Bible in 90 Days
พระเจ้าจะลงโทษชนชาติอื่นๆ
11 เลบานอน เปิดพวกประตูของเจ้า
เพื่อไฟจะได้เผาผลาญพวกสนซีดาร์[a] ของเจ้า
2 ต้นสนจูนิเปอร์ ร้องโหยหวนซะ
เพราะต้นสนซีดาร์ได้ล้มลงแล้ว
เพราะพวกต้นไม้ที่โอ่อ่าสูงใหญ่ถูกทำลายลงแล้ว
พวกต้นโอ๊กของบาชานร้องโหยหวนซะเพราะป่าดงดิบถูกโค่นลงแล้ว
3 ฟังเสียงร้องไห้คร่ำครวญของพวกผู้เลี้ยงสิ
เพราะทุ่งหญ้าอันรุ่งโรจน์ทั้งหลายของพวกเขาถูกทำลายไปแล้ว
ฟังเสียงร้องคำรามของพวกสิงโตสิ
เพราะพุ่มไม้หนาของแม่น้ำจอร์แดนถูกทำลายไปแล้ว
ผู้เลี้ยงที่เลวกับผู้เลี้ยงที่ดี
4 นี่คือสิ่งที่พระยาห์เวห์พระเจ้าของเราพูด คือ “ให้เลี้ยงดูแกะที่จะเอาไปฆ่านั้นให้ดี 5 คนที่ซื้อพวกเขาไปก็ฆ่าพวกเขาโดยไม่รู้สึกเสียใจ ส่วนคนที่ขายพวกแกะก็พูดว่า ‘สรรเสริญพระยาห์เวห์ เพราะข้าพเจ้าร่ำรวยแล้ว’ และพวกคนที่เลี้ยงแกะนั้นก็ไม่รู้สึกสงสารแกะที่พวกเขาเลี้ยงมา[b] 6 ดังนั้นเราจะไม่สงสารคนพวกนั้นที่อาศัยอยู่ในแผ่นดินยูดาห์อีกต่อไป เราจะหันประชาชนทั้งหมดให้ต่อต้านกันเอง แล้วจะมอบพวกเขาไว้ใต้อำนาจของพวกผู้ครอบครองเขา พวกผู้ครอบครองนี้จะบดขยี้แผ่นดินนี้ และเราจะไม่ช่วยให้ใครรอดพ้นจากเงื้อมมือของพวกนั้นเลย” พระยาห์เวห์พูดว่าอย่างนั้น
7 แกะที่จะเอาไปฆ่านั้น ผมได้เลี้ยงพวกเขาแทนพวกพ่อค้าแกะ ผมเอาไม้เท้ามาสองอัน เรียกอันหนึ่งว่า “ความเมตตาปรานี” และเรียกอีกอันว่า “ความเป็นหนึ่งเดียว” และผมได้เลี้ยงดูแกะเหล่านั้นด้วยไม้เท้าทั้งสองนี้ 8 ผมกำจัดผู้เลี้ยงไปสามคนในเดือนเดียว ผมเริ่มหมดความอดทนต่อแกะ และพวกเขาก็ดูหมิ่นผมด้วย 9 แล้วผมพูดว่า “เราจะไม่เลี้ยงดูพวกเจ้าอีกแล้ว ปล่อยให้แกะที่กำลังจะตาย ตายไปซะ และปล่อยตัวที่กำลังจะถูกทำลาย ถูกทำลายไปซะ และให้ตัวที่ยังเหลืออยู่นั้นกินเนื้อของกันและกัน” 10 แล้วผมก็เอาไม้เท้าอันที่มีชื่อว่า “ความเมตตาปรานี” และหักมันเป็นสองท่อน เพื่อแสดงให้เห็นว่าเรายกเลิกข้อตกลงที่เราได้ทำไว้กับประชาชนทั้งหมด 11 ดังนั้นข้อตกลงจึงถูกยกเลิกในวันนั้น และพวกพ่อค้าสัตว์ที่กำลังมองผมอยู่ ก็รู้ว่า นี่คือถ้อยคำของพระยาห์เวห์
12 ผมพูดกับพวกเขาว่า “ถ้าพวกเจ้าอยากจ่ายค่าแรงให้กับผม ก็จ่ายมา แต่ถ้าไม่อยากจ่ายก็ไม่ต้องจ่าย” แล้วพวกเขาก็จ่ายค่าแรงให้กับผมเป็นเงินสามสิบแผ่น 13 พระยาห์เวห์พูดกับผมว่า “โยนเงินนั้นลงไปในกล่องถวายซะ เพราะนั่นแหละเป็นค่าตัวที่เขาตีให้กับเรา มันแสนจะมากมายเสียเหลือเกิน”[c] ผมจึงเอาเงินสามสิบแผ่นนั้นไปโยนลงในกล่องถวายในวิหารของพระยาห์เวห์ 14 จากนั้นผมได้หักไม้เท้าอันที่สองที่มีชื่อว่า “ความเป็นหนึ่งเดียว” เพื่อให้เห็นว่าผมได้ทำลายความเป็นพี่น้องกันระหว่างชาวยูดาห์กับชาวอิสราเอลแล้ว
15 พระยาห์เวห์พูดกับผมว่า “ให้เอาเครื่องมือของผู้เลี้ยงที่โง่เขลามา 16 เพราะเรากำลังจะแต่งตั้งผู้เลี้ยงแกะคนใหม่ในแผ่นดินนี้ ผู้เลี้ยงคนใหม่นี้จะไม่สนใจพวกแกะที่กำลังจะตาย จะไม่ไปตามหาตัวที่หลงหาย จะไม่เยียวยารักษาตัวที่บาดเจ็บ จะไม่เลี้ยงดูตัวที่แข็งแรง แต่จะกินเนื้อของตัวที่อ้วนพีเหล่านั้น และฉีกกินแม้แต่กีบเท้าของแกะพวกนั้น”
17 เฮ้ย เจ้าผู้เลี้ยงแกะที่ไร้ค่า
ผู้ที่ทอดทิ้งฝูงแกะ
ขอให้ดาบตีแขนของเจ้า
แทงตาข้างขวาของเจ้า
ขอให้แขนของเจ้าลีบไปอย่างสิ้นเชิง
ขอให้ตาข้างขวาของเจ้าบอดสนิท
ชาวเยรูซาเล็มจะเฉลิมฉลองกัน
12 ถ้อยคำของพระยาห์เวห์ที่เกี่ยวกับอิสราเอล พระยาห์เวห์ผู้ขึงแผ่นฟ้าและตั้งรกรากแผ่นดินโลก ผู้ที่สร้างวิญญาณที่อยู่ในมนุษย์ พระองค์พูดว่า 2 “เรากำลังจะทำให้เยรูซาเล็มกลายเป็นถ้วยเหล้าองุ่น ที่ทำให้ชนชาติต่างๆที่อยู่ล้อมรอบเมาโซเซ และความทุกข์ทรมานนี้จะตกกับยูดาห์ด้วย เมื่อเยรูซาเล็มถูกล้อมไว้ 3 ในวันนั้นเราจะทำให้เยรูซาเล็มกลายเป็นหินที่หนักอึ้งที่ไม่มีใครยกไหว ทุกคนที่พยายามจะยกมันจะบาดเจ็บสาหัส และทุกๆชนชาติในโลกนี้จะรวมตัวกันมาต่อต้านมัน”
4 พระยาห์เวห์พูดว่า “แต่ในวันนั้น เราจะทำให้ม้าทุกตัวตกใจกลัว เราจะทำให้ทหารที่ขี่ทุกคนบ้าคลั่ง แต่เราจะคอยเฝ้าดูคนยูดาห์ และเราจะทำให้ม้าทุกตัวของศัตรูตาบอดไป 5 พวกผู้นำตระกูลต่างๆของยูดาห์จะคิดในใจว่า ‘ที่พลเมืองของเยรูซาเล็มเข้มแข็ง ก็เพราะพวกเขามีพระยาห์เวห์ผู้มีฤทธิ์ทั้งสิ้น เป็นพระเจ้านั่นเอง’” 6 พระยาห์เวห์พูดว่า “ในวันนั้นเราจะทำให้พวกผู้นำตระกูลต่างๆของยูดาห์เป็นเหมือนถาดใส่ถ่านร้อนแดง เป็นเหมือนคบเพลิงท่ามกลางมัดฟาง พวกผู้นำนั้นจะเผาผลาญชนชาติทั้งหลายที่อยู่รอบๆทั้งซ้ายขวา และคนเยรูซาเล็มจะอยู่อย่างปลอดภัยต่อไปในที่ของเขาคือในเมืองเยรูซาเล็ม”
7 พระยาห์เวห์จะให้ชัยชนะกับตระกูลของยูดาห์ก่อน เพื่อเกียรติยศของครอบครัวดาวิดและความรุ่งโรจน์ของชาวเยรูซาเล็ม จะไม่เกินหน้าเกินตาเผ่าของยูดาห์ไป 8 ในวันนั้น พระยาห์เวห์จะเป็นโล่ให้กับชาวเยรูซาเล็ม คนที่อ่อนแอที่สุดของพวกเขาก็จะเข้มแข็งเท่าดาวิด และครอบครัวของดาวิดก็จะเป็นเหมือนพระเจ้า เป็นเหมือนทูตสวรรค์ของพระยาห์เวห์ที่นำหน้าพวกเขา
