Bible in 90 Days
11 เลบานอนเอ๋ย จงเปิดประตูทั้งหลายของเจ้าเถิด
เพื่อไฟจะได้เผาผลาญเหล่าสนซีดาร์ของเจ้า!
2 ต้นสนเอ๋ย จงร่ำไห้เถิด เพราะซีดาร์ถูกโค่นลงแล้ว
ต้นไม้งามตระหง่านนั้นย่อยยับลงแล้ว!
ต้นโอ๊กแห่งบาชานเอ๋ย จงร่ำไห้เถิด
ป่าทึบถูกตัดเตียนแล้ว!
3 จงฟังเสียงร่ำไห้ของบรรดาคนเลี้ยงแกะ
ทุ่งหญ้าอันอุดมสมบูรณ์ของพวกเขาถูกทำลายไป!
จงฟังเสียงคำรามของเหล่าสิงห์
ป่าอันเขียวขจีของจอร์แดนถูกทำลายไปแล้ว!
คนเลี้ยงแกะทั้งสอง
4 พระยาห์เวห์พระเจ้าของข้าพระองค์ตรัสว่า “จงเลี้ยงฝูงแกะที่จะต้องถูกฆ่า 5 ผู้ซื้อฆ่าแกะเหล่านั้นและไม่ถูกลงโทษแต่อย่างใด บรรดาคนขายก็พูดว่า ‘สรรเสริญองค์พระผู้เป็นเจ้า เรารวยแล้ว!’ คนเลี้ยงแกะเองขายมันไปโดยไม่ปรานีฝูงแกะเลย 6 เพราะเราจะไม่สงสารชาวแผ่นดินนี้อีกแล้ว” องค์พระผู้เป็นเจ้าประกาศดังนี้ “เราจะมอบทุกคนไว้ในมือเพื่อนบ้านและกษัตริย์ของพวกเขา ซึ่งจะข่มเหงเบียดเบียนแผ่นดินนี้ เราจะไม่ช่วยพวกเขาจากเงื้อมมือของคนเหล่านั้น”
7 ดังนั้นข้าพเจ้าจึงเลี้ยงแกะที่จะต้องถูกฆ่า โดยเฉพาะตัวที่ถูกรังแก แล้วข้าพเจ้าเอาไม้เท้าคนเลี้ยงแกะมาสองอัน อันหนึ่งตั้งชื่อว่า “พระคุณ” และอีกอันหนึ่งตั้งชื่อว่า “กลมเกลียว” แล้วข้าพเจ้าก็เลี้ยงดูแกะ 8 ภายในเดือนเดียวข้าพเจ้าได้กำจัดคนเลี้ยงแกะทั้งสามคนนั้นออกไป
แต่ข้าพเจ้ากลับเอือมระอาฝูงแกะคือชนชาตินี้ และพวกเขาก็เกลียดชังข้าพเจ้า 9 ข้าพเจ้าจึงกล่าวว่า “เราจะไม่เป็นคนเลี้ยงของเจ้าอีกแล้ว ใครจะตายก็ให้ตายไป ใครจะพินาศก็ให้พินาศไป ที่เหลือก็ให้กินเลือดกินเนื้อกันเอง”
10 แล้วข้าพเจ้าเอาไม้เท้าที่ชื่อว่า “พระคุณ” มาหักเสีย เป็นการล้มเลิกพันธสัญญาที่ข้าพเจ้าทำไว้กับประชาชาติทั้งปวง 11 เป็นอันยกเลิกสัญญาในวันนั้น แล้วผู้ตกทุกข์ได้ยากในฝูงแกะซึ่งมองดูข้าพเจ้าอยู่ ก็รู้ว่าเป็นพระดำรัสขององค์พระผู้เป็นเจ้า
12 ข้าพเจ้ากล่าวกับพวกเขาว่า “หากท่านเห็นชอบ ก็จงจ่ายค่าจ้างให้เรา ถ้าไม่เห็นดี ก็เก็บค่าจ้างนั้นไว้เถิด” ฉะนั้นเขาจึงจ่ายเงินให้ข้าพเจ้าเป็นเงินสามสิบแผ่น
13 องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสกับข้าพเจ้าว่า “จงโยนเงินนี้ให้แก่ช่างปั้นหม้อ คือเงินค่าจ้างอย่างงามที่พวกเขาจ่ายให้” ข้าพเจ้าก็นำเงินสามสิบแผ่นนั้นโยนเข้าไปในพระนิเวศขององค์พระผู้เป็นเจ้าสำหรับช่างปั้นหม้อ
14 แล้วข้าพเจ้าหักไม้เท้าอันที่สองซึ่งชื่อว่า “กลมเกลียว” เพื่อแสดงว่ายูดาห์กับอิสราเอลเลิกเป็นพี่น้องกันแล้ว
15 แล้วองค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสกับข้าพเจ้าว่า “จงหยิบเครื่องใช้ของคนเลี้ยงแกะโง่เขลาขึ้นมาอีก 16 เพราะเรากำลังจะตั้งคนเลี้ยงขึ้นมาคนหนึ่งสำหรับดินแดนนี้ ซึ่งจะไม่ใส่ใจแกะที่หลงหาย ไม่ดูแลลูกแกะ ไม่รักษาเยียวยาตัวที่บาดเจ็บ หรือเลี้ยงดูตัวที่แข็งแรง แต่จะกินเนื้อแกะตัวที่อ้วนพีและฉีกกีบเท้าของมันออก
17 “วิบัติแก่คนเลี้ยงแกะที่ไร้ค่า
ผู้ซึ่งทอดทิ้งฝูงแกะ!
ขอให้ดาบฟันแขนของเขาและตาขวาของเขา!
ขอให้แขนของเขาลีบไป
และให้ตาขวาของเขาบอดสนิท!”
