Bible in 90 Days
การแบ่งที่ดินให้กับสิบสองเผ่าของอิสราเอล
13 นี่คือสิ่งที่พระยาห์เวห์องค์เจ้าชีวิตพูด
“ต่อไปนี้คือเขตแดนที่ดินที่เจ้าต้องแบ่งไว้เป็นมรดกให้กับสิบสองเผ่าของอิสราเอล โยเซฟจะได้สองส่วน
14 เจ้าต้องแบ่งมันให้กับพวกเขาอย่างเท่าเทียมกัน
เพราะเราได้ยกมือสาบานไว้ว่าจะให้มันกับบรรพบุรุษของเจ้า ที่ดินนี้จะเป็นมรดกของเจ้า
15 ต่อไปนี้จะเป็นเขตแดนของที่ดิน
เขตแดนทางทิศเหนือ เริ่มจากทะเลเมดิเตอร์เรเนียนไปตามถนนเฮทโลน ผ่านทางเข้าเมืองฮามัทจนถึงเศดัด 16 ต่อไปจนถึงเบโรธาห์และสิบราอิม (ซึ่งติดอยู่กับเขตแดนของดามัสกัสกับฮามัท) ไปจบที่ฮาเซอร์ฮัททิโคน ซึ่งติดกับเขตแดนของเฮาราน
17 ดังนั้นเขตแดนทางทิศเหนือ เริ่มจากทะเลเมดิเตอร์เรเนียนไปจนถึงฮาซาเรโนน (ซึ่งอยู่เหนือเขตแดนของเมืองดามัสกัส และอยู่ใต้เขตแดนของฮามัท)
18 เขตแดนทางทิศตะวันออก จะทอดยาวไประหว่างเฮารานกับเมืองดามัสกัส และเรียบแม่น้ำจอร์แดนลงไปทางใต้ ซึ่งแยกระหว่างเขตแดนของกิเลอาดกับแผ่นดินของชาวอิสราเอล และจะเลยทะเลตายไปทางใต้ไกลถึงเมืองทามาร์
19 เขตแดนทางทิศใต้ เส้นเขตแดนจะเริ่มจากเมืองทามาร์ทอดยาวไปจนถึงพวกตาน้ำแห่งเมรีบาห์คาเดช แล้วเลาะไปตามลำธารของอียิปต์ ไปจบที่ทะเลเมดิเตอร์เรเนียน
20 เขตแดนทางทิศตะวันตก จะขนานไปกับชายฝั่งทะเลเมดิเตอร์เรเนียนขึ้นไปทางเหนือ ไปจนถึงจุดที่อยู่ตรงข้ามกับทางเข้าเมืองฮามัท
21 เจ้าต้องแบ่งที่ดินในหมู่พวกเจ้า ตามเผ่าต่างๆของอิสราเอล 22 เจ้าต้องแบ่งมันให้เป็นมรดกกับตัวพวกเจ้าเอง และกับชาวต่างชาติที่มาตั้งรกรากอยู่ในหมู่พวกเจ้า และมีลูกหลาน เจ้าต้องถือว่าพวกเขาเป็นชาวอิสราเอลโดยกำเนิด พวกเจ้าต้องจัดแบ่งมรดกให้กับพวกเขาในท่ามกลางชนเผ่าของอิสราเอลด้วย 23 พวกเจ้าจะต้องแบ่งมรดกให้กับเขา ไม่ว่าพวกเขาจะตั้งรกรากอยู่ท่ามกลางชนเผ่าใดของอิสราเอลก็ตาม”
พระยาห์เวห์องค์เจ้าชีวิตพูดว่าอย่างนั้น
ที่ดินสำหรับเผ่าต่างๆของอิสราเอล
48 “ต่อไปนี้คือรายชื่อของเผ่าต่างๆของอิสราเอลกับที่ดินที่พวกเขาจะได้รับ
เริ่มจากทางทิศเหนือ ชนเผ่าดานจะได้รับส่วนหนึ่ง คือส่วนที่เลียบไปตามถนนเฮทโลนไปจนถึงทางเข้าเมืองฮามัท ไปจนถึงฮาซาเรโนน (ซึ่งติดกับเขตแดนทางด้านเหนือของเมืองดามัสกัส ที่อยู่ถัดจากเมืองฮามัท) เริ่มจากเขตแดนด้านตะวันออกยาวไปจนถึงด้านตะวันตก
2 ชนเผ่าอาเชอร์จะได้รับส่วนหนึ่ง
คือส่วนที่ถัดจากเขตแดนของดาน
ทอดยาวจากทางทิศตะวันออกไปถึงทิศตะวันตก
3 ชนเผ่านัฟทาลีได้รับส่วนหนึ่ง
คือส่วนที่ถัดจากเขตแดนของอาเชอร์
ทอดยาวจากทางทิศตะวันออกไปถึงทิศตะวันตก
4 ชนเผ่ามนัสเสห์จะได้รับส่วนหนึ่ง
คือส่วนที่ถัดจากเขตแดนของนัฟทาลี
ทอดยาวจากทางทิศตะวันออกไปถึงทิศตะวันตก
5 ชนเผ่าเอฟราอิมจะได้รับส่วนหนึ่ง
คือส่วนที่ถัดจากเขตแดนของมนัสเสห์
ทอดยาวจากทางทิศตะวันออกไปถึงทิศตะวันตก
6 ชนเผ่ารูเบนจะได้รับส่วนหนึ่ง
คือส่วนที่ถัดจากเขตแดนของเอฟราอิม
ทอดยาวจากทางทิศตะวันออกไปถึงทิศตะวันตก
7 ชนเผ่ายูดาห์จะได้รับส่วนหนึ่ง
คือส่วนที่ถัดจากเขตแดนของรูเบน
ทอดยาวจากทางทิศตะวันออกไปถึงทิศตะวันตก
เขตพิเศษ
8 ส่วนที่ถัดจากเขตแดนของยูดาห์ลงมา จากทางทิศตะวันออกไปถึงทิศตะวันตก จะเป็นส่วนของแผ่นดินที่เจ้าต้องแยกออกมาเป็นพิเศษ ซึ่งมีความกว้างสองหมื่นห้าพันศอกและมีความยาวจากทางตะวันออกไปถึงตะวันตกเท่ากับส่วนแบ่งของแต่ละเผ่า จะมีสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ตั้งอยู่ตรงกลางของที่ดินแปลงนี้
9 เขตพิเศษที่เจ้าต้องถวายให้กับพระยาห์เวห์ จะมีความยาวสองหมื่นห้าพันศอกและกว้างสองหมื่นศอก[a]
10 ส่วนแบ่งที่ศักดิ์สิทธิ์นี้ที่เจ้าได้แยกออกไว้ต่างหาก จะถูกจัดสรรให้กับกลุ่มต่อไปนี้ สำหรับพวกนักบวช จะได้รับเขตที่ดินที่มีความยาวสองหมื่นห้าพันศอกทางด้านเหนือและด้านใต้และกว้างหนึ่งหมื่นศอกทางด้านตะวันตกและตะวันออก และมีที่ตั้งของสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ของพระยาห์เวห์อยู่ตรงกลาง
11 เฉพาะพวกนักบวชที่เป็นลูกหลานของศาโดกเท่านั้น ที่จะได้รับส่วนแบ่งอันศักดิ์สิทธิ์นี้ เพราะ พวกนี้ได้รับการเลือกให้มาเป็นนักบวชที่ศักดิ์สิทธิ์ ทำหน้าที่เฝ้ายามให้กับเรา และไม่ได้หันเหไปจากเรา ตอนที่พวกชาวเลวีอื่นๆและชาวอิสราเอลหลงไปจากเรา
12 ที่ดินส่วนนี้จะเป็นของขวัญพิเศษที่มอบให้แก่พวกนักบวชนี้ ส่วนนี้เป็นส่วนหนึ่งของเขตศักดิ์สิทธิ์ เป็นส่วนที่ศักดิ์สิทธิ์ที่สุด ที่อยู่ถัดจากเขตของชาวเลวีขึ้นไป
13 ติดกับเขตแดนของนักบวชนั้น ชาวเลวีจะได้รับส่วนแบ่ง ขนาดยาวสองหมื่นห้าพันศอกและกว้างหนึ่งหมื่นศอก
รวมขนาดทั้งหมดของเขตแดนนั้นยาวสองหมื่นห้าพันศอก กว้างสองหมื่นศอก
14 พวกเขาต้องไม่ขายหรือเอามันไปแลกเปลี่ยนไม่ว่าจะเป็นส่วนใดก็ตาม มันเป็นที่ดินส่วนที่ดีที่สุดและต้องไม่ตกไปอยู่ในมือของคนกลุ่มอื่น เพราะมันเป็นส่วนศักดิ์สิทธิ์ของพระยาห์เวห์
ส่วนที่เป็นที่ดินของเมือง
15 พื้นที่ส่วนที่เหลือที่กว้างห้าพันศอก ยาวสองหมื่นห้าพันศอกนั้น จะไว้สำหรับใช้ประโยชน์ทั่วไปของชุมชน คือใช้เป็นที่อยู่อาศัย และใช้เป็นทุ่งหญ้าเลี้ยงสัตว์ ตัวเมืองจะตั้งอยู่ตรงกลางของส่วนนี้ 16 เมืองนี้จะเป็นสี่เหลี่ยมด้านเท่า คือทั้งทิศเหนือใต้ออกตก มีความยาวสี่พันห้าร้อยศอกเท่ากันหมด
17 ทุ่งหญ้าเลี้ยงสัตว์จะยื่นออกไปจากเมืองสองร้อยห้าสิบศอกทั้งทิศเหนือใต้ออกตก
18 ส่วนพื้นที่ที่เหลือทางด้านตะวันออกและตะวันตกของเมือง ที่ติดกับเขตแดนของส่วนศักดิ์สิทธิ์ มีขนาดยื่นออกไปหนึ่งหมื่นศอกทั้งสองด้าน
พื้นที่ส่วนนี้จะใช้สำหรับปลูกพืชผลเพื่อเป็นอาหารให้กับพวกคนงานในเมือง
19 พวกคนงานที่อยู่ในเมือง จะมาเพาะปลูกในพื้นที่นี้ พวกเขาจะมาจากเผ่าทั้งหลายของอิสราเอล
20 ดังนั้นจุดศูนย์กลางของเขตศักดิ์สิทธิ์นี้ จะเป็นสี่เหลี่ยมด้านเท่าขนาดสองหมื่นห้าพันศอก เจ้าจะต้องแยกส่วนนี้ออกมาให้กับเรา และให้เป็นที่ตั้งของเมืองด้วย
21 ส่วนที่เหลือทางทิศตะวันออกและทิศตะวันตก ที่ถัดจากส่วนศักดิ์สิทธิ์และที่ดินของเมืองออกไปนั้นจะตกเป็นของผู้นำของอิสราเอล มันจะยื่นออกไปสองหมื่นห้าพันศอกทั้งสองด้าน พื้นที่ทั้งสองแห่งนี้ที่ขนานกับเขตแดนของเผ่าอื่น จะตกเป็นของผู้นำอิสราเอล และจะมีส่วนศักดิ์สิทธิ์กับวิหารศักดิ์สิทธิ์อยู่ตรงกลางระหว่างสองแปลงนี้ 22 ดังนั้นที่ดินของชาวเลวีและที่ดินของเมืองจะขั้นกลางระหว่างที่สองแปลงของผู้นำอิสราเอล ที่ดินของผู้นำอิสราเอลจะตั้งอยู่ระหว่างเขตแดนของเผ่ายูดาห์และเผ่าเบนยามิน
23 ส่วนชนเผ่าที่เหลือมีเขตแดนดังนี้คือ
ชนเผ่าเบนยามินจะได้รับส่วนถัดลงมา
ทอดยาวจากด้านตะวันออกไปถึงด้านตะวันตก
24 ชนเผ่าสิเมโอนจะได้รับส่วนหนึ่ง
คือส่วนที่ถัดจากเขตแดนของเผ่าเบนยามินลงมา
ทอดยาวจากทิศตะวันออกไปถึงทิศตะวันตก
25 ชนเผ่าอิสสาคาร์จะได้รับส่วนหนึ่ง
คือส่วนที่ถัดจากเขตแดนของเผ่าสิเมโอนลงมา
ทอดยาวจากทิศตะวันออกไปถึงทิศตะวันตก
26 ชนเผ่าเศบูลุนจะได้รับส่วนหนึ่ง
คือส่วนที่ถัดจากเขตแดนของเผ่าอิสสาคาร์ลงมา
ทอดยาวจากทิศตะวันออกไปถึงทิศตะวันตก
27 ชนเผ่ากาดจะได้รับส่วนหนึ่ง
คือส่วนที่ถัดจากเขตแดนของเผ่าเศบูลุนลงมา
ทอดยาวจากทิศตะวันออกไปถึงทิศตะวันตก
28 พรมแดนทางใต้ของชนเผ่ากาดจะทอดยาวจากเมืองทามาร์ไปจนถึงพวกตาน้ำแห่งเมรีบาห์คาเดช แล้วเลาะไปตามลำธารแห้งของอียิปต์ไปจบที่ทะเลเมดิเตอร์เรเนียน
29 นี่คือที่ดินที่เจ้าต้องจัดแบ่งเพื่อให้เป็นมรดกแก่ชนเผ่าต่างๆของอิสราเอล และนั่นคือสัดส่วนที่พวกเขาจะได้รับ”
พระยาห์เวห์องค์เจ้าชีวิตพูดว่าอย่างนั้น
พวกประตูเมืองของเยรูซาเล็ม
30 ต่อไปนี้จะเป็นพวกประตูของเมืองเยรูซาเล็ม