9 พระยาห์เวห์พูดว่า “ในวันนั้นเราจะทำลายทุกชนชาติที่มาต่อต้านเยรูซาเล็ม
ชาวเยรูซาเล็มจะไว้ทุกข์ให้กับผู้ที่ถูกแทง
10 เราจะเทวิญญาณแห่งความเมตตาสงสารและการวิงวอนลงบนครอบครัวของดาวิดและลงบนชาวเยรูซาเล็ม พวกเขาจะแสวงหาการอภัยโทษจากเราผู้ที่พวกเขาแทง และพวกเขาจะร้องไห้เสียใจให้กับเรา เหมือนกับร้องไห้ให้กับลูกโทนที่ตายไป และพวกเขาจะร้องอย่างขมขื่นเหมือนกับร้องให้กับลูกหัวปีที่ตายไป 11 ในวันนั้นจะมีการไว้ทุกข์ที่ยิ่งใหญ่ในเยรูซาเล็มเหมือนกับการไว้ทุกข์ให้กับฮาดัดริมโมน[d]ในที่ราบเมกิดโด 12-14 แต่ละตระกูลในแผ่นดินยูดาห์ ต่างคนต่างก็แยกกันไว้ทุกข์ ไม่ว่าจะเป็นตระกูลดาวิด ตระกูลนาธัน ตระกูลเลวี หรือตระกูลซีเมโอน รวมทั้งตระกูลอื่นๆที่เหลือทั้งหมด พวกผู้ชายและพวกเมียๆของเขา ต่างคนต่างแยกกันไว้ทุกข์ ไม่รวมกัน”
13 ในวันนั้นจะมีตาน้ำเกิดขึ้นมาให้กับครอบครัวของดาวิดและชาวเยรูซาเล็ม เป็นน้ำพุสำหรับชำระล้างความบาปและความไม่บริสุทธิ์
พวกรูปเคารพและผู้พูดแทนพระเจ้าจอมปลอมจะหมดไป
2 พระยาห์เวห์ผู้มีฤทธิ์ทั้งสิ้นพูดว่า “ในวันนั้น เราจะลบชื่อต่างๆของพวกรูปเคารพทั้งหมดไปจากแผ่นดินนี้ และจะไม่มีใครระลึกถึงพวกมันอีกต่อไปแล้ว พวกผู้พูดแทนพระเจ้าจอมปลอมและวิญญาณที่ไม่บริสุทธิ์ เราจะไล่ให้พ้นไปจากแผ่นดิน 3 ถ้ามีใครที่ยังไม่ยอมหยุดพูดแทนพระเจ้าแบบผิดๆ พ่อแม่ที่ให้เขาเกิดมาจะพูดว่า ‘เจ้าจะต้องตาย เพราะเจ้าพูดผิดๆในนามของพระยาห์เวห์’ แล้วพ่อแม่ที่ให้เขาเกิดมาจะแทงเขาหากเขายังขืนพูดแทนพระเจ้าอีก 4 ในวันนั้น ผู้พูดแทนพระเจ้าจอมปลอมแต่ละคนจะละอายที่จะบอกคนอื่นว่าเขาเห็นอะไรในนิมิต และพวกเขาจะไม่ใส่เสื้อคลุมของผู้พูดแทนพระเจ้าที่ทำจากขน เพื่อหลอกลวงคนอื่นอีก 5 ผู้พูดแทนพระเจ้าแต่ละคนจะพูดว่า ‘ผมไม่ใช่ผู้พูดแทนพระเจ้า ผมเป็นแค่ชาวนา เพราะที่ดินนี้เป็นของผมตั้งแต่หนุ่มแล้ว’ 6 และถ้ามีคนถามเขาว่า ‘แล้วแผลเป็นที่หน้าอก[e]พวกนี้เกิดจากอะไร’ เขาจะตอบว่า ‘ผมได้รับบาดเจ็บที่บ้านเพื่อน’”
พระยาห์เวห์จะหลอมคนของพระองค์ให้บริสุทธิ์
7 พระยาห์เวห์ผู้มีฤทธิ์ทั้งสิ้นพูดว่า
“ดาบเอ๋ยลุกขึ้นมา ต่อสู้กับผู้เลี้ยงของเรา ต่อสู้กับเพื่อนรักของเรา
ตีผู้เลี้ยง เพื่อแกะจะได้กระจัดกระจายไป
และเราจะลงโทษแกะตัวเล็กตัวน้อยเหล่านี้”
8 พระยาห์เวห์พูดว่า “คนสองในสามของแผ่นดินนี้จะถูกกำจัดและตายไป
และจะเหลือหนึ่งในสามในแผ่นดิน
9 เราจะเอาที่เหลือหนึ่งในสามนั้นใส่เข้าไปในไฟ เราจะหลอมพวกเขาเหมือนกับหลอมเงิน
เราจะทดสอบพวกเขาเหมือนกับทดสอบทองคำเพื่อให้มันบริสุทธิ์”
แล้วพวกเขาจะร้องขอให้เราช่วย
และเราจะตอบพวกเขาว่า “พวกเจ้าเป็นคนของเรา”
พวกเขาจะพูดว่า “พระยาห์เวห์เป็นพระเจ้าของเรา”
พระยาห์เวห์จะเป็นกษัตริย์ของโลกนี้
14 ดูสิ วันเวลาของพระยาห์เวห์กำลังมา และของที่มีค่าของเจ้าที่ถูกปล้นไปจะถูกแบ่งตรงหน้าของเจ้า 2 เราจะรวบรวมชนชาติทั้งหมดมาต่อสู้กับเมืองเยรูซาเล็ม เมืองจะถูกยึด บ้านต่างๆจะถูกปล้น และผู้หญิงจะถูกข่มขืน ครึ่งหนึ่งของเมืองจะถูกจับไปเป็นเชลย แต่คนที่เหลือจะไม่ถูกกำจัดไปจากเมือง 3 แล้วพระยาห์เวห์ก็จะออกไปสู้รบกับชนชาติต่างๆเหล่านั้น เหมือนกับที่พระองค์ทำประจำในช่วงสงคราม 4 ในวันนั้น เท้าของพระองค์จะเหยียบอยู่บนภูเขามะกอกเทศ ที่อยู่ทางทิศตะวันออกของเมืองเยรูซาเล็ม และภูเขามะกอกเทศจะถูกแบ่งออกเป็นสองส่วนจากทิศตะวันออกไปทิศตะวันตก และจะมีหุบเขาที่กว้างมากเกิดขึ้นระหว่างกลาง ภูเขาซีกหนึ่งจะแยกไปทางเหนือ อีกซีกหนึ่งจะแยกไปทางใต้ 5 แล้วพวกเจ้าจะได้หนีไปในระหว่างหุบเขานี้ในภูเขาของพระยาห์เวห์ ซึ่งจะไปไกลถึงอาซาล[f] พวกเจ้าจะหนีเหมือนตอนที่หนีแผ่นดินไหวในช่วงที่อุสซียาห์เป็นกษัตริย์ของยูดาห์ แล้วพระยาห์เวห์พระเจ้าของผมจะมาพร้อมกับพวกทูตสวรรค์ที่ศักดิ์สิทธิ์ของพระองค์
6-7 ในวันนั้นจะไม่ร้อนไม่หนาว ไม่มีน้ำค้างแข็งตัว แต่มันจะเป็นกลางวันตลอดเวลา (มีแต่พระยาห์เวห์เท่านั้นที่รู้ว่ามันจะเกิดขึ้นเมื่อไหร่) จะไม่มีกลางวันหรือกลางคืน แต่จะมีแสงสว่างตลอดแม้แต่ในกลางคืน 8 ในวันนั้นน้ำจะไหลออกไปจากเมืองเยรูซาเล็ม น้ำครึ่งหนึ่งจะไหลไปลงทะเลตายทางทิศตะวันออก น้ำอีกครึ่งหนึ่งจะไหลไปลงทะเลเมดิเตอร์เรเนียนทางทิศตะวันตก มันจะไหลทั้งหน้าร้อนและหน้าหนาวไม่หยุดหย่อน 9 พระยาห์เวห์จะเป็นกษัตริย์ของโลกนี้ และในวันนั้นพระยาห์เวห์จะเป็นพระเจ้าเพียงองค์เดียวที่ผู้คนกราบไหว้ 10 แผ่นดินทั้งหมดรอบๆเมืองเยรูซาเล็ม จะกลายเป็นที่ราบจากเกบาถึงริมโมนทางตอนใต้ของเยรูซาเล็ม แต่เมืองเยรูซาเล็มยังจะสูงเด่นและตั้งอยู่ในที่เดิมของมัน คือจากประตูเบนยามินไปถึงประตูตรงหัวมุม ที่เคยมีประตูมาก่อน และจากหอคอยฮานันเอลไปจนถึงบ่อย่ำองุ่นทั้งหลายของกษัตริย์ 11 ประชาชนจะอาศัยอยู่ที่นั่น และมันจะไม่ถูกสาปแช่งให้โดนทำลายอีกต่อไป และเยรูซาเล็มก็จะอยู่อย่างปลอดภัย
