Print Page Options
Previous Prev Day Next DayNext

Bible in 90 Days

An intensive Bible reading plan that walks through the entire Bible in 90 days.
Duration: 88 days
New Thai Version (NTV-BIBLE)
Version
ฮีบรู 1:1 - ยากอบ 3:12

พระบุตรยิ่งใหญ่กว่าทูตสวรรค์

ในสมัยก่อน พระเจ้าได้กล่าวกับบรรพบุรุษของเราโดยผ่านบรรดาผู้เผยคำกล่าวของพระเจ้าหลายครั้ง และด้วยวิธีต่างๆ กัน แต่บัดนี้เป็นช่วงเวลาแห่งวาระสุดท้าย พระองค์ได้กล่าวกับเราโดยผ่านพระบุตรของพระองค์ ผู้ซึ่งพระองค์แต่งตั้งให้เป็นผู้รับสิ่งทั้งปวงเป็นมรดก และพระเจ้าได้สร้างจักรวาลโดยผ่านพระองค์ด้วย พระบุตรเป็นแสงสะท้อนพระบารมีของพระเจ้า และมีคุณสมบัติเหมือนพระองค์ทุกประการ สิ่งทั้งปวงยืนยงอยู่ได้ด้วยคำกล่าวซึ่งมีอานุภาพของพระองค์ เมื่อพระองค์ได้ชำระบาปทั้งปวงแล้ว ก็ได้นั่งอยู่ ณ เบื้องขวาขององค์ผู้ยิ่งใหญ่ในเบื้องสูง พระองค์ได้มาในฐานะที่เหนือยิ่งกว่าบรรดาทูตสวรรค์ เช่นเดียวกับพระนามที่ได้รับจากพระเจ้าซึ่งยิ่งใหญ่กว่านามของทูตสวรรค์

พระเจ้าเคยกล่าวกับทูตสวรรค์องค์ใดบ้างว่า

“เจ้าเป็นบุตรของเรา
    วันนี้เราประกาศว่า เราเป็นบิดาของเจ้า”[a]

และยังกล่าวอีกว่า

“เราจะเป็นบิดาของท่าน[b]
    และท่านจะเป็นบุตรของเรา”[c]

และเมื่อพระเจ้านำบุตรหัวปีของพระองค์เข้ามาในโลก พระองค์กล่าวอีกว่า

“ให้บรรดาทูตสวรรค์ของพระเจ้า กราบนมัสการท่าน”[d]

และพระเจ้ากล่าวถึงทูตสวรรค์ว่า

“พระองค์บันดาลให้ทูตสวรรค์ของพระองค์เป็นดุจลม
    และให้ผู้รับใช้ของพระองค์เป็นดุจเปลวไฟ”[e]

แต่มีคำกล่าวถึงพระบุตรว่า

“ข้าแต่พระเจ้า บัลลังก์ของพระองค์จะคงอยู่ชั่วนิรันดร์กาล
    และความชอบธรรมจะเป็นดุจคทาแห่งอาณาจักรของพระองค์
พระองค์รักความชอบธรรมและเกลียดความชั่วร้าย
    ฉะนั้นพระเจ้า ผู้เป็นพระเจ้าของพระองค์ ได้ให้พระองค์อยู่เหนือมิตรสหาย
    โดยเจิม[f]พระองค์ด้วยน้ำมันแห่งความยินดี”[g]

10 และได้กล่าวต่อไปอีกว่า

“ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้า ในปฐมกาล พระองค์วางฐานรากของแผ่นดินโลก
    และฟ้าสวรรค์เป็นผลงานจากฝีมือของพระองค์
11 สิ่งเหล่านี้จะพินาศ แต่พระองค์ยังดำรงอยู่
    ทุกสิ่งจะผุพังไปเหมือนกับเครื่องนุ่งห่ม
12 พระองค์จะม้วนสิ่งเหล่านี้เหมือนม้วนเสื้อคลุม
    และสิ่งเหล่านี้จะถูกเปลี่ยนเหมือนเปลี่ยนเครื่องนุ่งห่ม
แต่พระองค์คงอยู่เช่นเดิม
    และชีวิตของพระองค์จะไม่มีวันสิ้นสุด”[h]

13 พระเจ้าได้กล่าวกับทูตสวรรค์ผู้ใดบ้างว่า

“จงนั่งทางด้านขวาของเรา
    จนกว่าเราจะทำให้พวกศัตรูของเจ้าอยู่ใต้เท้า
    ดั่งที่วางเท้าของเจ้า”[i]

14 แล้วทูตสวรรค์ทั้งปวงไม่ได้เป็นวิญญาณผู้รับใช้ ที่พระองค์ส่งไปช่วยเหลือพวกที่จะได้รับความรอดพ้นเป็นมรดกหรือ

การเตือนเพื่อไม่ให้ห่างเหินจากไป

เพราะเหตุนี้ พวกเราจึงต้องสนใจสิ่งที่ได้ยินมาแล้วให้มากขึ้นกว่านี้อีก เพื่อเราจะได้ไม่ห่างเหินไป ในเมื่อคำที่พระเจ้าให้บรรดาทูตสวรรค์กล่าวไว้พิสูจน์ได้ว่าเป็นความจริง และการกระทำผิด รวมทั้งการไม่เชื่อฟังทุกอย่างได้รับโทษที่สมควรได้รับ ดังนั้น หากเราเพิกเฉยกับความรอดพ้นอันยิ่งใหญ่ แล้วเราจะหนีรอดได้อย่างไร แรกเริ่มเดิมทีพระผู้เป็นเจ้าประกาศเรื่องความรอดพ้นนี้ และพวกที่ได้ยินพระองค์ ก็ได้ยืนยันกับเรา พระเจ้าก็ได้ยืนยันแล้วด้วย โดยให้มีปรากฏการณ์อัศจรรย์ สิ่งมหัศจรรย์ ฤทธานุภาพ และของประทานต่างๆ ของพระวิญญาณบริสุทธิ์ ซึ่งมอบให้ตามความประสงค์ของพระองค์