เริ่มต้นจากทิศเหนือซึ่งยาวสี่พันห้าร้อยศอก
31 ประตูสามประตูทางทิศเหนือ ตั้งชื่อตามเผ่าของรูเบน ยูดาห์และเลวี
32 ทางทิศตะวันออกซึ่งยาวสี่พันห้าร้อยศอก จะมีสามประตูที่ตั้งชื่อตามเผ่าของโยเซฟ เบนยามินและดาน
33 ทางทิศใต้ซึ่งยาวสี่พันห้าร้อยศอก จะมีสามประตูที่ตั้งชื่อตามเผ่าของสิเมโอน อิสสาคาร์และเศบูลุน
34 ทางทิศตะวันตกซึ่งยาวสี่พันห้าร้อยศอก จะมีสามประตูที่ตั้งชื่อตามเผ่ากาด อาเชอร์และนัฟทาลี
35 รวมระยะทางโดยรอบของกำแพงเมือง จะมีความยาวหนึ่งหมื่นแปดพันศอก และนับตั้งแต่เวลานี้เป็นต้นไป เมืองนี้จะมีชื่อว่า “พระยาห์เวห์อยู่ที่นั่น”[b]
ดาเนียลถูกพาไปที่บาบิโลน
1 ในปีที่สาม ที่เยโฮยาคิมขึ้นเป็นกษัตริย์ของยูดาห์[c] กษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์แห่งบาบิโลน[d] ได้ยกทัพมาล้อมเมืองเยรูซาเล็มไว้ 2 พระยาห์เวห์ได้มอบเยโฮยาคิม กษัตริย์ของยูดาห์ไว้ในกำมือของกษัตริย์บาบิโลน พร้อมกับสิ่งของเครื่องใช้ส่วนหนึ่งจากวิหารของพระเจ้า กษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์นำของเหล่านั้นกลับไปไว้ที่วิหารของเทพเจ้าของพระองค์ที่บาบิโลน พระองค์วางสิ่งของเครื่องใช้เหล่านั้นไว้ในคลังของเทพเจ้านั้น
3 จากนั้นกษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์ก็สั่งให้อัชเปนัส ที่เป็นหัวหน้าข้าราชการ ให้ไปคัดเลือกเด็กหนุ่มๆที่เป็นเชลยชาวอิสราเอล จากเชื้อพระวงศ์ จากพวกคนชั้นสูง 4 เด็กพวกนี้จะต้องมีร่างกายที่สมประกอบทุกอย่าง ต้องมีหน้าตาหล่อเหลา สามารถเรียนรู้ทุกวิชา มีความรู้รอบตัว และหัวไว สามารถยืนรับใช้กษัตริย์ในวังได้ อัชเปนัสจะต้องสอนให้พวกเขารู้ภาษาและวรรณคดีของชาวบาบิโลน
5 กษัตริย์ตัดสินใจว่าจะให้เด็กหนุ่มพวกนี้ได้รับส่วนแบ่งอาหารอย่างดีและเหล้าองุ่นทุกวัน เหมือนกับอาหารและเหล้าองุ่นที่กษัตริย์กินและดื่ม อัชเปนัสจะต้องอบรมดูแลเด็กๆพวกนี้เป็นเวลาสามปี เมื่อครบกำหนดแล้วก็ให้นำพวกเขามารับราชการอยู่ต่อหน้ากษัตริย์ 6 ในท่ามกลางเด็กหนุ่มๆเหล่านี้ มีดาเนียล ฮานันยาห์ มิชาเอล และอาซาริยาห์ สี่คนนี้มาจากเผ่ายูดาห์
7 อัชเปนัสตั้งชื่อใหม่ให้กับเด็กหนุ่มๆพวกนี้ เป็นภาษาบาบิโลน ดาเนียลมีชื่อใหม่ว่า เบลเทชัสซาร์ ฮานันยาห์ มีชื่อใหม่ว่าชัดรัค มิชาเอลมีชื่อใหม่ว่าเมชาค และอาซาริยาห์ มีชื่อใหม่ว่า เอเบดเนโก
8 ดาเนียลตั้งใจตั้งแต่แรกแล้วว่า เขาจะไม่กินอาหารอย่างดีและเหล้าองุ่นอย่างเดียวกับที่กษัตริย์กินและดื่ม เพื่อดาเนียลจะได้ไม่แปดเปื้อนเป็นมลทินไป ดังนั้นเขาจึงขออนุญาตอัชเปนัส หัวหน้าข้าราชการ ที่จะทำอย่างนั้น เพื่อรักษาตัวเองไม่ให้แปดเปื้อนเป็นมลทินไป
9 พระเจ้าทำให้หัวหน้าข้าราชการมีความเมตตาปรานีต่อดาเนียล 10 หัวหน้าข้าราชการพูดกับดาเนียลว่า “ข้ากลัวกษัตริย์ ที่เป็นเจ้านายของข้า พระองค์จัดสรรปันส่วนอาหารและเครื่องดื่มมาให้เจ้า พระองค์อาจจะถามว่า ทำไมเจ้าถึงดูซูบผอมนัก เมื่อเปรียบเทียบกับเด็กหนุ่มๆรุ่นเดียวกัน แล้วทีนี้เจ้าก็จะทำให้ข้าถูกกษัตริย์ลงโทษ”
11 หัวหน้าข้าราชการได้แต่งตั้งคนหนึ่งมาควบคุมดูแล ดาเนียล ฮานันยาห์ มิชาเอล และ อาซาริยาห์ ดาเนียลจึงไปพูดกับผู้ควบคุมคนนี้ว่า 12 “ขอให้ทดลองพวกเรา ผู้รับใช้ของท่านดูก่อนสักสิบวัน ในช่วงนี้ ให้พวกเรากินแต่ผักกับน้ำ 13 แล้วท่านถึงค่อยเอาพวกเราไปเปรียบเทียบกับเด็กพวกนั้นที่กินอาหารอย่างดีจากกษัตริย์ หลังจากนั้นท่านจะทำอะไรกับพวกเราผู้รับใช้ของท่าน แล้วแต่ท่านจะเห็นสมควร”
14 ผู้ควบคุมดูแลก็ยอมรับข้อเสนอของดาเนียล จึงได้ทดลองพวกเขาดูสิบวัน 15 เมื่อครบสิบวันแล้ว ปรากฏว่าดาเนียลและเพื่อนๆกลับดูดีกว่า และสุขภาพสมบูรณ์แข็งแรงกว่าเด็กพวกนั้นที่กินอาหารอย่างดีของกษัตริย์เสียอีก 16 ดังนั้นผู้ควบคุมดูแล จึงเอาอาหารอย่างดีและเหล้าองุ่นที่ดาเนียลและเพื่อนๆควรจะกินไปเสีย และให้ผักกับพวกเขาแทน
17 พระเจ้าประทานความรู้และความเข้าใจเกี่ยวกับวรรณคดีทุกประเภทและการศึกษาทุกวิชาให้กับเด็กสี่คนนี้ ดาเนียลยังสามารถตีความหมายของนิมิตต่างๆและทำนายฝันได้ด้วย
18 เมื่อถึงเวลาที่กษัตริย์กำหนดให้พาตัวพวกเด็กหนุ่มๆทุกคนเข้าเฝ้า หัวหน้าข้าราชการก็นำพวกเขามาอยู่ต่อหน้ากษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์ 19 กษัตริย์พูดคุยกับเด็กๆทุกคน และเห็นว่าไม่มีเด็กคนไหนสามารถเทียบกับ ดาเนียล ฮานันยาห์ มิชาเอล และอาซาริยาห์ได้เลย กษัตริย์จึงแต่งตั้งให้พวกเขามารับราชการอยู่ต่อหน้ากษัตริย์ 20 เมื่อไหร่ก็ตามที่กษัตริย์ขอคำแนะนำ ที่เกี่ยวกับเรื่องที่จะต้องมีความรู้ความเข้าใจเป็นพิเศษ พระองค์ก็พบว่าคำแนะนำของเด็กหนุ่มทั้งสี่นี้ก็ดีกว่าคำแนะนำของพวกหมอดู และพวกทำสะเดาะเคราะห์ในราชอาณาจักรของพระองค์ถึงสิบเท่า 21 ดาเนียลรับราชการอยู่ในวังนั้นเรื่อยมาจนถึงปีแรกที่ไซรัสขึ้นเป็นกษัตริย์[e]
ความฝันของกษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์
2 ในปีที่สองที่กษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์ขึ้นครองราชย์ พระองค์ฝันและความฝันนั้นทำให้พระองค์ไม่สบายใจจนนอนไม่หลับ 2 ดังนั้นกษัตริย์จึงสั่งให้คนไปตามพวกหมอดู พวกทำสะเดาะเคราะห์ พวกที่ทำเวทมนตร์คาถา และพวกคาสดิม[f] ให้มาบอกว่าพระองค์ฝันเรื่องอะไร พวกเขาจึงมายืนกันอยู่ต่อหน้ากษัตริย์
3 แล้วกษัตริย์ก็บอกกับพวกเขาว่า “เราได้ฝันไป และเราก็ไม่สบายใจเพราะเราอยากเข้าใจในสิ่งที่เราฝันนั้น”
4 พวกคาสดิมก็พูดกับกษัตริย์เป็นภาษาอารเมคว่า “ข้าแต่กษัตริย์ ขอให้พระองค์มีอายุยืนยาว ขอพระองค์ได้โปรดเล่าความฝันของพระองค์ให้พวกเราฟังด้วยเถิด พวกเราจะได้ทำนายฝันให้กับพระองค์”
5 กษัตริย์จึงตอบพวกคาสดิมไปว่า “เราจะไม่บอกเจ้าหรอก เพราะเราได้ตัดสินใจเด็ดขาดแล้วว่า เจ้านั่นแหละจะต้องเป็นคนบอกเราว่าเราฝันอะไรและทำนายฝันนั้นให้กับเราด้วย ไม่อย่างนั้น เราจะสับเจ้าออกเป็นชิ้นๆและยกบ้านของเจ้าให้เป็นส้วมสาธารณะ 6 แต่ถ้าเจ้าบอกได้ว่าเราฝันอะไร และมันหมายถึงอะไร เราก็จะตบรางวัลให้อย่างงาม พร้อมกับชื่อเสียงเกียรติยศให้กับเจ้า ว่ายังไง บอกมาสิว่าเราฝันว่าอะไร และมันหมายถึงอะไร”
7 พวกคาสดิมตอบกษัตริย์ไปว่า “พระองค์เจ้าข้า ช่วยบอกเราทาสรับใช้ของพระองค์ด้วยเถิดว่า พระองค์ฝันอะไร พวกเราจะได้ทำนายความฝันนั้นให้กับพระองค์”
8 กษัตริย์ตอบว่า “เรารู้นะว่าที่แท้เจ้าก็พยายามหาเรื่องถ่วงเวลา เพราะเจ้าก็รู้อยู่แล้วว่าเราได้ตัดสินใจเด็ดขาดแล้ว 9 ถ้าเจ้าไม่บอกความฝันนี้กับเรา พวกเจ้าก็จะต้องถูกลงโทษเหมือนกันหมดทุกคน เจ้าคบคิดกันพูดปดกับเรา หวังจะหาเรื่องถ่วงเวลา เวลาก็ยิ่งผ่านไป เพราะฉะนั้น บอกมาเดี๋ยวนี้ว่าเราฝันอะไร เราจะได้แน่ใจว่าพวกเจ้าจะทำนายฝันเราได้อย่างถูกต้อง”
10 พวกคาสดิมก็ตอบกษัตริย์ไปว่า “สิ่งที่พระองค์บอกให้ทำนี้ ไม่มีใครหน้าไหนในโลกนี้ทำได้หรอก และไม่มีกษัตริย์องค์ไหน ไม่ว่าจะยิ่งใหญ่หรือมีฤทธิ์อำนาจแค่ไหน เคยถามคำถามแบบนี้กับพวกหมอดู พวกทำสะเดาะเคราะห์ แล้วก็พวกคาสดิมมาก่อน 11 สิ่งที่พระองค์ถามนั้นมันยากเกินไป ไม่มีใครตอบพระองค์ได้หรอก นอกจากพวกเทพเจ้า ซึ่งแน่นอนพวกเทพเจ้าเหล่านั้นก็ไม่ได้อาศัยอยู่กับมนุษย์ด้วยสิ”
12 กษัตริย์ก็โกรธจัดและเดือดดาลที่ได้ยินอย่างนั้น จึงออกคำสั่งให้ฆ่าพวกผู้รู้ทั้งหมดในบาบิโลน 13 คำสั่งนี้ก็ถูกส่งออกไป เหล่าผู้รู้ของบาบิโลนก็กำลังจะถูกฆ่าไปทีละคน แม้แต่ดาเนียลและเพื่อนๆของเขา พวกทหารก็ตามหาเพื่อจะฆ่าทิ้ง
14-15 อารีโอคเป็นหัวหน้าเพชฌฆาตที่กษัตริย์ได้แต่งตั้งให้มาฆ่าเหล่าผู้รู้ของบาบิโลน
ดาเนียลพูดกับอารีโอคผู้รับใช้ของกษัตริย์อย่างชาญฉลาดและระมัดระวังว่า
