Print Page Options
Previous Prev Day Next DayNext

Bible in 90 Days

An intensive Bible reading plan that walks through the entire Bible in 90 days.
Duration: 88 days
New Thai Version (NTV-BIBLE)
Version
กิจการของอัครทูต 16:38-28:16

38 พวกเจ้าหน้าที่จึงได้รายงานเรื่องต่อพวกเจ้าหน้าที่บังคับคดี และเมื่อพวกเขาทราบว่าเปาโลและสิลาสเป็นคนสัญชาติโรมันก็ตกใจ 39 พวกเขาจึงมาขอไกล่เกลี่ยกับท่านทั้งสองแล้วคุ้มกันตัวออกไปจากคุก พลางขอร้องให้ออกจากเมืองไป 40 หลังจากที่เปาโลและสิลาสออกจากคุกแล้วก็ไปยังบ้านของลิเดีย เมื่อพบกับพวกพี่น้องก็ให้กำลังใจพวกเขา แล้วลาจากไป

ที่เมืองเธสะโลนิกา

17 เมื่อพวกเขาได้ข้ามเมืองอัมฟีบุรีและเมืองอปอลโลเนียแล้ว ก็มายังเมืองเธสะโลนิกา ที่นั่นมีศาลาที่ประชุมของชาวยิว เปาโลเข้าไปในศาลาที่ประชุมตามเคย และท่านใช้วันสะบาโตถึง 3 สัปดาห์ อภิปรายกับผู้คนโดยให้เหตุผลจากพระคัมภีร์ และได้อธิบายทั้งยังพิสูจน์ว่า พระคริสต์ต้องทนทุกข์ทรมานและฟื้นคืนชีวิตจากความตาย ท่านกล่าวว่า “พระเยซูที่ข้าพเจ้าประกาศแก่ท่านอยู่นี้คือพระคริสต์” เปาโลได้ชักจูงชาวยิวบางคนให้เข้าพวกไปกับท่านและสิลาส ชาวกรีกอีกจำนวนมากที่เกรงกลัวพระเจ้า รวมทั้งผู้นำหญิงจำนวนไม่น้อยก็เข้าพวกไปด้วยเช่นกัน แต่ชาวยิวเกิดอิจฉา จึงได้วานพวกอันธพาลมาจากย่านตลาด รวมกันเป็นกลุ่มเพื่อร่วมก่อการจลาจลในเมือง และพวกเขาก็รีบบุกเข้าไปในบ้านของยาโสนเพื่อตามหาเปาโลและสิลาส เพื่อจะพาตัวท่านทั้งสองออกไปกลางฝูงชน แต่เมื่อไม่พบจึงได้ฉุดกระชากยาโสน และพี่น้องบางคนออกไปหาเจ้าหน้าที่ประจำเมือง พลางตะโกนว่า “คนพวกนี้ได้ทำความยุ่งยากไปทั่วโลก แล้วบัดนี้ก็มาถึงที่นี่ ยาโสนได้ยินดีรับพวกเขาเข้าบ้าน ซึ่งพวกนั้นกระทำผิดคำสั่งของซีซาร์ โดยกล่าวอ้างว่า มีกษัตริย์อีกผู้หนึ่งชื่อเยซู” ครั้นแล้วฝูงชนและพวกเจ้าหน้าที่ประจำเมืองเกิดความไม่พอใจยิ่งนักที่ได้ยินอย่างนั้น และเมื่อได้รับค่าประกันตัวจากยาโสนกับคนอื่นๆ แล้ว จึงปล่อยตัวพวกเขาไป

ที่เมืองเบโรอา

10 ทันทีที่ตกค่ำพวกพี่น้องก็ส่งเปาโลและสิลาสไปยังเมืองเบโรอา เมื่อถึงแล้ว พวกเขาก็ไปยังศาลาที่ประชุมของชาวยิว 11 ชาวเมืองเบโรอายินดีรับฟังคำกล่าวอย่างกระตือรือร้นมากกว่าชาวเมืองเธสะโลนิกา และตรวจสอบกับพระคัมภีร์ทุกวันว่า สิ่งที่เปาโลพูดเป็นความจริงหรือไม่ 12 มีชาวยิวจำนวนมากที่เชื่อ พร้อมทั้งพวกสตรีสูงศักดิ์ชาวกรีก รวมถึงชายชาวกรีกก็จำนวนไม่น้อยด้วย 13 เมื่อชาวยิวที่อยู่ในเมืองเธสะโลนิกาทราบว่า เปาโลกำลังประกาศคำกล่าวของพระเจ้าที่เมืองเบโรอา ก็ตามไปที่นั่นเพื่อก่อความวุ่นวายและปลุกระดมฝูงชน 14 พวกพี่น้องจึงส่งเปาโลให้เดินทางไปยังแถบชายฝั่งทะเลทันที แต่สิลาสและทิโมธีพักอยู่ต่อที่เมืองเบโรอา 15 พวกคนที่พาเปาโลไปได้นำท่านไปถึงเมืองเอเธนส์ หลังจากที่พวกเขาได้รับคำสั่งให้ไปบอกสิลาสและทิโมธีมาร่วมงานกับท่านโดยเร็ว แล้วก็จากไป

ที่เมืองเอเธนส์

16 ขณะที่เปาโลกำลังรอสิลาสและทิโมธีอยู่ที่เมืองเอเธนส์ ท่านก็เกิดความวิตกกังวลมากเมื่อพบว่า เมืองนั้นเต็มไปด้วยรูปเคารพ 17 ดังนั้นท่านจึงอภิปรายในศาลาที่ประชุมกับชาวยิวและชาวกรีกที่เกรงกลัวพระเจ้า และในย่านตลาดทุกวันกับคนที่บังเอิญอยู่ที่นั่น 18 มีนักปรัชญาบางคนในพวกเอปิคูเรียน และนักปรัชญาบางคนในพวกสโตอิกที่เริ่มโต้แย้งกับท่าน บางคนก็ถามว่า “คนที่เก็บความรู้ของคนอื่นใคร่จะพูดอะไรให้พวกเราฟัง” บางคนก็พูดเสียดสีว่า “ดูเหมือนว่าเขาจะเป็นผู้ประกาศของบรรดาเทพเจ้าต่างชาติ” เขาทั้งหลายพูดเช่นนี้ เป็นเพราะว่าเปาโลประกาศข่าวประเสริฐเกี่ยวกับพระเยซูและการฟื้นคืนชีวิต 19 แล้วพวกเขาจึงพาท่านไปยังที่ประชุมของอาเรโอปากัส แล้วถามว่า “พวกเราขอทราบได้ไหมว่า การสอนแบบใหม่ที่ท่านเสนอนี้เป็นอย่างไร 20 เราได้ยินความคิดเห็นแปลกประหลาดจากสิ่งที่ท่านพูดมา และเราอยากทราบว่าสิ่งเหล่านี้มีความหมายว่าอย่างไร” 21 ชาวเอเธนส์และชนต่างชาติทุกคนที่อาศัยอยู่ที่นั่นต่างไม่ทำสิ่งอื่นใดเลย นอกจากจะพูดหรือฟังเรื่องใหม่ล่าสุด

22 เปาโลจึงยืนขึ้นในที่ประชุมของอาเรโอปากัสและพูดว่า “ท่านชาวเมืองเอเธนส์ ข้าพเจ้าเห็นว่าท่านเคร่งครัดในกรอบของศาสนามาก 23 ข้าพเจ้าได้เดินดูรอบๆ และเห็นสิ่งที่ท่านนมัสการ ข้าพเจ้ายังพบแท่นนมัสการแห่งหนึ่งซึ่งมีคำจารึกไว้ว่า

‘แด่พระเจ้าที่ไม่รู้จัก’

ฉะนั้นข้าพเจ้าจะประกาศให้ท่านทราบถึงผู้ที่ท่านไม่รู้จัก แต่ยังนมัสการอยู่

24 พระเจ้าผู้สร้างโลกและทุกสิ่งที่มีอยู่ในนั้น คือพระผู้เป็นเจ้าของสวรรค์และโลก พระองค์ไม่สถิตในวิหารต่างๆ ที่มนุษย์สร้าง 25 และไม่จำเป็นต้องให้มือมนุษย์มาปรนนิบัติราวกับว่าพระองค์ต้องอาศัยสิ่งหนึ่งสิ่งใด เพราะพระองค์เป็นผู้มอบชีวิตกับลมหายใจแก่มนุษย์ทั้งหลายและสิ่งทั้งปวง 26 พระองค์สร้างมนุษย์ทุกชาติขึ้นมาจากชายคนเดียว เพื่อให้มีชีวิตครองโลก พระองค์เจาะจงกาลเวลาและเขตแดนว่า มนุษย์คนใดควรจะอยู่แห่งใด 27 เพื่อว่ามนุษย์จะได้แสวงหาพระองค์ และอาจจะไขว่คว้าหาพระองค์จนพบ ทั้งๆ ที่พระองค์ไม่ได้อยู่ห่างไกลจากเราแต่ละคนเลย 28 ด้วยว่า ‘เรามีชีวิต เคลื่อนไหว และเป็นอยู่ได้ก็เพราะพระองค์’ ตามที่กวีบางคนในพวกท่านได้กล่าวไว้ว่า ‘พวกเราเป็นเชื้อสายของพระองค์’

29 ในเมื่อพวกเราเป็นเชื้อสายของพระเจ้า ก็ไม่ควรคิดว่าพระเจ้าเป็นเหมือนทอง เงิน หรือหินที่เป็นรูปเคารพ ซึ่งสร้างขึ้นด้วยการออกแบบและความชำนาญของมนุษย์ 30 ในสมัยก่อน พระเจ้ามองข้ามความไร้เดียงสาเช่นนั้นของมนุษย์ แต่มาบัดนี้พระองค์ออกคำสั่งให้คนทั่วทุกแห่งหนกลับใจ 31 เพราะว่าพระองค์ได้กำหนดวัน ซึ่งพระองค์จะพิพากษาโลกอย่างยุติธรรม โดยผ่านมนุษย์ผู้หนึ่ง ซึ่งพระองค์ได้เลือกไว้ พระเจ้าได้พิสูจน์แก่คนทั้งปวง ด้วยการให้มนุษย์ผู้นั้นฟื้นคืนชีวิตจากความตาย”

32 เมื่อเขาเหล่านั้นได้ยินเกี่ยวกับการฟื้นคืนชีวิตจากความตาย บ้างก็พูดเยาะเย้ย แต่บางคนกล่าวว่า “พวกเราอยากจะได้ยินท่านพูดเรื่องนี้อีก” 33 เปาโลก็เดินออกไปจากที่นั่น 34 แต่บางคนเชื่อและได้ติดตามเปาโลไป รวมทั้งดิโอนิสิอัสซึ่งเป็นสมาชิกผู้หนึ่งของสภาอาเรโอปากัส กับหญิงคนหนึ่งชื่อดามาริส และคนอื่นๆ อีก

ที่เมืองโครินธ์

18 หลังจากนั้นเปาโลก็ออกจากเมืองเอเธนส์ แล้วไปยังเมืองโครินธ์ ท่านพบชาวยิวชื่ออาควิลลาซึ่งมีพื้นเพดั้งเดิมมาจากแคว้นปอนทัส เขาเพิ่งมาจากประเทศอิตาลีกับภรรยาชื่อปริสสิลลา เพราะจักรพรรดิคลาวดิอัสได้ออกคำสั่งให้ชาวยิวทุกคนออกจากเมืองโรม เปาโลจึงไปหาเขาทั้งสอง และด้วยเหตุที่ท่านมีอาชีพสร้างกระโจมเหมือนกัน ท่านจึงพักและทำงานอยู่ด้วยกับเขา ทุกวันสะบาโตท่านจะอภิปรายในศาลาที่ประชุมเพื่อชักชวนกลุ่มชาวยิวและกรีก

เมื่อสิลาสและทิโมธีมาจากแคว้นมาซิโดเนีย เปาโลอุทิศตนอย่างเต็มที่ในการประกาศคำกล่าว และยืนยันแก่ชาวยิวว่าพระเยซูคือพระคริสต์ แต่เมื่อชาวยิวต่อต้านเปาโลจนกลายเป็นการว่าร้าย ท่านก็สลัดเสื้อออกเพื่อแสดงความผิดของพวกเขา และกล่าวกับเขาเหล่านั้นว่า “ถ้าพวกท่านตัดสินใจรับผิดชอบกับชีวิตอันเป็นนิรันดร์ ก็เป็นการเลือกของท่านเอง ข้าพเจ้าไม่รับผิดชอบด้วย ตั้งแต่นี้ไปข้าพเจ้าจะไปประกาศแก่บรรดาคนนอก” ครั้นแล้วเปาโลก็ออกจากศาลาที่ประชุมไปยังบ้านที่อยู่ถัดไป ซึ่งเป็นของทิทิอัสยุสทัสผู้นมัสการพระเจ้า และคริสปัสผู้อยู่ในระดับปกครองศาลาที่ประชุมกับทุกคนในบ้านก็เชื่อในพระผู้เป็นเจ้า อีกทั้งชาวโครินธ์จำนวนมากที่ได้ยินท่านพูดก็เชื่อและได้รับบัพติศมา คืนหนึ่งพระผู้เป็นเจ้าปรากฏในภาพนิมิตและกล่าวกับเปาโลว่า “อย่ากลัวเลย จงพูดต่อไปเถิด และอย่านิ่งเงียบเสีย 10 เราอยู่กับเจ้า จะไม่มีผู้ใดโจมตีและทำร้ายเจ้าได้ เพราะว่าเรามีคนของเราจำนวนมากที่อยู่ในเมืองนี้” 11 ดังนั้นเปาโลจึงพักอยู่เป็นเวลาปีครึ่ง เพื่อสั่งสอนคำกล่าวของพระเจ้าแก่คนเหล่านั้น