ศัตรูของเยรูซาเล็มจะถูกทำลาย
12 พระดำรัสขององค์พระผู้เป็นเจ้า ต่อไปนี้คือพระดำรัสขององค์พระผู้เป็นเจ้าเกี่ยวกับอิสราเอล องค์พระผู้เป็นเจ้าผู้ทรงคลี่ฟ้าสวรรค์ ผู้ทรงวางฐานรากของโลก ผู้ทรงสร้างวิญญาณในตัวมนุษย์ประกาศว่า 2 “เราจะทำให้เยรูซาเล็มเป็นถ้วยที่ทำให้ชนชาติทั้งปวงซึ่งล้อมรอบกลิ้งไป ยูดาห์จะถูกล้อมเมืองเช่นเดียวกับเยรูซาเล็ม 3 ในวันนั้นเมื่อมวลประชาชาติในโลกรวมตัวกันมาสู้กับเยรูซาเล็ม เราจะทำให้เยรูซาเล็มเป็นศิลาซึ่งชนชาติทั้งปวงไม่อาจขยับเขยื้อน คนที่พยายามจะขยับก็เจ็บตัว 4 ในวันนั้นเราจะทำให้ม้าทุกตัวกลัวลานและผู้ขี่คลุ้มคลั่ง” องค์พระผู้เป็นเจ้าประกาศดังนี้ “เราจะจับตาดูพงศ์พันธุ์ยูดาห์ แต่จะทำให้ม้าทั้งปวงของชนชาติต่างๆ ตาบอด 5 แล้วบรรดาผู้นำยูดาห์จะรำพึงว่า ‘ชาวเยรูซาเล็มเข้มแข็งเพราะมีพระยาห์เวห์ผู้ทรงฤทธิ์เป็นพระเจ้าของพวกเขา’
6 “ในวันนั้นเราจะทำให้บรรดาผู้นำยูดาห์เป็นดั่งไฟร้อนแดงกลางกองฟืน และเหมือนคบไฟลุกโชนกลางฟ่อนข้าว จะเผาผลาญชนชาติทั้งปวงที่อยู่ล้อมรอบทั้งซ้ายขวา ส่วนเยรูซาเล็มจะตั้งมั่นคงไม่ขยับเขยื้อน
7 “องค์พระผู้เป็นเจ้าจะทรงช่วยกองทัพยูดาห์ก่อน เพื่อเกียรติของพงศ์พันธุ์ดาวิดและชาวเยรูซาเล็มจะไม่เกินหน้ายูดาห์ 8 ในวันนั้นองค์พระผู้เป็นเจ้าจะทรงปกป้องชาวเยรูซาเล็มเพื่อผู้อ่อนแอที่สุดในพวกเขาจะเหมือนดาวิด และพงศ์พันธุ์ดาวิดจะเป็นดั่งพระเจ้า เหมือนทูตขององค์พระผู้เป็นเจ้านำหน้าพวกเขาไป 9 ในวันนั้นเราจะทำลายชนชาติทั้งปวงที่มาโจมตีเยรูซาเล็ม
บทคร่ำครวญแด่ผู้ถูกแทง
10 “และเราจะให้พงศ์พันธุ์ดาวิดกับชาวเยรูซาเล็มมีวิญญาณ[a]แห่งพระคุณและการอธิษฐาน พวกเขาจะมองดู[b]เราผู้ที่พวกเขาได้แทง และจะไว้ทุกข์ให้เหมือนคนที่ไว้ทุกข์ให้ลูกคนเดียวของตน และร่ำไห้อย่างขมขื่นอาลัยผู้นั้นเหมือนอาลัยเมื่อลูกชายหัวปีของตนตาย 11 ในวันนั้นจะมีการร่ำไห้ครั้งใหญ่ในเยรูซาเล็ม เหมือนการร่ำไห้ครั้งฮาดัดริมโมนในที่ราบเมกิดโด 12 แผ่นดินจะไว้อาลัยแยกไปตามแต่ละตระกูล พวกภรรยาก็แยกต่างหากได้แก่ ตระกูลของดาวิดกับภรรยาของพวกเขา ตระกูลนาธันกับภรรยาของพวกเขา 13 ตระกูลเลวีกับภรรยาของพวกเขา ตระกูลชิเมอีกับภรรยาของพวกเขา 14 และตระกูลอื่นๆ ที่เหลือกับภรรยาของพวกเขา
ชำระบาป
13 “ในวันนั้นจะมีน้ำพุพุ่งขึ้นมาสำหรับพงศ์พันธุ์ดาวิดและชาวเยรูซาเล็ม เพื่อชำระเขาทั้งปวงจากบาปและมลทินของเขา
2 “ในวันนั้นเราจะทำลายรูปเคารพทั้งปวงให้สิ้นชื่อจากทั่วดินแดนนั้น จะไม่มีใครนึกถึงรูปเคารพเหล่านั้นอีก” พระยาห์เวห์ผู้ทรงฤทธิ์ประกาศดังนั้น “เราจะกำจัดทั้งผู้พยากรณ์เท็จและวิญญาณโสโครกไปจากแผ่นดิน 3 และหากผู้ใดยังขืนพยากรณ์ พ่อแม่ผู้ให้กำเนิดเขาเองจะกล่าวกับเขาว่า ‘เจ้าต้องตายเพราะเจ้าพูดเท็จในพระนามพระยาห์เวห์’ เมื่อเขาพยากรณ์ พ่อแม่ของเขาเองจะแทงเขา
4 “ในวันนั้นผู้เผยพระวจนะทุกคนจะอับอายที่เห็นนิมิต จะไม่มีใครสวมเสื้อผ้าขนสัตว์แบบผู้เผยพระวจนะเพื่อตบตาประชาชนอีก 5 เขาจะพูดว่า ‘ข้าพเจ้าไม่ใช่ผู้เผยพระวจนะ แต่เป็นชาวไร่ชาวนา อาศัยแผ่นดินเป็นที่ทำกินมาตั้งแต่หนุ่มๆ[c]’ 6 หากมีใครถามเขาว่า ‘ก็แล้วรอยแผลเป็นพวกนี้บนตัวเจ้า[d]หมายความว่าอะไร’ เขาจะตอบว่า ‘เป็นแผลที่ได้มาจากบ้านเพื่อน’ ”
คนเลี้ยงแกะถูกเล่นงาน ฝูงแกะกระจัดกระจาย
7 พระยาห์เวห์ผู้ทรงฤทธิ์ประกาศว่า
“ดาบเอ๋ย จงตื่นขึ้น ห้ำหั่นคนเลี้ยงแกะของเรา
และคนใกล้ชิดของเรา
จงฟาดฟันคนเลี้ยงแกะ
และแกะจะกระจัดกระจายไป
และเราจะตวัดมือฟาดผู้เล็กน้อย”
8 องค์พระผู้เป็นเจ้าประกาศว่า
“สองในสามของทั้งดินแดนจะถูกห้ำหั่นพินาศไป
เหลือไว้เพียงหนึ่งในสาม
9 หนึ่งในสามนี้เราจะเอาไปใส่ในไฟ
เราจะถลุงพวกเขาเหมือนเงิน
และทดสอบพวกเขาเหมือนทองคำ
พวกเขาจะร้องเรียกนามของเรา
และเราจะตอบพวกเขา
เราจะกล่าวว่า ‘พวกเขาเป็นประชากรของเรา’
และพวกเขาจะกล่าวว่า ‘พระยาห์เวห์เป็นพระเจ้าของเรา’ ”
องค์พระผู้เป็นเจ้า
14 วันแห่งองค์พระผู้เป็นเจ้าใกล้จะมาถึงแล้วเมื่อพวกเจ้าแบ่งของที่ริบมาได้ในหมู่พวกเจ้า
2 เราจะรวบรวมประชาชาติทั้งมวลมาสู้รบกับเยรูซาเล็ม กรุงนั้นจะถูกยึด บ้านเรือนถูกปล้น ข้าวของถูกริบ พวกผู้หญิงถูกข่มขืน ประชาชนครึ่งเมืองถูกจับไปเป็นเชลย ส่วนที่เหลือจะยังคงอยู่ในกรุงนั้น