“นี่มันเกิดอะไรขึ้น กษัตริย์ถึงได้ออกคำสั่งที่เร่งด่วนอย่างนี้ออกมา”
อารีโอคจึงอธิบายให้ดาเนียลฟัง 16 ดาเนียลจึงไปขอให้กษัตริย์เลื่อนเวลาไปอีกหน่อย เพื่อดาเนียลจะได้ทำนายฝันนั้นให้กับกษัตริย์
17 จากนั้นดาเนียลก็กลับมาบ้านและเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นให้ฮานันยาห์ มิชาเอล และอาซาริยาห์ เพื่อนของเขาฟัง 18 แล้วพวกเขาก็อธิษฐานขอความเมตตาจากพระเจ้าแห่งฟ้าสวรรค์ ให้เปิดเผยความลับนี้กับพวกเขา เพื่อดาเนียลและเพื่อนๆจะได้ไม่ถูกฆ่า พร้อมกับผู้รู้คนอื่นๆในบาบิโลน
19 ในคืนนั้นเอง พระเจ้าก็เข้าฝันดาเนียล เปิดเผยความลับนั้นให้กับดาเนียลรู้ ดังนั้นดาเนียลจึงสรรเสริญพระเจ้าแห่งฟ้าสวรรค์ 20 ดาเนียลพูดว่า
“ขอให้ชื่อของพระเจ้าเป็นที่สรรเสริญตลอดไป
เพราะพระองค์เป็นเจ้าของสติปัญญาและฤทธิ์อำนาจ
21 พระองค์เปลี่ยนแปลงเวลาและฤดูกาล
พระองค์ปลดกษัตริย์ทั้งหลายแล้วแต่งตั้งกษัตริย์ทั้งหลาย
พระองค์ให้สติปัญญากับคนฉลาด
และให้ความเฉลียวฉลาดกับคนที่เฉลียวฉลาด
22 พระองค์เปิดเผยความลับที่ซ่อนอยู่ในที่ที่ลึกที่สุด
พระองค์รู้จักสิ่งที่อยู่ในความมืด
ความสว่างอาศัยอยู่กับพระองค์
23 พระเจ้าของบรรพบุรุษของข้าพเจ้า
ข้าพเจ้าขอบคุณและสรรเสริญพระองค์
ก็เพราะพระองค์ได้ให้ความเฉลียวฉลาดและฤทธิ์อำนาจกับข้าพเจ้า
และเพราะพระองค์เปิดเผยเรื่องที่พวกเราถาม
พระองค์ได้บอกเรื่องของกษัตริย์กับข้าพเจ้า”
ดาเนียลทำนายฝัน
24 แล้วดาเนียลจึงขึ้นไปหาอารีโอคในวัง อารีโอคคือคนที่กษัตริย์ได้สั่งให้ไปฆ่าเหล่าผู้รู้ในบาบิโลน ดาเนียลบอกกับเขาว่า “อย่าได้ฆ่าผู้รู้ของบาบิโลน พาผมไปหากษัตริย์ แล้วผมจะทำนายฝันนั้นให้พระองค์ฟัง”
25 ดังนั้นอารีโอคจึงรีบนำดาเนียลไปหากษัตริย์ แล้วอารีโอคก็บอกกับกษัตริย์ว่า “ข้าพเจ้าได้พบชายคนหนึ่งในหมู่เชลยของชาวยูดาห์ที่สามารถทำนายฝันของพระองค์ได้”
26 กษัตริย์ถามดาเนียล (ที่มีชื่อในภาษาของชาวบาบิโลนว่าเบลเทชัสซาร์) ว่า
“เจ้าสามารถบอกสิ่งที่ข้าฝัน และทำนายมันได้จริงๆหรือ”
27 ดาเนียลตอบพระองค์ว่า “พวกผู้รู้ พวกทำสะเดาะเคราะห์ พวกหมดดู และพวกโหร ไม่สามารถเปิดเผยความลับนี้ให้กับพระองค์ได้หรอก 28 มีแต่พระเจ้าบนฟ้าสวรรค์ที่สามารถเปิดเผยเรื่องลับๆได้ และพระเจ้าก็ได้เปิดเผยให้กับพระองค์ กษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์ รู้ว่าอะไรจะเกิดขึ้นในวันข้างหน้า
และนี่คือความฝันของพระองค์ เป็นนิมิตที่อยู่ในสมองของพระองค์ตอนที่พระองค์หลับอยู่บนเตียง 29 สำหรับพระองค์ที่เป็นกษัตริย์ ความคิดที่แล่นเข้ามาหาพระองค์ ในขณะที่พระองค์หลับอยู่บนเตียง กำลังชี้ให้เห็นถึงสิ่งที่จะเกิดขึ้นในอนาคต พระเจ้าผู้เปิดเผยความลับพวกนี้ กำลังแจ้งให้พระองค์รู้ว่ากำลังจะเกิดอะไรขึ้น 30 ส่วนตัวข้าพเจ้านั้น ที่พระเจ้าเปิดเผยความลับนี้ให้กับข้าพเจ้ารู้ ไม่ใช่เพราะข้าพเจ้าฉลาดกว่าสิ่งมีชีวิตทั้งปวง แต่เพื่อให้พระองค์ได้รู้ความหมายของมัน และจะได้เข้าใจถึงสิ่งที่พระองค์กำลังคิดอยู่
31 ข้าแต่กษัตริย์ ในขณะที่พระองค์กำลังฝันอยู่ ในทันใดนั้น พระองค์ก็เห็นรูปปั้นขนาดใหญ่ปรากฏขึ้น มันเป็นรูปปั้นที่ใหญ่โตมโหฬาร ยืนอยู่ที่นั่นต่อหน้าพระองค์ ส่องแสงสว่างจ้าเป็นพิเศษ และมีรูปร่างน่ากลัว 32 ส่วนหัวของรูปปั้นนี้เป็นทองคำบริสุทธิ์ ส่วนไหล่และแขนของมันเป็นเงิน ส่วนท้องและต้นขาของมันเป็นทองแดง 33 ส่วนน่องของมันเป็นเหล็ก ส่วนเท้าของมันเป็นเหล็กส่วนหนึ่งและดินเหนียวส่วนหนึ่ง 34 ขณะที่พระองค์กำลังจ้องมองอยู่นั้นเอง มีผู้หนึ่งที่ไม่ใช่มนุษย์ตัดหินใหญ่ก้อนหนึ่งแล้วมันตกลงมากระแทกถูกเท้าที่ทำด้วยเหล็กส่วนหนึ่งกับดินเหนียวส่วนหนึ่ง แล้วทำให้เท้านั้นแตกกระจาย 35 ทั้งดินเหนียวเหล็ก ทองแดง เงิน และทองคำ ป่นปี้เป็นผุยผง แล้วลมก็พัดผงนั้นกระจุยกระจายไปจนหมด เหมือนกับแกลบตามลานในช่วงเก็บเกี่ยวในฤดูร้อน จนไม่มีใครสามารถบอกได้ว่า รูปปั้นนั้นเคยอยู่ที่ตรงไหนมาก่อน แล้วหินที่กระแทกรูปปั้นนั้นก็ได้กลายเป็นภูเขาขนาดใหญ่จนมิดโลกนี้ 36 นั่นคือความฝันของพระองค์ คราวนี้พวกเราจะทำนายฝันให้กับพระองค์ 37 ข้าแต่กษัตริย์ พระองค์เป็นกษัตริย์เหนือกษัตริย์ทั้งปวง พระเจ้าแห่งฟ้าสวรรค์ได้ให้ความเป็นกษัตริย์ อำนาจ ฤทธิ์เดช ศักดิ์ศรี ให้กับพระองค์ 38 พระเจ้าได้มอบสิ่งเหล่านี้ให้อยู่ในมือของพระองค์คือ มนุษย์ในที่ทุกหนแห่ง สัตว์ในป่า และนกบนท้องฟ้า พระเจ้าให้พระองค์ครอบครองอยู่เหนือสิ่งเหล่านี้ พระองค์ก็คือหัวทองคำของรูปปั้นนั้น
39 แต่หลังจากสมัยของพระองค์ จะมีอาณาจักรหนึ่งเกิดขึ้นมา ซึ่งไม่ยิ่งใหญ่เท่าอาณาจักรของพระองค์ ก็คือเงิน ที่เทียบกับทองคำไม่ได้
แล้วหลังจากนั้นก็จะมีอาณาจักรที่สาม ซึ่งก็คือทองแดง ที่จะขึ้นมาปกครองโลกทั้งโลก 40 อาณาจักรที่สี่จะแข็งแกร่งเหมือนเหล็ก อาณาจักรที่สี่นี้จะบดขยี้อาณาจักรอื่นๆเหล่านั้นเหมือนกับที่เหล็กบดขยี้ทุกสิ่งทุกอย่างจนละเอียดเป็นชิ้นๆ
41 แต่ก็อย่างที่พระองค์เห็นนั่นแหละ ว่าเท้าและนิ้วเท้าของรูปปั้นนั้นมีส่วนหนึ่งเป็นดินเหนียว และอีกส่วนหนึ่งเป็นเหล็ก ดังนั้นอาณาจักรที่สี่นี้ก็จะถูกแบ่งออก มันจะมีความแข็งแกร่งเหมือนเหล็กอยู่บ้าง เหมือนกับที่พระองค์เห็นว่ามันมีทั้งเหล็กผสมกับดินเหนียวนั่นแหละ 42 ดังนั้นอาณาจักรนี้ก็จะมีส่วนหนึ่งที่แข็งแกร่งและส่วนหนึ่งที่อ่อนแอ เหมือนกับที่เท้าและนิ้วเท้าส่วนหนึ่งเป็นเหล็ก และอีกส่วนหนึ่งเป็นดินเหนียว 43 อย่างที่พระองค์เห็นแล้วว่ามันมีเหล็กผสมกับดินเหนียว ดังนั้น ถึงแม้พวกเขาจะมีการแต่งงานกันไปมาระหว่างราชวงศ์ต่างๆแต่ก็จะไม่สามารถรักษาความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันได้ เหมือนกับที่เหล็กไม่สามารถผสมเป็นเนื้อเดียวกับดินเหนียวได้
44 และในยุคของกษัตริย์เหล่านั้น พระเจ้าแห่งฟ้าสวรรค์ก็จะสร้างอาณาจักรนิรันดร์ที่ไม่มีวันถูกทำลายขึ้นมา อาณาจักรนั้นจะไม่ตกไปเป็นของชนชาติอื่น แต่อาณาจักรนั้นจะบดขยี้และทำลายล้างอาณาจักรอื่นจนสิ้นซากไป แล้วอาณาจักรนั้นก็จะยั่งยืนตลอดไปเป็นนิตย์
45 นี่คือความหมายของหินใหญ่ที่พระองค์เห็น ที่มีผู้หนึ่งที่ไม่ใช่มนุษย์ได้ตัดมันจากภูเขา และมันได้มากระแทกและบดขยี้ รูปปั้นนั้น ที่ทำจากเหล็ก ทองแดง ดินเหนียว เงิน และทองคำ จนแหลกละเอียดไป พระเจ้าผู้ยิ่งใหญ่ กำลังแจ้งให้กษัตริย์รู้ว่าจะมีอะไรเกิดขึ้นในอนาคต นี่ก็คือสิ่งที่พระองค์ฝันเห็น และคำทำนายนี้ก็เชื่อถือได้”
46 จากนั้นกษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์ก็ก้มหน้ากราบลงถึงพื้น เพื่อแสดงความเคารพนับถือดาเนียล แล้วกษัตริย์ก็สั่งให้นำเครื่องบูชาและเครื่องหอมมาให้กับดาเนียล[g] 47 พระองค์พูดกับดาเนียลว่า “แน่นอนที่สุด พระเจ้าของเจ้าเป็นพระเจ้าที่ยิ่งใหญ่กว่าพระเจ้าใดๆ เป็นเจ้านายของกษัตริย์ทุกองค์ และเป็นผู้เปิดเผยความหมายของสิ่งลี้ลับต่างๆ พระองค์ทำให้เจ้าสามารถเปิดเผยความลับนี้ได้”
48 แล้วกษัตริย์ก็ให้ตำแหน่งสูงกับดาเนียล พร้อมกับมอบของขวัญที่ดีเลิศมากมายให้ดาเนียล และกษัตริย์ก็แต่งตั้งให้ดาเนียลครอบครองมณฑลบาบิโลนทั้งหมด และตั้งให้เขาเป็นหัวหน้าที่ปรึกษาของกษัตริย์ในบาบิโลน 49 ดาเนียลได้ขอให้กษัตริย์แต่งตั้งชัดรัค เมชาค และเอเบดเนโก ให้เป็นผู้บริหารมณฑลบาบิโลน ส่วนดาเนียลก็รับใช้ใกล้ชิดกับกษัตริย์ในราชสำนัก
รูปปั้นทองคำและเตาไฟ
