Previous Prev Day Next DayNext

Bible in 90 Days

An intensive Bible reading plan that walks through the entire Bible in 90 days.
Duration: 88 days
Thai New Contemporary Bible (TNCV)
Version
ดาเนียล 9:1 - โฮเชยา 13:6

คำอธิษฐานของดาเนียล

ในปีที่หนึ่งแห่งรัชกาลกษัตริย์ดาริอัสโอรสของเซอร์ซีส[a] (ทรงมีเชื้อสายมีเดีย) ซึ่งได้ครองอาณาจักรบาบิโลน[b] ในปีแรกแห่งรัชกาล ข้าพเจ้าดาเนียลเข้าใจจากพระคัมภีร์เกี่ยวกับพระดำรัสขององค์พระผู้เป็นเจ้าซึ่งตรัสกับผู้เผยพระวจนะเยเรมีย์ว่ากรุงเยรูซาเล็มจะเริศร้างอยู่เจ็ดสิบปี ข้าพเจ้าจึงขะมักเขม้นอธิษฐานวิงวอนต่อพระเจ้าองค์พระผู้เป็นเจ้าด้วยการถืออดอาหาร สวมเสื้อผ้ากระสอบ และคลุกขี้เถ้า

ข้าพเจ้าอธิษฐานต่อพระยาห์เวห์พระเจ้าของข้าพเจ้าและทูลสารภาพบาปว่า

“ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าผู้ทรงยิ่งใหญ่และน่าครั่นคร้าม ผู้ทรงรักษาพันธสัญญาแห่งความรักต่อบรรดาผู้ที่รักพระองค์และเชื่อฟังพระบัญชาของพระองค์ ข้าพระองค์ทั้งหลายได้ทำผิดทำบาป ทำชั่วและกบฏต่อพระองค์ หันหนีจากบทบัญญัติและพระบัญชาของพระองค์ ข้าพระองค์ทั้งหลายไม่ได้เชื่อฟังเหล่าผู้เผยพระวจนะผู้รับใช้ของพระองค์ ซึ่งกล่าวในพระนามของพระองค์แก่บรรดากษัตริย์ เจ้านาย บรรพบุรุษของข้าพระองค์ทั้งหลายตลอดจนประชากรของแผ่นดิน

“ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า พระองค์ทรงชอบธรรม แต่ทุกวันนี้ข้าพระองค์ทั้งหลายต้องอับอายขายหน้า ไม่ว่าชาวยูดาห์ ชาวกรุงเยรูซาเล็ม และปวงชนอิสราเอลทั้งใกล้และไกลในประเทศต่างๆ ซึ่งพระองค์ทรงทำให้ข้าพระองค์ทั้งหลายกระจัดกระจายไป เพราะเราไม่ได้ซื่อสัตย์ต่อพระองค์ ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า ข้าพระองค์ทั้งหลายตลอดจนบรรดากษัตริย์ เจ้านาย และบรรพบุรุษต้องอัปยศอดสูเพราะได้ทำบาปต่อพระองค์ องค์พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของข้าพระองค์ทั้งหลายทรงเปี่ยมด้วยความเมตตาและทรงให้อภัย แม้ว่าข้าพระองค์ทั้งหลายกบฏต่อพระองค์ 10 ข้าพระองค์ทั้งหลายไม่ได้เชื่อฟังพระยาห์เวห์พระเจ้าของข้าพระองค์ทั้งหลาย และไม่ได้ปฏิบัติตามบทบัญญัติที่พระองค์ประทานผ่านทางผู้เผยพระวจนะผู้รับใช้ของพระองค์ 11 อิสราเอลทั้งปวงได้ล่วงละเมิดบทบัญญัติของพระองค์ และหลงเตลิดไป ไม่ยอมเชื่อฟังพระองค์

“ฉะนั้นคำสาปแช่งและโทษทัณฑ์ทั้งปวงซึ่งบันทึกไว้ในบทบัญญัติของโมเสสผู้รับใช้ของพระเจ้าจึงตกแก่ข้าพระองค์ทั้งหลายเพราะข้าพระองค์ทั้งหลายได้ทำบาปต่อพระองค์ 12 พระองค์ทรงทำตามที่ตรัสไว้แล้วว่าจะนำภัยพิบัติยิ่งใหญ่มายังข้าพระองค์ทั้งหลายและผู้ครอบครอง ทั่วใต้ฟ้าไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้นเสมอเหมือนที่เกิดกับเยรูซาเล็ม 13 ภัยพิบัติทั้งปวงนี้เกิดกับข้าพระองค์ทั้งหลาย ตามที่บันทึกไว้แล้วในบทบัญญัติของโมเสส ถึงกระนั้นข้าพระองค์ทั้งหลายก็ไม่ได้แสวงหาความเมตตาจากพระยาห์เวห์พระเจ้าของข้าพระองค์ทั้งหลายโดยหันกลับจากบาป และไม่ได้ใส่ใจในความจริงของพระองค์เลย 14 องค์พระผู้เป็นเจ้าไม่ได้ทรงรีรอที่จะนำภัยพิบัตินี้มายังข้าพระองค์ทั้งหลายเพราะพระยาห์เวห์พระเจ้าของข้าพระองค์ทั้งหลายทรงชอบธรรมในทุกสิ่งที่ทรงกระทำ ถึงเพียงนี้แล้วข้าพระองค์ทั้งหลายยังไม่ยอมเชื่อฟังพระองค์

15 “ข้าแต่พระยาห์เวห์พระเจ้าของข้าพระองค์ทั้งหลาย ผู้ทรงนำประชากรของพระองค์ออกจากอียิปต์ด้วยพระหัตถ์อันทรงอานุภาพและผู้สถาปนานามของพระองค์ซึ่งยืนยงตราบเท่าทุกวันนี้ ข้าพระองค์ทั้งหลายได้ทำผิดทำบาปไปแล้ว 16 ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า เพื่อให้สอดคล้องกับการกระทำอันชอบธรรมทั้งปวงของพระองค์ ขอโปรดทรงหันเหพระพิโรธจากเยรูซาเล็มเมืองของพระองค์ ภูเขาศักดิ์สิทธิ์ของพระองค์ เพราะบาปของข้าพระองค์ทั้งหลายและความชั่วช้าของบรรพบุรุษของข้าพระองค์ทั้งหลาย เป็นเหตุให้เยรูซาเล็มและประชากรของพระองค์กลายเป็นที่เหยียดหยามของคนทั้งปวงที่อยู่โดยรอบ

17 “ข้าแต่พระเจ้า บัดนี้ขอทรงสดับคำอธิษฐานวิงวอนของผู้รับใช้ของพระองค์ ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า เพื่อเห็นแก่พระองค์เอง โปรดเหลียวแลสถานนมัสการอันเริศร้างของพระองค์ด้วยความโปรดปรานเถิด 18 ข้าแต่พระเจ้า ขอทรงเอียงพระกรรณสดับฟัง โปรดทอดพระเนตรความเริศร้างของกรุงซึ่งใช้พระนามของพระองค์ ข้าพระองค์ทั้งหลายทูลวิงวอนต่อพระองค์ ไม่ใช่เพราะข้าพระองค์ทั้งหลายชอบธรรม แต่เพราะพระเมตตายิ่งใหญ่ของพระองค์ 19 ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้าขอทรงสดับ! ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้าขอทรงอภัย! ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้าขอทรงสดับและทรงช่วย! ข้าแต่พระเจ้าของข้าพระองค์ ขออย่าทรงล่าช้าเพื่อเห็นแก่พระองค์เอง เพราะนครของพระองค์และประชากรของพระองค์ใช้พระนามของพระองค์”

เจ็ดสิบของ

20 ขณะข้าพเจ้าอธิษฐานสารภาพบาปของตัวเองและของชนอิสราเอลพี่น้องร่วมชาติและทูลอ้อนวอนพระยาห์เวห์พระเจ้าของข้าพเจ้าเพื่อภูเขาศักดิ์สิทธิ์ของพระองค์ 21 ขณะที่ข้าพเจ้ายังอธิษฐานอยู่นั้น กาเบรียลผู้ซึ่งข้าพเจ้าเห็นในนิมิตครั้งก่อนเหาะมาหาข้าพเจ้าอย่างรวดเร็วในเวลาถวายเครื่องบูชายามเย็น 22 เขากล่าวแก่ข้าพเจ้าว่า “ดาเนียลเอ๋ย เรามาเพื่อให้ท่านประจักษ์แจ้งและเข้าใจ 23 ทันทีที่ท่านเริ่มอธิษฐาน พระเจ้าก็ประทานคำตอบซึ่งเราได้นำมาบอกท่านเพราะท่านเป็นผู้ที่ทรงรักยิ่ง ฉะนั้นจงใคร่ครวญเนื้อความและเข้าใจนิมิตนั้น

24 “เจ็ดสิบของ ‘เจ็ด’[c] ทรงกำหนดไว้แล้วสำหรับพี่น้องร่วมชาติและนครศักดิ์สิทธิ์ของท่าน ให้เลิกการล่วงละเมิด เลิกทำบาป ลบล้างความชั่ว และนำความชอบธรรมอันมั่นคงนิรันดร์มาให้ เพื่อประทับตรานิมิตและคำพยากรณ์และเพื่อเจิมสถานที่บริสุทธิ์ที่สุด[d]

25 “จงรับรู้และเข้าใจข้อนี้เถิด คือตั้งแต่มีพระราชกฤษฎีกา[e]ให้กอบกู้และสร้างเยรูซาเล็มขึ้นใหม่ จวบจนผู้ที่พระเจ้าทรงเจิมตั้งให้เป็นผู้ครอบครองนั้นจะมาถึง จะมีเจ็ดของ ‘เจ็ด’ และหกสิบสองของ ‘เจ็ด’ จะมีการสร้างถนนหนทางและคูเมือง แต่ทำในช่วงทุกข์ยากลำบาก 26 หลังจากหกสิบสองของ ‘เจ็ด’ ผู้ที่พระเจ้าทรงเจิมตั้งไว้จะถูกประหารและจะไม่เหลืออะไร[f] ประชาชนของผู้ครอบครองจะมาทำลายกรุงนั้นและสถานนมัสการ วาระสุดท้ายจะมาเหมือนน้ำท่วม สงครามจะขับเคี่ยวกันไปจนถึงจุดจบ และมีวิบัติตามที่กำหนดไว้ 27 ผู้นั้นจะยืนยันคำมั่นสัญญากับคนเป็นอันมากเป็นเวลาหนึ่งของ ‘เจ็ด’ แต่กลางของ ‘เจ็ด’ นั้นเอง เขาจะสั่งยุติการถวายเครื่องบูชาและของถวายต่างๆ แล้วผู้ที่ก่อให้เกิดวิบัติจะตั้งสิ่งที่น่าสะอิดสะเอียนอันเป็นต้นเหตุของวิบัติไว้ที่ด้านหนึ่งของพระวิหารซึ่งเป็นเหตุให้เกิดความเริศร้าง จวบจนวาระสุดท้ายมาถึงเขา[g]ตามที่กำหนดไว้”