3 แล้วองค์พระผู้เป็นเจ้าจะเสด็จมาสู้รบกับชนชาติเหล่านั้นเหมือนในยามศึก 4 ในวันนั้นพระองค์จะทรงวางพระบาทบนภูเขามะกอกเทศ ทางตะวันออกของกรุงเยรูซาเล็ม และภูเขามะกอกเทศจะแยกออกเป็นสองส่วน จากตะวันออกถึงตะวันตก ทำให้เกิดหุบเขาที่กว้างใหญ่ โดยครึ่งหนึ่งของภูเขาจะเคลื่อนไปทางเหนือ อีกครึ่งหนึ่งเคลื่อนไปทางใต้ 5 เจ้าจะหนีไปทางหุบเขาของเรา เพราะมันจะทอดยาวไปถึงอาเซล เจ้าจะหนีเหมือนเมื่อหนีจากแผ่นดินไหว[e]ในสมัยกษัตริย์อุสซียาห์แห่งยูดาห์ แล้วพระยาห์เวห์พระเจ้าของข้าพเจ้าจะเสด็จมาพร้อมผู้บริสุทธิ์ทั้งปวงซึ่งอยู่กับพระองค์
6 ในวันนั้นจะไม่มีความสว่าง ความหนาวเย็น หรือน้ำค้างแข็ง 7 จะเป็นวันพิเศษ ไม่มีกลางวันหรือกลางคืน องค์พระผู้เป็นเจ้าเท่านั้นทรงทราบ แม้เมื่อตกเย็นก็จะมีแสงสว่าง
8 ในวันนั้นน้ำแห่งชีวิตจะไหลออกมาจากเยรูซาเล็ม ครึ่งหนึ่งไหลลงทะเลตายทางตะวันออก อีกครึ่งหนึ่งไหลลงทะเลเมดิเตอร์เรเนียนทางตะวันตก ไหลตลอดทั้งในฤดูร้อนและฤดูหนาว
9 องค์พระผู้เป็นเจ้าจะทรงเป็นกษัตริย์ครองทั้งโลก ในวันนั้นจะมีองค์พระผู้เป็นเจ้าเพียงพระองค์เดียวและมีพระนามของพระองค์เพียงพระนามเดียวเท่านั้น
10 ทั่วทั้งแผ่นดินจากเกบาถึงริมโมนทางใต้ของเยรูซาเล็มจะเป็นเหมือนอาราบาห์ ส่วนเยรูซาเล็มจะสูงเด่น มันจะคงอยู่ในที่ของมัน จากประตูเบนยามินถึงบริเวณประตูที่หนึ่งถึงประตูมุม และจากหอคอยฮานันเอลถึงบ่อย่ำองุ่นหลวง 11 เยรูซาเล็มจะมีผู้คนอาศัยอยู่ มันจะมั่นคงปลอดภัยและไม่ถูกทำลายล้างอีกต่อไป
12 ภัยพิบัติที่องค์พระผู้เป็นเจ้าจะทรงให้เกิดแก่บรรดาประชาชาติที่มาสู้รบกับเยรูซาเล็มมีดังนี้คือ เนื้อของเขาจะเปื่อยเน่าทั้งที่ยังยืนอยู่ ตาของเขาเน่าคากระบอกตา และลิ้นเปื่อยเน่าอยู่ในปาก 13 ในวันนั้นองค์พระผู้เป็นเจ้าจะทรงบันดาลให้ผู้คนโกลาหลอลหม่าน แต่ละคนจะจับมือของอีกคนแล้วสู้กัน 14 ชาวยูดาห์ก็จะไปสู้รบที่เยรูซาเล็มด้วย พวกเขาจะเก็บรวบรวมทรัพย์สมบัติของทุกชนชาติที่อยู่รายรอบ ได้ทั้งเงินทองและเสื้อผ้ามากมาย 15 ภัยพิบัติคล้ายคลึงกันจะเกิดกับม้า ล่อ อูฐ ลา และสัตว์ทั้งปวงในค่ายเหล่านั้น
16 แล้วบรรดาผู้รอดชีวิตจากประชาชาติทั้งปวงที่มาโจมตีเยรูซาเล็มจะขึ้นไปเยรูซาเล็มทุกปี เพื่อนมัสการองค์กษัตริย์พระยาห์เวห์ผู้ทรงฤทธิ์ และเพื่อฉลองเทศกาลอยู่เพิง 17 ชนชาติใดๆ ทั่วโลกที่ไม่ไปนมัสการองค์กษัตริย์พระยาห์เวห์ผู้ทรงฤทธิ์ พวกเขาจะไม่ได้รับฝน 18 หากชาวอียิปต์ไม่ยอมขึ้นมาร่วม เขาจะไม่ได้รับฝน องค์พระผู้เป็นเจ้า[f]จะทรงบันดาลภัยพิบัติให้เกิดแก่อียิปต์ เป็นภัยพิบัติอย่างเดียวกับที่ทรงให้เกิดแก่ประชาชาติที่ไม่ขึ้นไปร่วมฉลองเทศกาลอยู่เพิง 19 นี่เป็นการลงโทษอียิปต์และประชาชาติทั้งปวงซึ่งไม่ขึ้นไปร่วมฉลองเทศกาลอยู่เพิง
20 ในวันนั้นลูกพรวนที่ตัวม้าจะมีข้อความจารึกว่า “บริสุทธิ์แด่องค์พระผู้เป็นเจ้า” และหม้อหุงต้มในพระวิหารขององค์พระผู้เป็นเจ้าจะเป็นเหมือนภาชนะศักดิ์สิทธิ์หน้าแท่นบูชา 21 หม้อทุกใบในเยรูซาเล็มและยูดาห์จะบริสุทธิ์แด่พระยาห์เวห์ผู้ทรงฤทธิ์ และคนทั้งปวงที่มาถวายเครื่องบูชาจะหยิบหม้อบางใบไปใช้ในการต้มเครื่องบูชาได้ และในวันนั้นจะไม่มีชาวคานาอัน[g]ในพระนิเวศของพระยาห์เวห์ผู้ทรงฤทธิ์อีกต่อไป
1 พระดำรัสขององค์พระผู้เป็นเจ้าถึงอิสราเอลผ่านทางมาลาคี[h]มีดังนี้
ทรงรักยาโคบ แต่ทรงเกลียดชังเอซาว
2 องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสว่า “เราได้รักเจ้า”
“แต่เจ้าย้อนว่า ‘พระองค์รักเราอย่างไร?’ ”
องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสว่า “แม้เอซาวจะเป็นพี่ชายของยาโคบ แต่เราก็รักยาโคบ 3 ส่วนเอซาวเราชัง และเราได้ทำให้เทือกเขาของเขากลายเป็นที่รกร้าง เราได้ทำให้มรดกตกทอดของเขากลายเป็นถิ่นกันดารให้เหล่าหมาใน”
4 เอโดมอาจกล่าวว่า “ถึงเราถูกบดขยี้ แต่เราก็จะสร้างส่วนที่หักพังขึ้นมาใหม่”
แต่พระยาห์เวห์ผู้ทรงฤทธิ์ตรัสว่า “พวกเขาจะสร้างขึ้นก็ได้ แต่เราจะบดขยี้มันลงมาอีก เขาจะได้ชื่อว่า ‘ดินแดนที่ชั่วร้าย’ ชนชาติที่องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงพระพิโรธอยู่เนืองนิตย์ 5 เจ้าจะเห็นกับตาและกล่าวว่า ‘องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงยิ่งใหญ่นัก แม้กระทั่งนอกเขตแดนอิสราเอล!’
เครื่องบูชาที่มีตำหนิ
6 “ลูกย่อมให้เกียรติพ่อ บ่าวย่อมให้เกียรตินาย หากเราเป็นพ่อ ไหนล่ะเกียรติที่เราควรจะได้รับ? หากเราเป็นนาย ไหนล่ะความเคารพที่เราควรจะได้รับ?” พระยาห์เวห์ผู้ทรงฤทธิ์ตรัสดังนั้น “ปุโรหิตทั้งหลายเอ๋ย พวกเจ้านี่แหละเหยียดหยามนามของเรา
“พวกเจ้าถามเราว่า ‘ข้าพระองค์ทั้งหลายเหยียดหยามพระนามของพระองค์อย่างไร?’
7 “ก็เจ้านำอาหารที่เป็นมลทินมาวางบนแท่นบูชาของเราน่ะสิ
“แต่เจ้าถามว่า ‘พวกข้าพระองค์ได้ทำให้พระองค์เป็นมลทินอย่างไร?’