ผู้เบิกทางแห่งความรอดพ้น

พระองค์ไม่ได้ให้บรรดาทูตสวรรค์เป็นฝ่ายปกครองโลกใหม่ที่เรากำลังพูดถึง แต่มีคนกล่าวยืนยันตอนหนึ่งว่า

“มนุษย์คือใคร ที่พระองค์จะเอาใจใส่
    หรือบุตรมนุษย์คือใคร ที่พระองค์จะดูแลรักษา
พระองค์ทำให้เขาด้อยกว่าเหล่าทูตสวรรค์เล็กน้อยเพียงชั่วขณะ
    พระองค์ได้มอบบารมีและเกียรติให้แก่เขา
    พระองค์ได้ให้ทุกสิ่งอยู่ใต้เท้าของเขา”[j]

ทุกสิ่งอยู่ภายใต้การควบคุมของเขา จึงไม่มีสักสิ่งเดียวที่พระเจ้าไม่ได้ให้อยู่ภายใต้การควบคุมของเขา แต่ถึงกระนั้น พวกเราก็ไม่เห็นว่า ทุกสิ่งอยู่ภายใต้การควบคุมของเขาในเวลานี้ แต่พวกเราเห็นพระเยซูผู้ที่พระองค์ทำให้ด้อยกว่าเหล่าทูตสวรรค์เล็กน้อยเพียงชั่วขณะ ได้รับพระบารมีและพระเกียรติเป็นมงกุฎ เพราะพระองค์สิ้นชีวิตโดยการรับทุกข์ทรมาน ทั้งนี้โดยพระคุณของพระเจ้า พระองค์จึงได้ลิ้มรสความตายเพื่อมนุษย์ทุกคน

10 การนำบุตรจำนวนมากไปสู่พระบารมีเป็นการเหมาะสมที่พระเจ้าผู้สร้าง และให้สิ่งทั้งหลายดำรงอยู่ ได้เป็นผู้ทำให้ผู้เบิกทางแห่งความรอดพ้นของเขาเหล่านี้เพียบพร้อมทุกประการโดยการทนทุกข์ทรมาน 11 ทั้งองค์ผู้ชำระให้บริสุทธิ์ และบรรดาผู้ได้รับการชำระให้บริสุทธิ์มีพระบิดาองค์เดียวกัน ดังนั้นพระเยซูจึงไม่ละอายที่จะเรียกพวกเขาว่าพี่น้อง 12 พระองค์กล่าวว่า

“ข้าพเจ้าจะประกาศพระนามของพระองค์แก่เหล่าพี่น้องของข้าพเจ้า
    ข้าพเจ้าจะร้องเพลงสรรเสริญพระองค์ในท่ามกลางที่ประชุม”[k]

13 และกล่าวอีกว่า

“ข้าพเจ้าจะวางใจในพระองค์”[l]

ทั้งกล่าวอีกว่า

“ดูเถิด ตัวข้าพเจ้ากับบรรดาบุตรที่พระเจ้าได้ให้แก่ข้าพเจ้า”[m]

14 ในเมื่อบุตรทั้งหลายมีคุณสมบัติที่เป็นเลือดเนื้อ พระองค์เองมีส่วนร่วมในคุณสมบัติเช่นเดียวกัน เพื่อพระองค์จะได้ทำลายผู้มีอำนาจแห่งความตายคือพญามาร ด้วยการสิ้นชีวิตของพระองค์ 15 และจะได้ช่วยพวกที่ตกเป็นทาสแห่งความกลัวตายมาตลอดชีวิตให้มีอิสระ 16 แน่นอนทีเดียวที่พระองค์ไม่ให้ความช่วยเหลือแก่บรรดาทูตสวรรค์ แต่ช่วยผู้สืบเชื้อสายของอับราฮัม 17 ฉะนั้นพระองค์จึงต้องเป็นเหมือนกับพี่น้องของพระองค์ในทุกๆ เรื่อง เพื่อพระองค์จะได้เป็นหัวหน้ามหาปุโรหิตที่มีความเมตตา และรักษาคำมั่นสัญญาในการรับใช้พระเจ้า และเพื่อพระองค์จะได้ชดใช้บาปให้มวลชน 18 และเมื่อพระองค์เองทนทุกข์ทรมานและถูกยั่วยุ พระองค์จึงสามารถช่วยบรรดาผู้ที่ถูกยั่วยุได้

พระเยซูยิ่งใหญ่กว่าโมเสส

ฉะนั้น พี่น้องผู้บริสุทธิ์ทั้งหลายที่พระเจ้าได้เรียกจากสวรรค์ จงนึกถึงพระเยซูผู้เป็นอัครทูตและหัวหน้ามหาปุโรหิต ผู้ที่เรายอมรับด้วยปากว่าเราเชื่อในพระองค์ พระองค์ภักดีต่อผู้ที่แต่งตั้งพระองค์ เหมือนกับที่โมเสสมีความภักดีในทุกสิ่งที่เกี่ยวกับตำหนักของพระเจ้า พระเยซูสมควรได้รับพระเกียรติยิ่งกว่าโมเสส เช่นเดียวกับผู้สร้างตำหนัก ที่ได้รับเกียรติมากกว่าตัวตำหนักเอง เพราะทุกตำหนักย่อมถูกสร้างโดยผู้ใดผู้หนึ่ง แต่พระเจ้าเป็นผู้สร้างทุกสิ่ง โมเสสมีความภักดีดังเช่นผู้รับใช้ในทุกสิ่งที่เกี่ยวกับตำหนักของพระเจ้า คือยืนยันในเรื่องต่างๆ ที่พระเจ้าจะกล่าวในเวลาต่อมา แต่พระคริสต์เป็นพระบุตรผู้มีความภักดี พระองค์ควบคุมดูแลตำหนักของพระเจ้า และพวกเราก็คือตำหนักของพระองค์ หากว่าเรายึดความกล้าหาญและความมั่นใจในสิ่งที่เราหวังไว้