ดาเนียลเห็นผู้หนึ่งในนิมิต

10 ในปีที่สามของรัชกาลกษัตริย์ไซรัสแห่งเปอร์เซีย พระเจ้าทรงสำแดงเรื่องหนึ่งแก่ดาเนียล (ซึ่งได้ชื่อว่าเบลเทชัสซาร์) เป็นเรื่องจริงและเป็นเรื่องสงครามใหญ่[h] เขาได้รับความเข้าใจเนื้อความนี้โดยทางนิมิต

ครั้งนั้นข้าพเจ้าดาเนียลเป็นทุกข์อยู่ตลอดสามสัปดาห์ ข้าพเจ้าไม่รับประทานอาหารชั้นดีหรือเนื้อ และไม่ได้แตะต้องเหล้าองุ่นหรือใช้เครื่องชโลมกายใดๆ จนกระทั่งล่วงสามสัปดาห์นั้นไปแล้ว

ในวันที่ยี่สิบสี่ของเดือนที่หนึ่ง ขณะที่ข้าพเจ้ายืนอยู่ริมฝั่งแม่น้ำไทกริสซึ่งเป็นแม่น้ำใหญ่ ข้าพเจ้าเงยหน้ามองเห็นชายผู้หนึ่งอยู่ตรงหน้าข้าพเจ้า สวมเสื้อผ้าลินินเนื้อละเอียด คาดเข็มขัดทองคำเนื้อดี กายของเขาสุกใสเหมือนบุษราคัม ใบหน้าเจิดจ้าเหมือนแสงฟ้าแลบ นัยน์ตาเหมือนเปลวไฟลุกโชน แขนขาเป็นมันปลาบเหมือนทองสัมฤทธิ์ขัดเงา และเสียงของเขาดังเหมือนเสียงคนหมู่ใหญ่

ข้าพเจ้าดาเนียลเพียงคนเดียวที่เห็นนิมิตนั้น ผู้คนที่อยู่กับข้าพเจ้าไม่เห็นอะไร แต่พวกเขาก็หวาดกลัวจนหนีไปหลบซ่อน ข้าพเจ้าจึงถูกทิ้งไว้ตามลำพัง ข้าพเจ้าเพ่งดูนิมิตยิ่งใหญ่นี้ แล้วก็หมดเรี่ยวแรง หน้าซีดเผือดเหมือนคนตายและทำอะไรไม่ถูก จากนั้นข้าพเจ้าได้ยินผู้นั้นพูด ขณะที่ฟังอยู่ข้าพเจ้าก็หมดสติล้มซบลงกับดิน

10 มีมือมาแตะต้องข้าพเจ้า แล้วพยุงข้าพเจ้าให้ค่อยๆ ลุกขึ้นด้วยมือและเข่าที่สั่นเทา 11 เขากล่าวว่า “ดาเนียลเอ๋ย ท่านผู้เป็นที่ทรงรักยิ่ง จงใส่ใจฟังถ้อยคำที่เราจะบอกอยู่นี้และยืนขึ้นเถิด เพราะพระเจ้าทรงใช้เรามาหาท่าน” เมื่อเขากล่าวอย่างนี้ ข้าพเจ้าก็ยืนขึ้นและตัวยังสั่นอยู่

12 แล้วเขากล่าวต่อไปว่า “ดาเนียลเอ๋ย อย่ากลัวเลย ตั้งแต่วันแรกที่ท่านตั้งใจแน่วแน่จะหาความเข้าใจ และถ่อมใจลงต่อหน้าพระเจ้าของท่าน พระองค์ก็ทรงสดับคำอธิษฐานของท่าน และเรามาเพื่อตอบท่าน 13 แต่เทพแห่งอาณาจักรเปอร์เซียขัดขวางเราอยู่ถึง 21 วัน และมีคาเอลหัวหน้าทูตสวรรค์องค์หนึ่งมาช่วยเรา เพราะเราถูกเทพแห่งเปอร์เซียหน่วงเหนี่ยวไว้ที่นั่น 14 บัดนี้เรามาเพื่ออธิบายให้ท่านทราบถึงสิ่งที่จะเกิดขึ้นกับพี่น้องร่วมชาติของท่านในอนาคต เพราะนิมิตนั้นเกี่ยวกับกาลภายหน้า”

15 ขณะที่เขากล่าวอยู่นั้นข้าพเจ้าก็หมอบซบหน้ากับดินนิ่งเงียบอยู่ 16 แล้วผู้ที่ดูเหมือนมนุษย์[i]ยื่นมือมาแตะริมฝีปากของข้าพเจ้า ข้าพเจ้าจึงเปิดปากพูด ข้าพเจ้ากล่าวกับเขาที่อยู่ตรงหน้าว่า “ท่านเจ้าข้า ข้าพเจ้าทุกข์ใจยิ่งนักเนื่องด้วยนิมิตนั้นและทำอะไรไม่ได้ 17 นายเจ้าข้า ข้าพเจ้าผู้รับใช้ของท่านจะกล่าวแก่ท่านได้อย่างไร ข้าพเจ้าหมดเรี่ยวแรง แม้แต่หายใจยังแทบจะไม่ไหว”

18 แล้วผู้ที่ดูเหมือนมนุษย์ก็แตะต้องข้าพเจ้า ทำให้ข้าพเจ้ามีกำลังวังชาขึ้น 19 เขากล่าวว่า “ท่านผู้เป็นที่ทรงรักยิ่ง อย่ากลัวเลย สันติสุขจงมีแก่เจ้า! จงเข้มแข็งในบัดนี้ จงเข้มแข็งเถิด”

เมื่อเขากล่าวดังนั้นแล้ว ข้าพเจ้าก็เข้มแข็งขึ้น จึงพูดว่า “ท่านโปรดกล่าวต่อไปเถิด เพราะท่านได้ให้กำลังแก่ข้าพเจ้าแล้ว”

20 เขาจึงกล่าวว่า “ท่านรู้หรือไม่ว่าเหตุใดเราจึงมาหาท่าน แล้วเราจะกลับไปต่อสู้กับเทพแห่งเปอร์เซีย เมื่อเราไปแล้ว เทพแห่งกรีซจะมา 21 แต่อย่างไรก็ตามเรามาก็เพื่อจะบอกท่านถึงสิ่งที่เขียนไว้ในหนังสือแห่งสัจธรรมเสียก่อน (ไม่มีใครช่วยเราต่อสู้กับเทพทั้งสองนั้น ยกเว้นมีคาเอลทูตสวรรค์ของท่าน 11 และในปีแรกของรัชกาลดาริอัสชาวมีเดีย เราได้ยืนหยัดเพื่อสนันสนุนและปกป้องทูตสวรรค์มีคาเอล)

กษัตริย์ฝ่ายเหนือและฝ่ายใต้

“บัดนี้เราจะบอกความจริงแก่ท่านคือ จะมีกษัตริย์อีกสามองค์ในเปอร์เซีย แล้วจะมีองค์ที่สี่ซึ่งร่ำรวยกว่าองค์อื่นๆ เมื่อเขามีอำนาจขึ้นมาด้วยทรัพย์สมบัตินั้น เขาจะปลุกระดมทุกคนให้ต่อสู้กับอาณาจักรกรีซ แล้วจะมีกษัตริย์เกรียงไกรองค์หนึ่งขึ้นมาซึ่งปกครองด้วยอำนาจยิ่งใหญ่และทำตามใจชอบ หลังจากเขาเรืองอำนาจไม่นาน จักรวรรดิของเขาจะแยกออกเป็นส่วนๆ ตามทิศทางลมทั้งสี่แห่งฟ้าสวรรค์ ซึ่งจะไม่ได้ตกแก่เชื้อสายของเขาและไม่เรืองอำนาจเท่าเขา เพราะจักรวรรดิของเขาจะถูกถอนรากถอนโคนและมอบให้คนอื่นยึดครอง

“กษัตริย์ฝ่ายใต้จะเข้มแข็งขึ้น แต่แม่ทัพคนหนึ่งจะเข้มแข็งกว่าเขาและครอบครองอาณาจักรของตนอย่างเกรียงไกร หลายปีผ่านไปทั้งสองจะเป็นพันธมิตรกัน ธิดากษัตริย์ฝ่ายใต้จะเสด็จไปเจริญสัมพันธไมตรีกับกษัตริย์ฝ่ายเหนือ แต่นางจะไม่สามารถรักษาอำนาจของนาง และกษัตริย์ฝ่ายใต้กับอำนาจ[j]ของเขาจะไม่ยั่งยืน ครั้งนั้นนางกับผู้ติดตามบิดา[k]ของนางและผู้ที่สนับสนุนนางจะพลาดท่าเสียที

“คนหนึ่งในวงศ์ตระกูลของนางจะขึ้นมาแทนที่นาง เขาจะโจมตีกองกำลังของกษัตริย์ฝ่ายเหนือ ทะลวงป้อมปราการ ต่อสู้ขับเคี่ยว และได้รับชัยชนะ ทั้งจะชิงรูปเทพเจ้า เทวรูปโลหะกับภาชนะเงินและทองอันล้ำค่าขนกลับไปอียิปต์ เขาจะปล่อยกษัตริย์ฝ่ายเหนือไว้ตามลำพังอยู่หลายปี แล้วกษัตริย์ฝ่ายเหนือจะบุกอาณาจักรของกษัตริย์ฝ่ายใต้ แต่จะถอยทัพกลับประเทศของตน 10 ลูกๆ ของเขาจะเตรียมรบ ระดมกำลังเป็นทัพใหญ่ ซึ่งถาโถมเข้ามาเหมือนน้ำท่วมซัดที่ไม่มีอะไรยับยั้งได้ และรบมาถึงป้อมของเขา

11 “แล้วกษัตริย์ฝ่ายใต้จะยกทัพออกมาด้วยความโกรธเกรี้ยว รบกับกษัตริย์ฝ่ายเหนือ ซึ่งระดมทัพใหญ่มาแต่จะพ่ายแพ้ 12 เมื่อฝ่ายเหนือถอยทัพกลับไป กษัตริย์ฝ่ายใต้จะภาคภูมิใจยิ่งนัก และประหารคนหลายพันคน แต่ก็มีชัยชนะอยู่ได้ไม่นาน 13 เพราะกษัตริย์ฝ่ายเหนือจะยกทัพมาอีกเป็นทัพที่ยิ่งใหญ่กว่าคราวแรก และหลังจากนั้นอีกหลายปีจะยกทัพมหึมา เสบียงอาวุธครบครันบุกเข้ามา