“ก็โดยกล่าวว่าโต๊ะขององค์พระผู้เป็นเจ้านั้นน่าเหยียดหยาม 8 ไม่ผิดหรือที่เจ้านำสัตว์ตาบอดมาถวายบูชา? ไม่ผิดหรือที่เจ้าถวายสัตว์พิการหรือเป็นโรค? ลองถวายให้ผู้ว่าการของเจ้าดูสิ! เขาจะพอใจเจ้าไหม? เขาจะยอมรับเจ้าไหม?” พระยาห์เวห์ผู้ทรงฤทธิ์ตรัสดังนั้น
9 “ลองอ้อนวอนพระเจ้าเถิด เผื่อพระองค์จะทรงเมตตาเราทั้งหลาย แต่เจ้าคิดว่าพระองค์จะรับของพวกนั้นที่เจ้านำมาถวายหรือ?” พระยาห์เวห์ผู้ทรงฤทธิ์ตรัสดังนั้น
10 พระยาห์เวห์ผู้ทรงฤทธิ์ตรัสว่า “โอ อยากให้พวกเจ้าสักคนปิดประตูวิหารเสีย เพื่อเจ้าจะได้ไม่มาจุดไฟอันเปล่าประโยชน์บนแท่นบูชาของเรา! เราไม่ได้พอใจเจ้าเลย และเราจะไม่รับของถวายใดๆ จากมือของเจ้าด้วย 11 นามของเราจะยิ่งใหญ่ท่ามกลางมวลประชาชาติ ตั้งแต่ที่ดวงอาทิตย์ขึ้นจนถึงที่ดวงอาทิตย์ตก เขาจะถวายเครื่องหอมและของถวายบริสุทธิ์แด่นามของเราทุกหนทุกแห่ง เพราะนามของเราจะยิ่งใหญ่ในหมู่ประชาชาติทั้งหลาย” พระยาห์เวห์ผู้ทรงฤทธิ์ตรัสดังนั้น
12 “แต่เจ้าลบหลู่นามนั้นโดยกล่าวถึงโต๊ะของพระเจ้าว่า ‘เป็นมลทิน’ และกล่าวถึงอาหารที่ถวายนั้นว่า ‘น่าเหยียดหยาม’ 13 และเจ้ากล่าวว่า ‘ภาระน่าเบื่อ!’ แล้วทำเสียงฮึดฮัดอย่างเหยียดหยาม” พระยาห์เวห์ผู้ทรงฤทธิ์ตรัสดังนั้น
องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสว่า “เมื่อเจ้านำสัตว์บาดเจ็บ พิการ หรือเป็นโรคมาถวายเป็นเครื่องบูชา เราควรจะรับของพวกนั้นจากมือของเจ้าหรือ?” 14 พระยาห์เวห์ผู้ทรงฤทธิ์ตรัสว่า “ขอสาปแช่งคนโกง ผู้สัญญาจะเอาแกะตัวผู้ที่สมบูรณ์แข็งแรงจากฝูงของตนมาถวาย แต่กลับถวายแกะที่มีตำหนิแด่องค์พระผู้เป็นเจ้า ทั้งนี้เพราะเราคือจอมกษัตริย์ และนามของเราก็เป็นที่เกรงขามท่ามกลางนานาประชาชาติ”
ทรงเตือนเหล่าปุโรหิต
2 พระยาห์เวห์ผู้ทรงฤทธิ์ตรัสว่า “และบัดนี้เป็นคำเตือนสำหรับพวกเจ้า ปุโรหิตทั้งหลาย 2 หากเจ้าไม่ฟังและไม่ตั้งใจถวายเกียรติแด่นามของเรา เราจะส่งคำแช่งมาเหนือเจ้าและจะสาปแช่งพรของเจ้า ที่จริงเราได้สาปแช่งแล้ว เพราะเจ้าไม่ได้ตั้งใจถวายเกียรติเรา
3 “เพราะเจ้า เราจะลงโทษ[i]ลูกหลานของเจ้า[j] เราจะละเลงของเหลือเดนเหล่านั้นที่เจ้าถวายแก่เราบนหน้าเจ้า และเหวี่ยงเจ้าทิ้งไปกับกากเดนนั้น 4 แล้วเจ้าจะได้รู้ว่าเราเตือนเจ้าแล้ว เพื่อพันธสัญญาที่เราให้ไว้แก่เลวีจะสืบทอดต่อไป” พระยาห์เวห์ผู้ทรงฤทธิ์ตรัสดังนั้น 5 “เราได้ทำพันธสัญญาไว้กับเขาเพื่อให้ชีวิตและสันติสุขแก่เขา โดยพันธสัญญานี้เรียกร้องความยำเกรงจากเขา และเขาก็ได้ยำเกรงเรา และดำเนินด้วยความเกรงกลัวนามของเรา 6 ปากของเขาเอ่ยคำสอนแท้และไม่เคยพูดโกหก เขาได้ดำเนินชีวิตไปกับเราด้วยสันติสุขและความเที่ยงธรรม และช่วยหลายคนให้หันจากบาป
7 “วาจาของปุโรหิตควรสงวนความรู้ไว้ และผู้คนพึงแสวงหาคำสั่งสอนจากปุโรหิต เพราะเขาคือทูตของพระยาห์เวห์ผู้ทรงฤทธิ์ 8 แต่เจ้าได้หันเหจากทางนั้น คำสอนของเจ้าทำให้หลายคนสะดุดล้ม เจ้าละเมิดพันธสัญญาที่เราให้ไว้กับเลวี” พระยาห์เวห์ผู้ทรงฤทธิ์ตรัสดังนั้น 9 “ฉะนั้นเราจึงทำให้เจ้าตกต่ำและเป็นที่ดูหมิ่นต่อหน้าประชากรทั้งปวง เพราะเจ้าไม่ได้ปฏิบัติตามวิถีทางของเรา แต่นำบทบัญญัติของเรามาเลือกปฏิบัติ”
ยูดาห์ทรยศ
10 เราทั้งหลายมีพระบิดาองค์เดียวกันไม่ใช่หรือ? พระเจ้าองค์เดียวกันไม่ใช่หรือที่ทรงสร้างเรา? ก็แล้วเหตุใดเราลบหลู่พันธสัญญาของบรรพบุรุษโดยไม่ซื่อสัตย์ต่อกัน?
11 ยูดาห์ทรยศ มีการกระทำอันน่าชิงชังในอิสราเอลและในเยรูซาเล็ม คือยูดาห์ลบหลู่สถานนมัสการที่องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงรัก โดยแต่งงานกับหญิงที่นับถือพระของคนต่างชาติ 12 ไม่ว่าจะเป็นใครก็ตามถ้าทำเช่นนี้ ขอองค์พระผู้เป็นเจ้าตัดผู้นั้นออกจากชุมชน[k]ของยาโคบ[l] ถึงแม้ว่าเขาจะนำเครื่องบูชามาถวายแด่พระยาห์เวห์ผู้ทรงฤทธิ์
13 อีกอย่างหนึ่งที่เจ้าทำคือ มาบีบน้ำตารดแท่นบูชาขององค์พระผู้เป็นเจ้าเจ้าร้องไห้สะอึกสะอื้น เพราะพระองค์ไม่ทรงแยแสหรือพอพระทัยที่จะรับเครื่องบูชาจากมือของเจ้า 14 เจ้าถามว่า “ทำไมทรงทำเช่นนี้?” ก็เพราะองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงเป็นพยานระหว่างเจ้ากับภรรยาตั้งแต่วัยหนุ่มของเจ้า เพราะเจ้าทรยศนอกใจนาง ทั้งที่นางเป็นคู่ครองของเจ้า เป็นภรรยาตามพันธสัญญาในการแต่งงานของเจ้า
15 พระองค์ได้ทรงผูกพันทั้งคู่เป็นหนึ่งเดียวกันไม่ใช่หรือ? ทั้งกายและวิญญาณของทั้งคู่เป็นของพระองค์ เขาเป็นหนึ่งเดียวกันเพื่ออะไร? ก็เพื่อจะมีลูกหลานที่ชอบธรรมให้กับพระองค์นั่นเอง[m] ฉะนั้นจงควบคุมสติอารมณ์ของเจ้าให้ดี อย่าคิดนอกใจภรรยาที่เจ้าได้มาตั้งแต่ยังหนุ่ม
16 พระยาห์เวห์พระเจ้าแห่งอิสราเอลตรัสว่า “เราเกลียดชังการหย่าร้างและผู้ที่คลุมตนเอง[n]ด้วยความรุนแรงราวกับเป็นเครื่องแต่งกายของเขา” องค์พระผู้เป็นเจ้าผู้ทรงฤทธิ์ตรัสดังนี้
ฉะนั้นจงควบคุมสติอารมณ์ของเจ้าให้ดี และอย่าทำผิดสัญญา
วันแห่งการพิพากษา
17 เจ้าทำให้องค์พระผู้เป็นเจ้าเอือมระอาคำพูดของเจ้า
เจ้าถามว่า “เราทำให้พระองค์ทรงเอือมระอาด้วยเรื่องใด?”