การเตือนเรื่องความไม่เชื่อ

ตามที่พระวิญญาณบริสุทธิ์กล่าวคือ

“วันนี้ ถ้าพวกเจ้าได้ยินเสียงของพระองค์
    ก็อย่าทำใจของเจ้าให้แข็งกระด้าง
เหมือนกับที่ได้ยั่วโทสะเรา
    ในครั้งที่ถูกทดสอบใจในถิ่นทุรกันดาร
เป็นที่ซึ่งบรรพบุรุษของเจ้าได้ลองดีกับเราโดยการทดสอบเรา
    ทั้งที่ได้เห็นแล้วว่าใน 40 ปี เรากระทำอะไรบ้าง
10 ฉะนั้นเราจึงโกรธคนในสมัยนั้น
    แล้วเราจึงกล่าวว่า ‘จิตใจของเขาเหล่านั้นหลงผิดเสมอ
    และเขาไม่รู้วิถีทางของเรา’
11 เราจึงประกาศให้คำปฏิญาณด้วยความกริ้วว่า
    ‘พวกเขาจะไม่มีวันเข้าสู่ที่พำนักของเรา’”[n]

12 พี่น้องทั้งหลายจงแน่ใจว่า จะไม่มีคนใดในพวกท่านที่มีใจชั่วร้ายและขาดความเชื่อ ซึ่งหันเหไปจากพระเจ้าผู้ดำรงอยู่ 13 แต่ท่านจงให้กำลังใจกันโดยสม่ำเสมอตราบที่เรียกกันว่า “วันนี้” เพื่อจะได้ไม่มีคนหนึ่งคนใดในพวกท่านมีใจแข็งกระด้าง อันเนื่องมาจากการลวงหลอกของบาป 14 พวกเราจะมีส่วนร่วมกับพระคริสต์ ถ้าเรายึดความมั่นใจที่เรามีแต่แรกไว้ให้คงมั่นจนถึงที่สุด 15 ตามที่พระคัมภีร์ระบุว่า

“วันนี้ ถ้าพวกเจ้าได้ยินเสียงของพระองค์
    ก็อย่าทำใจของเจ้าให้แข็งกระด้าง
    เหมือนกับที่ได้ยั่วโทสะเรา”[o]

16 ใครล่ะที่ได้ยินแล้วยั่วโทสะพระองค์ ไม่ใช่ทุกคนที่โมเสสได้นำออกจากประเทศอียิปต์หรือ 17 และพระองค์โกรธใครเป็นเวลา 40 ปีล่ะ ไม่ใช่พวกที่ทำบาปแล้วได้ล้มตายลงในถิ่นทุรกันดารหรือ 18 พระเจ้าประกาศให้คำปฏิญาณกับใครว่า พวกเขาจะไม่มีวันเข้าสู่ที่พำนักของพระองค์ ถ้าไม่ใช่กับคนที่ขาดการเชื่อฟัง 19 เราจึงเห็นว่าเขาเหล่านั้นไม่สามารถเข้าไปได้ เพราะความไม่เชื่อของเขา

การพำนักสำหรับคนของพระเจ้า

สัญญาเพื่อการเข้าสู่ที่พำนักของพระองค์นั้นยังใช้ได้ ฉะนั้นเราจงระวังไว้ เพื่อว่าจะไม่มีใครในพวกท่านที่ไปไม่ถึง เพราะว่าเราได้รับคำประกาศข่าวประเสริฐเช่นเดียวกับที่พวกเขาได้รับ แต่คำประกาศที่พวกเขาได้ยินไม่เป็นประโยชน์แก่เขา เพราะพวกที่ได้ยินไม่มีความผูกพันด้วยความเชื่อ พวกเราที่เชื่อแล้ว ก็เข้าไปสู่ที่ซึ่งจะได้พำนักตามที่พระเจ้าได้กล่าวไว้คือ

“เราจึงประกาศให้คำปฏิญาณด้วยความกริ้วว่า
    ‘พวกเขาจะไม่มีวันเข้าสู่ที่พำนักของเรา’”[p]

แม้ว่าการงานของพระองค์จะเสร็จสิ้นแล้วตั้งแต่การสร้างโลก พระองค์ได้กล่าวถึงวันที่เจ็ดในข้อความหนึ่งว่า “และในวันที่เจ็ด พระเจ้าได้หยุดพักจากการงานทั้งสิ้นของพระองค์”[q] และในข้อความข้างต้นพระองค์กล่าวว่า “พวกเขาจะไม่มีวันเข้าสู่ที่พำนักของเรา”

ในเมื่อที่พำนักนั้นยังเปิดให้บางคนเข้าไปได้ และสมัยก่อนมีพวกที่ได้รับข่าวประเสริฐแล้ว แต่ไม่สามารถเข้าไปได้ ก็เพราะการไม่เชื่อฟังของพวกเขา พระเจ้าจึงได้กำหนดไว้อีกวันหนึ่งโดยเรียกว่า “วันนี้” หลังจากเวลาผ่านไปเป็นเวลานานแล้ว พระองค์กล่าวผ่านดาวิดดังที่ว่ามาแล้วว่า

