Previous Prev Day Next DayNext

Bible in 90 Days

An intensive Bible reading plan that walks through the entire Bible in 90 days.
Duration: 88 days
Thai New Contemporary Bible (TNCV)
Version
โยบ 8-24

บิลดัด

บิลดัดชาวชูอาห์โต้ตอบโยบว่า

“ท่านจะพูดเช่นนี้ไปอีกนานเท่าใด
ถ้อยคำของท่านเป็นดั่งพายุบุแคม
พระเจ้าทรงบิดเบือนความยุติธรรมหรือ?
องค์ทรงฤทธิ์บิดเบือนความถูกต้องหรือ?
หากบุตรหลานของท่านทำบาปต่อพระองค์
พระองค์ก็ทรงลงโทษพวกเขา
แต่ถ้าท่านหมายพึ่งพระเจ้า
ทูลวิงวอนองค์ทรงฤทธิ์
หากท่านบริสุทธิ์และชอบธรรม
พระองค์จะทรงลุกขึ้นเพื่อท่าน
แล้วนำท่านคืนสู่ฐานะอันสมควรแก่ท่าน
ถึงแม้ว่าท่านจะเริ่มต้นด้วยสิ่งเล็กน้อย
อนาคตของท่านก็ยังจะเจริญรุ่งเรือง

“จงถามคนรุ่นก่อนดู
แล้วท่านจะค้นพบสิ่งที่บรรพบุรุษได้เรียนรู้
เพราะเราเพิ่งเกิดมาเมื่อวานนี้เท่านั้น และไม่รู้อะไร
และวันเวลาของเราในโลกนี้ก็เป็นเพียงเงา
10 บรรพบุรุษจะไม่บอกกล่าวเล่าสอนหรือ?
จะไม่พูดให้ท่านฟังจากความเข้าใจของพวกเขาหรอกหรือ?
11 ต้นกกจะขึ้นงามในที่ซึ่งไม่มีห้วยหนองคลองบึงหรือ?
ต้นอ้อจะอยู่ได้โดยปราศจากน้ำหรือ?
12 และทั้งๆ ที่พวกมันยังงอกงาม ไม่มีใครมาตัด
มันก็ยังเหี่ยวเฉาไปเร็วกว่าต้นหญ้าฉันใด
13 บั้นปลายของผู้ที่หลงลืมพระเจ้าก็เป็นไปฉันนั้น
ความหวังของผู้ที่ไม่มีพระเจ้าก็พินาศไป
14 สิ่งที่เขาพึ่งพาก็เปราะบาง[a]
สิ่งที่เขาพึ่งพิงเป็นแค่ใยแมงมุม
15 เขาหวังพักพิง แต่มันก็ขาดไป
เขายึดกุมไว้ แต่มันก็ไม่คงอยู่
16 เขาเหมือนต้นไม้ที่ได้รับน้ำชุ่มชื่นกลางแดด
แผ่แขนงไปในสวน
17 รากของเขาหยั่งลงไปในกองหิน
เสาะหาที่จะชอนไชไป
18 แต่เมื่อถูกหักโค่นไป
ถิ่นนั้นก็ตัดขาดจากมันและกล่าวว่า ‘เราไม่เคยเห็นเจ้ามาก่อน’
19 แน่ทีเดียว ชีวิตของมันก็เหี่ยวเฉาไป
และ[b]มีพืชอื่นๆ งอกขึ้นมาแทนที่

20 “แน่ทีเดียว พระเจ้าย่อมไม่ทอดทิ้งคนที่ดีพร้อม
ทั้งจะไม่ค้ำจุนคนทำชั่ว
21 พระองค์จะยังคงให้ปากของท่านหัวเราะร่า
และให้ริมฝีปากของท่านโห่ร้องยินดี
22 ศัตรูของท่านจะเต็มไปด้วยความอับอาย
เต็นท์ของคนชั่วร้ายจะไม่มีอีกต่อไป”

โยบ

โยบจึงตอบว่า

“จริงอยู่ ข้ารู้แล้วว่าเป็นอย่างนั้น
แต่มนุษย์จะชอบธรรมสำหรับพระเจ้าได้อย่างไร?
แม้คนใดปรารถนาจะโต้แย้งกับพระเจ้า
เขาก็ไม่สามารถตอบพระองค์ได้แม้แต่ครั้งเดียวจากพันครั้ง
เพราะสติปัญญาของพระเจ้าลึกซึ้ง และฤทธิ์อำนาจของพระองค์มหาศาล
ใครเล่าจะต่อต้านพระเจ้าและรอดมาโดยไม่มีอันตราย?
พระองค์ทรงเคลื่อนภูเขาโดยที่มันไม่ทันรู้ตัว
และพลิกคว่ำมันด้วยพระพิโรธ
พระองค์ทรงเขย่าโลกให้ออกจากที่
ทำให้เสาหลักของมันสั่นคลอน
พระองค์ตรัสสั่ง ดวงอาทิตย์ก็ไม่ส่องแสง
พระองค์ทรงผนึกดวงดาวไม่ให้ฉายแสง
พระองค์แต่ผู้เดียวที่ทรงคลี่ฟ้าสวรรค์ออก
และทรงย่ำเหนือคลื่นทะเล
พระองค์ทรงสร้างดาวจระเข้และดาวไถ
ดาวลูกไก่และหมู่ดาวแห่งทิศใต้
10 พระองค์ทรงกระทำการอัศจรรย์
ที่เกินการหยั่งรู้และเหลือคณานับ
11 เมื่อพระองค์เสด็จผ่านข้า ข้าไม่สามารถเห็นพระองค์
เมื่อเสด็จผ่านไป ข้าไม่สามารถประจักษ์
12 เมื่อพระองค์ทรงฉวยไป ใครจะยับยั้งพระองค์ได้?
ใครจะอาจหาญทูลถามพระองค์ว่า ‘ทรงทำอะไรนั่น?’
13 พระเจ้าไม่ได้ทรงยับยั้งพระพิโรธ
แม้แต่กองกำลังของราหับก็กลัวลานอยู่แทบพระบาทพระองค์

14 “แล้วข้าจะบังอาจโต้แย้งกับพระเจ้าหรือ?
ข้าจะสรรหาคำอะไรมาโต้เถียงกับพระองค์หรือ?
15 แม้ข้าไม่ผิด ข้าก็ไม่อาจโต้ตอบพระองค์
ได้แต่วอนขอความเมตตาจากองค์ตุลาการ
16 ถึงแม้ว่าข้าทูลร้องเรียกและพระองค์ทรงขานตอบ
ข้าก็ไม่เชื่อว่าพระองค์จะทรงสดับฟัง
17 พระองค์คงจะทรงบดขยี้ข้าด้วยลมพายุ
และทวีบาดแผลของข้าโดยไม่มีสาเหตุ
18 พระองค์จะไม่ทรงยอมให้ข้าหายใจ
แต่เติมความรันทดขมขื่นใส่ข้าจนล้นปรี่
19 ถ้าจะว่าด้วยเรื่องพลัง พระองค์ทรงเกรียงไกรนัก!
ถ้าจะว่าด้วยเรื่องความยุติธรรม ใครจะเรียกพระองค์มาให้การได้?[c]
20 ถึงแม้ข้าไร้ผิด ปากของข้าเองยังกล่าวโทษข้า
แม้ข้าดีพร้อม ปากของข้าก็ยังจะพูดว่าตัวเองมีมลทิน

21 “แม้ว่าข้าไร้ตำหนิ
ข้าก็ไม่แยแสตัวเอง
ข้าชิงชังชีวิตของข้าเองยิ่งนัก
22 มันไม่ต่างอะไรกัน ฉะนั้นข้าจึงกล่าวว่า
‘พระองค์ทรงทำลายทั้งคนดีพร้อมและคนชั่วร้าย’
23 เมื่อโทษทัณฑ์นำความตายมาโดยฉับพลัน
พระองค์ทรงยิ้มเยาะความสิ้นหวังของผู้ที่ไม่มีความผิด
24 เมื่อแผ่นดินตกอยู่ในมือของคนชั่ว
พระเจ้าทรงทำให้ตาของบรรดาตุลาการมืดบอด
หากไม่ใช่พระองค์แล้วจะเป็นใครเล่า?

