Previous Prev Day Next DayNext

Bible in 90 Days

An intensive Bible reading plan that walks through the entire Bible in 90 days.
Duration: 88 days
Thai New Contemporary Bible (TNCV)
Version
เศคาริยาห์ 11 - มัทธิว 4

11 เลบานอนเอ๋ย จงเปิดประตูทั้งหลายของเจ้าเถิด
เพื่อไฟจะได้เผาผลาญเหล่าสนซีดาร์ของเจ้า!
ต้นสนเอ๋ย จงร่ำไห้เถิด เพราะซีดาร์ถูกโค่นลงแล้ว
ต้นไม้งามตระหง่านนั้นย่อยยับลงแล้ว!
ต้นโอ๊กแห่งบาชานเอ๋ย จงร่ำไห้เถิด
ป่าทึบถูกตัดเตียนแล้ว!
จงฟังเสียงร่ำไห้ของบรรดาคนเลี้ยงแกะ
ทุ่งหญ้าอันอุดมสมบูรณ์ของพวกเขาถูกทำลายไป!
จงฟังเสียงคำรามของเหล่าสิงห์
ป่าอันเขียวขจีของจอร์แดนถูกทำลายไปแล้ว!

คนเลี้ยงแกะทั้งสอง

พระยาห์เวห์พระเจ้าของข้าพระองค์ตรัสว่า “จงเลี้ยงฝูงแกะที่จะต้องถูกฆ่า ผู้ซื้อฆ่าแกะเหล่านั้นและไม่ถูกลงโทษแต่อย่างใด บรรดาคนขายก็พูดว่า ‘สรรเสริญองค์พระผู้เป็นเจ้า เรารวยแล้ว!’ คนเลี้ยงแกะเองขายมันไปโดยไม่ปรานีฝูงแกะเลย เพราะเราจะไม่สงสารชาวแผ่นดินนี้อีกแล้ว” องค์พระผู้เป็นเจ้าประกาศดังนี้ “เราจะมอบทุกคนไว้ในมือเพื่อนบ้านและกษัตริย์ของพวกเขา ซึ่งจะข่มเหงเบียดเบียนแผ่นดินนี้ เราจะไม่ช่วยพวกเขาจากเงื้อมมือของคนเหล่านั้น”

ดังนั้นข้าพเจ้าจึงเลี้ยงแกะที่จะต้องถูกฆ่า โดยเฉพาะตัวที่ถูกรังแก แล้วข้าพเจ้าเอาไม้เท้าคนเลี้ยงแกะมาสองอัน อันหนึ่งตั้งชื่อว่า “พระคุณ” และอีกอันหนึ่งตั้งชื่อว่า “กลมเกลียว” แล้วข้าพเจ้าก็เลี้ยงดูแกะ ภายในเดือนเดียวข้าพเจ้าได้กำจัดคนเลี้ยงแกะทั้งสามคนนั้นออกไป

แต่ข้าพเจ้ากลับเอือมระอาฝูงแกะคือชนชาตินี้ และพวกเขาก็เกลียดชังข้าพเจ้า ข้าพเจ้าจึงกล่าวว่า “เราจะไม่เป็นคนเลี้ยงของเจ้าอีกแล้ว ใครจะตายก็ให้ตายไป ใครจะพินาศก็ให้พินาศไป ที่เหลือก็ให้กินเลือดกินเนื้อกันเอง”

10 แล้วข้าพเจ้าเอาไม้เท้าที่ชื่อว่า “พระคุณ” มาหักเสีย เป็นการล้มเลิกพันธสัญญาที่ข้าพเจ้าทำไว้กับประชาชาติทั้งปวง 11 เป็นอันยกเลิกสัญญาในวันนั้น แล้วผู้ตกทุกข์ได้ยากในฝูงแกะซึ่งมองดูข้าพเจ้าอยู่ ก็รู้ว่าเป็นพระดำรัสขององค์พระผู้เป็นเจ้า

12 ข้าพเจ้ากล่าวกับพวกเขาว่า “หากท่านเห็นชอบ ก็จงจ่ายค่าจ้างให้เรา ถ้าไม่เห็นดี ก็เก็บค่าจ้างนั้นไว้เถิด” ฉะนั้นเขาจึงจ่ายเงินให้ข้าพเจ้าเป็นเงินสามสิบแผ่น

13 องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสกับข้าพเจ้าว่า “จงโยนเงินนี้ให้แก่ช่างปั้นหม้อ คือเงินค่าจ้างอย่างงามที่พวกเขาจ่ายให้” ข้าพเจ้าก็นำเงินสามสิบแผ่นนั้นโยนเข้าไปในพระนิเวศขององค์พระผู้เป็นเจ้าสำหรับช่างปั้นหม้อ

14 แล้วข้าพเจ้าหักไม้เท้าอันที่สองซึ่งชื่อว่า “กลมเกลียว” เพื่อแสดงว่ายูดาห์กับอิสราเอลเลิกเป็นพี่น้องกันแล้ว

15 แล้วองค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสกับข้าพเจ้าว่า “จงหยิบเครื่องใช้ของคนเลี้ยงแกะโง่เขลาขึ้นมาอีก 16 เพราะเรากำลังจะตั้งคนเลี้ยงขึ้นมาคนหนึ่งสำหรับดินแดนนี้ ซึ่งจะไม่ใส่ใจแกะที่หลงหาย ไม่ดูแลลูกแกะ ไม่รักษาเยียวยาตัวที่บาดเจ็บ หรือเลี้ยงดูตัวที่แข็งแรง แต่จะกินเนื้อแกะตัวที่อ้วนพีและฉีกกีบเท้าของมันออก

17 “วิบัติแก่คนเลี้ยงแกะที่ไร้ค่า
ผู้ซึ่งทอดทิ้งฝูงแกะ!
ขอให้ดาบฟันแขนของเขาและตาขวาของเขา!
ขอให้แขนของเขาลีบไป
และให้ตาขวาของเขาบอดสนิท!”

ศัตรูของเยรูซาเล็มจะถูกทำลาย

12 พระดำรัสขององค์พระผู้เป็นเจ้า ต่อไปนี้คือพระดำรัสขององค์พระผู้เป็นเจ้าเกี่ยวกับอิสราเอล องค์พระผู้เป็นเจ้าผู้ทรงคลี่ฟ้าสวรรค์ ผู้ทรงวางฐานรากของโลก ผู้ทรงสร้างวิญญาณในตัวมนุษย์ประกาศว่า “เราจะทำให้เยรูซาเล็มเป็นถ้วยที่ทำให้ชนชาติทั้งปวงซึ่งล้อมรอบกลิ้งไป ยูดาห์จะถูกล้อมเมืองเช่นเดียวกับเยรูซาเล็ม ในวันนั้นเมื่อมวลประชาชาติในโลกรวมตัวกันมาสู้กับเยรูซาเล็ม เราจะทำให้เยรูซาเล็มเป็นศิลาซึ่งชนชาติทั้งปวงไม่อาจขยับเขยื้อน คนที่พยายามจะขยับก็เจ็บตัว ในวันนั้นเราจะทำให้ม้าทุกตัวกลัวลานและผู้ขี่คลุ้มคลั่ง” องค์พระผู้เป็นเจ้าประกาศดังนี้ “เราจะจับตาดูพงศ์พันธุ์ยูดาห์ แต่จะทำให้ม้าทั้งปวงของชนชาติต่างๆ ตาบอด แล้วบรรดาผู้นำยูดาห์จะรำพึงว่า ‘ชาวเยรูซาเล็มเข้มแข็งเพราะมีพระยาห์เวห์ผู้ทรงฤทธิ์เป็นพระเจ้าของพวกเขา’

