Bible in 90 Days
15 เราที่เข้มแข็งควรอดทนต่อความพลั้งพลาดของผู้ที่อ่อนแอและไม่ทำตามใจชอบของเราเอง 2 เราแต่ละคนควรทำให้เพื่อนบ้าน พอใจอันเป็นผลดีแก่เขา เพื่อเสริมสร้างเขาขึ้น 3 เพราะแม้แต่พระคริสต์ก็ไม่ได้ทรงทำสิ่งที่พระองค์เองพอพระทัย แต่ตามที่มีเขียนไว้ว่า “การหมิ่นประมาทของผู้ที่สบประมาทพระองค์ได้ตกอยู่แก่ข้าพระองค์”[a] 4 เพราะทุกสิ่งที่เขียนไว้ในอดีตก็เขียนขึ้นเพื่อสอนเรา เพื่อว่าเราจะได้มีความหวังโดยความทรหดอดทนและการให้กำลังใจจากพระคัมภีร์
5 ขอพระเจ้าผู้ประทานความทรหดอดทนและกำลังใจทรงโปรดให้ท่านทั้งหลายติดตามพระเยซูคริสต์ด้วยความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน 6 เพื่อท่านทั้งหลายจะได้ถวายพระเกียรติสิริแด่พระเจ้าด้วยปากและใจเดียวกัน พระองค์คือพระเจ้าและพระบิดาของพระเยซูคริสต์เจ้าของเรา
7 ฉะนั้นจงยอมรับซึ่งกันและกันเหมือนที่พระคริสต์ทรงยอมรับท่าน เพื่อจะนำการสรรเสริญมาถวายแด่พระเจ้า 8 เพราะข้าพเจ้าขอบอกท่านว่าพระคริสต์ได้กลายเป็นผู้รับใช้ของพวกยิว[b] อันเป็นการสำแดงความสัตย์จริงของพระเจ้า เพื่อยืนยันพระสัญญาที่ทรงให้ไว้กับเหล่าบรรพชนผู้ยิ่งใหญ่ 9 เพื่อว่าคนต่างชาติจะถวายพระเกียรติสิริแด่พระเจ้า เนื่องด้วยพระเมตตาของพระองค์ ตามที่มีเขียนไว้ว่า
“ด้วยเหตุนี้ข้าพระองค์จะสรรเสริญพระองค์ท่ามกลางคนต่างชาติ
จะร้องบทเพลงสรรเสริญแด่พระนามของพระองค์”[c]
10 และกล่าวอีกว่า
“คนต่างชาติทั้งหลายเอ๋ย จงชื่นชมยินดีร่วมกับประชากรของพระองค์เถิด”[d]
11 และอีกตอนหนึ่งที่ว่า
“คนต่างชาติทั้งสิ้นเอ๋ย จงสรรเสริญองค์พระผู้เป็นเจ้าเถิด
ชนชาติทั้งสิ้นเอ๋ย จงร้องเพลงสรรเสริญพระองค์”[e]
12 และอิสยาห์กล่าวด้วยว่า
“รากแห่งเจสซีจะผุดขึ้น
ผู้ซึ่งจะขึ้นมาเพื่อครอบครองนานาประชาชาติ
คนต่างชาติทั้งหลายจะหวังในพระองค์”[f]
13 ขอพระเจ้าแห่งความหวังทรงให้ท่านบริบูรณ์ด้วยความชื่นชมยินดีและสันติสุขทั้งปวงเมื่อท่านวางใจในพระองค์ เพื่อว่าท่านจะเปี่ยมล้นด้วยความหวังโดยฤทธิ์อำนาจของพระวิญญาณบริสุทธิ์
เปาโลผู้รับใช้มายังคนต่างชาติ
14 พี่น้องทั้งหลาย ข้าพเจ้าเองแน่ใจว่าพวกท่านเองบริบูรณ์ด้วยความดี เพียบพร้อมด้วยความรู้ และสามารถสั่งสอนกันและกันได้ 15 ที่ข้าพเจ้ากล้าเขียนบางเรื่องถึงท่านราวกับว่าเพื่อจะเตือนท่านในเรื่องเหล่านั้นอีกครั้ง ก็เพราะพระคุณที่พระเจ้าได้ประทานแก่ข้าพเจ้า 16 ให้เป็นผู้รับใช้ของพระเยซูคริสต์มายังคนต่างชาติ ทำหน้าที่ปุโรหิตประกาศข่าวประเสริฐของพระเจ้า เพื่อว่าคนต่างชาติจะได้กลายเป็นเครื่องบูชาที่พระเจ้าทรงยอมรับ ซึ่งพระวิญญาณบริสุทธิ์ได้ทรงชำระให้บริสุทธิ์แล้ว
17 ฉะนั้นในพระเยซูคริสต์ ข้าพเจ้าภูมิใจในสิ่งต่างๆ ที่ได้ทำให้แก่พระเจ้า 18 ข้าพเจ้าไม่กล้ากล่าวถึงสิ่งใดนอกเหนือจากสิ่งที่พระคริสต์ทรงกระทำผ่านทางข้าพเจ้า ในการนำคนต่างชาติมาเชื่อฟังพระเจ้าด้วยสิ่งที่ข้าพเจ้าได้พูดและทำ 19 คือด้วยฤทธิ์อำนาจแห่งหมายสำคัญและการอัศจรรย์ต่างๆ โดยทางฤทธิ์อำนาจของพระวิญญาณบริสุทธิ์ ข้าพเจ้าจึงได้ประกาศข่าวประเสริฐ ของพระคริสต์อย่างครบถ้วนในทุกที่ตั้งแต่กรุงเยรูซาเล็มไปทั่วจนจดเมืองอิลลีริคุม 20 ข้าพเจ้ามุ่งมาดปรารถนาเสมอมาว่าจะประกาศข่าวประเสริฐในที่ซึ่งไม่มีใครรู้จักพระคริสต์ เพื่อว่าข้าพเจ้าจะได้ไม่ก่อขึ้นบนฐานรากที่คนอื่นวางไว้ 21 ตามที่มีเขียนไว้ว่า
“ผู้ที่ไม่เคยมีใครบอกเรื่องพระองค์จะได้เห็น
และผู้ที่ไม่เคยได้ยินได้ฟังมาก่อนจะเข้าใจ”[g]
22 นี่คือเหตุที่ขัดขวางข้าพเจ้าอยู่เสมอ ทำให้ข้าพเจ้าไม่ได้มาหาพวกท่าน
เปาโลวางแผนจะไปกรุงโรม
23 แต่บัดนี้ไม่มีที่ใดเหลือให้ข้าพเจ้าทำงานในภูมิภาคเหล่านี้แล้ว และเนื่องจากข้าพเจ้าปรารถนาที่จะมาพบพวกท่านหลายปีแล้ว 24 ข้าพเจ้าจึงวางแผนจะมาพบท่านตอนไปประเทศสเปน ข้าพเจ้าหวังว่าจะได้มาเยี่ยมเยียนท่านขณะเดินทางผ่านไป และหวังจะให้ท่านช่วยเหลือข้าพเจ้าในการเดินทางไปที่นั่น หลังจากได้สังสรรค์อยู่กับพวกท่านสักระยะหนึ่ง 25 แต่ขณะนี้ข้าพเจ้ากำลังเดินทางไปกรุงเยรูซาเล็มเพื่อช่วยเหลือประชากรของพระเจ้าที่นั่น 26 เพราะพี่น้องในแคว้นมาซิโดเนียและแคว้นอาคายายินดีที่จะบริจาคให้ผู้ยากไร้ในหมู่ประชากรของพระเจ้าที่กรุงเยรูซาเล็ม 27 พวกเขายินดีที่จะทำเช่นนั้น และอันที่จริงพวกเขาก็เป็นหนี้พี่น้อง เหล่านั้นด้วย เพราะถ้าคนต่างชาติมีส่วนร่วมในพระพรฝ่ายจิตวิญญาณของชาวยิว พวกเขาก็เป็นหนี้พี่น้องชาวยิว เขาควรที่จะแบ่งปันพระพรฝ่ายวัตถุให้พี่น้องเหล่านั้น 28 ดังนั้นหลังจากเสร็จภารกิจนี้ และดูแลจนแน่ใจว่าพวกพี่น้องได้รับผลนี้เรียบร้อยแล้ว ข้าพเจ้าก็จะไปประเทศสเปนและแวะเยี่ยมพวกท่านระหว่างทาง 29 ข้าพเจ้ารู้ว่าเมื่อมาหาท่าน ข้าพเจ้าจะมาพร้อมด้วยพระพรอันเต็มบริบูรณ์ของพระคริสต์
30 พี่น้องทั้งหลาย โดยองค์พระเยซูคริสต์เจ้าของเราและโดยความรักจากพระวิญญาณข้าพเจ้าขอให้พวกท่านร่วมในการดิ้นรนต่อสู้ของข้าพเจ้าด้วยการอธิษฐานต่อพระเจ้าเพื่อข้าพเจ้า 31 ขออธิษฐานให้ข้าพเจ้าได้รับการช่วยเหลือให้พ้นจากผู้ไม่เชื่อทั้งหลายในแคว้นยูเดีย และขอให้ประชากรของพระเจ้าในกรุงเยรูซาเล็มยอมรับความช่วยเหลือของข้าพเจ้า 32 เพื่อว่าโดยพระประสงค์ของพระเจ้า ข้าพเจ้าจะได้มาหาพวกท่านด้วยความชื่นชมยินดีและได้รับความชื่นใจร่วมกันกับพวกท่าน 33 ขอพระเจ้าแห่งสันติสุขสถิตกับท่านทั้งหลายเถิด อาเมน
คำทักทายส่วนตัว
16 ข้าพเจ้าขอฝากเฟบีน้องสาวของเราซึ่งเป็นผู้รับใช้[h]ของคริสตจักรในเมืองเคนเครีย 2 ข้าพเจ้าขอให้ท่านรับนางไว้ในองค์พระผู้เป็นเจ้าอย่างที่สมควรแก่ประชากรของพระเจ้า และช่วยเหลือนางตามความจำเป็น เพราะนางได้ช่วยเหลือคนมากมายรวมทั้งข้าพเจ้าด้วย
3 ขอฝากความคิดถึงมายังปริสสิลลา[i]กับอาควิลลาเพื่อนร่วมงานของข้าพเจ้าในพระเยซูคริสต์ 4 ทั้งสองเสี่ยงชีวิตเพื่อข้าพเจ้า ไม่เพียงข้าพเจ้าเท่านั้น แต่คริสตจักรทั้งปวงของคนต่างชาติก็สำนึกในบุญคุณของพวกเขาด้วย
5 ขอฝากความคิดถึงมายังคริสตจักรซึ่งมาประชุมกันที่บ้านของทั้งสองด้วย
ฝากความคิดถึงมายังเอเปเนทัสเพื่อนที่รักของข้าพเจ้า ซึ่งเป็นคนแรกในแคว้นเอเชียที่กลับใจมาเชื่อในพระคริสต์
6 ขอฝากความคิดถึงมายังมารีย์ผู้ตรากตรำทำงานเพื่อท่านทั้งหลาย
7 ขอฝากความคิดถึงมายังอันโดรนิคัสกับยูนีอัสญาติของข้าพเจ้าซึ่งเคยติดคุกกับข้าพเจ้า พวกเขาทั้งสองโดดเด่นในหมู่อัครทูต และมาเชื่อในพระคริสต์ก่อนข้าพเจ้า
8 ขอฝากความคิดถึงมายังอัมพลีอาทัสผู้เป็นที่รักของข้าพเจ้าในองค์พระผู้เป็นเจ้า
9 ขอฝากความคิดถึงมายังอูรบานัส เพื่อนร่วมงานของเราในพระคริสต์ และสทาคิสเพื่อนที่รักของข้าพเจ้า
10 ขอฝากความคิดถึงมายังอาเป็ลเลสผู้ถูกทดสอบและได้รับการรับรองแล้วในพระคริสต์
ขอฝากความคิดถึงมายังบรรดาผู้ที่อยู่ในครัวเรือนของอาริสโทบูลลัส
11 ขอฝากความคิดถึงมายังเฮโรดิโอนญาติของข้าพเจ้า
ขอฝากความคิดถึงมายังครัวเรือนของนารซิสซัสผู้อยู่ในองค์พระผู้เป็นเจ้า
12 ขอฝากความคิดถึงมายังตรีเฟนาและตรีโฟสา สตรีผู้ตรากตรำทำงานในองค์พระผู้เป็นเจ้า
ขอฝากความคิดถึงมายังเปอร์ซิสเพื่อนที่รักของข้าพเจ้า สตรีอีกท่านผู้ตรากตรำทำงานในองค์พระผู้เป็นเจ้า
13 ขอฝากความคิดถึงมายังรูฟัสผู้ที่ทรงเลือกไว้ในองค์พระผู้เป็นเจ้า และมารดาของเขาผู้ได้เป็นมารดาของข้าพเจ้าด้วย
14 ขอฝากความคิดถึงมายังอาสินครีทัส ฟเลโกน เฮอร์เมส ปัทโรบัส เฮอร์มาส และบรรดาพี่น้องที่อยู่กับพวกเขา
15 ขอฝากความคิดถึงมายังฟีโลโลกัส ยูเลีย เนเรอัสกับน้องสาวของเขา และโอลิมปัสกับประชากรของพระเจ้าทุกคนที่อยู่กับพวกเขา
16 จงทักทายกันด้วยการจุมพิตอันบริสุทธิ์
คริสตจักรทั้งปวงของพระคริสต์ขอฝากความคิดถึงมายังท่านทั้งหลาย
17 พี่น้องทั้งหลาย ข้าพเจ้าขอให้ท่านระวังบรรดาผู้ที่เป็นเหตุให้เกิดความแตกแยกและเป็นเหตุให้พวกท่านสะดุด ซึ่งขัดกับหลักคำสอนที่ท่านเรียนรู้มา จงหลีกห่างจากคนพวกนั้น 18 เพราะคนเช่นนี้ไม่ได้รับใช้องค์พระคริสต์เจ้าของเรา แต่พวกเขาทำเพื่อปากท้องของตนเอง เขาล่อลวงคนซื่อด้วยวาจารื่นหูและคำป้อยอ 19 คนทั้งปวงได้ยินถึงความเชื่อฟังของท่านทั้งหลายแล้ว ข้าพเจ้าจึงชื่นชม ยินดีในพวกท่านอย่างยิ่ง แต่ข้าพเจ้าก็อยากให้ท่านฉลาดในทางที่ดีและไม่ประสีประสาในทางชั่ว
20 ในไม่ช้าพระเจ้าแห่งสันติสุขจะบดขยี้ซาตานไว้ใต้เท้าของท่าน
ขอพระคุณของพระเยซูเจ้าของเราอยู่กับท่านทั้งหลายเถิด
21 ทิโมธีเพื่อนร่วมงานของข้าพเจ้ากับลูสิอัส ยาโสนและโสสิปาเทอร์ ญาติๆ ของข้าพเจ้าขอฝากความคิดถึงมายังท่านทั้งหลายด้วย
22 ข้าพเจ้าเทอร์ทิอัสผู้เขียนจดหมายนี้ตามคำบอก ขอฝากความคิดถึงมายังท่านในองค์พระผู้เป็นเจ้า