12 ต่อไปนี้จะเป็นภัยพิบัติที่พระยาห์เวห์จะทำให้เกิดขึ้นกับทุกคนที่มาทำสงครามกับเยรูซาเล็ม คือ พระองค์จะทำให้ร่างของศัตรูเน่าคาขาที่ยังยืนอยู่ ดวงตาของศัตรูก็จะเน่าคาเบ้า ลิ้นก็จะเน่าคาปาก 13 ในวันนั้นพระยาห์เวห์จะทำให้พวกเขาสับสนวุ่นวาย พวกเขาจะสู้รบกันอย่างประชิดตัว 14 แม้แต่คนยูดาห์จะมาต่อสู้กับเมืองเยรูซาเล็ม และทรัพย์สมบัติของชนชาติทั้งหมดรอบข้างก็จะถูกรวบรวมมา มันจะมีจำนวนมหาศาล ทั้งทองคำ เงิน และเสื้อผ้า 15 ภัยพิบัติอย่างเดียวกันนี้จะเกิดขึ้นกับม้า ล่อ อูฐและลา รวมทั้งสัตว์ทุกตัวที่อยู่ในค่ายพวกนั้นก็จะเจอภัยพิบัติแบบเดียวกัน
16 ทุกคนจากทุกชนชาติที่เคยโจมตีเยรูซาเล็ม ที่รอดจากภัยพิบัติ จะขึ้นมาเยรูซาเล็มทุกๆปี เพื่อนมัสการกษัตริย์คือพระยาห์เวห์ผู้มีฤทธิ์ทั้งสิ้น และจะร่วมเฉลิมฉลองเทศกาลอยู่เพิง 17 ถ้ามีเผ่าไหนในโลกนี้ ไม่ยอมขึ้นมาเยรูซาเล็มเพื่อนมัสการกษัตริย์คือพระยาห์เวห์ผู้มีฤทธิ์ทั้งสิ้น ก็จะไม่มีฝนตกลงมาให้กับพวกเขา 18 ถ้าประชาชนของอียิปต์ไม่ยอมขึ้นมาเมืองเยรูซาเล็ม พระยาห์เวห์ก็จะให้ภัยพิบัติที่เคยเกิดกับชนชาติอื่นๆที่ไม่ยอมขึ้นมาร่วมเฉลิมฉลองเทศกาลอยู่เพิง เกิดขึ้นกับคนอียิปต์พวกนั้นด้วย 19 นี่จะเป็นโทษของคนอียิปต์ และชนทุกชาติที่ไม่ยอมขึ้นมาร่วมเฉลิมฉลองเทศกาลอยู่เพิง
20 ในวันนั้น แม้แต่กระพรวนที่ติดม้า จะมีคำจารึกว่า “เป็นของศักดิ์สิทธิ์สำหรับพระยาห์เวห์” และพวกหม้อหุงต้มในวิหารของพระยาห์เวห์ จะต้องถือว่าศักดิ์สิทธิ์ เหมือนกับชามประพรมต่างๆที่ตั้งอยู่ต่อหน้าแท่นบูชา 21 หม้อหุงต้มทุกๆใบในเยรูซาเล็มและในยูดาห์จะต้องศักดิ์สิทธิ์ให้กับพระยาห์เวห์ผู้มีฤทธิ์ทั้งสิ้น คนทั้งหมดที่เอาสัตว์มาถวายเป็นเครื่องบูชา จะสามารถมาใช้หม้อหุงต้มเหล่านี้ไปต้มเนื้อจากเครื่องบูชาที่พวกเขานำมาถวาย ในวันนั้นจะไม่มีพวกพ่อค้ามาขายหม้อหุงต้มศักดิ์สิทธิ์ในวิหารของพระยาห์เวห์ผู้มีฤทธิ์ทั้งสิ้นอีกต่อไป
1 หนังสือเล่มนี้เป็นเรื่องที่พระยาห์เวห์บอกให้มาลาคีไปบอกกับคนอิสราเอล
พระยาห์เวห์รักคนอิสราเอล
2 พระยาห์เวห์พูดว่า “เราได้แสดงความรักกับเจ้า”
แต่พวกเจ้ากลับถามว่า “พระองค์แสดงความรักกับเราตรงไหนหรือ”
พระยาห์เวห์ตอบว่า “เอซาวเป็นพี่ชายของยาโคบ ไม่ใช่หรือ แต่เรารักยาโคบ 3 และเกลียดเอซาว[g][h] เราได้ทำให้เทือกเขาต่างๆของเอซาว กลายเป็นที่รกร้างว่างเปล่า และทำให้บ้านเกิดเมืองนอนของเขากลายเป็นถิ่นที่อยู่ของฝูงหมาไน”
4 พวกลูกหลานเอซาวที่อยู่ในเอโดม อาจจะพูดว่า “ถึงแม้เราจะถูกทุบจนแตกละเอียด แต่เราจะกลับสร้างสิ่งที่ปรักหักพังพวกนั้นขึ้นมาใหม่”
แต่นี่คือสิ่งที่พระยาห์เวห์ พระเจ้าผู้มีฤทธิ์ทั้งสิ้นพูด “ถ้าพวกมันสร้างมันขึ้นมาใหม่ เราก็จะรื้อมันทิ้งอีก และคนก็จะเรียกเมืองของคนเอโดมว่า เขตแดนแห่งความชั่วร้าย และจะเรียกคนเอโดมว่า ชนชาติที่ถูกพระยาห์เวห์สาปแช่งตลอดกาล”
5 เมื่อพวกเจ้าได้เห็นสิ่งนี้กับตาตัวเอง พวกเจ้าก็จะพูดว่า “พระยาห์เวห์นี้แน่จริงๆ แม้แต่นอกเขตแดนของอิสราเอล พระองค์ก็ยังทำสิ่งที่ยิ่งใหญ่ได้”
คนนมัสการแค่เป็นพิธี
6 เรา ยาห์เวห์ผู้มีฤทธิ์ทั้งสิ้น พูดกับพวกเจ้าที่เป็นนักบวชว่า
“ลูกย่อมให้เกียรติกับพ่อ คนใช้ก็ย่อมให้เกียรติกับเจ้านาย เราเป็นพ่อของเจ้า แล้วไหนล่ะ เกียรติที่เราควรจะได้รับ เราเป็นเจ้านายของเจ้า แล้วไหนล่ะ ความยำเกรงที่คนควรจะให้เรา พวกเจ้าดูหมิ่นชื่อของเรา”
แต่เจ้าถามว่า “พวกเราดูหมิ่นพระองค์ตรงไหน”
7 พระยาห์เวห์ตอบว่า “ก็ตอนที่เจ้าเอาอาหารที่ไม่บริสุทธิ์มาถวายบนแท่นบูชาของเราไง”
แต่พวกเจ้ายังเถียงอีกว่า “เราทำให้มันไม่บริสุทธิ์ยังไงหรือ”
พระยาห์เวห์ตอบว่า “ก็ตอนที่พวกเจ้าพูดว่า ‘ไม่เห็นต้องให้เกียรติอะไรนักหนาต่อแท่นบูชาของพระยาห์เวห์’ 8 ตอนที่พวกเจ้าเอาสัตว์ตาบอดมาถวายเรา เจ้าคิดว่ามันไม่ผิดหรือ และตอนที่เจ้าเอาสัตว์ที่ขาเป๋หรือป่วยมาถวายเรา เจ้าคิดว่ามันไม่ผิดหรือ” พระยาห์เวห์ผู้มีฤทธิ์ทั้งสิ้น บอกว่า “ลองเอาสัตว์พวกนั้นไปให้กับผู้ว่าของเจ้าดูสิ ดูสิว่าเขาจะพอใจเจ้าหรือเปล่า ดูสิว่าจะทำให้เขาอยากจะช่วยเจ้าหรือเปล่า”
9 “พวกเจ้านักบวช ลองอ้อนวอนพระเจ้าให้เมตตาพวกเราหน่อยสิ ตอนที่เจ้านำของพิกลพิการมาถวายนั้น ดูสิว่าพระองค์อยากจะช่วยเจ้าหรือเปล่า”
10 พระยาห์เวห์ผู้มีฤทธิ์ทั้งสิ้นพูดว่า “เราหวังเหลือเกินว่า จะมีใครสักคนในพวกเจ้าที่ไปปิดประตูวิหารนั้น เพื่อว่าเจ้าจะได้ไม่ก่อไฟที่ไร้ประโยชน์บนแท่นบูชาของเรา เราไม่พอใจเจ้า และเราก็จะไม่รับของถวายจากมือเจ้าด้วย”