“วันนี้ ถ้าพวกเจ้าได้ยินเสียงของพระองค์
    ก็อย่าทำใจของเจ้าให้แข็งกระด้าง”

เพราะว่าถ้าโยชูวาได้ให้พวกเขาเข้าสู่ที่พำนักนั้นแล้ว พระเจ้าก็จะไม่กล่าวถึงวันอื่นอีกในภายหลัง ดังนั้นจึงยังมีการพำนักวันสะบาโตสำหรับคนของพระเจ้า 10 ด้วยว่าคนที่ได้เข้าสู่ที่พำนักของพระองค์ ก็ได้พักจากการงานของเขาเอง เหมือนกับที่พระเจ้าได้พักจากการงานของพระองค์

11 ฉะนั้น เราจงพยายามอย่างที่สุดที่จะเข้าสู่การพำนักนั้น เพื่อจะได้ไม่มีผู้หนึ่งผู้ใดพลั้งพลาด เพียงเพราะการทำตามตัวอย่างของการไม่เชื่อฟัง 12 ด้วยว่าคำกล่าวของพระเจ้ามีชีวิตและพลานุภาพ และคมยิ่งกว่าดาบสองคมซึ่งแทงลึกลงไปถึงจิตและวิญญาณ ถึงข้อต่อและไขกระดูก และสามารถเผยให้รู้ถึงความคิดและความมุ่งหมายในใจด้วย 13 ไม่มีสิ่งใดที่พระเจ้าสร้างไว้ จะหลบซ่อนไปจากสายตาของพระองค์ได้ แต่ทุกสิ่งเป็นที่เปิดเผย และประจักษ์แก่สายตาของพระองค์ คือผู้ที่เราต้องถวายรายงานด้วย

หัวหน้ามหาปุโรหิตผู้ยิ่งใหญ่

14 ฉะนั้น ในเมื่อเรามีหัวหน้ามหาปุโรหิตผู้ยิ่งใหญ่ที่ได้ผ่านเข้าไปในสวรรค์แล้ว คือพระเยซูผู้เป็นพระบุตรของพระเจ้า ขอให้เราทั้งหลายยึดมั่นในความเชื่อซึ่งเรายอมรับด้วยปากเถิด 15 เพราะเรามีหัวหน้ามหาปุโรหิตที่สามารถเห็นใจในความอ่อนแอของเรา และในเมื่อพระองค์ก็ถูกยั่วยุมาแล้วเช่นเดียวกับเราทุกประการ ถึงกระนั้นพระองค์ก็ไม่มีบาป 16 ดังนั้น ขอให้เราทั้งหลายเข้าไปใกล้ให้ถึงบัลลังก์แห่งพระคุณด้วยความมั่นใจ เพื่อเราจะได้รับความเมตตา และพบพระคุณเพื่อช่วยเราในยามจำเป็น

หัวหน้ามหาปุโรหิตทุกคนได้รับเลือกมาจากมนุษย์ และได้รับการแต่งตั้งไว้เพื่อเป็นตัวแทนของมนุษย์ในเรื่องที่เกี่ยวข้องกับพระเจ้า เพื่อถวายของบรรณาการและเครื่องสักการะเป็นการชดใช้บาป หัวหน้ามหาปุโรหิตสามารถจัดการเรื่องเหล่านี้ได้อย่างละมุนละม่อมกับคนที่รู้เท่าไม่ถึงการณ์ซึ่งถูกชักนำไปในทางที่ผิด เพราะตัวเขาเองก็อ่อนแอหลายเรื่อง เพราะเหตุนี้หัวหน้ามหาปุโรหิตจึงจำต้องถวายเครื่องสักการะ เพื่อลบล้างบาปของตนเองและของผู้อื่นด้วย ไม่มีใครที่เลือกตำแหน่งอันมีเกียรตินี้ให้ตนเองได้ แต่จะได้รับเกียรติ ต่อเมื่อพระเจ้าเรียกเหมือนอย่างที่พระองค์ได้เรียกอาโรน

พระคริสต์ก็ไม่ได้ยกเชิดชูพระองค์เองให้เป็นหัวหน้ามหาปุโรหิต แต่พระเจ้ากล่าวกับพระคริสต์ว่า

“เจ้าเป็นบุตรของเรา
    วันนี้เราประกาศว่า เราเป็นบิดาของเจ้า”[r]

และพระองค์กล่าวอีกตอนหนึ่งว่า

“เจ้าเป็นปุโรหิตเป็นนิตย์
    ตามแบบอย่างเมลคีเซเดค”[s]

ตลอดวันเวลาที่พระเยซูมีชีวิตเป็นมนุษย์ พระองค์ได้อธิษฐาน และอ้อนวอนเสียงดัง และหลั่งน้ำตาต่อพระองค์ผู้สามารถช่วยให้พระองค์พ้นจากความตาย ซึ่งพระเจ้าได้สดับรับฟังเพราะพระเยซูยอมเชื่อฟัง ถึงแม้ว่าพระองค์เป็นบุตร พระองค์ก็ได้เรียนรู้การเชื่อฟัง เนื่องจากความทุกข์ยากลำบากที่ได้รับ หลังจากที่พระเจ้าได้ทำให้พระองค์เพียบพร้อมทุกประการแล้ว พระองค์ก็คือแหล่งแห่งความรอดพ้นอันเป็นนิรันดร์สำหรับทุกคนที่เชื่อฟังพระองค์ 10 และพระเจ้าแต่งตั้งให้พระองค์เป็นหัวหน้ามหาปุโรหิตตามแบบอย่างเมลคีเซเดค