23 กายอัสผู้มีน้ำใจไมตรีรับรองข้าพเจ้ากับทั้งคริสตจักรที่นี่ ขอฝากความคิดถึงมายังท่าน
เอรัสทัสผู้อำนวยการฝ่ายกิจการสาธารณะของเมืองนี้ และควารทัสพี่น้องของเรา ขอฝากความคิดถึงมายังท่าน[j]
25 บัดนี้แด่พระองค์ผู้ทรงสามารถให้ท่านตั้งมั่นโดยข่าวประเสริฐของข้าพเจ้าและการประกาศเรื่องพระเยซูคริสต์ตามการทรงสำแดงข้อล้ำลึก ซึ่งได้ทรงปิดบังไว้ตั้งแต่ก่อนจุดเริ่มต้นของเวลา 26 แต่บัดนี้ได้ทรงสำแดงและเปิดเผยให้รู้ทั่วกันผ่านทางข้อเขียนต่างๆ ของผู้เผยพระวจนะตามพระบัญชาของพระเจ้าองค์นิรันดร์ เพื่อปวงประชาชาติจะได้เชื่อวางใจและเชื่อฟังพระองค์ 27 คือแด่พระเจ้าผู้ทรงพระปัญญาแต่ผู้เดียวโดยทางพระเยซูคริสต์ ขอพระเกียรติสิริมีแด่พระองค์เป็นนิตย์! อาเมน
1 จดหมายฉบับนี้จากข้าพเจ้าเปาโลผู้ซึ่งได้รับการทรงเรียกให้เป็นอัครทูตของพระเยซูคริสต์ตามพระประสงค์ของพระเจ้า กับโสสเธเนสพี่น้องของเรา
2 ถึงคริสตจักรของพระเจ้าที่เมืองโครินธ์ผู้ได้รับการทรงชำระให้บริสุทธิ์ในพระเยซูคริสต์ และได้รับการทรงเรียกให้เป็นประชากรของพระเจ้าด้วยกันกับคนทั้งปวงทุกหนทุกแห่งที่ร้องออกพระนามองค์พระเยซูคริสต์เจ้า ผู้ทรงเป็นองค์พระผู้เป็นเจ้าของพวกเขาและของพวกเรา
3 ขอพระคุณและสันติสุขจากพระเจ้าพระบิดาของเราและจากองค์พระเยซูคริสต์เจ้าจงมีแก่ท่านทั้งหลายเถิด
ขอบพระคุณพระเจ้า
4 ข้าพเจ้าขอบพระคุณพระเจ้าสำหรับพวกท่านเสมอ เนื่องด้วยพระคุณของพระองค์ซึ่งประทานแก่ท่านในพระเยซูคริสต์ 5 เพราะในพระองค์นั้นท่านทั้งหลายได้รับความจำเริญขึ้นในทุกด้าน คือในวาจาทั้งสิ้นและในความรู้ทุกอย่างของท่าน 6 เพราะว่าคำพยานของพวกเราเกี่ยวกับพระคริสต์ได้รับการยืนยันในพวกท่าน 7 ฉะนั้นท่านจึงไม่ขาดของประทานใดๆ ในด้านจิตวิญญาณเลยขณะที่ท่านจดจ่อรอคอยการปรากฏขององค์พระเยซูคริสต์เจ้าของเรา 8 พระองค์จะทรงให้ท่านหนักแน่นมั่นคงจนถึงวันสุดท้าย เพื่อท่านจะปราศจากที่ติในวันแห่งองค์พระเยซูคริสต์เจ้าของเรา 9 พระเจ้าผู้ทรงเรียกท่านให้เข้าร่วมในสามัคคีธรรมกับพระบุตรของพระองค์ คือพระเยซูคริสต์องค์พระผู้เป็นเจ้าของเรานั้นทรงสัตย์ซื่อ
ความแตกแยกในคริสตจักร
10 พี่น้องทั้งหลาย ข้าพเจ้าขอร้องท่านในพระนามขององค์พระเยซูคริสต์เจ้าของพวกเราว่า ให้ท่านทุกคนปรองดองกันเพื่อจะไม่มีความแตกแยกใดๆ ในหมู่พวกท่าน และเพื่อท่านจะเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันอย่างสมบูรณ์ทั้งในความคิดและจิตใจ 11 พี่น้องทั้งหลายของข้าพเจ้า มีบางคนในครัวเรือนของนางคะโลเอบอกข้าพเจ้าว่ามีการโต้เถียงกันหลายครั้งในหมู่พวกท่าน 12 ข้าพเจ้าหมายความว่าคนหนึ่งในพวกท่านกล่าวว่า “ข้าพเจ้าติดตามเปาโล” อีกคนหนึ่งว่า “ข้าพเจ้าติดตามอปอลโล” อีกคนหนึ่งว่า “ข้าพเจ้าติดตามเคฟาส[k]” และอีกคนหนึ่งว่า “ข้าพเจ้าติดตามพระคริสต์”
13 พระคริสต์ถูกแบ่งแยกแล้วหรือ? เปาโลถูกตรึงตายบนไม้กางเขนเพื่อพวกท่านหรือ? ท่านได้รับบัพติศมาเข้าใน[l]นามเปาโลหรือ? 14 ขอบพระคุณพระเจ้าที่ข้าพเจ้าไม่ได้ให้บัพติศมาแก่ใครในพวกท่าน ยกเว้นคริสปัสกับกายอัส 15 จึงไม่มีใครพูดได้ว่าเขาได้รับบัพติศมาเข้าในนามของข้าพเจ้า 16 (ใช่ ข้าพเจ้าให้บัพติศมาแก่คนในครอบครัวของสเทฟานัสด้วย นอกเหนือจากนั้นข้าพเจ้าจำไม่ได้ว่าได้ให้บัพติศมาแก่ใครอีก) 17 เพราะพระคริสต์ไม่ได้ส่งข้าพเจ้ามาเพื่อให้บัพติศมา แต่เพื่อให้ประกาศข่าวประเสริฐ ไม่ใช่ด้วยวาทะคมคายตามสติปัญญาของมนุษย์เพราะเกรงว่าไม้กางเขนของพระคริสต์จะหมดฤทธิ์อำนาจ
พระคริสต์คือพระปัญญาและฤทธิ์อำนาจของพระเจ้า
18 คนที่กำลังจะพินาศก็เห็นว่าเรื่องราวของไม้กางเขนเป็นเรื่องโง่ แต่พวกเราที่กำลังจะรอดเห็นว่าเป็นฤทธิ์อำนาจของพระเจ้า 19 เพราะมีคำเขียนไว้ว่า
“เราจะทำลายสติปัญญาของคนมีปัญญา
เราจะทำให้ความฉลาดของคนฉลาดไร้ผล”[m]
20 ไหนล่ะปราชญ์? ไหนล่ะผู้รู้? นักปรัชญาของยุคนี้อยู่ที่ไหนกัน? พระเจ้าได้ทรงกระทำให้สติปัญญาของโลกโง่เขลาไปไม่ใช่หรือ? 21 โดยพระปัญญาของพระเจ้า โลกไม่อาจรู้จักพระเจ้าด้วยสติปัญญาของตน ดังนั้นพระเจ้าจึงพอพระทัยที่จะช่วยบรรดาผู้เชื่อให้รอดโดยคำเทศนาเรื่องโง่ๆ 22 พวกยิวเรียกร้องหมายสำคัญ และพวกกรีกมองหาสติปัญญา 23 แต่เราเทศนาเรื่องพระคริสต์ผู้ทรงถูกตรึงตายบนไม้กางเขน ซึ่งเป็นหินสะดุดสำหรับพวกยิวและเป็นเรื่องโง่ๆ สำหรับพวกต่างชาติ 24 แต่สำหรับผู้ที่พระเจ้าทรงเรียกทั้งพวกยิวและพวกกรีก พระคริสต์คือฤทธิ์อำนาจและพระปัญญาของพระเจ้า 25 เพราะความเขลาของพระเจ้าก็ยังฉลาดกว่าสติปัญญาของมนุษย์ และความอ่อนแอของพระเจ้าก็ยังเข้มแข็งกว่ากำลังของมนุษย์
26 พี่น้องทั้งหลาย จงคิดดูว่าท่านเคยเป็นเช่นไรเมื่อทรงเรียกท่าน ในพวกท่านมีไม่กี่คนที่ฉลาดตามมาตรฐานของมนุษย์ มีไม่กี่คนที่มีอิทธิพล มีไม่กี่คนที่มีชาติกำเนิดสูงส่ง 27 แต่พระเจ้าทรงเลือกสิ่งที่โลกเห็นว่าโง่เขลาเพื่อให้คนฉลาดอับอาย ทรงเลือกสิ่งที่โลกเห็นว่าอ่อนแอเพื่อให้คนแข็งแรงอับอาย 28 ทรงเลือกสิ่งที่ต่ำต้อยของโลก สิ่งที่เขาดูหมิ่นและสิ่งที่ไม่สำคัญเพื่อล้มล้างสิ่งที่ถือว่าสำคัญ 29 เพื่อว่าจะไม่มีใครโอ้อวดได้ต่อหน้าพระองค์ 30 เพราะพระองค์ ท่านจึงอยู่ในพระเยซูคริสต์ ผู้ได้ทรงเป็นพระปัญญาจากพระเจ้าเพื่อเรา นั่นคือทรงเป็นความชอบธรรม ความบริสุทธิ์และการไถ่ของเรา 31 ฉะนั้นจึงเป็นไปตามที่มีเขียนไว้ว่า “ผู้ที่อวด จงอวดองค์พระผู้เป็นเจ้า”[n]
2 พี่น้องทั้งหลาย เมื่อข้าพเจ้ามาหาท่าน ข้าพเจ้าไม่ได้มาด้วยคำพูดสละสลวยหรือสติปัญญาเลอเลิศ ขณะที่ข้าพเจ้าประกาศคำพยานเกี่ยวกับพระเจ้า[o]ให้แก่ท่าน 2 เพราะข้าพเจ้าตั้งใจไว้ว่าขณะอยู่กับท่าน ข้าพเจ้าจะไม่รู้อะไรอื่นเลยนอกจากเรื่องพระเยซูคริสต์และการที่พระองค์ทรงถูกตรึงตายบนไม้กางเขน 3 ข้าพเจ้ามาหาท่านด้วยความอ่อนแอกับความกลัวจนตัวสั่นอย่างมาก 4 คำพูดและคำเทศนาของข้าพเจ้าไม่ใช่ถ้อยคำโน้มน้าวใจด้วยสติปัญญา แต่เป็นการสำแดงถึงฤทธิ์อำนาจของพระวิญญาณ 5 เพื่อว่าความเชื่อของท่านจะไม่อาศัยสติปัญญาของมนุษย์ แต่พึ่งฤทธิ์อำนาจของพระเจ้า
สติปัญญาจากพระวิญญาณ
6 อย่างไรก็ดีพวกเรากล่าวถ้อยคำแห่งสติปัญญากับบรรดาผู้ที่เป็นผู้ใหญ่แล้ว แต่ไม่ใช่สติปัญญาของยุคนี้หรือสติปัญญาของผู้ครอบครองของยุคนี้ผู้ซึ่งกำลังจะเสื่อมสูญไป 7 แต่พูดถึงพระปัญญาอันล้ำลึกของพระเจ้า พระปัญญาซึ่งทรงปิดบังและซึ่งพระเจ้าทรงกำหนดไว้เพื่อศักดิ์ศรีของเราตั้งแต่ก่อนเริ่มสร้างโลก 8 ไม่มีผู้ครอบครองคนใดของยุคนี้ที่เข้าใจพระปัญญา เพราะหากเข้าใจ ย่อมจะไม่ตรึงองค์พระผู้เป็นเจ้าผู้ทรงพระเกียรติสิริไว้ที่ไม้กางเขน 9 ตามที่มีเขียนไว้ว่า
“ไม่เคยมีใครได้เห็น
ไม่เคยมีใครได้ยิน
ไม่เคยมีจิตใจใดหยั่งรู้
สิ่งที่พระเจ้าทรงเตรียมไว้ให้บรรดาผู้ที่รักพระองค์”[p]
10 แต่พระเจ้าได้ทรงเปิดเผยสิ่งนั้นแก่เราโดยพระวิญญาณของพระองค์
พระวิญญาณทรงสืบทราบทุกสิ่งแม้แต่สิ่งล้ำลึกของพระเจ้า 11 ความคิดของมนุษย์ใครไหนเล่าจะรู้เว้นแต่จิตวิญญาณของคนนั้นเอง? เช่นเดียวกันไม่มีใครหยั่งรู้พระดำริของพระเจ้าได้นอกจากพระวิญญาณของพระเจ้า 12 เราไม่ได้รับวิญญาณของโลก แต่รับพระวิญญาณซึ่งมาจากพระเจ้า เพื่อเราจะเข้าใจสิ่งที่พระเจ้าประทานแก่เราอย่างไม่จำกัด 13 นี่คือสิ่งที่พวกเราพูด ไม่ใช่ด้วยถ้อยคำซึ่งสติปัญญาของมนุษย์สอนไว้ แต่ด้วยถ้อยคำซึ่งพระวิญญาณทรงสอน เป็นการสำแดงความจริงด้านจิตวิญญาณด้วยถ้อยคำฝ่ายจิตวิญญาณ[q] 14 ผู้ปราศจากพระวิญญาณไม่อาจรับสิ่งที่มาจากพระวิญญาณของพระเจ้าเพราะเห็นเป็นเรื่องโง่เขลา และเขาไม่สามารถเข้าใจสิ่งเหล่านั้นเพราะต้องอาศัยการแยกแยะฝ่ายจิตวิญญาณจึงจะเข้าใจสิ่งเหล่านั้นได้ 15 ผู้ที่อยู่ฝ่ายจิตวิญญาณวินิจฉัยทุกสิ่งได้ แต่ตัวเขาเองไม่ตกอยู่ในการวินิจฉัยของใคร
16 “เพราะใครเล่าจะหยั่งรู้พระทัยขององค์พระผู้เป็นเจ้า
ที่จะสั่งสอนพระองค์ได้?”[r]
แต่เรามีพระทัยของพระคริสต์
เรื่องความแตกแยกในคริสตจักร
3 พี่น้องทั้งหลาย ข้าพเจ้าไม่อาจพูดกับท่านแบบผู้ที่อยู่ฝ่ายจิตวิญญาณ แต่ต้องพูดกับท่านแบบผู้ที่อยู่ฝ่ายโลก คือเป็นเพียงทารกในพระคริสต์ 2 ข้าพเจ้าได้ป้อนนมให้ท่าน ไม่ใช่อาหารแข็ง เพราะท่านยังไม่พร้อมจะรับ อันที่จริงจนเดี๋ยวนี้ท่านก็ยังไม่พร้อม 3 ท่านยังอยู่ฝ่ายโลก เพราะยังมีการอิจฉาริษยาและการทุ่มเถียงกันในหมู่พวกท่าน เช่นนี้แล้วท่านก็อยู่ฝ่ายโลกไม่ใช่หรือ? ท่านก็ประพฤติตัวเหมือนคนธรรมดาไม่ใช่หรือ? 4 ในเมื่อคนหนึ่งว่า “ข้าพเจ้าติดตามเปาโล” และอีกคนหนึ่งว่า “ข้าพเจ้าติดตามอปอลโล” พวกท่านก็เป็นเพียงคนธรรมดาไม่ใช่หรือ?