ก็โดยพูดว่า “คนทั้งปวงที่ทำชั่วก็เป็นคนดีในสายพระเนตรขององค์พระผู้เป็นเจ้าและพระองค์ทรงพอพระทัยคนเหล่านั้น” หรือโดยพูดว่า “ไหนล่ะพระเจ้าแห่งความยุติธรรม?”
3 พระยาห์เวห์ผู้ทรงฤทธิ์ตรัสว่า “ดูเถิด เราจะส่งทูตของเรามาเตรียมทางให้เราล่วงหน้า แล้วทันใดนั้นองค์พระผู้เป็นเจ้าที่เจ้าแสวงหาจะมายังพระวิหารของพระองค์ ทูตแห่งพันธสัญญาที่เจ้าปรารถนานั้นจะมา”
2 แต่ใครเล่าจะทนอยู่ได้ในวันที่พระองค์เสด็จมา? ใครเล่าจะยืนอยู่ได้เมื่อพระองค์ทรงปรากฏ? เพราะพระองค์จะทรงเป็นเหมือนไฟถลุง เหมือนสบู่ของช่างฟอก 3 พระองค์จะทรงนั่งลงอย่างช่างถลุงเงินและชำระให้บริสุทธิ์ จะทรงชำระชนเลวีเหมือนถลุงเงินและทองคำ แล้วองค์พระผู้เป็นเจ้าจะได้คนที่นำเครื่องบูชามาถวายด้วยความชอบธรรม 4 และเครื่องถวายของยูดาห์กับเยรูซาเล็มจะเป็นที่ยอมรับขององค์พระผู้เป็นเจ้าเหมือนวันเวลาในอดีต เหมือนปีเก่าก่อน
5 พระยาห์เวห์ผู้ทรงฤทธิ์ตรัสว่า “เราจะมาหาพวกเจ้าเพื่อพิพากษาโทษ เราจะตั้งข้อหาโดยเร็วแก่บรรดาคนที่ใช้คาถาอาคม คนล่วงประเวณี คนที่สาบานเท็จ คนที่โกงค่าแรงลูกจ้าง คนที่รังแกหญิงม่ายและลูกกำพร้าพ่อ คนที่ไม่ให้ความยุติธรรมแก่คนต่างด้าว และคนที่ไม่ยำเกรงเรา”
เหล่าประชากรโกงพระเจ้า
6 “เราคือพระยาห์เวห์ผู้ไม่ผันแปร ฉะนั้นเจ้าทั้งหลายผู้เป็นพงศ์พันธุ์ของยาโคบจึงไม่ถูกทำลายไป 7 ตั้งแต่สมัยบรรพบุรุษ พวกเจ้าก็หันเหจากกฎเกณฑ์ของเรา ไม่ยอมปฏิบัติตามกฎเกณฑ์เหล่านั้น จงกลับมาหาเรา และเราจะกลับมาหาเจ้า” พระยาห์เวห์ผู้ทรงฤทธิ์ตรัสดังนั้น
“แต่เจ้าถามว่า ‘จะให้ข้าพระองค์ทั้งหลายหันกลับมาอย่างไร?’
8 “มนุษย์จะโกงพระเจ้าหรือ? ถึงกระนั้นเจ้าก็โกงเรา
“เจ้าถามว่า ‘พวกข้าพระองค์โกงพระองค์อย่างไร?’
“ก็โกงสิบลด[o]และของถวายต่างๆ 9 พวกเจ้าทั้งชาติตกอยู่ใต้คำสาปแช่งเพราะเจ้าโกงเรา” 10 พระยาห์เวห์ผู้ทรงฤทธิ์ตรัสว่า “จงนำสิบลดมายังคลังพระวิหารให้ครบ เพื่อจะมีอาหารในพระนิเวศของเรา จงลองดูเราในข้อนี้ มีหรือที่เราจะไม่เปิดประตูฟ้าสวรรค์เทพรมาให้เจ้าอย่างเหลือล้นจนไม่มีที่จะเก็บ” 11 พระยาห์เวห์ผู้ทรงฤทธิ์ตรัสว่า “เราจะป้องกันไม่ให้แมลงมากัดกินพืชพันธุ์ของเจ้า และผลองุ่นในสวนของเจ้าจะไม่ร่วงก่อนสุก 12 แล้วมวลประชาชาติจะเรียกเจ้าว่าผู้เป็นสุข เพราะดินแดนของเจ้าจะเป็นแดนอภิรมย์” พระยาห์เวห์ผู้ทรงฤทธิ์ตรัสดังนั้น
13 องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสว่า “เจ้าพูดให้ร้ายเรา
“แต่เจ้าก็ถามว่า ‘ข้าพระองค์ทั้งหลายให้ร้ายพระองค์ว่าอะไร?’
14 “ก็ที่เจ้าพูดว่า ‘รับใช้พระเจ้าไปก็ไร้ประโยชน์ เราได้รับอะไรบ้างจากการทำตามข้อกำหนดของพระองค์ หรือจากการดำเนินชีวิตอย่างคนไว้ทุกข์ต่อหน้าพระยาห์เวห์ผู้ทรงฤทธิ์? 15 แต่บัดนี้ดูเถิด เราเรียกคนหยิ่งผยองว่าผู้เป็นสุข คนทำชั่วก็ได้ดิบได้ดี แม้แต่คนที่ท้าทายพระเจ้าก็ยังลอยนวล’ ”
16 แล้วบรรดาผู้ยำเกรงองค์พระผู้เป็นเจ้าก็คุยกัน และองค์พระผู้เป็นเจ้าก็ทรงสดับฟัง มีหนังสือม้วนบันทึกความจำเกี่ยวกับบรรดาผู้ยำเกรงพระเจ้า และเทิดทูนพระนามของพระองค์อยู่ต่อหน้าองค์พระผู้เป็นเจ้า
17 พระยาห์เวห์ผู้ทรงฤทธิ์ตรัสว่า “คนเหล่านั้นจะเป็นของเราในวันที่เราลงมือ พวกเขาจะเป็นกรรมสิทธิ์ล้ำค่าของเรา[p] เราจะพิทักษ์รักษาพวกเขาด้วยความเมตตาเหมือนพ่อพิทักษ์รักษาลูกที่ปรนนิบัติพ่อ 18 แล้วเจ้าจะเห็นสิ่งเหล่านี้อีกครั้งหนึ่ง คือความแตกต่างระหว่างคนชอบธรรมกับคนอธรรม ระหว่างผู้ที่ปรนนิบัติรับใช้พระเจ้ากับผู้ที่ไม่รับใช้พระองค์”
วันแห่งองค์พระผู้เป็นเจ้า
4 พระยาห์เวห์ผู้ทรงฤทธิ์ตรัสว่า “วันนั้นจะมาถึงอย่างแน่นอน วันที่เผาผลาญดั่งเตาหลอม ทุกคนที่เย่อหยิ่งและทุกคนที่ทำชั่วจะเป็นตอข้าว วันที่จะมาถึงนั้นจะเผาผลาญเขาทั้งหมดไม่ให้เหลือแม้แต่รากหรือกิ่งสักกิ่งเดียว 2 แต่พวกเจ้าที่ยำเกรงนามของเรา ดวงตะวันแห่งความชอบธรรมจะขึ้นมาพร้อมด้วยปีกแห่งการบำบัดรักษา และเจ้าจะโลดแล่นออกไปเหมือนลูกวัวที่ถูกปล่อยออกจากคอก 3 แล้วเจ้าจะเหยียบย่ำคนชั่ว พวกเขาจะเป็นเหมือนขี้เถ้าใต้ฝ่าเท้าของเจ้าในวันที่เราลงมือทำสิ่งเหล่านี้” พระยาห์เวห์ผู้ทรงฤทธิ์ตรัสดังนั้น
4 “จงระลึกถึงบทบัญญัติของโมเสสผู้รับใช้ของเรา คือกฎหมายและบทบัญญัติต่างๆ ซึ่งเรามอบให้โมเสสบนภูเขาโฮเรบสำหรับชนชาติอิสราเอลทั้งปวง