14 “เมื่อถึงเวลานั้น หลายคนจะลุกฮือขึ้นต่อสู้กษัตริย์ฝ่ายใต้ เพื่อให้เป็นไปตามนิมิตที่กล่าวมาแล้วว่าพวกหัวรุนแรงในหมู่พี่น้องร่วมชาติของท่านเองจะกบฏ แต่ไม่สำเร็จ 15 แล้วกษัตริย์ฝ่ายเหนือจะมาก่อเชิงเทินล้อมเมือง และยึดเมืองป้อมปราการได้เมืองหนึ่ง กองกำลังของฝ่ายใต้จะหมดอานุภาพที่จะต้านทาน แม้กองทหารที่ดีที่สุดก็หมดกำลังที่จะยืนหยัด 16 ผู้รุกรานจะทำอะไรตามใจชอบโดยไม่มีใครยับยั้งได้ เขาจะสถาปนาตัวเองในดินแดนอันงดงามนั้นและมีอำนาจที่จะทำลายมันลง 17 เขาจะตัดสินใจยกกำลังทั้งอาณาจักรมา และจะทำสัญญาไมตรีกับกษัตริย์ฝ่ายใต้ ยอมยกธิดาให้สมรสด้วย เพื่อโค่นอาณาจักรฝ่ายใต้ แต่แผนการของเขา[l]จะไม่ประสบความสำเร็จและช่วยอะไรเขาไม่ได้เลย 18 แล้วเขาจะหันความสนใจไปยังดินแดนแถบชายฝั่งทะเล และเอาชนะชนชาติต่างๆ ได้ แต่แม่ทัพคนหนึ่งจะทำให้เขาสิ้นความผยอง และถอยทัพกลับไปด้วยความอับอาย 19 หลังจากนี้เขาจะกลับไปยังป้อมปราการต่างๆ ในประเทศของตน แต่จะพ่ายแพ้และไม่มีใครพบเห็นอีก

20 “ผู้ครองราชย์สืบต่อจากเขาจะส่งคนออกไปเก็บภาษีเพื่อรักษาความมั่งคั่งของตนไว้ แต่ในเวลาไม่กี่ปีเขาก็จะถูกทำลาย แต่ก็ไม่ใช่จากความโกรธแค้นหรือจากสงคราม

21 “ผู้ที่ครองราชย์สืบต่อจากเขา เป็นบุคคลที่น่าเหยียดหยามเพราะเขาไม่มีสิทธิ์ในราชบัลลังก์เลย เขารุกรานราชอาณาจักรในขณะที่ประชาชนรู้สึกปลอดภัย และเขาจะเข้ามายึดด้วยเล่ห์เพทุบาย 22 แล้วกองทัพใหญ่จะถูกกวาดล้างไปต่อหน้าเขา ทั้งกองทัพนั้นและเจ้านายแห่งพันธสัญญาจะถูกทำลายด้วย 23 หลังจากมีการทำข้อตกลงกับเขา เขาจะใช้เล่ห์เพทุบายและเรืองอำนาจขึ้นมาโดยอาศัยคนไม่กี่คน 24 เมื่อแว่นแคว้นอันมั่งคั่งที่สุดรู้สึกปลอดภัย เขาก็จะบุกและกระทำการซึ่งบรรพบุรุษของเขาไม่เคยทำ เขาจะแบ่งสมบัติและข้าวของที่ปล้นมาได้กับพรรคพวก เขาจะวางแผนทลายป้อม แต่ก็เพียงชั่วระยะเวลาหนึ่ง

25 “เขาเสริมกำลังและความกล้าด้วยกองทัพใหญ่ไปรบกับกษัตริย์ฝ่ายใต้ และกษัตริย์ฝ่ายใต้จะยกกองทัพที่ใหญ่และทรงอานุภาพมากมาสู้รบด้วย แต่ก็ต้านทานไม่ได้เพราะแผนการร้ายต่างๆ ที่คนวางไว้เพื่อต่อสู้กับเขา 26 บรรดาผู้ร่วมโต๊ะเสวยของกษัตริย์จะพยายามทำลายเขา กองทัพของเขาจะถูกกวาดล้างไป และคนมากมายจะล้มตายในสนามรบ 27 กษัตริย์สององค์ซึ่งมีใจคิดชั่วทั้งคู่จะนั่งร่วมโต๊ะและมุสาต่อกัน แต่ไม่มีผลอะไร เพราะจุดจบยังคงจะมาถึงในเวลาที่กำหนดไว้ 28 กษัตริย์ฝ่ายเหนือจะกลับประเทศพร้อมด้วยทรัพย์สมบัติมากมาย แต่จิตใจของเขามุ่งร้ายต่อพันธสัญญาบริสุทธิ์ เขาจะลงมือทำการต่อต้านพันธสัญญานั้น แล้วจึงกลับไปยังดินแดนของตน

29 “ครั้นถึงเวลาที่กำหนด เขาจะบุกดินแดนฝ่ายใต้อีก แต่ครั้งนี้ผลลัพธ์จะแตกต่างจากคราวก่อน 30 กองเรือแห่งชายฝั่งตะวันตก[m]จะต่อต้านเขาและเขาจะเสียขวัญ แล้วเขาจะหันกลับมาระบายโทสะเกรี้ยวกราดต่อพันธสัญญาบริสุทธิ์ เขาจะกลับไปและแสดงความโปรดปรานแก่ผู้ที่ละทิ้งพันธสัญญาบริสุทธิ์

31 “กองกำลังของเขาจะลุกขึ้นมาย่ำยีป้อมปราการของพระวิหารให้เป็นมลทิน และยกเลิกการถวายเครื่องบูชาประจำวัน แล้วเขาจะตั้งสิ่งที่น่าสะอิดสะเอียนขึ้นอันเป็นต้นเหตุของวิบัติ 32 เขาจะใช้การประจบสอพลอล่อลวงผู้ที่ละเมิดพันธสัญญา แต่ประชาชนที่รู้จักพระเจ้าของตนจะต่อต้านเขาอย่างเข้มแข็ง

33 “บรรดาผู้มีปัญญาจะแนะนำสั่งสอนคนเป็นอันมาก แม้ในชั่วระยะหนึ่งพวกเขาจะตายด้วยคมดาบ หรือถูกเผาหรือถูกจับเป็นเชลยหรือถูกปล้นชิง 34 เมื่อพวกเขาล้มลงจะได้รับความช่วยเหลือเล็กน้อย และมีหลายคนซึ่งไม่จริงใจจะมาร่วมกับพวกเขา 35 ผู้มีปัญญาบางคนจะสะดุดล้มก็เพื่อรับการถลุงชำระให้บริสุทธิ์และปราศจากรอยด่างพร้อย จนถึงวาระสุดท้ายซึ่งจะมาถึงตามกำหนด

กษัตริย์ผู้ยกตน

36 “กษัตริย์องค์นั้นจะทำตามใจชอบ เขาจะยกตัวเหนือเทพเจ้าทั้งปวงและกล่าวลบหลู่พระเจ้าสูงสุดอย่างที่ไม่เคยได้ยินกันมาก่อน เขาจะประสบความสำเร็จจนครบเวลาแห่งพระพิโรธ เพราะจะต้องเป็นไปตามที่ทรงกำหนดไว้ 37 เขาจะไม่สนใจบรรดาเทพเจ้าของบรรพบุรุษหรือผู้ที่บรรดาสตรีฝักใฝ่หรือพระใดๆ แต่จะยกตนเองเหนือเทพทั้งมวล 38 เขาจะยกย่องเทพเจ้าแห่งป้อมปราการซึ่งบรรพบุรุษของเขาไม่รู้จักแทนเทพเหล่านั้น เขาจะยกย่องเชิดชูด้วยเงินทอง เพชรนิลจินดา และของกำนัลสูงค่า 39 เขาจะโจมตีป้อมปราการอันแข็งแกร่งที่สุดโดยความช่วยเหลือของพระต่างชาติ และจะยกย่องเชิดชูบรรดาผู้ที่ยอมรับเขา แล้วเขาจะตั้งคนเหล่านี้ให้เป็นผู้ปกครองคนเป็นอันมาก และยกที่ดินให้เป็นรางวัล

40 “ในวาระสุดท้ายกษัตริย์ฝ่ายใต้จะรบกับเขาและกษัตริย์ฝ่ายเหนือนั้นจะระดมรถม้าศึก กองทหารม้า และกองทัพเรือบุกเข้าประจัญบานกับเขา เขาจะรุกรานหลายประเทศและกวาดล้างไปทั่วเหมือนน้ำท่วม 41 เขาจะรุกรานดินแดนอันงดงามด้วย หลายประเทศจะล่มสลาย แต่เอโดม โมอับ และบรรดาผู้นำอัมโมนจะได้รับการช่วยกู้จากเงื้อมมือของเขา 42 เขาจะแผ่อำนาจเหนือหลายประเทศ แม้อียิปต์ก็ไม่พ้นมือเขา 43 เขาจะครอบครองคลังทองคำ คลังเงิน และทรัพย์สมบัติทั้งปวงของอียิปต์ ชาวลิเบียและชาวนูเบียก็ยอมจำนนแก่เขา 44 แต่ข่าวจากทางตะวันออกและทางเหนือจะทำให้เขาตื่นตกใจและเขาจะยกทัพออกไปด้วยความโกรธอย่างรุนแรง เพื่อทำลายล้างคนเป็นอันมาก 45 เขาจะตั้งเต็นท์หลวงขึ้นระหว่างทะเลที่[n]ภูเขาศักดิ์สิทธิ์อันงดงาม แต่เขาก็จะถึงจุดจบและไม่มีใครช่วยเขา

วาระสุดท้าย

12 “ครั้งนั้นเทพบดีมีคาเอลผู้พิทักษ์ประชากรของท่านจะมา จะเกิดช่วงทุกข์ลำเค็ญอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อนตั้งแต่มีประชาชาติขึ้น แต่ในครั้งนั้นประชากรของท่านคือทุกคนที่มีชื่ออยู่ในหนังสือนั้นจะได้รับการช่วยกู้ คนเป็นอันมากที่ตายไปแล้วจะฟื้นขึ้น บางคนก็เข้าสู่ชีวิตนิรันดร์ บางคนก็เข้าสู่ความอับอายและถูกดูหมิ่นเหยียดหยามตลอดกาล บรรดาผู้มีปัญญา[o]จะส่องแสงเหมือนความสว่างแห่งฟ้าสวรรค์ และบรรดาผู้ที่นำคนเป็นอันมากมาสู่ความชอบธรรมจะส่องสว่างดั่งดวงดาวชั่วนิรันดร์ ส่วนท่าน ดาเนียลเอ๋ย จงม้วนและประทับตราถ้อยคำแห่งหนังสือม้วนนี้ไว้จนถึงวาระสุดท้าย คนเป็นอันมากจะไปที่นี่ที่นั่นเพื่อเพิ่มพูนความรู้”

แล้วข้าพเจ้าดาเนียลมองไปเห็นชายสองคนยืนอยู่คนละฟากแม่น้ำ คนหนึ่งกล่าวกับผู้สวมเสื้อผ้าลินินซึ่งอยู่เหนือแม่น้ำว่า “อีกนานเท่าใดเหตุการณ์น่าประหลาดทั้งปวงนี้จึงจะสำเร็จครบถ้วน?”