11 พระยาห์เวห์ผู้มีฤทธิ์ทั้งสิ้นพูดว่า “จริงๆแล้ว คนชาติอื่นยังให้เกียรติเรามากกว่าเจ้าเสียอีก จากทิศตะวันออกถึงทิศตะวันตก มีผู้คนในทุกชนชาติที่ให้เกียรติเรา ผู้คนทุกหนแห่งต่างก็ถวายเครื่องหอม พร้อมๆกับของถวายอันบริสุทธิ์ให้กับเรา เพราะมีผู้คนในทุกชนชาติให้เกียรติเรา”
12 พระยาห์เวห์ผู้มีฤทธิ์ทั้งสิ้นพูดว่า “แต่พวกเจ้าดูหมิ่นเราเมื่อเจ้าพูดว่า
‘แท่นบูชาของพระยาห์เวห์นั้นศักดิ์สิทธิ์ตรงไหน และอาหารที่อยู่บนแท่นนั้นก็ไม่เห็นจะพิเศษตรงไหน’ 13 และเจ้ายังพูดว่า ‘น่าเบื่อจริงๆ’ และทำหน้าเซ็งๆใส่เรา เจ้าได้เอาสัตว์ที่ขโมยมา หรือสัตว์ขาเป๋ หรือสัตว์ที่เจ็บป่วย แล้วเจ้าก็เอามันมาถวายให้กับเรา เจ้าคิดว่าเราจะพอใจรับมันมาจากมือของเจ้าอย่างนั้นหรือ 14 คนที่มีสัตว์ตัวผู้ในฝูงที่สามารถเอามาถวายให้กับพระยาห์เวห์ได้ และเขาก็ได้สาบานไว้แล้วที่จะเอาสัตว์ตัวนั้นมาถวาย แต่พอถึงเวลา เขากลับเอาตัวที่พิการมาถวายแทน คนขี้โกงอย่างนี้จะถูกสาปแช่ง เพราะเราเป็นกษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่ และเป็นที่เกรงกลัวของผู้คนที่อยู่ในชนชาติต่างๆ”
นักบวชดีกับนักบวชเลว
2 พระยาห์เวห์ผู้มีฤทธิ์ทั้งสิ้นพูดว่า “ฟังให้ดี พวกนักบวชทั้งหลาย คำสั่งนี้มีไว้สำหรับพวกเจ้า 2 ถ้าพวกเจ้าไม่เชื่อฟังเรา และไม่ใส่ใจให้เกียรติเรา เราก็จะสาปแช่งเจ้า เราจะเอาพระพรต่างๆของเจ้าไป และสาปแช่งเจ้าแทน ความจริงเราก็ได้ทำอย่างนั้นแล้ว เพราะเจ้าไม่ได้ใส่ใจกับเรื่องนี้
3 เราจะลงโทษลูกหลานของเจ้า แล้วเราจะเอาขี้จากไส้ของสัตว์ที่เจ้าเอามาถวายในเทศกาลของเจ้า มาละเลงหน้าเจ้า แล้วคนก็จะแบกเจ้าโยนออกไปที่กองขี้เหล่านั้น 4 และพวกเจ้าก็จะได้รู้ว่าเป็นเราเองที่ส่งคำสั่งนี้มาให้กับเจ้า เพื่อว่าข้อตกลงที่เราได้ทำไว้กับเผ่าเลวีจะคงอยู่ต่อไป”
5 พระยาห์เวห์พูดว่า “เราได้ทำข้อตกลงกับเผ่าเลวี เพื่อเราจะได้ให้ชีวิตและสันติสุขกับพวกเขา และเราก็ได้ให้ชีวิตและสันติสุขอย่างนั้นกับพวกเขาแล้ว เพื่อว่าพวกเขาจะได้เคารพนับถือเรา
และพวกเขาก็ได้เคารพนับถือ
และตะลึงพรึงเพริดไปกับความยิ่งใหญ่ของเรา 6 พวกเขาสอนความจริงอย่างสัตย์ซื่อ
และไม่เคยสอนสิ่งที่วิปริตชั่วร้าย
เขาใช้ชีวิตอยู่กับเราอย่างสันติ
และทำในสิ่งที่ถูกต้อง
เขาพาคนเป็นจำนวนมาก
ให้หันกลับจากการทำผิด
7 ที่พวกเขาเป็นอย่างนั้น ก็เพราะว่า
นักบวชควรจะสอนความจริงอย่างระมัดระวัง
ผู้คนควรจะมาหานักบวชเพื่อให้นักบวชสอนเขาเกี่ยวกับกฎของพระเจ้า
เพราะว่านักบวชเป็นผู้ส่งข่าวของพระยาห์เวห์ผู้มีฤทธิ์ทั้งสิ้น”
8 พระยาห์เวห์ผู้มีฤทธิ์ทั้งสิ้นพูดว่า “แต่พวกเจ้านักบวช ได้หันไปจากทางของพระเจ้า และทำให้คนเป็นจำนวนมากทอดทิ้งกฎ พวกเจ้าได้ทำลายข้อตกลงที่เราได้ทำไว้กับเผ่าเลวี 9 เราถึงได้ทำให้เจ้าอับอายขายหน้าต่อหน้าคนทั้งปวง ที่เราทำอย่างนี้ ก็เพราะเจ้าไม่ได้เดินตามแนวทางของเรา แต่ละคนโอนเอียงไปทำตามสิ่งที่พวกเจ้าแปลกันเองจากกฎนั้น”
อย่าทำผิดคำมั่นสัญญา
10 พวกเราทั้งหมดมีพระบิดาองค์เดียวกันไม่ใช่หรือ และพระเจ้าผู้ที่สร้างพวกเราแต่ละคน ก็เป็นพระเจ้าองค์เดียวกันไม่ใช่หรือ แล้วทำไมเราถึงไปโกงพี่น้องของเราละ การทำอย่างนี้เป็นการดูหมิ่นเหยียดหยามคำสัญญาที่พระเจ้าได้ทำไว้กับบรรพบุรุษของเรา 11 คนเผ่ายูดาห์ได้ทำสิ่งที่เลวร้ายและน่ารังเกียจขยะแขยงต่อคนอิสราเอลและต่อเมืองเยรูซาเล็ม มันเป็นเพราะว่าคนเผ่ายูดาห์ได้ดูหมิ่นเหยียดหยามสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ของพระยาห์เวห์ ที่พระองค์รัก และได้แต่งงานกับคนที่กราบไหว้บูชาพระต่างชาติ 12 ขอให้พระยาห์เวห์ตัดคนที่ทำอย่างนั้นออกไปจากครอบครัวของยาโคบไม่ว่าคนๆนั้นจะเป็นใครก็ตาม ถึงแม้เขาจะเอาของขวัญมาถวายให้กับพระยาห์เวห์ผู้มีฤทธิ์ทั้งสิ้นก็ตาม 13 และพวกเจ้าจะทำอีกอย่างหนึ่งคือ พวกเจ้าจะต้องร้องไห้คร่ำครวญ จนน้ำตาไหลนองทั่วแท่นบูชาของพระยาห์เวห์ เพราะพระองค์ไม่ยอมหันมามองของขวัญที่เจ้าเอามา และไม่ยินดีที่จะรับมันมาจากมือของพวกเจ้า
14 แล้วเจ้าก็ถามว่า “ทำไมพระเจ้าถึงไม่ยอมรับเรา” ก็เพราะพระยาห์เวห์เป็นพยานถึงสิ่งที่เกิดขึ้นระหว่างเจ้าและเมียที่เจ้าแต่งด้วยตั้งแต่เป็นหนุ่ม ผู้หญิงที่เจ้าได้นอกใจ ทั้งๆที่นางก็เป็นคู่ทุกข์คู่ยากของเจ้า และเป็นผู้หญิงที่เจ้าเคยให้คำมั่นสัญญาที่จะอยู่ด้วยตลอดไป 15 พระเจ้าต้องการให้สามีและภรรยาเป็นหนึ่งเดียวกันทั้งร่างกายและจิตใจ เพื่อลูกที่เกิดมาจะได้อยู่ในแนวทางของพระองค์ ดังนั้นระวังจิตใจของพวกเจ้าให้ดี อย่าได้นอกใจเมียที่เจ้าแต่งด้วยตั้งแต่เป็นหนุ่ม