3 ต่อมากษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์ให้คนสร้างรูปปั้นทองคำขึ้นมา สูงหกสิบศอกและยาวหกศอก พระองค์ตั้งมันไว้ในที่ราบดูราในมณฑลบาบิโลน 2 กษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์มีคำสั่งออกไปว่าให้พวกผู้นำภาค พวกผู้นำจังหวัด พวกผู้นำอำเภอ พวกที่ปรึกษา พวกผู้ดูแลด้านการเงิน พวกผู้พิพากษา พวกตำรวจชั้นผู้ใหญ่ รวมทั้งเจ้าหน้าที่อื่นๆทั้งหมดที่อยู่ตามมณฑลต่างๆจะต้องมาชุมนุมกันในงานเฉลิมฉลองรูปปั้น ที่กษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์ตั้งขึ้น
3 ดังนั้น พวกผู้นำภาค พวกผู้นำจังหวัด พวกผู้นำอำเภอ พวกที่ปรึกษา พวกผู้ดูแลด้านการเงิน พวกผู้พิพากษา พวกตำรวจชั้นผู้ใหญ่ รวมทั้งเจ้าหน้าที่อื่นๆทั้งหมดที่อยู่ตามมณฑลต่างๆ ก็ได้มาชุมนุมในงานเฉลิมฉลองรูปปั้นที่กษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์ตั้งขึ้น พวกเขามายืนชุมนุมกันอยู่ต่อหน้ารูปปั้นที่กษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์ตั้งขึ้นนั้น 4 แล้วโฆษกก็ตะโกนเสียงดังว่า
“คนทุกเชื้อชาติทุกภาษา 5 เมื่อไรก็ตามที่ท่านได้ยินเสียงของแตรเขาสัตว์ ปี่ พิณเขาคู่ พิณสี่สาย พิณใหญ่ ปี่ถุง หรือเครื่องดนตรีชนิดอื่นๆดังขึ้นมา ท่านจะต้องก้มกราบนมัสการรูปปั้นทองคำที่กษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์ตั้งขึ้นมา 6 ใครที่ไม่ยอมก้มกราบก็จะถูกจับโยนลงในเตาไฟที่ร้อนแรงทันที”
7 ดังนั้น เมื่อคนได้ยินเสียงแตรเขาสัตว์ ปี่ พิณเขาคู่ พิณสี่สาย พิณใหญ่ ปี่ถุง หรือเครื่องดนตรีชนิดอื่นๆดังขึ้นมา ทุกคนไม่ว่าจะมาจากชนชาติไหนหรือพูดภาษาใด ต่างก็พากันก้มกราบนมัสการต่อรูปเคารพทองคำที่กษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์ตั้งขึ้น
8 ทันทีที่มีเรื่องนี้เกิดขึ้น พวกคาสดิมก็ไปเข้าเฝ้ากษัตริย์ และไปฟ้องเรื่องของคนยูดาห์บางคน 9 พวกนั้นฟ้องกษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์ว่า “ข้าแต่กษัตริย์ ขอให้พระองค์มีชีวิตยืนยาว 10 ข้าแต่กษัตริย์ พระองค์ได้ออกกฎว่าเมื่อไหร่ก็ตามที่ได้ยินเสียงของแตรเขาสัตว์ ปี่ พิณเขาคู่ พิณสี่สาย พิณใหญ่ ปี่ถุง หรือเครื่องดนตรีชนิดอื่นๆดังขึ้นมา ทุกคนจะต้องก้มกราบนมัสการต่อหน้ารูปปั้นทองคำ 11 และใครก็ตามที่ไม่ยอมทำตามนั้น ก็จะถูกโยนลงไปในเตาไฟที่ร้อนแรง 12 เรื่องมีอยู่ว่า มีคนพวกหนึ่ง ก็คือพวกยิวที่พระองค์ได้แต่งตั้งให้เป็นผู้บริหารมณฑลบาบิโลน ชื่อชัดรัค เมชาค และเอเบดเนโก สามคนนี้ไม่สนใจคำสั่งของพระองค์ พวกมันไม่ยอมนมัสการเทพเจ้าของพระองค์ พวกมันไม่ยอมก้มกราบรูปปั้นทองคำที่พระองค์ตั้งขึ้น”
13 เมื่อกษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์ได้ยินอย่างนั้น ก็โกรธจัด สั่งให้คนไปเอาตัวชัดรัค เมชาค และเอเบดเนโกมาหาพระองค์ พวกนั้นจึงไปพาทั้งสามคนมาเข้าเฝ้าต่อหน้ากษัตริย์ 14 กษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์ถามว่า “ชัดรัค เมชาค และเอเบดเนโก จริงหรือเปล่าที่เจ้าไม่ยอมนมัสการเทพเจ้าของเรา และไม่ยอมก้มกราบรูปปั้นทองคำที่เราตั้งขึ้นมา 15 ฟังให้ดีนะ เจ้าจะต้องพร้อมที่จะก้มกราบนมัสการต่อรูปปั้นที่เราสร้างขึ้น เมื่อเจ้าได้ยินเสียงแตรเขาสัตว์ ปี่ พิณเขาคู่ พิณสี่สาย พิณใหญ่ ปี่ถุง หรือเครื่องดนตรีชนิดอื่นๆดังขึ้นมา เพราะถ้าเจ้าไม่ยอมทำละก็ เจ้าจะถูกโยนลงไปในเตาไฟที่ร้อนแรงทันที แล้วเทพเจ้าองค์ไหนจะมาช่วยเจ้าให้รอดจากอำนาจของเราได้”
16 ชัดรัค เมชาค และเอเบดเนโกตอบว่า “พวกเราไม่จำเป็นจะต้องแก้ตัวต่อพระองค์ในเรื่องนี้ 17 ข้าแต่กษัตริย์ เพราะพระเจ้าของเราที่พวกเรารับใช้อยู่นี้มีจริง พระเจ้าสามารถช่วยพวกเราให้รอดพ้นจากเตาไฟที่ร้อนแรงนั้น และพระเจ้าจะช่วยให้พวกเรารอดพ้นจากเงื้อมมือของพระองค์ด้วย 18 แต่ถ้าหากว่าพระเจ้าจะไม่ช่วยพวกเรา ก็ขอให้พระองค์รู้ไว้เถิดว่า เราก็จะไม่นมัสการเทพเจ้าของพระองค์ และเราก็จะไม่ก้มลงกราบรูปปั้นทองคำที่พระองค์ตั้งขึ้น”
19 ถึงตอนนี้ กษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์ก็ยิ่งโกรธจัด หน้าตาของพระองค์ก็บูดเบี้ยวไปต่อชัดรัค เมชาค และเอเบดเนโก และพระองค์ก็สั่งให้เพิ่มไฟในเตาให้ร้อนแรงขึ้นกว่าของเดิมเป็นเจ็ดเท่า 20 และพระองค์สั่งทหารบางคนที่แข็งแรงมากในกองทัพของพระองค์ มัดตัวชัดรัค เมชาค และเอเบดเนโก และให้โยนพวกเขาลงไปในเตาไฟที่กำลังลุกไหม้อยู่
21 ทั้งสามคนก็เลยถูกมัด ในขณะที่ยังมีเสื้อคลุม กางเกง หมวก รวมทั้งเสื้อผ้าอื่นๆสวมใส่อยู่ แล้วพวกทหารก็โยนทั้งสามคนลงไปในเตาไฟที่ร้อนแรง 22 เป็นเพราะกษัตริย์สั่งอย่างเฉียบขาด ให้คนทำเตาไฟให้ร้อนกว่าเดิมมาก พวกทหารที่โยนชัดรัค เมชาค และเอเบดเนโก ลงไปในเตา ก็ถูกเปลวไฟเผาตาย 23 ชายทั้งสามคน คือชัดรัค เมชาค และเอเบดเนโก หล่นลงไปในเตาไฟ ในขณะที่ถูกมัดอยู่
24 แล้วกษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์ก็สะดุ้งสุดตัว ลุกพรวดพราดขึ้นมาอย่างรวดเร็ว และร้องถามพวกที่ปรึกษาที่อยู่ข้างๆว่า “เรามัดแค่สามคนโยนลงไปในเตาไฟไม่ใช่หรือ”
พวกเขาตอบว่า “ข้าแต่กษัตริย์ พระองค์พูดถูกแล้ว”
25 พระองค์จึงถามว่า “แล้วทำไมเราถึงเห็นสี่คนเดินไปเดินมาอยู่ในกองไฟนั้นละ แล้วยังไม่ถูกมัดอีกต่างหาก และไม่เป็นอันตรายอะไรเลย แถมคนที่สี่ก็ดูเหมือนเป็นเทพเจ้าอีกด้วย”
26 แล้วกษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์ก็เข้าไปใกล้ๆประตูของเตาไฟและพูดว่า
“ชัดรัค เมชาค และเอเบดเนโก ผู้รับใช้ของพระเจ้าสูงสุด ออกมาเถิด”
จากนั้นชัดรัค เมชาค และเอเบดเนโก ก็ออกมาจากเตาไฟ
27 แล้วพวกผู้นำภาค พวกผู้นำจังหวัด พวกผู้นำอำเภอ และพวกที่ปรึกษาของกษัตริย์ ต่างก็เข้ามามุงดู แล้วก็เห็นว่าไฟไม่ได้ทำอันตรายกับร่างกายของพวกเขาเลย ผมบนหัวก็ไม่ไหม้ เสื้อผ้าก็ไม่ไหม้ ไม่มีแม้แต่กลิ่นไหม้ติดตัวพวกเขาเสียด้วยซ้ำ
28 แล้วกษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์ก็พูดว่า “ขอสรรเสริญพระเจ้าของชัดรัค เมชาค และ เอเบดเนโก พระองค์ได้ส่งทูตสวรรค์ลงมาช่วยผู้รับใช้ของพระองค์ ที่ไว้วางใจในพระองค์ พวกเขากล้าขัดคำสั่งของกษัตริย์ ถึงขนาดยอมเสี่ยงชีวิตของพวกเขาเอง แทนที่จะรับใช้หรือนมัสการเทพเจ้าองค์ใดนอกเหนือจากพระเจ้าของพวกเขา 29 บัดนี้ เราขอสั่งว่าใครก็ตามไม่ว่าจะเป็นคนเชื้อชาติใดหรือภาษาไหน ที่ว่าร้ายพระเจ้าของชัดรัค เมชาค และเอเบดเนโก จะต้องถูกหั่นเป็นชิ้นๆและบ้านของมันผู้นั้นจะต้องกลายเป็นส้วมสาธารณะ เพราะไม่มีเทพเจ้าองค์ไหนที่สามารถช่วยชีวิตคนของพระองค์ได้อย่างนี้หรอก” 30 จากนั้นกษัตริย์ก็เลื่อนขั้นให้กับชัดรัค เมชาค และเอเบดเนโก ในมณฑลบาบิโลน
กษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์ฝันเรื่องต้นไม้
4 กษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์ส่งข่าวสารถึงประชาชนทุกคน ทุกเชื้อชาติ และทุกภาษา ที่อาศัยอยู่ทั่วโลก
ขอให้ท่านมีความสุขความเจริญ
2 เรามีความยินดีที่จะบอกกับท่านถึงอิทธิฤทธิ์และความมหัศจรรย์ที่พระเจ้าสูงสุดได้ทำให้กับเรา
3 อิทธิฤทธิ์ของเทพองค์นี้ยิ่งใหญ่นัก
ความมหัศจรรย์ของพระองค์นั้นทรงพลัง
อาณาจักรของพระองค์นั้นเป็นอาณาจักรที่อยู่ชั่วนิรันดร์
พระองค์จะปกครองตลอดไปชั่วลูกชั่วหลาน