ชายผู้สวมเสื้อผ้าลินินซึ่งอยู่เหนือแม่น้ำก็ชูมือทั้งสองข้างขึ้นสู่ฟ้าสวรรค์และข้าพเจ้าได้ยินเขาปฏิญาณอ้างพระองค์ผู้ทรงพระชนม์อยู่เป็นนิตย์ว่า “จะเป็นหนึ่งวาระ หลายวาระ และครึ่งวาระ[p]เมื่ออำนาจของประชากรของพระเจ้าหมดสิ้นลง ในที่สุดสิ่งทั้งปวงนี้ก็จะสำเร็จสมบูรณ์”

ข้าพเจ้าได้ยินแต่ไม่เข้าใจจึงถามว่า “ท่านเจ้าข้า ทั้งหมดนี้จะลงเอยอย่างไร?”

เขาผู้นั้นตอบว่า “ดาเนียลเอ๋ย จงไปตามทางของท่านเถิด เพราะถ้อยคำเหล่านี้ถูกเก็บงำและประทับตราไว้จวบจนวาระสุดท้าย 10 คนเป็นอันมากจะถูกถลุงและได้รับการชำระให้บริสุทธิ์ปราศจากตำหนิ ส่วนคนชั่วยังคงทำชั่วต่อไป ไม่มีคนชั่วคนใดจะเข้าใจแต่ผู้มีปัญญาจะเข้าใจ

11 “ตั้งแต่ยกเลิกการถวายเครื่องบูชาประจำวันจนถึงวาระที่สิ่งที่น่าสะอิดสะเอียนอันเป็นต้นเหตุของวิบัติถูกตั้งขึ้นเป็นเวลา 1,290 วัน 12 ผู้ที่รอคอยและอยู่จนครบ 1,335 วันก็เป็นสุข

13 “ส่วนท่านจงไปตามทางของท่านจวบจนวาระสุดท้าย ท่านจะพักสงบและเมื่อสิ้นยุคท่านจะเป็นขึ้นมาเพื่อรับมรดกส่วนของท่าน”

พระดำรัสขององค์พระผู้เป็นเจ้าซึ่งมีมาถึงโฮเชยาบุตรเบเออรีในรัชกาลอุสซียาห์ โยธาม อาหัส และเฮเซคียาห์แห่งยูดาห์ และในรัชกาลเยโรโบอัมบุตรกษัตริย์เยโฮอาช[q]แห่งอิสราเอล

ภรรยากับลูกๆ ของโฮเชยา

เมื่อองค์พระผู้เป็นเจ้าเริ่มตรัสผ่านโฮเชยานั้น องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสกับเขาว่า “จงไปรับหญิงเจ้าชู้มาเป็นภรรยา และรับลูกๆ ที่เกิดจากความไม่ซื่อสัตย์ของนางมาด้วย เพราะว่าดินแดนนี้มีความผิดฐานล่วงประเวณีอย่างร้ายแรงที่สุดโดยการละทิ้งองค์พระผู้เป็นเจ้า” ฉะนั้นโฮเชยาจึงแต่งงานกับโกเมอร์ธิดาของดิบลาอิม นางก็ตั้งครรภ์และคลอดบุตรชายคนหนึ่งให้แก่เขา

แล้วองค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสกับโฮเชยาว่า “จงเรียกชื่อเด็กคนนี้ว่ายิสเรเอล เพราะในไม่ช้าเราจะลงโทษวงศ์วานของเยฮูเนื่องด้วยการประหารครั้งใหญ่ที่ยิสเรเอล และเราจะปิดฉากอาณาจักรอิสราเอลลง ในวันนั้นเราจะหักธนูของอิสราเอลในหุบเขายิสเรเอล”

โกเมอร์ก็ตั้งครรภ์อีกและคลอดบุตรสาว แล้วพระองค์ตรัสกับโฮเชยาว่า “จงเรียกเด็กคนนี้ว่าโลรุหะมาห์[r] เพราะเราจะไม่แสดงความรักต่อพงศ์พันธุ์อิสราเอลอีกต่อไป เราจะไม่อภัยให้พวกเขา แต่เราจะแสดงความรักต่อพงศ์พันธุ์ยูดาห์และจะช่วยพวกเขา ไม่ใช่ด้วยธนู ดาบ สงคราม หรือด้วยม้าและพลม้า แต่โดยพระยาห์เวห์พระเจ้าของพวกเขา”

หลังจากที่ให้โลรุหะมาห์หย่านมแล้ว โกเมอร์ก็มีบุตรชายอีกคนหนึ่ง แล้วพระองค์ตรัสว่า “จงเรียกเขาว่าโลอัมมี[s] เพราะพวกเจ้าไม่ใช่ประชากรของเราและเราไม่ใช่พระเจ้าของเจ้า

10 “ถึงกระนั้นชนชาติอิสราเอลจะเป็นเหมือนเม็ดทรายที่ชายทะเลซึ่งตวงนับไม่ได้ ในที่ซึ่งพระเจ้าตรัสแก่เขาว่า ‘เจ้าไม่ใช่ประชากรของเรา’ พวกเขาจะได้ชื่อว่า ‘บุตรของพระเจ้าผู้ทรงพระชนม์อยู่’ 11 ประชากรยูดาห์และอิสราเอลจะถูกรวมเข้าด้วยกันอีก และพวกเขาจะแต่งตั้งผู้นำคนหนึ่งและจะพากันออกมาจากแผ่นดินนั้น เพราะวันแห่งยิสเรเอลจะยิ่งใหญ่

“จงเรียกน้องชายของเจ้าว่า ‘ประชากรของเรา’ และเรียกพี่สาวของเจ้าว่า ‘ผู้เป็นที่รักของเรา’

อิสราเอลถูกลงโทษและกลับสู่สภาพดี

“จงตำหนิมารดาของเจ้า จงตำหนินางเถิด
เพราะนางไม่ใช่ภรรยาของเรา
และเราไม่ใช่สามีของนาง
ให้นางทิ้งความยั่วยวนจากใบหน้าของนาง
และทิ้งความไม่ซื่อสัตย์จากอกของนางเถิด
มิฉะนั้นเราจะเปลื้องนางให้เปลือยเปล่า
ล่อนจ้อนเหมือนวันที่นางเกิดมา
เราจะทำให้นางเหมือนถิ่นกันดาร
ให้นางเป็นดินแดนแห้งผาก
และประหารนางด้วยความกระหาย
เราจะไม่แสดงความรักต่อลูกๆ ของนาง
เพราะเป็นลูกชู้
แม่ของเขาไม่ซื่อสัตย์
และให้กำเนิดพวกเขามาอย่างน่าอดสู
นางกล่าวว่า ‘ฉันจะตามบรรดาชู้รักไป
เขาให้อาหารและน้ำ
ให้ขนสัตว์ ผ้าลินิน น้ำมัน และเครื่องดื่มแก่ฉัน’
ฉะนั้นเราจะเอาพุ่มหนามกีดขวางหนทางของนาง
เราจะล้อมกรอบจนนางหมดทางไป
นางจะวิ่งไล่ตามชู้รัก แต่ไม่ทัน
นางจะเสาะหาพวกเขา แต่ไม่พบ
แล้วนางจะบอกว่า
‘ฉันจะกลับไปหาสามีคนแรกของฉัน
เพราะเมื่อก่อนฉันมีชีวิตที่ดีกว่านี้มากนัก’
นางไม่รับรู้ว่าเรานี่แหละ
คือผู้ที่ให้เมล็ดข้าว เหล้าองุ่นใหม่ และน้ำมันแก่นาง
คือผู้ที่ให้เงินและทอง
ซึ่งพวกเขาใช้บูชาพระบาอัล

“ดังนั้นเราจะริบเมล็ดข้าวของเราเมื่อมันสุก
และริบเหล้าองุ่นใหม่เมื่อได้ที่แล้ว
เราจะเอาผ้าขนสัตว์และผ้าลินินของเราคืน
ซึ่งเราตั้งใจให้นางไว้ปกปิดความเปลือยเปล่าของนาง
10 ดังนั้นในบัดนี้เราจะแฉความสำส่อนของนาง
ต่อหน้าชู้รักทั้งหลาย
และจะไม่มีผู้ใดช่วยนางให้พ้นมือเราไปได้
11 เราจะยุติงานฉลองทั้งปวงของนาง
ได้แก่เทศกาลประจำปีทั้งหลาย วันขึ้นหนึ่งค่ำและวันสะบาโต
ทั้งหมดนี้เป็นเทศกาลตามกำหนดของนาง
12 เราจะทำลายบรรดาเถาองุ่นและต้นมะเดื่อของนาง
ซึ่งนางกล่าวว่าชู้รักให้มาเป็นค่าตัว
เราจะทำให้มันกลายเป็นพุ่มหนาม
และสัตว์ป่าทั้งหลายจะเข้ามารุมกิน
13 เราจะลงโทษนาง
ที่นางเผาเครื่องหอมบูชาแก่พระบาอัลในวันเหล่านั้น
นางประดับกายด้วยแหวนและเพชรพลอยแพรวพราว
แล้วโลดแล่นตามชู้รักไป
แต่นางกลับลืมเรา”
            องค์พระผู้เป็นเจ้าประกาศดังนั้น

14 “ดังนั้นเรากำลังจะเกลี้ยกล่อมนาง
เราจะพานางเข้าไปในถิ่นกันดาร
และพูดกับนางอย่างอ่อนโยน
15 ที่นั่นเราจะคืนสวนองุ่นแก่นาง
และจะทำให้หุบเขาอาโคร์[t]กลายเป็นประตูแห่งความหวัง
ที่นั่นนางจะร้องเพลง[u]เหมือนเมื่อครั้งแรกรุ่น
เหมือนวันที่นางออกมาจากอียิปต์”

16 องค์พระผู้เป็นเจ้าประกาศแก่ชาวอิสราเอลว่า
“ในวันนั้นเจ้าจะเรียกเราว่า ‘สามีของฉัน’
และไม่เรียกว่า ‘นายของฉัน[v]’ อีกต่อไป
17 เราจะกำจัดชื่อของพระบาอัลออกจากริมฝีปากของนาง
จะไม่มีการเอ่ยถึงชื่อเหล่านี้อีกต่อไป
18 ในวันนั้นเราจะทำพันธสัญญา
กับสัตว์ในท้องทุ่ง นกในอากาศ
และสัตว์ที่เลื้อยคลานเพื่อพวกเจ้า
เราจะกำจัดธนู ดาบ และสงคราม
ให้หมดสิ้นจากดินแดนนี้
เพื่อทุกชีวิตจะอยู่อย่างปลอดภัย
19 เราจะหมั้นเจ้าไว้ให้เป็นของเราชั่วนิรันดร์
เราจะหมั้นเจ้าไว้ใน[w]ความชอบธรรมและความยุติธรรม
ใน[x]ความรักและความเห็นอกเห็นใจ
20 เราจะหมั้นเจ้าไว้ในความซื่อสัตย์
และเจ้าจะรู้จักองค์พระผู้เป็นเจ้า”