12 ขณะที่กัลลิโอเป็นผู้ว่าราชการแคว้นอาคายา ชาวยิวร่วมกันระดมจับเปาโลและนำท่านไปขึ้นศาล 13 โดยกล่าวหาว่า “ชายผู้นี้ชักจูงให้ผู้คนนมัสการพระเจ้าในทางที่ขัดแย้งกับกฎบัญญัติ” 14 เมื่อเปาโลจะเปิดปากขึ้นโต้แย้ง กัลลิโอก็พูดกับชาวยิวว่า “ถ้าพวกท่านที่เป็นชาวยิวกล่าวว่าเป็นการทำผิดหรือเป็นอาชญากรรมแล้ว ข้าพเจ้าก็คิดว่ามีเหตุผลดีพอที่จะฟังท่าน 15 แต่ในเมื่อเป็นเรื่องที่โต้แย้งเกี่ยวกับคำพูด เกี่ยวกับชื่อและกฎของพวกท่านเอง ก็จงตกลงกันเองเถิด เราจะไม่เป็นผู้ตัดสินความในเรื่องเหล่านั้น” 16 แล้วก็ไล่พวกเขาออกไปจากศาล 17 เขาทั้งหลายจึงจับตัวโสสเธเนสผู้ปกครองศาลาที่ประชุมไป แล้วทุบตีเขาที่หน้าศาล แต่กัลลิโอกลับไม่เอาธุระ

ปริสสิลลา อาควิลลา และอปอลโล

18 เปาโลอยู่ต่อที่เมืองโครินธ์สักพักนึ่ง แล้วจึงจากพวกพี่น้องไป โดยแล่นเรือไปยังแคว้นซีเรีย ปริสสิลลาและอาควิลลาก็ไปด้วย ก่อนที่ท่านจะไป ก็ได้ตัดผมที่เมืองเคนเครียตามที่ท่านได้สาบานไว้ 19 เมื่อไปถึงเมืองเอเฟซัส เปาโลได้เข้าไปในศาลาที่ประชุมเพื่ออภิปรายกับชาวยิว และที่เมืองนั้นเองเปาโลได้แยกทางกับปริสสิลลาและอาควิลลา 20 และปฏิเสธที่จะอยู่ต่อเมื่อชาวยิวพากันขอร้อง 21 แต่ก่อนจะจากไปก็ได้สัญญาว่า “ข้าพเจ้าจะกลับมาอีกหากเป็นความประสงค์ของพระเจ้า” แล้วท่านก็แล่นเรือออกไปจากเมืองเอเฟซัส

22 เมื่อท่านมาถึงเมืองซีซารียา ก็ได้ขึ้นไป[a]ทักทายบรรดาพี่น้องในคริสตจักร แล้วจึงลงไปยังเมืองอันทิโอก 23 หลังจากที่ได้อยู่ที่เมืองอันทิโอกชั่วระยะหนึ่ง เปาโลก็เดินทางต่อไปเรื่อยๆ จนทั่วแว่นแคว้นกาลาเทียและฟรีเจียเพื่อให้กำลังใจสาวกทุกคน

24 ในเวลานั้นมีชาวยิวคนหนึ่งชื่ออปอลโล บ้านเกิดอยู่ที่เมืองอเล็กซานเดรีย ท่านได้มาที่เมืองเอเฟซัส นอกจากจะมีโวหารดีแล้วก็ยังรอบรู้ในพระคัมภีร์ด้วย 25 ท่านได้เรียนรู้วิถีทางของพระผู้เป็นเจ้า ท่านได้กล่าวด้วยจิตวิญญาณที่กระตือรือร้น และสั่งสอนในเรื่องของพระเยซูอย่างถูกต้อง แม้ว่าท่านทราบแต่เพียงบัพติศมาของยอห์นก็ตาม 26 ท่านเริ่มพูดในศาลาที่ประชุมด้วยใจกล้าหาญ เมื่อปริสสิลลากับอาควิลลาได้ยินท่านพูดแล้วก็ได้เชิญท่านไปที่บ้าน เพื่ออธิบายวิถีทางของพระเจ้าให้ชัดเจนยิ่งขึ้น

27 เมื่ออปอลโลต้องการที่จะไปยังแคว้นอาคายา พวกพี่น้องก็สนับสนุนและเขียนถึงพวกสาวกที่นั่นให้ต้อนรับท่าน เมื่อไปถึงก็ได้ช่วยพวกที่เชื่อโดยพระคุณของพระเจ้าอย่างมากมาย 28 ท่านโต้แย้งอย่างรุนแรงกับชาวยิวต่อหน้าคนทั้งปวง เพื่อชี้แจงให้เห็นจริงจากพระคัมภีร์ว่า พระเยซูคือพระคริสต์

ที่เมืองเอเฟซัส

19 ขณะที่อปอลโลอยู่ที่เมืองโครินธ์ เปาโลก็เดินทางไปตามถนนตอนในจนถึงเมืองเอเฟซัส แล้วท่านพบกับสาวกบางคนที่นั่น ท่านถามพวกเขาว่า “เวลาที่ท่านเชื่อนั้น ท่านได้รับพระวิญญาณบริสุทธิ์หรือเปล่า” เขาทั้งหลายตอบว่า “เปล่า พวกเราไม่เคยได้ยินเลยว่ามีพระวิญญาณบริสุทธิ์” ดังนั้นเปาโลถามว่า “แล้วท่านได้รับบัพติศมาใดเล่า” พวกเขาตอบว่า “บัพติศมาของยอห์น” เปาโลกล่าวว่า “บัพติศมาของยอห์นเป็นบัพติศมาของการกลับใจ ยอห์นบอกผู้คนให้เชื่อในองค์ผู้ที่กำลังจะมาภายหลัง คือพระเยซู” เมื่อได้ยินเช่นนั้นแล้ว เขาเหล่านั้นก็ได้รับบัพติศมาในพระนามของพระเยซู องค์พระผู้เป็นเจ้า เมื่อเปาโลวางมือทั้งสองของท่านบนตัวเขาเหล่านั้น พระวิญญาณบริสุทธิ์ได้ลงมาสถิตกับพวกเขา แล้วเขาก็พูดภาษาที่ตนไม่รู้จักและเผยคำกล่าวของพระเจ้า รวมผู้คนทั้งหมดได้ประมาณ 12 คน

เปาโลได้เข้าไปในศาลาที่ประชุม และกล่าวด้วยใจกล้าหาญต่อไปเป็นเวลา 3 เดือน โดยกล่าวชี้แจงถึงอาณาจักรของพระเจ้าอย่างน่าเชื่อถือ แต่เมื่อมีบางคนที่เกิดใจแข็งและไม่ยอมเชื่อ ทั้งยังว่าร้ายเรื่อง “วิถีทางนั้น” ต่อหน้าชุมชน ท่านก็ถอนตัวออกไปจากเขาเหล่านั้น ท่านได้พาพวกสาวกไปด้วย เพื่ออภิปรายทุกวันในห้องประชุมของทีรันนัส 10 ท่านได้กระทำเช่นนี้ติดต่อกันเป็นเวลา 2 ปี ดังนั้นทุกคนที่อาศัยอยู่ในแคว้นเอเชียทั้งชาวยิวและกรีก จึงได้ยินคำกล่าวของพระผู้เป็นเจ้า

11 พระเจ้าได้กระทำสิ่งอัศจรรย์เป็นพิเศษผ่านเปาโล 12 จนแม้ว่าผ้าเช็ดหน้าและผ้ากันเปื้อนที่ถูกต้องตัวเปาโล แล้วก็เอาไปวางบนผู้ป่วย โรคต่างๆ ก็หายขาดได้ และพวกวิญญาณร้ายก็ออกไปจากร่างคนที่ถูกสิง 13 แต่ชาวยิวบางคนเที่ยวไปทำตนเป็นคนขับไล่วิญญาณร้าย โดยใช้พระนามของพระเยซู องค์พระผู้เป็นเจ้า ในการขับไล่พวกวิญญาณร้ายด้วยคำพูดว่า “เราสั่งให้เจ้าออกมาในพระนามของพระเยซูที่เปาโลประกาศ” 14 มหาปุโรหิตชาวยิวผู้หนึ่งชื่อเสวา เขามีบุตรชาย 7 คนที่ปฏิบัติเช่นนั้น 15 วันหนึ่งวิญญาณร้ายตอบพวกเขาว่า “เรารู้ว่าพระเยซูคือผู้ใด และเปาโลนั้นเราก็รู้ แต่เจ้าล่ะ เป็นใครกัน” 16 แล้วชายที่มีวิญญาณร้ายสิงอยู่ก็กระโจนเข้าใส่ และทำร้ายจนชายทั้งเจ็ดพ่ายแพ้ราบคาบ พวกเขาต้องวิ่งหนีออกจากบ้านทั้งๆ ที่เปลือยกายและบาดเจ็บด้วย 17 เมื่อชาวยิวและกรีกที่อาศัยอยู่ในเมืองเอเฟซัสได้ยินเรื่องที่เกิดขึ้น ต่างก็เกิดความหวาดกลัว และพระนามของพระเยซู องค์พระผู้เป็นเจ้า ก็เป็นที่ยกย่องสรรเสริญอย่างสูง 18 คนที่เชื่อจำนวนมากจึงมาสารภาพการกระทำที่ชั่วร้ายอย่างเปิดเผย 19 คนจำนวนมากที่เคยใช้เวทมนตร์คาถา ก็นำตำรับตำราซึ่งประมาณค่าได้ทั้งหมดถึง 50,000 ดร๊าคม่า[b]มารวมกันและเผาต่อหน้าคนทั้งปวง 20 ด้วยวิธีการนี้ คำกล่าวของพระผู้เป็นเจ้าก็แผ่ขยายไปไกลและมีฤทธานุภาพมากขึ้นไปอีก

21 ครั้นสิ้นเหตุการณ์เหล่านั้นแล้ว เปาโลก็ได้ตัดสินใจไปยังเมืองเยรูซาเล็ม โดยเดินทางผ่านเข้าไปในแคว้นมาซิโดเนียและแคว้นอาคายา ท่านกล่าวว่า “หลังจากที่ข้าพเจ้าได้ไปที่นั่นแล้ว ข้าพเจ้าต้องไปเยี่ยมเมืองโรมด้วย” 22 ท่านได้ส่งผู้ช่วย 2 คนคือทิโมธีกับเอรัสทัสไปยังแคว้นมาซิโดเนีย ขณะที่ท่านอยู่ในแคว้นเอเชียต่อเพียงระยะสั้น

23 เวลานั้นได้เกิดความวุ่นวายไม่น้อยในเรื่อง “วิถีทางนั้น” 24 เนื่องจากเดเมตริอัส ช่างเงินที่ได้ทำวิหารจำลองของเทพเจ้าอาร์เทมิสได้ช่วยให้พวกช่างเงินอื่นๆ มีงานทำกันไม่น้อย 25 เดเมตริอัสเรียกพวกช่างเงินเหล่านั้นพร้อมกับช่างทั้งหลายที่มีอาชีพแบบเดียวกับเขาให้มาประชุมกัน กล่าวว่า “ท่านทั้งหลายทราบแล้วว่าพวกเราหาเงินได้มากจากอาชีพนี้ 26 และท่านทั้งเห็นและได้ยินว่า เปาโลคนนี้ได้เกลี้ยกล่อมคนจำนวนมากให้ลุ่มหลง ทั้งในเมืองเอเฟซัสและเกือบทั่วทั้งแคว้นเอเชียก็ว่าได้ เปาโลพูดว่าบรรดาเทพเจ้าที่คนทำขึ้นนั้นไม่ใช่พวกเทพเจ้าเลย 27 นอกจากจะทำให้ชื่อเสียงในอาชีพของพวกเราเสียหายแล้ว วิหารของเทพเจ้าอาร์เทมิสผู้ยิ่งใหญ่จะถูกดูหมิ่น ความยิ่งใหญ่ของนางซึ่งผู้คนนมัสการทั่วทั้งแคว้นเอเชียและทั่วโลกก็จะตกต่ำลงไปด้วย”

28 เมื่อพวกเขาทั้งหลายได้ยินดังนั้นก็รู้สึกโกรธแค้น พากันร้องตะโกนว่า “ผู้ยิ่งใหญ่คือเทพเจ้าอาร์เทมิสแห่งเมืองเอเฟซัส” 29 แล้วทั่วทั้งเมืองก็เกิดความสับสนวุ่นวาย ผู้คนได้จับตัวกายอัสและอาริสทาร์คัสผู้ร่วมเดินทางของเปาโลจากแคว้นมาซิโดเนีย แล้วพร้อมใจกันฉุดเขาทั้งสองไปที่โรงละคร 30 เปาโลต้องการจะปรากฏตัวต่อหน้าฝูงชน แต่พวกสาวกไม่ยอมให้ท่านทำดังนั้น 31 แม้เจ้าหน้าที่ประจำแคว้นบางคนซึ่งเป็นเพื่อนของเปาโลก็ยังให้คนไปขอร้องท่านไม่ให้ไปที่โรงละคร 32 ที่ประชุมเกิดอลหม่านวุ่นวาย บ้างก็ร้องตะโกนว่าอย่างนี้ บ้างก็ร้องตะโกนว่าอย่างนั้น คนส่วนใหญ่ก็ไม่รู้ว่าทำไมจึงกรูมาอยู่ที่นั่น 33 ชาวยิวผลักให้อเล็กซานเดอร์ออกไปข้างหน้า บ้างก็ตะโกนกำกับเขา อเล็กซานเดอร์ก็โบกมือให้เงียบเพื่อจะพูดแก้คดีต่อหน้าฝูงชน 34 แต่เมื่อเขาเหล่านั้นทราบว่าเขาเป็นชาวยิว จึงได้ร้องตะโกนเป็นเสียงเดียวกันนานประมาณ 2 ชั่วโมงว่า “ผู้ยิ่งใหญ่คือเทพเจ้าอาร์เทมิสแห่งเมืองเอเฟซัส”