4 เมื่อตอนที่เรา กษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์ ใช้ชีวิตอย่างไร้กังวลในบ้านพักของเรา และมีความสุขกับชีวิตในวังของเรานั้น 5 เราฝันร้าย และมันทำให้เราตกใจกลัวมาก 6 เราจึงมีคำสั่งให้นำพวกที่ปรึกษาของเราทั้งหมดที่มีอยู่ในบาบิโลน มาพบเพื่อทำนายฝันนั้น 7 เมื่อพวกหมอดู พวกผู้สะเดาะเคราะห์ พวกคาสดิม และพวกโหร มาถึง เราก็เล่าความฝันให้พวกเขาฟัง แต่พวกเขาก็ไม่สามารถทำนายฝันให้กับเราได้ 8 และในที่สุด ดาเนียลก็มาพบเรา ดาเนียลมีชื่อในภาษาของคนบาบิโลนว่าเบลเทชัสซาร์ ตามชื่อของเทพเจ้าของเรา และวิญญาณของพวกเทพเจ้าศักดิ์สิทธิ์ได้สถิตอยู่ในตัวเขา ดังนั้นเราจึงเล่าความฝันให้เขาฟัง 9 เราพูดว่า “เบลเทชัสซาร์ หัวหน้าหมอดู เรารู้ว่าวิญญาณของพวกเทพเจ้าศักดิ์สิทธิ์สถิตอยู่ในตัวเจ้า และไม่มีความลับอะไรที่ยากเกินไปสำหรับเจ้า ช่วยทำนายฝันที่เราเห็นนั้นให้กับเราหน่อย 10 ตอนที่เรากำลังนอนอยู่บนเตียงนั้น เราเริ่มเห็นนิมิตต่างๆในหัวของเรา ทันใดนั้นก็มีต้นไม้สูงมากต้นหนึ่งอยู่ตรงกลางโลกนี้ 11 ต้นไม้นี้ได้โตขึ้นและแข็งแรงขึ้น ยอดของมันสูงเสียดฟ้า ขนาดอยู่ไกลถึงสุดขอบโลกก็ยังมองเห็นต้นนี้ 12 ใบของมันสวยงามมาก มีผลดกเต็มต้น เพียงพอที่จะเลี้ยงสิ่งมีชีวิตทั้งหมด สัตว์ป่าหาร่มเงาอยู่ใต้ต้นไม้นี้ มีนกทำรังอยู่ตามกิ่งก้านของมัน และสิ่งมีชีวิตทุกชนิดหาอาหารกินบนต้นไม้นี้
13 ขณะที่ข้ายังนอนอยู่บนเตียง กำลังฝันเห็นสิ่งต่างๆเหล่านี้อยู่นั้น ก็มีผู้เฝ้าระวังที่ศักดิ์สิทธิ์[h] องค์หนึ่งลงมาจากฟ้า 14 เขาร้องตะโกนว่า ‘โค่นต้นไม้นั้นซะ ฟันกิ่งก้านทิ้งให้หมด ดึงใบของมันทิ้งด้วย พร้อมกับโยนผลของมันทิ้งไปให้หมด ทำให้สัตว์ป่าที่อยู่ใต้ต้นและพวกนกที่อยู่บนกิ่งของมัน จะต้องหนีและบินกันไป 15 แต่ให้เหลือตอและรากของมันไว้ในดิน แล้วเอาแผ่นเหล็กและแผ่นทองแดงมาคาดมันไว้ ทิ้งมันไว้ที่นั่นในท้องทุ่งกับหญ้า มันจะต้องตากน้ำค้างที่ตกจากฟ้าจนเปียก ท่ามกลางสิงสาราสัตว์ทั้งหลายในท้องทุ่งที่มีหญ้าขึ้นอุดมสมบูรณ์ 16 เขาจะกลายเป็นบ้า แล้วเริ่มคิดเหมือนสัตว์ แล้วฤดูกาลก็จะผ่านพ้นเขาไปเจ็ดฤดูกาล
17 คำประกาศนี้ก็คือคำสั่งของพวกทูตที่เฝ้าระวังที่ศักดิ์สิทธิ์ คำตัดสินนี้เป็นไปตามคำสั่งของเหล่าเทพผู้ศักดิ์สิทธิ์ เพื่อแสดงให้สิ่งมีชีวิตทั้งหมดรู้ว่า พระเจ้าสูงสุดคือผู้ครอบครองอาณาจักรของมนุษย์ทั้งหมด และพระองค์จะให้อาณาจักรกับใครก็ได้ที่พระองค์ต้องการ และพระองค์สามารถยกคนที่ต่ำต้อยที่สุด แล้วตั้งเขาให้ปกครองได้’
18 นั่นแหละคือสิ่งที่เรา กษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์ ฝันเห็น เอาล่ะ เบลเทชัสซาร์ เจ้าต้องอธิบายความฝันนั้นให้ข้าฟัง เพราะไม่มีผู้รู้คนไหนในอาณาจักรสามารถอธิบายมันได้ แต่เจ้าต้องทำได้แน่ เพราะเจ้ามีวิญญาณของเหล่าเทพผู้ศักดิ์สิทธิ์อยู่ในตัว”
19 แล้วดาเนียล (หรือเบลเทชัสซาร์) ก็เงียบไปพักหนึ่ง เพราะความเข้าใจที่เขามีต่อความฝันนั้น ทำให้เขาไม่สบายใจมาก
กษัตริย์ก็พูดว่า “เบลเทชัสซาร์ อย่าได้วิตกกังวลกับความฝันและคำทำนายนั้นเลย”
เบลเทชัสซาร์จึงตอบว่า “พระองค์เจ้าข้า ข้าพเจ้าได้แต่หวังว่าความฝันนี้และคำอธิบายของมัน จะพูดถึงพวกศัตรูของพระองค์
20 ต้นไม้ที่พระองค์เห็นนั้น ต้นที่ใหญ่โตและแข็งแกร่ง ที่มียอดสูงเสียดฟ้า จนสามารถมองเห็นจากสุดขอบโลก 21 ต้นนั้นที่มีใบงดงาม มีลูกดกเป็นอาหารสำหรับทุกชีวิต ต้นที่สัตว์ป่ามาอาศัยร่มเงาอยู่ที่โคนต้น และนกมาทำรังที่กิ่งก้านของมัน 22 ข้าแต่กษัตริย์ พระองค์คือต้นไม้ต้นนั้น พระองค์ได้เติบโตและยิ่งใหญ่เกรียงไกร ความยิ่งใหญ่ของพระองค์ได้เจริญขึ้นไปถึงฟ้าสวรรค์ และสิทธิอำนาจของพระองค์ได้แผ่ขยายไปถึงสุดขอบโลก
23 คราวนี้ พูดถึงทูตเฝ้าระวังที่ศักดิ์สิทธิ์ ที่พระองค์เห็นลงมาจากสวรรค์นั้น ที่พูดว่า ‘โค่นต้นไม้นั่นซะ แล้วทำลายมันให้หมด ยกเว้นตอกับราก ที่เจ้าจะต้องเหลือไว้ในดิน เอาแผ่นเหล็กและทองแดงมาคาดมันไว้กลางทุ่ง ที่นั่นมันจะเปียกชุ่มไปด้วยน้ำค้างที่ตกจากฟ้า เขาจะอยู่ท่ามกลางสัตว์ป่า จนกว่าจะผ่านไปเจ็ดฤดูกาล’
24 ข้าแต่กษัตริย์ ความหมายของมันคือ พระเจ้าสูงสุดได้ตัดสินให้เกิดสิ่งนี้ขึ้นกับพระองค์ ผู้เป็นกษัตริย์ 25 พวกเขาจะขับไล่พระองค์ไปจากคนอื่นๆ พระองค์จึงต้องอยู่ท่ามกลางสัตว์ป่า และต้องกินหญ้าเหมือนวัว และเปียกโชกไปด้วยน้ำค้างจากฟ้า ฤดูกาลจะผ่านไปเจ็ดฤดู แล้วพระองค์ถึงจะได้เรียนรู้ว่า พระเจ้าสูงสุด คือผู้ที่ปกครองอยู่เหนืออาณาจักรของมนุษย์ทั้งหมด และพระเจ้าจะเป็นผู้แต่งตั้งใครก็ได้มาปกครองอาณาจักรพวกนั้นตามที่พระองค์ต้องการ
26 เมื่อผู้เฝ้าระวังที่ศักดิ์สิทธิ์พูดว่า ‘ให้เหลือตอกับรากเอาไว้’ นั่นก็แสดงว่าอาณาจักรยังเป็นของพระองค์อยู่ แต่ต้องเป็นหลังจากที่พระองค์ได้เรียนรู้แล้วว่า พระเจ้าในสวรรค์เป็นผู้ครอบครองทุกสิ่งทุกอย่าง 27 ดังนั้น ข้าแต่กษัตริย์ ขอยอมรับคำแนะนำของข้าพเจ้าด้วยเถิด คือ ขอให้หักดิบไม่ทำความบาปแล้วทำความดีแทน ขอให้มีเมตตากับคนจนแทนที่จะทำความชั่วร้าย แล้วพระองค์ก็จะมีชีวิตที่ผาสุขไปอีกยาวนาน”
28 แล้วเรื่องทั้งหมดนั้นก็ได้เกิดขึ้นกับกษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์จริงๆ
29 สิบสองเดือนต่อมา ในขณะที่พระองค์กำลังเดินอยู่บนดาดฟ้าวัง 30 พระองค์ก็พูดว่า “ดูนี่สิ บาบิโลน เมืองอันยิ่งใหญ่ ที่ข้าได้สร้างขึ้นมาด้วยฤทธิ์อำนาจอันยิ่งใหญ่ของข้าเอง ข้าได้สร้างให้เป็นเมืองหลวงสำหรับอาณาจักรของข้า เพื่อนำเกียรติยศมาให้กับตัวข้า”
31 พระองค์พูดยังไม่ทันขาดคำ ก็มีเสียงหนึ่งพูดลงมาจากสวรรค์ว่า “นี่คือสิ่งที่เราได้ตัดสินใจเกี่ยวกับเจ้า กษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์ ตอนนี้อาณาจักรของเจ้าได้ถูกยึดไปจากเจ้าแล้ว 32 เจ้าจะต้องถูกขับไล่ออกจากผู้คนไปใช้ชีวิตอยู่กับพวกสัตว์ป่า เจ้าจะต้องกินหญ้าเหมือนวัว ฤดูจะผ่านไปเจ็ดฤดู แล้วเจ้าถึงจะได้เรียนรู้ว่าพระเจ้าสูงสุดเป็นผู้ครอบครองอาณาจักรของมนุษย์ และพระองค์เป็นผู้แต่งตั้งใครก็ตามที่พระองค์ได้เลือกไว้ให้ไปปกครองอาณาจักรเหล่านั้น”
33 ทันทีที่สิ้นเสียงนั้น กษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์ก็ถูกขับออกไปจากท่ามกลางผู้คน และเริ่มกินหญ้าเหมือนวัว และเนื้อตัวของพระองค์ก็เปียกโชกไปด้วยน้ำค้างจากฟ้า ผมของพระองค์ยาวออกมาเหมือนขนนกอินทรี เล็บของพระองค์งอกยาวเหมือนอุ้งเล็บของนก
34 แล้วกษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์ก็พูดต่อไปว่า “เมื่อจบช่วงเวลาที่กำหนดไว้นั้น ข้า กษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์ ก็มองขึ้นไปบนฟ้าสวรรค์ และเริ่มได้สติกลับคืนมา แล้วข้าก็สรรเสริญพระเจ้าสูงสุด และข้าก็ถวายเกียรติแก่พระองค์ผู้ดำรงอยู่ตลอดกาล
พระเจ้าปกครองตลอดไป
และอาณาจักรของพระองค์จะคงอยู่ต่อไปตราบชั่วลูกชั่วหลาน
35 มนุษย์ทั้งหมดในโลกช่างไม่มีอำนาจอะไรเลย เมื่อเปรียบเทียบกับอำนาจของพระเจ้า
ไม่ว่าพระองค์อยากจะทำอะไรกับกองทัพบนสวรรค์ พระองค์ก็ทำอย่างนั้น และพระองค์ก็จะทำอย่างเดียวกันกับมนุษย์ที่อาศัยอยู่บนโลก
ไม่มีใครสามารถหยุดพระองค์ได้ หรือตั้งคำถามกับพระองค์ได้ว่า ‘ทำไมพระองค์ถึงทำอย่างนี้’
36 ดังนั้น ในเวลานั้น พระเจ้าคืนสติที่ดีให้กับข้าอีกครั้ง และพระองค์ได้คืนความรุ่งโรจน์ของอาณาจักรข้า เกียรติของข้า พวกที่ปรึกษาของข้าและสมาชิกในวัง ก็เริ่มกลับมาขอคำปรึกษาจากข้าอีก ข้าได้กลับสู่ตำแหน่งกษัตริย์ในอาณาจักรของข้าอีกครั้งหนึ่ง และมีเกียรติมากยิ่งกว่าเดิมเสียอีก 37 ด้วยเหตุนี้ ข้า เนบูคัดเนสซาร์ จึงสรรเสริญและยกย่องและให้เกียรติ กับกษัตริย์แห่งสวรรค์ ผู้ที่ทำถูกต้องทุกอย่าง และเป็นผู้ที่ยุติธรรมเสมอ และเป็นผู้ที่ทำให้คนที่เย่อหยิ่งจองหองตกต่ำลง”
มือที่เขียนบนผนัง