25 “วันคืนของข้าพระองค์ไวยิ่งกว่านักวิ่ง
ลอยลับไปโดยไม่มีความชื่นใจแม้แต่น้อยนิด
26 มันแล่นปราดไปเหมือนเรือพาไพรัส
เหมือนนกอินทรีโฉบลงบนเหยื่อ
27 หากกล่าวว่า ‘ข้าพระองค์จะลืมคำโอดครวญของตน
ข้าพระองค์จะเปลี่ยนสีหน้าและยิ้มแย้มร่าเริง’
28 แต่ข้าพระองค์ก็ยังขยาดความทุกข์ยากทั้งสิ้นของข้าพระองค์
เพราะรู้ว่าพระองค์ยังทรงถือว่าข้าพระองค์มีความผิด
29 ในเมื่อถูกตัดสินว่าผิด
ก็แล้วข้าพระองค์จะดิ้นรนต่อสู้ให้เปล่าประโยชน์ไปทำไม?
30 ถึงข้าพระองค์จะอาบน้ำชำระกายด้วยสบู่[d]
เอาด่างล้างมือให้สะอาด
31 พระองค์ก็จะทรงเหวี่ยงข้าพระองค์ลงในบ่อโคลน
จนแม้แต่เสื้อผ้าของข้าพระองค์ก็ยังรังเกียจตัวข้าพระองค์เอง

32 “พระเจ้าไม่ใช่มนุษย์อย่างข้า ที่ข้าจะไปโต้ตอบได้
ที่เราจะเผชิญหน้ากันในศาล
33 อยากให้มีใครสักคนเป็นคนกลางระหว่างเราทั้งสอง
เผื่อจะได้ช่วยไกล่เกลี่ย
34 ใครสักคนที่จะช่วยเก็บไม้เรียวของพระเจ้าไปจากข้า
เพื่อข้าจะได้เลิกหวาดหวั่นพระอาชญาของพระองค์
35 แล้วข้าจะพูดโดยไม่ต้องหวาดกลัวพระองค์
แต่ขณะนี้ข้าทำเช่นนั้นไม่ได้

10 “ข้าเกลียดชีวิตของข้าเสียจริง
ฉะนั้นข้าจะพร่ำบ่นตามอำเภอใจ
จะระบายความขมขื่นในวิญญาณของข้า
ข้าจะทูลพระเจ้าว่าขออย่าทรงตัดสินว่าข้าพระองค์ผิดเท่านั้น
โปรดบอกด้วยว่าพระองค์ทรงตั้งข้อหาอะไรต่อข้าพระองค์
ทรงพอพระทัยหรือที่จะบีบคั้นข้าพระองค์
และไม่ไยดีผู้ที่เป็นหัตถกิจของพระองค์
ในขณะที่ทรงยิ้มให้แผนการของคนชั่วร้าย?
พระองค์ทรงมีพระเนตรอย่างตาของคนหรือ?
พระองค์ทรงเห็นอย่างมนุษย์หรือ?
วันของพระองค์เหมือนวันของมนุษย์หรือ?
ปีของพระองค์เหมือนปีของมนุษย์หรือ?
พระองค์จึงต้องค้นหาความผิดของข้าพระองค์
และขุดคุ้ยบาปของข้าพระองค์
ทั้งๆ ที่ทราบว่าข้าพระองค์ไม่ได้ทำผิด
และไม่มีใครสามารถช่วยข้าพระองค์จากเงื้อมพระหัตถ์ของพระองค์ได้

“พระหัตถ์ของพระองค์ทรงสร้างและทรงปั้นข้าพระองค์มา
บัดนี้กลับจะทรงทำลายข้าพระองค์หรือ?
ขอทรงระลึกว่าพระองค์ทรงปั้นข้าพระองค์ขึ้นมาจากดิน
บัดนี้จะทรงเปลี่ยนข้าพระองค์กลับไปเป็นธุลีดินอีกหรือ?
10 พระองค์ไม่ได้ทรงเทข้าพระองค์ลงเหมือนเทน้ำนม
และกวนข้าพระองค์เหมือนเนยแข็งหรือ?
11 ทรงห่อหุ้มข้าพระองค์ด้วยเนื้อกับหนัง
และทรงถักร้อยข้าพระองค์เข้าด้วยกันโดยกระดูกกับเส้นเอ็นไม่ใช่หรือ?
12 พระองค์ประทานชีวิตให้ และทรงสำแดงความกรุณาแก่ข้าพระองค์
และในการจัดเตรียมของพระองค์ ทรงเฝ้าพิทักษ์รักษาจิตวิญญาณของข้าพระองค์

13 “แต่นี่คือสิ่งที่พระองค์ซ่อนไว้ในพระทัย
และข้าพระองค์รู้ว่าพระองค์ทรงดำริเช่นนี้
14 คือหากข้าพระองค์ทำบาป พระองค์ทรงเฝ้าดูอยู่
และไม่ปล่อยให้ข้าพระองค์ลอยนวลไปได้
15 หากข้าพระองค์ทำผิด วิบัติก็เกิดกับข้าพระองค์!
ถึงแม้ข้าพระองค์ไม่ผิด ข้าพระองค์ก็ยังไม่อาจโงหัวขึ้นมาได้
เพราะข้าพระองค์รู้สึกอัปยศอดสูยิ่งนัก
และจมอยู่ใน[e]ห้วงความทุกข์ทรมานของข้าพระองค์
16 หากข้าพระองค์เงยหน้าขึ้น พระองค์ก็ทรงย่างเข้าหาเหมือนราชสีห์
และแสดงฤทธิ์อำนาจอันน่าครั่นคร้ามของพระองค์ต่อข้าพระองค์
17 พระองค์ทรงเบิกพยานใหม่ๆ มากล่าวหาข้าพระองค์
และกริ้วข้าพระองค์มากยิ่งขึ้น
กองกำลังของพระองค์ถาโถมเข้าใส่ข้าพระองค์ซ้ำแล้วซ้ำเล่า

18 “ถ้าเช่นนั้นพระองค์ทรงนำข้าพระองค์ออกมาจากครรภ์มารดาทำไม?
ข้าพระองค์อยากจะตายตั้งแต่ยังไม่มีใครเห็น
19 ถ้าเพียงแต่ข้าพระองค์ไม่เคยเกิดมาเป็นตัวเป็นตน
หรือพอออกจากครรภ์มารดาก็ตรงดิ่งไปสู่หลุมฝังศพเลย!
20 ชีวิตสั้นๆ ของข้าพระองค์ใกล้จะดับแล้วไม่ใช่หรือ?
ขอทรงหันไปจากข้าพระองค์เถิด เผื่อข้าพระองค์อาจจะมีเวลาชื่นใจสักชั่วขณะหนึ่ง
21 ก่อนจะไปสู่ที่ที่ไปแล้วไม่ได้กลับมาอีก
สู่ดินแดนแห่งความหม่นหมองและเงามืดมิด[f]
22 ดินแดนแห่งค่ำคืนอันมืดสนิท
มีแต่เงามืดมิดและความวุ่นวาย
ที่ซึ่งแม้แต่ความสว่างก็ยังเหมือนความมืด”

โศฟาร์

11 โศฟาร์ชาวนาอามาห์จึงตอบว่า

“จะปล่อยให้พูดไปอย่างนี้โดยไม่มีคำตอบหรือ?
คนที่พูดแบบนี้จะให้ถือว่าเป็นฝ่ายถูกหรือ?
คำพูดเรื่อยเปื่อยของท่านจะทำให้คนนิ่งอยู่ได้หรือ?
คำเสียดสีของท่านจะไม่ให้ใครปรามหรือ?
ท่านทูลพระเจ้าว่า ‘ความเชื่อของข้าพระองค์ไร้ที่ติ
และข้าพระองค์บริสุทธิ์ในสายพระเนตรของพระองค์’
ข้าปรารถนาให้พระเจ้าตรัสยิ่งนัก
ให้พระองค์เอื้อนโอษฐ์โต้ตอบท่าน
และทรงสำแดงความลี้ลับแห่งสติปัญญาแก่ท่าน
เพราะสติปัญญาแท้นั้นมีสองด้าน
พึงรู้เถิดว่าพระเจ้าทรงลืมบาปบางอย่างของท่านเสียด้วยซ้ำ

“ท่านหยั่งความล้ำลึกของพระเจ้าได้หรือ?
ท่านสามารถคะเนขอบเขตขององค์ทรงฤทธิ์ได้หรือ?
สิ่งเหล่านี้สูงกว่าฟ้าสวรรค์ ท่านจะทำอะไรได้?
และลึกล้ำกว่าแดนมรณา ท่านจะรู้อะไรได้?
หากจะวัดก็ยาวกว่าแผ่นดิน
และกว้างกว่าท้องทะเล

10 “หากพระองค์เสด็จมาจับท่านขังคุก
และเข้ามาพิพากษา ใครเล่าจะยับยั้งพระองค์ได้?
11 พระองค์ย่อมทราบว่าใครโกหกหลอกลวง
เมื่อทรงเห็นความชั่วร้ายจะไม่ทรงพิจารณาหรือ?
12 ลาป่าไม่สามารถออกลูกเป็นคนได้ฉันใด[g]
คนไม่รู้จักคิดก็ไม่อาจฉลาดได้ฉันนั้น

13 “ถึงกระนั้นหากท่านมอบใจแด่พระเจ้า
และชูมือขึ้นอธิษฐานต่อพระองค์
14 หากท่านยอมทิ้งบาปที่อยู่ในมือของท่าน
และไม่ยอมให้ความชั่วเข้ามาในที่พำนักของท่าน
15 เมื่อนั้นท่านก็จะเงยหน้าขึ้นได้โดยไม่ต้องอับอาย
จะยืนหยัดมั่นคงได้โดยไม่ต้องกลัว
16 ท่านย่อมจะลืมความทุกข์ลำบากได้แน่นอน
แม้นึกได้ก็ดุจสายน้ำที่ไหลผ่านพ้นไป
17 แล้วชีวิตท่านจะเจิดจ้ายิ่งกว่ายามเที่ยงวัน
ความมืดจะกลับเป็นเหมือนยามเช้า
18 ท่านจะมั่นคงเพราะมีความหวัง
จะมองดูรอบๆ แล้วพักผ่อนโดยปลอดภัย
19 ท่านจะเอนกายลงโดยไม่กลัว
และคนเป็นอันมากจะมาขอพึ่งท่าน
20 แต่คนชั่วร้ายจะมืดแปดด้าน
และหมดทางหนี
ความหวังเพียงประการเดียวของเขาคือความตาย”

โยบ

12 โยบตอบว่า

“เออ ข้ารู้แล้วล่ะว่าท่านรอบรู้
สติปัญญาจะตายไปกับท่าน!
แต่ข้าก็มีความคิดจิตใจเหมือนท่าน
ข้าไม่ด้อยไปกว่าท่าน
ใครบ้างไม่รู้ในสิ่งที่ท่านพูดมาทั้งหมด?