21 องค์พระผู้เป็นเจ้าประกาศว่า
“ในวันนั้นเราจะตอบสนอง
โดยเราจะทำให้ท้องฟ้าเกิดฝน
ตามคำเรียกร้องของแผ่นดิน
22 และจะให้ผืนดินเกิดเมล็ดข้าว
เหล้าองุ่นใหม่และน้ำมัน
ตามคำเรียกร้องของยิสเรเอล[y]
23 เราจะปลูกนางไว้ในดินแดนนั้นเพื่อเรา
เราจะแสดงความรักแก่ผู้ที่เราเรียกว่า ‘ไม่เป็นที่รักของเรา[z]
เราจะเรียกผู้ที่ ‘ไม่ใช่ประชากรของเรา[aa]’ ว่า ‘เจ้าคือประชากรของเรา’
และพวกเขาจะเรียกเราว่า ‘พระองค์ทรงเป็นพระเจ้าของเรา’ ”

โฮเชยาคืนดีกับภรรยา

องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสกับข้าพเจ้าว่า “จงไปแสดงความรักแก่ภรรยาของเจ้าอีกครั้ง แม้ว่ามีคนอื่นรักนางอยู่และนางคบชู้ จงรักนางเหมือนที่องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงรักชนอิสราเอล แม้ว่าพวกเขาหันไปหาพระอื่นๆ และรักขนมลูกเกดที่ถวายแก่พระเหล่านั้น”

ดังนั้นข้าพเจ้าจึงซื้อตัวนางคืนมาด้วยเงินหนัก 15 เชเขล[ab] และข้าวบาร์เลย์ประมาณ 330 ลิตร[ac] ข้าพเจ้าจึงบอกนางว่า “เจ้าจะต้องอยู่กับเราหลายวัน เจ้าต้องเลิกทำตัวเป็นโสเภณี และไม่ทำตัวใกล้ชิดกับชายใดๆ แล้วเราจะอยู่กับ[ad]เจ้า”

ฉะนั้นชาวอิสราเอลจึงอยู่โดยไม่มีกษัตริย์หรือเจ้านาย ไม่มีการถวายเครื่องบูชาหรือมีศิลาศักดิ์สิทธิ์ ไม่มีเอโฟดหรือรูปเคารพเป็นเวลานาน หลังจากนั้นชนชาติอิสราเอลจะกลับมาแสวงหาพระยาห์เวห์พระเจ้าของเขาและดาวิดกษัตริย์ของเขา พวกเขาจะตัวสั่นเข้ามาหาองค์พระผู้เป็นเจ้าและกลับมาหาพระพรของพระองค์ในบั้นปลาย

ข้อกล่าวหาต่ออิสราเอล

ชนอิสราเอลทั้งหลาย จงฟังพระดำรัสขององค์พระผู้เป็นเจ้า
เพราะองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงมีข้อกล่าวหา
ต่อเจ้าผู้อาศัยอยู่ในดินแดนนี้ ความว่า
“ในดินแดนนี้ไม่มีความซื่อสัตย์ ไม่มีความรัก
ไม่ยอมรับรู้พระเจ้า
มีแต่การสาปแช่ง[ae] การโกหก และการเข่นฆ่า
การลักขโมย และการล่วงประเวณี
พวกเขาละเมิดพันธะผูกพันต่างๆ
และเข่นฆ่ากันครั้งแล้วครั้งเล่า
ด้วยเหตุนี้แผ่นดินจึงโศกเศร้าคร่ำครวญ[af]
และทุกคนที่อาศัยอยู่ในดินแดนนี้ก็เสื่อมสูญไป
สัตว์ในท้องทุ่ง นกในอากาศ
และปลาในทะเลกำลังจะตายไป

“แต่อย่าให้ใครฟ้องร้อง
อย่าให้ใครกล่าวโทษคนอื่น
เพราะประชากรของเจ้า
ก็เป็นเหมือนคนที่ฟ้องร้องกล่าวโทษปุโรหิต
เจ้าสะดุดล้มทั้งวันทั้งคืน
และบรรดาผู้พยากรณ์ก็สะดุดล้มไปกับเจ้า
ฉะนั้นเราจะทำลายมารดาของเจ้า
ประชากรของเราถูกทำลายไปเพราะขาดความรู้

“เนื่องจากเจ้าปฏิเสธความรู้
เราจึงไม่ยอมรับว่าพวกเจ้าเป็นปุโรหิตของเรา
เนื่องจากเจ้าเพิกเฉยต่อบทบัญญัติของพระเจ้าของเจ้า
เราจึงเพิกเฉยต่อลูกๆ ของเจ้า
จำนวนปุโรหิตเพิ่มมากขึ้นเท่าใด
พวกเขาก็ยิ่งทำบาปต่อเรามากขึ้นเท่านั้น
พวกเขาได้แลก[ag]องค์ผู้ทรงเกียรติสิริของพวกเขา[ah]กับสิ่งที่น่าละอาย
พวกเขาเลี้ยงชีพด้วยบาปของประชากรของเรา
และชื่นชอบความชั่วร้ายของพวกเขา
และจะเป็นเช่นนี้คือ ประชาชนเป็นอย่างไรปุโรหิตก็เป็นอย่างนั้น
เราจะลงโทษทั้งสองฝ่ายเนื่องด้วยวิถีความประพฤติของพวกเขา
และตอบสนองการกระทำของพวกเขา

10 “พวกเขาจะกิน แต่ไม่อิ่ม
พวกเขาจะเข้าไปเกี่ยวข้องกับการเป็นโสเภณี แต่จะไม่มีลูก
เพราะพวกเขาละทิ้งองค์พระผู้เป็นเจ้า
ยอมตัว 11 เป็นโสเภณี
ปล่อยตัวไปกับเหล้าองุ่นทั้งเก่าและใหม่
ซึ่งสิ่งเหล่านี้ได้ริบความเข้าใจไปจากพวกเขา
12 ประชากรของเราไปปรึกษารูปเคารพไม้
อาศัยคำตอบจากไม้เสี่ยงโชค
วิญญาณแห่งการเป็นโสเภณีชักนำเขาให้หลงเตลิด
เขาไม่ซื่อสัตย์ต่อพระเจ้าของเขา
13 เขาถวายเครื่องบูชาบนยอดเขา
และเผาเครื่องบูชาต่างๆ บนเนินเขา
ใต้ต้นโอ๊ก ต้นปอปลาร์ และต้นเทเลบินธ์
ซึ่งแผ่ร่มเงาเย็นสบาย
ฉะนั้นลูกสาวทั้งหลายของเจ้าก็หันไปเป็นโสเภณี
และลูกสะใภ้ของเจ้าก็คบชู้

14 “เราจะไม่ลงโทษลูกสาวของเจ้า
เมื่อพวกเขาหันไปเป็นโสเภณี
หรือลงโทษลูกสะใภ้ของเจ้า
ที่ไปคบชู้
เพราะพวกผู้ชายเองก็ไปคบค้ากับโสเภณี
และทอดตัวให้กับหญิงโสเภณีประจำเทวสถานต่างๆ
ประชาชาติที่ไม่มีความเข้าใจจะถึงแก่ความพินาศ!

15 “อิสราเอลเอ๋ย แม้เจ้าจะคบชู้
ก็อย่าให้ยูดาห์ทำผิดไป

“อย่าไปที่กิลกาล
อย่าไปยังเบธอาเวน[ai]
และอย่าสาบานโดยกล่าวว่า ‘องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงพระชนม์อยู่แน่ฉันใด!’
16 ชนอิสราเอลดื้อ
เหมือนวัวสาวที่ดื้อรั้น
แล้วองค์พระผู้เป็นเจ้าจะทรงเลี้ยงดูเขา
เหมือนลูกแกะในทุ่งหญ้าได้อย่างไร?
17 เอฟราอิมไปยึดติดกับรูปเคารพ
จงปล่อยเขาไว้ตามลำพังเถิด!
18 แม้เครื่องดื่มของพวกเขาจะหมดไปแล้ว
พวกเขาก็ยังคงทำตัวเป็นโสเภณีต่อไป
บรรดาผู้ปกครองของเขารักใคร่หลงใหลวิถีอันน่าอับอาย
19 ลมพายุหมุนจะกวาดซัดพวกเขาไป
และเครื่องบูชาต่างๆ ของพวกเขาจะนำความอัปยศอดสูมาถึงพวกเขา

คำพิพากษาอิสราเอล

“เหล่าปุโรหิต ฟังเถิด!
อิสราเอลทั้งหลาย จงตั้งใจฟัง!
ราชวงศ์เอ๋ย จงฟัง!
นี่คือคำพิพากษาที่มีมาถึงเจ้า
เจ้าเป็นกับดักที่มิสปาห์
เป็นตาข่ายที่ขึงไว้บนภูเขาทาโบร์
บรรดากบฏก็พ่ายแพ้ยับเยิน
เราจะตีสั่งสอนเขาทุกคน
เรารู้เรื่องของเอฟราอิมทุกอย่าง
อิสราเอลไม่ได้ถูกซ่อนเร้นจากเรา
เอฟราอิมเอ๋ย บัดนี้เจ้าได้หันไปเป็นโสเภณี
อิสราเอลก็เสื่อมทรามลง

“การกระทำของพวกเขาไม่ยอมปล่อยพวกเขา
ให้กลับมาหาพระเจ้าของพวกเขา
วิญญาณแห่งการเป็นโสเภณีอยู่ในหัวใจของพวกเขา
พวกเขาไม่ยอมรับองค์พระผู้เป็นเจ้า
ความหยิ่งผยองของอิสราเอลเป็นหลักฐานผูกมัดพวกเขา
ชนอิสราเอลและแม้แต่เอฟราอิมเองก็สะดุดล้มลงในบาป
ยูดาห์ก็ล้มลงไปกับพวกเขาด้วย
เมื่อพวกเขานำฝูงแกะและฝูงสัตว์ของตน
มาแสวงหาองค์พระผู้เป็นเจ้า
พวกเขาจะไม่พบพระองค์
พระองค์ทรงทิ้งพวกเขาไปเสียแล้ว
พวกเขาไม่ซื่อสัตย์ต่อองค์พระผู้เป็นเจ้า
พวกเขาให้กำเนิดลูกนอกสมรส
บัดนี้เทศกาลขึ้นหนึ่งค่ำของพวกเขา
จะทำลายล้างพวกเขาและทุ่งนาของพวกเขา