16 พระยาห์เวห์ พระเจ้าของอิสราเอลพูดว่า “ที่เราพูดอย่างนี้ ก็เพราะเราเกลียดการหย่าร้าง และเกลียดคนที่ปกปิดเสื้อผ้าของเขาด้วยรอยของความเหี้ยมโหด” พระยาห์เวห์ผู้มีฤทธิ์ทั้งสิ้นพูดอย่างนั้น ดังนั้นให้ระวังจิตใจของพวกเจ้าและอย่าได้นอกใจเมีย
เวลาแห่งการพิพากษา
17 พวกเจ้าทำให้พระยาห์เวห์เบื่อด้วยคำพูดของพวกเจ้า แต่เจ้าพูดว่า “เราทำอะไรถึงทำให้พระองค์เบื่อหรือ” ก็ตอนที่เจ้าพูดว่า “ในสายตาของพระยาห์เวห์เห็นว่าคนที่ทำชั่วนั้นเป็นคนดี และพระองค์ก็ชื่นชอบพวกเขาด้วย” หรือ ตอนที่เจ้าพูดว่า “พระเจ้าแห่งความยุติธรรมอยู่ที่ไหน”
3 พระยาห์เวห์ผู้มีฤทธิ์ทั้งสิ้นพูดว่า “ดูให้ดี เรายาห์เวห์ ได้ส่งคนส่งข่าวของเรามา และเขาจะมาเตรียมทางให้กับเรา องค์เจ้าชีวิตที่พวกเจ้ากำลังแสวงหานั้น กำลังจะมายังวิหารของพระองค์ในทันทีทันใด และทูตแห่งพันธสัญญาที่พวกเจ้าชื่นชอบมากกำลังจะมา
2 แต่ใครจะทนอยู่ได้เมื่อวันของพระองค์มาถึง และใครจะยืนหยัดอยู่ได้ในวันที่พระองค์มาปรากฏ เพราะพระองค์นั้นเป็นเหมือนกับไฟหลอมแร่ และเหมือนกับสบู่ของช่างซักฟอก 3 พระองค์จะนั่งเหมือนกับคนที่หลอมเงินให้บริสุทธิ์ พระองค์จะทำให้ลูกๆของเลวีบริสุทธิ์ พระองค์จะหลอมพวกเขาให้บริสุทธิ์เหมือนกับทองและเงิน และพวกเขาจะกลายเป็นนักบวชของพระยาห์เวห์ ที่ถวายของขวัญอย่างที่พวกเขาสมควรจะถวาย 4 แล้วพระยาห์เวห์จะยอมรับของขวัญของพวกยูดาห์และเยรูซาเล็ม เหมือนกับในอดีต และในสมัยก่อน 5 และเราก็จะเข้ามาใกล้พวกเจ้าเพื่อพิพากษาเจ้า และเราจะเป็นพยานอย่างเต็มที่ ต่อต้านคนที่ทำเวทมนตร์คาถา พวกที่มีชู้ พวกที่สาบานแบบหลอกๆในศาล พวกที่โกงค่าแรงคนงาน โกงแม่หม้าย และโกงเด็กกำพร้า และคนที่ไม่สนใจใยดีกับคนที่ไร้ที่อยู่ คนพวกนี้ทั้งหมดไม่ได้เกรงกลัวเราเลย”
ฉ้อโกงพระเจ้า
6 “เจ้าผู้เป็นลูกหลานของยาโคบไม่ถูกทำลายล้างเพราะเราคือพระยาห์เวห์ และเราไม่เคยเปลี่ยนแปลง 7 ตั้งแต่สมัยของบรรพบุรุษของเจ้า เจ้าได้หันไปจากกฎต่างๆของเราและไม่เคยรักษากฎเหล่านั้นเลย กลับมาหาเราสิ แล้วเราก็จะกลับมาหาเจ้า” พระยาห์เวห์ผู้มีฤทธิ์ทั้งสิ้นพูดอย่างนั้น
แล้วเจ้าก็ถามว่า “เราจะกลับมาได้ยังไง”
8 คนฉ้อโกงพระเจ้าได้หรือ ที่เราพูดอย่างนี้ ก็เพราะพวกเจ้ากำลังฉ้อโกงเราอยู่ แต่เจ้าก็พูดว่า “เราไปฉ้อโกงอะไรพระองค์”
“เจ้าได้ฉ้อโกงเราในเรื่องสิบลดและของถวายที่เราได้กำหนดไว้ 9 คำสาปแช่งจึงตกอยู่กับเจ้า เพราะเจ้าและคนทั้งชาติกำลังฉ้อโกงเราอยู่
10 ให้เอาสิบลดของผลผลิตทุกอย่างมาไว้ในคลังของเรา จะได้ใช้เป็นเสบียงในวิหารของเรา มาลองดูเราในเรื่องนี้สิ” พระยาห์เวห์ผู้มีฤทธิ์ทั้งสิ้นพูดอย่างนี้ “มาลองดูเราสิว่า เราจะเปิดช่องฟ้า แล้วเทพระพรลงมาให้กับพวกเจ้าจนหมดเกลี้ยง จนพวกเจ้าไม่ขาดอะไรเลย 11 เราจะสั่งพวกแมลงให้ถอยห่างๆจากไร่นาของเจ้า มันจะได้ไม่ทำลายผลผลิตจากพื้นดินของเจ้า และเถาองุ่นในสวนก็จะออกลูก” พระยาห์เวห์ผู้มีฤทธิ์ทั้งสิ้นพูดอย่างนี้
12 “ชนชาติทั้งหมดก็จะพูดยกย่องพวกเจ้า เพราะพวกเจ้าจะมีดินแดนที่น่าอยู่” พระยาห์เวห์ผู้มีฤทธิ์ทั้งสิ้นพูดอย่างนี้
13 พระยาห์เวห์พูดว่า “พวกเจ้าได้พูดใส่ร้ายเรา”
แต่พวกเจ้าถามว่า “เราพูดใส่ร้ายอะไรพระองค์หรือ”
14 พวกเจ้าพูดว่า “มันไม่มีประโยชน์อะไรที่จะรับใช้พระเจ้า เราไม่เห็นได้อะไรเลย” พวกนักบวชพูดว่า “พวกเราได้รับใช้ตามที่พระองค์สั่งอย่างระมัดระวัง และพยายามที่จะแสดงให้พระยาห์เวห์ผู้มีฤทธิ์ทั้งสิ้นเห็นว่าเราเศร้าโศกเสียใจกับบาปที่ได้ทำไป 15 แต่จากนี้ไป พวกเราจะอวยพรให้กับคนพวกนั้นที่อวดดี และยิ่งกว่านั้นเราจะช่วยส่งเสริมคนพวกนั้นที่ทำสิ่งชั่วๆพร้อมกับคนพวกนั้นที่ท้าทายพระเจ้า และยังพ้นภัยไปได้”
การจดรายชื่อของผู้ยำเกรงพระเจ้า
16 ในเวลานั้น คนที่ยำเกรงพระยาห์เวห์ ต่างก็พากันพูดกับเพื่อนๆของตน และพระยาห์เวห์ได้ตั้งใจฟังพวกเขาพูดกัน และต่อหน้าพระองค์ มีหนังสือม้วนหนึ่งที่ได้จดบันทึกรายชื่อของคนพวกนี้ที่ยำเกรงและนับถือชื่อของพระยาห์เวห์
17 พระยาห์เวห์ผู้มีฤทธิ์ทั้งสิ้นพูดว่า “พวกเขาจะเป็นของเรา ในวันที่เราตัดสินใจว่าอะไรเป็นของรักของหวงของเรา เราจะไว้ชีวิตของเขา เหมือนกับที่มนุษย์ไว้ชีวิตลูกที่รับใช้เขา 18 และพวกเจ้าก็จะได้เห็นถึงความแตกต่างอีกครั้ง ระหว่างคนดีกับคนชั่ว ระหว่างคนที่รับใช้พระเจ้ากับคนที่ไม่รับใช้พระองค์”
วันอันยิ่งใหญ่ของพระยาห์เวห์
4 “ที่เราพูดอย่างนี้ ก็เพราะวันนั้นกำลังมา มันจะเผาไหม้เหมือนเตาอบ และคนอวดดีทั้งหมด และคนที่ทำผิดทั้งหมด ก็จะกลายเป็นตอข้าว วันที่มาถึงนั้นก็จะเผาไหม้พวกมันจนหมด” พระยาห์เวห์ผู้มีฤทธิ์ทั้งสิ้นพูดอย่างนั้น “มันจะเป็นวันที่พวกมันจะไม่เหลือแม้แต่รากหรือกิ่งเลย”