“ข้าได้กลายเป็นที่เย้ยหยันในหมู่เพื่อนฝูง
แม้ข้าร้องทูลพระเจ้าและพระองค์ทรงตอบ
ข้าเป็นขี้ปากให้เขาถากถาง ทั้งๆ ที่ข้าชอบธรรมและไร้ตำหนิ!
คนที่อยู่สุขสบายก็ดูถูกความอับโชค
ว่าเป็นชะตากรรมของคนที่กำลังล้ม
โจรก็อยู่อย่างสงบสุข
คนที่ยั่วยุพระเจ้าก็มั่นคงปลอดภัย
คือคนที่ยึดพระของตัวไว้ในมือ[h]

“แต่ถามสัตว์ทั้งหลายดูสิ มันจะสอนท่าน
ถามนกในอากาศดู มันจะบอกให้ฟัง
หรือพูดกับแผ่นดิน แล้วมันจะสอนท่าน
หรือให้ปลาในทะเลแจ้งท่าน
ที่ยกมาทั้งหมดนี้ สิ่งไหนบ้างที่ไม่รู้ว่า
พระหัตถ์ขององค์พระผู้เป็นเจ้าได้กระทำสิ่งนี้?
10 ทุกชีวิตอยู่ในพระหัตถ์ของพระองค์
รวมถึงลมหายใจของมวลมนุษยชาติ
11 หูลิ้มลองถ้อยคำ
ดั่งลิ้นลิ้มรสอาหารไม่ใช่หรือ?
12 สติปัญญาพบได้ในหมู่คนอาวุโสไม่ใช่หรือ?
และชีวิตที่ยืนยาวนำความเข้าใจมาให้ไม่ใช่หรือ?

13 “แต่สติปัญญาและอำนาจเป็นของพระเจ้า
คำปรึกษาและความเข้าใจก็เป็นของพระองค์
14 สิ่งที่พระองค์ทรงทลายลงแล้ว ไม่มีใครสร้างขึ้นมาใหม่ได้อีก
และมนุษย์คนใดที่ถูกพระองค์กักขังไว้ ไม่มีใครปลดปล่อยได้
15 ถ้าพระองค์ทรงกักน้ำก็เกิดความแห้งแล้ง
หากพระองค์ทรงปล่อย มันก็ท่วมทำลายแผ่นดิน
16 กำลังและชัยชนะเป็นของพระองค์
ทั้งคนหลอกและคนที่ถูกหลอกเป็นของพระองค์
17 พระองค์ทรงกระทำให้ที่ปรึกษาสิ้นท่า
และทำให้ตุลาการโง่เขลาไป
18 พระองค์ทรงแก้พันธนาการที่กษัตริย์ผูกมัดไว้
และทรงเอาผ้าผูกเอวของกษัตริย์เหล่านั้น
19 พระองค์ทรงกระทำให้ปุโรหิตต้องสิ้นท่า
และทรงโค่นล้มผู้ที่มั่นคงเป็นปึกแผ่น
20 พระองค์ทรงสงบปากคำของที่ปรึกษาผู้ที่ใครๆ เชื่อถือ
และทรงริบเอาความฉลาดหลักแหลมของผู้อาวุโสไป
21 พระองค์ทรงเทความเหยียดหยามเหนือเหล่าเจ้านาย
และทำให้คนเก่งกล้าสิ้นพิษสง
22 พระองค์ทรงเปิดเผยความลี้ลับของความมืด
และนำเงามืดทึบมาสู่ความสว่าง
23 พระองค์ทรงเชิดชูประชาชาติให้ยิ่งใหญ่และทรงทำลายเสีย
พระองค์ทรงขยายประชาชาติให้ใหญ่โตแล้วกระทำให้แตกฉานซ่านเซ็น
24 พระองค์ทรงริบความเข้าใจของบรรดาผู้นำของโลกไป
ทรงปล่อยให้เขาพเนจรอยู่ในถิ่นกันดารหมดหนทาง
25 พวกเขาคลำสะเปะสะปะในความมืด
อันปราศจากแสงสว่าง
ทำให้เขาโซซัดโซเซเหมือนคนเมา

13 “ดวงตาของข้าได้เห็นทั้งหมดนี้
หูของข้าได้ยินและเข้าใจแล้ว
ข้ารู้พอๆ กับท่านนั่นแหละ
ไม่ได้ด้อยไปกว่าท่านเลย
แต่ข้าอยากทูลตรงๆ ต่อองค์ทรงฤทธิ์
อยากสู้คดีกับพระเจ้า
ส่วนพวกท่านเอาความเท็จมาป้ายสีข้า
ล้วนแล้วแต่เป็นหมอที่ไม่ได้ความ!
โปรดเงียบเสียเถิด!
ท่านนิ่งเสียก็ยังจะนับว่าฉลาด
บัดนี้โปรดฟังคำแย้งของข้า
ฟังคำอ้อนวอนจากปากข้าบ้าง
ท่านจะพูดชั่วๆ อ้างว่าพูดแทนพระเจ้าหรือ?
ท่านจะพูดล่อหลอกเพื่อพระองค์หรือ?
ท่านจะแสดงความลำเอียงเข้าข้างพระองค์หรือ?
จะสู้ความแทนพระเจ้าหรือ?
หากพระองค์ตรวจสอบท่าน ผลจะออกมาดีหรือเปล่า?
ท่านจะตบตาพระเจ้าเหมือนตบตามนุษย์ได้หรือ?
10 พระองค์จะทรงตำหนิท่านแน่นอน
หากท่านแสดงความลำเอียงอย่างลับๆ
11 ท่านไม่กลัวพระเดชานุภาพของพระองค์หรือ?
ไม่ยำเกรงพระองค์เลยหรือ?
12 ภาษิตของท่านมีค่าเพียงขี้เถ้า
คำแก้ต่างของท่านก็เปราะบางอย่างหม้อดิน

13 “เงียบเสียเถอะ ปล่อยให้ข้าพูดไป
ถ้าอะไรจะเกิดกับข้าก็ให้มันเกิด
14 เหตุใดข้าจึงยอมเอาตัวเสี่ยงตาย
และกำชีวิตของตัวเองไว้ในมือ?
15 แม้ว่าพระองค์ประหารข้า ข้าก็ยังจะหวังในพระองค์
แน่ทีเดียว ข้ายังคง[i]ขอสู้คดีต่อหน้าพระองค์
16 แน่นอน สิ่งนี้จะกลับกลายเป็นการช่วยกอบกู้ข้าด้วยซ้ำ
เพราะไม่มีผู้ที่ไม่นับถือพระเจ้าคนใดกล้ามาสู้หน้าพระองค์หรอก!
17 ขอให้ตั้งใจฟังคำพูดของข้า
ฟังให้ดีนะ
18 ข้าพร้อมแล้วที่จะสู้ความ
ข้ารู้ว่าข้าจะได้รับการพิสูจน์ว่าข้าไม่ผิด
19 ใครจะตั้งข้อกล่าวหาว่าข้าผิดในเรื่องไหน?
ถ้ามี ข้าจะเงียบและยอมตาย

20 “ข้าแต่พระเจ้า มีสองสิ่งที่ขอโปรดประทานแก่ข้าพระองค์
แล้วข้าพระองค์จะไม่ซ่อนตัวจากพระองค์
21 ขอทรงยกพระหัตถ์ไปจากข้าพระองค์
และหยุดขู่เข็ญให้ข้าพระองค์ตกใจกลัว
22 แล้วทรงเรียกเถิด ข้าพระองค์จะขานรับ
หรือขอให้ข้าพระองค์ทูล แล้วพระองค์ทรงตอบ
23 ข้าพระองค์ได้ทำผิดทำบาปไปมากเท่าใด?
โปรดสำแดงให้ข้าพระองค์เห็นถึงการล่วงละเมิดและบาปของข้าพระองค์
24 ทำไมทรงซ่อนพระพักตร์หนีข้าพระองค์?
ทำไมทรงถือว่าข้าพระองค์เป็นศัตรูของพระองค์?
25 พระองค์จะทรงทรมานใบไม้ที่ปลิวตามแรงลมหรือ?
จะทรงรุกไล่ฟางแห้งหรือ?
26 เพราะพระองค์ทรงตั้งข้อหาหนักเล่นงานข้าพระองค์
และทรงรื้อฟื้นบาปในวัยหนุ่มของข้าพระองค์
27 พระองค์ทรงตีตรวนเท้าของข้าพระองค์ไว้
ทรงเฝ้าดูทางทั้งปวงของข้าพระองค์อย่างใกล้ชิด
โดยตีตราไว้ที่ส้นเท้าของข้าพระองค์

28 “ดังนั้นมนุษย์จึงเสื่อมสูญไปเหมือนสิ่งที่เน่าเปื่อย
เหมือนเสื้อผ้าที่ถูกแมลงกัดกิน

14 “คนที่เกิดจากสตรีล้วนอายุสั้น
และชีวิตก็เต็มไปด้วยความทุกข์ร้อน
เขาเบ่งบานเหมือนดอกไม้แล้วก็เหี่ยวเฉาไป
เป็นดั่งเงาที่หายวับไปไม่คงอยู่
พระองค์ทรงจับตามองบุคคลเยี่ยงนี้หรือ?
และจะทรงนำเขา[j]มาพิพากษาหรือ?
ใครเล่าสามารถเอาความบริสุทธิ์ออกจากสิ่งที่ไม่บริสุทธิ์?
ไม่มีสักคน!
วันเวลาของมนุษย์ถูกกำหนดไว้แล้ว
พระองค์ทรงกำหนดปีเดือนของเขา
พระองค์ทรงวางขอบเขตซึ่งเขาไม่อาจล่วงล้ำไปได้
ฉะนั้นขอทรงหันไปจากเขา ปล่อยเขาไว้ตามลำพัง
จนกว่าเวลาของเขาจะหมดลงเหมือนคนที่ถูกจ้างมา