5 “ดูเถิด เราจะส่งผู้เผยพระวจนะเอลียาห์มาหาพวกเจ้าก่อนวันอันยิ่งใหญ่น่ากลัวขององค์พระผู้เป็นเจ้าจะมาถึง 6 เขาจะหันจิตใจของพ่อมาหาลูกและหันจิตใจของลูกมาหาพ่อ มิฉะนั้นเราจะมาห้ำหั่นดินแดนนี้ด้วยคำสาปแช่ง”
ลำดับวงศ์ของพระเยซูคริสต์(A)
1 บันทึกลำดับวงศ์ตระกูลของพระเยซูคริสต์ ผู้เป็นเชื้อสายของดาวิด ผู้เป็นเชื้อสายของอับราฮัมมีดังนี้
2 อับราฮัมเป็นบิดาของอิสอัค
อิสอัคเป็นบิดาของยาโคบ
ยาโคบเป็นบิดาของยูดาห์กับพี่น้องของเขา
3 ยูดาห์เป็นบิดาของเปเรศกับเศราห์ มารดาของพวกเขาคือนางทามาร์
เปเรศเป็นบิดาของเฮสโรน
เฮสโรนเป็นบิดาของราม
4 รามเป็นบิดาของอัมมีนาดับ
อัมมีนาดับเป็นบิดาของนาโชน
นาโชนเป็นบิดาของสัลโมน
5 สัลโมนเป็นบิดาของโบอาส มารดาของเขาคือนางราหับ
โบอาสเป็นบิดาของโอเบด มารดาของเขาคือนางรูธ
โอเบดเป็นบิดาของเจสซี
6 และเจสซีเป็นบิดาของกษัตริย์ดาวิด
ดาวิดเป็นบิดาของโซโลมอน มารดาของโซโลมอนเคยเป็นภรรยาของอุรียาห์มาก่อน
7 โซโลมอนเป็นบิดาของเรโหโบอัม
เรโหโบอัมเป็นบิดาของอาบียาห์
อาบียาห์เป็นบิดาของอาสา
8 อาสาเป็นบิดาของเยโฮชาฟัท
เยโฮชาฟัทเป็นบิดาของเยโฮรัม
เยโฮรัมเป็นบิดาของอุสซียาห์
9 อุสซียาห์เป็นบิดาของโยธาม
โยธามเป็นบิดาของอาหัส
อาหัสเป็นบิดาของเฮเซคียาห์
10 เฮเซคียาห์เป็นบิดาของมนัสเสห์
มนัสเสห์เป็นบิดาของอาโมน
อาโมนเป็นบิดาของโยสิยาห์
11 และโยสิยาห์เป็นบิดาของเยโคนิยาห์[q]กับพี่น้องของเขาเมื่อครั้งตกเป็นเชลยที่บาบิโลน
12 หลังจากตกเป็นเชลยที่บาบิโลนแล้ว
เยโคนิยาห์เป็นบิดาของเชอัลทิเอล
เชอัลทิเอลเป็นบิดาของเศรุบบาเบล
13 เศรุบบาเบลเป็นบิดาของอาบียุด
อาบียุดเป็นบิดาของเอลียาคิม
เอลียาคิมเป็นบิดาของอาซอร์
14 อาซอร์เป็นบิดาของศาโดก
ศาโดกเป็นบิดาของอาคิม
อาคิมเป็นบิดาของเอลีอูด
15 เอลีอูดเป็นบิดาของเอเลอาซาร์
เอเลอาซาร์เป็นบิดาของมัทธาน
มัทธานเป็นบิดาของยาโคบ
16 และยาโคบเป็นบิดาของโยเซฟสามีของมารีย์ผู้ให้กำเนิดพระเยซูที่เรียกกันว่า พระคริสต์[r]
17 ดังนั้นตั้งแต่อับราฮัมลงมาจนถึงดาวิดมีสิบสี่ชั่วคน ตั้งแต่ดาวิดมาจนถึงเมื่อครั้งตกเป็นเชลยที่บาบิโลนมีสิบสี่ชั่วคน และตั้งแต่ครั้งตกเป็นเชลยที่บาบิโลนจนถึงพระคริสต์มีสิบสี่ชั่วคน
การประสูติของพระเยซูคริสต์
18 เรื่องราวการประสูติของพระเยซูคริสต์มีดังนี้ มารีย์มารดาของพระองค์เป็นคู่หมั้นของโยเซฟ แต่ก่อนที่ทั้งสองจะอยู่กินเป็นสามีภรรยากัน ปรากฏว่ามารีย์ได้ตั้งครรภ์โดยฤทธิ์เดชของพระวิญญาณบริสุทธิ์ 19 เนื่องจากโยเซฟคู่หมั้นของนางเป็นคนดีมีคุณธรรมและไม่ประสงค์จะแพร่งพรายเรื่องนี้ให้นางต้องอับอายต่อหน้าธารกำนัล เขาจึงคิดที่จะถอนหมั้นอย่างเงียบๆ
20 แต่หลังจากที่เขาคิดจะทำเช่นนั้น ทูตองค์หนึ่งขององค์พระผู้เป็นเจ้ามาปรากฏแก่เขาในความฝันและกล่าวว่า “โยเซฟบุตรดาวิด อย่ากลัวที่จะรับมารีย์มาเป็นภรรยาเลยเพราะว่าผู้ที่ปฏิสนธิในครรภ์ของนางนั้นมาจากพระวิญญาณบริสุทธิ์ 21 นางจะให้กำเนิดบุตรชาย จงตั้งชื่อพระกุมารนั้นว่า เยซู[s] เพราะว่าพระองค์จะทรงช่วยประชากรของพระองค์ให้พ้นจากบาปทั้งหลายของเขา”
22 ทั้งหมดนี้เป็นจริงตามที่องค์พระผู้เป็นเจ้าได้ตรัสไว้ผ่านทางผู้เผยพระวจนะซึ่งกล่าวว่า 23 “หญิงพรหมจารีจะตั้งครรภ์และคลอดบุตรชายและเขาจะเรียกท่านว่า อิมมานูเอล”[t] ซึ่งแปลว่า “พระเจ้าทรงอยู่กับเรา”
24 เมื่อโยเซฟตื่นขึ้นก็ทำตามที่ทูตสวรรค์ขององค์พระผู้เป็นเจ้าสั่งไว้ คือรับมารีย์มาเป็นภรรยา 25 แต่เขาไม่ได้ร่วมหลับนอนกับนางจนกระทั่งมารีย์ให้กำเนิดบุตรชาย และเขาตั้งชื่อบุตรนั้นว่า เยซู
โหราจารย์มาเข้าเฝ้าพระกุมารเยซู
2 หลังจากพระเยซูประสูติที่เบธเลเฮมแคว้นยูเดียในสมัยของกษัตริย์เฮโรด มีโหราจารย์[u]จากตะวันออกมายังกรุงเยรูซาเล็ม 2 และถามว่า “ผู้ที่มาบังเกิดเป็นกษัตริย์ของชาวยิวนั้นอยู่ที่ไหน? เราได้เห็นดาวของพระองค์เมื่อเราอยู่ที่ตะวันออก[v]จึงมาเพื่อนมัสการพระองค์”
3 เมื่อกษัตริย์เฮโรดได้ยินดังนั้นก็ว้าวุ่นพระทัย ทั่วทั้งเยรูซาเล็มก็พลอยว้าวุ่นไปด้วย 4 เฮโรดทรงเรียกประชุมหัวหน้าปุโรหิตทั้งปวงและบรรดาธรรมาจารย์ของประชาชน และตรัสถามพวกเขาว่าพระคริสต์[w]จะประสูติที่ใด 5 คนเหล่านั้นกราบทูลว่า “ที่เบธเลเฮมในแคว้นยูเดียเพราะผู้เผยพระวจนะได้เขียนไว้ว่า
6 “ ‘ส่วนเจ้า เบธเลเฮมในดินแดนยูดาห์
ไม่ได้ต่ำต้อยในหมู่ผู้ปกครองแห่งยูดาห์
เพราะจะมีผู้ปกครองผู้หนึ่งออกมาจากเจ้า
ซึ่งจะเป็นผู้เลี้ยงประชากรอิสราเอลของเรา’[x]”