35 เจ้าหน้าที่ประจำเมืองทำให้ฝูงชนสงบลงและประกาศว่า “ท่านชาวเมืองเอเฟซัส ทั่วโลกไม่รู้หรอกหรือว่า เมืองเอเฟซัสรับผิดชอบในการดูแลรักษาวิหารของเทพเจ้าอาร์เทมิสผู้ยิ่งใหญ่ และเป็นผู้รักษารูปเคารพของนางซึ่งได้ตกลงมาจากสวรรค์ 36 ฉะนั้นเมื่อไม่สามารถปฏิเสธความจริงเหล่านี้ได้ ท่านควรจะนิ่งเงียบไว้ อย่าวู่วามทำสิ่งใดลงไป 37 ท่านได้นำตัวชายเหล่านี้มาที่นี่ แม้ว่าเขาไม่ได้ปล้นวิหารหรือดูหมิ่นเทพเจ้าของเรา 38 ถ้าหากว่าเดเมตริอัสและกลุ่มช่างเงินเป็นความกับผู้ใดแล้ว ศาลก็เปิดรออยู่ ผู้ว่าราชการแคว้นก็มี ให้พวกเขาไปฟ้องกันได้ 39 ถ้าหากท่านต้องการสิ่งใดเกินกว่านี้ก็จงตกลงกันในที่ประชุมสามัญ 40 สถานการณ์เท่าที่เป็นอยู่นี้ พวกเราอาจถูกกล่าวหาว่าเป็นผู้ก่อการจลาจลที่เกิดขึ้นในวันนี้ ทั้งๆ ที่ไม่มีเหตุผลพอเพียง ถ้าอย่างนั้นแล้วพวกเราจะไม่มีข้ออ้างพอแก่การจลาจลคราวนี้ได้” 41 หลังจากที่เขาพูดจบแล้วก็ให้เลิกประชุมกัน

ที่แคว้นมาซิโดเนียและประเทศกรีก

20 เมื่อความวุ่นวายได้สงบลง เปาโลก็ให้คนไปตามเหล่าสาวกมาเพื่อให้กำลังใจและกล่าวลา ครั้นแล้วก็เดินทางไปยังแคว้นมาซิโดเนีย ท่านเดินทางแวะไปตามดินแดนต่างๆ ในแถบนั้น และได้ให้กำลังใจมากมายแก่ผู้คน ในที่สุดก็มายังประเทศกรีก ซึ่งได้พักอยู่เป็นเวลา 3 เดือน เมื่อท่านจวนจะลงเรือไปยังแคว้นซีเรีย ก็ได้ตัดสินใจย้อนกลับไปทางแคว้นมาซิโดเนีย เพราะชาวยิวได้วางแผนจะสังหารท่าน ในครั้งนี้คนที่ไปด้วยคือ โสปาเทอร์บุตรของปีรัสจากเมืองเบโรอา อาริสทาร์คัสกับเสคุนดัสจากเมืองเธสะโลนิกา กายอัสจากเมืองเดอร์บี และทิโมธี ทีคิกัสกับโตรฟีมัสจากแคว้นเอเชีย ชายเหล่านั้นได้ไปล่วงหน้าก่อนแล้ว และได้รอคอยพวกเราอยู่ที่โตรอัส แต่เราได้ลงเรือมาจากเมืองฟีลิปปีหลังจากเทศกาลขนมปังไร้เชื้อ และ 5 วันต่อมาก็ร่วมทางไปกับพวกเขาที่โตรอัส และเราพักอยู่ที่นั่นได้ 7 วัน

ที่เมืองโตรอัส

วันแรกของสัปดาห์นั้นพวกเรามาร่วมประชุมกันเพื่อบิขนมปัง เปาโลได้สั่งสอนผู้คน และด้วยเหตุว่าท่านตั้งใจที่จะเดินทางจากไปในวันรุ่งขึ้น ท่านจึงพูดยาวนานไปจนถึงเที่ยงคืน ในห้องชั้นบนที่พวกเราประชุมกันมีตะเกียงหลายดวง ชายหนุ่มคนหนึ่งชื่อยุทิกัสนั่งอยู่ที่หน้าต่างและง่วงนอนเต็มที ขณะที่เปาโลพูดสั่งสอนต่อไปอีก เขาโงกหลับไปจึงพลัดตกจากชั้นที่สามลงมา พอยกขึ้นมาก็พบว่าตายเสียแล้ว 10 เปาโลจึงลงไปข้างล่างแล้วนอนทาบลงบนชายหนุ่ม กอดตัวเขาแล้วพูดว่า “ไม่ต้องตกใจ เขามีชีวิตแล้ว” 11 แล้วท่านก็ขึ้นไปห้องชั้นบนอีก บิขนมปังรับประทานกัน หลังจากที่ได้สนทนาจนถึงรุ่งเช้าแล้วก็ได้จากไป 12 ผู้คนได้พาชายหนุ่มที่ยังมีชีวิตอยู่กลับบ้านไปด้วยความสบายใจไม่น้อย

เปาโลกล่าวกับผู้ปกครองที่เมืองเอเฟซัส

13 พวกเราไปล่วงหน้าเพื่อจะลงเรือไปยังเมืองอัสโสส โดยหมายจะรับเปาโลที่นั่น ท่านได้เตรียมการณ์ไว้อย่างนั้นเพราะว่าท่านตั้งใจจะไปทางบก 14 เมื่อท่านพบกับพวกเราที่เมืองอัสโสสแล้ว เราก็รับท่านไปยังเมืองมิทิเลนีต่อ 15 วันรุ่งขึ้นพวกเราลงเรือจากที่นั่นจนมาถึงฝั่งตรงข้ามเกาะคิโอส วันต่อมาพวกเราข้ามไปยังเกาะสามอส และอีกวันต่อมาก็ถึงเมืองมิเลทัส 16 เปาโลได้ตัดสินใจจะลงเรือเลยเมืองเอเฟซัสไป เพราะไม่ต้องการอยู่ในแคว้นเอเชีย ท่านรีบไปยังเมืองเยรูซาเล็ม ถ้าเป็นไปได้จะได้ให้ทันวันเพ็นเทคศเต

17 จากเมืองมิเลทัส เปาโลได้ส่งคนไปเชิญคณะผู้ปกครองของคริสตจักรที่เมืองเอเฟซัสมา 18 เมื่อเขาเหล่านั้นมาถึง ท่านกล่าวขึ้นว่า

“พวกท่านทราบว่าข้าพเจ้าใช้ชีวิตอย่างไร ตลอดเวลาที่ข้าพเจ้าอยู่กับท่าน นับแต่วันแรกที่ข้าพเจ้าเข้ามาในแคว้นเอเชีย 19 ข้าพเจ้าได้รับใช้พระผู้เป็นเจ้าด้วยความถ่อมตัวและด้วยน้ำตานองหน้า ข้าพเจ้าถูกทดสอบอย่างหนักจากชาวยิวที่คิดร้ายต่อข้าพเจ้า 20 พวกท่านทราบว่า ข้าพเจ้าไม่เคยลังเลที่จะสั่งสอนสิ่งที่เป็นประโยชน์แก่พวกท่าน ทั้งในที่ชุมชนและตามบ้าน 21 ข้าพเจ้าได้ประกาศแก่ชาวยิวและกรีกว่า เขาต้องกลับใจเข้าหาพระเจ้า และมีความเชื่อในพระเยซู องค์พระผู้เป็นเจ้าของเรา 22 มาบัดนี้ ข้าพเจ้ากำลังจะไปยังเมืองเยรูซาเล็ม โดยรับการดลใจจากพระวิญญาณบริสุทธิ์ โดยที่ไม่ทราบว่าอะไรจะเกิดขึ้นกับข้าพเจ้าที่นั่น 23 ข้าพเจ้าทราบแต่เพียงว่า พระวิญญาณบริสุทธิ์เตือนข้าพเจ้าในทุกเมือง ว่าเรือนจำและความลำบากคอยท่าข้าพเจ้าอยู่ 24 อย่างไรก็ตาม ข้าพเจ้าจะเป็นหรือตายก็ไม่ว่า เพียงแต่ขอวิ่งในการแข่งขันให้เสร็จสิ้น และทำงานซึ่งพระเยซู องค์พระผู้เป็นเจ้ามอบหมายไว้ให้เสร็จบริบูรณ์ คือการยืนยันเรื่องข่าวประเสริฐซึ่งแสดงถึงพระคุณของพระเจ้า 25 ดูเถิด ข้าพเจ้าได้เที่ยวประกาศอาณาจักรของพระเจ้าในหมู่ท่าน บัดนี้ข้าพเจ้าทราบว่าไม่มีใครในพวกท่านที่จะเห็นหน้าข้าพเจ้าอีก 26 ด้วยเหตุนี้ข้าพเจ้าจึงยืนยันแก่ท่านในวันนี้ว่า ข้าพเจ้าไม่เป็นผู้รับผิดชอบถ้าใครหลงหายตายไป 27 เพราะข้าพเจ้าไม่ลังเลเลยที่จะประกาศความประสงค์ทั้งสิ้นของพระเจ้าให้ท่านทราบ 28 จงรักษาตัวท่านเองและรักษาแกะทุกตัวในฝูงที่พระวิญญาณบริสุทธิ์ได้มอบให้ท่านเป็นผู้ดูแล จงเลี้ยงดูคริสตจักรของพระเจ้า ซึ่งพระองค์ได้มาด้วยโลหิตของพระองค์เอง 29 ข้าพเจ้าทราบว่าหลังจากที่ข้าพเจ้าจากไปแล้ว พวกสุนัขป่าร้ายกาจจะเข้ามาในหมู่ท่านและจะไม่ละเว้นฝูงแกะไว้ 30 บางคนในพวกท่านเองนั่นแหละ จะลุกขึ้นมากล่าวสิ่งที่บิดเบือนความจริงเพื่อชักพาสาวกให้ตามพวกเขาไป 31 ฉะนั้นจงระวังให้ดี จงจำไว้ว่าเป็นเวลา 3 ปีที่ข้าพเจ้าไม่ได้หยุดตักเตือนท่านทุกคนทั้งวันและคืนด้วยน้ำตานองหน้า 32 บัดนี้ข้าพเจ้าฝากท่านไว้กับพระเจ้า และกับคำกล่าวของพระองค์ ซึ่งเป็นพระคุณที่สามารถเสริมพลังฝ่ายวิญญาณให้ท่าน และมอบมรดกแก่ท่านด้วยกันกับทุกคนที่พระเจ้าชำระให้บริสุทธิ์แล้ว 33 ข้าพเจ้าไม่โลภอยากได้เงินและทอง หรือเสื้อผ้าของผู้ใด 34 พวกท่านเองก็ทราบว่า มือทั้งสองของข้าพเจ้าได้ทำงานเลี้ยงชีวิตของข้าพเจ้า และของคนที่อยู่กับข้าพเจ้าด้วย 35 ข้าพเจ้าได้แสดงให้ท่านเห็นว่าการทำงานหนักเช่นนี้ พวกเราต้องช่วยเหลือผู้อ่อนแอ จงจำคำที่พระเยซู องค์พระผู้เป็นเจ้ากล่าวไว้ว่า ‘การให้ย่อมทำให้มีความสุขมากกว่าการรับ’”

36 เมื่อท่านพูดเช่นนั้นแล้วก็คุกเข่าลงกับทุกคนและอธิษฐาน 37 เขาเหล่านั้นร้องไห้ขณะที่กอดและจูบแก้ม[c]ลาท่าน 38 สิ่งที่ทำให้เขาเหล่านั้นเศร้าโศกมากที่สุดก็คือ คำกล่าวของเปาโลที่ว่า เขาจะไม่มีวันเห็นหน้าท่านอีก แล้วเขาก็พากันเดินไปส่งท่านลงเรือ

เปาโลเดินทางไปยังเมืองเยรูซาเล็ม

21 เมื่อพวกเราได้ล่ำลาเขาเหล่านั้นแล้วก็แล่นเรือตรงไปยังเกาะโขส วันรุ่งขึ้นก็ไปถึงเกาะโรดส์และจากที่นั่นก็เดินทางต่อไปยังเมืองปาทารา พวกเราพบเรือลำหนึ่งที่กำลังจะข้ามไปยังแคว้นฟีนิเซียจึงลงเรือนั้นต่อไป เมื่อเห็นเกาะไซปรัสแล้วก็ผ่านเกาะนั้นไปทางขวา แล่นต่อไปยังแคว้นซีเรีย พวกเราขึ้นจากเรือที่เมืองไทระ ซึ่งเป็นที่ต้องขนสินค้าบรรทุกออก เราพบเหล่าสาวกที่นั่นจึงพักอยู่ด้วย 7 วัน พระวิญญาณบริสุทธิ์ดลใจให้พวกเขาเฝ้าบอกเปาโลไม่ให้ขึ้นไปยังเมืองเยรูซาเล็ม แต่เมื่อถึงเวลาแล้วพวกเราก็เดินทางต่อ เหล่าสาวกทุกคนพร้อมทั้งภรรยาและลูกๆ ได้ไปด้วยกันกับเราจนเราออกไปจากเมืองนั้น พวกเราก็คุกเข่าลงอธิษฐานที่ชายหาด หลังจากที่ได้กล่าวร่ำลากันและกันแล้ว เราก็ลงเรือขณะที่พวกเขากลับบ้านไป