5 อปอลโลเป็นใคร? และเปาโลเป็นใครกัน? ก็เป็นเพียงผู้รับใช้ที่นำท่านมาเชื่อตามที่องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงมอบหมายหน้าที่ให้แต่ละคน 6 ข้าพเจ้าปลูก อปอลโลรดน้ำ แต่พระเจ้าทรงให้เติบโต 7 ดังนั้นไม่ว่าคนปลูกหรือคนรดน้ำก็ไม่สำคัญอะไร แต่พระเจ้าผู้ทรงให้เติบโตต่างหากที่สำคัญ 8 คนปลูกและคนรดน้ำมีเป้าหมายเดียวกัน และต่างก็ได้รับบำเหน็จตามการงานของตน 9 ด้วยว่าเราเป็นผู้ร่วมงานกับพระเจ้า ท่านทั้งหลายเป็นไร่นาของพระเจ้า เป็นตึกของพระเจ้า
10 โดยพระคุณซึ่งพระเจ้าประทานแก่ข้าพเจ้า ข้าพเจ้าได้วางฐานรากอย่างช่างผู้ชำนาญและคนอื่นมาก่อขึ้นบนรากนั้น กระนั้นแต่ละคนควรระวังว่าตนก่อขึ้นอย่างไร 11 เพราะใครจะมาวางฐานรากอื่นอีกไม่ได้ นอกจากที่ได้วางไว้แล้วคือพระเยซูคริสต์ 12 ถ้าใครจะใช้ทองคำ เงิน เพชรพลอย ไม้ หญ้าแห้ง หรือฟางก่อขึ้นบนฐานรากนั้น 13 ผลงานของเขาจะถูกแสดงให้เห็นว่าเป็นอย่างไร เพราะวันนั้นสิ่งนี้จะถูกทำให้เป็นที่ประจักษ์ ผลงานของเขาจะถูกเปิดเผยด้วยไฟ ไฟจะทดสอบคุณภาพผลงานของแต่ละคน 14 ถ้าสิ่งที่เขาก่อขึ้นคงอยู่ เขาก็จะได้รับบำเหน็จของตน 15 ถ้าสิ่งที่เขาก่อขึ้นถูกเผาวอด เขาก็จะสูญสิ้น ตัวเขาเองจะรอด แต่ก็เหมือนคนที่รอดจากไฟเท่านั้น
16 ท่านไม่รู้หรือว่าท่านเองเป็นวิหารของพระเจ้าและพระวิญญาณของพระเจ้าสถิตภายในท่าน? 17 ผู้ใดทำลายวิหารของพระเจ้า พระเจ้าจะทรงทำลายผู้นั้นเพราะวิหารของพระเจ้าบริสุทธิ์ศักดิ์สิทธิ์ และท่านคือวิหารนั้น
18 อย่าหลอกตัวเอง หากใครในพวกท่านคิดว่าตนฉลาดตามมาตรฐานของยุคนี้ เขาควรจะเป็น “คนโง่” เพื่อจะได้เป็นคนฉลาด 19 เพราะสติปัญญาของโลกนี้เป็นความโง่เขลาในสายพระเนตรพระเจ้า ตามที่มีเขียนไว้ว่า “พระองค์ทรงจับคนฉลาดด้วยเล่ห์เหลี่ยมของเขาเอง”[s] 20 และมีเขียนอีกว่า “องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงทราบว่าความคิดของคนฉลาดนั้นเปล่าประโยชน์”[t] 21 ดังนั้นแล้วอย่ายกมนุษย์มาโอ้อวดอีกเลย! สิ่งสารพัดล้วนเป็นของพวกท่าน 22 ไม่ว่าเปาโล หรืออปอลโล หรือเคฟาส[u] หรือโลก หรือชีวิต หรือความตาย หรือปัจจุบัน หรืออนาคต ทั้งหมดล้วนเป็นของพวกท่าน 23 และพวกท่านเป็นของพระคริสต์ และพระคริสต์ทรงเป็นของพระเจ้า
อัครทูตของพระคริสต์
4 ดังนั้นแล้วคนทั้งหลายจึงควรถือว่าพวกเราเป็นผู้รับใช้ของพระคริสต์ และควรถือว่าพวกเราเป็นผู้ที่ได้รับมอบหมายสิ่งล้ำลึกของพระเจ้า 2 ผู้ได้รับมอบหมายนั้นต้องเป็นคนที่พิสูจน์แล้วว่าสัตย์ซื่อ 3 ข้าพเจ้าไม่ค่อยใส่ใจหากถูกท่านหรือใครคนไหนมาตัดสิน อันที่จริงข้าพเจ้าไม่ตัดสินตัวเองด้วยซ้ำ 4 จิตสำนึกของข้าพเจ้าไม่ได้ฟ้องว่าข้าพเจ้าทำผิด แต่นั่นไม่ทำให้ข้าพเจ้าไร้ผิด องค์พระผู้เป็นเจ้าจะทรงเป็นผู้ตัดสินข้าพเจ้า 5 ฉะนั้นอย่าด่วนตัดสินก่อนกำหนด จงรอคอยจนกว่าองค์พระผู้เป็นเจ้าจะเสด็จมา พระองค์จะทรงนำสิ่งที่ซ่อนเร้นอยู่ในความมืดมาสู่ความสว่างและจะเผยแรงจูงใจทั้งหลายซึ่งอยู่ในใจของคนทั้งปวง เมื่อนั้นแต่ละคนจะได้รับคำชมเชยจากพระเจ้า
6 พี่น้องทั้งหลาย ที่ข้าพเจ้ายกเรื่องตัวเองกับอปอลโลมาพูดก็เพื่อประโยชน์ของท่าน เพื่อท่านจะได้เรียนรู้จากพวกเราถึงความหมายของคำกล่าวที่ว่า “อย่าไปไกลกว่าที่เขียนไว้” แล้วท่านจะไม่ยกคนนั้นมาข่มคนนี้ 7 เพราะใครเล่าทำให้ท่านผิดแผกจากคนอื่น? สิ่งที่ท่านมีอยู่นั้นมีอะไรบ้างที่ท่านไม่ได้รับมา? และถ้าท่านได้รับสิ่งเหล่านั้นมาจริงแล้ว ทำไมจึงพูดโอ้อวดราวกับว่าท่านไม่ได้รับมา?
8 ท่านมีทุกสิ่งที่ท่านต้องการแล้ว! ท่านมั่งมีแล้ว! ท่านเป็นราชาแล้วโดยที่ไม่มีพวกเรา! ข้าพเจ้าปรารถนาให้ท่านเป็นราชาจริงๆ เพื่อพวกเราจะได้เป็นราชาร่วมกับท่าน! 9 เพราะข้าพเจ้าเห็นว่าพระเจ้าทรงให้เราเหล่าอัครทูตปรากฏอยู่ท้ายขบวน เหมือนผู้ที่ถูกลงโทษให้ถึงตายในสังเวียน ตกเป็นเป้าสายตาของทั้งจักรวาลทูตสวรรค์และมนุษย์ 10 พวกเราเป็นคนโง่เขลาเพื่อเห็นแก่พระคริสต์ แต่ท่านฉลาดนักในพระคริสต์! เราอ่อนแอ แต่ท่านเข้มแข็ง! ท่านทรงเกียรติ เราเสื่อมศักดิ์ศรี! 11 จวบจนบัดนี้เราหิวโหยและกระหาย พันกายด้วยผ้าขี้ริ้ว ถูกทารุณ เราไร้ที่อยู่เป็นหลักแหล่ง 12 เราตรากตรำทำงานด้วยมือของเราเอง เมื่อถูกแช่งด่าเราก็ให้พร เมื่อถูกข่มเหงเราก็ทนเอา 13 เมื่อถูกใส่ร้ายป้ายสีเราก็ชี้แจงอย่างอ่อนโยน ตราบจนวินาทีนี้เราเป็นเหมือนกากเดนของพิภพ เป็นขยะของโลก
14 ที่ข้าพเจ้าเขียนมาเช่นนี้ไม่ใช่เพื่อให้ท่านอับอาย แต่เพื่อเตือนท่านในฐานะลูกที่รักของข้าพเจ้า 15 ถึงแม้ว่าท่านมีผู้ปกครองดูแลนับหมื่นในพระคริสต์ แต่ท่านมีบิดาคนเดียว เพราะในพระเยซูคริสต์ข้าพเจ้าได้เป็นบิดาของท่านโดยทางข่าวประเสริฐ 16 ฉะนั้นข้าพเจ้าขอให้ท่านเลียนแบบข้าพเจ้า 17 ด้วยเหตุนี้ข้าพเจ้ากำลังจะส่งทิโมธีลูกที่รักของข้าพเจ้าซึ่งสัตย์ซื่อในองค์พระผู้เป็นเจ้าให้มาหาท่าน เพื่อเตือนท่านให้ระลึกถึงวิถีชีวิตของข้าพเจ้าในพระเยซูคริสต์ อันสอดคล้องกับทุกสิ่งที่ข้าพเจ้าสอนทุกหนทุกแห่งในทุกคริสตจักร
18 บางคนในพวกท่านได้หยิ่งผยองขึ้นมาราวกับข้าพเจ้าจะไม่มาหาท่าน 19 แต่ถ้าเป็นพระประสงค์ของพระเจ้า ข้าพเจ้าจะมาหาท่านในไม่ช้านี้แล้ว เมื่อนั้นข้าพเจ้าจะได้รู้ไม่เพียงสิ่งที่คนยโสพวกนั้นพูด แต่ฤทธิ์อำนาจที่เขามีด้วย 20 เพราะอาณาจักรของพระเจ้าไม่ใช่เรื่องของคำพูด แต่เป็นเรื่องฤทธิ์อำนาจ 21 ท่านชอบแบบไหนมากกว่า? จะให้ข้าพเจ้าถือแส้มาหาท่าน หรือมาด้วยความรักและด้วยใจอ่อนโยน?