การเตือนเรื่องละทิ้งความเชื่อ

11 เรามีหลายสิ่งที่จะพูดเกี่ยวกับเรื่องนี้ แต่ยากที่จะอธิบายเพราะพวกท่านเรียนรู้ได้ช้ามาก 12 ความจริงขณะนี้ท่านควรจะเป็นครูสอนได้แล้ว แต่ท่านยังจำเป็นต้องให้มีคนสอนความจริงเบื้องต้นที่เป็นคำสั่งสอนของพระเจ้าอีก ท่านจำต้องดื่มน้ำนม ไม่ใช่อาหารแข็ง 13 ทุกคนที่ดื่มเพียงแต่น้ำนมยังไม่ชินกับคำสอนแห่งความชอบธรรม เพราะเขายังเป็นเด็กทารก 14 แต่อาหารแข็งเป็นอาหารสำหรับผู้ใหญ่ เนื่องจากการฝึกฝนอยู่เสมอจึงหยั่งรู้ได้ว่าอะไรดีและอะไรชั่ว

ฉะนั้น ขอให้เราผ่านการสอนเบื้องต้นเกี่ยวกับพระคริสต์ และก้าวเข้าสู่ความเป็นผู้ใหญ่ โดยไม่ต้องวางรากฐานซ้ำอีก คือเลิกจากการกระทำที่ไร้ประโยชน์ และมีความเชื่อในพระเจ้า การสั่งสอนเรื่องบัพติศมาต่างๆ และการวางมือบนตัว การฟื้นคืนชีวิตจากความตาย และการพิพากษาโทษอันเป็นนิรันดร์ ถ้าหากพระเจ้าอนุญาต เราก็จะทำเช่นนั้น ในกรณีของบรรดาผู้ที่พระเจ้าเคยให้สัมผัสกับความสว่าง ได้ลิ้มรสของประทานจากสวรรค์ ได้มีส่วนร่วมกับพระวิญญาณบริสุทธิ์ อีกทั้งได้ลิ้มรสคำกล่าวอันดีงามของพระเจ้า และอานุภาพแห่งยุคที่จะมาถึง ครั้นแล้วพวกเขาก็ละทิ้งความเชื่อไป เป็นไปไม่ได้ที่จะให้เขากลับใจอีก เพราะเหมือนกับว่าเขาตรึงพระบุตรของพระเจ้าที่ไม้กางเขนอีกครั้ง และประจานพระองค์ต่อสาธารณชน พระเจ้าให้พรแก่พื้นดินที่ได้รับน้ำจากฝนที่ตกอยู่บ่อยครั้ง และเกิดมีพืชพันธุ์เติบโต อันเป็นประโยชน์แก่คนที่จะได้รับผลจากไร่นา แต่ถ้าพื้นดินนั้นมีหนามและหญ้ารกเกิดขึ้น ที่ตรงนั้นก็ไร้ค่า เกือบจะเรียกได้ว่าถูกสาปแช่งแล้ว ในที่สุดก็จะถูกเผา

ท่านที่รักทั้งหลาย แม้ว่าเราจะพูดอย่างนั้น เราเชื่อแน่ว่าในกรณีของท่านยังมีสิ่งที่ดีกว่า คือสิ่งที่มาคู่กับความรอดพ้น 10 พระเจ้ายุติธรรม พระองค์จะไม่ลืมการงานของท่าน และความรักที่ท่านได้แสดงต่อพระนามของพระองค์ โดยการที่ท่านได้ช่วยบรรดาผู้บริสุทธิ์ของพระเจ้า และก็ยังจะช่วยต่อไปอีก 11 และเราต้องการให้ท่านทุกคนขยันขันแข็งจนถึงที่สุด เพื่อสิ่งที่ท่านหวังไว้จะได้เกิดขึ้นกับท่าน 12 เราไม่อยากให้ท่านเป็นคนเกียจคร้าน แต่ให้ทำตามอย่างของบรรดาผู้มีความเชื่อและความอดทน ซึ่งพวกเขาเป็นผู้ได้รับสิ่งที่พระเจ้าสัญญาไว้เป็นมรดก

พระสัญญาที่ไม่แปรเปลี่ยน

13 เมื่อพระเจ้าได้สัญญาไว้กับอับราฮัม พระองค์ได้กล่าวคำปฏิญาณโดยใช้พระนามของพระองค์เอง เพราะไม่มีใครที่ยิ่งใหญ่กว่าพระองค์ที่พระองค์จะกล่าวคำปฏิญาณด้วยได้ 14 โดยกล่าวว่า “เราจะให้พรแก่เจ้า และจะเพิ่มผู้สืบเชื้อสายให้แก่เจ้ามากยิ่งขึ้นอย่างแน่นอน”[t] 15 ดังนั้นหลังจากที่อับราฮัมรอคอยด้วยความอดทนแล้ว ก็ได้รับสิ่งที่พระเจ้าได้สัญญาไว้ 16 คนที่จะสาบาน ก็สาบานโดยอ้างถึงผู้ที่มีฐานะเหนือกว่าตนเอง และคำสาบานนั้นถือเป็นข้อยืนยันหากมีการถกเถียงใดๆ 17 ในทำนองเดียวกันคือ พระเจ้าต้องการแสดงแก่บรรดาผู้ที่จะได้รับสิ่งที่พระองค์ได้สัญญาให้เห็นชัด ว่าพระองค์จะไม่มีวันเปลี่ยนความตั้งใจ พระองค์จึงยืนยันด้วยคำปฏิญาณ 18 ฉะนั้นมี 2 สิ่งนี้ที่ไม่อาจแปรเปลี่ยนได้ และเป็นไปไม่ได้ที่พระเจ้าจะพูดปด พวกเราที่ได้ไปหาพระองค์เพื่อจะได้รับความปลอดภัย จึงมีกำลังใจยิ่งนักที่จะยึดความหวังที่อยู่ตรงหน้าไว้ให้มั่น 19 ความหวังที่เรามีนี้เป็นเสมือนสมอหลักแห่งจิตวิญญาณที่มั่นคงและปลอดภัย เป็นสิ่งที่เข้าสู่ถึงสถานที่ซึ่งอยู่เบื้องหลังม่านกั้น 20 อันเป็นที่ซึ่งพระเยซูได้เข้าไปก่อนแล้วเพื่อเรา พระองค์จึงเป็นหัวหน้ามหาปุโรหิตเป็นนิตย์ ตามแบบอย่างเมลคีเซเดค