“ในวันนั้นเราจะทำให้บรรดาผู้นำยูดาห์เป็นดั่งไฟร้อนแดงกลางกองฟืน และเหมือนคบไฟลุกโชนกลางฟ่อนข้าว จะเผาผลาญชนชาติทั้งปวงที่อยู่ล้อมรอบทั้งซ้ายขวา ส่วนเยรูซาเล็มจะตั้งมั่นคงไม่ขยับเขยื้อน

องค์พระผู้เป็นเจ้าจะทรงช่วยกองทัพยูดาห์ก่อน เพื่อเกียรติของพงศ์พันธุ์ดาวิดและชาวเยรูซาเล็มจะไม่เกินหน้ายูดาห์ ในวันนั้นองค์พระผู้เป็นเจ้าจะทรงปกป้องชาวเยรูซาเล็มเพื่อผู้อ่อนแอที่สุดในพวกเขาจะเหมือนดาวิด และพงศ์พันธุ์ดาวิดจะเป็นดั่งพระเจ้า เหมือนทูตขององค์พระผู้เป็นเจ้านำหน้าพวกเขาไป ในวันนั้นเราจะทำลายชนชาติทั้งปวงที่มาโจมตีเยรูซาเล็ม

บทคร่ำครวญแด่ผู้ถูกแทง

10 “และเราจะให้พงศ์พันธุ์ดาวิดกับชาวเยรูซาเล็มมีวิญญาณ[a]แห่งพระคุณและการอธิษฐาน พวกเขาจะมองดู[b]เราผู้ที่พวกเขาได้แทง และจะไว้ทุกข์ให้เหมือนคนที่ไว้ทุกข์ให้ลูกคนเดียวของตน และร่ำไห้อย่างขมขื่นอาลัยผู้นั้นเหมือนอาลัยเมื่อลูกชายหัวปีของตนตาย 11 ในวันนั้นจะมีการร่ำไห้ครั้งใหญ่ในเยรูซาเล็ม เหมือนการร่ำไห้ครั้งฮาดัดริมโมนในที่ราบเมกิดโด 12 แผ่นดินจะไว้อาลัยแยกไปตามแต่ละตระกูล พวกภรรยาก็แยกต่างหากได้แก่ ตระกูลของดาวิดกับภรรยาของพวกเขา ตระกูลนาธันกับภรรยาของพวกเขา 13 ตระกูลเลวีกับภรรยาของพวกเขา ตระกูลชิเมอีกับภรรยาของพวกเขา 14 และตระกูลอื่นๆ ที่เหลือกับภรรยาของพวกเขา

ชำระบาป

13 “ในวันนั้นจะมีน้ำพุพุ่งขึ้นมาสำหรับพงศ์พันธุ์ดาวิดและชาวเยรูซาเล็ม เพื่อชำระเขาทั้งปวงจากบาปและมลทินของเขา

“ในวันนั้นเราจะทำลายรูปเคารพทั้งปวงให้สิ้นชื่อจากทั่วดินแดนนั้น จะไม่มีใครนึกถึงรูปเคารพเหล่านั้นอีก” พระยาห์เวห์ผู้ทรงฤทธิ์ประกาศดังนั้น “เราจะกำจัดทั้งผู้พยากรณ์เท็จและวิญญาณโสโครกไปจากแผ่นดิน และหากผู้ใดยังขืนพยากรณ์ พ่อแม่ผู้ให้กำเนิดเขาเองจะกล่าวกับเขาว่า ‘เจ้าต้องตายเพราะเจ้าพูดเท็จในพระนามพระยาห์เวห์’ เมื่อเขาพยากรณ์ พ่อแม่ของเขาเองจะแทงเขา

“ในวันนั้นผู้เผยพระวจนะทุกคนจะอับอายที่เห็นนิมิต จะไม่มีใครสวมเสื้อผ้าขนสัตว์แบบผู้เผยพระวจนะเพื่อตบตาประชาชนอีก เขาจะพูดว่า ‘ข้าพเจ้าไม่ใช่ผู้เผยพระวจนะ แต่เป็นชาวไร่ชาวนา อาศัยแผ่นดินเป็นที่ทำกินมาตั้งแต่หนุ่มๆ[c] หากมีใครถามเขาว่า ‘ก็แล้วรอยแผลเป็นพวกนี้บนตัวเจ้า[d]หมายความว่าอะไร’ เขาจะตอบว่า ‘เป็นแผลที่ได้มาจากบ้านเพื่อน’ ”

คนเลี้ยงแกะถูกเล่นงาน ฝูงแกะกระจัดกระจาย

พระยาห์เวห์ผู้ทรงฤทธิ์ประกาศว่า
“ดาบเอ๋ย จงตื่นขึ้น ห้ำหั่นคนเลี้ยงแกะของเรา
และคนใกล้ชิดของเรา
จงฟาดฟันคนเลี้ยงแกะ
และแกะจะกระจัดกระจายไป
และเราจะตวัดมือฟาดผู้เล็กน้อย”
องค์พระผู้เป็นเจ้าประกาศว่า
“สองในสามของทั้งดินแดนจะถูกห้ำหั่นพินาศไป
เหลือไว้เพียงหนึ่งในสาม
หนึ่งในสามนี้เราจะเอาไปใส่ในไฟ
เราจะถลุงพวกเขาเหมือนเงิน
และทดสอบพวกเขาเหมือนทองคำ
พวกเขาจะร้องเรียกนามของเรา
และเราจะตอบพวกเขา
เราจะกล่าวว่า ‘พวกเขาเป็นประชากรของเรา’
และพวกเขาจะกล่าวว่า ‘พระยาห์เวห์เป็นพระเจ้าของเรา’ ”

องค์พระผู้เป็นเจ้า

14 วันแห่งองค์พระผู้เป็นเจ้าใกล้จะมาถึงแล้วเมื่อพวกเจ้าแบ่งของที่ริบมาได้ในหมู่พวกเจ้า

เราจะรวบรวมประชาชาติทั้งมวลมาสู้รบกับเยรูซาเล็ม กรุงนั้นจะถูกยึด บ้านเรือนถูกปล้น ข้าวของถูกริบ พวกผู้หญิงถูกข่มขืน ประชาชนครึ่งเมืองถูกจับไปเป็นเชลย ส่วนที่เหลือจะยังคงอยู่ในกรุงนั้น

แล้วองค์พระผู้เป็นเจ้าจะเสด็จมาสู้รบกับชนชาติเหล่านั้นเหมือนในยามศึก ในวันนั้นพระองค์จะทรงวางพระบาทบนภูเขามะกอกเทศ ทางตะวันออกของกรุงเยรูซาเล็ม และภูเขามะกอกเทศจะแยกออกเป็นสองส่วน จากตะวันออกถึงตะวันตก ทำให้เกิดหุบเขาที่กว้างใหญ่ โดยครึ่งหนึ่งของภูเขาจะเคลื่อนไปทางเหนือ อีกครึ่งหนึ่งเคลื่อนไปทางใต้ เจ้าจะหนีไปทางหุบเขาของเรา เพราะมันจะทอดยาวไปถึงอาเซล เจ้าจะหนีเหมือนเมื่อหนีจากแผ่นดินไหว[e]ในสมัยกษัตริย์อุสซียาห์แห่งยูดาห์ แล้วพระยาห์เวห์พระเจ้าของข้าพเจ้าจะเสด็จมาพร้อมผู้บริสุทธิ์ทั้งปวงซึ่งอยู่กับพระองค์

ในวันนั้นจะไม่มีความสว่าง ความหนาวเย็น หรือน้ำค้างแข็ง จะเป็นวันพิเศษ ไม่มีกลางวันหรือกลางคืน องค์พระผู้เป็นเจ้าเท่านั้นทรงทราบ แม้เมื่อตกเย็นก็จะมีแสงสว่าง

ในวันนั้นน้ำแห่งชีวิตจะไหลออกมาจากเยรูซาเล็ม ครึ่งหนึ่งไหลลงทะเลตายทางตะวันออก อีกครึ่งหนึ่งไหลลงทะเลเมดิเตอร์เรเนียนทางตะวันตก ไหลตลอดทั้งในฤดูร้อนและฤดูหนาว