พวกเราแล่นเรือออกจากเมืองไทระต่อไปจนถึงเมืองทอเลเมอิส ซึ่งเป็นเมืองที่เราได้ทักทายกับบรรดาพี่น้อง และพักอยู่ด้วยหนึ่งวัน วันรุ่งขึ้นพวกเราก็เดินทางไปถึงเมืองซีซารียา และพักอยู่ที่บ้านของฟีลิปผู้ประกาศข่าวประเสริฐ ซึ่งเป็นหนึ่งในเจ็ด[d] ฟีลิปมีลูกหญิงพรหมจรรย์ 4 คนที่เป็นผู้เผยคำกล่าวของพระเจ้า 10 หลังจากที่พวกเราได้อยู่ด้วยกันมาหลายวัน ก็มีผู้เผยคำกล่าวของพระเจ้าคนหนึ่งลงมาจากแคว้นยูเดีย ชื่ออากาบัส 11 เขาเดินมาหาพวกเรา แล้วก็เอาเครื่องคาดเอวของเปาโลผูกมือกับเท้าของตน และกล่าวว่า “พระวิญญาณบริสุทธิ์กล่าวว่า ‘ชาวยิวในเมืองเยรูซาเล็มจะมัดเจ้าของเครื่องคาดเอวนี้เหมือนกันอย่างนี้ และจะมอบเขาไว้ในมือของบรรดาคนนอก’” 12 เมื่อพวกเราได้ยินเช่นนั้น พวกเรากับคนที่อาศัยอยู่แถวนั้นพากันอ้อนวอนเปาโลไม่ให้ขึ้นไปยังเมืองเยรูซาเล็ม 13 แต่เปาโลตอบว่า “ทำไมท่านจึงร้องไห้และทำให้ข้าพเจ้าเศร้าใจ ข้าพเจ้าไม่เพียงพร้อมที่จะถูกมัด แต่พร้อมที่จะตายในเมืองเยรูซาเล็มเพื่อพระนามของพระเยซู องค์พระผู้เป็นเจ้า” 14 เมื่อพวกเราไม่สามารถชักจูงท่านได้ จึงหยุดอ้อนวอนและพูดว่า “ขอให้เป็นไปตามความประสงค์ของพระผู้เป็นเจ้าเถิด”

15 หลังจากนั้นพวกเราก็เตรียมพร้อมเพื่อขึ้นไปยังเมืองเยรูซาเล็ม 16 เหล่าสาวกบางคนที่มาจากเมืองซีซารียาก็ไปด้วย เขานำเราไปยังบ้านของมนาสันสาวกเก่าแก่ชาวเกาะไซปรัส เพื่อให้เราพักอยู่ที่นั่น

17 เมื่อเรามาถึงเมืองเยรูซาเล็ม พวกพี่น้องก็ต้อนรับด้วยความยินดี 18 วันรุ่งขึ้น เปาโลกับเราทั้งหลายจึงไปหายากอบ ผู้ปกครองทุกคนก็มาอยู่พร้อมกัน 19 เปาโลทักทายกับพวกเขา แล้วก็เล่าถึงงานรับใช้ที่พระเจ้าได้ให้ท่านกระทำตามลำดับในหมู่คนนอก 20 เมื่อเขาเหล่านั้นได้ยินเช่นนั้นก็สรรเสริญพระเจ้า และพูดกับเปาโลว่า “ดูเถิด พี่เอ๋ย ชาวยิวกี่พันคนที่มีความเชื่อ และทุกคนก็ได้รักษากฎบัญญัติอย่างเคร่งครัด 21 พวกเขาได้ยินว่า ท่านสอนชาวยิวทุกคนที่อาศัยอยู่ในหมู่คนนอก ให้ละเลยหมวดกฎบัญญัติของโมเสส และบอกพวกเขาไม่ให้ลูกๆ เข้าสุหนัต หรือดำเนินชีวิตตามขนบธรรมเนียมของพวกเรา 22 แล้วเราควรจะทำอย่างไร เขาเหล่านั้นย่อมทราบว่าท่านจะมาที่นี่ 23 ฉะนั้นขอให้ทำตามที่พวกเราบอกท่านเถิด มีชาย 4 คนในพวกเราได้สาบานตนไว้ 24 ท่านจงพาเขาทั้งสี่ไปทำพิธีชำระตัวด้วยกันกับท่านแล้วเสียเงินแทนเขา เพื่อว่าเขาจะได้โกนศีรษะ แล้วทุกคนจะได้ทราบว่า รายงานเกี่ยวกับท่านนั้นไม่เป็นความจริงเลย ท่านเองดำเนินชีวิตตามกฎบัญญัติ 25 พวกเราได้เขียนจดหมายถึงผู้เชื่อทั้งหลายที่เป็นคนนอกแล้วว่า เราได้ตัดสินใจว่า เขาต้องละเว้นจากอาหารที่ได้บูชาแก่รูปเคารพต่างๆ จากเลือด จากเนื้อสัตว์ที่ถูกรัดคอตาย และจากการประพฤติผิดทางเพศ” 26 วันรุ่งขึ้นเปาโลก็พาชาย 4 คนนั้นไปเพื่อทำพิธีชำระตัวด้วยกันกับท่าน แล้วท่านก็ไปยังพระวิหารเพื่อประกาศว่า วันชำระตัวจะจบสิ้นเมื่อไหร่ และจะได้ถวายเครื่องบูชาเพื่อคนเหล่านั้นทุกคน

เปาโลถูกจับกุมที่เมืองเยรูซาเล็ม

27 เมื่อเกือบจะสิ้น 7 วัน ชาวยิวบางคนที่มาจากแคว้นเอเชียเห็นเปาโลที่พระวิหาร จึงก่อความวุ่นวายขึ้นและจับท่านไป 28 พลางตะโกนว่า “ชาวอิสราเอลเอ๋ย มาช่วยกันเถิด ชายคนนี้เป็นคนเสี้ยมสอนคนทั่วทุกแห่งหนให้ต่อต้านคนของเรา รวมทั้งกฎบัญญัติและสถานที่นี้ด้วย ยิ่งกว่านั้นเขาได้พาชาวกรีกเข้ามาในบริเวณพระวิหาร ทำให้ที่บริสุทธิ์เป็นมลทิน” 29 ก่อนหน้านี้ เขาเหล่านั้นเห็นชาวเอเฟซัสที่ชื่อโตรฟีมัสอยู่ในเมืองกับเปาโล และก็สรุปความว่า เปาโลได้พาเขาเข้าไปในบริเวณพระวิหาร 30 ทั้งเมืองจึงเกิดโกลาหล ผู้คนวิ่งกรูกันมาจากทุกสารทิศ จับกุมเปาโลแล้วฉุดลากท่านออกไปจากพระวิหาร ประตูก็ปิดทันที 31 ขณะที่ผู้คนกำลังพยายามจะฆ่าท่านอยู่ ผู้บังคับกองพันทหารของเมืองโรมได้ยินว่า เมืองเยรูซาเล็มทั้งเมืองกำลังเกิดความอลหม่าน 32 เขาจึงนำกองทหารและเหล่านายร้อยวิ่งลงไปหาฝูงชน เมื่อพวกที่ก่อการจลาจลเห็นผู้บังคับกองพันกับพวกทหารของเขา จึงหยุดทุบตีเปาโล 33 ผู้บังคับกองพันเข้าไปใกล้แล้วจับกุมท่าน และสั่งให้ล่ามด้วยโซ่ 2 เส้น แล้วไต่ถามว่าท่านเป็นใคร มาทำอะไร 34 ฝูงชนก็ตะโกนกันต่างๆ นานา และในเมื่อผู้บังคับกองพันไม่สามารถทราบความเพราะไม่อาจหยุดความวุ่นวายได้ จึงสั่งให้คนพาเปาโลเข้าไปในกรมทหาร 35 เมื่อเปาโลถึงบันไดแล้ว ฝูงชนได้เกิดจลาจลขึ้นอีกจนพวกทหารต้องยกตัวท่านขึ้น 36 ฝูงชนที่ตามไปก็ร้องตะโกนแล้วตะโกนอีกว่า “ฆ่าเขาเสียเถิด”

เปาโลกล่าวกับฝูงชน

37 พวกทหารเกือบจะพาเปาโลเข้าไปในกรมทหารอยู่แล้ว ขณะที่ท่านถามผู้บังคับกองพันว่า “ขอให้ข้าพเจ้าได้พูดกับท่านหน่อยได้ไหม” เขาจึงตอบว่า “พูดภาษากรีกเป็นหรือ 38 เจ้าไม่ใช่ชาวอียิปต์คนนั้นหรอกหรือที่ก่อการกบฏ และนำผู้ก่อการร้าย 4,000 คนออกไปในถิ่นทุรกันดารก่อนหน้านี้” 39 เปาโลตอบว่า “ข้าพเจ้าเป็นชาวยิวจากเมืองทาร์ซัสในแคว้นซีลีเซีย พลเมืองจากเมืองที่ไม่ด้อยเลย กรุณาให้ข้าพเจ้าพูดกับผู้คนเถิด” 40 เมื่อเปาโลได้รับอนุญาตจากนายพันแล้ว จึงยืนบนขั้นบันไดโบกมือให้สัญญาณกับฝูงชน เมื่อเสียงโหวกเหวกสงบลงแล้ว ท่านก็พูดเป็นภาษาฮีบรูว่า

22 “พี่น้องและท่านอาวุโสทั้งหลาย จงฟังคำแก้คดีของข้าพเจ้าด้วย”

เมื่อเขาเหล่านั้นได้ยินท่านพูดภาษาฮีบรูด้วย ก็นิ่งเงียบทีเดียว เปาโลกล่าวต่อไปว่า

“ข้าพเจ้าเป็นชาวยิว เกิดที่เมืองทาร์ซัสในแคว้นซีลีเซียแต่เติบโตในเมืองนี้ ได้รับการศึกษาภายใต้ท่านกามาลิเอลในด้านกฎบัญญัติของบรรพบุรุษของพวกเราอย่างเคร่งครัด และกระตือรือร้นในพระเจ้ามากเท่าที่พวกท่านเป็นกันอยู่ในวันนี้ ข้าพเจ้าเคยกดขี่ข่มเหงพวกที่ติดตามใน ‘วิถีทางนั้น’ จนพวกเขาถึงแก่ความตาย เที่ยวจับกุมทั้งชายและหญิงแล้วก็ส่งพวกเขาไปจองจำ ซึ่งหัวหน้ามหาปุโรหิตและคณะผู้ใหญ่ทั้งหมดเป็นพยานให้ได้ และข้าพเจ้าได้รับจดหมายจากท่านเหล่านั้นที่มีไปถึงพวกพี่น้องชาวยิวในเมืองดามัสกัส และข้าพเจ้าไปที่นั่นเพื่อจะจับกุมคนเหล่านี้มาที่เมืองเยรูซาเล็มเพื่อลงโทษ

ขณะที่ข้าพเจ้าเดินทางเข้าใกล้เมืองดามัสกัสราวๆ เที่ยงวัน ในทันใดนั้นก็มีแสงสว่างจากสวรรค์ส่องลงมาล้อมรอบข้าพเจ้า ข้าพเจ้าทรุดตัวลงบนพื้น และได้ยินเสียงพูดกับข้าพเจ้าว่า ‘เซาโล เซาโลเอ๋ย ทำไมเจ้าจึงกดขี่ข่มเหงเรา’ ข้าพเจ้าถามว่า ‘พระองค์ท่าน พระองค์เป็นผู้ใด’ พระองค์ตอบว่า ‘เราคือเยซูแห่งเมืองนาซาเร็ธซึ่งเจ้ากำลังข่มเหง’ บรรดาผู้ที่ไปกับข้าพเจ้าก็เห็นแสงนั้นด้วย แต่เขาไม่ได้ยินเสียงของพระองค์ที่กำลังกล่าวกับข้าพเจ้าอยู่ 10 ข้าพเจ้าถามว่า ‘ข้าพเจ้าควรจะทำอย่างไร พระองค์ท่าน’ พระองค์ท่านตอบว่า ‘จงลุกขึ้นเถิด แล้วเข้าไปในเมืองดามัสกัส จะมีคนที่นั่นมาบอกว่าเจ้าจะต้องทำสิ่งใดบ้าง’ 11 แสงสว่างจ้านั้นทำให้ตาของข้าพเจ้าบอด คนที่ไปกับข้าพเจ้าจึงต้องจูงมือนำข้าพเจ้าเข้าไปในเมืองดามัสกัส