ขับพี่น้องที่ผิดศีลธรรมออก!
5 มีข่าวแจ้งว่าในพวกท่านมีการผิดศีลธรรมทางเพศ ชนิดที่ยังไม่เคยเกิดขึ้นแม้แต่ในหมู่คนต่างศาสนา ก็คือคนหนึ่งเอาภรรยาของบิดามาเป็นภรรยาของตน 2 และพวกท่านยังผยอง! ท่านน่าจะโศกเศร้าเสียใจและเลิกคบคนที่ทำเช่นนั้นไม่ใช่หรือ? 3 แม้กายของข้าพเจ้าไม่ได้อยู่ด้วย แต่ใจของข้าพเจ้าก็อยู่กับท่าน และข้าพเจ้าได้ตัดสินคนที่ทำอย่างนั้นเสมือนว่าข้าพเจ้าได้อยู่ด้วย 4 เมื่อท่านประชุมกันในพระนามพระเยซูเจ้าของเราและใจของข้าพเจ้าอยู่ร่วมกับท่านด้วยพร้อมทั้งฤทธิ์อำนาจของพระเยซูเจ้าของเรา 5 จงมอบคนนั้นไว้กับซาตาน เพื่อวิสัยบาปของเขา[v]จะถูกทำลายและจิตวิญญาณของเขาจะรอดได้ในวันแห่งองค์พระผู้เป็นเจ้า
6 ที่ท่านโอ้อวดนั้นก็ไม่ดีเลย ท่านไม่รู้หรือว่าเชื้อเพียงนิดเดียวทำให้แป้งทั้งก้อนฟูขึ้น? 7 จงชำระเชื้อเก่าเพื่อท่านจะได้เป็นแป้งดิบก้อนใหม่ไร้เชื้ออย่างที่ท่านเป็นอยู่จริงๆ เพราะพระคริสต์ผู้ทรงเป็นลูกแกะปัสกาของเราถูกถวายบูชาแล้ว 8 ฉะนั้นให้เราถือเทศกาลนี้ไม่ใช่ด้วยเชื้อเก่าอันเป็นเชื้อของความชั่วร้ายเลวทราม แต่ด้วยขนมปังไม่มีเชื้อคือขนมปังแห่งความจริงใจและสัจจะ
9 ข้าพเจ้าได้เขียนจดหมายมาห้ามไม่ให้ท่านคบคนผิดศีลธรรมทางเพศ 10 แต่ไม่ได้หมายถึงชาวโลกที่ผิดศีลธรรม หรือโลภและฉ้อฉล หรือกราบไหว้รูปเคารพ มิฉะนั้นท่านต้องออกไปจากโลกนี้ 11 แต่บัดนี้ข้าพเจ้าเขียนมาถึงท่านเพื่อจะบอกว่าอย่าไปคบคนที่เรียกตนเองว่าพี่น้องแต่ยังผิดศีลธรรมทางเพศ หรือโลภ กราบไหว้รูปเคารพหรือชอบนินทาว่าร้าย ขี้เมาหรือฉ้อฉล คนแบบนี้แม้แต่ร่วมรับประทานอาหารก็อย่าเลย
12 เป็นธุระอะไรของข้าพเจ้าที่จะไปตัดสินคนนอกคริสตจักร? ท่านต้องตัดสินคนในคริสตจักรไม่ใช่หรือ? 13 พระเจ้าจะทรงตัดสินคนนอกคริสตจักรเหล่านั้น “จงขับคนชั่วร้ายออกไปจากหมู่พวกท่าน”[w]
คดีความในหมู่ผู้เชื่อ
6 หากใครในพวกท่านเป็นความกัน เขากล้าไปสู้ความกันต่อหน้าคนอธรรมแทนที่จะชำระความกันต่อหน้าประชากรของพระเจ้าหรือ? 2 ท่านไม่รู้หรือว่าประชากรของพระเจ้าจะพิพากษาโลก? และถ้าท่านจะเป็นผู้พิพากษาโลก ท่านไม่มีความสามารถจะตัดสินคดีเล็กน้อยเหล่านี้หรือ? 3 ท่านไม่รู้หรือว่าเราจะพิพากษาทูตสวรรค์? เช่นนี้แล้วเรายิ่งสมควรจะจัดการกับเรื่องราวต่างๆ ของชีวิตนีได้ดีกว่านั้นสักเพียงใด! 4 ฉะนั้นหากท่านเป็นความกันในเรื่องดังกล่าว แม้ตั้งคนที่ไม่สำคัญในคริสตจักรเป็นตุลาการก็ยังได้![x] 5 ข้าพเจ้าพูดเช่นนี้เพื่อให้ท่านละอายใจ เป็นไปได้หรือที่ไม่มีสักคนในพวกท่านเลยที่ฉลาดพอจะชำระความในหมู่ผู้เชื่อ? 6 แต่พี่น้องกลับไปสู้ความกันในศาลต่อหน้าผู้ไม่เชื่อ!
7 อันที่จริงที่ท่านเป็นคดีความกันในหมู่พวกท่านก็หมายความว่าท่านได้พ่ายแพ้อย่างสิ้นเชิงแล้ว ทำไมไม่เป็นฝ่ายถูกรังแก? ทำไมไม่เป็นฝ่ายถูกโกง? 8 แต่ท่านเองกลับโกงและรังแก ท่านทำสิ่งเหล่านี้กับพี่น้องของท่าน
9 ท่านไม่รู้หรือว่าคนชั่วจะไม่มีส่วนในอาณาจักรของพระเจ้า? อย่าหลงผิดเลย ไม่ว่าคนผิดศีลธรรมทางเพศ หรือคนกราบไหว้รูปเคารพ หรือคนคบชู้ หรือผู้ชายขายตัว หรือคนรักร่วมเพศ 10 หรือขโมย หรือคนโลภ หรือคนขี้เมา หรือคนชอบนินทาว่าร้าย หรือคนฉ้อฉล จะไม่มีส่วนในอาณาจักรของพระเจ้า 11 และพวกท่านบางคนเคยเป็นเช่นนั้น แต่ท่านได้รับการล้าง ได้รับการชำระให้บริสุทธิ์ และได้ถูกนับเป็นผู้ชอบธรรมในพระนามพระเยซูคริสต์เจ้าและโดยพระวิญญาณของพระเจ้าของเรา
การผิดศีลธรรมทางเพศ
12 “ข้าพเจ้าได้รับอนุญาตให้ทำทุกสิ่งได้” แต่ไม่ใช่ทุกสิ่งจะเป็นประโยชน์ “ข้าพเจ้าได้รับอนุญาตให้ทำทุกสิ่งได้” แต่ข้าพเจ้าจะไม่ยอมให้สิ่งใดมาเป็นนาย 13 “อาหารมีไว้สำหรับท้อง และท้องมีไว้สำหรับอาหาร” แต่พระเจ้าจะทรงทำลายทั้งสองสิ่ง ร่างกายไม่ได้มีไว้เพื่อการผิดศีลธรรมทางเพศ แต่มีเพื่อองค์พระผู้เป็นเจ้า และองค์พระผู้เป็นเจ้ามีเพื่อกายนั้น 14 โดยฤทธิ์อำนาจของพระองค์ พระเจ้าทรงให้องค์พระผู้เป็นเจ้าเป็นขึ้นจากตาย และพระองค์จะทรงให้เราทั้งหลายเป็นขึ้นใหม่ด้วย 15 พวกท่านไม่รู้หรือว่าร่างกายของท่านเป็นส่วนหนึ่งในพระกายของพระคริสต์? เช่นนี้แล้วควรหรือที่ข้าพเจ้าจะนำร่างกายไปรวมเป็นหนึ่งเดียวกับโสเภณี? ไม่เป็นเช่นนั้นแน่! 16 ท่านไม่รู้หรือว่าผู้ที่ไปหลับนอนกับโสเภณีก็เป็นหนึ่งเดียวกับหญิงนั้นทางร่างกาย? เพราะมีคำกล่าวไว้ว่า “ทั้งสองจะเป็นเนื้อเดียวกัน”[y] 17 แต่คนที่รวมตนเองเป็นหนึ่งเดียวกับองค์พระผู้เป็นเจ้าก็เป็นหนึ่งเดียวกับพระองค์ในจิตวิญญาณ
18 จงหลีกหนีจากการผิดศีลธรรมทางเพศ บาปอื่นทั้งปวงที่มนุษย์ทำล้วนเป็นบาปนอกกายของตน แต่คนที่ทำบาปทางเพศก็ทำบาปต่อร่างกายของตนเอง 19 ท่านไม่รู้หรือว่าร่างกายของท่านเป็นวิหารของพระวิญญาณบริสุทธิ์ผู้สถิตในท่านซึ่งท่านได้รับจากพระเจ้า? ท่านไม่ใช่เจ้าของตัวท่านเอง 20 พระเจ้าทรงซื้อท่านไว้ด้วยราคาสูง เหตุฉะนั้นจงถวายเกียรติแด่พระเจ้าด้วยร่างกายของท่านเถิด
การแต่งงาน
7 ส่วนเรื่องที่ท่านเขียนมานั้น เป็นการดีที่ผู้ชายจะไม่แต่งงาน[z] 2 แต่เพราะมีการผิดศีลธรรมเกิดขึ้นอย่างมาก ผู้ชายแต่ละคนก็ควรมีภรรยาของตนเอง และผู้หญิงแต่ละคนก็ควรมีสามีของตนเอง 3 สามีควรทำหน้าที่สามีต่อภรรยาของตนอย่างสมบูรณ์ และเช่นกันภรรยาก็ควรทำหน้าที่ภรรยาต่อสามีของตนอย่างสมบูรณ์ด้วย 4 ร่างกายของภรรยาไม่ได้เป็นของนางคนเดียว แต่เป็นของสามีด้วย ในทำนองเดียวกันร่างกายของสามีไม่ได้เป็นของเขาคนเดียว แต่เป็นของภรรยาด้วย 5 อย่าปฏิเสธการอยู่ร่วมกัน เว้นแต่เห็นพ้องกันเป็นการชั่วคราวเพื่ออุทิศตนในการอธิษฐาน จากนั้นจึงมาอยู่ร่วมกันอีก เพื่อซาตานจะไม่ล่อลวงท่านให้ทำผิดเนื่องจากขาดการควบคุมตนเอง 6 ข้าพเจ้ากล่าวเช่นนี้ในเชิงอนุญาต ไม่ใช่คำสั่ง 7 ข้าพเจ้าปรารถนาให้ทุกคนเป็นเหมือนข้าพเจ้า แต่ของประทานที่แต่ละคนได้รับจากพระเจ้านั้นต่างกัน คนหนึ่งมีของประทานนี้ อีกคนหนึ่งมีของประทานนั้น
8 สำหรับคนโสดและผู้ที่เป็นม่าย ข้าพเจ้าขอบอกว่าเป็นการดีแล้วที่จะไม่แต่งงานเหมือนกับข้าพเจ้า 9 แต่ถ้าพวกเขาไม่สามารถควบคุมตนเองได้ พวกเขาก็ควรแต่งงานเพราะแต่งงานไปก็ยังดีกว่าถูกเผาเร่าร้อนด้วยราคะ
10 สำหรับคนที่แต่งงานแล้ว ข้าพเจ้าขอสั่ง (ไม่ใช่ข้าพเจ้าสั่งเอง องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงบัญชาไว้) ว่าภรรยาอย่าแยกจากสามีของนาง 11 แต่ถ้านางทำเช่นนั้น นางต้องไม่แต่งงานอีก หรือไม่ก็ต้องกลับมาคืนดีกับสามีของนาง และสามีอย่าได้หย่าร้างภรรยาของตนเลย
12 สำหรับคนอื่นๆ นอกจากนี้ ข้าพเจ้าขอบอกว่า (ไม่ใช่องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัส) หากพี่น้องคนใดมีภรรยาที่ไม่ใช่ผู้เชื่อ และนางเต็มใจจะอยู่กับสามี เขาต้องไม่หย่าร้างกับนาง 13 และหากฝ่ายหญิงมีสามีที่ไม่ใช่ผู้เชื่อและเขาเต็มใจจะอยู่กับนาง นางจะต้องไม่หย่าร้างจากเขา 14 เพราะสามีที่ไม่เชื่อได้รับการทรงชำระให้บริสุทธิ์แล้วผ่านทางภรรยา และภรรยาที่ไม่เชื่อได้รับการทรงชำระให้บริสุทธิ์แล้วผ่านทางสามีที่เชื่อ มิฉะนั้นลูกๆ จะเป็นมลทิน แต่นี่พวกเขาบริสุทธิ์
15 แต่ถ้าฝ่ายที่ไม่เชื่อแยกตัวไป ก็ปล่อยเขาไปเถิด ในกรณีเช่นนั้นฝ่ายที่เชื่อทั้งชายและหญิงจะไม่ถูกผูกมัด พระเจ้าทรงเรียกเราให้อยู่อย่างสงบสุข 16 ท่านผู้เป็นภรรยาจะรู้ได้อย่างไรว่าจะช่วยให้สามีรอดได้หรือไม่? หรือท่านผู้เป็นสามีจะรู้ได้อย่างไรว่าจะช่วยให้ภรรยารอดได้หรือไม่?