5 ในช่วงที่กษัตริย์เบลชัสซาร์ขึ้นครองราชย์นั้น พระองค์ได้จัดงานเลี้ยงใหญ่สำหรับข้าราชสำนักหนึ่งพันคน แล้วพระองค์ก็ดื่มเหล้าองุ่นอยู่ต่อหน้าพวกเขา 2 ด้วยความมึนเมา พระองค์จึงสั่งให้คนไปเอาถ้วยทอง ถ้วยเงินต่างๆที่กษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์ พ่อของพระองค์ได้ยึดเอามาจากวิหารในเมืองเยรูซาเล็ม เพื่อพระองค์เองจะได้เอามาใช้ดื่ม ร่วมกันกับพวกขุนนาง พวกภรรยาของพระองค์และพวกนางสนม 3 เมื่อพวกเขาเอาถ้วยพวกนั้นมา เป็นเหยือกที่ได้เอามาจากวิหารของพระเจ้าในเมืองเยรูซาเล็ม กษัตริย์ก็ได้ใช้ถ้วยพวกนั้นดื่มร่วมกันกับเหล่าขุนนาง พวกภรรยาของพระองค์และพวกนางสนม 4 ในขณะที่ดื่มเหล้าองุ่นกันอยู่นั้น พวกเขาก็สรรเสริญพวกเทพเจ้าของพวกเขาไปด้วย มีทั้งเทพเจ้าของทอง เงิน ทองแดง เหล็ก ไม้ และหิน
5 จู่ๆก็มีนิ้วมือของมนุษย์ปรากฏขึ้น และได้ขีดเขียนข้อความลงบนผนังปูนของวังที่อยู่ตรงข้ามตะเกียงที่มีขาตั้ง เพื่อว่ากษัตริย์จะได้มองเห็นมือที่กำลังขีดเขียนอยู่นั้น 6 กษัตริย์กลัวจนหน้าซีดเผือด พระองค์กลัวมาก ถึงกับตัวอ่อนปวกเปียก เข่าก็สั่นกระทบกัน
7 กษัตริย์ตะโกนสั่งให้พาพวกทำสะเดาะเคราะห์ พวกคาสดิม และพวกโหรมาหา แล้วบอกกับผู้รู้ของบาบิโลนพวกนั้นว่า ถ้าใครสามารถอ่านและแปลความหมายของข้อความนั้นได้ คนนั้นจะได้รับเสื้อสีม่วง สร้อยคอทองคำ และมีอำนาจใหญ่เป็นอันดับสามของอาณาจักรนี้
8 แล้วผู้รู้ทั้งหลายก็มาหากษัตริย์ แต่ก็ไม่มีใครสามารถอ่านหรืออธิบายข้อความนั้นให้พระองค์ฟังได้เลย 9 กษัตริย์เบลชัสซาร์ก็ยิ่งตกใจกลัวและใบหน้าของพระองค์ก็ยิ่งซีดลง และพวกขุนนางของพระองค์ก็เริ่มหวาดวิตก
10 แม่ของกษัตริย์ได้ยินเสียงของพระองค์และพวกขุนนางก็เลยเข้ามาที่ห้องงานเลี้ยง และบอกกษัตริย์ว่า “ขอให้ลูกแม่อายุมั่นขวัญยืน อย่าได้ตกใจจนหน้าซีดอย่างนี้ 11 ในอาณาจักรของลูกมีชายคนหนึ่งที่มีพระวิญญาณของเหล่าเทพผู้ศักดิ์สิทธิ์สถิตอยู่ ในสมัยที่พ่อของลูกปกครองบ้านเมือง คนคนนี้เป็นคนที่รู้แจ้งเห็นจริง เฉลียวฉลาด และรอบรู้มาก มีสติปัญญาเหมือนกับพวกเทพเจ้าเลย กษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์พ่อของลูก เคยตั้งเขาให้เป็นหัวหน้าของพวกหมอดู พวกผู้สะเดาะเคราะห์ พวกคาสดิม และพวกโหรมาแล้ว 12 ในเมื่อดาเนียล (คนที่พ่อของเจ้าเรียกว่า เบลเทชัสซาร์) เป็นคนที่ฉลาดหลักแหลมมาก มีความรอบรู้ และความเข้าใจ มากมายถึงขนาดทำนายฝัน แก้ไขปริศนา และแก้ปัญหาต่างๆได้ ส่งคนไปตามเขามาสิ เพื่ออธิบายลายนิ้วมือนั้นให้ลูกฟัง”
13 เขาจึงพาดาเนียลมาเฝ้ากษัตริย์ กษัตริย์พูดกับดาเนียลว่า “เจ้าก็คงเป็นดาเนียล คนหนึ่งในพวกเชลยชาวยูดาห์ ที่พ่อของข้า กษัตริย์องค์ก่อน พาตัวมาจากยูดาห์สินะ 14 ข้าได้ยินมาว่าเจ้าเป็นคนที่มีพระวิญญาณของเหล่าเทพผู้ศักดิ์สิทธิ์อยู่ในตัว เป็นคนที่รอบรู้ มีไหวพริบ และเฉลียวฉลาดมาก 15 ข้าให้คนไปพาพวกผู้รู้ อย่างพวกทำสะเดาะเคราะห์มาหาข้า เพื่อพวกเขาจะได้มาอ่านลายนิ้วมือบนผนังนี้ และอธิบายให้ข้าฟัง แต่พวกเขาก็อ่านไม่ออกสักตัว 16 ข้าได้ยินมาว่า เจ้าสามารถอธิบายความหมายของเรื่องแบบนี้และแก้ไขปริศนาได้ ฟังนะ ถ้าเจ้าอ่านข้อความนี้ออกและอธิบายให้ข้าฟังได้ ข้าก็จะให้เสื้อสีม่วงและสร้อยคอทองคำกับเจ้า และเจ้าก็จะมีอำนาจใหญ่เป็นอันดับสามของอาณาจักรนี้”
17 แล้วดาเนียลก็ตอบว่า “ขอให้พระองค์เก็บของขวัญพวกนั้นไว้สำหรับพระองค์เองเถิด หรือไม่ก็ให้รางวัลเหล่านั้นกับคนอื่นๆเถิด แต่ข้าพเจ้าจะอ่านข้อความนั้นและตีความมันให้พระองค์ฟัง
18 ข้าแต่กษัตริย์ พระเจ้าสูงสุดได้ให้อาณาจักรนี้ อำนาจ ความยิ่งใหญ่ และเกียรติยศกับกษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์พ่อของท่าน 19 เพราะพระเจ้าให้พลังอำนาจกับพ่อของท่าน บรรดาเชื้อชาติต่างๆ รวมทั้งทุกชนชาติทุกภาษา ถึงได้เกรงกลัวจนตัวสั่นงันงก เมื่ออยู่ต่อหน้าพ่อของท่าน เพราะพระองค์ได้ฆ่าคนที่อยากฆ่า ไว้ชีวิตคนที่อยากไว้ชีวิต ยกย่องคนที่อยากยกย่อง และทำลายคนที่อยากทำลาย
20 แต่เมื่อพ่อของท่านกลายเป็นคนหยิ่งยโสและดื้อรั้น พระองค์ก็ถูกขับออกจากบัลลังก์และหมดศักดิ์ศรีเกียรติยศไป 21 พระองค์ถูกขับไล่ออกไปจากสังคมมนุษย์ จิตใจของพระองค์ได้กลายเป็นเหมือนใจสัตว์ และเขาได้อาศัยอยู่กับลาป่าในทะเลทราย กินหญ้าเหมือนวัวและเนื้อตัวก็เปียกโชกไปด้วยน้ำค้างที่ตกจากฟ้า จนกว่าพระองค์รู้สำนึกว่าพระเจ้าสูงสุดเป็นผู้ปกครองอาณาจักรทั้งหลายของมนุษย์และจะตั้งใครก็ได้ที่พระองค์เลือกให้มาครอบครองเหนืออาณาจักร
22 ข้าแต่กษัตริย์เบลชัสซาร์ พระองค์เป็นลูก และรู้เรื่องสิ่งเหล่านี้ดี แต่พระองค์กลับทำเหมือนกับพ่อของพระองค์ พระองค์ไม่ยอมถ่อมใจ 23 พระองค์ยกตัวเองขึ้น ต่อต้านองค์เจ้าชีวิตแห่งสวรรค์ และสั่งให้คนไปเอาสิ่งของเครื่องใช้จากวิหารของพระเจ้ามาไว้ต่อหน้าพระองค์ หลังจากนั้นพระองค์ พร้อมทั้งขุนนาง พวกภรรยา และพวกนางสนมของพระองค์ ก็ดื่มเหล้าองุ่นจากเหยือกพวกนั้น แล้วสรรเสริญเทพเจ้าของเงิน ทอง ทองแดง เหล็ก ไม้และหิน ซึ่งรูปปั้นพวกนี้มองไม่เห็น ฟังไม่ได้ยิน และไม่รู้เรื่องอะไรเลย แต่พระองค์กลับไม่ยอมสรรเสริญพระเจ้าที่แท้จริง ผู้ซึ่งมีอำนาจเหนือลมหายใจและทุกสิ่งที่เกิดขึ้นกับพระองค์
24 นั่นเป็นเหตุที่พระเจ้าถึงได้ส่งมือมาเขียนข้อความนี้บนฝาผนัง 25 ข้อความนั้นเขียนว่าอย่างนี้คือ
เมเน เมเน เทเคล และ ปารสิน
26 ความหมายของคำเหล่านี้คือ
เมเน[i] หมายถึง พระเจ้าได้นับวันเวลาครองราชย์ของท่านไว้แล้ว และพระองค์กำลังจะทำให้จบลงแล้ว[j]
27 เทเคล[k] หมายถึง พระเจ้าได้ชั่งน้ำหนักของท่าน และพบว่าน้ำหนักของท่านขาดไป ไม่สมควรจะได้ครองราชย์
28 ปารสิน[l] หมายถึง อาณาจักรของท่านจะถูกแบ่งให้กับคนมีเดียและคนเปอร์เซีย”
29 แล้วกษัตริย์เบลชัสซาร์ก็สั่งให้เอาเสื้อสีม่วงมาสวมให้กับดาเนียล และเอาสร้อยทองคำมาสวมคอให้เขา พร้อมกับประกาศว่าดาเนียลมีอำนาจใหญ่เป็นอันดับสามของอาณาจักรนี้
30 และในคืนนั้นเองเบลชัสซาร์ กษัตริย์ชาวคาสดิมก็ถูกฆ่า
31 แล้วดาริอัสชาวมีเดีย ก็ได้ยึดเอาอาณาจักรนี้มา ตอนที่เขามีอายุหกสิบสองปี
ดาเนียลในถ้ำสิงโต
6 กษัตริย์ดาริอัสตัดสินใจที่จะแต่งตั้งผู้นำภาคขึ้นมาหนึ่งร้อยยี่สิบคน เพื่อมาปกครองดูแลอาณาจักร 2 แล้วพระองค์ก็เลือกอีกสามคนมาเป็นรัฐมนตรีอยู่เหนือผู้นำภาคพวกนี้ ผู้นำภาคพวกนี้จะต้องมารายงานกับสามคนนี้ เพื่อกษัตริย์จะได้ไม่ต้องวุ่นวายกับเรื่องปลีกย่อยในการบริหาร และดาเนียลก็เป็นหนึ่งในรัฐมนตรีสามคนนี้ 3 เนื่องจากดาเนียลคนนี้เป็นคนฉลาดหลักแหลมมาก เขามีความสามารถมากกว่ารัฐมนตรีอีกสองคนนั้น และเก่งกว่าผู้นำภาคทั้งหมดด้วย กษัตริย์จึงคิดที่จะแต่งตั้งดาเนียลให้มีอำนาจเหนืออาณาจักรทั้งหมด
4 ดังนั้นรัฐมนตรีสองคนนั้นและผู้นำภาคพวกนั้น ก็เริ่มหาเหตุใส่ร้ายดาเนียล ในงานบริหารอาณาจักรที่ดาเนียลรับผิดชอบอยู่ แต่พวกเขาก็ไม่สามารถจะหาเหตุอะไรมาฟ้อง หรือจับทุจริตในตัวดาเนียลได้เลย เพราะดาเนียลเป็นคนที่ซื่อสัตย์มาก และไม่ได้ทำอะไรผิด หรือผิดพลาดในงานที่เขารับผิดชอบเลย
5 แล้วคนพวกนี้ก็พูดกันว่า “เราจะไม่มีทางหาเหตุฟ้องดาเนียลคนนี้ได้เลย นอกจากเราจะหาเรื่องจับผิดเกี่ยวกับศาสนาของเขา” 6 ดังนั้นรัฐมนตรีสองคนนั้นกับผู้นำภาคทั้งหลายก็พากันมาเข้าเฝ้ากษัตริย์ และนำข้อเสนอมาด้วย พวกเขาพูดว่า “ขอให้กษัตริย์ดาริอัสมีอายุยืนยาว 7 ข้าแต่กษัตริย์ พวกรัฐมนตรี พวกผู้นำภาค ผู้นำจังหวัด ผู้นำอำเภอ พวกที่ปรึกษา ได้ตกลงกันว่ากษัตริย์ควรจะประกาศกฎหมายใหม่ และให้บังคับใช้อย่างเข้มงวดว่า ในสามสิบวันนี้ห้ามทุกคนอธิษฐานหรือขอพรจากเทพเจ้าหรือจากมนุษย์คนใด นอกจากขอจากพระองค์ผู้เป็นกษัตริย์แต่เพียงผู้เดียว ใครฝ่าฝืนจะต้องถูกโยนเข้าไปในถ้ำสิงโต
8 ดังนั้น ข้าแต่กษัตริย์ ขอทรงออกกฎข้อห้ามนี้ พร้อมกับเซ็นชื่อของพระองค์ลงในกฎหมายนั้น เพื่อจะได้เป็นกฎหมายที่ไม่สามารถเปลี่ยนแปลง หรือยกเลิกได้ตามกฎหมายของคนมีเดียและคนเปอร์เซียด้วยเถิด”
9 กษัตริย์ดาริอัสจึงออกกฎข้อห้ามนี้ พร้อมกับลงชื่อของพระองค์ลงไป