2 “แต่สำหรับเจ้าที่ยำเกรงชื่อของเรา ดวงอาทิตย์แห่งความชอบธรรม ก็จะขึ้นมาและจะนำการรักษาติดมาบนปีกของมัน และพวกเจ้าก็จะออกไปกระโดดโลดเต้นเหมือนลูกวัวที่ถูกเลี้ยงอย่างดี 3 เจ้าก็จะเหยียบย่ำคนชั่วพวกนั้น เพราะพวกมันจะเป็นเหมือนขี้เถ้าใต้ฝ่าเท้าของเจ้า สิ่งนี้จะเกิดขึ้นในวันที่เราทำให้มันเกิดขึ้น” พระยาห์เวห์ผู้มีฤทธิ์ทั้งสิ้นพูดอย่างนี้
4 “ผู้รับใช้ของเรา ให้จดจำกฎของโมเสสไว้ ที่เราได้สั่งเขาไว้บนภูเขาโฮเรบ กฎนั้นประกอบด้วยกฎเกณฑ์และคำพิพากษาสำหรับชาวอิสราเอลทุกคน”
5 พระยาห์เวห์พูดว่า “ดูสิ เรากำลังส่งเอลียาห์ ผู้พูดแทนพระเจ้ามาให้กับเจ้า เขาจะมาก่อนวันอันยิ่งใหญ่และน่าสะพรึงกลัวของพระยาห์เวห์จะมาถึง 6 และเอลียาห์ก็จะทำให้จิตใจของพ่อหันไปหาลูก และจิตใจของลูกหันไปหาพ่อ ถ้าสิ่งนี้ไม่เกิดขึ้น เราก็จะมาและตีแผ่นดินนี้ด้วยคำสาปแช่ง”
ประวัติบรรพบุรุษของพระเยซู
(ลก. 3:23-38)
1 นี่คือรายชื่อบรรพบุรุษของพระเยซูกษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่ พระองค์เป็นลูกหลานของดาวิด และ อับราฮัม
2 อับราฮัม มีลูกชื่อ อิสอัค อิสอัคมีลูกชื่อ ยาโคบ ยาโคบมีลูกชื่อยูดาห์ และพี่น้องคนอื่นๆของยูดาห์
3 ยูดาห์มีลูกกับนางทามาร์ชื่อ เปเรศ และเศราห์ เปเรศมีลูกชื่อเฮสโรน และเฮสโรนมีลูกชื่อราม
4 รามมีลูกชื่อ อัมมีนาดับ อัมมีนาดับมีลูกชื่อนาโชน และนาโชนมีลูกชื่อสัลโมน
5 สัลโมน มีลูกกับนางราหับชื่อโบอาส โบอาสมีลูกกับนางรูธชื่อโอเบด และโอเบด มีลูกชื่อ เจสซี
6 เจสซีมีลูกเป็นกษัตริย์ดาวิด ดาวิดมีลูกชื่อซาโลมอน แม่ของซาโลมอนเคยเป็นภรรยาของอุรียาห์มาก่อน
7 ซาโลมอนมีลูกชื่อเรโหโบอัม เรโหโบอัมมีลูกชื่ออาบียาห์ และอาบียาห์มีลูกชื่ออาสา
8 อาสามีลูกชื่อเยโฮชาฟัท เยโฮชาฟัทมีลูกชื่อโยรัม โยรัมมีลูกชื่ออุสซียาห์
9 อุสซียาห์มีลูกชื่อโยธาม โยธามมีลูกชื่ออาหัส และอาหัสมีลูกชื่อเฮเซคียาห์
10 เฮเซคียาห์มีลูกชื่อมนัสเสห์ มนัสเสห์มีลูกชื่ออาโมนและอาโมนมีลูกชื่อโยสิยาห์
11 โยสิยาห์มีลูกคือเยโคนิยาห์และพี่น้องคนอื่นๆของเขา ในเวลานั้นพวกชาวยิวก็ถูกกวาดต้อนไปเป็นเชลยที่เมืองบาบิโลน
12 หลังจากถูกกวาดต้อนไปที่เมืองบาบิโลนแล้ว เยโคนิยาห์มีลูกชื่อเชอัลทิเอล และเชอัลทิเอลก็มีลูกชื่อเศรุบบาเบล
13 เศรุบบาเบลมีลูกชื่ออาบียุด อาบียุดมีลูกชื่อเอลียาคิม และเอลียาคิมมีลูกชื่ออาซอร์
14 อาซอร์มีลูกชื่อศาโดก ศาโดกมีลูกชื่ออาคิม และอาคิมมีลูกชื่อเอลีอูด
15 เอลีอูดมีลูกชื่อเอเลอาซาร์ เอเลอาซาร์มีลูกชื่อมัทธาน และมัทธานมีลูกชื่อยาโคบ
16 ยาโคบมีลูกชื่อโยเซฟซึ่งเป็นสามีของนางมารีย์ และนางมารีย์ก็เป็นแม่ของพระเยซูหรือที่เรียกกันว่าพระคริสต์
17 ดังนั้นนับตั้งแต่อับราฮัมลงมาจนถึงดาวิดมีสิบสี่รุ่น นับจากดาวิดลงมาจนถึงเมื่อถูกกวาดต้อนไปเป็นเชลยที่เมืองบาบิโลนก็มีสิบสี่รุ่น และนับตั้งแต่ถูกกวาดต้อนไปเป็นเชลยจนถึงพระคริสต์ก็มีสิบสี่รุ่น
พระเยซูคริสต์มาเกิด
(ลก. 2:1-7)
18 เรื่องราวที่พระเยซูกษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่มาเกิดนั้นมีอยู่ว่า มารีย์ ซึ่งเป็นแม่ของพระเยซู ได้หมั้นกับโยเซฟ แต่ก่อนที่เขาจะแต่งงานกัน มารีย์ก็ตั้งท้องขึ้นมาโดยฤทธิ์เดชของพระวิญญาณบริสุทธิ์ 19 โยเซฟคู่หมั้นของมารีย์นั้นเป็นคนดี ไม่อยากให้นางต้องอับอายขายหน้า จึงได้ตัดสินใจที่จะถอนหมั้นกับนางอย่างเงียบๆ 20 ในขณะที่โยเซฟกำลังคิดเรื่องนี้อยู่ ทูตขององค์เจ้าชีวิตมาเข้าฝันโยเซฟ และบอกว่า “โยเซฟ ลูกหลานของดาวิด[i] ไม่ต้องกลัวที่จะรับมารีย์มาเป็นภรรยาหรอก เพราะเด็กในท้องของนางนั้น เกิดจากฤทธิ์เดชของพระวิญญาณบริสุทธิ์ 21 มารีย์จะคลอดลูกชาย ให้ตั้งชื่อเด็กนั้นว่า ‘เยซู’[j] เพราะเขาจะช่วยคนของเขาให้พ้นจากบาปทั้งหลายของพวกเขา”
22 เรื่องทั้งหมดนี้เกิดขึ้นเพื่อจะได้เป็นไปตามที่องค์เจ้าชีวิตเคยพูดผ่านมาทางผู้พูดแทนพระเจ้า ที่ว่า
23 “จะมีหญิงพรหมจารีตั้งท้อง และคลอดลูกชาย
ซึ่งคนจะเรียกเขาว่า ‘อิมมานูเอล’[k]
ที่แปลว่า ‘พระเจ้าอยู่กับเรา’”
24 เมื่อโยเซฟตื่นขึ้นมา เขาก็ทำตามคำสั่งของทูตองค์นั้น และรับมารีย์มาเป็นภรรยา 25 แต่โยเซฟไม่ได้มีเพศสัมพันธ์กับเธอ จนกระทั่งมารีย์คลอดลูกชายแล้ว โยเซฟตั้งชื่อเด็กว่า “เยซู”
พวกโหราจารย์เข้าเฝ้าพระเยซู
2 พระเยซู เกิดที่หมู่บ้านเบธเลเฮมในแคว้นยูเดีย ในสมัยของกษัตริย์เฮโรด[l] ต่อมามีพวกโหราจารย์เดินทางมาจากทิศตะวันออกเข้ามาที่เมืองเยรูซาเล็ม 2 มาถามว่า “รู้หรือเปล่าว่าเด็กคนนั้นที่เกิดมาเป็นกษัตริย์ของชาวยิวอยู่ที่ไหน พวกเราเห็นดวงดาวของพระองค์ขึ้นอยู่ทางทิศตะวันออก จึงเดินทางมาเพื่อกราบไหว้บูชาพระองค์” 3 เมื่อกษัตริย์เฮโรดได้ยินก็วุ่นวายใจมาก รวมถึงชาวเมืองเยรูซาเล็มทุกคนด้วย 4 กษัตริย์เฮโรดจึงเรียกให้พวกหัวหน้านักบวช และพวกครูสอนกฎปฏิบัติทุกคนมาประชุมกัน และถามว่า “พระคริสต์ ควรจะเกิดที่ไหน” 5 พวกเขาตอบว่า “ที่เบธเลเฮม ในแคว้นยูเดียครับท่าน เพราะผู้พูดแทนพระเจ้า เขียนไว้ว่า