องค์พระผู้เป็นเจ้าจะทรงเป็นกษัตริย์ครองทั้งโลก ในวันนั้นจะมีองค์พระผู้เป็นเจ้าเพียงพระองค์เดียวและมีพระนามของพระองค์เพียงพระนามเดียวเท่านั้น

10 ทั่วทั้งแผ่นดินจากเกบาถึงริมโมนทางใต้ของเยรูซาเล็มจะเป็นเหมือนอาราบาห์ ส่วนเยรูซาเล็มจะสูงเด่น มันจะคงอยู่ในที่ของมัน จากประตูเบนยามินถึงบริเวณประตูที่หนึ่งถึงประตูมุม และจากหอคอยฮานันเอลถึงบ่อย่ำองุ่นหลวง 11 เยรูซาเล็มจะมีผู้คนอาศัยอยู่ มันจะมั่นคงปลอดภัยและไม่ถูกทำลายล้างอีกต่อไป

12 ภัยพิบัติที่องค์พระผู้เป็นเจ้าจะทรงให้เกิดแก่บรรดาประชาชาติที่มาสู้รบกับเยรูซาเล็มมีดังนี้คือ เนื้อของเขาจะเปื่อยเน่าทั้งที่ยังยืนอยู่ ตาของเขาเน่าคากระบอกตา และลิ้นเปื่อยเน่าอยู่ในปาก 13 ในวันนั้นองค์พระผู้เป็นเจ้าจะทรงบันดาลให้ผู้คนโกลาหลอลหม่าน แต่ละคนจะจับมือของอีกคนแล้วสู้กัน 14 ชาวยูดาห์ก็จะไปสู้รบที่เยรูซาเล็มด้วย พวกเขาจะเก็บรวบรวมทรัพย์สมบัติของทุกชนชาติที่อยู่รายรอบ ได้ทั้งเงินทองและเสื้อผ้ามากมาย 15 ภัยพิบัติคล้ายคลึงกันจะเกิดกับม้า ล่อ อูฐ ลา และสัตว์ทั้งปวงในค่ายเหล่านั้น

16 แล้วบรรดาผู้รอดชีวิตจากประชาชาติทั้งปวงที่มาโจมตีเยรูซาเล็มจะขึ้นไปเยรูซาเล็มทุกปี เพื่อนมัสการองค์กษัตริย์พระยาห์เวห์ผู้ทรงฤทธิ์ และเพื่อฉลองเทศกาลอยู่เพิง 17 ชนชาติใดๆ ทั่วโลกที่ไม่ไปนมัสการองค์กษัตริย์พระยาห์เวห์ผู้ทรงฤทธิ์ พวกเขาจะไม่ได้รับฝน 18 หากชาวอียิปต์ไม่ยอมขึ้นมาร่วม เขาจะไม่ได้รับฝน องค์พระผู้เป็นเจ้า[f]จะทรงบันดาลภัยพิบัติให้เกิดแก่อียิปต์ เป็นภัยพิบัติอย่างเดียวกับที่ทรงให้เกิดแก่ประชาชาติที่ไม่ขึ้นไปร่วมฉลองเทศกาลอยู่เพิง 19 นี่เป็นการลงโทษอียิปต์และประชาชาติทั้งปวงซึ่งไม่ขึ้นไปร่วมฉลองเทศกาลอยู่เพิง

20 ในวันนั้นลูกพรวนที่ตัวม้าจะมีข้อความจารึกว่า “บริสุทธิ์แด่องค์พระผู้เป็นเจ้า” และหม้อหุงต้มในพระวิหารขององค์พระผู้เป็นเจ้าจะเป็นเหมือนภาชนะศักดิ์สิทธิ์หน้าแท่นบูชา 21 หม้อทุกใบในเยรูซาเล็มและยูดาห์จะบริสุทธิ์แด่พระยาห์เวห์ผู้ทรงฤทธิ์ และคนทั้งปวงที่มาถวายเครื่องบูชาจะหยิบหม้อบางใบไปใช้ในการต้มเครื่องบูชาได้ และในวันนั้นจะไม่มีชาวคานาอัน[g]ในพระนิเวศของพระยาห์เวห์ผู้ทรงฤทธิ์อีกต่อไป

พระดำรัสขององค์พระผู้เป็นเจ้าถึงอิสราเอลผ่านทางมาลาคี[h]มีดังนี้

ทรงรักยาโคบ แต่ทรงเกลียดชังเอซาว

องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสว่า “เราได้รักเจ้า”

“แต่เจ้าย้อนว่า ‘พระองค์รักเราอย่างไร?’ ”

องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสว่า “แม้เอซาวจะเป็นพี่ชายของยาโคบ แต่เราก็รักยาโคบ ส่วนเอซาวเราชัง และเราได้ทำให้เทือกเขาของเขากลายเป็นที่รกร้าง เราได้ทำให้มรดกตกทอดของเขากลายเป็นถิ่นกันดารให้เหล่าหมาใน”

เอโดมอาจกล่าวว่า “ถึงเราถูกบดขยี้ แต่เราก็จะสร้างส่วนที่หักพังขึ้นมาใหม่”

แต่พระยาห์เวห์ผู้ทรงฤทธิ์ตรัสว่า “พวกเขาจะสร้างขึ้นก็ได้ แต่เราจะบดขยี้มันลงมาอีก เขาจะได้ชื่อว่า ‘ดินแดนที่ชั่วร้าย’ ชนชาติที่องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงพระพิโรธอยู่เนืองนิตย์ เจ้าจะเห็นกับตาและกล่าวว่า ‘องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงยิ่งใหญ่นัก แม้กระทั่งนอกเขตแดนอิสราเอล!’

เครื่องบูชาที่มีตำหนิ

“ลูกย่อมให้เกียรติพ่อ บ่าวย่อมให้เกียรตินาย หากเราเป็นพ่อ ไหนล่ะเกียรติที่เราควรจะได้รับ? หากเราเป็นนาย ไหนล่ะความเคารพที่เราควรจะได้รับ?” พระยาห์เวห์ผู้ทรงฤทธิ์ตรัสดังนั้น “ปุโรหิตทั้งหลายเอ๋ย พวกเจ้านี่แหละเหยียดหยามนามของเรา

“พวกเจ้าถามเราว่า ‘ข้าพระองค์ทั้งหลายเหยียดหยามพระนามของพระองค์อย่างไร?’

“ก็เจ้านำอาหารที่เป็นมลทินมาวางบนแท่นบูชาของเราน่ะสิ

“แต่เจ้าถามว่า ‘พวกข้าพระองค์ได้ทำให้พระองค์เป็นมลทินอย่างไร?’