10 เมื่อดาเนียลได้ยินว่ากษัตริย์ได้เซ็นชื่อลงในกฎหมายนี้แล้ว เขาก็กลับบ้าน และขึ้นไปห้องชั้นบนที่มีหน้าต่างหันหน้าไปทางเมืองเยรูซาเล็ม แล้วดาเนียลก็คุกเข่าลงที่นั่น อธิษฐานและขอบคุณพระเจ้าของเขา วันละสามครั้ง เหมือนปกติที่เขาทำมา 11 ต่อมากลุ่มนั้นได้มาพบว่า ดาเนียลอธิษฐานและร้องขอความเมตตาจากพระเจ้าของเขา
12 พวกเขาก็ไปเข้าเฝ้ากษัตริย์และบอกกับพระองค์ถึงกฎข้อห้ามของพระองค์นั้นว่า
“ข้าแต่กษัตริย์ พระองค์ได้ลงชื่อไปแล้วไม่ใช่หรือ ที่ห้ามไม่ให้มีใครอธิษฐานหรือขอพรจากเทพองค์ใดหรือมนุษย์คนไหนนอกจากพระองค์เท่านั้น เป็นเวลาสามสิบวัน และถ้าใครฝ่าฝืนก็จะต้องถูกโยนลงไปในถ้ำสิงโต” กษัตริย์ก็ตอบว่า “ใช่ ถูกแล้ว มันเป็นไปตามกฎหมายของมีเดียและเปอร์เซียที่ไม่สามารถยกเลิกได้”
13 พวกเขาจึงฟ้องกษัตริย์ว่า “ดาเนียลที่เป็นคนหนึ่งในพวกเชลยชาวยูดาห์ ไม่ได้สนใจพระองค์หรือกฎข้อห้ามนี้ ที่พระองค์ผู้เป็นกษัตริย์ได้ลงชื่อไว้ อันที่จริง เขาอธิษฐานต่อพระเจ้าของเขาตั้งสามครั้งในแต่ละวัน”
14 เมื่อกษัตริย์ได้ยินอย่างนั้นก็กลุ้มใจมาก พระองค์รีบหาทางช่วยชีวิตดาเนียลทันที พระองค์พยายามอยู่จนตะวันตกดิน
15 หลังจากนั้น คนกลุ่มเดิมก็เข้ามาเฝ้ากษัตริย์และพูดว่า “ข้าแต่กษัตริย์ พระองค์ก็รู้อยู่แล้วถึงกฎของคนมีเดียและคนเปอร์เซียว่า กฎและข้อห้ามทุกอย่าง ที่ออกโดยกษัตริย์ ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้”
16 ดังนั้นกษัตริย์จึงสั่งให้พวกเขาไปจับตัวดาเนียลโยนลงไปในถ้ำสิงโต
กษัตริย์พูดกับดาเนียลว่า “ขอให้พระเจ้าที่เจ้ารับใช้อยู่ตลอดเวลานั้น ช่วยชีวิตของเจ้าด้วยเถอะ”
17 แล้วพวกนั้นก็เลื่อนหินมาปิดปากถ้ำ และเอาแหวนของกษัตริย์มาประทับตราไว้ รวมทั้งแหวนของผู้ควบคุมมาประทับด้วย ที่พวกเขาประทับตราของกษัตริย์ไว้ ก็เพื่อจะได้ไม่มีใครมาเปลี่ยนแปลงคำตัดสินลงโทษดาเนียลได้
18 จากนั้นกษัตริย์ก็กลับไปที่วัง และไม่ยอมกินอะไรเลยทั้งคืน ไม่ยอมให้มีสิ่งบันเทิงทั้งนั้น พระองค์นอนไม่หลับ 19 พอถึงรุ่งเช้า พระองค์ก็รีบไปที่ถ้ำสิงโต 20 เมื่อพระองค์กำลังมาใกล้ถึงถ้ำ พระองค์ก็ร้องตะโกนเรียกดาเนียลว่า “ดาเนียล คนรับใช้ของพระเจ้า พระเจ้าที่มีชีวิตอยู่ พระเจ้าที่เจ้ารับใช้ตลอดมา พระองค์ช่วยชีวิตเจ้าจากพวกสิงโตได้หรือเปล่า”
21 ดาเนียลตอบกลับมาว่า “ข้าแต่กษัตริย์ ขอให้พระองค์มีชีวิตยืนยาวตลอดไป 22 พระเจ้าของข้าพเจ้าได้ส่งทูตสวรรค์มาปิดปากสิงโตพวกนี้ไว้ พวกมันเลยทำอันตรายข้าพเจ้าไม่ได้ นี่ก็เพราะพระเจ้ารู้ว่าข้าพเจ้าบริสุทธิ์ ข้าแต่กษัตริย์ ข้าพเจ้าไม่ได้ทำอะไรผิดต่อพระองค์เลย”
23 กษัตริย์จึงดีใจมาก และสั่งให้คนเอาตัวดาเนียลออกมาจากถ้ำสิงโต ดาเนียลถูกนำตัวออกมาจากถ้ำ ไม่ได้รับอันตรายอะไรเลย เพราะเขาไว้วางใจในพระเจ้าของเขานั่นเอง
24 แล้วกษัตริย์ก็มีคำสั่งให้นำตัวคนพวกนั้นที่ต่อต้านดาเนียลมา และโยนพวกเขา รวมทั้งลูกเมียของพวกเขา ลงไปในถ้ำสิงโต พวกเขายังไม่ทันจะตกถึงพื้นเลย สิงโตก็ขย้ำพวกเขากินและบดขยี้กระดูกพวกเขาจนแหลกละเอียด
25 แล้วกษัตริย์ดาริอัสก็เขียนคำประกาศนี้ถึงคนทุกชาติทุกภาษาที่อาศัยอยู่ทั่วโลก
“ขอให้เจ้ามีสันติสุขอย่างล้นเหลือ”
26 ข้าขอออกกฎนี้ว่า “ทุกคนในทุกๆจังหวัดทั่วราชอาณาจักรของข้าจะต้องเกรงกลัวและนับถือพระเจ้าของดาเนียล
เพราะพระองค์เป็นพระเจ้าที่มีชีวิตอยู่ชั่วนิรันดร์
และอาณาจักรของพระองค์จะไม่มีวันถูกทำลาย
และพระองค์จะปกครองตลอดไปไม่มีวันสิ้นสุด
27 พระองค์ปกป้องและช่วยชีวิต
พระองค์ทำหมายสำคัญและสิ่งอัศจรรย์ต่างๆทั้งในสวรรค์และโลก
และพระองค์เป็นผู้ที่ช่วยชีวิตดาเนียลไว้จากพวกสิงโต”
28 ดาเนียลคนนี้รุ่งเรืองในสมัยของกษัตริย์ดาริอัสคนมีเดียและในสมัยของกษัตริย์ไซรัสคนเปอร์เซีย
ดาเนียลฝันถึงสัตว์สี่ชนิด
7 ในปีแรกที่เบลชัสซาร์ขึ้นเป็นกษัตริย์ของบาบิโลน ในขณะที่ดาเนียลนอนหลับอยู่บนเตียง เขาก็ได้เห็นนิมิตในความฝัน หลังจากนั้นเขาก็จดสิ่งที่เขาเห็นในความฝันนั้น 2 ดาเนียลเขียนว่า
“คืนหนึ่งในขณะที่ผมกำลังเห็นนิมิต ในทันใดนั้นผมก็เห็นลมที่มาจากทั้งสี่ทิศกำลังพัดอยู่ และสายลมเหล่านั้นกำลังปลุกปั่นน้ำในทะเลอันยิ่งใหญ่ 3 แล้วสัตว์ขนาดใหญ่สี่ตัวก็โผล่ขึ้นมาจากทะเล แต่ละตัวมีลักษณะแตกต่างกันไป 4 สัตว์ตัวแรกดูเหมือนสิงโต ที่มีปีกเหมือนนกอินทรี พอผมจ้องมองมัน ปีกของมันก็ถูกกระชากหลุดไป แล้วสิงโตตัวนี้ก็ถูกยกขึ้นจากพื้น ขึ้นมายืนสองขาเหมือนกับมนุษย์ แล้วมันก็ได้รับจิตใจของมนุษย์
5 จากนั้นผมก็เห็นสัตว์อีกตัวหนึ่ง สัตว์ตัวที่สองนี้ดูเหมือนหมี มันขยับตัวข้างหนึ่งขึ้น ในปากของมันคาบกระดูกซี่โครงสามซี่ มันได้รับคำสั่งว่า ‘ลุกขึ้นซะ แล้วกินเนื้อให้มากๆ’
6 หลังจากนั้นผมก็มองเห็นสัตว์อีกตัวหนึ่ง สัตว์ตัวนี้เหมือนเสือดาว ที่มีปีกเหมือนนกอยู่สี่ปีกบนหลังของมัน และมีหัวสี่หัว มันได้รับการแต่งตั้งให้ปกครองอาณาจักรแห่งหนึ่ง
7 หลังจากนั้น ขณะที่ผมกำลังจ้องมองนิมิตในฝันในคืนนั้น ผมก็เห็นสัตว์ตัวที่สี่ มันดูน่าสยดสยอง มีพลังมหาศาล และมีฟันเหล็กที่ใหญ่โต มันกินและบดเคี้ยวสัตว์ต่างๆมากมาย และเหยียบย่ำเศษที่เหลือนั้นใต้เท้า มันดูแตกต่างจากสัตว์ตัวก่อนๆและมันมีเขาสิบเขา
8 ขณะที่ผมกำลังจ้องมองเขาของมัน จู่ๆก็มีเขาเล็กๆอีกเขาหนึ่งงอกออกมาท่ามกลางเขาอื่นๆและดันเขาสามเขาที่มีอยู่ก่อนแล้วหลุดไป เขาอันเล็กนี้ มีดวงตาเหมือนดวงตามนุษย์ และมีปากที่คุยโม้โอ้อวด
การลงโทษสัตว์ตัวที่สี่
9 ขณะที่ผมกำลังจ้องมองอยู่ ก็มีการจัดวางบัลลังก์ต่างๆเข้าที่ของมัน
และพระองค์ผู้นั้นที่อยู่มาตั้งแต่สมัยโบราณแล้ว ได้มานั่งบนบัลลังก์อันหนึ่ง
เสื้อผ้าของพระองค์สีขาวเหมือนหิมะ
ผมของพระองค์ก็ขาวเหมือนขนแกะที่สะอาด
บัลลังก์ของพระองค์เป็นเปลวไฟ
ล้อของบัลลังก์ก็เป็นไฟที่ลุกโชติช่วง
10 มีไฟไหลออกมาเป็นลำธารจากตรงหน้าพระองค์
มีทูตสวรรค์เป็นร้อยล้านองค์ มายืนคอยรับใช้พระองค์
มีคนหลายร้อยล้านคนมายืนคอยรับใช้พระองค์
ศาลก็เริ่มเปิดพิจารณาคดี
และหนังสือทั้งหลายก็ถูกเปิดออก
11 ผมได้มองดูสิ่งเหล่านั้น ตั้งแต่เวลาที่ผมได้ยินเขาอันเล็กนั้นคุยโม้โอ้อวด จนถึงเวลาที่สัตว์ตัวที่สี่นั้นถูกฆ่าและเหวี่ยงทิ้งลงไปในไฟ 12 ส่วนสัตว์ที่เหลืออีกสามตัว ก็ถูกยึดเอาอำนาจที่ใช้ปกครองอาณาจักรไป แต่ได้รับอนุญาตให้มีชีวิตอยู่ต่อไปอีกระยะหนึ่ง
13 เมื่อผมเพ่งมองสิ่งเหล่านี้ทั้งหมดในนิมิตตอนกลางคืน จู่ๆก็มีท่านผู้หนึ่งที่ดูเหมือนมนุษย์[m] มาพร้อมกับกลุ่มเมฆบนท้องฟ้า ท่านผู้นี้ได้เข้ามาถึงพระองค์ผู้นั้นที่อยู่มาตั้งแต่สมัยโบราณแล้ว ท่านผู้นี้ก็ถูกนำตัวให้เข้ามาใกล้พระองค์ผู้นั้น 14 แล้วท่านผู้นี้ก็ได้รับสิทธิอำนาจ สง่าราศี และตำแหน่งกษัตริย์ ชนทุกชาติทุกภาษาจะคอยรับใช้ท่านผู้นี้ สิทธิอำนาจของท่านผู้นี้จะดำรงอยู่ตลอดไปไม่มีวันสิ้นสุด ตำแหน่งกษัตริย์ของท่านผู้นี้จะไม่มีวันถูกทำลาย
ความหมายของนิมิตของดาเนียล
15 แล้วผม ดาเนียล ก็เริ่มกลุ้มใจ เพราะนิมิตพวกนี้ที่อยู่ในหัวของผมทำให้ผมตกใจกลัว
16 ผมเดินเข้าไปหาผู้รับใช้คนหนึ่งในหมู่ผู้รับใช้ที่ยืนอยู่ที่นั่นและถามเขาว่า
‘เรื่องทั้งหมดนี้จริงๆแล้วหมายความว่าอะไรครับ’
เขาพูดกับผมและอธิบายถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นให้ผมฟัง
17 ‘สัตว์ใหญ่สี่ตัวนี้ หมายถึงอาณาจักรสี่อาณาจักรที่จะขึ้นมามีอำนาจบนโลกนี้ 18 และหลังจากนั้นพวกผู้ศักดิ์สิทธิ์ของพระองค์ผู้สูงสุด ก็จะได้รับตำแหน่งกษัตริย์และจะครอบครองตลอดไป’