7 แล้วเฮโรดจึงเรียกพวกโหราจารย์มาพบอย่างลับๆ ไต่ถามจนทราบถึงเวลาที่แน่นอนที่ดาวนั้นปรากฏขึ้น 8 แล้วส่งพวกเขาไปยังเบธเลเฮมพร้อมทั้งรับสั่งว่า “จงไปค้นหาพระกุมารนั้น เมื่อพบแล้วจงแจ้งเราทันทีเพื่อเราจะได้ไปนมัสการพระองค์ด้วย”
9 เมื่อได้ฟังรับสั่งของกษัตริย์แล้ว โหราจารย์เหล่านั้นก็เดินทางต่อไป และดวงดาวที่พวกเขาได้เห็นเมื่ออยู่ที่ตะวันออก[y]นำทางพวกเขาไปจนมาหยุดอยู่เหนือที่ประทับของพระกุมาร 10 เมื่อพวกเขาเห็นดาวดวงนั้นก็ปีติยินดียิ่งนัก 11 เมื่อเข้าไปในบ้านก็เห็นพระกุมารกับมารีย์มารดาของพระองค์ จึงกราบนมัสการพระองค์แล้วเปิดหีบนำเครื่องบรรณาการออกมาถวาย คือทองคำ กำยาน และมดยอบ 12 พวกเขาได้รับคำเตือนในความฝันไม่ให้กลับไปพบเฮโรด พวกเขาจึงกลับประเทศของตนโดยใช้เส้นทางอื่น
หนีไปอียิปต์
13 เมื่อพวกโหราจารย์กลับไปแล้ว ทูตองค์หนึ่งขององค์พระผู้เป็นเจ้ามาปรากฏแก่โยเซฟในความฝันและสั่งว่า “จงลุกขึ้น พาพระกุมารและมารดาหนีไปยังอียิปต์และอยู่ที่นั่นจนกว่าเราจะบอกให้กลับมา เพราะเฮโรดกำลังจะค้นหาพระกุมารเพื่อประหาร”
14 ในคืนนั้นโยเซฟจึงลุกขึ้นพามารีย์กับพระกุมารเดินทางไปยังอียิปต์ 15 และอยู่ที่นั่นจนเฮโรดสิ้นพระชนม์ ทั้งนี้เป็นไปตามที่องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสไว้ผ่านทางผู้เผยพระวจนะว่า “เราเรียกบุตรของเราออกจากอียิปต์”[z]
16 เมื่อเฮโรดตระหนักว่าพวกโหราจารย์หลอกพระองค์ พระองค์ก็กริ้วนัก จึงบัญชาให้ประหารเด็กผู้ชายทั้งปวงในเบธเลเฮมและละแวกใกล้เคียงที่มีอายุตั้งแต่สองขวบลงมา คะเนตามระยะเวลาที่ทราบจากพวกโหราจารย์ 17 ทั้งนี้จึงเป็นจริงตามที่ผู้เผยพระวจนะเยเรมีย์กล่าวไว้ว่า
18 “ได้ยินเสียงหนึ่งในรามาห์
เสียงสะอึกสะอื้นคร่ำครวญ
ราเชลร่ำไห้ถึงบรรดาบุตรของนาง
และไม่ยอมรับคำปลอบโยนใดๆ
เพราะบุตรทั้งหลายจากไปเสียแล้ว”[aa]
กลับมานาซาเร็ธ
19 เมื่อเฮโรดสิ้นพระชนม์แล้ว ทูตองค์หนึ่งขององค์พระผู้เป็นเจ้ามาปรากฏในความฝันแก่โยเซฟที่อียิปต์ 20 และกล่าวว่า “จงลุกขึ้นพาพระกุมารและมารดากลับไปยังอิสราเอลเถิด เพราะบรรดาผู้ที่พยายามเอาชีวิตพระกุมารนั้นตายแล้ว”
21 ดังนั้นโยเซฟจึงลุกขึ้นพาพระกุมารกับมารดามายังดินแดนอิสราเอล 22 แต่เมื่อเขาได้ยินว่าอารเคลาอัสขึ้นครองแคว้นยูเดียแทนเฮโรดผู้เป็นบิดาเขาก็กลัวและไม่กล้าไปที่นั่น เมื่อได้รับคำเตือนในความฝันจึงเลยไปยังแคว้นกาลิลี 23 และอาศัยอยู่ที่เมืองหนึ่งชื่อนาซาเร็ธ จึงเป็นจริงตามที่ได้กล่าวไว้ผ่านทางบรรดาผู้เผยพระวจนะว่า “เขาจะเรียกท่านว่า ชาวนาซาเร็ธ”
ยอห์นผู้ให้บัพติศมาเตรียมทาง(B)
3 ครั้งนั้นยอห์นผู้ให้บัพติศมาได้มาเทศนาในถิ่นกันดารแห่งแคว้นยูเดีย 2 และกล่าวว่า “จงกลับใจใหม่เพราะอาณาจักรสวรรค์มาใกล้แล้ว” 3 ยอห์นผู้นี้แหละที่ถูกกล่าวถึงผ่านทางผู้เผยพระวจนะอิสยาห์ว่า
“เสียงของผู้หนึ่งร้องในถิ่นกันดารว่า
‘จงเตรียมทางสำหรับองค์พระผู้เป็นเจ้า
จงทำทางสำหรับพระองค์ให้ตรงไป’ ”[ab]
4 เสื้อผ้าของยอห์นทำจากขนอูฐ เขาคาดเอวด้วยเข็มขัดหนัง อาหารของเขาคือตั๊กแตนกับน้ำผึ้งป่า 5 ประชาชนจากกรุงเยรูซาเล็ม ทั่วแคว้นยูเดียและทั่วแถบแม่น้ำจอร์แดนพากันมาหาเขา 6 เมื่อพวกเขาสารภาพบาปทั้งหลายของตนแล้ว ยอห์นก็ให้พวกเขารับบัพติศมาในแม่น้ำจอร์แดน
7 แต่เมื่อยอห์นเห็นพวกฟาริสีและพวกสะดูสีมายังที่ซึ่งเขาให้บัพติศมาอยู่ ยอห์นก็กล่าวแก่พวกเขาว่า “เจ้าชาติงูร้าย ใครตักเตือนพวกเจ้าให้หนีจากพระพิโรธที่จะมาถึง? 8 จงเกิดผลให้สมกับที่กลับใจใหม่ 9 และอย่านึกในใจว่า ‘เรามีอับราฮัมเป็นบรรพบุรุษของเรา’ เราบอกท่านว่าพระเจ้าทรงสามารถทำให้ลูกหลานของอับราฮัมเกิดจากก้อนหินเหล่านี้ได้ 10 ขวานนั้นอยู่ที่โคนต้นไม้แล้วและทุกต้นที่ไม่ให้ผลดีจะถูกโค่นและโยนลงในไฟ
11 “เราให้บัพติศมาด้วย[ac]น้ำแก่พวกท่านแสดงถึงการกลับใจใหม่ แต่ภายหลังเราจะมีผู้หนึ่งทรงฤทธิ์อำนาจยิ่งกว่าเราเสด็จมา เราไม่คู่ควรแม้แต่จะถือฉลองพระบาทของพระองค์ พระองค์จะทรงให้ท่านทั้งหลายรับบัพติศมาด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์และด้วยไฟ 12 พระองค์ถือพลั่วอยู่ในพระหัตถ์พร้อมแล้วและจะทรงเก็บกวาดลานนวดข้าว รวบรวมข้าวซึ่งเป็นของพระองค์ไว้ในยุ้งฉาง และเผาแกลบด้วยไฟที่ไม่รู้ดับ”
พระเยซูทรงรับบัพติศมา(C)
13 แล้วพระเยซูเสด็จจากแคว้นกาลิลีมายังแม่น้ำจอร์แดนเพื่อรับบัพติศมาจากยอห์น 14 แต่ยอห์นพยายามทูลทัดทานว่า “ข้าพระองค์ต่างหากที่ต้องขอรับบัพติศมาจากพระองค์ ควรหรือที่พระองค์เสด็จมาหาข้าพระองค์?”