“จงเป่าแตรในกิเบอาห์
จงเป่าเขาสัตว์ในรามาห์
จงโห่ร้องเหมือนออกศึกในเบธอาเวน[aj]
เบนยามินเอ๋ย จงนำหน้าไป
ในวันลงทัณฑ์
เอฟราอิมจะถูกทิ้งร้าง
เราประกาศสิ่งที่แน่นอน
ท่ามกลางเผ่าต่างๆ ของอิสราเอล
10 บรรดาผู้นำของยูดาห์
เป็นเหมือนคนที่โยกย้ายหลักหินกั้นเขตแดน
เราจะระบายโทสะเหนือพวกเขา
เหมือนกระแสน้ำท่วม
11 เอฟราอิมถูกกดขี่ข่มเหง
และถูกเหยียบย่ำลงทัณฑ์
แต่ก็ยังดึงดันติดตามบรรดารูปเคารพ[ak]
12 เราเป็นเหมือนแมลงกัดกินเอฟราอิม
และเป็นเหมือนความเน่าเปื่อยของชนยูดาห์

13 “เมื่อเอฟราอิมเห็นโรคภัยของตน
และยูดาห์เห็นบาดแผลของตน
เอฟราอิมก็หันไปหาอัสซีเรีย
และส่งคนไปหากษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่เพื่อขอความช่วยเหลือ
แต่เขาไม่สามารถรักษาเจ้าให้หายได้
ไม่สามารถเยียวยาบาดแผลของเจ้าได้เลย
14 เพราะเราจะเป็นเหมือนสิงโตสำหรับเอฟราอิม
เป็นเหมือนราชสีห์สำหรับยูดาห์
เราจะฉีกทึ้งพวกเขาเป็นชิ้นๆ แล้วจากไป
เราจะคาบพวกเขาไป และไม่มีใครช่วยเขาได้
15 จากนั้นเราจะกลับไปยังที่ของเรา
จนกว่าพวกเขาจะยอมรับผิด
แล้วพวกเขาจะแสวงหาหน้าของเรา
ในความทุกข์ยากของพวกเขา พวกเขาจะแสวงหาเราอย่างจริงจัง”

อิสราเอลไม่กลับใจ

“มาเถิด ให้เรากลับมาหาองค์พระผู้เป็นเจ้า
แม้พระองค์ทรงฉีกเราเป็นชิ้นๆ
แต่พระองค์จะทรงรักษาเรา
แม้ทรงกระทำให้เราบาดเจ็บ
แต่พระองค์จะทรงสมานแผลให้เรา
ภายในสองวัน พระองค์จะทรงฟื้นฟูเรา
ในวันที่สาม พระองค์จะทรงให้เรากลับสู่สภาพดี
เพื่อเราจะมีชีวิตอยู่ต่อหน้าพระองค์
ให้เรายอมรับรู้องค์พระผู้เป็นเจ้า
ให้เราบากบั่นต่อไปเพื่อรู้จักพระองค์
ตราบเท่าที่ดวงตะวันขึ้นจากฟ้าฉันใด
พระองค์จะทรงปรากฏพระองค์ฉันนั้น
พระองค์จะเสด็จมาหาเราเหมือนฝนในฤดูหนาว
เหมือนฝนในฤดูใบไม้ผลิที่รดผืนแผ่นดิน”

“เอฟราอิมเอ๋ย เราจะทำอะไรให้เจ้าได้?
ยูดาห์เอ๋ย เราจะทำอะไรกับเจ้าดี?
ความรักของเจ้าเหมือนหมอกบางยามเช้า
เหมือนน้ำค้างรุ่งอรุณซึ่งเหือดหายไป
ฉะนั้นเราจะมาห้ำหั่นเจ้าเป็นชิ้นๆ ด้วยผู้เผยพระวจนะของเรา
เราจะประหารเจ้าด้วยถ้อยคำจากปากของเรา
คำพิพากษาของเราจะจู่โจมเข้าใส่เจ้าดั่งสายฟ้าแลบ
เพราะเราประสงค์ความเมตตา ไม่ใช่เครื่องบูชา
เราต้องการให้เจ้ารู้จักเราผู้เป็นพระเจ้ามากกว่าต้องการเครื่องเผาบูชา
พวกเขาทำลายพันธสัญญาเช่นเดียวกับอาดัม[al]
ที่นั่นพวกเขาไม่ซื่อสัตย์ต่อเรา
กิเลอาดเป็นเมืองของคนชั่ว
แปดเปื้อนไปด้วยรอยเท้าแห่งโลหิต
กองโจรซุ่มคอยปล้นคนฉันใด
หมู่ปุโรหิตก็ทำเช่นเดียวกันฉันนั้น
พวกเขาเข่นฆ่าผู้คนบนเส้นทางไปเชเคม
ก่อกรรมทำชั่วอย่างน่าอดสู
10 เราเห็นสิ่งที่เลวร้ายสิ่งหนึ่ง
ในบ้านของอิสราเอล
ที่นั่นเอฟราอิมยอมตัวเป็นโสเภณี
และอิสราเอลทำตัวให้เป็นมลทิน

11 “ส่วนเจ้า ยูดาห์
เวลาแห่งการเก็บเกี่ยวก็ถูกกำหนดไว้แล้ว

“เมื่อใดก็ตามที่เราจะรื้อฟื้นความรุ่งเรืองของประชากรของเรา

เมื่อใดก็ตามที่เราจะรักษาอิสราเอล
เมื่อนั้นบาปทั้งหลายของเอฟราอิมจะถูกตีแผ่
และอาชญากรรมของสะมาเรียจะถูกเปิดโปง
พวกเขาชอบการหลอกลวง
พวกขโมยพังเข้าไปในบ้านเรือน
โจรผู้ร้ายก็ปล้นชิงตามท้องถนน
แต่พวกเขาไม่สำนึก
ว่าเราจดจำการกระทำอันชั่วร้ายทั้งปวงของพวกเขา
บาปของพวกเขาท่วมท้นเหนือพวกเขา
มันอยู่ตรงหน้าเราเสมอ

“พวกเขาทำให้กษัตริย์พอพระทัยด้วยความชั่วช้าของพวกเขา
ทำให้บรรดาเจ้านายพอใจด้วยคำโกหกของพวกเขา
พวกเขาล้วนแล้วแต่เป็นคนเล่นชู้
เร่าร้อนเหมือนเตาอบ
ที่คนทำขนมปังไม่ต้องโหมไฟในเตานั้น
ตั้งแต่ลงมือนวดแป้งจนก้อนแป้งขึ้นฟู
ในวันฉลองกษัตริย์ของเรา
บรรดาเจ้านายก็เร่าร้อนด้วยฤทธิ์เหล้าองุ่น
และกษัตริย์นั้นก็จับมือกับคนเยาะเย้ย
จิตใจของพวกเขาเหมือนเตาอบ
พวกเขาใช้เล่ห์เพทุบายเข้าหากษัตริย์
อารมณ์ของเขาคุกรุ่นอยู่ตลอดคืน
และตอนเช้าก็ร้อนแรงเหมือนไฟลุกจ้า
พวกเขาทุกคนร้อนเหมือนเตาอบ
กลืนกินผู้ปกครองของพวกเขา
กษัตริย์ทั้งปวงของเขาล้มลง
และไม่มีสักคนในพวกเขาร้องทูลเรา

“เอฟราอิมเข้าปะปนกับชาติต่างๆ
เอฟราอิมเป็นเหมือนขนมปิ้งที่ไม่ได้พลิกด้าน
คนต่างชาติสูบพลังวังชาของเขาไป
แต่เขาไม่รู้สึกตัวเลย
ผมของเขาหงอกประปรายแล้ว
แต่เขาไม่ได้สังเกตเลย
10 ความหยิ่งผยองของอิสราเอลปรักปรำตนเอง
แม้จะเป็นเช่นนี้แล้ว
เขาก็ไม่ยอมหันมาหาพระยาห์เวห์พระเจ้าของเขา
หรือแสวงหาพระองค์

11 “เอฟราอิมเป็นเหมือนนกเขา
ที่ถูกหลอกง่ายและไร้สติ
เดี๋ยวร้องหาอียิปต์
เดี๋ยวหันมาหาอัสซีเรีย
12 เมื่อพวกเขาไป เราจะเหวี่ยงตาข่ายของเราจับเขาไว้
เราจะดึงพวกเขาลงมาเหมือนนกในอากาศ
เมื่อเราได้ยินเสียงเขาจับกลุ่มกัน
เราจะจับเขา
13 วิบัติแก่พวกเขา
เพราะเขาหลงทางไปจากเรา!
หายนะจงมีแก่เขา
เพราะเขากบฏต่อเรา!
เราปรารถนาจะไถ่เขาเหลือเกิน
แต่เขาพูดเท็จกับเรา
14 พวกเขาไม่ได้ร้องเรียกเราจากใจจริง
เอาแต่คร่ำครวญบนที่นอน
พวกเขารวมตัวกัน[am]เพื่อเมล็ดข้าวและเหล้าองุ่นใหม่
แต่กลับหันหนีไปจากเรา
15 เราได้ฝึกฝนพวกเขาและทำให้เขาเข้มแข็งขึ้น
แต่เขาก็คิดการร้ายต่อเรา
16 พวกเขาไม่ได้หันมาหาองค์ผู้สูงสุด
พวกเขาเหมือนคันธนูที่บิดเบี้ยว
ผู้นำของพวกเขาจะล้มลงด้วยดาบ
เพราะถ้อยคำอวดดี
ด้วยเหตุนี้พวกเขาจะถูกเย้ยหยัน
ในดินแดนอียิปต์

อิสราเอลจะเก็บเกี่ยวลมพายุหมุน

“จงหยิบแตรขึ้นจรดริมฝีปากของเจ้า!
นกอินทรีตัวหนึ่งอยู่เหนือพระนิเวศขององค์พระผู้เป็นเจ้า
เพราะเหล่าประชากรได้ละเมิดพันธสัญญาของเรา
และกบฏต่อบทบัญญัติของเรา
อิสราเอลร้องเรียกเราว่า
‘ข้าแต่พระเจ้าของข้าพระองค์ทั้งหลาย ข้าพระองค์ทั้งหลายยอมรับว่าทรงเป็นพระเจ้าของข้าพระองค์ทั้งหลาย!’
แต่อิสราเอลปฏิเสธสิ่งที่ดีงาม
ศัตรูจะไล่ตามเขา
เขาแต่งตั้งกษัตริย์โดยที่เราไม่เห็นด้วย
เขาเลือกเจ้านายโดยที่เราไม่เห็นชอบ
เขาใช้เงินและทองคำ
สร้างเทวรูปทั้งหลาย
พาตัวเองให้พินาศ
สะมาเรียเอ๋ย! จงขว้างเทวรูปลูกวัวของเจ้าทิ้งเสียเถิด
ความโกรธของเราเผาผลาญเขา
อีกนานเพียงใดพวกเขาจึงจะบริสุทธิ์ได้?
สิ่งเหล่านี้มาจากอิสราเอล!
ช่างฝีมือได้สร้างลูกวัวตัวนี้ขึ้น
มันไม่ใช่พระเจ้า
เทวรูปลูกวัวของสะมาเรีย
จะถูกทุบแตกเป็นเสี่ยงๆ