19 แล้วตอนนั้นผมก็อยากรู้ความหมายที่แท้จริงของสัตว์ตัวที่สี่ที่ดูแตกต่างไปจากตัวอื่นๆแถมยังดูน่าสยดสยอง มีพลังมหาศาล มีฟันเหล็ก และกงเล็บทองแดง มันบดเคี้ยวสัตว์ทั้งหลาย และเหยียบย่ำเศษที่เหลือไว้ใต้เท้าของมัน
20 แล้วผมก็อยากรู้ด้วยว่าเขาทั้งสิบบนหัวของมัน หมายถึงอะไร และเขาอันสุดท้ายที่ดันเขาสามเขาที่ขึ้นอยู่ก่อน คือเขาอันที่มีดวงตาและปากที่คุยโม้โอ้อวดตัวเอง และมันดูโดดเด่นกว่าตัวอื่นๆ
21 ในขณะที่ผมกำลังจ้องดูอยู่นั้นเอง เขาอันนั้นก็เริ่มทำสงครามกับเหล่าผู้ศักดิ์สิทธิ์และยังชนะพวกเขาอีกด้วย 22 จนกระทั่งพระองค์ผู้นั้นที่อยู่มาตั้งแต่สมัยโบราณแล้ว มาถึง และให้ความเป็นธรรมกับเหล่าผู้ศักดิ์สิทธิ์ของพระองค์ผู้สูงสุด และเวลานั้นก็มาถึงเมื่อเหล่าผู้ศักดิ์สิทธิ์ได้รับตำแหน่งกษัตริย์
23 และผู้รับใช้คนนั้นก็อธิบายให้ผมฟังว่า
‘สัตว์ตัวที่สี่ก็หมายถึงว่าจะมีอาณาจักรที่สี่ที่แตกต่างจากอาณาจักรที่มีมาก่อน อาณาจักรนี้จะเขมือบทั้งโลกและเหยียบย่ำบดขยี้โลกนั้น
24 ส่วนเขาทั้งสิบของมันก็คือกษัตริย์สิบองค์ของอาณาจักร หลังจากกษัตริย์สิบองค์นี้แล้ว ก็จะมีกษัตริย์อีกองค์หนึ่งมา ที่ต่างจากกษัตริย์องค์ก่อนๆและกษัตริย์องค์นี้ก็จะมาโค่นล้มกษัตริย์สามองค์แรก
25 กษัตริย์องค์นี้จะพูดไม่ดีเกี่ยวกับพระเจ้าสูงสุดและจะข่มเหงเหล่าผู้ศักดิ์สิทธิ์ไปเป็นเวลาช้านาน
กษัตริย์องค์นี้จะพยายามเปลี่ยนแปลงเวลาของเทศกาลต่างๆและกฎเกณฑ์ต่างๆและเหล่าผู้ศักดิ์สิทธิ์จะต้องตกอยู่ภายใต้อำนาจของกษัตริย์องค์นี้ หนึ่งปี สองปี และครึ่งปี
26 แล้วศาลก็เริ่มเปิดพิจารณาคดี และกษัตริย์องค์นี้จะถูกโค่นอำนาจและถูกทำลายอย่างราบคาบ
27 หลังจากนั้น ตำแหน่งกษัตริย์ สิทธิอำนาจ รวมทั้งความยิ่งใหญ่ของอาณาจักรทุกอาณาจักรในโลกจะถูกมอบให้กับกลุ่มคนพวกนั้นที่เป็นของเหล่าผู้ศักดิ์สิทธิ์ของพระองค์ผู้สูงสุด กลุ่มคนพวกนั้นจะครอบครองตำแหน่งกษัตริย์ไปชั่วนิจนิรันดร์ และผู้มีอำนาจทุกคนจะต้องรับใช้และเชื่อฟังพวกเขา’
28 เรื่องที่ผมฝันก็จบลงอย่างนี้ สำหรับตัวผม ดาเนียล ความฝันนี้ทำให้ผมตกใจกลัวจนหน้าซีด แต่ผมก็เก็บเรื่องนี้ไว้ในใจ”
ดาเนียลเห็นนิมิตที่มีแกะตัวผู้และแพะ
8 ในปีที่สามที่กษัตริย์เบลชัสซาร์ขึ้นครองราชย์ ผม ดาเนียลก็ได้เห็นนิมิตอีกครั้งหนึ่ง หลังจากที่ได้เห็นนิมิตครั้งแรกไปแล้ว
2 ในนิมิตผมเห็นตัวผมเองอยู่ในเขตของวัง วังนี้อยู่ที่เมืองสุสา ในจังหวัดเอลาม ในนิมิตนั้นผมเห็นตัวผมเองกำลังอยู่ที่ริมฝั่งแม่น้ำอุลัย
3 ผมเงยหน้าขึ้นมาเห็นแกะตัวผู้ตัวหนึ่งยืนอยู่ริมแม่น้ำ มันมีเขาสูงใหญ่คู่หนึ่ง เขาข้างหนึ่งยาวกว่าอีกข้างหนึ่ง เขาข้างที่ยาวกว่านั้นงอกขึ้นมาทีหลัง
4 ผมเห็นแกะตัวผู้ตัวนั้นวิ่งตะลุยไปทางตะวันตก ทางเหนือ และทางใต้ ไม่มีสัตว์ตัวไหนต้านทานมันได้ ไม่มีสัตว์ตัวไหนสามารถยืนขวางมันได้ และไม่มีใครสามารถที่จะช่วยเหยื่อของมันได้ มันทำทุกอย่างตามที่มันอยากทำ และแข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ
5 ขณะที่ผมจ้องมองอยู่นั้น ก็มีแพะตัวผู้ มาจากทางทิศตะวันตก เหาะข้ามไปเหนือพื้นผิวโลก เท้าของมันไม่ได้แตะพื้นเลย แพะตัวผู้นี้มีเขาที่โดดเด่นมากอยู่ระหว่างตาของมัน 6 แล้วมันก็วิ่งห้อเต็มกำลังไปที่แกะผู้ที่มีสองเขาที่ยืนอยู่ริมแม่น้ำ ที่ผมเห็นก่อนหน้านี้ 7 ผมเห็นมันวิ่งเข้าใส่แกะผู้ตัวนั้นอย่างแรง ตอนที่มันพุ่งชนนี้ ทำให้เขาทั้งสองของแกะตัวผู้นั้นหัก แกะตัวผู้นั้นก็ไม่สามารถต่อสู้กับมันได้ แพะตัวผู้นี้ก็เหวี่ยงแกะนั่นลงกับพื้น แล้วกระทืบซ้ำ ไม่มีใครช่วยแกะตัวผู้นั้นให้พ้นจากพละกำลังของมันได้เลย
8 จากนั้นแพะตัวผู้ก็ยิ่งแข็งแกร่งขึ้น แต่ในขณะที่มันมีกำลังถึงจุดสูงสุดนั้น เขาอันใหญ่ของมันได้หักไป แล้วมีเขาที่โดดเด่นสี่อันงอกขึ้นมาแทนที่[n] เขาทั้งสี่อันนี้ แต่ละอันชี้ไปคนละทิศ 9 มีเขาเล็กๆอันหนึ่งงอกออกมาจากเขาอันหนึ่งในสี่อันนี้ เขาเล็กๆนี้ได้งอกขึ้นมาใหญ่โตมุ่งไปทางทิศใต้ มุ่งไปทางทิศตะวันออก และมุ่งไปยังที่ที่สวยงาม[o] 10 เขาอันนี้งอกขึ้นไปถึงสวรรค์ มันเหวี่ยงเอาดวงดาวและดาวเคราะห์ต่างๆล่วงลงมาบนโลก แล้วก็เหยียบย่ำพวกมัน 11 เขาอันนี้แข็งแกร่งขึ้น และได้ท้าทายพระเจ้า ผู้เป็นจอมทัพสวรรค์ และมันได้เอาเครื่องเผาบูชาประจำวันของพระองค์ไป และทำลายวิหารของพระองค์ด้วย 12 การมีอำนาจเหนือเครื่องเผาบูชาประจำวันของพระเจ้าถือว่าเป็นการกบฏ แต่พระเจ้าจะปล่อยให้กองทัพนั้นทำอย่างนั้น และกองทัพนั้นจะเหวี่ยงความจริงลงบนพื้นโลก และกองทัพนั้นก็จะสำเร็จในทุกเรื่องที่มันทำ
13 ผมได้ยินผู้ศักดิ์สิทธิ์ท่านหนึ่งพูดขึ้น แล้วผู้ศักดิ์สิทธิ์อีกท่านหนึ่งก็ถามผู้ศักดิ์สิทธิ์ท่านที่พูดขึ้นนั้นว่า
“สิ่งต่างๆเหล่านี้ในภาพนิมิต จะเป็นอย่างนี้ไปอีกนานแค่ไหน แล้วเครื่องเผาบูชาประจำวันนี้จะถูกยกเลิกไปอีกนานแค่ไหน การกบฏที่มุ่งทำลายนี้จะเป็นอย่างนี้ไปอีกนานแค่ไหน พระเจ้าจะปล่อยให้วิหารตกอยู่ในกำมือของศัตรูไปอีกนานแค่ไหน และกองทัพสวรรค์จะถูกเหยียบย่ำไปอีกนานแค่ไหน”
14 ท่านบอกกับผมว่า “มันจะเป็นอย่างนี้ไปอีก สองพันสามร้อยเย็นและเช้า[p] แล้ววิหารนั้นก็จะได้รับการฟื้นฟูกลับสู่สภาพเดิม”[q]
ความหมายของนิมิตนั้น
15 ตอนที่ผมดาเนียล กำลังดูนิมิตอยู่นั้น และพยายามจะเข้าใจความหมายของมัน จู่ๆก็มีผู้หนึ่งดูเหมือนมนุษย์มายืนอยู่ข้างหน้าผม
16 แล้วผมก็ได้ยินเสียงมนุษย์ ออกมาจากเหนือบนแม่น้ำอุลัยว่า “กาเบรียล[r] อธิบายนิมิตนี้ให้ชายคนนั้นฟังหน่อยสิ”
17 ผู้นั้นก็เลยเดินตรงมาที่ผมยืนอยู่ เมื่อเขาเข้ามาใกล้ ผมก็ตกใจกลัวจนล้มลงซบหน้าลงกับพื้น เขาบอกกับผมว่า “มนุษย์เอ๋ย ให้รู้ไว้เถอะว่า นิมิตนั้นเป็นเรื่องของเวลาของจุดสิ้นสุดนั้น”
18 ในขณะที่ท่านกำลังพูดกับผมนั้น ผมกำลังนอนซบหน้าอยู่กับพื้น แล้วผมก็เคลิ้มหลับไป แต่ท่านก็มาสะกิดผมและพยุงให้ผมลุกขึ้นยืน
19 แล้วพูดว่า “ฟังนะ เรากำลังจะบอกเจ้าว่ากำลังจะเกิดอะไรขึ้น เมื่อช่วงเวลาแห่งความโกรธแค้นของพระเจ้าใกล้จะถึงจุดจบนั้น เมื่อเวลาที่ได้กำหนดไว้นั้นมาถึง มันก็จะถึงจุดสิ้นสุด
20 แกะผู้ที่มีสองเขาที่เจ้าเห็นนั้นหมายถึงพวกกษัตริย์ของอาณาจักรมีโดเปอร์เซีย
21 ส่วนแพะตัวผู้นั้น หมายถึงอาณาจักรของกรีซ เขาอันใหญ่ที่อยู่ระหว่างดวงตาของมันก็คือกษัตริย์องค์แรก 22 เขาอันนั้นที่หักไปในขณะที่มีอีกสี่เขางอกขึ้นมาแทนนั้น ก็คืออาณาจักรสี่อาณาจักร ที่จะเกิดขึ้นหลังจากที่กษัตริย์องค์แรกนั้นตายไป แต่ทั้งสี่อาณาจักรนี้จะไม่แข็งแรงเท่ากับกษัตริย์องค์แรก
23 เมื่อเวลาครอบครองของพวกเขาใกล้สิ้นสุดลง และเมื่อพวกเขาได้ทำชั่วอย่างสุดๆแล้ว แล้วกษัตริย์ที่ดูโหดเหี้ยมและเก่งกาจในการหลอกลวง จะขึ้นมายึดอำนาจ 24 พระองค์จะมีพลังแข็งแกร่งมาก แต่ก็ไม่มากเท่ากษัตริย์องค์แรก พระองค์จะทำลายล้างอย่างน่าตกตะลึง พระองค์จะสำเร็จในทุกสิ่งที่พระองค์ทำ พระองค์จะทำลายหลายคนของพวกผู้ศักดิ์สิทธิ์
25 พระองค์จะหลอกลวงได้อย่างเก่งกาจ เพราะด้วยเล่ห์เหลี่ยมและอำนาจของพระองค์ พระองค์จะทำสิ่งที่ยิ่งใหญ่ต่างๆด้วยความกล้าหาญ พระองค์จะทำลายคนของพระเจ้าได้อย่างง่ายๆ ยิ่งกว่านั้นพระองค์ก็จะต่อต้านจอมทัพผู้ยิ่งใหญ่สูงสุด แต่กษัตริย์องค์นี้ก็จะถูกทำลาย โดยไม่ใช่เป็นฝีมือของมนุษย์เลย
26 คำอธิบายของนิมิตเกี่ยวกับเวลาเย็นและเวลาเหล่านั้นเชื่อถือได้ ส่วนเจ้า ดาเนียล ให้เก็บเรื่องนิมิตนี้ไว้เป็นความลับก่อน เพราะมันเป็นเรื่องที่จะเกิดขึ้นอีกนานหลังจากนี้”
27 ผม ดาเนียล ได้ล้มป่วยลงหลายวัน จากนั้นถึงได้ลุกขึ้นกลับไปทำงานให้กษัตริย์เหมือนเดิม นิมิตนี้ทำให้ผมกลุ้มใจมาก เพราะผมไม่เข้าใจมัน
พระคริสตธรรมคัมภีร์: ฉบับอ่านเข้าใจง่าย ภาคคำสัญญาใหม่ © 2015 Bible League International