15 พระเยซูตรัสตอบว่า “ขณะนี้ให้เป็นไปตามนั้นเถิด สมควรแล้วที่พวกเราจะทำเช่นนี้เพื่อให้ความชอบธรรมทุกประการสำเร็จครบถ้วน” แล้วยอห์นจึงยอมทำตาม
16 เมื่อพระเยซูทรงรับบัพติศมาแล้ว ทันทีที่พระองค์เสด็จขึ้นจากน้ำ ฟ้าสวรรค์ก็เปิดออก และพระองค์ทรงเห็นพระวิญญาณของพระเจ้าดุจนกพิราบลงมาประทับอยู่กับพระองค์ 17 และมีพระสุรเสียงตรัสจากฟ้าสวรรค์ว่า “นี่เป็นลูกของเรา ผู้ที่เรารัก เราพอใจเขายิ่งนัก”
พระเยซูถูกมารทดลอง(D)
4 จากนั้นพระวิญญาณทรงนำพระเยซูไปยังถิ่นกันดารเพื่อให้มารทดลอง 2 หลังจากอดอาหารสี่สิบวันสี่สิบคืนแล้ว พระเยซูทรงหิว 3 มารผู้ทดลองได้มาหาพระองค์และทูลว่า “ถ้าท่านเป็นพระบุตรของพระเจ้า จงสั่งก้อนหินเหล่านี้ให้กลายเป็นขนมปัง”
4 พระเยซูตรัสตอบว่า “มีคำเขียนไว้ว่า ‘มนุษย์ไม่อาจดำรงชีวิตด้วยอาหารเพียงอย่างเดียวแต่ดำรงชีวิตด้วยทุกถ้อยคำจากพระโอษฐ์ของพระเจ้า’[ad]”
5 แล้วมารนำพระองค์ไปยังนครบริสุทธิ์และให้พระองค์ประทับยืนที่จุดสูงสุดของพระวิหาร 6 แล้วทูลว่า “ถ้าท่านเป็นพระบุตรของพระเจ้าจงกระโดดลงไปเถิด เพราะมีคำเขียนไว้ว่า
“ ‘พระองค์จะทรงบัญชาทูตสวรรค์ของพระองค์ให้ดูแลท่าน
ทูตเหล่านั้นจะยื่นมือประคองท่าน
เพื่อไม่ให้เท้าของท่านกระทบหิน’[ae]”
7 พระเยซูตรัสตอบเขาว่า “มีคำเขียนไว้เช่นกันว่า ‘อย่าทดลององค์พระผู้เป็นเจ้าพระเจ้าของท่าน’[af]”
8 อีกครั้งหนึ่งมารนำพระองค์มายังภูเขาที่สูงมาก แล้วแสดงอาณาจักรทั้งปวงของโลกกับความโอ่อ่าตระการของอาณาจักรเหล่านั้นให้พระองค์ทอดพระเนตร 9 แล้วทูลว่า “ทั้งหมดนี้เราจะยกให้ท่านหากท่านกราบนมัสการเรา”
10 พระเยซูตรัสว่า “เจ้าซาตาน จงไปให้พ้น! เพราะมีคำเขียนไว้ว่า ‘จงนมัสการองค์พระผู้เป็นเจ้าพระเจ้าของท่านและปรนนิบัติพระองค์แต่ผู้เดียว’[ag]”
11 แล้วมารก็ละพระองค์ไปและเหล่าทูตสวรรค์มาปรนนิบัติพระองค์
พระเยซูทรงเริ่มเทศนา
12 เมื่อพระเยซูทรงทราบว่ายอห์นถูกจับขังคุก พระองค์จึงเสด็จกลับไปยังแคว้นกาลิลี 13 ทรงย้ายจากเมืองนาซาเร็ธมาประทับที่เมืองคาเปอรนาอุมซึ่งตั้งอยู่ริมทะเลสาบบริเวณเขตแดนเศบูลุนและนัฟทาลี 14 เพื่อให้เป็นไปตามที่กล่าวไว้ผ่านทางผู้เผยพระวจนะอิสยาห์ว่า
15 “ดินแดนเศบูลุนกับดินแดนนัฟทาลี
เส้นทางสู่ทะเลเลียบแม่น้ำจอร์แดน
กาลิลีแห่งชนต่างชาติ
16 ประชากรผู้อยู่ในความมืด
ได้เห็นแสงสว่างยิ่งใหญ่
บรรดาผู้อาศัยในดินแดนแห่งเงาของความตาย
แสงสว่างเริ่มสาดต้องพวกเขาแล้ว”[ah]
17 ตั้งแต่นั้นมาพระเยซูทรงเริ่มต้นเทศนาว่า “จงกลับใจใหม่เพราะอาณาจักรสวรรค์มาใกล้แล้ว”
ทรงเรียกสาวกกลุ่มแรก(E)
18 ขณะพระเยซูทรงดำเนินอยู่ริมทะเลกาลิลี ทรงเห็นชาวประมงสองพี่น้องคือซีโมนที่เรียกกันว่าเปโตรกับอันดรูว์น้องชายของเขากำลังทอดแหอยู่ที่ทะเลสาบ 19 พระเยซูตรัสว่า “จงตามเรามาเถิด และเราจะตั้งท่านให้เป็นผู้หาคนดั่งหาปลา” 20 ทั้งสองก็ละแหแล้วติดตามพระองค์ไปทันที
21 เมื่อเสด็จต่อไปทรงพบพี่น้องอีกสองคน คือยากอบบุตรเศเบดีกับยอห์นน้องชายของเขากำลังชุนอวนอยู่ในเรือร่วมกับเศเบดีบิดาของพวกเขา พระเยซูทรงเรียกพวกเขา 22 ทั้งสองก็ละเรือและบิดา แล้วติดตามพระองค์ไปทันที
พระเยซูทรงรักษาคนเจ็บป่วย
23 พระเยซูเสด็จไปทั่วแคว้นกาลิลี ทรงสั่งสอนในธรรมศาลาของพวกเขา ประกาศข่าวประเสริฐเรื่องอาณาจักรของพระเจ้า และทรงรักษาโรคภัยไข้เจ็บทั้งปวงในหมู่ประชาชน 24 กิตติศัพท์ของพระองค์เลื่องลือไปทั่วแคว้นซีเรีย และประชาชนนำคนเจ็บป่วยด้วยโรคต่างๆ มาให้พระเยซูทรงรักษา มีทั้งคนที่เจ็บปวดทรมาน คนถูกผีสิง คนเป็นโรคลมชัก คนเป็นอัมพาต และพระองค์ทรงรักษาพวกเขาให้หาย 25 คนเป็นอันมากจากแคว้นกาลิลี แคว้นเดคาโปลิส[ai] กรุงเยรูซาเล็ม แคว้นยูเดียและจากอีกฟากหนึ่งของแม่น้ำจอร์แดนก็ติดตามพระองค์ไป
Thai New Contemporary Bible Copyright © 1999, 2001, 2007 by Biblica, Inc.® Used by permission. All rights reserved worldwide.