12 ชายคนหนึ่งชื่ออานาเนียมาหาข้าพเจ้า ท่านเป็นผู้รักษากฎบัญญัติที่เชื่อในพระเจ้ามาก และเป็นที่นับถืออย่างสูงในหมู่ชาวยิวที่อาศัยอยู่ที่นั่น 13 ท่านยืนอยู่ข้างๆ ข้าพเจ้า พูดว่า ‘พี่เซาโลเอ๋ย จงเห็นเถิด’ และขณะนั้นเอง ข้าพเจ้าก็มองเห็นท่านได้ 14 แล้วท่านพูดว่า ‘พระเจ้าของบรรพบุรุษของเราได้เลือกท่าน ให้รับรู้ความประสงค์ของพระองค์และเห็นองค์ผู้มีความชอบธรรม เพื่อฟังคำกล่าวจากพระองค์โดยตรง 15 ท่านจะเป็นพยานฝ่ายพระองค์ให้คนทั้งปวงทราบถึงเหตุการณ์ที่ท่านได้เห็นและได้ยิน 16 ทำไมท่านจะต้องรอต่อไปอีก จงลุกขึ้นรับบัพติศมา และชำระล้างบาป โดยร้องเรียกพระนามของพระองค์เถิด’

17 ข้าพเจ้ากลับไปยังเมืองเยรูซาเล็ม ขณะที่กำลังอธิษฐานอยู่ที่พระวิหาร ข้าพเจ้าก็ตกอยู่ในภวังค์ 18 และเห็นพระองค์ซึ่งได้กล่าวกับข้าพเจ้าว่า ‘จงรีบออกไปจากเมืองเยรูซาเล็มทันที เพราะว่าผู้คนทั้งหลายจะไม่ยอมรับคำยืนยันของเจ้าที่เกี่ยวกับเรา’ 19 ข้าพเจ้าตอบว่า ‘พระผู้เป็นเจ้า พวกเขาเองทราบว่า ข้าพเจ้าเที่ยวไปจับบรรดาผู้ที่เชื่อในพระองค์ตามศาลาที่ประชุมเพื่อให้พวกเขาถูกจำคุกและโบยตี 20 และเมื่อสเทเฟนผู้เป็นพยานของพระองค์ถึงกับโลหิตตก ข้าพเจ้ายืนอยู่ที่นั่นโดยเห็นชอบในการกระทำนั้น และเฝ้าเสื้อผ้าของพวกที่กำลังฆ่าสเทเฟน’ 21 แล้วพระผู้เป็นเจ้ากล่าวกับข้าพเจ้าว่า ‘จงไปเถิด เราจะส่งเจ้าไปยังบรรดาคนนอกที่อยู่ห่างไกล’”

เปาโลเป็นคนสัญชาติโรมัน

22 ฝูงชนฟังเปาโลกล่าวจนถึงเพียงนี้ ก็ตะโกนเสียงลั่นว่า “กำจัดชายคนนี้ให้หายสาบสูญไปจากโลกเสียเถิด เขาไม่สมควรที่จะมีชีวิตอยู่อีกต่อไปแล้ว” 23 ขณะที่เขาทั้งหลายกำลังตะโกนไป พร้อมกับเหวี่ยงเสื้อคลุมออกไปจนฝุ่นตลบอยู่นั้น 24 ผู้บังคับกองพันได้สั่งให้เปาโลเข้าไปในกรมทหาร สั่งให้ทหารเฆี่ยน เพื่อจะได้ไต่สวนดูว่าทำไมผู้คนจึงได้ตะโกนใส่ท่านเช่นนั้น 25 ขณะที่พวกทหารขึงร่างของท่านเพื่อรอการเฆี่ยน เปาโลก็กล่าวกับนายร้อยที่ยืนอยู่ที่นั่นว่า “ถูกกฎแล้วหรือที่ท่านจะเฆี่ยนคนสัญชาติโรมันก่อนที่จะพิพากษาว่าผิด” 26 เมื่อนายร้อยได้ยินเช่นนั้นจึงนำความไปรายงานกับผู้บังคับกองพันว่า “ท่านจะทำอย่างไรต่อไป ชายคนนี้เป็นคนสัญชาติโรมัน” 27 ผู้บังคับกองพันจึงไปถามเปาโลว่า “บอกข้าพเจ้าเถิดว่า ท่านเป็นคนสัญชาติโรมันหรือ” ท่านตอบว่า “ใช่แล้ว” 28 แล้วผู้บังคับกองพันพูดว่า “กว่าข้าพเจ้าจะได้เป็นคนสัญชาติโรมันข้าพเจ้าต้องเสียเงินมาก” เปาโลตอบว่า “แต่ข้าพเจ้าเป็นคนสัญชาติโรมันโดยกำเนิด” 29 ฝ่ายพวกที่กำลังจะซักถามท่านก็ถอยออกไปทันที ผู้บังคับกองพันเองก็ตกใจที่ล่ามโซ่เปาโลซึ่งเป็นคนสัญชาติโรมัน

เปาโลยืนอยู่ต่อหน้าศาสนสภา

30 วันรุ่งขึ้น ผู้บังคับกองพันต้องการที่จะทราบให้แน่ชัดว่าเหตุใดชาวยิวจึงกล่าวหาเปาโล เขาจึงให้คนถอดเครื่องที่ล่ามเปาโลออก แล้วสั่งให้ทั้งบรรดามหาปุโรหิตและศาสนสภาทั้งหมดมาร่วมประชุมกัน ครั้นแล้วก็ให้เปาโลมายืนอยู่ต่อหน้าเขาทั้งปวง

23 เปาโลจ้องเขม็งไปยังศาสนสภาและกล่าวว่า “พี่น้องเอ๋ย ข้าพเจ้าได้ดำเนินชีวิตด้วยมโนธรรมที่ดีต่อพระเจ้ามาจนถึงทุกวันนี้” อานาเนียหัวหน้ามหาปุโรหิตจึงสั่งให้พวกที่ยืนอยู่ใกล้เปาโลตบปากท่าน แล้วเปาโลพูดกับเขาว่า “พระเจ้าจะตบท่าน ท่านเป็นเหมือนผนังกำแพงที่ฉาบด้วยปูนขาวเท่านั้น ท่านนั่งกล่าวโทษข้าพเจ้าไปตามกฎบัญญัติ แต่ตัวท่านเองยังฝ่าฝืนกฎบัญญัติโดยที่สั่งให้คนตบข้าพเจ้า”

พวกที่ยืนอยู่ใกล้เปาโลพูดว่า “ท่านกล้าสบประมาทหัวหน้ามหาปุโรหิตของพระเจ้าหรือ” เปาโลตอบว่า “พี่น้องเอ๋ย ข้าพเจ้าไม่ได้ตระหนักว่าเขาเป็นหัวหน้ามหาปุโรหิต ด้วยมีบันทึกไว้ว่า ‘อย่าพูดว่าร้ายต่อบุคคลในระดับปกครองพลเมือง’”[e]

ครั้นเปาโลเห็นว่าบางคนในศาสนสภาเป็นสะดูสี และบางคนก็เป็นฟาริสี ท่านจึงร้องขึ้นในศาสนสภาว่า “พี่น้องเอ๋ย ข้าพเจ้าเป็นฟาริสีและเป็นบุตรของฟาริสี ข้าพเจ้าถูกพิพากษาก็เพราะเรื่องความหวังในการฟื้นคืนชีวิตจากความตาย” ครั้นเปาโลกล่าวเช่นนั้น พวกฟาริสีและสะดูสีก็เกิดเถียงกัน และที่ประชุมก็แบ่งออกเป็น 2 พวก พวกสะดูสีพูดว่าการฟื้นคืนชีวิตนั้นไม่มีจริง อีกทั้งไม่มีทูตสวรรค์และไม่มีวิญญาณ แต่พวกฟาริสีถือว่ามีทั้งนั้น แล้วก็เกิดโกลาหลขนานใหญ่ขึ้น อาจารย์ฝ่ายกฎบัญญัติบางคนซึ่งเป็นพวกฟาริสีก็ยืนขึ้นเถียงอย่างรุนแรงว่า “พวกเราเห็นว่าชายคนนี้ไม่มีความผิดเลย วิญญาณหรือทูตสวรรค์อาจจะกล่าวกับเขาก็ได้” 10 เมื่อการโต้เถียงเป็นไปอย่างรุนแรงมากขึ้น จนกระทั่งผู้บังคับกองพันกลัวว่าคนพวกนั้นจะฉีกเปาโลออกเป็นชิ้นๆ เขาจึงสั่งให้ใช้กำลังกองทหารลงไปรับตัวท่านไปยังกรมทหาร

11 คืนต่อมาพระผู้เป็นเจ้ายืนอยู่ใกล้เปาโลกล่าวว่า “จงกล้าหาญเถิด เมื่อเจ้าได้ให้คำยืนยันเกี่ยวกับเราในเมืองเยรูซาเล็มแล้ว เจ้าต้องให้คำยืนยันในเมืองโรมด้วย”

ชาวยิววางแผนฆ่าเปาโล

12 เช้าวันรุ่งขึ้นชาวยิวได้วางแผนการร้าย และสาบานว่าจะไม่กินหรือดื่มจนกว่าจะฆ่าเปาโลก่อน 13 คนที่เกี่ยวข้องกับแผนการนี้มีกว่า 40 คน 14 เขาทั้งหลายไปหาพวกมหาปุโรหิตและพวกผู้ใหญ่ และกล่าวว่า “เราทุกคนได้สาบานตัวกันอย่างจริงจังว่า จะไม่กินอะไรเลยจนกว่าจะฆ่าเปาโลสำเร็จ 15 บัดนี้พวกท่านและศาสนสภาขอร้องให้ผู้บังคับกองพันนำตัวเขามาหาท่าน ราวกับว่าท่านจะพิจารณาคดีเขาโดยการสอบสวนอย่างรอบคอบ และพวกเราพร้อมที่จะฆ่าเขาก่อนที่เขาจะมาถึงที่นี่”

16 แต่เมื่อลูกชายของน้องสาวเปาโลได้ยินแผนการนั้น จึงไปบอกเปาโลที่กรมทหาร 17 เปาโลก็เรียกนายร้อยคนหนึ่งเข้ามาแล้วกล่าวว่า “พาชายหนุ่มคนนี้ไปหาผู้บังคับกองพันเถิด เขามีบางสิ่งที่จะแจ้งให้ทราบ” 18 ดังนั้นเขาจึงพาชายหนุ่มนั้นไปหาผู้บังคับกองพัน นายร้อยพูดว่า “เปาโลที่เป็นนักโทษอยู่ให้ข้าพเจ้าพาชายหนุ่มคนนี้มาหาท่าน เพราะว่าเขามีเรื่องที่จะบอก” 19 ผู้บังคับกองพันจูงมือชายหนุ่มนั้นไปไต่ถามตามลำพังว่า “เจ้ามีอะไรจะบอกเราหรือ” 20 เขาพูดว่า “ชาวยิวได้ตกลงกันที่จะขอให้ท่านนำตัวเปาโลมายังศาสนสภาในวันพรุ่งนี้ ราวกับว่าต้องการจะทราบเรื่องของเปาโลให้ละเอียดมากขึ้น 21 อย่าให้เปาโลไปกับพวกเขา เพราะว่ามีผู้คนกว่า 40 คนกำลังดักซุ่มโจมตีอยู่ เขาเหล่านั้นได้สาบานไว้ว่าจะไม่กินหรือดื่มจนกว่าจะฆ่าเปาโลได้ก่อน บัดนี้เขาพร้อมกันแล้ว และกำลังรอการตัดสินใจของท่านอยู่” 22 ผู้บังคับกองพันให้ชายหนุ่มนั้นไปและกำชับว่า “อย่าบอกผู้ใดว่าเจ้าได้รายงานเรื่องนี้ให้กับเรา”

เปาโลถูกส่งตัวไปยังผู้ว่าราชการเฟลิกส์

23 แล้วเขาเรียกนายร้อย 2 คนมาสั่งว่า “จงเตรียมพลทหาร 200 คนกับทหารม้า 70 คน และทหารหอก 200 คนให้พร้อม เพื่อที่จะไปยังเมืองซีซารียาเวลา 3 ทุ่มคืนวันนี้ 24 จงจัดม้าให้เปาโลขี่ เพื่อจะได้พาตัวเขาไปหาผู้ว่าราชการเฟลิกส์อย่างปลอดภัย” 25 เขาได้เขียนจดหมายได้ความดังนี้

26 “คลาวดิอัสลีเซียสส่งความคิดถึงมายังใต้เท้าผู้ว่าราชการเฟลิกส์ 27 ชาวยิวจับกุมชายผู้นี้ไปและเกือบจะฆ่าเขาแล้ว แต่ข้าพเจ้าเอาพวกทหารไปช่วยเขาไว้ได้ เพราะข้าพเจ้าทราบมาว่าเขาเป็นคนสัญชาติโรมัน 28 ข้าพเจ้าต้องการทราบว่าเหตุใดเขาเหล่านั้นจึงกล่าวหาชายผู้นี้ ข้าพเจ้าจึงได้พาเขาไปยังศาสนสภาของพวกเขาเอง 29 ข้าพเจ้าเห็นว่าการกล่าวหานั้นเป็นเรื่องเกี่ยวกับกฎบัญญัติของพวกเขา แต่ไม่มีข้อหาที่จะปรักปรำให้เขามีโทษถึงตายหรือจำคุก 30 มีคนมาบอกข้าพเจ้าถึงแผนการที่มุ่งร้ายต่อเขา ข้าพเจ้าจึงส่งเขามาหาท่านทันที ข้าพเจ้าได้ออกคำสั่งให้พวกที่กล่าวหาเขาไปฟ้องร้องคดีต่อท่านด้วย”