เมลคีเซเดคกษัตริย์และปุโรหิตแห่งเมืองซาเล็ม

เมลคีเซเดคผู้นี้คือกษัตริย์แห่งเมืองซาเล็ม และเป็นปุโรหิตของพระเจ้าผู้สูงสุด ท่านได้พบและอวยพรอับราฮัมซึ่งกำลังกลับมาจากการรบกับกษัตริย์ทั้งปวงที่พ่ายแพ้ไป อับราฮัมได้ถวายหนึ่งในสิบของจำนวนทั้งหมดที่ได้มาแก่เมลคีเซเดค สิ่งแรกที่จะพูดถึงเมลคีเซเดคคือ ชื่อนี้มีความหมายว่า กษัตริย์แห่งความชอบธรรม อีกทั้งเป็นกษัตริย์แห่งเมืองซาเล็ม ซึ่งมีความหมายว่ากษัตริย์แห่งสันติสุข โดยที่ไม่มีบิดาและมารดา ปราศจากลำดับวงศ์ตระกูล ไม่มีทั้งวันแรกเริ่ม หรือวันสิ้นของชีวิต แต่เป็นเช่นเดียวกับพระบุตรของพระเจ้า คือดำรงความเป็นปุโรหิตเป็นนิตย์

จงคิดดูเถิดว่าเมลคีเซเดคยิ่งใหญ่เพียงไร แม้แต่อับราฮัมผู้เป็นต้นตระกูลยังได้ถวายหนึ่งในสิบของจำนวนที่ได้มาจากการสู้รบนั้นให้ และบรรดาผู้สืบเชื้อสายจากเผ่าเลวีที่ได้รับตำแหน่งปุโรหิต ก็ได้รับคำสั่งตามกฎบัญญัติ ให้เก็บหนึ่งในสิบจากประชาชน คือจากบรรดาพี่น้องของตน แม้ว่าท่านเหล่านั้นจะสืบเชื้อสายมาจากอับราฮัมก็ตาม อย่างไรก็ดี เมลคีเซเดคไม่มีลำดับวงศ์ตระกูลจากเผ่าเลวี แต่ท่านเก็บหนึ่งในสิบจากอับราฮัม และได้อวยพรอับราฮัมผู้ได้รับพระสัญญา และไม่เป็นที่สงสัยเลย ว่าผู้ต่ำต้อยได้รับพรจากผู้ที่ยิ่งใหญ่กว่า ในกรณีหนึ่ง บรรดาผู้ที่ตายได้เป็นผู้รับหนึ่งในสิบ แต่ในอีกกรณี ผู้ที่รับคือ ผู้ดำรงชีวิตอยู่ตามที่มีบันทึกไว้ จะพูดอีกอย่างก็ได้ว่า เลวีผู้เก็บหนึ่งในสิบ ได้จ่ายหนึ่งในสิบผ่านอับราฮัมแล้ว 10 เพราะเมื่อเมลคีเซเดคพบอับราฮัม เลวียังอยู่ในเชื้อสายของบรรพบุรุษ

เปรียบเทียบระหว่างพระเยซูและเมลคีเซเดค

11 บรรดาปุโรหิตที่สืบเชื้อสายจากเผ่าเลวี เป็นรากฐานอันสำคัญส่วนหนึ่งของกฎบัญญัติ ที่ให้ไว้แก่ชาวอิสราเอล แต่ถ้าความเป็นปุโรหิตสามารถทำหน้าที่ได้อย่างเพียบพร้อมทุกประการแล้ว ก็ไม่จำเป็นต้องมีปุโรหิตอีกท่านมาปรากฏ เป็นปุโรหิตตามแบบอย่างเมลคีเซเดค ซึ่งไม่เหมือนกับปุโรหิตที่สืบเชื้อสายมาจากตระกูลอาโรน 12 เพราะเมื่อระบบปุโรหิตเปลี่ยนแปลง กฎบัญญัติก็ต้องเปลี่ยนแปลงไปด้วย 13 เพราะสิ่งเหล่านี้กล่าวถึงผู้ที่มาจากเผ่าอื่น ซึ่งไม่มีผู้ใดเคยปฏิบัติหน้าที่ ณ แท่นบูชามาก่อน 14 เป็นที่ทราบดีแล้วว่า พระผู้เป็นเจ้าของเราสืบเชื้อสายมาจากเผ่ายูดาห์ และโมเสสไม่เคยพูดถึงเรื่องปุโรหิตว่าจะมาจากเผ่านั้น

15 เรื่องที่เรากล่าวถึงนี้ยิ่งจะชัดเจนมากขึ้นอีก ถ้าปุโรหิตอีกท่านที่เป็นเหมือนกับเมลคีเซเดคปรากฏขึ้น 16 คือเป็นปุโรหิตที่ไม่ได้เกิดจากกฎเกณฑ์ตามเชื้อสายของบรรพบุรุษ แต่เกิดจากอานุภาพแห่งชีวิตที่ไม่สามารถจะทำลายได้ 17 มีคำประกาศยืนยันไว้ว่า