“พวกเขาหว่านลม
และเก็บเกี่ยวลมพายุหมุน
ต้นข้าวไม่มีรวง
มันจะไม่ให้ข้าวสำหรับทำแป้ง
แม้มันจะเกิดผล
แต่ชาวต่างชาติก็จะกลืนกินหมด
อิสราเอลถูกกลืนกิน
บัดนี้นางอยู่ท่ามกลางชนชาติต่างๆ
เหมือนของไร้ค่า
เพราะพวกเขาขึ้นไปหาอัสซีเรีย
เหมือนลาป่าเร่ร่อนอยู่ตามลำพัง
เอฟราอิมได้ขายตัวให้ชู้รัก
10 ถึงแม้พวกเขาขายตัวไปอยู่ท่ามกลางชนชาติต่างๆ
บัดนี้เราจะรวบรวมพวกเขาเข้าด้วยกัน
พวกเขาเริ่มจะเสื่อมสูญไป
ภายใต้การกดขี่ของกษัตริย์ผู้เกรียงไกร

11 “ถึงแม้เอฟราอิมสร้างแท่นบูชามากมายเพื่อถวายเครื่องบูชาไถ่บาป
แต่มันก็กลายเป็นแท่นให้ทำบาป
12 เราเขียนบทบัญญัติของเรามากมายให้พวกเขา
แต่พวกเขากลับถือว่ามันเป็นสิ่งแปลกปลอม
13 พวกเขาถวายเครื่องบูชาแก่เรา
แล้วพวกเขาก็กินเนื้อ
แต่องค์พระผู้เป็นเจ้าไม่ได้พอพระทัยพวกเขา
บัดนี้พระองค์จะทรงระลึกถึงความชั่วร้ายของพวกเขา
และลงโทษบาปทั้งหลายของพวกเขา
พวกเขาจะกลับไปยังอียิปต์
14 อิสราเอลลืมพระผู้สร้างของตน
และสร้างปราสาทราชวังต่างๆ
ยูดาห์เสริมป้อมปราการที่เมืองต่างๆ
แต่เราจะส่งไฟมายังเมืองทั้งหลายของพวกเขา
ซึ่งจะเผาผลาญป้อมปราการของพวกเขาเสีย”

การลงโทษอิสราเอล

อิสราเอลเอ๋ย อย่าชื่นชมยินดี
อย่าเปรมปรีดิ์เหมือนชาติอื่นๆ
เพราะเจ้าไม่ได้ซื่อสัตย์ต่อพระเจ้าของเจ้า
เจ้ารักค่าจ้างของหญิงโสเภณี
ตามลานนวดข้าวทุกแห่ง
ลานนวดข้าวและบ่อย่ำองุ่นจะไม่พอเลี้ยงประชากร
เหล้าองุ่นใหม่ดับความกระหายของเขาไม่ได้
พวกเขาจะไม่ได้อาศัยอยู่ในแผ่นดินขององค์พระผู้เป็นเจ้า
เอฟราอิมจะกลับไปอียิปต์
และกินอาหารที่มีมลทิน[an]ในอัสซีเรีย
พวกเขาจะไม่ได้รินเหล้าองุ่นบูชาถวายแด่องค์พระผู้เป็นเจ้า
และเครื่องบูชาของเขาก็ไม่เป็นที่พอพระทัยพระองค์
เครื่องบูชาเหล่านี้จะเป็นเหมือนอาหารผู้ไว้ทุกข์สำหรับเขา
ผู้ที่กินเข้าไปจะเป็นมลทิน
อาหารนี้จะมีไว้เพื่อตัวเขาเอง
ไม่เหมาะที่จะนำเข้ามาในวิหารขององค์พระผู้เป็นเจ้า

พวกเจ้าจะทำอะไรในงานเลี้ยงฉลองตามกำหนด
ในวันเทศกาลขององค์พระผู้เป็นเจ้า?
ถึงแม้พวกเขาจะรอดพ้นจากความพินาศย่อยยับ
อียิปต์ก็จะรวบรวมพวกเขา
และเมมฟิสจะฝังพวกเขาไว้
คลังเงินของพวกเขาจะถูกปกคลุมด้วยพืชหนาม
ต้นหนามจะงอกขึ้นท่วมเต็นท์ของพวกเขา
วันแห่งการลงโทษกำลังมาถึง
วันลงอาญามาใกล้แล้ว
อิสราเอลจงรู้เถิด
เพราะบาปของพวกเจ้ามากมายนัก
เจตนาร้ายของพวกเจ้าใหญ่หลวงนัก
ผู้เผยพระวจนะถูกนับว่าเป็นคนโง่
ผู้ที่พระเจ้าดลใจกลับถูกหาว่าเป็นคนบ้าคลั่ง
ผู้เผยพระวจนะพร้อมกับพระเจ้าของข้าพเจ้า
เป็นยามดูแลเอฟราอิม[ao]
แต่กับดักรอเขาอยู่ตลอดเส้นทาง
และมีศัตรูในพระนิเวศของพระเจ้าของพวกเขา
พวกเขาจมดิ่งลงในความเสื่อมทราม
เหมือนสมัยกิเบอาห์
พระเจ้าจะทรงระลึกถึงความชั่วช้าของพวกเขา
และลงโทษบาปทั้งหลายของพวกเขา

10 “เมื่อเราพบอิสราเอล
ก็เหมือนพบองุ่นในถิ่นกันดาร
เมื่อเราเห็นบรรพบุรุษของพวกเจ้า
ก็เหมือนเห็นผลมะเดื่อรุ่นแรก
แต่เมื่อพวกเขามาที่บาอัลเปโอร์
พวกเขาก็อุทิศตัวแก่เทวรูปอันน่าอับอายนั้น
และชั่วช้าไปเหมือนสิ่งที่พวกเขารัก
11 ศักดิ์ศรีของเอฟราอิมจะบินหายลับไปเหมือนนก
ไม่มีการเกิด ไม่มีการตั้งครรภ์ และไม่มีการปฏิสนธิ
12 ถึงแม้พวกเขาจะเลี้ยงดูลูกๆ ได้
เราก็จะพรากทุกคนไปจากพวกเขา
วิบัติแก่พวกเขา
เมื่อเราหันหนีไปจากพวกเขา!
13 เราได้เห็นเอฟราอิม
ถูกปลูกไว้ในที่ร่มรื่นเช่นเดียวกับเมืองไทระ
แต่เอฟราอิมจะพาลูกๆ ของพวกเขา
ออกมาให้เพชฌฆาต”

14 ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า ขอโปรดประทาน
พระองค์จะประทานสิ่งใดแก่พวกเขา?
โปรดประทานครรภ์ที่แท้ง
และทรวงอกที่ไม่มีน้ำนม

15 “เพราะความชั่วร้ายทั้งปวงของพวกเขาในกิลกาล
ที่นั่นเราจึงเกลียดชังพวกเขา
เพราะการกระทำอันบาปหนาของพวกเขา
เราจะขับไล่พวกเขาออกจากนิเวศของเรา
เราจะไม่รักพวกเขาอีกต่อไป
ผู้นำทั้งหมดของพวกเขาเป็นคนชอบกบฏ
16 เอฟราอิมย่อยยับไปแล้ว
รากของพวกเขาเหี่ยวเฉา
พวกเขาไม่เกิดผล
ถึงแม้พวกเขามีลูก
เราก็จะประหารวงศ์วานที่รักยิ่งของพวกเขา”

17 พระเจ้าของข้าพเจ้าจะปฏิเสธพวกเขา
เพราะพวกเขาไม่เชื่อฟังพระองค์
พวกเขาจะเป็นคนเร่ร่อนอยู่ท่ามกลางชนชาติต่างๆ

10 อิสราเอลเป็นองุ่นเถางาม
เขาเกิดผลเพื่อตัวเอง
เมื่อผลยิ่งดก
เขาก็ยิ่งสร้างแท่นบูชาเพิ่ม
เมื่อดินแดนของเขารุ่งเรืองขึ้น
เขาก็ตกแต่งหินศักดิ์สิทธิ์
จิตใจของพวกเขาเต็มไปด้วยความหลอกลวง
และบัดนี้พวกเขาต้องรับโทษ
พระองค์จะทรงพังแท่นบูชาของพวกเขา
และทำลายหินศักดิ์สิทธิ์ของพวกเขา

แล้วพวกเขาจะพูดว่า “เราไม่มีกษัตริย์
เพราะเราไม่ได้ยำเกรงองค์พระผู้เป็นเจ้า
แต่ถึงเรามีกษัตริย์
พวกเขาจะทำอะไรให้เราได้?”
พวกเขาสัญญาไว้มากมาย
ทำข้อตกลง
และสาบานเท็จ
ฉะนั้นการฟ้องร้องคดีจึงงอกงาม
เหมือนวัชพืชที่เป็นพิษในทุ่งนาที่ไถแล้ว
ประชาชนที่อาศัยในสะมาเรีย
กลัวเทวรูปลูกวัวที่เบธอาเวน[ap]
คนของพระนั้นจะคร่ำครวญถึงมัน
ปุโรหิตผู้ลุ่มหลงมันก็เช่นกัน
และบรรดาผู้ที่ชื่นชมในความโอ่อ่าตระการของพระนั้นก็เป็นไปด้วย
เพราะมันจะถูกเนรเทศออกไป
มันจะถูกนำไปอัสซีเรีย
เป็นเครื่องบรรณาการแก่กษัตริย์ผู้เกรียงไกร
เอฟราอิมจะอับอายขายหน้า
อิสราเอลจะอดสูเนื่องด้วยเทวรูป[aq]ซึ่งทำด้วยไม้ของพวกเขา
สะมาเรียและกษัตริย์ของมันจะลอยหายไป
เหมือนเศษไม้ที่อยู่บนผิวน้ำ
เทวสถานแห่งความชั่วร้าย[ar]ซึ่งอยู่บนที่สูงของอิสราเอลจะถูกทำลาย
มันเป็นบาปของอิสราเอล
พืชหนามจะงอกขึ้น
ปกคลุมแท่นบูชาของเขา
แล้วพวกเขาจะกล่าวแก่ภูเขาทั้งหลายว่า “ปกคลุมเราไว้เถิด!”
และบอกเนินเขาทั้งหลายว่า “ล้มมาทับเราเถิด!”