31 ฉะนั้น พวกทหารที่ปฏิบัติตามคำสั่งก็พาเปาโลไปในเวลากลางคืน จนถึงเมืองอันทิปาตรีส์ 32 วันรุ่งขึ้นก็ปล่อยให้เหล่าทหารม้าเดินทางต่อไปกับเปาโล ส่วนที่เหลือก็กลับไปยังกรมทหาร 33 เมื่อเหล่าทหารม้ามาถึงเมืองซีซารียาแล้ว ก็ได้ยื่นจดหมายให้ผู้ว่าราชการและมอบเปาโลไว้ให้ท่าน 34 ผู้ว่าราชการอ่านจดหมายและถามว่าเปาโลมาจากแคว้นไหน เมื่อรู้ว่ามาจากแคว้นซีลีเซีย 35 ท่านจึงกล่าวว่า “ข้าพเจ้าจะพิจารณาคดีของท่านเมื่อพวกกล่าวหามาถึงที่นี่” แล้วท่านสั่งให้คุมเปาโลไว้ที่วังของกษัตริย์เฮโรด

เปาโลขึ้นคดีที่เมืองซีซารียา

24 ห้าวันต่อมา อานาเนียหัวหน้ามหาปุโรหิตได้เดินทางลงไปยังเมืองซีซารียา กับพวกผู้ใหญ่บางคนและทนายความคนหนึ่งชื่อเทอร์ทูลลัส เขาเหล่านี้ได้ฟ้องร้องเปาโลต่อหน้าผู้ว่าราชการ เมื่อเปาโลถูกเรียกตัวเข้ามาแล้ว เทอร์ทูลลัสก็ยื่นคำร้องคดีของเขาต่อเฟลิกส์ว่า

“ข้าพเจ้าทั้งหลายได้รับความสงบสุขเป็นเวลานานภายใต้การปกครองของท่าน และเพราะสติปัญญาของท่าน จึงได้มีการปรับปรุงให้แก่ชาตินี้ ข้าพเจ้าทั้งหลายรู้คุณอย่างซาบซึ้งในทุกด้านและทุกแห่งหนถึงท่านใต้เท้าเฟลิกส์ เพื่อไม่ให้เสียเวลาเนิ่นนานไป ข้าพเจ้าขอร้องให้ท่านกรุณาฟังพวกข้าพเจ้าเพียงสั้นๆ เถิด ข้าพเจ้าทั้งหลายเห็นว่าชายผู้นี้ทำให้คนอื่นยุ่งยากลำบาก โดยได้ยุยงชาวยิวทั่วโลกให้ก่อการจลาจล เขานี่เองที่เป็นตัวการของพรรคชาวเมืองนาซาเร็ธ เขาพยายามทำให้พระวิหารเป็นมลทิน ดังนั้นข้าพเจ้าทั้งหลายจึงได้จับกุมเขาไว้ [และต้องการจะพิพากษาโทษเขาตามกฎของเรา แต่นายพันลีเซียสได้ใช้กำลังมหาศาลมาคว้าเขาไปจากมือของเรา และออกคำสั่งให้พวกผู้กล่าวหามาให้ท่านพิจารณา][f] เมื่อท่านซักถามเขาเองเกี่ยวกับเรื่องเหล่านี้ ท่านเองจะได้ทราบความจริงเกี่ยวกับข้อกล่าวหาที่พวกเรามีต่อเขา”

ชาวยิวสนับสนุนคำกล่าวหานั้นโดยยืนยันว่าเป็นความจริง

10 เมื่อผู้ว่าราชการโบกมือส่งสัญญาณให้เปาโลพูด เปาโลจึงตอบว่า

“ข้าพเจ้าทราบว่าท่านเป็นผู้พิพากษาของชาตินี้เป็นเวลาหลายปีมาแล้ว ฉะนั้นข้าพเจ้ายินดีจะแก้คดี 11 ท่านสามารถสืบทราบได้ง่ายๆ ว่าข้าพเจ้าได้ขึ้นไปยังเมืองเยรูซาเล็มเพื่อนมัสการไม่เกิน 12 วันมาแล้ว 12 พวกที่กล่าวหาข้าพเจ้าไม่ได้เห็นข้าพเจ้าถกเถียงกับผู้ใดที่พระวิหาร ก่อกวนฝูงชนในศาลาที่ประชุมหรือที่อื่นใดในเมืองเลย 13 พวกเขาไม่สามารถพิสูจน์ตามข้อที่กล่าวหาข้าพเจ้าได้ 14 แต่ข้าพเจ้ายอมรับว่า ข้าพเจ้านมัสการพระเจ้าของบรรพบุรุษของเราเหมือนกับผู้ติดตามใน ‘วิถีทางนั้น’ ซึ่งพวกเขาเรียกว่า ‘พรรค’ ข้าพเจ้าเชื่อทุกสิ่งที่เห็นด้วยกับกฎบัญญัติและที่บันทึกอยู่ในหมวดผู้เผยคำกล่าวของพระเจ้า 15 ข้าพเจ้ามีความหวังในพระเจ้าเช่นเดียวกับชายเหล่านี้ คือทั้งคนที่มีความชอบธรรมและคนที่ไม่มีความชอบธรรมจะฟื้นคืนชีวิต 16 ทั้งนี้ข้าพเจ้าดิ้นรนอยู่เสมอที่จะให้มีมโนธรรมที่ดีต่อพระเจ้าและมนุษย์ 17 หลังจากที่ไม่ได้อยู่ในเมืองเยรูซาเล็มสองสามปีแล้ว ข้าพเจ้าได้ไปที่นั่นเพื่อนำเงินบริจาคมายังชนชาติของข้าพเจ้า และให้ของถวายต่างๆ 18 เมื่อพวกเขาเห็นข้าพเจ้าในบริเวณพระวิหาร คือตอนที่ข้าพเจ้าได้ชำระตัวแล้ว เขามิได้พบว่าข้าพเจ้าอยู่กับฝูงชนหรือทำการก่อกวน 19 แต่มีชาวยิวบางคนที่มาจากแคว้นเอเชียซึ่งควรจะมาฟ้องร้องท่านก่อนแล้ว ถ้าหากเขามีอะไรจะฟ้อง 20 หรือพวกที่อยู่ที่นี่ควรให้การว่าเขาพบข้าพเจ้าผิดอย่างไรเวลาที่ข้าพเจ้ายืนอยู่ต่อหน้าศาสนสภา 21 มีสิ่งเดียวที่ข้าพเจ้าร้องตะโกนต่อหน้าเขาเหล่านี้คือ ‘เป็นเรื่องเกี่ยวกับการฟื้นคืนชีวิตจากความตาย ข้าพเจ้าจึงต้องยืนรับการพิจารณาคดีต่อหน้าท่านในวันนี้’”

22 แล้วเฟลิกส์ผู้ที่คุ้นเคยกับ “วิถีทางนั้น” ก็เลื่อนการพิจารณาโดยกล่าวว่า “เมื่อผู้บังคับกองพันลีเซียสมา ข้าพเจ้าจึงจะตัดสินคดีของท่าน” 23 ท่านสั่งนายร้อยให้คุมตัวเปาโลไว้ แต่ก็ให้มีอิสระบ้างและอนุญาตให้เพื่อนๆ ของเปาโลมาปรนนิบัติตามความจำเป็นได้

24 สองสามวันต่อมาเฟลิกส์มากับภรรยาชาวยิวชื่อดรูสิลลา ท่านให้คนพาตัวเปาโลมา และได้ฟังท่านพูดเกี่ยวกับความเชื่อในพระเยซูคริสต์ 25 ขณะที่เปาโลได้พูดถึงความชอบธรรม การควบคุมตนเอง และการพิพากษาที่จะมาถึงตัว เฟลิกส์ก็เกิดกลัวขึ้นแล้วพูดว่า “พอเท่านี้ก่อน ท่านไปได้แล้ว แต่พอถึงเวลาอีกข้าพเจ้าจะเรียกตัวท่านมา” 26 ในเวลาเดียวกันท่านก็หวังว่าเปาโลจะเสนอให้สินบน ท่านจึงให้ตามตัวเปาโลมาพูดด้วยบ่อยครั้ง 27 สองปีผ่านไป ปอร์สิอัสเฟสทัสได้มารับตำแหน่งแทนเฟลิกส์ แต่ว่าเฟลิกส์ต้องการจะเอาความดีความชอบจากชาวยิว จึงทิ้งเปาโลไว้ในคุก

เปาโลถวายฎีกาถึงซีซาร์

25 หลังจากเฟสทัสมาถึงแคว้นได้ 3 วันก็ออกจากเมืองซีซารียาขึ้นไปยังเมืองเยรูซาเล็ม ณ ที่นั้นเองที่พวกมหาปุโรหิตและผู้นำชาวยิวนำเรื่องเปาโลมาฟ้องร้อง และอ้อนวอนเฟสทัสอย่างร้อนใจให้ช่วยเหลือพวกเขา โดยให้สั่งย้ายตัวเปาโลไปยังเมืองเยรูซาเล็ม เพราะว่าเขาทั้งหลายมีแผนการที่จะดักซุ่มเพื่อฆ่าเปาโลระหว่างทาง เฟสทัสตอบว่า “เปาโลถูกคุมตัวไว้ที่เมืองซีซารียา และเราเองก็กำลังจะไปที่นั่นในไม่ช้านี้ ถ้าหากว่าเปาโลได้กระทำผิดอย่างไรก็ปล่อยให้พวกผู้นำบางคนไปกับเรา ไปฟ้องร้องเปาโลกันที่นั่นเถิด”

หลังจากที่ท่านได้อยู่กับพวกเขาได้ไม่เกิน 8 หรือ 10 วันแล้ว ก็ลงไปยังเมืองซีซารียา วันรุ่งขึ้นท่านจึงนั่งลงตัดสินความ และสั่งให้นำเปาโลมาหาท่าน เมื่อเปาโลมาแล้ว ชาวยิวที่ได้ลงมาจากเมืองเยรูซาเล็มก็ยืนล้อมไว้รอบ มีข้อกล่าวหาเปาโลอย่างร้ายแรง ซึ่งเป็นข้อกล่าวหาที่พวกเขาไม่สามารถพิสูจน์ได้ เปาโลแก้คดีว่า “ข้าพเจ้าไม่ได้กระทำผิดกฎบัญญัติของชาวยิว หรือผิดต่อพระวิหาร หรือผิดต่อซีซาร์แต่อย่างใด” เฟสทัสอยากสร้างความดีความชอบกับชาวยิวจึงพูดกับเปาโลว่า “ท่านยินดีที่จะขึ้นไปยังเมืองเยรูซาเล็ม เพื่อรับการพิจารณาคดีต่อหน้าเราตามข้อหาที่กล่าวมานี้ไหม” 10 เปาโลตอบว่า “เวลานี้ข้าพเจ้ากำลังยืนอยู่ต่อหน้าศาลของซีซาร์ อันเป็นที่ข้าพเจ้าควรได้รับการพิพากษา ข้าพเจ้าไม่ได้กระทำผิดต่อชาวยิวแต่อย่างใด ท่านเองก็ทราบดี 11 ถ้าหากว่าข้าพเจ้ากระทำผิดจนมีโทษถึงตาย ข้าพเจ้าก็จะไม่ปฏิเสธที่จะตาย แต่ถ้าข้อกล่าวหาทั้งหลายที่มาจากชาวยิวพวกนี้ไม่เป็นความจริงแล้ว ไม่มีใครจะมาละเมิดสิทธิ์ และมอบตัวข้าพเจ้าให้แก่พวกเขาได้ ข้าพเจ้าขอถวายฎีกาถึงซีซาร์” 12 เฟสทัสจึงพูดกับคณะที่ปรึกษาแล้วประกาศว่า “ท่านถวายฎีกาถึงซีซาร์ ท่านก็จะต้องไปเฝ้าซีซาร์”

ผู้ว่าราชการเฟสทัสปรึกษากษัตริย์อากริปปา

13 หลายวันผ่านไป กษัตริย์อากริปปากับพระนางเบอร์นิสก็มาเยี่ยมคำนับเฟสทัสที่เมืองซีซารียา 14 เมื่อท่านทั้งสองพักอยู่ที่นั่นหลายวัน เฟสทัสจึงปรึกษาเรื่องของเปาโลกับกษัตริย์อากริปปาโดยกล่าวว่า “ที่นี่มีชายคนหนึ่งซึ่งเฟลิกส์ยังคงขังให้เป็นนักโทษอยู่ 15 เมื่อข้าพเจ้าไปยังเมืองเยรูซาเล็ม พวกมหาปุโรหิตและพวกผู้ใหญ่ของชาวยิวยื่นฟ้องร้องเขา และขอให้มีการตัดสินลงโทษเขาด้วย 16 ข้าพเจ้าบอกพวกเขาว่า ชาวโรมันไม่มีธรรมเนียมที่จะปล่อยให้จำเลยถูกลงโทษก่อนที่เขากับโจทก์จะสู้ความกัน เพื่อว่าจำเลยจะมีโอกาสแก้ข้อกล่าวหานั้น 17 เมื่อพวกเขามาพร้อมกัน ข้าพเจ้าจึงไม่ได้รอช้า วันรุ่งขึ้นก็ได้นั่งพิจารณาคดี และสั่งให้พาตัวชายคนนั้นมา 18 เมื่อพวกโจทก์ยืนขึ้นฟ้อง พวกเขาก็ไม่ได้กล่าวหาว่าผู้นั้นชั่วร้าย เหมือนที่ข้าพเจ้าได้คาดหมายไว้ 19 เขาเพียงแต่โต้แย้งกันเรื่องศาสนาของพวกเขา และเรื่องคนตายที่ชื่อเยซูซึ่งเปาโลยืนยันว่ายังมีชีวิตอยู่ 20 ข้าพเจ้าไม่ทราบว่าจะพิจารณาความอย่างไรดี ดังนั้นข้าพเจ้าถามว่าเขาจะยินดีไปยังเมืองเยรูซาเล็มเพื่อสู้คดีที่นั่นหรือไม่ 21 เมื่อเปาโลได้ถวายฎีกามอบตัวขอให้เป็นการตัดสินใจของจักรพรรดิ ข้าพเจ้าจึงสั่งให้คุมตัวไว้จนกว่าจะส่งตัวเขาไปถึงซีซาร์ได้” 22 แล้วอากริปปาก็กล่าวกับเฟสทัสว่า “เราอยากจะฟังปากคำจากชายคนนี้ด้วย” เฟสทัสกล่าวว่า “พรุ่งนี้ท่านก็จะได้ฟังเขา”