“อย่างน้อยที่สุดยังมีความหวังสำหรับต้นไม้
ถึงมันถูกโค่นก็ยังจะแตกหน่อขึ้นมาอีก
และงอกกิ่งใหม่ขึ้นมาแทน
รากของมันอาจจะแก่คร่ำคร่าอยู่ในดิน
และตอก็ผุพัง
แต่เมื่อมันได้กลิ่นอายของน้ำ
มันก็สามารถแตกหน่อขึ้นมาใหม่เหมือนต้นอ่อน
10 แต่มนุษย์ตายไปและสิ้นแรง
เขาหายใจเฮือกสุดท้ายแล้วก็ไม่เหลืออะไร
11 น้ำในทะเลสาบแห้งไป
และแม่น้ำแห้งเหือดไปฉันใด
12 คนเราก็นอนลงและไม่ได้ลุกขึ้นมาอีกฉันนั้น
ถึงฟ้าดินสิ้นสลาย มนุษย์ก็จะไม่ฟื้นขึ้นมา
หรือถูกปลุกให้ตื่นขึ้นมาอีก

13 “ถ้าเพียงแต่พระองค์จะซ่อนข้าพระองค์ไว้ในหลุมศพ
และพรางข้าพระองค์ไว้จนกว่าพระพิโรธของพระองค์จะผ่านไป!
ถ้าเพียงแต่พระองค์จะทรงกำหนดเวลาไว้ให้ข้าพระองค์
และทรงระลึกถึงข้าพระองค์อีก!
14 เมื่อคนเราตายไป เขาจะมีชีวิตอีกหรือ?
ข้าพระองค์สู้เหนื่อยยากมาตลอดวันคืน
ข้าพระองค์จะรอคอยการเปลี่ยนแปลงใหม่[k]ที่จะมาถึง
15 พระองค์จะตรัสเรียก และข้าพระองค์จะขานรับ
พระองค์จะทรงคิดถึงพระหัตถกิจของพระองค์
16 แน่นอน พระองค์จะทรงนับย่างก้าวของข้าพระองค์
แต่ไม่นับบาปของข้าพระองค์
17 การล่วงละเมิดของข้าพระองค์จะถูกผนึกตราไว้ในถุง
จะทรงปกปิดบาปของข้าพระองค์ไว้

18 “แต่เหมือนภูเขาสึกกร่อนและทลายไป
และเหมือนหินถูกย้ายไปจากที่ของมัน
19 เหมือนน้ำกัดกร่อนก้อนหินและกระแสน้ำเชี่ยวพัดพาดินไป
พระองค์ก็ทำลายความหวังของมนุษย์อย่างนั้นแหละ
20 พระองค์ทรงกำราบเขาเพียงครั้งเดียว เขาก็ล่วงลับไป
พระองค์ทรงเปลี่ยนสีหน้าของเขา แล้วทรงส่งเขาไป
21 แม้ลูกๆ ของเขาจะมีเกียรติ เขาก็ไม่รู้
แม้ลูกๆ ของเขาจะตกต่ำ เขาก็ไม่เห็น
22 เขารู้สึกได้แต่ความเจ็บปวดของร่างกายของตนเอง
และคร่ำครวญเพื่อตนเองเท่านั้น”

เอลีฟัส

15 เอลีฟัสชาวเทมานโต้ตอบว่า

“ควรหรือที่คนฉลาดจะตอบอย่างไร้ความคิด
หรืออัดลมตะวันออกที่ร้อนระอุไว้เต็มท้อง?
ควรหรือที่เขาจะโต้แย้งด้วยถ้อยคำที่ไร้ประโยชน์
ด้วยวาจาที่ไร้แก่นสาร?
ท่านได้บ่อนทำลายความยำเกรงพระเจ้า
และหยุดยั้งการยอมจำนนต่อพระองค์
บาปของท่านยุให้ปากท่านพูด
ท่านรับเอาลิ้นของคนเจ้าเล่ห์
ปากของท่านกล่าวโทษท่านเอง ไม่ใช่ปากของข้า
ริมฝีปากของท่านปรักปรำท่านเอง

“ท่านเป็นมนุษย์คนแรกที่เกิดมาหรือ?
ท่านเกิดก่อนที่ภูเขาถูกสร้างขึ้นหรือ?
ท่านนั่งฟังอยู่ในสภาของพระเจ้าหรือ?
ท่านผูกขาดสติปัญญาไว้คนเดียวหรือ?
อะไรบ้างที่ท่านรู้แล้วเราไม่รู้?
อะไรบ้างที่ท่านเข้าใจโดยที่เราไม่เข้าใจ?
10 บรรดาผู้อาวุโสก็อยู่ฝ่ายเรา
คนเหล่านั้นแก่ยิ่งกว่าบิดาของท่านเสียอีก
11 คำปลอบโยนจากพระเจ้าไม่เพียงพอสำหรับท่านหรือ?
ถ้อยคำอ่อนหวานไม่เพียงพอหรือ?
12 เหตุใดจิตใจของท่านพาท่านเตลิดไปเช่นนี้?
ทำไมตาของท่านจึงลุกเป็นไฟ?
13 ท่านถึงได้เกรี้ยวกราดต่อพระเจ้า
และให้ถ้อยคำอย่างนี้พรั่งพรูออกมาจากปากของท่าน

14 “มนุษย์เป็นอะไรเล่าที่จะบริสุทธิ์ได้?
ผู้ถือกำเนิดจากสตรีเป็นใครเล่าที่จะชอบธรรมได้?
15 หากพระเจ้ายังไม่ทรงวางพระทัยในบรรดาทูตสวรรค์ของพระองค์
ถ้าแม้แต่ฟ้าสวรรค์ก็ยังไม่บริสุทธิ์ในสายพระเนตรของพระองค์
16 แล้วมนุษย์ผู้ชั่วช้าและเสื่อมทราม
ผู้เสพความชั่วร้ายเหมือนดื่มน้ำจะยิ่งกว่านั้นสักเท่าใด!

17 “ฟังนะ แล้วข้าจะสาธยายให้ท่านฟัง
ถึงประสบการณ์ที่เห็นมา
18 ซึ่งปราชญ์ได้แจ้งไว้
ไม่ปิดบังสิ่งใดๆ ที่บรรพบุรุษได้ถ่ายทอดให้
19 (ผู้ได้รับมอบดินแดนแต่พวกเดียว
ไม่มีคนต่างด้าวแปลกปนในหมู่พวกเขา)
20 คนชั่วร้ายทนทุกข์ทรมานตลอดชีวิต
คนอำมหิตทุกข์ทนตลอดอายุขัยของเขา
21 เสียงข่มขวัญดังเต็มหูของเขา
และเมื่อเหตุการณ์ดูราบรื่นดี ผู้ทำลายก็บุกจู่โจมเขา
22 เขาหมดหวังที่จะหนีให้พ้นความมืดมน
เขาถูกหมายหัวให้เป็นเหยื่อคมดาบ
23 เขาร่อนเร่หาอาหารเหมือนแร้ง[l]
รู้ว่าวันอันมืดมนอยู่แค่เอื้อม
24 ความทุกข์ระทมทำให้เขาหวาดหวั่น
มันถาโถมใส่เขาเหมือนกษัตริย์บุกเข้าโจมตี
25 เพราะเขาชูกำปั้นใส่พระเจ้า
และหยิ่งอหังการต่อองค์ทรงฤทธิ์
26 เขาถือโล่หนาใหญ่ตรงเข้ามา
ร้องท้าทายพระองค์

27 “แม้ว่าหน้าของเขาอวบด้วยไขมัน
และเอวหนาอ้วนพี
28 เขาก็จะอาศัยในเมืองที่ปรักหักพัง
ในบ้านร้าง
บ้านซึ่งกลายเป็นกองขยะ
29 เขาจะไม่ร่ำรวยอีกต่อไป ทรัพย์สมบัติของเขาไม่คงอยู่
และไม่ได้เพิ่มพูนขึ้นในแผ่นดิน
30 เขาจะหนีไม่พ้นความมืดมน
เปลวไฟทำให้หน่อของเขาเหี่ยวแห้งไป
ลมพระโอษฐ์ของพระเจ้าจะพัดเขาปลิวไป
31 อย่าให้เขาหลอกตัวเองโดยไว้วางใจสิ่งที่ไร้ค่า
เพราะจะไม่ได้อะไรตอบแทน
32 ก่อนสิ้นอายุขัยเขาจะได้รับการคืนสนองอย่างเต็มที่
กิ่งก้านสาขาของเขาจะไม่งอกงาม
33 เขาจะเหมือนเถาองุ่นที่ผลร่วงกราวตั้งแต่ยังดิบ
เหมือนต้นมะกอกที่ดอกร่วงหล่นตั้งแต่เพิ่งผลิบาน
34 เพราะหมู่คนอธรรมนั้นจะเริศร้าง
และไฟจะเผาผลาญเต็นท์ของผู้ที่รักสินบน
35 พวกเขาตั้งท้องความเดือดร้อนและคลอดความชั่วออกมา
ท้องของเขามีแต่การหลอกลวง”