“เจ้าเป็นปุโรหิตเป็นนิตย์
    ตามแบบอย่างเมลคีเซเดค”[u]

18 กฎเกณฑ์ดั้งเดิมก็ได้ยกเลิกไป เพราะอ่อนแอและไร้ประโยชน์ 19 ด้วยเหตุว่ากฎบัญญัติไม่อาจทำให้สิ่งใดดีเพียบพร้อมทุกประการได้ ความหวังที่ดีกว่าก็ได้ปรากฏแก่เรา ซึ่งทำให้เราเข้าใกล้พระเจ้าได้

20 นอกจากนั้น ยังมีคำปฏิญาณของพระเจ้าอีกด้วย ส่วนคนอื่นๆ ได้รับตำแหน่งเป็นปุโรหิตโดยปราศจากคำปฏิญาณใดๆ 21 แต่ท่านผู้นี้เป็นปุโรหิตด้วยคำปฏิญาณ เมื่อพระเจ้ากล่าวกับท่านว่า

“พระผู้เป็นเจ้าได้ปฏิญาณ
    และจะไม่เปลี่ยนใจว่า
‘เจ้าเป็นปุโรหิตเป็นนิตย์’”

22 เป็นเพราะคำปฏิญาณนี้ พระเยซูจึงได้มาเป็นผู้รับประกันของพันธสัญญาที่ดีกว่าเดิม

23 เคยมีบรรดาปุโรหิตมากมายแล้วที่สืบทอดตำแหน่งต่อกันไป เพราะความตายเป็นอุปสรรคไม่ให้พวกเขาปฏิบัติงานได้ตลอดกาล 24 แต่เป็นเพราะพระเยซูมีชีวิตอยู่เป็นนิตย์ พระองค์จึงคงความเป็นปุโรหิตอย่างถาวร 25 ฉะนั้น พระองค์สามารถช่วยบรรดาผู้ที่มาหาพระเจ้าทางพระองค์ให้รอดพ้นได้อย่างสมบูรณ์ เพราะพระองค์มีชีวิตอยู่เสมอ เพื่ออธิษฐานขอสำหรับคนเหล่านั้น

26 หัวหน้ามหาปุโรหิตเช่นนี้ช่วยเราได้ทุกประการ คือเป็นผู้บริสุทธิ์ไม่มีข้อบกพร่องใดๆ ปราศจากมลทิน แยกจากคนบาปทั้งปวง พระเจ้ายกให้พระองค์อยู่เหนือฟ้าสวรรค์ 27 พระองค์ไม่จำเป็นต้องนำของมาถวายวันแล้ววันเล่า ซึ่งต่างจากบรรดาหัวหน้ามหาปุโรหิตอื่นๆ ที่ต้องถวายเพื่อบาปของตนเองเป็นประการแรก แล้วก็เพื่อบาปของมวลชนด้วย ในเมื่อพระองค์ได้ถวายพระองค์เอง ก็นับว่าพระองค์ถวายเพียงครั้งเดียวเป็นพอ 28 กฎบัญญัติแต่งตั้งมนุษย์ให้เป็นบรรดาหัวหน้ามหาปุโรหิตซึ่งเป็นผู้อ่อนแอ แต่คำปฏิญาณที่มาภายหลังกฎบัญญัติได้แต่งตั้งพระบุตรผู้มีความเพียบพร้อมทุกประการเป็นนิตย์

หัวหน้ามหาปุโรหิตแห่งพันธสัญญาใหม่

บัดนี้ ประเด็นสำคัญของสิ่งที่ได้กล่าวมาแล้วก็คือ พวกเรามีหัวหน้ามหาปุโรหิตเช่นนี้ นั่งอยู่ ณ เบื้องขวาของบัลลังก์แห่งองค์ผู้ยิ่งใหญ่ในสวรรค์ และปฏิบัติงานในสถานที่บริสุทธิ์ของพระผู้เป็นเจ้า คือในกระโจมที่แท้จริง ซึ่งพระผู้เป็นเจ้าเป็นผู้สถาปนาขึ้น ไม่ใช่มนุษย์ หัวหน้ามหาปุโรหิตทุกท่านได้รับการแต่งตั้งขึ้นมา เพื่อถวายทั้งของบรรณาการและเครื่องสักการะ ดังนั้นหัวหน้ามหาปุโรหิตผู้นี้จำเป็นต้องมีสิ่งหนึ่งถวายด้วยเช่นกัน ถ้าพระองค์อยู่ในโลก ก็จะไม่เป็นปุโรหิต เพราะมีมนุษย์ทั้งหลายซึ่งทำหน้าที่ถวายของบรรณาการ ตามข้อบังคับของกฎบัญญัติอยู่แล้ว เขาเหล่านั้นรับใช้ ณ สถานที่บริสุทธิ์ของพระผู้เป็นเจ้า ซึ่งทำขึ้นตามแบบและเงาของสิ่งที่มีอยู่ในสวรรค์ เช่นเดียวกับที่โมเสสได้รับการเตือนจากพระเจ้า เวลาที่ท่านกำลังจะสร้างกระโจมว่า “จงแน่ใจว่า เจ้าต้องทำทุกสิ่งตามแบบที่แสดงให้เห็นบนภูเขา”[v] แต่บัดนี้พระเยซูได้รับงานอันสำคัญยิ่งกว่างานของปุโรหิตอื่นๆ คือพันธสัญญาที่พระองค์เป็นคนกลาง ระหว่างพระเจ้ากับมนุษย์ ซึ่งเป็นพันธสัญญาที่ดีกว่า เพราะมีรากฐานจากพระสัญญาทั้งหลายซึ่งดีกว่า ถ้าพันธสัญญาแรกไม่มีข้อบกพร่องแล้ว ก็ไม่จำเป็นต้องมีพันธสัญญาอื่นอีก