17 อย่างไรก็ตามแต่ละคนควรจะคงสถานภาพที่องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงมอบหมายและที่พระเจ้าได้ทรงเรียกเขา นี่เป็นกฎที่ข้าพเจ้าวางไว้ในคริสตจักรทั้งปวง 18 ถ้าชายคนใดได้รับการทรงเรียกเมื่อเขาเข้าสุหนัตแล้ว เขาก็ไม่ควรลบล้างการเข้าสุหนัต ถ้าชายคนใดได้รับการทรงเรียกเมื่อเขายังไม่ได้เข้าสุหนัต เขาก็ไม่ควรเข้าสุหนัต 19 ความสำคัญไม่ได้อยู่ที่เข้าสุหนัตหรือไม่เข้าสุหนัต แต่อยู่ที่การรักษาพระบัญชาของพระเจ้า 20 แต่ละคนควรจะคงสถานะที่เขาอยู่เมื่อพระเจ้าทรงเรียก 21 ถ้าท่านได้รับการทรงเรียกเมื่อท่านเป็นทาสอยู่ ก็อย่าให้สิ่งนี้รบกวนท่าน แต่ถ้าท่านสามารถไถ่ตัวเป็นอิสระได้ก็จงทำเถิด 22 เพราะผู้ที่องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงเรียกเมื่อเขายังเป็นทาสอยู่ก็เป็นเสรีชนขององค์พระผู้เป็นเจ้า ในทำนองเดียวกันคนที่เป็นไทขณะที่ได้รับการทรงเรียกก็เป็นทาสของพระคริสต์ 23 พระองค์ทรงซื้อท่านในราคาสูง อย่าเป็นทาสของมนุษย์เลย 24 พี่น้องทั้งหลาย ในเมื่อแต่ละคนต้องรับผิดชอบต่อพระเจ้า เขาก็ควรคงอยู่ในสถานะที่พระเจ้าได้ทรงเรียก
25 เกี่ยวกับผู้ที่เป็นพรหมจารีนั้น ข้าพเจ้าไม่ได้รับพระบัญชาจากองค์พระผู้เป็นเจ้า แต่ขอวินิจฉัยในฐานะของผู้ซึ่งได้รับพระเมตตาของพระเจ้าให้เป็นผู้ที่ไว้ใจได้ 26 เนื่องจากวิกฤติการณ์ในปัจจุบัน ข้าพเจ้าคิดว่าเป็นการดีที่ท่านจะคงอยู่อย่างที่เป็นอยู่ 27 ท่านแต่งงานแล้วหรือ? ก็อย่าหาทางหย่าร้างเลย ท่านยังไม่ได้แต่งงานหรือ? ก็อย่าเสาะหาภรรยาเลย 28 แต่ถ้าท่านจะแต่งงานก็ไม่บาป และถ้าหญิงพรหมจารีจะแต่งงานก็ไม่บาป แต่คนที่แต่งงานแล้วจะเผชิญความยุ่งยากหลายอย่างในชีวิตนี้ และข้าพเจ้าประสงค์จะให้ท่านพ้นจากสิ่งนี้
29 พี่น้องทั้งหลาย ข้าพเจ้าหมายความว่าเวลาก็เหลือน้อยแล้ว ตั้งแต่นี้ไปคนที่มีภรรยาแล้วควรดำเนินชีวิตเสมือนไม่มี 30 ผู้ที่ทุกข์โศกเสมือนไม่ได้ทุกข์โศก ผู้ที่มีความสุขเสมือนไม่มีความสุข ผู้ที่ซื้อเสมือนไม่ได้เป็นเจ้าของ 31 ผู้ที่ใช้สิ่งต่างๆ ของโลกเสมือนไม่ได้ใช้อย่างเต็มที่ เพราะโลกนี้อย่างที่เป็นอยู่ในปัจจุบันกำลังจะผ่านพ้นไป
32 ข้าพเจ้าอยากให้ท่านพ้นจากความพะวักพะวน คนที่ไม่แต่งงานก็สาละวนอยู่กับการงานขององค์พระผู้เป็นเจ้า มุ่งให้องค์พระผู้เป็นเจ้าพอพระทัย
33 ส่วนคนที่แต่งงานแล้วก็สาละวนอยู่กับเรื่องของโลกนี้ มุ่งให้ภรรยาพอใจ 34 และความสนใจของเขาก็แบ่งเป็นสองฝักสองฝ่าย ส่วนหญิงที่ไม่แต่งงานหรือสาวพรหมจารีก็สาละวนอยู่กับการงานขององค์พระผู้เป็นเจ้า มุ่งที่จะอุทิศตนแด่องค์พระผู้เป็นเจ้าทั้งกายและจิตวิญญาณ ส่วนหญิงที่แต่งงานแล้วก็สาละวนอยู่กับการงานของโลกนี้ มุ่งให้สามีพอใจ 35 ข้าพเจ้ากล่าวเช่นนี้เพื่อเป็นผลดีแก่ท่านเอง ไม่ใช่เพื่อควบคุมจำกัดท่าน แต่เพื่อท่านจะได้ดำเนินชีวิตในทางที่ถูกต้อง ด้วยการอุทิศตนเพื่อองค์พระผู้เป็นเจ้าโดยปราศจากใจสองฝักสองฝ่าย
36 หากผู้ใดคิดว่าตนปฏิบัติต่อคู่หมั้นสาวพรหมจารีอย่างไม่เหมาะสม และถ้านางอายุมากขึ้นทุกที และเขารู้สึกว่าตนเองควรแต่งงาน เขาก็ควรทำตามที่ต้องการ เขาไม่ได้ทำอะไรผิดบาป พวกเขาควรจะแต่งงานกัน 37 แต่ชายผู้ที่ตั้งใจแน่วแน่ไม่ถูกผลักดัน แต่ควบคุมความตั้งใจของตนเองได้และตัดสินใจที่จะไม่แต่งงาน เขาก็ทำสิ่งที่ถูกต้องแล้ว 38 ดังนั้นแล้วคนที่แต่งงานกับคู่หมั้นสาวพรหมจารีก็ทำถูก แต่คนที่ไม่แต่งงานก็ทำดียิ่งกว่า[aa]
39 ตราบใดที่สามียังมีชีวิตอยู่ ภรรยาต้องอยู่กับสามี แต่หากสามีตาย นางจะแต่งงานกับใครก็ได้ตามใจปรารถนา แต่ต้องเป็นผู้ที่เชื่อในองค์พระผู้เป็นเจ้า 40 ตามความเห็นของข้าพเจ้า นางอยู่คนเดียวจะเป็นสุขกว่า และข้าพเจ้าคิดว่าพระวิญญาณของพระเจ้าทรงอยู่กับข้าพเจ้าด้วยในการกล่าวเช่นนี้
อาหารที่เซ่นไหว้รูปเคารพ
8 เกี่ยวกับอาหารที่เซ่นไหว้รูปเคารพเป็นดังนี้ เรารู้ว่าเราทั้งหลายล้วนมีความรู้[ab] ความรู้นั้นทำให้ลำพอง แต่ความรักเสริมสร้างขึ้น 2 ผู้ใดที่คิดว่าตนเองรู้บางสิ่งแล้ว ผู้นั้นยังไม่รู้อย่างที่เขาควรจะรู้ 3 แต่ผู้ที่รักพระเจ้า พระเจ้าก็ทรงรู้จักผู้นั้น
4 ดังนั้นแล้วเกี่ยวกับการกินอาหารที่ได้เซ่นไหว้รูปเคารพ เรารู้อยู่ว่ารูปเคารพนั้นไม่มีความหมายอะไรในโลกนี้และมีพระเจ้าแต่เพียงองค์เดียวเท่านั้น 5 เพราะถึงแม้ว่าจะมีสิ่งที่เรียกว่าพระเจ้ามากมาย ไม่ว่าในสวรรค์หรือบนแผ่นดินโลก (จริงอยู่ มี “พระ” และ “เจ้า” มากมาย) 6 แต่สำหรับพวกเรามีพระเจ้าองค์เดียว คือพระบิดาผู้ทรงเป็นที่มาของสิ่งสารพัด เรามีชีวิตอยู่เพื่อพระองค์ และมีองค์พระผู้เป็นเจ้าองค์เดียวคือพระเยซูคริสต์ สิ่งสารพัดเป็นมาโดยทางพระองค์ และเรามีชีวิตอยู่โดยทางพระองค์
7 แต่ไม่ใช่ทุกคนที่รู้เช่นนี้ บางคนยังคุ้นเคยกับรูปเคารพ เมื่อพวกเขากินอาหารนั้นก็ถือว่าเป็นของที่เซ่นไหว้รูปเคารพ และเพราะจิตสำนึกของพวกเขายังอ่อนจึงเป็นมลทิน 8 แต่อาหารไม่ได้ทำให้เราเข้าใกล้พระเจ้า ถ้าไม่รับประทานเราก็ไม่แย่ลง ถ้ารับประทานเราก็ไม่ได้ดีขึ้น
9 อย่างไรก็ตามจงระวังอย่าให้การกระทำโดยอิสระเสรีของเรากลายเป็นหินสะดุดของพี่น้องที่อ่อนแอ 10 เพราะหากผู้ที่จิตสำนึกยังอ่อนเห็นท่านผู้มีความรู้นั่งรับประทานอาหารอยู่ในวิหารของรูปเคารพเหล่านี้ เขาจะไม่ฮึกเหิมรับประทานของที่เซ่นไหว้รูปเคารพบ้างหรือ? 11 ดังนั้นกลายเป็นว่าความรู้ของท่านทำลายพี่น้องที่อ่อนแอคนนั้น ทั้งที่พระคริสต์ได้ทรงวายพระชนม์เพื่อเขา 12 เมื่อท่านทำบาปต่อพวกพี่น้องเช่นนี้และทำร้ายจิตสำนึกที่อ่อนแอของพวกเขา ท่านก็ทำบาปต่อพระคริสต์ 13 ฉะนั้นหากสิ่งที่ข้าพเจ้ารับประทานทำให้พี่น้องตกลงในบาป ข้าพเจ้าจะไม่รับประทานเนื้อสัตว์อีกเลย เพื่อว่าข้าพเจ้าจะไม่เป็นเหตุให้เขาล้มลง
สิทธิของอัครทูต
9 ข้าพเจ้าไม่มีเสรีภาพหรือ? ข้าพเจ้าไม่เป็นอัครทูตหรือ? ข้าพเจ้าไม่ได้เห็นพระเยซูองค์พระผู้เป็นเจ้าของเราหรือ? พวกท่านไม่ใช่ผลงานของข้าพเจ้าในองค์พระผู้เป็นเจ้าหรือ? 2 แม้ข้าพเจ้าอาจไม่ใช่อัครทูตสำหรับคนอื่น แต่ข้าพเจ้าเป็นอัครทูตสำหรับท่านทั้งหลายอย่างแน่นอน! เพราะท่านคือตราแห่งความเป็นอัครทูตของข้าพเจ้าในองค์พระผู้เป็นเจ้า
3 หากใครมาพิพากษาข้าพเจ้า ข้อแก้ต่างของข้าพเจ้ามีดังนี้ 4 พวกเราไม่มีสิทธิ์กินดื่มหรือ? 5 พวกเราไม่มีสิทธิ์พาภรรยาซึ่งเป็นผู้เชื่อไปไหนมาไหนด้วยกันเหมือนที่อัครทูตอื่นๆ กับน้องๆ ขององค์พระผู้เป็นเจ้าและเคฟาส[ac] ทำหรือ? 6 หรือมีแต่ข้าพเจ้ากับบารนาบัสเท่านั้นที่ต้องทำงานหาเลี้ยงชีพ?
7 ใครบ้างที่เป็นทหารโดยเสียค่าใช้จ่ายเอง? ใครบ้างปลูกองุ่นและไม่ได้กินผลองุ่นจากสวนนั้น? ใครบ้างเลี้ยงปศุสัตว์และไม่ได้กินนม? 8 ข้าพเจ้าพูดเช่นนี้ตามทัศนะของมนุษย์เท่านั้นหรือ? บทบัญญัติไม่ได้กล่าวไว้อย่างเดียวกันหรือ? 9 เพราะธรรมบัญญัติของโมเสสเขียนไว้ว่า “อย่าเอาตะกร้อครอบปากวัวซึ่งนวดข้าวอยู่”[ad] พระเจ้าทรงห่วงใยแต่วัวเท่านั้นหรอกหรือ? 10 แน่นอนพระองค์ตรัสเช่นนี้ก็เพื่อเราไม่ใช่หรือ? ถูกแล้วข้อนี้เขียนขึ้นเพื่อเราทั้งหลาย เพราะเมื่อคนไถนาและนวดข้าว พวกเขาย่อมทำหน้าที่โดยหวังจะได้รับส่วนแบ่งตอนเก็บเกี่ยว 11 หากเราได้หว่านเมล็ดฝ่ายจิตวิญญาณในหมู่พวกท่าน จะเกินไปหรือถ้าเราจะเก็บเกี่ยววัตถุจากพวกท่านบ้าง? 12 ถ้าคนอื่นๆ ยังมีสิทธิ์ได้รับการสนับสนุนจากท่าน เราก็ควรจะได้รับมากยิ่งกว่าไม่ใช่หรือ?