โยบ

16 แล้วโยบตอบว่า

“ข้าได้ยินเรื่องแบบนี้มามากแล้ว
พวกท่านล้วนเป็นนักปลอบโยนที่แย่จริงๆ!
ถ้อยคำเยิ่นเย้อของท่านไม่มีจบสิ้นเลยหรือ?
อะไรหนอทำให้ท่านโต้แย้งอยู่เรื่อยไป?
ข้าก็พูดเหมือนท่านได้
ถ้าท่านตกอยู่ในสภาพเดียวกับข้า
ข้าก็สามารถยกคำหวานหูมาต่อว่าท่าน
แล้วก็ส่ายหน้าเย้ยท่าน
แต่ปากข้าจะพูดให้กำลังใจท่าน
ปลอบประโลมให้ท่านคลายทุกข์

“แต่แม้ข้าจะพูดไป ความเจ็บปวดของข้าก็ไม่ได้บรรเทาลง
และแม้ข้าจะนิ่งเสีย มันก็ไม่ได้หายไป
ข้าแต่พระเจ้า แน่ทีเดียว พระองค์ทรงทำให้ข้าพระองค์อ่อนระโหย
ทรงทำให้ครอบครัวของข้าพระองค์ป่นปี้
ที่ทรงผูกมัดข้าพระองค์ก็กลายเป็นข้อยืนยันอย่างหนึ่ง
ร่างกายซูบผอมของข้าพระองค์ได้ลุกขึ้นและเป็นพยานปรักปรำข้าพระองค์
พระเจ้าทรงจู่โจมข้า ทรงฉีกเนื้อข้าด้วยความโกรธกริ้ว
และทรงแยกเขี้ยวใส่ข้า
ศัตรูจ้องข้าตาลุกวาว
10 ผู้คนอ้าปากเยาะเย้ยข้า
พวกเขาตบแก้มข้าด้วยความดูแคลน
และรวมหัวกันเล่นงานข้า
11 พระเจ้าทรงมอบข้าไว้กับคนอธรรม
ทรงเหวี่ยงข้าไว้ในอุ้งมือของคนชั่ว
12 ข้าอยู่มาอย่างสงบตราบจนพระองค์ทรงฉีกข้า
ทรงจับคอข้าและฟาดจนแหลกลาญ
ทรงแขวนข้าไว้เป็นเป้าของพระองค์
13 นักธนูของพระองค์รุมล้อมข้า
พระองค์ทรงทะลวงไตข้าอย่างไม่ปรานี
น้ำดีของข้าเรี่ยราดอยู่ที่พื้น
14 พระองค์ทรงระเบิดเข้าใส่ข้าครั้งแล้วครั้งเล่า
พระองค์ทรงรี่เข้าใส่ข้าเหมือนนักรบ

15 “ข้าเย็บผ้ากระสอบติดผิวหนังของข้า
และเกลือกหน้าในฝุ่นธุลี
16 หน้าของข้าแดงช้ำเพราะการร้องไห้
รอบดวงตาของข้าเป็นวงคล้ำ
17 ถึงกระนั้นมือของข้าก็สะอาดปราศจากความรุนแรง
และคำอธิษฐานของข้าก็บริสุทธิ์

18 “พื้นพสุธาเอ๋ย อย่าซ่อนเลือดของข้าไว้นะ
อย่ากลบเสียงร้องทุกข์ของข้าเลย!
19 บัดนี้พยานของข้าอยู่ในฟ้าสวรรค์
ทนายของข้าอยู่เบื้องบน
20 ผู้อ้อนวอนแทนข้าคือเพื่อนของข้า[m]
ขณะที่ข้าหลั่งน้ำตาต่อพระเจ้า
21 ผู้นั้นช่วยวิงวอนพระเจ้าแทนมนุษย์
เหมือนเพื่อนช่วยอ้อนวอนแทนกัน

22 “อีกไม่กี่ปีข้าก็จะเดินทางไป
โดยไม่หวนคืนมาอีก

17 จิตวิญญาณของข้าแหลกสลาย
วันคืนของข้าหดสั้นลง
หลุมฝังศพรอข้าอยู่
แน่ทีเดียว กลุ่มนักเยาะเย้ยรุมล้อมข้า
ตาของข้าต้องมองดูความเกลียดชังของพวกเขา

“ข้าแต่พระเจ้า โปรดให้ข้าพระองค์มีสิ่งค้ำประกันตามที่ทรงเรียกร้อง
ใครเล่าจะค้ำประกันให้ข้าพระองค์?
พระองค์ทรงปิดความคิดจิตใจของพวกเขาไว้จากความเข้าใจ
ฉะนั้นจะไม่ทรงปล่อยให้พวกเขามีชัยชนะ
หากคนใดปรักปรำเพื่อนเพราะเห็นแก่สินบน
ลูกหลานของเขาจะตามืดมัวไป

“พระเจ้าทรงกระทำให้ข้าตกเป็นขี้ปากของทุกคน
พวกเขาถ่มน้ำลายใส่หน้าข้า
ตาของข้ามืดมัวเพราะความทุกข์โศก
และทุกส่วนในร่างกายของข้าเป็นเพียงเงา
คนชอบธรรมใจหายเมื่อเห็นข้า
ผู้บริสุทธิ์ถูกปลุกขึ้นให้ต่อต้านคนอธรรม
แต่คนชอบธรรมจะยึดมั่นอยู่ในวิถีของตน
ผู้ที่มือสะอาดจะเข้มแข็งขึ้นเรื่อยๆ

10 “ส่วนพวกท่านทุกคน มาสิ ลองดูอีก!
ข้าจะไม่พบสักคนที่มีปัญญาในพวกท่านเลย
11 วันคืนของข้าผ่านพ้นไป แผนการต่างๆ ของข้าป่นปี้หมด
ความปรารถนาในใจข้าย่อยยับไป
12 พวกเขาเปลี่ยนกลางคืนเป็นกลางวัน
และในความมืด พวกเขากล่าวว่า ‘ความสว่างมาใกล้แล้ว’
13 หากแดนผู้ตายเป็นที่พักพิงเดียวที่ข้าหวัง
หากข้าต้องกางที่นอนอยู่ในความมืดมิด
14 หากข้าเรียกความเน่าเปื่อยว่า ‘พ่อ’
และเรียกหนอนว่า ‘แม่’ หรือ ‘พี่สาว’
15 เมื่อนั้นความหวังของข้าอยู่ที่ไหน?
มีใครบ้างพบความหวังในตัวข้า?
16 มันจะลงสู่ประตูแห่งความตายหรือ?
จะลงไปในธุลีดินกับข้าหรือ?”

บิลดัด

18 แล้วบิลดัดชาวชูอาห์ตอบว่า

“เมื่อใดท่านจะเลิกพูดแบบนี้?
มีเหตุผลหน่อย แล้วเราจึงมาพูดกันได้
ทำไมเห็นเราเป็นวัวเป็นควาย
โง่เขลาในสายตาของท่าน?
ท่านผู้ทำร้ายตัวเองด้วยความเกรี้ยวกราด
จะต้องให้โลกเริศร้างเพื่อท่านหรือ?
และต้องให้หินผาเคลื่อนออกไปจากที่ของมันหรือ?

“ตะเกียงของคนชั่วร้ายย่อมถูกดับ
เปลวไฟของเขาไม่ลุกโชน
ดวงสว่างในเต็นท์ของเขามืดไป
และตะเกียงข้างตัวของเขาก็ดับไป
ย่างก้าวที่มาดมั่นของเขาจะอ่อนล้า
แผนการของเขาย้อนกลับไปเล่นงานตัวเขาเอง
เขาเดินดุ่มเข้าไปในตาข่าย
และหลงเข้าไปติดกับ
กับดักจะงับส้นเท้าของเขา
บ่วงแร้วจะรัดเขาไว้แน่น
10 มีบ่วงแร้วซ่อนไว้ดักเขาบนพื้นดิน
มีกับดักอยู่บนเส้นทางของเขา
11 ความหวาดหวั่นจู่โจมเขาทุกด้าน
คอยเล่นงานทุกย่างก้าว
12 ความพินาศจ้องจะเขมือบเขา
ภัยพิบัติเตรียมพร้อมที่จะตะครุบเมื่อเขาล้ม
13 มันกัดกร่อนผิวหนังของเขา
ความตายเริ่มกัดกินแขนขาของเขา
14 เขาถูกลากออกมาจากเต็นท์ที่มั่นคงปลอดภัย
และถูกนำลงมายังองค์กษัตริย์แห่งความหวาดหวั่นพรั่นพรึง
15 ไฟอยู่ใน[n]เต็นท์ของเขา
กำมะถันติดไฟเกลื่อนกลาดอยู่เหนือที่พำนักของเขา
16 รากของเขาเหี่ยวเฉา
และกิ่งก้านของเขาก็แห้งไป
17 อนุสรณ์ของเขาพินาศไปจากโลก
สิ้นชื่อไปจากแผ่นดิน
18 เขาถูกขับไล่จากความสว่างไปสู่ความมืดมน
และถูกเสือกไสไล่ส่งไปจากโลก
19 เขาไม่มีลูกหลานหลงเหลืออยู่ในหมู่ชนของเขา
และไม่มีผู้รอดตายในดินแดนที่เขาเคยอยู่
20 ผู้คนทางตะวันตกต่างตื่นตระหนกในชะตากรรมของเขา
และผู้คนทางตะวันออกต่างอกสั่นขวัญแขวน
21 แน่ทีเดียว สิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นในที่อาศัยของคนชั่ว
นี่คือสิ่งที่เกิดขึ้นในที่ของคนที่ไม่รู้จักพระเจ้า”

