนั้น ผมจึงโยนข้าวของของโทบีอาห์ออกไปนอกห้อง แล้วผมสั่งให้ชำระห้องให้บริสุทธิ์ และเอาเครื่องใช้ต่างๆของวิหารของพระเจ้า รวมทั้งเครื่องบูชาจากเมล็ดพืช และเครื่องหอม กลับไปไว้ในห้องนั้นอย่างเดิม

10 ผมยังได้รับรู้อีกว่า พวกชาวเลวีไม่ได้รับส่วนแบ่งของพวกเขา ดังนั้นพวกชาวเลวีและพวกนักร้องที่ทำหน้าที่รับใช้อยู่ในวิหาร จึงกลับไปยังไร่นาของตน 11 ผมต่อว่าพวกเจ้าหน้าที่ว่า “ทำไมวิหารของพระเจ้าถึงได้ถูกละเลยอย่างนี้” แล้วผมจึงรวบรวมพวกชาวเลวี และพวกนักร้องกลับไปยืนอยู่ประจำที่ของพวกเขา 12 จากนั้นพวกคนยูดาห์ทั้งหมดจึงนำสิบเปอร์เซ็นต์ของเมล็ดพืช สิบเปอร์เซ็นต์ของเหล้าองุ่นใหม่ และสิบเปอร์เซ็นต์ของน้ำมัน มาไว้ยังพวกห้องเก็บของของวิหาร

13 แล้วผมได้แต่งตั้งคนขึ้นมาดูแลห้องเก็บของเหล่านั้น คือ เชเลมิยาห์ที่เป็นนักบวช ศาโดกที่เป็นอาจารย์ และเปดายาห์ที่เป็นชาวเลวี รวมทั้งแต่งตั้งฮานัน ลูกชายศักเกอร์ ที่เป็นลูกของมัทธานิยาห์ ให้เป็นผู้ช่วยพวกเขา เพราะพวกเขาเป็นคนซื่อสัตย์ ดังนั้นพวกเขาจึงมีหน้าที่แจกจ่ายส่วนแบ่งให้กับเพื่อนร่วมงานของพวกเขา

14 ข้าแต่พระเจ้าของข้าพเจ้า

ขอโปรดระลึกถึงสิ่งที่ข้าพเจ้าได้ทำให้กับพระองค์

ขอพระองค์อย่าได้ลืมการดี

ที่ข้าพเจ้าได้ทำไปอย่างสัตย์ซื่อ

เพื่อวิหารของพระเจ้าของข้าพเจ้า

และเพื่อการรับใช้ทั้งหลายในวิหารนั้น

Thai New Testament: Easy-to-Read Version (ERV-TH)

พระคริสตธรรมคัมภีร์: ฉบับอ่านเข้าใจง่าย ภาคคำสัญญาใหม่ © 2015 Bible League International