“อิสราเอลเอ๋ย เจ้าได้ทำบาปมาตั้งแต่สมัยกิเบอาห์
และเจ้ายังทำอยู่อย่างนั้นเรื่อยมา[as]
สงครามไม่ได้เล่นงานคนทำชั่ว
ในกิเบอาห์หรอกหรือ?
10 เมื่อเราเห็นชอบ เราจะลงโทษพวกเขา
ชนชาติต่างๆ จะรวมตัวกันต่อสู้พวกเขา
คุมขังพวกเขาเนื่องด้วยบาปซ้อนบาปของพวกเขา
11 เอฟราอิมเป็นวัวสาวที่ฝึกปรือแล้ว
มันชอบนวดข้าว
ฉะนั้นเราจะวางแอก
บนคออันสวยงามของมัน
เราจะลงประตักใส่เอฟราอิม
ยูดาห์ต้องลากคันไถ
และยาโคบต้องไถพรวนดิน
12 จงหว่านความชอบธรรมเพื่อตัวเจ้าเอง
จงเก็บเกี่ยวผลแห่งความรักมั่นคง
จงไถพรวนเนื้อดินที่ยังแข็งกระด้างของเจ้า
เพราะถึงเวลาที่จะแสวงหาองค์พระผู้เป็นเจ้า
จนกว่าพระองค์จะเสด็จมา
และโปรยความชอบธรรมลงบนพวกเจ้าดั่งสายฝน
13 แต่เจ้ากลับปลูกความชั่วช้า
เจ้าเก็บเกี่ยวความอธรรม
เจ้ากินผลแห่งการหลอกลวง
เพราะเจ้าพึ่งกำลังตัวเอง
เจ้าพึ่งนักรบมากมายของเจ้า
14 เสียงโห่ร้องของสงครามจะดังขึ้นสู้คนของเจ้า
ดังนั้นป้อมปราการทั้งหลายของเจ้าจะถูกทำลายย่อยยับ
เมื่อแม่ทั้งหลายกับลูกๆ ของนางจะถูกจับฟาดกับพื้น
ก็จะเป็นเหมือนอย่างชัลมันทำลายล้างเบธอาร์เบลในยามศึก
15 เบธเอลเอ๋ย มันจะเกิดขึ้นกับเจ้าอย่างนั้นแหละ
เพราะเจ้าชั่วร้ายยิ่งนัก
เมื่อรุ่งอรุณวันนั้นเริ่มขึ้น
กษัตริย์อิสราเอลจะถูกทำลายอย่างสิ้นเชิง

ความรักของพระเจ้าต่ออิสราเอล

11 “เมื่ออิสราเอลยังเด็กอยู่ เรารักเขา
เราเรียกบุตรของเราออกจากอียิปต์
แต่ยิ่งเรา[at]เรียกอิสราเอลมากเท่าใด
พวกเขายิ่งไกลห่างจากเรา[au]มากเท่านั้น
พวกเขาถวายเครื่องบูชาแก่พระบาอัล
และเผาเครื่องหอมถวายรูปปั้นต่างๆ
เรานี่แหละสอนให้เอฟราอิมหัดเดิน
เราโอบอุ้มพวกเขาไว้ในอ้อมแขน
แต่พวกเขาไม่ตระหนัก
ว่าเรานี่แหละเป็นผู้รักษาพวกเขาให้หาย
เรานำพวกเขาด้วยสายใยแห่งความเมตตา
และด้วยพันธะแห่งความรัก
เราปลดแอกจากคอของพวกเขา
และก้มลงมาป้อนอาหารพวกเขา

“พวกเขาจะไม่กลับไปยังอียิปต์หรือ
และอัสซีเรียจะไม่ปกครองพวกเขาหรือ
ในเมื่อพวกเขาไม่ยอมกลับใจ?
ดาบทั้งหลายจะกวัดแกว่งอยู่ในเมืองต่างๆ ของพวกเขา
จะทำลายดาลประตูของพวกเขา
และทำให้แผนการต่างๆ ของพวกเขาจบสิ้นลง
ประชากรของเราตั้งใจทิ้งเราไป
แม้ว่าพวกเขาจะร้องทูลต่อเราผู้สูงสุด
เราก็จะไม่เชิดชูพวกเขาเลย

“เอฟราอิมเอ๋ย เราจะปล่อยเจ้าหลุดมือไปได้อย่างไร?
อิสราเอลเอ๋ย เราจะยอมปล่อยเจ้าไปได้อย่างไร?
เราจะปฏิบัติต่อเจ้าเหมือนอัดมาห์ได้หรือ?
เราจะทำให้เจ้าเหมือนเศโบยิมได้อย่างไร?
จิตใจที่อยู่ภายในเราก็เปลี่ยนไป
ความเมตตาเอ็นดูของเราก็ได้รับการปลุกขึ้น
เราจะไม่ลงโทษเจ้าตามความโกรธอันรุนแรงของเรา
หรือหันมาทำลายล้างเอฟราอิมอีก
เพราะเราเป็นพระเจ้า ไม่ใช่มนุษย์
เป็นองค์บริสุทธิ์ท่ามกลางเจ้า
เราจะไม่มาด้วยความโกรธ[av]
10 เขาจะติดตามองค์พระผู้เป็นเจ้า
พระองค์จะทรงเปล่งพระสุรเสียงดุจราชสีห์
เมื่อพระองค์ทรงเปล่งเสียงกึกก้อง
ลูกๆ ของพระองค์จะสั่นสะท้านกลับมาจากทางตะวันตก
11 เขาจะรีบรุดตัวสั่น
มาจากอียิปต์เหมือนนก
และมาจากอัสซีเรียเหมือนนกพิราบ
เราจะพาพวกเขากลับมายังบ้านเกิดเมืองนอนอีก”
            องค์พระผู้เป็นเจ้าประกาศดังนั้น

บาปของอิสราเอล

12 เอฟราอิมล้อมกรอบเราด้วยคำโกหก
พงศ์พันธุ์อิสราเอลห้อมล้อมเราด้วยการหลอกลวง
และยูดาห์ดื้อด้านแม้แต่กับพระเจ้า
ซึ่งเป็นองค์บริสุทธิ์ผู้ซื่อสัตย์

12 เอฟราอิมเลี้ยงชีพด้วยลม
เขาติดตามลมตะวันออกทั้งวัน
เขาทวีการโกหกและความอำมหิต
เขาทำสัญญากับอัสซีเรีย
และส่งน้ำมันมะกอกไปยังอียิปต์
องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงดำเนินคดีกับยูดาห์
พระองค์จะทรงลงโทษยาโคบ[aw]ตามวิถีทางความประพฤติของเขา
และตอบแทนเขาตามการกระทำของเขา
เขาฉวยส้นเท้าของพี่ชายไว้ตั้งแต่อยู่ในครรภ์
ครั้นหนุ่มใหญ่เขาก็ต่อสู้กับพระเจ้า
เขาสู้กับทูตสวรรค์และเอาชนะได้
เขาร่ำไห้อ้อนวอนขอความเมตตา
พระองค์ทรงพบเขาที่เบธเอล
และตรัสกับเขาที่นั่น
พระยาห์เวห์พระเจ้าผู้ทรงฤทธิ์
พระยาห์เวห์เป็นพระนามอันเกรียงไกรของพระองค์!
แต่เจ้าต้องกลับมาหาพระเจ้าของเจ้า
จงผดุงความรักและความยุติธรรม
และรอคอยพระเจ้าของเจ้าเสมอ

พวกพ่อค้าโกงตาชั่ง
เขารักการฉ้อฉล
เอฟราอิมโอ้อวดว่า
“เราร่ำรวยมากและกลายเป็นเศรษฐี
ด้วยทรัพย์สมบัติทั้งหมดของเรา
พวกเขาจะไม่พบความชั่วช้าหรือบาปใดๆ ในเราเลย”

“เราคือพระยาห์เวห์พระเจ้าของเจ้า
ผู้พาเจ้าออกมาจาก[ax]อียิปต์
เราจะทำให้เจ้าอาศัยอยู่ในเต็นท์อีกครั้ง
เหมือนเมื่อครั้งเทศกาลงานเลี้ยงตามกำหนดของเจ้า
10 เราพูดกับบรรดาผู้เผยพระวจนะ
ให้นิมิตมากมายแก่พวกเขา
และกล่าวคำอุปมาผ่านทางพวกเขา”

11 กิเลอาดชั่วร้ายหรือ?
ชาวเมืองนั้นไร้ค่านัก!
พวกเขาถวายวัวผู้ในกิลกาลหรือ?
แท่นบูชาของพวกเขาจะเป็นเหมือนกองหิน
บนทุ่งที่ไถแล้ว
12 ยาโคบหนีไปยังแดนอารัม
อิสราเอลปรนนิบัติรับใช้เพื่อจะได้ภรรยา
เขาเลี้ยงแกะเพื่อจ่ายเป็นค่าตัวนาง
13 องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงใช้ผู้เผยพระวจนะคนหนึ่งนำอิสราเอลออกมาจากอียิปต์
ทรงใช้ผู้เผยพระวจนะดูแลอิสราเอล
14 แต่เอฟราอิมยั่วโทสะพระองค์อย่างรุนแรง
องค์พระผู้เป็นเจ้าของเขาจะทรงปล่อยให้ความผิดเพราะการนองเลือดตกอยู่กับเขา
และจะตอบแทนการหมิ่นประมาทของพวกเขา

พระพิโรธขององค์พระผู้เป็นเจ้า

13 เมื่อเอฟราอิมกล่าว ผู้คนก็สั่นสะท้าน
เขาเป็นที่ยกย่องในอิสราเอล
แต่เขาก็มีความผิดและตายไปเพราะกราบไหว้พระบาอัล
บัดนี้ เขายิ่งทำบาปมากขึ้น
เขาใช้เงินทำรูปเคารพเพื่อตัวเขาเอง
เป็นเทวรูปที่ปั้นแต่งขึ้นอย่างชาญฉลาด
ทั้งหมดล้วนแล้วแต่เป็นผลงานของช่างฝีมือ
ผู้คนกล่าวถึงคนเหล่านี้ว่า
“พวกเขาใช้มนุษย์เป็นเครื่องบูชา
และจูบ[ay]เทวรูปลูกวัว”
ฉะนั้นเขาจะเป็นเหมือนหมอกในยามเช้า
เหมือนน้ำค้างยามรุ่งอรุณซึ่งหายลับไป
เหมือนแกลบปลิวจากลานนวดข้าว
เหมือนควันที่ลอยออกไปทางหน้าต่าง

“แต่เราคือพระยาห์เวห์พระเจ้าของเจ้า
ผู้นำเจ้าออกมาจากอียิปต์[az]
เจ้าจะไม่มีพระเจ้าอื่นใดนอกจากเรา
และไม่มีผู้ช่วยให้รอดอื่นใดยกเว้นเรา
เราฟูมฟักดูแลเจ้าในทะเลทราย
ในดินแดนอันร้อนระอุ
เมื่อเราเลี้ยงดูพวกเขา พวกเขาก็อิ่มหนำ
เมื่ออิ่มหนำแล้ว พวกเขาก็หยิ่งผยองขึ้น
และลืมเรา

Thai New Contemporary Bible (TNCV)

Thai New Contemporary Bible Copyright © 1999, 2001, 2007 by Biblica, Inc.® Used by permission. All rights reserved worldwide.