โยบ

19 แล้วโยบจึงโต้ตอบว่า

“ท่านจะทรมานข้าไปนานแค่ไหน?
จะใช้คำพูดเชือดเฉือนข้าไปนานเท่าใด?
สิบครั้งแล้วนะที่ท่านตำหนิติเตียนข้า
ที่ท่านโจมตีข้าโดยไม่อาย
หากข้าหลงผิดไปจริงๆ
ความผิดพลาดก็เป็นเรื่องของข้าคนเดียว
หากท่านจะยกตนข่มข้า
และใช้ความตกต่ำของข้าปรักปรำข้า
ก็จงรู้เถิดว่าพระเจ้าทรงทำผิดต่อข้า
และเหวี่ยงแหของพระองค์คลุมข้าไว้

“ถึงแม้ข้าร้องว่า ‘ทรงทำผิดต่อข้า!’ แต่ก็ไม่มีคำตอบ
แม้ข้าร้องขอความช่วยเหลือ แต่ก็ไม่ได้รับความยุติธรรม
พระเจ้าทรงปิดกั้นหนทางของข้า ข้าจึงผ่านไปไม่ได้
พระองค์ทรงคลุมทางของข้าไว้ในความมืด
พระเจ้าทรงริบศักดิ์ศรีของข้าไป
ทรงถอดมงกุฎจากศีรษะของข้า
10 พระองค์ทรงทำลายข้าทุกด้านจนย่อยยับ
ทรงขุดรากถอนโคนความหวังของข้าไปเหมือนถอนต้นไม้
11 พระพิโรธของพระองค์เผาผลาญข้า
ทรงถือว่าข้าเป็นศัตรูของพระองค์
12 กองกำลังของพระองค์ดาหน้าเข้ามา
สร้างเชิงเทินเข้าประชิดข้า และตั้งค่ายล้อมเต็นท์ของข้า

13 “พระองค์ทรงให้พี่น้องห่างเหินข้า
คนสนิทชิดเชื้อก็กลายเป็นคนแปลกหน้า
14 ญาติของข้าจากไป
เพื่อนฝูงก็ลืมข้า
15 แขกเหรื่อและคนรับใช้ถือว่าข้าเป็นคนแปลกหน้า
และมองว่าข้าเป็นคนต่างด้าว
16 ข้าเรียกคนใช้ของข้า แต่เขาไม่ตอบ
แม้ข้าจะอ้อนวอนเขา
17 ลมหายใจของข้าเป็นที่รังเกียจของภรรยา
ตัวข้าเป็นที่เกลียดชังของพี่น้องของข้าเอง
18 แม้แต่เด็กเล็กๆ ก็ดูหมิ่นเหยียดหยามข้า
เมื่อข้าปรากฏตัว พวกเขาก็หัวเราะเยาะ
19 เพื่อนสนิททุกคนพากันขยะแขยงข้า
บรรดาผู้ที่ข้ารักก็กลายเป็นศัตรูกับข้า
20 ข้าเหลือแต่หนังหุ้มกระดูก
ข้าเฉียดใกล้ความตายแค่เส้นยาแดง

21 “เพื่อนเอ๋ย! สงสารข้าเถิด
เพราะพระหัตถ์ของพระเจ้าเล่นงานข้าแล้ว
22 ทำไมหนอพวกท่านถึงต้องไล่ล่าตัวข้าเหมือนอย่างที่พระเจ้าทรงกระทำ?
จะแล่เนื้อเถือหนังของข้าไม่เลิกราเลยหรือ?

23 “อยากให้บันทึกถ้อยคำของข้าไว้
เขียนไว้ในหนังสือม้วน
24 ใช้เครื่องมือเหล็กจารึกไว้บนแผ่นตะกั่ว
หรือสลักลงบนศิลาให้ถาวรเป็นนิตย์!
25 ข้ารู้ว่าพระผู้ไถ่[o]ของข้าทรงพระชนม์อยู่
และรู้ว่าในที่สุดพระองค์จะประทับยืนบนแผ่นดินโลก[p]
26 และหลังจากที่ผิวหนังของข้าถูกทำลายไป
แต่[q]ใน[r]กายนี้ข้ายังจะเห็นพระเจ้า
27 ข้าเองจะเห็นพระเจ้ากับตา
ไม่ใช่คนอื่น
จิตใจของข้าโหยหาอยู่ภายใน!

28 “หากท่านว่า ‘เราจะเล่นงานเขาให้อยู่หมัด
เพราะต้นตอปัญหาอยู่ที่เขา[s]
29 ท่านเองก็ควรจะกลัวดาบนั้น
เพราะพระพิโรธจะนำดาบมาลงโทษท่าน
แล้วท่านจะรู้ว่าการพิพากษานั้นมีอยู่[t]

โศฟาร์

20 แล้วโศฟาร์ชาวนาอามาห์ตอบว่า

“ความคิดว้าวุ่นของข้าทำให้ข้าไม่สบายใจอย่างยิ่ง
มันเร่งเร้าให้ข้าตอบท่าน
ข้าได้ฟังคำติเตียนซึ่งสบประมาทข้า
และความเข้าใจดลใจให้ข้าตอบ

“ท่านย่อมรู้ว่าเป็นมาอย่างไรตั้งแต่เก่าก่อน
เมื่อมนุษย์[u]ถูกสร้างขึ้นมาในโลก
คือความเบิกบานใจของคนชั่วร้ายนั้นสั้น
ความชื่นชมยินดีของคนอธรรมนั้นคงอยู่ชั่วครู่เดียว
แม้ความอหังการของเขาจะขึ้นไปถึงฟ้าสวรรค์
และหัวของเขาสูงจรดเมฆ
เขาก็จะพินาศไปนิรันดร์เหมือนอุจจาระของเขาเอง
ผู้ที่เคยเห็นเขาจะฉงนว่า ‘เขาไปไหนแล้ว?’
เขาลับหายไปเหมือนความฝัน ไม่มีใครพบเห็นอีก
ถูกขจัดไปเหมือนนิมิตในยามค่ำคืน
ตาที่เคยเห็นเขาจะไม่เห็นเขาอีก
ถิ่นของเขาจะไม่พานพบเขาอีกเลย
10 ลูกหลานของเขาจะต้องชดใช้ให้คนยากจน
มือของเขาเองต้องคืนทรัพย์สินของตน
11 พลังแห่งวัยฉกรรจ์ซึ่งเต็มล้นในกระดูกของเขา
จะนอนลงกับเขาในฝุ่นธุลี

12 “แม้ความชั่วร้ายจะหวานละมุนอยู่ในปาก
และเขาอมมันไว้ใต้ลิ้น
13 แม้เขาจะไม่อยากให้มันหมดไป
และขออมไว้ในปาก
14 แต่อาหารของเขาจะกลับบูดเปรี้ยวในท้อง
กลายเป็นเหมือนพิษงูร้ายในตัวเขา
15 เขาจะคายทรัพย์สมบัติที่เขากลืนลงไป
พระเจ้าจะให้ท้องของเขาสำรอกมันออกมา
16 เขาจะดูดพิษงูเห่า
และตายด้วยเขี้ยวงู
17 เขาจะไม่ได้ลิ้มรสน้ำผึ้งและน้ำนม
ซึ่งหลั่งไหลเหมือนแม่น้ำลำธาร
18 เขาต้องคืนสิ่งที่ตนตรากตรำทำมาทั้งที่ยังไม่ได้กิน
เขาจะไม่ได้ชื่นชมผลกำไรจากการค้าของเขา
19 เพราะเขาได้กดขี่ข่มเหงคนยากจนและทำให้พวกเขาหมดเนื้อหมดตัว
ทั้งยังยึดบ้านที่ตัวเขาเองไม่ได้ปลูกสร้าง

20 “แน่นอน ไม่ว่าเขาจะมีมากเท่าใด เขาก็จะละโมบไม่มีที่สิ้นสุด
ทรัพย์สมบัติช่วยอะไรเขาไม่ได้เลย
21 ไม่มีอะไรเหลือให้เขากลืนกินอีก
ความมั่งคั่งของเขาจะไม่จีรังยั่งยืน
22 แม้ขณะที่มีพร้อมทุกสิ่ง ความทุกข์ก็จู่โจมเขา
ความลำเค็ญเหลือแสนจะเล่นงานเขา
23 เมื่อเขากินจนเต็มท้อง
พระเจ้าจะส่งพระพิโรธมาเผาผลาญเขา
และฟาดกระหน่ำเขา
24 แม้เขาจะหลบหลีกจากอาวุธเหล็ก
ก็จะถูกทิ่มแทงด้วยลูกศรทองสัมฤทธิ์
25 เขาจะกระชากลูกศรออกจากหลัง
ดึงปลายศรคมกริบจากตับของเขา
ความหวาดหวั่นขวัญผวาจะเกิดแก่เขา
26 ทรัพย์สมบัติของเขาจะสูญหายไปในความมืด
ไฟแผดกล้าจะเผาผลาญเขา
ทำลายล้างทุกสิ่งที่เหลืออยู่ในเต็นท์ของเขา
27 ฟ้าสวรรค์จะเปิดโปงความผิดของเขา
และโลกจะเป็นพยานปรักปรำเขา
28 ทรัพย์สมบัติในบ้านของเขาจะถูกพัดพาไป
ในวันแห่งพระพิโรธของพระเจ้า[v]
29 นี่คือชะตากรรมที่พระเจ้าทรงกำหนดไว้ให้คนชั่วร้าย
เป็นมรดกที่พระเจ้าทรงเตรียมไว้สำหรับเขา”

โยบ

21 แล้วโยบตอบว่า

“ขอให้ตั้งใจฟังคำของข้า
ขอให้นี่เป็นการปลอบใจที่ท่านให้ข้า
ขอให้อดทนฟังขณะที่ข้าพูด
แล้วหลังจากนั้นเชิญถากถางต่อไปได้