“ก็โดยกล่าวว่าโต๊ะขององค์พระผู้เป็นเจ้านั้นน่าเหยียดหยาม ไม่ผิดหรือที่เจ้านำสัตว์ตาบอดมาถวายบูชา? ไม่ผิดหรือที่เจ้าถวายสัตว์พิการหรือเป็นโรค? ลองถวายให้ผู้ว่าการของเจ้าดูสิ! เขาจะพอใจเจ้าไหม? เขาจะยอมรับเจ้าไหม?” พระยาห์เวห์ผู้ทรงฤทธิ์ตรัสดังนั้น

“ลองอ้อนวอนพระเจ้าเถิด เผื่อพระองค์จะทรงเมตตาเราทั้งหลาย แต่เจ้าคิดว่าพระองค์จะรับของพวกนั้นที่เจ้านำมาถวายหรือ?” พระยาห์เวห์ผู้ทรงฤทธิ์ตรัสดังนั้น

10 พระยาห์เวห์ผู้ทรงฤทธิ์ตรัสว่า “โอ อยากให้พวกเจ้าสักคนปิดประตูวิหารเสีย เพื่อเจ้าจะได้ไม่มาจุดไฟอันเปล่าประโยชน์บนแท่นบูชาของเรา! เราไม่ได้พอใจเจ้าเลย และเราจะไม่รับของถวายใดๆ จากมือของเจ้าด้วย 11 นามของเราจะยิ่งใหญ่ท่ามกลางมวลประชาชาติ ตั้งแต่ที่ดวงอาทิตย์ขึ้นจนถึงที่ดวงอาทิตย์ตก เขาจะถวายเครื่องหอมและของถวายบริสุทธิ์แด่นามของเราทุกหนทุกแห่ง เพราะนามของเราจะยิ่งใหญ่ในหมู่ประชาชาติทั้งหลาย” พระยาห์เวห์ผู้ทรงฤทธิ์ตรัสดังนั้น

12 “แต่เจ้าลบหลู่นามนั้นโดยกล่าวถึงโต๊ะของพระเจ้าว่า ‘เป็นมลทิน’ และกล่าวถึงอาหารที่ถวายนั้นว่า ‘น่าเหยียดหยาม’ 13 และเจ้ากล่าวว่า ‘ภาระน่าเบื่อ!’ แล้วทำเสียงฮึดฮัดอย่างเหยียดหยาม” พระยาห์เวห์ผู้ทรงฤทธิ์ตรัสดังนั้น

องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสว่า “เมื่อเจ้านำสัตว์บาดเจ็บ พิการ หรือเป็นโรคมาถวายเป็นเครื่องบูชา เราควรจะรับของพวกนั้นจากมือของเจ้าหรือ?” 14 พระยาห์เวห์ผู้ทรงฤทธิ์ตรัสว่า “ขอสาปแช่งคนโกง ผู้สัญญาจะเอาแกะตัวผู้ที่สมบูรณ์แข็งแรงจากฝูงของตนมาถวาย แต่กลับถวายแกะที่มีตำหนิแด่องค์พระผู้เป็นเจ้า ทั้งนี้เพราะเราคือจอมกษัตริย์ และนามของเราก็เป็นที่เกรงขามท่ามกลางนานาประชาชาติ”

ทรงเตือนเหล่าปุโรหิต

พระยาห์เวห์ผู้ทรงฤทธิ์ตรัสว่า “และบัดนี้เป็นคำเตือนสำหรับพวกเจ้า ปุโรหิตทั้งหลาย หากเจ้าไม่ฟังและไม่ตั้งใจถวายเกียรติแด่นามของเรา เราจะส่งคำแช่งมาเหนือเจ้าและจะสาปแช่งพรของเจ้า ที่จริงเราได้สาปแช่งแล้ว เพราะเจ้าไม่ได้ตั้งใจถวายเกียรติเรา

“เพราะเจ้า เราจะลงโทษ[i]ลูกหลานของเจ้า[j] เราจะละเลงของเหลือเดนเหล่านั้นที่เจ้าถวายแก่เราบนหน้าเจ้า และเหวี่ยงเจ้าทิ้งไปกับกากเดนนั้น แล้วเจ้าจะได้รู้ว่าเราเตือนเจ้าแล้ว เพื่อพันธสัญญาที่เราให้ไว้แก่เลวีจะสืบทอดต่อไป” พระยาห์เวห์ผู้ทรงฤทธิ์ตรัสดังนั้น “เราได้ทำพันธสัญญาไว้กับเขาเพื่อให้ชีวิตและสันติสุขแก่เขา โดยพันธสัญญานี้เรียกร้องความยำเกรงจากเขา และเขาก็ได้ยำเกรงเรา และดำเนินด้วยความเกรงกลัวนามของเรา ปากของเขาเอ่ยคำสอนแท้และไม่เคยพูดโกหก เขาได้ดำเนินชีวิตไปกับเราด้วยสันติสุขและความเที่ยงธรรม และช่วยหลายคนให้หันจากบาป

“วาจาของปุโรหิตควรสงวนความรู้ไว้ และผู้คนพึงแสวงหาคำสั่งสอนจากปุโรหิต เพราะเขาคือทูตของพระยาห์เวห์ผู้ทรงฤทธิ์ แต่เจ้าได้หันเหจากทางนั้น คำสอนของเจ้าทำให้หลายคนสะดุดล้ม เจ้าละเมิดพันธสัญญาที่เราให้ไว้กับเลวี” พระยาห์เวห์ผู้ทรงฤทธิ์ตรัสดังนั้น “ฉะนั้นเราจึงทำให้เจ้าตกต่ำและเป็นที่ดูหมิ่นต่อหน้าประชากรทั้งปวง เพราะเจ้าไม่ได้ปฏิบัติตามวิถีทางของเรา แต่นำบทบัญญัติของเรามาเลือกปฏิบัติ”

ยูดาห์ทรยศ

10 เราทั้งหลายมีพระบิดาองค์เดียวกันไม่ใช่หรือ? พระเจ้าองค์เดียวกันไม่ใช่หรือที่ทรงสร้างเรา? ก็แล้วเหตุใดเราลบหลู่พันธสัญญาของบรรพบุรุษโดยไม่ซื่อสัตย์ต่อกัน?

11 ยูดาห์ทรยศ มีการกระทำอันน่าชิงชังในอิสราเอลและในเยรูซาเล็ม คือยูดาห์ลบหลู่สถานนมัสการที่องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงรัก โดยแต่งงานกับหญิงที่นับถือพระของคนต่างชาติ 12 ไม่ว่าจะเป็นใครก็ตามถ้าทำเช่นนี้ ขอองค์พระผู้เป็นเจ้าตัดผู้นั้นออกจากชุมชน[k]ของยาโคบ[l] ถึงแม้ว่าเขาจะนำเครื่องบูชามาถวายแด่พระยาห์เวห์ผู้ทรงฤทธิ์

13 อีกอย่างหนึ่งที่เจ้าทำคือ มาบีบน้ำตารดแท่นบูชาขององค์พระผู้เป็นเจ้าเจ้าร้องไห้สะอึกสะอื้น เพราะพระองค์ไม่ทรงแยแสหรือพอพระทัยที่จะรับเครื่องบูชาจากมือของเจ้า 14 เจ้าถามว่า “ทำไมทรงทำเช่นนี้?” ก็เพราะองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงเป็นพยานระหว่างเจ้ากับภรรยาตั้งแต่วัยหนุ่มของเจ้า เพราะเจ้าทรยศนอกใจนาง ทั้งที่นางเป็นคู่ครองของเจ้า เป็นภรรยาตามพันธสัญญาในการแต่งงานของเจ้า

15 พระองค์ได้ทรงผูกพันทั้งคู่เป็นหนึ่งเดียวกันไม่ใช่หรือ? ทั้งกายและวิญญาณของทั้งคู่เป็นของพระองค์ เขาเป็นหนึ่งเดียวกันเพื่ออะไร? ก็เพื่อจะมีลูกหลานที่ชอบธรรมให้กับพระองค์นั่นเอง[m] ฉะนั้นจงควบคุมสติอารมณ์ของเจ้าให้ดี อย่าคิดนอกใจภรรยาที่เจ้าได้มาตั้งแต่ยังหนุ่ม

16 พระยาห์เวห์พระเจ้าแห่งอิสราเอลตรัสว่า “เราเกลียดชังการหย่าร้างและผู้ที่คลุมตนเอง[n]ด้วยความรุนแรงราวกับเป็นเครื่องแต่งกายของเขา” องค์พระผู้เป็นเจ้าผู้ทรงฤทธิ์ตรัสดังนี้

ฉะนั้นจงควบคุมสติอารมณ์ของเจ้าให้ดี และอย่าทำผิดสัญญา

วันแห่งการพิพากษา

17 เจ้าทำให้องค์พระผู้เป็นเจ้าเอือมระอาคำพูดของเจ้า

เจ้าถามว่า “เราทำให้พระองค์ทรงเอือมระอาด้วยเรื่องใด?”