เปาโลยืนให้การกับกษัตริย์อากริปปา

23 วันรุ่งขึ้นกษัตริย์อากริปปากับพระนางเบอร์นิสมายังศาลอย่างเอิกเกริก และได้เข้าไปในห้องพิจารณากับเจ้าหน้าที่ชั้นสูงและผู้นำทั้งหลายของเมืองนั้น เปาโลถูกนำตัวเข้ามา ตามคำสั่งของเฟสทัส 24 เฟสทัสกล่าวว่า “กษัตริย์อากริปปา และทุกท่าน ณ ที่นี่ ท่านเห็นชายคนนี้แล้ว เขาคือคนที่ชาวยิวทั้งในเมืองเยรูซาเล็มและที่นี่ได้ร้องทุกข์ต่อข้าพเจ้า และต่างก็ร้องตะโกนว่า เขาไม่ควรมีชีวิตอยู่ต่อไป 25 แต่ข้าพเจ้าเห็นว่าเขาไม่ได้ทำสิ่งใดที่สมควรจะต้องตาย และเป็นเพราะว่าเขาได้ถวายฎีกาต่อจักรพรรดิ ข้าพเจ้าจึงได้ตัดสินใจที่จะส่งเขาไป 26 ข้าพเจ้าไม่มีข้อมูลแน่นอนเกี่ยวกับชายผู้นี้ที่จะเขียนรายงานถึงองค์จักรพรรดิ ฉะนั้นข้าพเจ้าได้พาตัวเขามายืนต่อหน้าท่านทั้งหลาย และโดยเฉพาะอย่างยิ่งต่อกษัตริย์อากริปปา เพื่อว่าหลังจากมีการสอบสวนแล้วข้าพเจ้าจะได้มีข้อมูลที่จะเขียนรายงานไป 27 เพราะข้าพเจ้าเห็นว่าไม่เหมาะในการที่จะส่งนักโทษไปโดยที่ไม่ระบุข้อกล่าวหา”

26 อากริปปาจึงกล่าวกับเปาโลว่า “ท่านได้รับอนุญาตให้พูดแก้คดีเอง” เปาโลจึงยื่นมือออกเป็นสัญญาณแล้วเริ่มแก้คดีว่า

“ข้าแต่กษัตริย์อากริปปา ในเรื่องข้อกล่าวหาทุกสิ่งที่ชาวยิวมีต่อข้าพเจ้า ข้าพเจ้ารู้สึกยินดีที่มีโอกาสแก้คดีต่อหน้าใต้เท้าในวันนี้ ข้าพเจ้ายินดีจริงๆ เพราะใต้เท้าคุ้นเคยกับประเพณีนิยม และปัญหาโต้แย้งทุกอย่างของชาวยิว ฉะนั้นข้าพเจ้าขอให้ใต้เท้าได้โปรดทนฟังข้าพเจ้าเถิด

ชาวยิวทุกคนทราบว่าข้าพเจ้ามีความเป็นอยู่อย่างไรตั้งแต่เป็นเด็กมา เริ่มจากชีวิตในประเทศของข้าพเจ้าและในเมืองเยรูซาเล็มด้วย เขาทั้งหลายก็รู้จักข้าพเจ้าเป็นเวลานาน และถ้าเขายินยอม เขาจะให้ปากคำได้ว่า ข้าพเจ้าเคยอยู่ในพรรคที่เคร่งที่สุดในศาสนาของพวกเรา คือเป็นอยู่อย่างฟาริสี และมาบัดนี้ข้าพเจ้าต้องขึ้นศาล ก็เพราะข้าพเจ้ามีความหวังในพระสัญญาของพระเจ้าที่ได้มอบไว้แก่บรรพบุรุษของเรา นี่คือพระสัญญาที่ 12 เผ่ามีความหวังว่าจะสำเร็จลุล่วง ขณะที่พวกเขาได้นมัสการพระเจ้าทั้งวันและคืน ข้าแต่มหากษัตริย์ เป็นเพราะความหวังนี้เอง ที่ชาวยิวกำลังกล่าวหาข้าพเจ้า ทำไมท่านทั้งหลายจึงคิดว่า การที่พระเจ้าให้คนตายฟื้นคืนชีวิตนั้นเป็นไปไม่ได้

ข้าพเจ้าเคยคิดในใจว่า ข้าพเจ้าต้องกระทำทุกสิ่งที่จะขัดขวางพระนามของพระเยซูแห่งเมืองนาซาเร็ธ 10 และข้าพเจ้าก็ได้กระทำไปตามนั้นในเมืองเยรูซาเล็ม ข้าพเจ้าจับกุมผู้บริสุทธิ์ของพระเจ้าเป็นจำนวนมากให้เข้าคุก ตามที่ได้รับสิทธิอำนาจจากบรรดามหาปุโรหิต และเมื่อพวกเขาถูกฆ่าแล้ว ข้าพเจ้าก็ออกคะแนนเสียงเห็นดีด้วย 11 บ่อยครั้งที่ข้าพเจ้าได้ไปยังศาลาที่ประชุมทุกแห่งหน เพื่อให้พวกเขาได้รับโทษ ข้าพเจ้าพยายามบังคับให้พวกเขากล่าวคำหมิ่นประมาทพระเจ้า ข้าพเจ้าโกรธพวกเขามาก จึงได้ไปข่มเหงพวกเขาถึงต่างแดน

12 ครั้งหนึ่ง ข้าพเจ้ากำลังเดินทางไปยังเมืองดามัสกัส โดยถือสิทธิอำนาจของพวกมหาปุโรหิตที่มีคำสั่งไป 13 ข้าแต่มหากษัตริย์ พอประมาณได้เที่ยงวันขณะที่ข้าพเจ้าเดินทางไป ข้าพเจ้าเห็นแสงจากสวรรค์ซึ่งสว่างกว่าดวงอาทิตย์เจิดจ้าอยู่รอบตัวข้าพเจ้าและพวกที่เดินทางไปด้วย 14 พวกเราทุกคนก็ทรุดตัวลงบนพื้น และข้าพเจ้าได้ยินเสียงกล่าวเป็นภาษาฮีบรูว่า ‘เซาโล เซาโลเอ๋ย ทำไมเจ้าจึงกดขี่ข่มเหงเรา เจ้าเตะปฏักก็เจ็บตัวเปล่า’ 15 ข้าพเจ้าถามว่า ‘พระองค์ท่าน พระองค์เป็นผู้ใด’ พระองค์ท่านตอบว่า ‘เราคือเยซูผู้ที่เจ้ากำลังข่มเหง 16 จงลุกขึ้นยืนเถิด เราปรากฏแก่เจ้าเพื่อแต่งตั้งเจ้าให้เป็นผู้รับใช้ และเป็นผู้ให้คำยืนยันถึงสิ่งที่เจ้าเห็นแล้ว อีกทั้งสิ่งที่เราจะปรากฏให้แก่เจ้าอีกด้วย 17 เราจะช่วยเจ้าให้รอดจากชาวยิวและจากพวกคนนอกที่เรากำลังจะใช้เจ้าให้ไปหา 18 เพื่อให้เขาลืมตาและหันจากความมืดสู่ความสว่าง และหันจากอำนาจของซาตานเข้าหาพระเจ้า เพื่อว่าพวกเขาจะได้รับการยกโทษบาป และได้รับมรดกร่วมกับหมู่คนที่พระเจ้าชำระให้บริสุทธิ์แล้วเพราะเขามีความเชื่อในเรา’

19 กษัตริย์อากริปปา ข้าพเจ้าไม่ได้ขัดขืนภาพนิมิตที่ปรากฏจากสวรรค์ 20 ข้าพเจ้าเริ่มประกาศแก่ผู้คนในเมืองดามัสกัส เมืองเยรูซาเล็ม ทั่วแคว้นยูเดียและแก่บรรดาคนนอกด้วย ข้าพเจ้าประกาศว่าเขาเหล่านั้นควรกลับใจ และหันเข้าหาพระเจ้าและปฏิบัติตนเพื่อแสดงการกลับใจ 21 เพราะเหตุนี้ชาวยิวจึงได้จับกุมข้าพเจ้าในบริเวณพระวิหาร และพยายามจะฆ่าข้าพเจ้า 22 แต่ว่าพระเจ้าได้ช่วยเหลือข้าพเจ้ามาจนถึงทุกวันนี้ ดังนั้นข้าพเจ้ายืนอยู่ที่นี่และยืนยันกับผู้ใหญ่และผู้น้อย ข้าพเจ้าไม่ได้พูดสิ่งใดนอกเหนือไปกว่าเรื่องที่เหล่าผู้เผยคำกล่าวของพระเจ้าและโมเสสได้กล่าวไว้ว่าจะเกิดขึ้น 23 คือพระคริสต์จะทนทุกข์ทรมาน และเป็นบุคคลแรกที่ฟื้นคืนชีวิตจากความตาย พระองค์จะประกาศเรื่องความสว่างแก่ชนชาติของพระองค์ และแก่บรรดาคนนอก”

24 ขณะที่เปาโลกำลังแก้คดีของตนอยู่ เฟสทัสก็ตะโกนสอดขึ้นว่า “เปาโล ท่านเสียสติแล้ว ท่านรู้วิชามากจนทำให้ท่านฟั่นเฟือนไปเสียแล้ว” 25 เปาโลตอบว่า “ข้าพเจ้าไม่เสียสติหรอก ใต้เท้าเฟสทัส แต่สิ่งที่ข้าพเจ้าพูดเป็นความจริงและมีเหตุผล 26 กษัตริย์ท่านคุ้นกับสิ่งเหล่านี้ และข้าพเจ้าพูดได้โดยอิสระ ข้าพเจ้าเชื่ออย่างแน่นอนว่าไม่มีเหตุการณ์ใดที่รอดพ้นสายตาไปได้ เพราะว่าไม่ได้เกิดขึ้นอย่างลับๆ 27 กษัตริย์อากริปปา ท่านเชื่อเหล่าผู้เผยคำกล่าวของพระเจ้าหรือไม่ ข้าพเจ้าทราบว่าท่านเชื่อ” 28 แล้วอากริปปาจึงกล่าวกับเปาโลว่า “ท่านคิดหรือว่า ท่านจะชักจูงเราให้เป็นคริสเตียนได้ในระยะเวลาสั้นเพียงนี้” 29 เปาโลตอบว่า “ในระยะเวลาสั้นหรือยาวนานก็ตาม ข้าพเจ้าอธิษฐานต่อพระเจ้าว่า ไม่เพียงท่านเท่านั้นที่จะเป็นเหมือนกับข้าพเจ้า แต่ทุกคนที่กำลังฟังข้าพเจ้าในวันนี้ด้วย เว้นแต่ไม่ต้องถูกล่ามโซ่เหมือนกับข้าพเจ้า”

30 กษัตริย์กับผู้ว่าราชการและพระนางเบอร์นิสและพวกที่นั่งด้วยกันอยู่ก็ลุกขึ้น 31 เขาทั้งหลายออกไปจากห้อง ต่างก็พูดกันว่า “ชายผู้นี้ไม่ได้ทำสิ่งใดที่สมควรจะได้รับโทษถึงตายหรือถูกจำคุก” 32 อากริปปาจึงกล่าวกับเฟสทัสว่า “ชายผู้นี้จะได้รับการปลดปล่อยให้มีอิสระได้ หากว่าเขาไม่ได้ถวายฎีกาถึงซีซาร์”

เปาโลแล่นเรือไปยังเมืองโรม

27 เมื่อตัดสินใจกันได้ว่า จะให้พวกเราแล่นเรือไปยังประเทศอิตาลี เปาโลและนักโทษอื่นบางคนก็ถูกส่งตัวให้นายร้อยชื่อยูเลียสซึ่งเป็นนายทหารในกองของจักรพรรดิ และยังมีชาวมาซิโดเนียซึ่งมาจากเธสะโลนิกาคนหนึ่งชื่ออาริสทาร์คัสไปกับเราด้วย โดยลงเรือที่มาจากเมืองอัดรามิททิยุมซึ่งพร้อมที่จะแล่นไปยังท่าต่างๆ ตามชายฝั่งทะเลในแคว้นเอเชีย แล้วพวกเราก็ออกเรือกันไป วันรุ่งขึ้นพวกเราขึ้นฝั่งที่เมืองไซดอน ฝ่ายยูเลียสผู้มีใจกรุณาต่อเปาโลก็ยอมให้ท่านไปหาพวกเพื่อนๆ ได้ เผื่อจะได้รับความช่วยเหลือ ครั้นเราออกเรือไปจากที่นั่นแล้ว จึงแล่นไปทางด้านอับลมของเกาะไซปรัสเพราะทวนลม เมื่อเราได้ล่องเรือเลียบฝั่งทะเลของแคว้นซีลีเซียกับแคว้นปัมฟีเลีย เราก็ได้ขึ้นฝั่งที่เมืองมิราในแคว้นลีเซีย ที่เมืองนั้นนายร้อยได้พบเรือลำหนึ่งมาจากอเล็กซานเดรีย ซึ่งกำลังจะแล่นไปยังประเทศอิตาลี จึงให้พวกเราลงเรือกัน เราแล่นไปช้าๆ หลายวันและมาถึงใกล้เมืองคนีดัสด้วยความยากลำบาก เมื่อลมพัดทวนมาก เราก็แล่นไปทางด้านอับลมของเกาะครีตเลียบเคียงใต้แหลมสัลโมเน เราแล่นไปตามชายฝั่งด้วยความยากลำบาก จนมาถึงที่แห่งหนึ่งเรียกว่าท่าพักพิง ซึ่งอยู่ใกล้เมืองลาเซีย