“ข้าบ่นต่อว่าเรื่องมนุษย์หรือ?
ทำไมข้าจะต้องอดกลั้นไว้?
จงมองดูข้า แล้วตกตะลึง
และเอามือปิดปากไว้
เมื่อข้าคิดเรื่องนี้ ข้าเองยังอกสั่นขวัญแขวน
กายข้าก็สั่นสะท้าน
ทำไมหนอคนชั่วร้ายอยู่ไปจนแก่เฒ่า
และเรืองอำนาจขึ้นเรื่อยๆ?
เขาอยู่เห็นลูกหลานมั่นคงเป็นปึกแผ่นรายล้อมตัวเขา
ลูกหลานของเขาอยู่ต่อหน้าเขา
บ้านของเขาปลอดภัยและไม่ต้องหวาดกลัวสิ่งใด
ไม่ต้องพานพบไม้เรียวของพระเจ้า
10 วัวผู้ของเขาผสมพันธุ์ไม่มีขาด
แม่วัวของเขาตกลูกและไม่เคยแท้ง
11 เขามีลูกหลานมากมายเหมือนฝูงแพะแกะ
เด็กๆ ของเขาก็ร้องเล่นเต้นรำ
12 พวกเขาร้องเพลงคลอเสียงพิณและรำมะนา
รื่นเริงกับเสียงปี่
13 เขาใช้ชีวิตอย่างเจริญรุ่งเรือง
และเข้าสู่แดนมรณาด้วยความสงบสุข[w]
14 ถึงกระนั้นเขาก็พูดกับพระเจ้าว่า ‘อย่ามายุ่งกับเรา!
เราไม่อยากรู้วิถีทางของพระองค์
15 องค์ทรงฤทธิ์เป็นใครกันเราจึงต้องรับใช้พระองค์?
เราจะอธิษฐานต่อพระองค์ไปเพื่ออะไร?’
16 แต่ความเจริญรุ่งเรืองของพวกเขาไม่ได้อยู่ในมือของพวกเขาเอง
ข้าจึงไม่ใส่ใจคำแนะนำของคนชั่ว

17 “กี่ครั้งที่ตะเกียงของคนชั่วร้ายถูกดับไป?
กี่ครั้งที่ภัยพิบัติเกิดกับเขา?
นั่นคือชะตากรรมที่พระพิโรธของพระเจ้าบันดาลให้เป็นไป
18 กี่ครั้งที่เขาเหมือนฟางปลิวตามลม
เหมือนแกลบที่ถูกพายุพัดไป?
19 กล่าวกันว่า ‘พระเจ้าทรงสะสมโทษทัณฑ์ไว้ให้ลูกหลานของเขา’
ขอให้พระเจ้าทรงลงโทษตัวคนนั้นเองเพื่อเขาจะได้รู้สำนึก!
20 ขอให้ตาของเขาเห็นความพินาศย่อยยับของตัวเอง
ขอให้เขาดื่มพระพิโรธขององค์ทรงฤทธิ์[x]
21 เพราะเมื่อชีวิตของเขามาถึงจุดจบที่กำหนดไว้แล้ว
เขาจะแยแสอะไรกับครอบครัวที่เขาทิ้งไว้เบื้องหลัง?

22 “ใครเล่าจะสั่งสอนพระเจ้า
ในเมื่อพระองค์ทรงพิพากษาแม้แต่คนที่สูงส่งที่สุด?
23 คนหนึ่งตายไปขณะที่ยังแข็งแรง
สุขสมบูรณ์และสบายเต็มที่
24 ร่างกาย[y]ได้รับการบำรุงเลี้ยงอย่างดี
และกระดูกของเขาแข็งแกร่ง
25 อีกคนหนึ่งตายไปอย่างขมขื่นใจ
ไม่เคยได้ชื่นชมสิ่งดีงามใดๆ
26 ทั้งสองนอนเคียงข้างกันในธุลีดิน
และถูกปกคลุมด้วยหนอน

27 “ข้ารู้ดีว่าท่านกำลังคิดอะไรอยู่
แผนการที่พวกท่านจะเล่นงานข้า
28 ท่านพูดว่า ‘ไหนล่ะคฤหาสน์ของเจ้าใหญ่นายโตคนนั้น?
เต็นท์ที่พักของคนชั่วไปไหนเสียแล้ว?’
29 ท่านไม่เคยถามผู้ที่ท่องเที่ยวไปมาหรือ?
ท่านไม่สนใจคำบอกเล่าของเขาบ้างหรือว่า
30 คนชั่วมักรอดพ้นในวันแห่งหายนะ
เขาได้รับการช่วยเหลือให้พ้น[z]วันแห่งพระพิโรธ
31 ใครบ้างประณามความประพฤติของเขาซึ่งๆ หน้า?
ใครสนองการกระทำของเขา?
32 เมื่อเขาถูกหามไปยังที่ฝังศพ
ก็ยังมียามเฝ้าอุโมงค์ให้เขา
33 ดินในหุบเขานุ่มสบายสำหรับเขา
คนทั้งปวงติดตามเขาไป
และผู้คนที่ไป[aa]ก่อนหน้าเขาก็นับไม่ถ้วน

34 “ท่านจะปลอบโยนข้าด้วยคำเหลวไหลได้อย่างไร?
คำตอบของท่านไม่มีอะไรนอกจากคำลวง!”

เอลีฟัส

22 แล้วเอลีฟัสชาวเทมานตอบว่า

“มนุษย์จะมีประโยชน์อันใดสำหรับพระเจ้าได้?
แม้แต่คนเฉลียวฉลาดก็จะเป็นประโยชน์อะไรสำหรับพระองค์ได้?
หากท่านชอบธรรม นั่นจะทำให้องค์ทรงฤทธิ์พอพระทัยตรงไหน?
หากท่านดีพร้อม จะมีประโยชน์อันใดสำหรับพระองค์?

“เพราะคุณธรรมของท่านหรือ
พระองค์จึงทรงตำหนิและตั้งข้อหาท่าน?
ไม่ใช่เพราะท่านชั่วร้ายมากหรือ?
ไม่ใช่เพราะบาปที่ไม่สิ้นสุดของท่านหรือ?
ท่านได้เรียกร้องของค้ำประกันจากพี่น้องโดยไม่มีเหตุผล
ท่านทำให้ผู้คนหมดเนื้อหมดตัว
ท่านไม่ได้ให้น้ำแก่ผู้อิดโรย
และไม่แบ่งปันอาหารแก่ผู้หิวโหย
แม้ว่าท่านจะมีอิทธิพล เป็นเจ้าของที่ดิน
มีคนนับหน้าถือตาและอาศัยในที่แห่งนั้น
ท่านขับไล่ไสส่งแม่ม่ายออกไปมือเปล่า
และริดรอนกำลังของลูกกำพร้าพ่อ
10 ด้วยเหตุนี้กับดักหลุมพรางจึงอยู่รายรอบท่าน
หายนะฉับพลันทำให้ท่านขวัญหนีดีฝ่อ
11 ความมืดมนจึงทำให้ท่านมองไม่เห็น
และกระแสน้ำท่วมมิดท่าน

12 “พระเจ้าไม่ได้ประทับที่เบื้องสูงแห่งฟ้าสวรรค์หรือ?
ดูเถิดว่าหมู่ดาวเบื้องบนอยู่สูงเพียงใด?
13 ถึงกระนั้นท่านก็กล่าวว่า ‘พระเจ้ารู้อะไร?
พระองค์จะสามารถพิพากษาผ่านความมืดทึบนี้ได้หรือ?
14 เพราะเมฆหนาทึบบังพระองค์ไว้
เมื่อพระองค์เสด็จไปมาเหนือฟ้ากว้าง พระองค์จึงไม่ทรงเห็นเรา’
15 ท่านจะเดินบนทางสายเก่า
ที่คนชั่วได้เดินย่ำมานั้นหรือ?
16 พวกเขาถูกคร่าไปก่อนกำหนด
รากฐานของเขาถูกน้ำท่วมกวาดล้างไป
17 เขาพูดกับพระเจ้าว่า ‘อย่ามายุ่งกับเรา!
องค์ทรงฤทธิ์จะทำอะไรเราได้?’
18 แต่พระเจ้านี่แหละทำให้บ้านของเขามีแต่ของดีๆ
ฉะนั้นข้าจึงไม่ใส่ใจคำแนะนำของคนชั่วร้าย

19 “บรรดาคนชอบธรรมเห็นความย่อยยับของพวกเขาแล้วก็ชื่นชมยินดี
ผู้บริสุทธิ์เย้ยหยันพวกเขาว่า
20 ‘แน่นอนว่าศัตรูของเราย่อมถูกทำลายล้าง
และไฟเผาผลาญทรัพย์สมบัติของพวกเขา’