ก็โดยพูดว่า “คนทั้งปวงที่ทำชั่วก็เป็นคนดีในสายพระเนตรขององค์พระผู้เป็นเจ้าและพระองค์ทรงพอพระทัยคนเหล่านั้น” หรือโดยพูดว่า “ไหนล่ะพระเจ้าแห่งความยุติธรรม?”

พระยาห์เวห์ผู้ทรงฤทธิ์ตรัสว่า “ดูเถิด เราจะส่งทูตของเรามาเตรียมทางให้เราล่วงหน้า แล้วทันใดนั้นองค์พระผู้เป็นเจ้าที่เจ้าแสวงหาจะมายังพระวิหารของพระองค์ ทูตแห่งพันธสัญญาที่เจ้าปรารถนานั้นจะมา”

แต่ใครเล่าจะทนอยู่ได้ในวันที่พระองค์เสด็จมา? ใครเล่าจะยืนอยู่ได้เมื่อพระองค์ทรงปรากฏ? เพราะพระองค์จะทรงเป็นเหมือนไฟถลุง เหมือนสบู่ของช่างฟอก พระองค์จะทรงนั่งลงอย่างช่างถลุงเงินและชำระให้บริสุทธิ์ จะทรงชำระชนเลวีเหมือนถลุงเงินและทองคำ แล้วองค์พระผู้เป็นเจ้าจะได้คนที่นำเครื่องบูชามาถวายด้วยความชอบธรรม และเครื่องถวายของยูดาห์กับเยรูซาเล็มจะเป็นที่ยอมรับขององค์พระผู้เป็นเจ้าเหมือนวันเวลาในอดีต เหมือนปีเก่าก่อน

พระยาห์เวห์ผู้ทรงฤทธิ์ตรัสว่า “เราจะมาหาพวกเจ้าเพื่อพิพากษาโทษ เราจะตั้งข้อหาโดยเร็วแก่บรรดาคนที่ใช้คาถาอาคม คนล่วงประเวณี คนที่สาบานเท็จ คนที่โกงค่าแรงลูกจ้าง คนที่รังแกหญิงม่ายและลูกกำพร้าพ่อ คนที่ไม่ให้ความยุติธรรมแก่คนต่างด้าว และคนที่ไม่ยำเกรงเรา”

เหล่าประชากรโกงพระเจ้า

“เราคือพระยาห์เวห์ผู้ไม่ผันแปร ฉะนั้นเจ้าทั้งหลายผู้เป็นพงศ์พันธุ์ของยาโคบจึงไม่ถูกทำลายไป ตั้งแต่สมัยบรรพบุรุษ พวกเจ้าก็หันเหจากกฎเกณฑ์ของเรา ไม่ยอมปฏิบัติตามกฎเกณฑ์เหล่านั้น จงกลับมาหาเรา และเราจะกลับมาหาเจ้า” พระยาห์เวห์ผู้ทรงฤทธิ์ตรัสดังนั้น

“แต่เจ้าถามว่า ‘จะให้ข้าพระองค์ทั้งหลายหันกลับมาอย่างไร?’

“มนุษย์จะโกงพระเจ้าหรือ? ถึงกระนั้นเจ้าก็โกงเรา

“เจ้าถามว่า ‘พวกข้าพระองค์โกงพระองค์อย่างไร?’

“ก็โกงสิบลด[o]และของถวายต่างๆ พวกเจ้าทั้งชาติตกอยู่ใต้คำสาปแช่งเพราะเจ้าโกงเรา” 10 พระยาห์เวห์ผู้ทรงฤทธิ์ตรัสว่า “จงนำสิบลดมายังคลังพระวิหารให้ครบ เพื่อจะมีอาหารในพระนิเวศของเรา จงลองดูเราในข้อนี้ มีหรือที่เราจะไม่เปิดประตูฟ้าสวรรค์เทพรมาให้เจ้าอย่างเหลือล้นจนไม่มีที่จะเก็บ” 11 พระยาห์เวห์ผู้ทรงฤทธิ์ตรัสว่า “เราจะป้องกันไม่ให้แมลงมากัดกินพืชพันธุ์ของเจ้า และผลองุ่นในสวนของเจ้าจะไม่ร่วงก่อนสุก 12 แล้วมวลประชาชาติจะเรียกเจ้าว่าผู้เป็นสุข เพราะดินแดนของเจ้าจะเป็นแดนอภิรมย์” พระยาห์เวห์ผู้ทรงฤทธิ์ตรัสดังนั้น

13 องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสว่า “เจ้าพูดให้ร้ายเรา

“แต่เจ้าก็ถามว่า ‘ข้าพระองค์ทั้งหลายให้ร้ายพระองค์ว่าอะไร?’

14 “ก็ที่เจ้าพูดว่า ‘รับใช้พระเจ้าไปก็ไร้ประโยชน์ เราได้รับอะไรบ้างจากการทำตามข้อกำหนดของพระองค์ หรือจากการดำเนินชีวิตอย่างคนไว้ทุกข์ต่อหน้าพระยาห์เวห์ผู้ทรงฤทธิ์? 15 แต่บัดนี้ดูเถิด เราเรียกคนหยิ่งผยองว่าผู้เป็นสุข คนทำชั่วก็ได้ดิบได้ดี แม้แต่คนที่ท้าทายพระเจ้าก็ยังลอยนวล’ ”

16 แล้วบรรดาผู้ยำเกรงองค์พระผู้เป็นเจ้าก็คุยกัน และองค์พระผู้เป็นเจ้าก็ทรงสดับฟัง มีหนังสือม้วนบันทึกความจำเกี่ยวกับบรรดาผู้ยำเกรงพระเจ้า และเทิดทูนพระนามของพระองค์อยู่ต่อหน้าองค์พระผู้เป็นเจ้า

17 พระยาห์เวห์ผู้ทรงฤทธิ์ตรัสว่า “คนเหล่านั้นจะเป็นของเราในวันที่เราลงมือ พวกเขาจะเป็นกรรมสิทธิ์ล้ำค่าของเรา[p] เราจะพิทักษ์รักษาพวกเขาด้วยความเมตตาเหมือนพ่อพิทักษ์รักษาลูกที่ปรนนิบัติพ่อ 18 แล้วเจ้าจะเห็นสิ่งเหล่านี้อีกครั้งหนึ่ง คือความแตกต่างระหว่างคนชอบธรรมกับคนอธรรม ระหว่างผู้ที่ปรนนิบัติรับใช้พระเจ้ากับผู้ที่ไม่รับใช้พระองค์”

วันแห่งองค์พระผู้เป็นเจ้า

พระยาห์เวห์ผู้ทรงฤทธิ์ตรัสว่า “วันนั้นจะมาถึงอย่างแน่นอน วันที่เผาผลาญดั่งเตาหลอม ทุกคนที่เย่อหยิ่งและทุกคนที่ทำชั่วจะเป็นตอข้าว วันที่จะมาถึงนั้นจะเผาผลาญเขาทั้งหมดไม่ให้เหลือแม้แต่รากหรือกิ่งสักกิ่งเดียว แต่พวกเจ้าที่ยำเกรงนามของเรา ดวงตะวันแห่งความชอบธรรมจะขึ้นมาพร้อมด้วยปีกแห่งการบำบัดรักษา และเจ้าจะโลดแล่นออกไปเหมือนลูกวัวที่ถูกปล่อยออกจากคอก แล้วเจ้าจะเหยียบย่ำคนชั่ว พวกเขาจะเป็นเหมือนขี้เถ้าใต้ฝ่าเท้าของเจ้าในวันที่เราลงมือทำสิ่งเหล่านี้” พระยาห์เวห์ผู้ทรงฤทธิ์ตรัสดังนั้น