แต่เราก็ไม่ได้ใช้สิทธิ์นี้เลย ในทางตรงกันข้ามเราสู้ทนทุกอย่างเพื่อไม่ให้เป็นอุปสรรคขัดขวางข่าวประเสริฐเรื่องพระคริสต์ได้ 13 ท่านไม่รู้หรือว่าผู้ที่ทำงานในพระวิหารก็ได้รับอาหารของตนจากพระวิหาร และผู้ซึ่งปรนนิบัติอยู่ที่แท่นบูชาก็รับส่วนแบ่งจากเครื่องบูชาบนแท่น? 14 เช่นกันองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงบัญชาไว้ว่าผู้ที่ประกาศข่าวประเสริฐควรได้รับปัจจัยเลี้ยงชีพจากข่าวประเสริฐ
15 แต่ข้าพเจ้าไม่เคยใช้สิทธิ์ใดๆ เหล่านี้เลย และที่ข้าพเจ้าเขียนมานี้ ข้าพเจ้าก็ไม่ได้หวังให้ท่านทำเช่นนั้นแก่ข้าพเจ้า ข้าพเจ้ายอมตายเสียดีกว่าให้ใครมาพรากสิ่งเชิดหน้าชูตาข้อนี้ไป 16 กระนั้นเมื่อข้าพเจ้าประกาศข่าวประเสริฐ ข้าพเจ้าก็ไม่มีเหตุที่จะอวดได้ เพราะข้าพเจ้าจำต้องประกาศ วิบัติแก่ข้าพเจ้าหากข้าพเจ้าไม่ประกาศข่าวประเสริฐ! 17 หากข้าพเจ้าประกาศด้วยความสมัครใจ ข้าพเจ้าย่อมได้รับรางวัลตอบแทน หากข้าพเจ้าประกาศโดยไม่สมัครใจ ข้าพเจ้าก็เพียงแต่ทำหน้าที่ไปตามที่ได้รับมอบหมาย 18 แล้วข้าพเจ้าได้อะไรเป็นรางวัล? รางวัลก็คือในการประกาศข่าวประเสริฐ ข้าพเจ้าจะได้ประกาศโดยไม่คิดค่าตอบแทน และด้วยเหตุนี้ข้าพเจ้าจึงไม่ใช้สิทธิ์ของตนเมื่อประกาศข่าวประเสริฐ
19 แม้ข้าพเจ้าเป็นอิสระและไม่ขึ้นกับใคร ข้าพเจ้าก็ยอมตัวเป็นทาสรับใช้คนทั้งปวงเพื่อชนะใจผู้คนให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ 20 ต่อพวกยิวข้าพเจ้าก็เป็นเหมือนคนยิวเพื่อชนะใจคนยิว ต่อบรรดาผู้อยู่ใต้บทบัญญัติข้าพเจ้าก็เป็นเหมือนผู้อยู่ใต้บทบัญญัติ (แม้ตัวข้าพเจ้าเองไม่ได้อยู่ใต้บทบัญญัติ) เพื่อจะได้ชนะใจผู้อยู่ใต้บทบัญญัติ 21 ต่อบรรดาผู้ที่ไม่มีบทบัญญัติข้าพเจ้าก็เป็นเหมือนผู้ที่ไม่มีบทบัญญัติ (ทั้งๆ ที่ข้าพเจ้าไม่ได้เป็นอิสระจากบทบัญญัติของพระเจ้า แต่อยู่ใต้บทบัญญัติของพระคริสต์) เพื่อจะได้ชนะใจผู้ที่ไม่มีบทบัญญัติ 22 ต่อผู้อ่อนแอข้าพเจ้าก็เป็นผู้อ่อนแอ เพื่อจะได้ชนะใจผู้อ่อนแอ ข้าพเจ้าได้เป็นคนทุกแบบต่อคนทั้งปวง เพื่อว่าข้าพเจ้าจะช่วยบางคนให้รอดโดยทุกวิถีทางที่เป็นไปได้ 23 ข้าพเจ้าทำทุกสิ่งนี้เพราะเห็นแก่ข่าวประเสริฐ เพื่อข้าพเจ้าจะได้มีส่วนร่วมในพระพรแห่งข่าวประเสริฐ
24 ท่านไม่รู้หรือว่าในการแข่งขัน นักวิ่งทุกคนออกวิ่ง แต่มีเพียงคนเดียวที่ได้รับรางวัล? จงวิ่งอย่างนั้นเพื่อให้ได้รางวัลมา 25 ผู้เข้าแข่งขันทุกคนผ่านการฝึกซ้อมอย่างเข้มงวด เขาทำอย่างนั้นเพื่อมงกุฎอันไม่ยืนยง ส่วนเราทำเพื่อมงกุฎอันยืนยงเป็นนิตย์ 26 เหตุฉะนั้นข้าพเจ้าจึงไม่ได้วิ่งอย่างไม่มีจุดหมาย ข้าพเจ้าไม่ได้ต่อสู้เหมือนคนชกลม 27 เปล่าเลย ข้าพเจ้าฝึกฝนตนเองให้อยู่ในการควบคุม เพื่อว่าหลังจากที่ข้าพเจ้าได้ประกาศแก่คนอื่นแล้ว ข้าพเจ้าเองจะไม่ขาดคุณสมบัติที่จะรับรางวัล
ข้อเตือนใจจากประวัติศาสตร์อิสราเอล
10 พี่น้องทั้งหลาย ข้าพเจ้าอยากให้ท่านรับรู้ข้อเท็จจริงที่ว่าบรรพบุรุษของเราล้วนได้อยู่ใต้เมฆและได้ผ่านทะเลไปทุกคน 2 พวกเขาล้วนได้รับบัพติศมาเข้าส่วนในโมเสส ในเมฆและในทะเล 3 พวกเขาล้วนได้รับประทานอาหารทิพย์เหมือนกัน 4 และได้ดื่มน้ำทิพย์เหมือนกัน พวกเขาได้ดื่มน้ำจากศิลาทิพย์ ซึ่งร่วมทางมากับพวกเขา และศิลานั้นคือพระคริสต์ 5 อย่างไรก็ตามพระเจ้าไม่พอพระทัยพวกเขาเกือบทั้งหมด บรรพบุรุษเหล่านั้นจึงล้มตายเกลื่อนกลาดในถิ่นกันดาร
6 สิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นเพื่อเป็นตัวอย่าง[ae] ไม่ให้จิตใจของเราฝักใฝ่ในสิ่งชั่วร้ายเหมือนที่คนเหล่านั้นได้ทำ 7 อย่านับถือรูปเคารพเหมือนบางคน ดังที่มีเขียนไว้ว่า “ประชากรนั่งล้อมวงกินดื่มและลุกขึ้นระเริงในงานเลี้ยงอย่างคนนอกศาสนา”[af] 8 เราไม่ควรทำผิดศีลธรรมทางเพศเหมือนที่บางคนได้ทำแล้วล้มตายถึง 23,100 คนในวันเดียว 9 เราไม่ควรลองดีกับองค์พระผู้เป็นเจ้าเหมือนที่พวกเขาบางคนได้ทำแล้วถูกงูกัดตาย 10 และอย่าพร่ำบ่นเหมือนที่พวกเขาบางคนได้ทำแล้วถูกทูตมรณะประหาร
11 สิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นแก่พวกเขาเพื่อเป็นตัวอย่าง และบันทึกไว้เพื่อเตือนใจเราผู้ซึ่งอยู่ในยุคที่พระราชกิจของพระเจ้าจะสำเร็จ 12 ดังนั้นถ้าท่านคิดว่าตนยืนหยัดมั่นคงดีแล้ว ก็จงระวังให้ดีเพื่อท่านจะไม่ล้มลง! 13 ไม่มีการทดลองใดๆ มาถึงท่านนอกจากการทดลองที่เกิดกับมนุษย์ทั่วไป และพระเจ้าทรงสัตย์ซื่อ พระองค์จะไม่ทรงปล่อยให้ท่านถูกทดลองเกินกว่าที่ท่านจะทนได้ แต่เมื่อท่านถูกทดลอง พระองค์จะทรงให้ท่านมีทางออกด้วยเพื่อท่านจะยืนหยัดได้ภายใต้การทดลอง
งานเลี้ยงของรูปเคารพกับพิธีมหาสนิท
14 เหตุฉะนั้นท่านที่รัก จงหลีกห่างการนับถือรูปเคารพ 15 ข้าพเจ้าพูดกับคนที่มีสามัญสำนึก ท่านจงวินิจฉัยคำพูดของข้าพเจ้าเอาเองเถิด 16 ถ้วยน้ำองุ่นซึ่งเราอธิษฐานขอบพระคุณคือการเข้าร่วมในพระโลหิตของพระคริสต์ไม่ใช่หรือ? และขนมปังซึ่งเราหักนั้นคือการเข้าร่วมในพระกายของพระคริสต์ไม่ใช่หรือ? 17 เนื่องจากมีขนมปังก้อนเดียว เราหลายคนจึงเป็นกายเดียวกัน เพราะทุกคนร่วมรับประทานขนมปังก้อนเดียวกัน
18 จงพิจารณาชนชาติอิสราเอลผู้ที่กินของถวายบูชาก็มีส่วนร่วมในแท่นบูชาไม่ใช่หรือ? 19 นี่ข้าพเจ้าหมายความว่ารูปเคารพกับของที่เซ่นไหว้มีความสำคัญอย่างนั้นหรือ? 20 เปล่าเลย แต่หมายความว่าของเซ่นไหว้ของคนนอกศาสนานั้นสังเวยแก่ผีมาร ไม่ใช่ถวายแด่พระเจ้า และข้าพเจ้าไม่อยากให้ท่านไปเข้าร่วมกับพวกผีมาร 21 ท่านจะดื่มทั้งจากถ้วยขององค์พระผู้เป็นเจ้าและถ้วยของผีมารไม่ได้ จะร่วมโต๊ะทั้งขององค์พระผู้เป็นเจ้าและของพวกผีมารด้วยไม่ได้ 22 เรากำลังพยายามยั่วยุองค์พระผู้เป็นเจ้าให้ทรงริษยาหรือ? เราเข้มแข็งกว่าพระองค์หรือ?