21 “ยอมจำนนต่อพระเจ้าเถิด คืนดีกับพระองค์
แล้วความเจริญรุ่งเรืองจะมาถึงท่าน
22 จงน้อมรับคำสั่งสอนจากพระโอษฐ์ของพระองค์
และเก็บพระวจนะของพระองค์ไว้ในดวงใจของท่าน
23 หากท่านกลับมาหาองค์ทรงฤทธิ์ ท่านก็จะกลับสู่ความปกติสุข
หากท่านขจัดความชั่วร้ายให้ห่างไกลจากเรือนของท่าน
24 หากท่านละทิ้งแร่ทองคำของท่านไว้ในธุลีดิน
และโยนทองแห่งโอฟีร์ของท่านทิ้งหุบเหวไป
25 เมื่อนั้นองค์ทรงฤทธิ์เองจะทรงเป็นทองของท่าน
เป็นเงินเนื้อดีของท่าน
26 แน่นอนว่าท่านจะชื่นชมยินดีในองค์ทรงฤทธิ์
และเงยหน้าขึ้นหาพระเจ้า
27 ท่านจะอธิษฐานต่อพระเจ้า และพระองค์จะทรงฟังท่าน
แล้วท่านจะทำตามที่ถวายปฏิญาณไว้
28 สิ่งที่ท่านตัดสินใจจะสัมฤทธิ์ผล
และแสงสว่างจะส่องทางให้ท่าน
29 เมื่อมีคนถูกทำให้ตกต่ำลงและท่านทูลว่า ‘ขอทรงโปรดยกชูเขา!’
แล้วพระองค์ก็จะทรงช่วยกู้ผู้ที่ต่ำต้อยนั้น
30 พระองค์จะทรงกอบกู้แม้แต่ผู้ที่ทำผิด
มืออันบริสุทธิ์ของท่านจะช่วยกู้เขา”

โยบ

23 แล้วโยบจึงตอบว่า

“คำร้องทุกข์ของข้าวันนี้ยังคงเป็นคำที่ขมขื่น
พระหัตถ์ของพระองค์[ab]ก็หนักหน่วงทั้งๆ ที่[ac]ข้าร้องครวญคราง
ถ้าเพียงแต่ข้ารู้ว่าจะหาพระเจ้าได้ที่ไหน
ถ้าเพียงแต่ข้าสามารถไปถึงที่ประทับของพระองค์!
ข้าจะทูลแถลงคดีของข้าต่อหน้าพระองค์
และขอโต้แย้งอย่างเต็มที่
แล้วข้าจะรู้ว่าพระองค์จะทรงตอบข้าว่าอย่างไร
และข้าจะใคร่ครวญสิ่งที่พระองค์ตรัส
พระองค์จะทรงใช้อำนาจอันยิ่งใหญ่ต่อต้านข้าหรือ?
หามิได้ พระองค์จะไม่ทรงตั้งข้อหาข้า
ที่นั่นคนชอบธรรมสามารถชี้แจงเหตุผลต่อพระองค์ได้
และข้าจะได้รับการปลดปล่อยโดยองค์ตุลาการของข้าให้พ้นมลทินตลอดไป

“แต่ถึงข้าไปทางตะวันออก พระองค์ก็ไม่อยู่ที่นั่น
ถ้าข้าไปทางตะวันตก ก็ไม่พบพระองค์
เมื่อพระองค์ทรงกระทำพระราชกิจอยู่ทางทิศเหนือ ข้าไม่เห็นพระองค์
เมื่อพระองค์หันมาทางใต้ ข้าหาพระองค์ไม่พบ
10 แต่พระองค์ทรงทราบทางที่ข้าไป
เมื่อพระองค์ทรงทดสอบข้าแล้ว ข้าจะเป็นดั่งทองคำ
11 ข้าดำเนินตามรอยพระบาทของพระองค์อย่างใกล้ชิด
ข้าอยู่ในทางของพระองค์โดยไม่หันเห
12 ข้าไม่ได้พรากจากพระบัญชาของพระองค์
ข้าเห็นว่าพระวจนะจากพระโอษฐ์ของพระองค์ล้ำค่ายิ่งกว่าอาหารประจำวัน

13 “แต่พระองค์ก็ยังทรงยืนกรานเด็ดเดี่ยว และใครเล่าจะต่อต้านพระองค์ได้?
พระองค์ทรงกระทำทุกสิ่งตามชอบพระทัย
14 พระองค์ทรงกระทำแก่ข้าตามที่ทรงมีประกาศิตไว้
และพระองค์ยังมีแผนการอื่นๆ เก็บไว้อีกมากมาย
15 ด้วยเหตุนี้ข้าจึงครั่นคร้ามต่อหน้าพระองค์
เมื่อคิดถึงสิ่งเหล่านี้ทั้งหมด ข้าก็ยำเกรงพระองค์
16 พระเจ้าทรงกระทำให้จิตใจของข้าอ่อนระโหย
องค์ทรงฤทธิ์ทรงเขย่าขวัญข้า
17 ถึงกระนั้นความมืดทึบที่กลบหน้าข้า
ก็ไม่ทำให้ข้าเงียบลง

24 “ทำไมหนอองค์ทรงฤทธิ์จึงไม่ทรงกำหนดเวลาไว้เพื่อการพิพากษา?
ทำไมบรรดาผู้ที่รู้จักพระองค์ต้องชะเง้อหาวันเวลาเช่นนั้นโดยเปล่าประโยชน์?
มีคนโยกย้ายหลักเขต
พวกเขาขโมยฝูงสัตว์มาเลี้ยง
พวกเขาริบเอาลาของลูกกำพร้าพ่อ
และยึดวัวของแม่ม่ายเป็นของค้ำประกัน
พวกเขาผลักไสคนขัดสนออกไปให้พ้นทาง
และบีบบังคับคนยากไร้ให้ต้องหลบๆ ซ่อนๆ
ดั่งลาป่าในถิ่นกันดาร
คนยากไร้ต้องตรากตรำ
กระเสือกกระสนหาอาหารจากถิ่นกันดารเพื่อเลี้ยงลูก
เขาเก็บหญ้าแห้งตามท้องทุ่ง
และเก็บของเหลือในสวนองุ่นของคนชั่ว
ยามค่ำคืนต้องนอนหนาวเหน็บไม่มีผ้าจะพันกาย
ไม่มีผ้าห่มกันหนาว
กายของเขาเปียกโชกเพราะสายฝนแห่งภูเขา
และเขาเกาะหินแน่นเพราะไม่มีที่กำบัง
ลูกกำพร้าพ่อถูกคร่าจากอกแม่
ทารกของคนยากไร้ถูกจับไปเพราะเป็นหนี้
10 พวกเขาจึงต้องระหกระเหินไปด้วยกายเปลือยเปล่า
ต้องแบกฟ่อนข้าวทั้งๆ ที่หิวโซ
11 เขาคั้นน้ำมันมะกอกในดงมะกอก[ad]
และย่ำน้ำองุ่นทั้งๆ ที่กำลังทุกข์ทรมานด้วยความกระหาย
12 เสียงครวญครางของคนใกล้ตายดังมาจากตัวเมือง
วิญญาณของผู้บาดเจ็บร้องวิงวอนขอความช่วยเหลือ
แต่พระเจ้าไม่เห็นเอาผิดกับใคร

13 “มีผู้กบฏต่อความสว่าง
ผู้ไม่รู้จัก
และไม่ยอมดำเนินในทางของความสว่างนั้น
14 เมื่อสิ้นแสงตะวันแล้ว ฆาตกรก็ลุกขึ้น
สังหารคนยากไร้และคนขัดสน
ยามค่ำคืนเขาลอบออกไปเหมือนขโมย
15 ตาของคนล่วงประเวณีจ้องรอคอยเวลาพลบค่ำ
เขาคิดว่า ‘ไม่มีใครเห็นเรา’
และคลุมหน้าเพื่อพรางตาคน
16 ในความมืดมีคนแอบย่องเข้าไปในบ้าน
แต่ตอนกลางวันเขาก็เก็บตัวอยู่
ไม่อยากยุ่งเกี่ยวกับความสว่าง
17 สำหรับพวกเขาทุกคน ความมืดสนิทเป็นยามเช้า[ae]
เขาเป็นมิตรกับความมืดมนอันน่าสยดสยอง[af]

18 “ถึงกระนั้นเขาก็เป็นฟองบนผิวน้ำ
ที่ดินส่วนของเขาถูกสาปแช่ง
จึงไม่มีใครไปที่สวนองุ่นของเขา
19 ความร้อนระอุแห้งแล้งดูดซับหิมะที่ละลายไปฉันใด
แดนมรณาก็พรากผู้ที่ทำบาปไปฉันนั้น
20 ครรภ์มารดาก็ลืมเขา
ตัวหนอนรุมกินเขา
ไม่มีใครจดจำคนชั่วร้ายอีกต่อไป
แต่พวกเขาถูกโค่นลงเหมือนต้นไม้
21 เพราะพวกเขาเอารัดเอาเปรียบหญิงที่เป็นหมันและหญิงที่ไม่มีลูกๆ ดูแล
เขาไม่ปรานีหญิงม่าย
22 แต่พระเจ้าทรงลากผู้ยิ่งใหญ่ไปด้วยฤทธิ์อำนาจของพระองค์
แม้พวกเขาเป็นปึกแผ่น แต่ก็ไม่มีความมั่นคงในชีวิต
23 พระองค์อาจจะปล่อยให้เขาพักอยู่ด้วยความรู้สึกมั่นคงปลอดภัย
แต่ทรงจับตาดูวิถีทางของเขา
24 เขาได้รับการยกย่องเทิดทูนอยู่ชั่วครู่หนึ่ง แล้วก็ผ่านพ้นไป
พวกเขาต้องตกต่ำลงและถูกรวบไปเหมือนคนอื่นๆ
เขาถูกตัดออกเหมือนยอดรวงข้าว

25 “ถ้าไม่ได้เป็นอย่างนี้ ใครจะพิสูจน์ได้ว่าข้าพูดผิด
และทำให้เห็นว่าสิ่งที่ข้ากล่าวมานี้ไม่เป็นความจริง”

Thai New Contemporary Bible (TNCV)

Thai New Contemporary Bible Copyright © 1999, 2001, 2007 by Biblica, Inc.® Used by permission. All rights reserved worldwide.