“จงระลึกถึงบทบัญญัติของโมเสสผู้รับใช้ของเรา คือกฎหมายและบทบัญญัติต่างๆ ซึ่งเรามอบให้โมเสสบนภูเขาโฮเรบสำหรับชนชาติอิสราเอลทั้งปวง

“ดูเถิด เราจะส่งผู้เผยพระวจนะเอลียาห์มาหาพวกเจ้าก่อนวันอันยิ่งใหญ่น่ากลัวขององค์พระผู้เป็นเจ้าจะมาถึง เขาจะหันจิตใจของพ่อมาหาลูกและหันจิตใจของลูกมาหาพ่อ มิฉะนั้นเราจะมาห้ำหั่นดินแดนนี้ด้วยคำสาปแช่ง”

ลำดับวงศ์ของพระเยซูคริสต์(A)

บันทึกลำดับวงศ์ตระกูลของพระเยซูคริสต์ ผู้เป็นเชื้อสายของดาวิด ผู้เป็นเชื้อสายของอับราฮัมมีดังนี้

อับราฮัมเป็นบิดาของอิสอัค

อิสอัคเป็นบิดาของยาโคบ

ยาโคบเป็นบิดาของยูดาห์กับพี่น้องของเขา

ยูดาห์เป็นบิดาของเปเรศกับเศราห์ มารดาของพวกเขาคือนางทามาร์

เปเรศเป็นบิดาของเฮสโรน

เฮสโรนเป็นบิดาของราม

รามเป็นบิดาของอัมมีนาดับ

อัมมีนาดับเป็นบิดาของนาโชน

นาโชนเป็นบิดาของสัลโมน

สัลโมนเป็นบิดาของโบอาส มารดาของเขาคือนางราหับ

โบอาสเป็นบิดาของโอเบด มารดาของเขาคือนางรูธ

โอเบดเป็นบิดาของเจสซี

และเจสซีเป็นบิดาของกษัตริย์ดาวิด

ดาวิดเป็นบิดาของโซโลมอน มารดาของโซโลมอนเคยเป็นภรรยาของอุรียาห์มาก่อน

โซโลมอนเป็นบิดาของเรโหโบอัม

เรโหโบอัมเป็นบิดาของอาบียาห์

อาบียาห์เป็นบิดาของอาสา

อาสาเป็นบิดาของเยโฮชาฟัท

เยโฮชาฟัทเป็นบิดาของเยโฮรัม

เยโฮรัมเป็นบิดาของอุสซียาห์

อุสซียาห์เป็นบิดาของโยธาม

โยธามเป็นบิดาของอาหัส

อาหัสเป็นบิดาของเฮเซคียาห์

10 เฮเซคียาห์เป็นบิดาของมนัสเสห์

มนัสเสห์เป็นบิดาของอาโมน

อาโมนเป็นบิดาของโยสิยาห์

11 และโยสิยาห์เป็นบิดาของเยโคนิยาห์[q]กับพี่น้องของเขาเมื่อครั้งตกเป็นเชลยที่บาบิโลน

12 หลังจากตกเป็นเชลยที่บาบิโลนแล้ว

เยโคนิยาห์เป็นบิดาของเชอัลทิเอล

เชอัลทิเอลเป็นบิดาของเศรุบบาเบล

13 เศรุบบาเบลเป็นบิดาของอาบียุด

อาบียุดเป็นบิดาของเอลียาคิม

เอลียาคิมเป็นบิดาของอาซอร์

14 อาซอร์เป็นบิดาของศาโดก

ศาโดกเป็นบิดาของอาคิม

อาคิมเป็นบิดาของเอลีอูด

15 เอลีอูดเป็นบิดาของเอเลอาซาร์

เอเลอาซาร์เป็นบิดาของมัทธาน

มัทธานเป็นบิดาของยาโคบ

16 และยาโคบเป็นบิดาของโยเซฟสามีของมารีย์ผู้ให้กำเนิดพระเยซูที่เรียกกันว่า พระคริสต์[r]

17 ดังนั้นตั้งแต่อับราฮัมลงมาจนถึงดาวิดมีสิบสี่ชั่วคน ตั้งแต่ดาวิดมาจนถึงเมื่อครั้งตกเป็นเชลยที่บาบิโลนมีสิบสี่ชั่วคน และตั้งแต่ครั้งตกเป็นเชลยที่บาบิโลนจนถึงพระคริสต์มีสิบสี่ชั่วคน

การประสูติของพระเยซูคริสต์

18 เรื่องราวการประสูติของพระเยซูคริสต์มีดังนี้ มารีย์มารดาของพระองค์เป็นคู่หมั้นของโยเซฟ แต่ก่อนที่ทั้งสองจะอยู่กินเป็นสามีภรรยากัน ปรากฏว่ามารีย์ได้ตั้งครรภ์โดยฤทธิ์เดชของพระวิญญาณบริสุทธิ์ 19 เนื่องจากโยเซฟคู่หมั้นของนางเป็นคนดีมีคุณธรรมและไม่ประสงค์จะแพร่งพรายเรื่องนี้ให้นางต้องอับอายต่อหน้าธารกำนัล เขาจึงคิดที่จะถอนหมั้นอย่างเงียบๆ

20 แต่หลังจากที่เขาคิดจะทำเช่นนั้น ทูตองค์หนึ่งขององค์พระผู้เป็นเจ้ามาปรากฏแก่เขาในความฝันและกล่าวว่า “โยเซฟบุตรดาวิด อย่ากลัวที่จะรับมารีย์มาเป็นภรรยาเลยเพราะว่าผู้ที่ปฏิสนธิในครรภ์ของนางนั้นมาจากพระวิญญาณบริสุทธิ์ 21 นางจะให้กำเนิดบุตรชาย จงตั้งชื่อพระกุมารนั้นว่า เยซู[s] เพราะว่าพระองค์จะทรงช่วยประชากรของพระองค์ให้พ้นจากบาปทั้งหลายของเขา”

22 ทั้งหมดนี้เป็นจริงตามที่องค์พระผู้เป็นเจ้าได้ตรัสไว้ผ่านทางผู้เผยพระวจนะซึ่งกล่าวว่า 23 “หญิงพรหมจารีจะตั้งครรภ์และคลอดบุตรชายและเขาจะเรียกท่านว่า อิมมานูเอล”[t] ซึ่งแปลว่า “พระเจ้าทรงอยู่กับเรา”

24 เมื่อโยเซฟตื่นขึ้นก็ทำตามที่ทูตสวรรค์ขององค์พระผู้เป็นเจ้าสั่งไว้ คือรับมารีย์มาเป็นภรรยา 25 แต่เขาไม่ได้ร่วมหลับนอนกับนางจนกระทั่งมารีย์ให้กำเนิดบุตรชาย และเขาตั้งชื่อบุตรนั้นว่า เยซู

โหราจารย์มาเข้าเฝ้าพระกุมารเยซู

หลังจากพระเยซูประสูติที่เบธเลเฮมแคว้นยูเดียในสมัยของกษัตริย์เฮโรด มีโหราจารย์[u]จากตะวันออกมายังกรุงเยรูซาเล็ม และถามว่า “ผู้ที่มาบังเกิดเป็นกษัตริย์ของชาวยิวนั้นอยู่ที่ไหน? เราได้เห็นดาวของพระองค์เมื่อเราอยู่ที่ตะวันออก[v]จึงมาเพื่อนมัสการพระองค์”

เมื่อกษัตริย์เฮโรดได้ยินดังนั้นก็ว้าวุ่นพระทัย ทั่วทั้งเยรูซาเล็มก็พลอยว้าวุ่นไปด้วย เฮโรดทรงเรียกประชุมหัวหน้าปุโรหิตทั้งปวงและบรรดาธรรมาจารย์ของประชาชน และตรัสถามพวกเขาว่าพระคริสต์[w]จะประสูติที่ใด คนเหล่านั้นกราบทูลว่า “ที่เบธเลเฮมในแคว้นยูเดียเพราะผู้เผยพระวจนะได้เขียนไว้ว่า