การเดินเรือช่วงนี้อันตรายยิ่งและเสียเวลาไปมากแล้ว เพราะได้ล่วงเลยช่วงเวลาเทศกาลอดอาหารไปแล้ว เปาโลจึงเตือนเขาทั้งหลายว่า 10 “ท่านทั้งหลาย ข้าพเจ้าเห็นว่าการเดินทางของพวกเราจะเกิดการเสียหาย และจะมีการสูญเสียใหญ่ยิ่ง คือไม่เกิดกับเรือและของบรรทุกเท่านั้น แต่ชีวิตของพวกเราเองด้วย” 11 แต่แทนที่นายร้อยจะฟังเปาโลพูด กลับทำตามที่กัปตันและเจ้าของเรือแนะนำ 12 ในเมื่อท่าเรือนั้นไม่เหมาะพอที่จะจอดพักในฤดูหนาว คนส่วนใหญ่จึงตัดสินใจให้แล่นต่อไป โดยหวังที่จะไปถึงเมืองฟีนิกส์และพักตลอดช่วงฤดูหนาวที่นั่น ฟีนิกส์เป็นเมืองท่าเรือของเกาะครีต ซึ่งหันหน้าไปทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือและตะวันตกเฉียงใต้

พายุ

13 เมื่อลมทิศใต้พัดมาเบาๆ เขาเหล่านั้นก็คิดว่าได้การสมความปรารถนาแล้ว จึงถอนสมอแล่นไปตามชายฝั่งของเกาะครีต 14 ไม่นานต่อมาลมพายุกล้าชื่อ ตะวันออกเฉียงเหนือ พัดลงมาจากเกาะนั้น 15 เรือจึงถูกพายุอย่างจัง สุดกำลังจะต้านลม จึงปล่อยไปตามกระแสลมพัด 16 เมื่อเราแล่นผ่านไปจนถึงที่อับลมของเกาะคาวดาซึ่งเป็นเกาะเล็กๆ เราแทบจะคุมเรือเล็กไม่ไหว 17 และเมื่อยกขึ้นเรือใหญ่ได้แล้ว ก็เอาเชือกโอบใต้เรือใหญ่ไว้ให้แน่นกันเรือแตก ด้วยเกรงว่าจะเกยสันดอนทรายในอ่าวเสอร์ทิส จึงทอดสมอลงแล้วก็ปล่อยเรือไปตามกระแสลม 18 เมื่อต้องต้านพายุมากจนวันรุ่งขึ้น คนเหล่านั้นจึงเริ่มโยนของที่บรรทุกมาทิ้งทะเลเสียบ้าง 19 พอวันที่สามพวกเขาโยนเครื่องที่โยงระยางกับใบลงทะเลด้วยมือของเขาเอง 20 เมื่อไม่เห็นทั้งดวงอาทิตย์และดวงดาวหลายวัน และพายุยังคงพัดกระหน่ำต่อไป เราก็ไม่มีแม้แต่ความหวังว่าจะรอดชีวิตไปได้

21 เมื่อพวกเขาไม่ได้รับประทานอาหารมาเป็นเวลานาน เปาโลยืนขึ้นกล่าวว่า “ถ้าท่านทั้งหลายเชื่อฟังข้าพเจ้าโดยไม่แล่นออกจากเกาะครีตแล้ว ท่านก็จะไม่ต้องเผชิญกับความเสียหายและสูญเสียสิ่งของเช่นนี้ 22 แต่มาบัดนี้ข้าพเจ้าขอแนะว่าจงทำใจให้กล้าหาญต่อไปเถิด เพราะว่าไม่มีผู้ใดในพวกท่านที่จะเสียชีวิต จะเสียก็แต่เรือเท่านั้น 23 เมื่อคืนนี้ทูตสวรรค์ของพระเจ้าผู้เป็นเจ้าชีวิตของข้าพเจ้า ซึ่งข้าพเจ้ารับใช้มายืนอยู่ข้างๆ ข้าพเจ้า 24 และกล่าวว่า ‘เปาโลเอ๋ย อย่ากลัวเลย ท่านต้องไปให้ซีซาร์พิจารณาคดี และด้วยพระคุณของพระเจ้าที่มีต่อท่าน พระองค์ได้ไว้ชีวิตทุกคนที่ลงเรือมากับท่าน’ 25 ดังนั้นท่านทั้งหลายจงทำใจให้เข้มแข็งเถิด เพราะข้าพเจ้ามีความเชื่อในพระเจ้าว่า ทุกสิ่งจะเกิดขึ้นตามที่ข้าพเจ้าได้ยิน 26 แต่ว่าพวกเราต้องเกยตื้นที่เกาะแห่งหนึ่ง”

เรือแตก

27 คืนที่สิบสี่ เรายังถูกพายุพัดข้ามทะเลอาเดรียติกอยู่ พอราวเที่ยงคืนพวกกะลาสีมีความรู้สึกว่าเข้าใกล้แผ่นดินแล้ว 28 เมื่อหยั่งความลึกก็วัดได้ว่าน้ำลึก 40 เมตร และเพียงชั่วครู่ต่อมาก็หยั่งดูอีกและวัดได้ว่าลึก 30 เมตร 29 ด้วยกลัวว่าเรือจะกระแทกหิน พวกเขาจึงทอดสมอ 4 ตัวลงที่ท้ายเรือและอธิษฐานว่าไม่ช้าฟ้าก็จะสาง 30 เมื่อพวกกะลาสีหาช่องทางหนีจากเรือใหญ่ได้ เขาก็หย่อนเรือเล็กลงทะเล ทำทีว่าจะหย่อนสมอลงจากหัวเรือ 31 แล้วเปาโลพูดกับนายร้อยและพวกทหารว่า “ถ้าคนพวกนั้นไม่อยู่ในเรือใหญ่ พวกท่านจะไม่รอดตาย” 32 ดังนั้นทหารเหล่านั้นจึงตัดเชือกที่ผูกเรือเล็กไว้ให้ตกลงน้ำไป

33 พอจวนรุ่งเช้าเปาโลชักชวนให้ทุกคนรับประทาน โดยกล่าวว่า “14 วันมาแล้วที่พวกท่านรอคอยอยู่ตลอดเวลาและไม่ได้รับประทานอะไรเลย 34 ฉะนั้นข้าพเจ้าชวนให้ท่านรับประทานบ้าง มันจำเป็นเพื่อประทังชีวิต แม้แต่ผมเส้นเดียวก็จะไม่หลุดจากศีรษะของท่านหรอก” 35 เมื่อท่านกล่าวดังนั้นแล้วก็หยิบขนมปังมาขอบคุณพระเจ้าต่อหน้าพวกเขา แล้วท่านก็บิรับประทาน 36 ทุกคนก็มีกำลังใจดีขึ้นและเริ่มรับประทานกัน 37 รวมพวกเราทั้งหมดที่อยู่ในเรือได้ 276 คน 38 เมื่อเขาเหล่านั้นได้รับประทานอิ่มแล้ว จึงโยนข้าวสาลีทิ้งลงทะเลเพื่อให้เรือเบาขึ้น

39 พอฟ้าสางพวกเขาก็เห็นพื้นดินแต่ไม่รู้ว่าเป็นที่ใด เพราะเป็นอ่าวที่มีชายหาดซึ่งเขาตัดสินใจกันว่า จะให้เรือเกยตื้นที่นั่นถ้าเป็นไปได้ 40 แล้วเขาจึงตัดสายสมอทิ้งลงทะเลเสีย และในขณะเดียวกันก็ได้แก้เชือกที่มัดหางเสือออก แล้วก็ชักใบหัวเรือขึ้นให้กินลมแล่นตรงเข้าชายฝั่ง 41 แต่เรือติดสันดอนทรายเกยค้างอยู่ และหัวเรือติดแน่นขยับไม่ได้ ท้ายเรือก็หักออกเป็นเสี่ยงๆ เพราะคลื่นกระทบอย่างแรง 42 พวกทหารวางแผนที่จะฆ่านักโทษทั้งหมดเพื่อกันไม่ให้ว่ายน้ำหนีไป 43 แต่นายร้อยอยากไว้ชีวิตเปาโล จึงห้ามไม่ให้เขาทำตามแผนนั้น เขาสั่งให้พวกที่ว่ายน้ำเป็น กระโดดน้ำว่ายเข้าฝั่งไปก่อน 44 คนที่เหลือบ้างก็เกาะกระดาน บ้างก็เกาะท่อนไม้ที่หักออกจากเรือ ทุกคนจึงได้ถึงฝั่งและมีชีวิตรอดทั้งหมด

เปาโลที่เกาะมอลตา

28 ครั้นรอดชีวิตกันแล้วพวกเราจึงรู้ว่าเกาะนั้นชื่อมอลตา ชาวเกาะแสดงความกรุณาต่อพวกเราอย่างผิดปกติ และได้ก่อไฟต้อนรับพวกเราทุกคน เพราะว่าฝนตกและอากาศหนาวเย็น เปาโลเก็บกิ่งไม้แห้งได้กองหนึ่งมาใส่ไฟ งูพิษตัวหนึ่งหนีออกมาเพราะความร้อนจากไฟ แล้วกัดติดอยู่ที่มือของเปาโล เมื่อชาวเกาะเห็นงูห้อยอยู่ที่มือของท่านจึงพูดกันว่า “ชายผู้นี้ต้องเป็นฆาตกรแน่ เพราะถึงแม้ว่าเขาพ้นจากทะเลมาได้ เจ้าแห่งความยุติธรรมก็ยังไม่ยอมให้เขามีชีวิตอยู่” แต่ว่าเปาโลสะบัดมือให้งูตกเข้ากองไฟ และไม่ได้รับอันตรายแต่อย่างใด คนทั้งหลายคิดว่าแผลของท่านจะบวมขึ้นหรือล้มตายทันที แต่หลังจากที่ได้รอเป็นเวลานานก็เห็นว่าท่านไม่เป็นอะไรเลย เขาจึงเปลี่ยนใจพูดว่าท่านเป็นเทพเจ้า

มีที่ดินแห่งหนึ่งใกล้บริเวณนั้น เป็นที่ดินของปูบลิอัสหัวหน้าใหญ่ของเกาะนั้น ท่านได้ต้อนรับพวกเราอย่างเป็นกันเองถึง 3 วัน ขณะนั้นบิดาของปูบลิอัสนอนป่วยอยู่ เป็นไข้และโรคบิด เปาโลเข้าไปหาท่าน และหลังจากที่ได้อธิษฐานแล้ว ก็วางมือทั้งสองบนตัวท่านและรักษาให้หายจากโรค จากนั้นบรรดาคนป่วยที่อยู่บนเกาะก็พากันมารับการรักษาให้หาย 10 ชาวเกาะให้เกียรติแก่พวกเราหลายประการ เมื่อพวกเราพร้อมที่จะแล่นเรือจากไป เขาทั้งหลายจึงนำสิ่งที่จำเป็นสำหรับเรามาให้

เปาโลที่เมืองโรม

11 สามเดือนผ่านไป พวกเราลงเรือซึ่งได้จอดพักในฤดูหนาวที่เกาะนั้น เรือที่มาจากเมืองอเล็กซานเดรียมีรูปปั้นเทพเจ้าแฝด 2 รูป 12 พวกเราจอดแวะที่เมืองไซราคิ้วส์ 3 วัน 13 เราออกเรือจากที่นั่นไปจนถึงเมืองเรยีอูม วันรุ่งขึ้นลมทิศใต้พัดมา พออีกวันต่อมา พวกเราก็ถึงเมืองปูทีโอลิ 14 เราพบพวกพี่น้องที่นั่นซึ่งได้เชิญเราให้อยู่ด้วย 7 วัน แล้วเราก็ไปยังเมืองโรม 15 พวกพี่น้องที่นั่นได้ข่าวว่าพวกเรากำลังจะมา จึงได้เดินทางไปพบถึงตลาดอัปปีอัสและย่านสามโรงเตี๊ยม เมื่อเปาโลเห็นเหล่าพี่น้องแล้วก็ขอบคุณพระเจ้า ท่านก็มีกำลังใจดีขึ้น 16 เมื่อพวกเรามาถึงเมืองโรมแล้ว เปาโลจึงได้รับอนุญาตให้อยู่ตามลำพังได้โดยมีทหารคนหนึ่งคุมไว้

New Thai Version (NTV-BIBLE)

Copyright © 1998, 2012, 2020 by New Thai Version Foundation