6 ‘หมู่บ้านเบธเลเฮมในแผ่นดินยูดาห์
พวกเจ้าไม่ใช่แค่หมู่บ้านกระจอกๆหมู่บ้านหนึ่งในแผ่นดินยูดาห์
เพราะจะมีผู้นำคนหนึ่งออกมาจากพวกเจ้า
เป็นผู้ที่จะมาเลี้ยงดูอิสราเอล ประชาชนของเรา’”[m]
7 กษัตริย์เฮโรด จึงเชิญพวกโหราจารย์มาพบอย่างลับๆและถามพวกเขาว่าได้เห็นดาวดวงนั้นครั้งแรกเมื่อไหร่ 8 แล้วกษัตริย์เฮโรดส่งพวกโหราจารย์ไปที่หมู่บ้านเบธเลเฮม และสั่งว่า “ไปตามหาเด็กคนนั้น เจอเมื่อไหร่ให้รีบกลับมาบอก เราจะได้ไปนมัสการเด็กคนนั้นด้วย”
9 เมื่อกษัตริย์เฮโรดสั่งเสร็จแล้ว พวกโหราจารย์ก็ตามดาวดวงนั้นที่พวกเขาเห็นขึ้นอยู่ทางทิศตะวันออกไป ดาวดวงนั้นนำพวกเขาไปหยุดอยู่เหนือที่ที่เด็กชายคนนั้นอยู่ 10 เมื่อพวกโหราจารย์เห็นอย่างนั้นก็ดีใจมาก 11 จึงพากันเข้าไปในบ้าน และพบเด็กชายกับมารีย์แม่ของเด็ก พวกเขาจึงกราบไหว้บูชาเด็กนั้น พร้อมกับเอาทองคำ กำยาน และมดยอบ[n] ออกมาให้เป็นของขวัญกับเด็กชาย 12 พระเจ้าได้มาเตือนพวกโหราจารย์ในความฝัน ไม่ให้กลับไปหากษัตริย์เฮโรด พวกเขาจึงใช้เส้นทางอื่นกลับไปบ้านเมืองของตน
โยเซฟกับมารีย์พาพระเยซูหนีไปอียิปต์
13 เมื่อพวกโหราจารย์กลับไปแล้ว ทูตขององค์เจ้าชีวิตมาเข้าฝันโยเซฟและบอกว่า “ลุกขึ้น พาเด็กกับแม่ของเด็กหนีไปอยู่ที่อียิปต์ แล้วให้อยู่ที่นั่นจนกว่าจะบอกให้กลับมา เพราะกษัตริย์เฮโรด กำลังจะส่งคนมาตามฆ่าเด็กคนนี้”
14 โยเซฟจึงลุกขึ้น และพาเด็กพร้อมกับแม่ของเด็กออกเดินทางไปอียิปต์ในคืนนั้นเลย 15 พวกเขาอยู่ที่นั่นจนกษัตริย์เฮโรดตาย ซึ่งก็เป็นไปตามที่องค์เจ้าชีวิตเคยพูดผ่านมาทางผู้พูดแทนพระเจ้า ว่า “เราได้เรียกลูกของเราออกมาจากอียิปต์”[o]
เฮโรดฆ่าพวกเด็กชายในหมู่บ้านเบธเลเฮม
16 เมื่อกษัตริย์เฮโรด รู้ว่าโดนพวกโหราจารย์หลอก ก็โกรธมาก จึงสั่งให้คนไปฆ่าเด็กผู้ชายทุกคนที่มีอายุตั้งแต่สองขวบลงมาที่อยู่ในหมู่บ้านเบธเลเฮม และบริเวณใกล้เคียงแถวนั้น เพราะพวกโหราจารย์บอกกับกษัตริย์ว่า พวกเขาเห็นดวงดาวปรากฏขึ้นครั้งแรกเมื่อสองปีมาแล้ว 17 ซึ่งเป็นไปตามที่องค์เจ้าชีวิตเคยพูดผ่านเยเรมียาห์ ผู้พูดแทนพระเจ้าว่า
18 “ฟังเสียงในหมู่บ้านรามาห์
เป็นเสียงร้องไห้ด้วยความเสียใจยิ่ง
คือเสียงร้องไห้ของราเชลเรื่องลูกๆของเธอ
เธอก็ไม่ยอมให้ใครปลอบโยน เพราะลูกๆของเธอตายแล้ว”[p]
โยเซฟและมารีย์กลับจากอียิปต์
19 หลังจากกษัตริย์เฮโรดตายแล้ว ทูตขององค์เจ้าชีวิตเข้าฝันโยเซฟซึ่งอยู่ที่อียิปต์ว่า 20 “ลุกขึ้น ให้พาทั้งเด็กและแม่ของเด็กกลับไปที่แผ่นดินอิสราเอล เพราะคนที่ต้องการจะฆ่าเด็กคนนี้ ตายไปหมดแล้ว”
21 โยเซฟจึงลุกขึ้นแล้วพาเด็กและแม่ของเด็กกลับไปที่อิสราเอล 22 แต่เมื่อโยเซฟรู้ว่าอารเคลาอัส[q] ได้ขึ้นเป็นกษัตริย์ของแคว้นยูเดียแทนกษัตริย์เฮโรดผู้เป็นพ่อ เขาก็กลัวไม่กล้ากลับไปแคว้นยูเดีย โยเซฟได้รับคำเตือนในความฝันให้เดินทางไปที่แคว้นกาลิลี 23 เขาไปอยู่ที่เมืองนาซาเร็ธ เพื่อให้เป็นจริงตามที่องค์เจ้าชีวิตเคยพูดไว้เกี่ยวกับพระคริสต์ ผ่านมาทางพวกผู้พูดแทนพระเจ้า ที่ว่า “คนจะเรียกเขาว่า ชาวนาซาเร็ธ”
งานของยอห์นผู้ทำพิธีจุ่มน้ำ
(มก. 1:1-8; ลก. 3:1-9, 15-17; ยน. 1:19-28)
3 ในเวลานั้น ยอห์นผู้ทำพิธีจุ่มน้ำ เริ่มประกาศสั่งสอนอยู่ในที่เปล่าเปลี่ยวแห้งแล้งในแคว้นยูเดีย 2 เขาประกาศว่า “กลับตัวกลับใจเสียใหม่ เพราะอาณาจักรแห่งสวรรค์[r] ใกล้มาถึงแล้ว” 3 อิสยาห์ ผู้พูดแทนพระเจ้าได้พูดถึงยอห์นคนนี้ว่า
“มีเสียงคนร้องตะโกนอยู่ในที่เปล่าเปลี่ยวแห้งแล้งว่า
‘เตรียมทางให้องค์เจ้าชีวิต
และทำทางสำหรับพระองค์ให้ตรง’”[s]
4 เสื้อผ้าของยอห์นทำจากขนอูฐ และเขาใช้หนังสัตว์คาดเอว เขากินตั๊กแตน[t] และน้ำผึ้งป่าเป็นอาหาร 5 ในเวลานั้น มีคนจำนวนมากจากเมืองเยรูซาเล็ม ทั่วแคว้นยูเดีย และแถวๆบริเวณแม่น้ำจอร์แดนทั้งหมด ต่างก็ออกมาฟังยอห์นสั่งสอน 6 พวกเขาสารภาพความผิดบาปทั้งหลายของตน และยอห์นทำพิธีจุ่มน้ำให้กับพวกเขาในแม่น้ำจอร์แดน
7 เมื่อยอห์นเห็นพวกฟาริสี และพวกสะดูสี เป็นจำนวนมากพากันมา จะให้เขาทำพิธีจุ่มน้ำให้ ยอห์นพูดกับพวกเขาว่า “ไอ้ชาติอสรพิษ ใครเตือนให้พวกแกหลบหนีจากการลงโทษของพระเจ้าที่กำลังจะมาถึง 8 พิสูจน์ให้ดูสิว่าแกกลับตัวกลับใจแล้วจริงๆ 9 อย่านึกเอาเองว่า ‘พวกเราไม่ถูกลงโทษหรอก เพราะพวกเราเป็นลูกหลานของอับราฮัม’ โธ่เอ๋ย ผมจะบอกให้รู้ว่า พระเจ้าสามารถเสกก้อนหินพวกนี้ให้กลายเป็นลูกหลานของอับราฮัมก็ได้ 10 ขวานได้เตรียมไว้พร้อมแล้วเพื่อจะโค่นต้นไม้ทุกต้น[u] ที่ไม่เกิดผลดี แล้วเอาไปโยนทิ้งในกองไฟ