“ ‘ส่วนเจ้า เบธเลเฮมในดินแดนยูดาห์
ไม่ได้ต่ำต้อยในหมู่ผู้ปกครองแห่งยูดาห์
เพราะจะมีผู้ปกครองผู้หนึ่งออกมาจากเจ้า
ซึ่งจะเป็นผู้เลี้ยงประชากรอิสราเอลของเรา’[x]

แล้วเฮโรดจึงเรียกพวกโหราจารย์มาพบอย่างลับๆ ไต่ถามจนทราบถึงเวลาที่แน่นอนที่ดาวนั้นปรากฏขึ้น แล้วส่งพวกเขาไปยังเบธเลเฮมพร้อมทั้งรับสั่งว่า “จงไปค้นหาพระกุมารนั้น เมื่อพบแล้วจงแจ้งเราทันทีเพื่อเราจะได้ไปนมัสการพระองค์ด้วย”

เมื่อได้ฟังรับสั่งของกษัตริย์แล้ว โหราจารย์เหล่านั้นก็เดินทางต่อไป และดวงดาวที่พวกเขาได้เห็นเมื่ออยู่ที่ตะวันออก[y]นำทางพวกเขาไปจนมาหยุดอยู่เหนือที่ประทับของพระกุมาร 10 เมื่อพวกเขาเห็นดาวดวงนั้นก็ปีติยินดียิ่งนัก 11 เมื่อเข้าไปในบ้านก็เห็นพระกุมารกับมารีย์มารดาของพระองค์ จึงกราบนมัสการพระองค์แล้วเปิดหีบนำเครื่องบรรณาการออกมาถวาย คือทองคำ กำยาน และมดยอบ 12 พวกเขาได้รับคำเตือนในความฝันไม่ให้กลับไปพบเฮโรด พวกเขาจึงกลับประเทศของตนโดยใช้เส้นทางอื่น

หนีไปอียิปต์

13 เมื่อพวกโหราจารย์กลับไปแล้ว ทูตองค์หนึ่งขององค์พระผู้เป็นเจ้ามาปรากฏแก่โยเซฟในความฝันและสั่งว่า “จงลุกขึ้น พาพระกุมารและมารดาหนีไปยังอียิปต์และอยู่ที่นั่นจนกว่าเราจะบอกให้กลับมา เพราะเฮโรดกำลังจะค้นหาพระกุมารเพื่อประหาร”

14 ในคืนนั้นโยเซฟจึงลุกขึ้นพามารีย์กับพระกุมารเดินทางไปยังอียิปต์ 15 และอยู่ที่นั่นจนเฮโรดสิ้นพระชนม์ ทั้งนี้เป็นไปตามที่องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสไว้ผ่านทางผู้เผยพระวจนะว่า “เราเรียกบุตรของเราออกจากอียิปต์”[z]

16 เมื่อเฮโรดตระหนักว่าพวกโหราจารย์หลอกพระองค์ พระองค์ก็กริ้วนัก จึงบัญชาให้ประหารเด็กผู้ชายทั้งปวงในเบธเลเฮมและละแวกใกล้เคียงที่มีอายุตั้งแต่สองขวบลงมา คะเนตามระยะเวลาที่ทราบจากพวกโหราจารย์ 17 ทั้งนี้จึงเป็นจริงตามที่ผู้เผยพระวจนะเยเรมีย์กล่าวไว้ว่า

18 “ได้ยินเสียงหนึ่งในรามาห์
เสียงสะอึกสะอื้นคร่ำครวญ
ราเชลร่ำไห้ถึงบรรดาบุตรของนาง
และไม่ยอมรับคำปลอบโยนใดๆ
เพราะบุตรทั้งหลายจากไปเสียแล้ว”[aa]

กลับมานาซาเร็ธ

19 เมื่อเฮโรดสิ้นพระชนม์แล้ว ทูตองค์หนึ่งขององค์พระผู้เป็นเจ้ามาปรากฏในความฝันแก่โยเซฟที่อียิปต์ 20 และกล่าวว่า “จงลุกขึ้นพาพระกุมารและมารดากลับไปยังอิสราเอลเถิด เพราะบรรดาผู้ที่พยายามเอาชีวิตพระกุมารนั้นตายแล้ว”

21 ดังนั้นโยเซฟจึงลุกขึ้นพาพระกุมารกับมารดามายังดินแดนอิสราเอล 22 แต่เมื่อเขาได้ยินว่าอารเคลาอัสขึ้นครองแคว้นยูเดียแทนเฮโรดผู้เป็นบิดาเขาก็กลัวและไม่กล้าไปที่นั่น เมื่อได้รับคำเตือนในความฝันจึงเลยไปยังแคว้นกาลิลี 23 และอาศัยอยู่ที่เมืองหนึ่งชื่อนาซาเร็ธ จึงเป็นจริงตามที่ได้กล่าวไว้ผ่านทางบรรดาผู้เผยพระวจนะว่า “เขาจะเรียกท่านว่า ชาวนาซาเร็ธ”

ยอห์นผู้ให้บัพติศมาเตรียมทาง(B)

ครั้งนั้นยอห์นผู้ให้บัพติศมาได้มาเทศนาในถิ่นกันดารแห่งแคว้นยูเดีย และกล่าวว่า “จงกลับใจใหม่เพราะอาณาจักรสวรรค์มาใกล้แล้ว” ยอห์นผู้นี้แหละที่ถูกกล่าวถึงผ่านทางผู้เผยพระวจนะอิสยาห์ว่า

“เสียงของผู้หนึ่งร้องในถิ่นกันดารว่า
‘จงเตรียมทางสำหรับองค์พระผู้เป็นเจ้า
จงทำทางสำหรับพระองค์ให้ตรงไป’ ”[ab]

เสื้อผ้าของยอห์นทำจากขนอูฐ เขาคาดเอวด้วยเข็มขัดหนัง อาหารของเขาคือตั๊กแตนกับน้ำผึ้งป่า ประชาชนจากกรุงเยรูซาเล็ม ทั่วแคว้นยูเดียและทั่วแถบแม่น้ำจอร์แดนพากันมาหาเขา เมื่อพวกเขาสารภาพบาปทั้งหลายของตนแล้ว ยอห์นก็ให้พวกเขารับบัพติศมาในแม่น้ำจอร์แดน

แต่เมื่อยอห์นเห็นพวกฟาริสีและพวกสะดูสีมายังที่ซึ่งเขาให้บัพติศมาอยู่ ยอห์นก็กล่าวแก่พวกเขาว่า “เจ้าชาติงูร้าย ใครตักเตือนพวกเจ้าให้หนีจากพระพิโรธที่จะมาถึง? จงเกิดผลให้สมกับที่กลับใจใหม่ และอย่านึกในใจว่า ‘เรามีอับราฮัมเป็นบรรพบุรุษของเรา’ เราบอกท่านว่าพระเจ้าทรงสามารถทำให้ลูกหลานของอับราฮัมเกิดจากก้อนหินเหล่านี้ได้ 10 ขวานนั้นอยู่ที่โคนต้นไม้แล้วและทุกต้นที่ไม่ให้ผลดีจะถูกโค่นและโยนลงในไฟ

11 “เราให้บัพติศมาด้วย[ac]น้ำแก่พวกท่านแสดงถึงการกลับใจใหม่ แต่ภายหลังเราจะมีผู้หนึ่งทรงฤทธิ์อำนาจยิ่งกว่าเราเสด็จมา เราไม่คู่ควรแม้แต่จะถือฉลองพระบาทของพระองค์ พระองค์จะทรงให้ท่านทั้งหลายรับบัพติศมาด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์และด้วยไฟ 12 พระองค์ถือพลั่วอยู่ในพระหัตถ์พร้อมแล้วและจะทรงเก็บกวาดลานนวดข้าว รวบรวมข้าวซึ่งเป็นของพระองค์ไว้ในยุ้งฉาง และเผาแกลบด้วยไฟที่ไม่รู้ดับ”

พระเยซูทรงรับบัพติศมา(C)

13 แล้วพระเยซูเสด็จจากแคว้นกาลิลีมายังแม่น้ำจอร์แดนเพื่อรับบัพติศมาจากยอห์น 14 แต่ยอห์นพยายามทูลทัดทานว่า “ข้าพระองค์ต่างหากที่ต้องขอรับบัพติศมาจากพระองค์ ควรหรือที่พระองค์เสด็จมาหาข้าพระองค์?”