เสรีภาพของผู้เชื่อ
23 “เราได้รับอนุญาตให้ทำทุกสิ่งได้” แต่ไม่ใช่ว่าทุกสิ่งจะเป็นประโยชน์ “เราได้รับอนุญาตให้ทำทุกสิ่งได้” แต่ไม่ใช่ว่าทุกสิ่งจะเป็นการเสริมสร้างขึ้น 24 ทุกคนไม่ควรเห็นแก่ประโยชน์ส่วนตัว แต่จงเห็นแก่ประโยชน์ของผู้อื่น
25 สิ่งใดที่วางขายตามตลาดเนื้อก็ให้รับประทานไปเถิดโดยไม่ต้องถามตนเองว่าผิดหรือไม่ 26 เพราะ “แผ่นดินโลกและทุกสิ่งในโลกเป็นขององค์พระผู้เป็นเจ้า”[ag]
27 หากผู้ไม่เชื่อบางคนเชิญท่านไปร่วมรับประทานอาหารและท่านประสงค์จะไป จงรับประทานสิ่งที่วางอยู่ตรงหน้าท่านไปเถิดโดยไม่ต้องถามว่าผิดหรือไม่ 28 แต่ถ้ามีใครมาบอกว่า “ของนี้ได้นำไปเซ่นไหว้แล้ว” ก็อย่ารับประทานเพื่อเห็นแก่ทั้งคนที่บอกและจิตสำนึกผิดชอบ[ah] 29 ข้าพเจ้าหมายถึงจิตสำนึกของคนนั้นไม่ใช่ของท่าน ทำไมเสรีภาพของข้าพเจ้าจึงถูกตัดสินโดยจิตสำนึกของคนอื่นเล่า? 30 ถ้าข้าพเจ้ารับประทานโดยขอบพระคุณพระเจ้า ทำไมข้าพเจ้าจึงถูกตำหนิเพราะสิ่งที่ข้าพเจ้าขอบพระคุณพระเจ้าแล้ว? 31 ดังนั้นไม่ว่าท่านจะกินหรือดื่มหรือทำอะไรก็ตาม จงทำทุกสิ่งเพื่อพระเกียรติสิริของพระเจ้า 32 อย่าเป็นต้นเหตุให้ใครสะดุดไม่ว่าจะเป็นคนยิว คนกรีก หรือคริสตจักรของพระเจ้า 33 เหมือนที่ข้าพเจ้าเองพยายามทำให้ทุกคนพอใจในทุกด้านเพราะข้าพเจ้าไม่ได้แสวงหาประโยชน์ส่วนตัว แต่แสวงหาประโยชน์ของคนทั้งหลายเพื่อให้พวกเขารอด
11 จงทำตามอย่างข้าพเจ้าเหมือนที่ข้าพเจ้าทำตามแบบอย่างของพระคริสต์
วางตัวให้เหมาะสมในการนมัสการ
2 ข้าพเจ้าขอชมเชยพวกท่านที่ระลึกถึงข้าพเจ้าในทุกเรื่องและยึดถือคำสั่งสอน[ai]ตามที่ข้าพเจ้าถ่ายทอดให้แก่ท่าน
3 แต่ขอให้ท่านตระหนักว่าพระคริสต์ทรงเป็นศีรษะของชายทุกคนและชายเป็นศีรษะของหญิง และพระเจ้าทรงเป็นศีรษะของพระคริสต์ 4 ชายทุกคนที่อธิษฐานหรือเผยพระวจนะโดยมีผ้าคลุมศีรษะอยู่ก็สร้างความอัปยศแก่ศีรษะของเขา 5 และหญิงทุกคนที่อธิษฐานหรือเผยพระวจนะโดยไม่มีผ้าคลุมศีรษะก็สร้างความอัปยศแก่ศีรษะของนางประหนึ่งว่านางได้โกนศีรษะ 6 ถ้าผู้หญิงไม่คลุมศีรษะ นางก็เหมือนได้กล้อนผมไปแล้ว แต่เป็นเรื่องน่าอายที่ผู้หญิงจะกล้อนหรือโกนผม นางก็ควรคลุมศีรษะ 7 ผู้ชายไม่ควรคลุมศีรษะ เพราะเขาคือพระฉายและศักดิ์ศรีของพระเจ้า แต่ผู้หญิงคือศักดิ์ศรีของผู้ชาย 8 เพราะผู้ชายไม่ได้มาจากผู้หญิง แต่ผู้หญิงมาจากผู้ชาย 9 และไม่ได้ทรงสร้างผู้ชายขึ้นสำหรับผู้หญิง แต่ทรงสร้างผู้หญิงขึ้นสำหรับผู้ชาย 10 ด้วยเหตุนี้ผู้หญิงจึงควรมีสิทธิอำนาจเหนือศีรษะของนาง[aj]เพราะเหล่าทูตสวรรค์
11 อย่างไรก็ตามในองค์พระผู้เป็นเจ้าผู้หญิงไม่เป็นอิสระจากผู้ชายและผู้ชายไม่เป็นอิสระจากผู้หญิง 12 เพราะว่าผู้หญิงมาจากผู้ชายและผู้ชายเกิดมาจากผู้หญิง แต่ทุกสิ่งมาจากพระเจ้า 13 พวกท่านจงวินิจฉัยเองเถิดว่าควรหรือไม่ที่ผู้หญิงจะอธิษฐานต่อพระเจ้าโดยไม่คลุมศีรษะของนาง? 14 ธรรมชาติไม่สอนหรือว่าที่ผู้ชายจะไว้ผมยาวนั้นก็น่าอาย 15 แต่ถ้าหากผู้หญิงไว้ผมยาวก็สมศักดิ์ศรีเพราะผมยาวมีไว้ให้คลุมศีรษะ 16 ใครจะโต้แย้งข้อนี้ เรากับคริสตจักรต่างๆ ของพระเจ้าไม่มีข้อปฏิบัติเป็นอย่างอื่น
พิธีมหาสนิท(A)
17 ในข้อปฏิบัติต่อไปนี้ ข้าพเจ้าไม่อาจชมเชยพวกท่านเพราะการประชุมของพวกท่านมีผลเสียมากกว่าผลดี 18 ประการแรกข้าพเจ้าได้ยินว่าเมื่อพวกท่านประชุมกันในฐานะที่เป็นคริสตจักร มีการแบ่งพรรคแบ่งพวกในหมู่พวกท่าน และข้าพเจ้าเชื่อว่ามีมูลความจริงอยู่บ้าง 19 ไม่ต้องสงสัยเลยว่าในพวกท่านย่อมมีข้อแตกต่างกัน เพื่อจะแสดงให้เห็นว่าฝ่ายไหนที่พระเจ้าทรงเห็นชอบด้วย 20 เมื่อพวกท่านมาประชุมกัน ที่ท่านรับประทานไม่ใช่งานเลี้ยงขององค์พระผู้เป็นเจ้า 21 เพราะต่างรับประทานโดยไม่รอคนอื่นเลย คนหนึ่งยังหิว ส่วนอีกคนเมามาย 22 พวกท่านไม่มีบ้านที่จะนั่งกินดื่มหรืออย่างไร? หรือว่าพวกท่านลบหลู่คริสตจักรของพระเจ้าด้วยการทำให้คนที่ขัดสนอับอาย? ข้าพเจ้าจะพูดอะไรกับพวกท่านดี? จะให้ข้าพเจ้าชมเชยพวกท่านเพราะสิ่งนี้หรือ? ไม่อย่างแน่นอน!
23 เพราะสิ่งที่ข้าพเจ้าถ่ายทอดแก่พวกท่านนั้น ข้าพเจ้ารับมาจากองค์พระผู้เป็นเจ้า คือในคืนที่เขาทรยศพระเยซูเจ้านั้นพระองค์ทรงหยิบขนมปัง 24 เมื่อขอบพระคุณพระเจ้าแล้วทรงหักและตรัสว่า “นี่คือกายของเราซึ่งให้แก่ท่านทั้งหลาย จงทำเช่นนี้เป็นที่รำลึกถึงเรา” 25 เมื่อรับประทานแล้วทรงหยิบถ้วยขึ้นกระทำอย่างเดียวกันและตรัสว่า “ถ้วยนี้คือพันธสัญญาใหม่ด้วยโลหิตของเรา เมื่อใดที่พวกท่านดื่ม จงทำเช่นนี้เป็นที่รำลึกถึงเรา” 26 เพราะเมื่อใดก็ตามที่พวกท่านรับประทานขนมปังนี้และดื่มจากถ้วยนี้ พวกท่านก็ประกาศการวายพระชนม์ขององค์พระผู้เป็นเจ้าจนกว่าพระองค์จะเสด็จมา
27 ฉะนั้นใครก็ตามที่กินขนมปังหรือดื่มจากถ้วยขององค์พระผู้เป็นเจ้าอย่างไม่สมควร ก็ได้ทำผิดบาปต่อพระกายและพระโลหิตขององค์พระผู้เป็นเจ้า 28 แต่ละคนควรจะตรวจสอบตนเองก่อนรับประทานขนมปังและดื่มจากถ้วยนี้ 29 เพราะผู้ที่รับประทานและดื่มโดยไม่ตระหนักถึงพระกายขององค์พระผู้เป็นเจ้า ก็รับประทานและดื่มสิ่งที่เป็นเหตุให้ตนเองถูกพิพากษาลงโทษ 30 นี่คือสาเหตุที่พวกท่านหลายคนอ่อนแอและเจ็บป่วย บางคนก็ล่วงลับไป 31 แต่ถ้าเราได้วินิจฉัยตนเอง เราก็จะไม่ต้องตกอยู่ในการพิพากษา 32 เมื่อองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงพิพากษาลงโทษเรานั้น พระองค์ทรงตีสอนเราเพื่อไม่ให้เราต้องรับโทษร่วมกับโลก
33 ฉะนั้นพี่น้องทั้งหลาย เมื่อท่านเข้ามาพร้อมกันเพื่อรับประทานในพิธีมหาสนิท จงรอซึ่งกันและกัน 34 ถ้าใครหิวก็ควรรับประทานที่บ้านเพื่อว่าเวลาพวกท่านมาประชุมกันจะได้ไม่จบลงด้วยการพิพากษาลงโทษ
และเมื่อข้าพเจ้ามา ข้าพเจ้าจะให้ข้อแนะนำอื่นๆ
ของประทานฝ่ายวิญญาณ
12 พี่น้องทั้งหลาย ข้าพเจ้าไม่อยากให้ท่านไม่รู้เรื่องเกี่ยวกับของประทานฝ่ายจิตวิญญาณ 2 ท่านก็รู้อยู่ว่าเมื่อท่านยังไม่เชื่อพระเจ้า ท่านได้ถูกชักจูงโดยทางหนึ่งทางใดให้หลงผิดไปพึ่งรูปเคารพที่พูดไม่ได้ 3 ฉะนั้นข้าพเจ้าขอบอกท่านว่าไม่มีใครที่กล่าวโดยพระวิญญาณของพระเจ้าจะพูดว่า “ขอให้พระเยซูถูกแช่ง” และไม่มีใครสามารถพูดได้ว่า “พระเยซูทรงเป็นองค์พระผู้เป็นเจ้า” นอกจากผู้ที่กล่าวโดยพระวิญญาณบริสุทธิ์
4 ของประทานมีหลายชนิด แต่พระวิญญาณองค์เดียวกันเป็นผู้ประทาน 5 งานรับใช้มีหลายประเภท แต่รับใช้องค์พระผู้เป็นเจ้าองค์เดียวกัน 6 การงานมีต่างๆ กัน แต่พระเจ้าองค์เดียวกันทรงกระทำการทั้งหมดในคนทั้งปวง
7 การสำแดงของพระวิญญาณมีแก่แต่ละคนเพื่อประโยชน์ร่วมกัน 8 คนหนึ่งได้รับถ้อยคำแห่งสติปัญญาโดยพระวิญญาณ ส่วนอีกคนหนึ่งได้รับถ้อยคำแห่งความรู้โดยพระวิญญาณองค์เดียวกัน 9 อีกคนได้รับของประทานแห่งความเชื่อโดยพระวิญญาณองค์เดียวกัน ส่วนอีกคนมีของประทานในการรักษาโรคโดยพระวิญญาณองค์เดียวกันนั้น 10 คนหนึ่งได้รับฤทธิ์เดชอันอัศจรรย์ อีกคนเผยพระวจนะได้ คนหนึ่งสังเกตแยกแยะวิญญาณต่างๆ ได้ ส่วนอีกคนสามารถพูดภาษาแปลกๆ[ak] และอีกคนแปลภาษาแปลกๆได้ 11 ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นการงานของพระวิญญาณองค์เดียวกัน และพระองค์ประทานสิ่งเหล่านี้ให้แก่แต่ละคนตามที่ทรงกำหนดไว้
หลายส่วนในกายเดียวกัน
12 กายนั้นเป็นกายเดียวแม้จะประกอบด้วยอวัยวะหลายส่วน และแม้อวัยวะทั้งหมดจะมีหลายส่วนก็ประกอบกันเป็นกายเดียว พระคริสต์ก็เช่นกัน 13 เพราะเราทั้งหมดก็รับบัพติศมาโดย[al]พระวิญญาณองค์เดียวเข้าเป็นกายเดียวกัน ไม่ว่าเราจะเป็นยิวหรือกรีก เป็นทาสหรือเป็นไท และเราทั้งหมดก็ได้รับพระวิญญาณองค์เดียวกัน
14 กายนั้นไม่ได้ประกอบด้วยอวัยวะเดียว แต่ประกอบด้วยหลายอวัยวะ 15 หากเท้าจะพูดว่า “เพราะฉันไม่ใช่มือ ฉันจึงไม่ได้เป็นของร่างกายนั้น” นั่นไม่ใช่เหตุผลที่ทำให้เท้าเลิกเป็นอวัยวะของร่างกายนั้น 16 และหากหูจะพูดว่า “เพราะฉันไม่ใช่ตา ฉันจึงไม่ได้เป็นของร่างกายนั้น” นั่นไม่ใช่เหตุผลที่ทำให้หูเลิกเป็นอวัยวะของร่างกายนั้น 17 หากทั้งร่างกายเป็นตา การได้ยินจะอยู่ที่ไหน? หากทั้งร่างกายเป็นหู การได้กลิ่นจะอยู่ที่ไหน? 18 แต่ที่จริงพระเจ้าทรงจัดอวัยวะต่างๆ ทุกๆ ส่วนไว้ในร่างกายตามที่ทรงประสงค์ 19 ถ้าทั้งหมดเป็นอวัยวะเดียว ร่างกายจะมีที่ไหน? 20 เช่นนั้นแหละมีหลายอวัยวะแต่เป็นกายเดียวกัน