11 ผมทำพิธีจุ่มให้ด้วยน้ำ เพื่อให้รู้ว่าพวกคุณได้กลับตัวกลับใจแล้ว แต่จะมีผู้หนึ่งที่มาทีหลังผม ยิ่งใหญ่กว่าผมมาก ขนาดรองเท้าสานของเขา ผมยังไม่ดีพอที่จะถอดให้เลย เขาจะทำพิธีจุ่มให้กับพวกคุณด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์ และด้วยไฟ 12 มือของเขาถือพลั่วพร้อมแล้วที่จะสะสางลานข้าวจนทั่วและจะแยกแกลบออกจากข้าว[v] จะเก็บข้าวไว้ในยุ้งฉางของเขา ส่วนแกลบก็เอาไปเผากับไฟที่ไม่มีวันดับ”
ยอห์นทำพิธีจุ่มน้ำให้พระเยซู
(มก. 1:9-11; ลก. 3:21-22)
13 ในเวลานั้น พระเยซูเดินทางจากแคว้นกาลิลี มาหายอห์นที่แม่น้ำจอร์แดน เพื่อให้ยอห์นทำพิธีจุ่มน้ำให้ 14 แต่ยอห์นไม่ยอมทำให้ เขาบอกว่า “อาจารย์ต้องเป็นคนทำให้ผม ไม่ใช่ผมทำให้อาจารย์”
15 แต่พระเยซูตอบว่า “ตอนนี้ ให้เป็นอย่างนี้ไปก่อน เพราะพวกเราควรทำทุกอย่างตามที่พระเจ้าต้องการ” ยอห์นถึงยอมทำพิธีจุ่มน้ำ ให้พระองค์ 16 ทันทีที่พระองค์โผล่ขึ้นมาจากน้ำ ท้องฟ้าก็เปิดออก และพระองค์ก็เห็นพระวิญญาณของพระเจ้าเหมือนนกพิราบลงมาอยู่เหนือพระองค์ 17 มีเสียงพูดจากสวรรค์ว่า “ท่านผู้นี้คือลูกรักของเรา เราภูมิใจในตัวท่านมาก”
มารมาลองใจพระเยซู
(มก. 1:12-13; ลก. 4:1-13)
4 แล้วพระวิญญาณ ก็พาพระเยซูไปที่เปล่าเปลี่ยวแห้งแล้ง เพื่อให้มารมาลองใจพระองค์ 2 หลังจากพระเยซูอดอาหารมาเป็นเวลาสี่สิบวันสี่สิบคืน พระองค์ก็หิวจัด 3 มารจึงมายั่วยุพระองค์ว่า “ถ้าเป็นลูกพระเจ้าจริง ก็สั่งหินพวกนี้ให้กลายเป็นขนมปังสิ”
4 พระเยซูตอบว่า “พระคัมภีร์ เขียนไว้ว่า
‘ชีวิตที่เที่ยงแท้ไม่ได้ขึ้นอยู่กับขนมปังเพียงอย่างเดียว
แต่อยู่ได้ด้วยคำพูดทุกคำที่มาจากพระเจ้า’”[w]
5 จากนั้นมารก็นำพระองค์ไปยังเมืองเยรูซาเล็มและไปยืนกันอยู่บนจุดสูงสุดของวิหาร 6 แล้วมารก็ท้าพระเยซูว่า “ถ้าเป็นลูกพระเจ้าจริง ก็กระโดดลงไปเลย เพราะพระคัมภีร์เขียนไว้ว่า
‘พระเจ้าจะสั่งให้ทูตของพระองค์คุ้มครองท่าน
และเหล่าทูตสวรรค์ก็จะรับท่านไว้
เพื่อไม่ให้เท้าของท่านกระแทกหิน’”[x]
7 พระเยซูตอบมารว่า “แต่พระคัมภีร์ก็เขียนไว้เหมือนกันว่า ‘อย่าได้ลองดีกับองค์เจ้าชีวิต พระเจ้าของเจ้า’”[y]
8 อีกครั้งหนึ่ง มารนำพระเยซูไปที่ภูเขาที่สูงที่สุด เพื่อพระองค์จะได้เห็นอาณาจักรในโลกทั้งหมดและความเจริญรุ่งเรืองของพวกมัน 9 แล้วมารก็ท้าพระเยซูว่า “ถ้ากราบไหว้บูชาเรา เราก็จะยกทั้งหมดที่เห็นนี้ให้”
10 พระเยซูจึงตอบว่า “ไปให้พ้น ไอ้ซาตาน เพราะพระคัมภีร์เขียนไว้ว่า
‘เจ้าจะต้องกราบไหว้บูชาองค์เจ้าชีวิตพระเจ้าของเจ้า
และรับใช้พระองค์แต่เพียงผู้เดียว’”[z]
11 มารจึงไปจากพระองค์ และเหล่าทูตสวรรค์ก็มารับใช้พระองค์
พระเยซูเริ่มงานในแคว้นกาลิลี
(มก. 1:14-15; ลก. 4:14-15)
12 เมื่อพระเยซูได้ข่าวว่ายอห์นถูกจับขังคุก พระองค์กลับไปที่แคว้นกาลิลี 13 แล้วย้ายจากเมืองนาซาเร็ธ ไปอยู่ที่เมืองคาเปอรนาอุม ที่อยู่ริมฝั่งทะเลสาบกาลิลีในเขตแดนเศบูลุนและ นัฟทาลี 14 เพื่อให้เป็นไปตามที่อิสยาห์ ผู้พูดแทนพระเจ้า ได้พูดว่า
15 “ดินแดนเศบูลุน และดินแดนนัฟทาลี
ที่ตั้งอยู่ริมฝั่งทะเลสาบกาลิลี ทางทิศตะวันตกของแม่น้ำจอร์แดน
คือแคว้นกาลิลีซึ่งเป็นที่อยู่ของคนที่ไม่ใช่ยิว
16 คนที่นั่งอยู่ในความมืดได้เห็นแสงสว่างที่ยิ่งใหญ่
แสงสว่างก็ได้ส่องมาถึงคนที่อยู่ในดินแดนใต้เงาแห่งความตายนั้นแล้ว”[aa]
พระเยซูเลือกศิษย์บางคน
(มก. 1:16-20; ลก. 5:1-11)
17 ตั้งแต่นั้นมา พระเยซูได้เริ่มประกาศว่า “กลับตัวกลับใจเสียใหม่เพราะอาณาจักรแห่งสวรรค์ใกล้เข้ามาแล้ว”
18 วันหนึ่ง ขณะที่พระเยซูกำลังเดินอยู่ริมฝั่งทะเลสาบกาลิลี พระองค์มองเห็นพี่น้องสองคนคือ ซีโมนที่คนเรียกว่า เปโตร และอันดรูว์น้องชายของเขา กำลังเหวี่ยงแหจับปลากันอยู่ เพราะพวกเขาเป็นชาวประมง 19 พระองค์พูดกับเขาว่า “ตามเรามาเถอะ เราจะสอนให้จับคนแทนจับปลา” 20 ทั้งสองคนก็ทิ้งแหและติดตามพระองค์ไปทันที
21 เมื่อพระองค์เดินต่อไปอีกหน่อยหนึ่ง ก็เห็นพี่น้องอีกสองคนคือ ยากอบ ลูกชายของเศเบดี กับยอห์นน้องชายของเขา กำลังซ่อมแซมแหกับพ่อของพวกเขาอยู่ในเรือ แล้วพระองค์เรียกพี่น้องสองคนนี้มา 22 ทั้งยากอบและยอห์นก็เลยลาพ่อและทิ้งเรือ แล้วพวกเขาตามพระองค์ไปทันที
พระเยซูสอนและรักษาประชาชน
(ลก. 6:17-19)
23 พระเยซูเดินทางไปทั่วแคว้นกาลิลี เพื่อสั่งสอนคนตามที่ประชุมชาวยิว และประกาศข่าวดีเกี่ยวกับอาณาจักรแห่งสวรรค์ให้ทุกคนรู้ นอกจากนี้ยังได้รักษาโรคภัยไข้เจ็บต่างๆให้กับคนในเมืองจนหายด้วย 24 ทำให้ชื่อเสียงของพระองค์เลื่องลือไปทั่วประเทศซีเรีย ผู้คนแห่กันมาหาพระเยซู เขาพาคนที่เจ็บป่วยทนทุกข์ทรมานด้วยโรคต่างๆ คนถูกผีสิง คนเป็นลมบ้าหมู และคนเป็นอัมพาตมาด้วย แล้วพระองค์ได้รักษาพวกเขาจนหายหมดทุกคน 25 คนจำนวนมากพากันติดตามพระองค์ มีทั้งคนจากแคว้นกาลิลี แคว้นเดคาโปลิศ[ab] เมืองเยรูซาเล็ม แคว้นยูเดีย และดินแดนทางตะวันออกของแม่น้ำจอร์แดน
พระคริสตธรรมคัมภีร์: ฉบับอ่านเข้าใจง่าย ภาคคำสัญญาใหม่ © 2015 Bible League International