15 พระเยซูตรัสตอบว่า “ขณะนี้ให้เป็นไปตามนั้นเถิด สมควรแล้วที่พวกเราจะทำเช่นนี้เพื่อให้ความชอบธรรมทุกประการสำเร็จครบถ้วน” แล้วยอห์นจึงยอมทำตาม

16 เมื่อพระเยซูทรงรับบัพติศมาแล้ว ทันทีที่พระองค์เสด็จขึ้นจากน้ำ ฟ้าสวรรค์ก็เปิดออก และพระองค์ทรงเห็นพระวิญญาณของพระเจ้าดุจนกพิราบลงมาประทับอยู่กับพระองค์ 17 และมีพระสุรเสียงตรัสจากฟ้าสวรรค์ว่า “นี่เป็นลูกของเรา ผู้ที่เรารัก เราพอใจเขายิ่งนัก”

พระเยซูถูกมารทดลอง(D)

จากนั้นพระวิญญาณทรงนำพระเยซูไปยังถิ่นกันดารเพื่อให้มารทดลอง หลังจากอดอาหารสี่สิบวันสี่สิบคืนแล้ว พระเยซูทรงหิว มารผู้ทดลองได้มาหาพระองค์และทูลว่า “ถ้าท่านเป็นพระบุตรของพระเจ้า จงสั่งก้อนหินเหล่านี้ให้กลายเป็นขนมปัง”

พระเยซูตรัสตอบว่า “มีคำเขียนไว้ว่า ‘มนุษย์ไม่อาจดำรงชีวิตด้วยอาหารเพียงอย่างเดียวแต่ดำรงชีวิตด้วยทุกถ้อยคำจากพระโอษฐ์ของพระเจ้า’[ad]

แล้วมารนำพระองค์ไปยังนครบริสุทธิ์และให้พระองค์ประทับยืนที่จุดสูงสุดของพระวิหาร แล้วทูลว่า “ถ้าท่านเป็นพระบุตรของพระเจ้าจงกระโดดลงไปเถิด เพราะมีคำเขียนไว้ว่า

“ ‘พระองค์จะทรงบัญชาทูตสวรรค์ของพระองค์ให้ดูแลท่าน
ทูตเหล่านั้นจะยื่นมือประคองท่าน
เพื่อไม่ให้เท้าของท่านกระทบหิน’[ae]

พระเยซูตรัสตอบเขาว่า “มีคำเขียนไว้เช่นกันว่า ‘อย่าทดลององค์พระผู้เป็นเจ้าพระเจ้าของท่าน’[af]

อีกครั้งหนึ่งมารนำพระองค์มายังภูเขาที่สูงมาก แล้วแสดงอาณาจักรทั้งปวงของโลกกับความโอ่อ่าตระการของอาณาจักรเหล่านั้นให้พระองค์ทอดพระเนตร แล้วทูลว่า “ทั้งหมดนี้เราจะยกให้ท่านหากท่านกราบนมัสการเรา”

10 พระเยซูตรัสว่า “เจ้าซาตาน จงไปให้พ้น! เพราะมีคำเขียนไว้ว่า ‘จงนมัสการองค์พระผู้เป็นเจ้าพระเจ้าของท่านและปรนนิบัติพระองค์แต่ผู้เดียว’[ag]

11 แล้วมารก็ละพระองค์ไปและเหล่าทูตสวรรค์มาปรนนิบัติพระองค์

พระเยซูทรงเริ่มเทศนา

12 เมื่อพระเยซูทรงทราบว่ายอห์นถูกจับขังคุก พระองค์จึงเสด็จกลับไปยังแคว้นกาลิลี 13 ทรงย้ายจากเมืองนาซาเร็ธมาประทับที่เมืองคาเปอรนาอุมซึ่งตั้งอยู่ริมทะเลสาบบริเวณเขตแดนเศบูลุนและนัฟทาลี 14 เพื่อให้เป็นไปตามที่กล่าวไว้ผ่านทางผู้เผยพระวจนะอิสยาห์ว่า

15 “ดินแดนเศบูลุนกับดินแดนนัฟทาลี
เส้นทางสู่ทะเลเลียบแม่น้ำจอร์แดน
กาลิลีแห่งชนต่างชาติ
16 ประชากรผู้อยู่ในความมืด
ได้เห็นแสงสว่างยิ่งใหญ่
บรรดาผู้อาศัยในดินแดนแห่งเงาของความตาย
แสงสว่างเริ่มสาดต้องพวกเขาแล้ว”[ah]

17 ตั้งแต่นั้นมาพระเยซูทรงเริ่มต้นเทศนาว่า “จงกลับใจใหม่เพราะอาณาจักรสวรรค์มาใกล้แล้ว”

ทรงเรียกสาวกกลุ่มแรก(E)

18 ขณะพระเยซูทรงดำเนินอยู่ริมทะเลกาลิลี ทรงเห็นชาวประมงสองพี่น้องคือซีโมนที่เรียกกันว่าเปโตรกับอันดรูว์น้องชายของเขากำลังทอดแหอยู่ที่ทะเลสาบ 19 พระเยซูตรัสว่า “จงตามเรามาเถิด และเราจะตั้งท่านให้เป็นผู้หาคนดั่งหาปลา” 20 ทั้งสองก็ละแหแล้วติดตามพระองค์ไปทันที

21 เมื่อเสด็จต่อไปทรงพบพี่น้องอีกสองคน คือยากอบบุตรเศเบดีกับยอห์นน้องชายของเขากำลังชุนอวนอยู่ในเรือร่วมกับเศเบดีบิดาของพวกเขา พระเยซูทรงเรียกพวกเขา 22 ทั้งสองก็ละเรือและบิดา แล้วติดตามพระองค์ไปทันที

พระเยซูทรงรักษาคนเจ็บป่วย

23 พระเยซูเสด็จไปทั่วแคว้นกาลิลี ทรงสั่งสอนในธรรมศาลาของพวกเขา ประกาศข่าวประเสริฐเรื่องอาณาจักรของพระเจ้า และทรงรักษาโรคภัยไข้เจ็บทั้งปวงในหมู่ประชาชน 24 กิตติศัพท์ของพระองค์เลื่องลือไปทั่วแคว้นซีเรีย และประชาชนนำคนเจ็บป่วยด้วยโรคต่างๆ มาให้พระเยซูทรงรักษา มีทั้งคนที่เจ็บปวดทรมาน คนถูกผีสิง คนเป็นโรคลมชัก คนเป็นอัมพาต และพระองค์ทรงรักษาพวกเขาให้หาย 25 คนเป็นอันมากจากแคว้นกาลิลี แคว้นเดคาโปลิส[ai] กรุงเยรูซาเล็ม แคว้นยูเดียและจากอีกฟากหนึ่งของแม่น้ำจอร์แดนก็ติดตามพระองค์ไป

Thai New Contemporary Bible (TNCV)

Thai New Contemporary Bible Copyright © 1999, 2001, 2007 by Biblica, Inc.® Used by permission. All rights reserved worldwide.