21 ตาไม่อาจพูดกับมือว่า “ฉันไม่ต้องการเธอ!” และศีรษะไม่อาจพูดกับเท้าว่า “ฉันไม่ต้องการเธอ!” 22 ในทางตรงกันข้ามอวัยวะต่างๆ ที่ดูเหมือนว่าอ่อนแอกว่าก็เสียไม่ได้ 23 และอวัยวะที่เราคิดว่าไม่ค่อยมีเกียรติ เรายังให้เกียรติเป็นพิเศษ และอวัยวะที่ไม่น่าดู เราก็ดูแลเป็นพิเศษ 24 ส่วนอวัยวะที่น่าดูอยู่แล้วไม่ต้องดูแลเป็นพิเศษ แต่พระเจ้าทรงรวมอวัยวะต่างๆ ของร่างกายเข้าด้วยกัน และอวัยวะที่ไร้เกียรตินั้นพระองค์ทรงให้เกียรติมากขึ้น 25 เพื่อจะไม่มีการแตกแยกกันในร่างกาย แต่เพื่อให้อวัยวะต่างๆ ห่วงใยกันอย่างเท่าเทียมกัน 26 ถ้าอวัยวะหนึ่งเจ็บ ทุกส่วนก็พลอยเจ็บด้วย ถ้าอวัยวะหนึ่งมีเกียรติ ทุกส่วนก็ร่วมชื่นชมยินดีด้วย
27 ท่านทั้งหลายเป็นกายของพระคริสต์ พวกท่านแต่ละคนเป็นส่วนหนึ่งของกายนั้น 28 และในคริสตจักร พระเจ้าได้ทรงแต่งตั้งอัครทูตเป็นอันดับแรก อันดับที่สองคือผู้เผยพระวจนะ อันดับที่สามคือผู้สอน จากนั้นคือผู้ทำการอัศจรรย์ ผู้มีของประทานในการรักษาโรค ผู้สามารถช่วยเหลือผู้อื่น ผู้มีของประทานในการบริหารงาน และผู้พูดภาษาแปลกๆ 29 ทุกคนเป็นอัครทูตหรือ? ทุกคนเป็นผู้เผยพระวจนะหรือ? ทุกคนเป็นผู้สอนหรือ? ทุกคนทำการอัศจรรย์หรือ? 30 ทุกคนมีของประทานในการรักษาโรคหรือ? ทุกคนพูดภาษาแปลกๆ[am]หรือ? ทุกคนแปลได้หรือ? 31 แต่ให้เราใฝ่หา[an]ของประทานที่ยิ่งใหญ่กว่านี้
ความรัก
และบัดนี้ข้าพเจ้าจะสำแดงหนทางที่ดีเยี่ยมที่สุดแก่ท่าน
13 แม้ข้าพเจ้าพูดภาษาแปลกๆ[ao]ได้ทั้งภาษามนุษย์และภาษาทูตสวรรค์ แต่ถ้าปราศจากความรัก ข้าพเจ้าก็เป็นแค่ฆ้องหรือฉิ่งฉาบที่กำลังส่งเสียง 2 หากข้าพเจ้ามีของประทานในการเผยพระวจนะ สามารถหยั่งถึงข้อล้ำลึกทั้งปวงและความรู้ทั้งสิ้น และถ้าข้าพเจ้ามีความเชื่อที่เคลื่อนภูเขาได้ แต่ไม่มีความรัก ข้าพเจ้าก็ไม่มีค่าอะไร 3 แม้ข้าพเจ้ายกทรัพย์สินทั้งหมดให้คนยากไร้และยอมพลีกายให้เอาไปเผาไฟ[ap] แต่ไม่มีความรัก ก็เปล่าประโยชน์
4 ความรักย่อมอดทนนาน ความรักคือความเมตตา ไม่อิจฉา ไม่อวดตัว ไม่หยิ่งผยอง 5 ไม่หยาบคาย ไม่เห็นแก่ตัว ไม่ฉุนเฉียว ไม่จดจำความผิด 6 ความรักไม่ปีติยินดีในความชั่ว แต่ชื่นชมยินดีในความจริง 7 ความรักปกป้องคุ้มครองเสมอ ไว้วางใจเสมอ มีความหวังอยู่เสมอและอดทนบากบั่นอยู่เสมอ
8 ความรักไม่มีวันสูญสิ้น แม้การเผยพระวจนะจะเลิกรา การพูดภาษาแปลกๆ จะเงียบหาย ความรู้จะล่วงพ้นไป 9 เพราะเรารู้เพียงบางส่วนและเราเผยพระวจนะเพียงบางส่วน 10 แต่เมื่อความสมบูรณ์พร้อมมาถึง สิ่งที่ไม่สมบูรณ์ก็จะหมดสิ้นไป 11 เมื่อข้าพเจ้ายังเป็นเด็ก ข้าพเจ้าพูดอย่างเด็ก คิดอย่างเด็ก ใช้เหตุผลอย่างเด็ก แต่เมื่อเติบโตเป็นผู้ใหญ่ ข้าพเจ้าก็ทิ้งวิถีทางอย่างเด็กไว้เบื้องหลัง 12 เวลานี้เราเห็นแต่เงาสะท้อนเลือนรางเหมือนมองในกระจก แต่เวลานั้นเราจะเห็นกันหน้าต่อหน้า เวลานี้ข้าพเจ้ารู้เพียงบางส่วน แต่เวลานั้นข้าพเจ้าจะรู้แจ้งเหมือนที่ทรงรู้จักข้าพเจ้าอย่างแจ่มแจ้ง
13 ฉะนั้นสามสิ่งนี้ยังคงอยู่คือ ความเชื่อ ความหวังใจ และความรัก แต่ความรักยิ่งใหญ่ที่สุด
ของประทานในการเผยพระวจนะและการพูดภาษาแปลกๆ
14 จงดำเนินในวิถีแห่งความรักและใฝ่หาของประทานฝ่ายจิตวิญญาณอย่างกระตือรือร้น โดยเฉพาะการเผยพระวจนะ 2 เพราะผู้ที่พูดภาษาแปลกๆ[aq]ไม่ได้พูดกับมนุษย์ แต่ทูลต่อพระเจ้า อันที่จริงไม่มีใครเข้าใจสิ่งที่เขาพูดเลย เขากล่าวข้อล้ำลึกด้วยจิตวิญญาณของเขา[ar] 3 แต่ทุกคนที่เผยพระวจนะนั้นกล่าวแก่คนทั้งหลายเพื่อทำให้พวกเขาเข้มแข็งขึ้น เพื่อให้กำลังใจและเพื่อปลอบโยน 4 ผู้ที่พูดภาษาแปลกๆ เสริมสร้างตัวเอง ส่วนผู้ที่เผยพระวจนะเสริมสร้างคริสตจักร 5 ข้าพเจ้าอยากให้ท่านทุกคนพูดภาษาแปลกๆ[as] ได้ แต่ที่ยิ่งกว่านั้นข้าพเจ้าอยากให้ท่านเผยพระวจนะได้ ผู้ที่เผยพระวจนะนั้นยิ่งใหญ่กว่าผู้ที่พูดภาษาแปลกๆ เว้นแต่เขาแปลภาษานั้นๆ ได้เพื่อคริสตจักรจะได้รับเสริมสร้าง
6 พี่น้องทั้งหลาย หากข้าพเจ้ามาหาท่านพร้อมกับพูดภาษาแปลกๆ ข้าพเจ้าจะอำนวยประโยชน์อันใดแก่ท่าน? นอกจากว่าข้าพเจ้าจะนำการทรงสำแดง หรือความรู้ หรือการเผยพระวจนะ หรือถ้อยคำสั่งสอนมาให้ 7 แม้แต่สิ่งที่ไม่มีชีวิตก็เปล่งเสียงได้ ตัวอย่างเช่นขลุ่ยหรือพิณ ใครจะรู้ว่าเขากำลังบรรเลงทำนองอะไรหากไม่เล่นตามโน้ตให้ชัดเจน? 8 และถ้าแตรศึกเป่าเรียกไม่ชัดเจนใครจะเตรียมพร้อมออกรบ? 9 ท่านทั้งหลายก็เช่นกัน หากท่านพูดด้วยถ้อยคำที่คนไม่เข้าใจ ใครจะรู้ว่าท่านกำลังพูดอะไร? ท่านก็ได้แต่พูดลมๆ แล้งๆ 10 ไม่ต้องสงสัยเลยว่าในโลกย่อมมีภาษาสารพัดแบบ แต่ไม่มีภาษาไหนที่ปราศจากความหมาย 11 หากข้าพเจ้าจับใจความที่เขาพูดอยู่ไม่ได้ ข้าพเจ้ากับผู้พูดก็เป็นคนต่างภาษากัน 12 ท่านทั้งหลายก็เช่นกัน ในเมื่อท่านใฝ่หาของประทานฝ่ายจิตวิญญาณ ก็จงพยายามที่จะเป็นเลิศในของประทานซึ่งเสริมสร้างคริสตจักร
13 ด้วยเหตุนี้ผู้ใดพูดภาษาแปลกๆ ได้ ควรอธิษฐานขอให้เขาแปลสิ่งที่เขาพูดได้ด้วย 14 เพราะถ้าข้าพเจ้าอธิษฐานด้วยภาษาแปลกๆ จิตวิญญาณของข้าพเจ้าอธิษฐาน แต่ไม่มีผลต่อความคิดของข้าพเจ้า 15 ฉะนั้นข้าพเจ้าควรทำอย่างไร? ข้าพเจ้าจะอธิษฐานด้วยจิตวิญญาณ แต่ข้าพเจ้าก็จะอธิษฐานด้วยความคิดเช่นกัน ข้าพเจ้าจะร้องเพลงด้วยจิตวิญญาณ แต่ข้าพเจ้าก็จะร้องเพลงด้วยความคิดเช่นกัน 16 ถ้าท่านสรรเสริญพระเจ้าด้วยจิตวิญญาณของท่าน คนที่ไม่รู้ไม่เข้าใจ[at]จะกล่าว “อาเมน” ขานรับการขอบพระคุณของท่านได้อย่างไรในเมื่อเขาไม่รู้ว่าท่านพูดอะไร? 17 ท่านอาจจะขอบพระคุณได้อย่างดีเยี่ยม แต่ไม่ได้เสริมสร้างคนอื่น
18 ข้าพเจ้าขอบพระคุณพระเจ้าที่ข้าพเจ้าพูดภาษาแปลกๆ มากกว่าพวกท่านทั้งหมด 19 แต่ในคริสตจักรข้าพเจ้าขอพูดสักห้าคำที่คนฟังเข้าใจได้เพื่อสอนคนอื่น ดีกว่าพูดหมื่นคำเป็นภาษาแปลกๆ
20 พี่น้องทั้งหลาย เลิกคิดแบบเด็กๆ เสียเถิด ในเรื่องความชั่วจงเป็นทารก แต่ในด้านความคิดจงเป็นผู้ใหญ่ 21 ตามที่มีเขียนไว้ในบทบัญญัติว่า
องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสว่า
“เราจะพูดกับชนชาตินี้ผ่านทางคนต่างภาษา
ผ่านริมฝีปากของคนต่างชาติ
แต่กระนั้นเขาก็ยังจะไม่ฟังเรา”[au]
22 ฉะนั้นการพูดภาษาแปลกๆ จึงเป็นหมายสำคัญไม่ใช่สำหรับผู้เชื่อ แต่สำหรับผู้ที่ไม่เชื่อ แต่การเผยพระวจนะนั้นสำหรับผู้เชื่อ ไม่ใช่ผู้ที่ไม่เชื่อ 23 ด้วยเหตุนี้หากทั้งคริสตจักรมาประชุมกันและทุกคนพูดภาษาแปลกๆ แล้วคนที่ไม่เข้าใจ[av] หรือผู้ที่ไม่เชื่อเข้ามา จะไม่หาว่าท่านเสียสติไปหรือ? 24 แต่ถ้าหากผู้ที่ไม่เชื่อหรือคนที่ไม่เข้าใจเข้ามาขณะที่ทุกคนกำลังเผยพระวจนะ ทั้งหมดนี้ก็จะทำให้เขาสำนึกว่าเขาเป็นคนบาปและทั้งหมดนี้จะพิพากษาเขา 25 และความลับต่างๆ ในใจเขาจะถูกตีแผ่ ดังนั้นเขาจะกราบลงนมัสการพระเจ้าและร้องว่า “พระเจ้าสถิตท่ามกลางพวกท่านจริงๆ!”
การนมัสการอย่างมีระเบียบ
26 พี่น้องทั้งหลาย แล้วเราจะว่าอย่างไรดี? เมื่อพวกท่านมาประชุมกัน ทุกคนมีเพลงสดุดี หรือคำสั่งสอน การทรงสำแดง ภาษาแปลกๆ หรือการแปลภาษาแปลกๆ ทั้งหมดนี้ต้องทำเพื่อให้คริสตจักรเข้มแข็งขึ้น 27 หากใครจะพูดภาษาแปลกๆ จงพูดแค่สองคนหรืออย่างมากที่สุดสามคน โดยพูดทีละคนและต้องมีคนแปลความ 28 หากไม่มีคนแปล ผู้พูดควรอยู่เงียบๆ ในคริสตจักร พูดกับตัวเองและทูลต่อพระเจ้า
29 ส่วนผู้เผยพระวจนะควรพูดสักสองหรือสามคน และให้คนอื่นๆ ไตร่ตรองสิ่งที่เขาพูดให้ดี 30 หากมีการทรงสำแดงแก่บางคนที่นั่งอยู่ ให้ผู้พูดคนแรกนิ่งก่อน 31 เพราะว่าพวกท่านทั้งหมดจะได้เผยพระวจนะทีละคน เพื่อให้ทุกคนได้รับคำสอนและคำให้กำลังใจ 32 จิตวิญญาณของผู้เผยพระวจนะย่อมอยู่ในบังคับของผู้เผยพระวจนะ 33 เพราะพระเจ้าไม่ใช่พระเจ้าแห่งความวุ่นวาย แต่ทรงเป็นพระเจ้าแห่งความสงบสุข
ตามที่ปฏิบัติกันในที่ประชุมทั้งปวงของประชากรของพระเจ้า 34 ผู้หญิงควรนิ่งเสียในคริสตจักร ไม่ได้รับอนุญาตให้พูด แต่ต้องนอบน้อมยอมจำนนตามที่บทบัญญัติระบุ 35 ถ้าอยากถามเรื่องใด ควรถามสามีที่บ้าน เป็นเรื่องน่าอายที่ผู้หญิงจะพูดขึ้นมาในคริสตจักร
36 พระวจนะของพระเจ้าเกิดมาจากพวกท่านหรือ? พระวจนะมีมาถึงท่านพวกเดียวหรือ? 37 ถ้าใครคิดว่าตนเป็นผู้เผยพระวจนะหรือมีของประทานฝ่ายจิตวิญญาณก็ให้เขายอมรับว่าข้อความที่ข้าพเจ้าเขียนมาถึงท่านนี้เป็นพระบัญชาขององค์พระผู้เป็นเจ้า 38 ถ้าเขาละเลยเรื่องนี้ ตัวเขาเองจะถูกละเลย[aw]
39 เหตุฉะนั้นพี่น้องทั้งหลายของข้าพเจ้า จงกระตือรือร้นในการเผยพระวจนะ และอย่าห้ามการพูดภาษาแปลกๆ เลย 40 แต่ควรทำทุกสิ่งอย่างเหมาะสมและเป็นระเบียบ
Thai New Contemporary Bible Copyright © 1999, 2001, 2007 by Biblica, Inc.® Used by permission. All rights reserved worldwide.