แต่พระเจ้าเห็นว่ามนุษย์เหล่านั้นมีความผิด จึงกล่าวว่า

“พระผู้เป็นเจ้ากล่าวว่า ดูเถิด ใกล้จะถึงเวลาแล้ว
    ที่เราจะทำพันธสัญญาใหม่
กับพงศ์พันธุ์อิสราเอล
    และกับพงศ์พันธุ์ยูดาห์
เป็นพันธสัญญาที่จะไม่เหมือนกับที่ได้ทำไว้กับบรรพบุรุษของเขา
    คือตอนที่เรานำพวกเขา
เหมือนกับตอนที่จูงมือออกจากประเทศอียิปต์
    เพราะพวกเขาไม่ภักดีต่อพันธสัญญาของเรา
และเราหันหลังให้พวกเขา
    พระผู้เป็นเจ้ากล่าวไว้เช่นนี้
10 พระผู้เป็นเจ้ากล่าวว่า
นี่คือพันธสัญญาที่เราจะทำกับพงศ์พันธุ์อิสราเอล
    และหลังจากนั้น เราจะทำให้พวกเขาระลึกถึงกฎบัญญัติของเรา
    และเราจะจารึกไว้ในใจของเขา
เราจะเป็นพระเจ้าของเขา
    และเขาจะเป็นชนชาติของเรา
11 ไม่มีใครในพวกเขาที่จะต้องสอนเพื่อนร่วมชาติ
    หรือในพวกพี่น้องทุกคนของตนว่า ‘จงรู้จักพระผู้เป็นเจ้า’
เพราะพวกเขาทุกคนจะรู้จักเรา
    ตั้งแต่คนต่ำต้อยที่สุดถึงคนใหญ่โตที่สุด
12 เพราะเราจะยกโทษความชั่วร้ายของเขา
    และจะไม่จดจำบาปของเขาไว้อีกต่อไป”[w]

13 เมื่อพระเจ้ากล่าวว่า “พันธสัญญาใหม่” พระองค์ได้ทำให้พันธสัญญาแรกล้าสมัย และอะไรที่ล้าสมัยและล่วงพ้นกาลเวลาก็จะหายสาบสูญไป

นมัสการในกระโจม

แม้พันธสัญญาแรกก็ยังมีกฎเกณฑ์ในการนมัสการ และมีสถานที่บริสุทธิ์ของพระผู้เป็นเจ้าซึ่งมนุษย์ทำขึ้นมา เพราะว่ามีกระโจมเตรียมไว้ที่ห้องด้านนอก ซึ่งมีคันประทีป โต๊ะ และขนมปังอันบริสุทธิ์ ห้องนี้เรียกว่าวิสุทธิสถาน และด้านหลังม่านชั้นที่ 2 มีห้องซึ่งเรียกว่า อภิสุทธิสถาน ซึ่งมีแท่นบูชาทำด้วยทองคำสำหรับเผาเครื่องหอม และมีหีบพันธสัญญาที่หุ้มด้วยทองคำทุกด้าน หีบนี้มีโถทองคำซึ่งบรรจุมานา มีไม้เท้าของอาโรนที่ผลิดอกตูม และมีศิลา 2 แผ่นซึ่งมีพันธสัญญาจารึกไว้ เหนือหีบใบนี้มีรูปปั้นเครูบ[x]ซึ่งแสดงพระสง่าราศีของพระเจ้า และกางปีกปกฝาหีบแห่งการชดใช้บาป แต่ในเวลานี้เราจะพูดถึงเรื่องเหล่านี้อย่างละเอียดไม่ได้

เมื่อจัดเตรียมสิ่งเหล่านี้ไว้แล้ว บรรดาปุโรหิตก็เข้าไปในกระโจมด้านนอกเป็นประจำเพื่อนมัสการตามหน้าที่ มีแต่หัวหน้ามหาปุโรหิตเท่านั้นที่เข้าไปในห้องด้านในได้เพียงปีละครั้ง และจะต้องนำเลือดเข้าไปถวายเพื่อตนเอง และเพื่อบาปทั้งหลายของมนุษย์ที่ทำไปโดยไม่เจตนา พระวิญญาณบริสุทธิ์แสดงให้เห็นจากการปฏิบัติตามที่กล่าวมานี้ว่า ทางเข้าไปสู่อภิสุทธิสถานยังไม่เปิด ตราบที่กระโจมด้านนอกยังตั้งอยู่ นี่คือภาพที่แสดงให้เห็นถึงยุคปัจจุบัน ซึ่งชี้ให้เห็นว่า ของบรรณาการและเครื่องสักการะทั้งหลายที่ถวาย ไม่สามารถทำให้มโนธรรมของผู้นมัสการสะอาดได้ 10 ในเมื่อเป็นเพียงเรื่องอาหารและเครื่องดื่ม และพิธีชำระล้างด้วยวิธีต่างๆ กัน อันเป็นกฎเกณฑ์สำหรับร่างกาย ซึ่งใช้ได้จนกระทั่งถึงเวลาที่จะต้องเปลี่ยนแปลงแก้ไขใหม่

โลหิตของพระคริสต์

11 เมื่อพระคริสต์มาในฐานะหัวหน้ามหาปุโรหิตของสิ่งประเสริฐต่างๆ ที่เราได้รับแล้ว พระองค์ก็ได้เข้าสู่กระโจมที่ยิ่งใหญ่และบริบูรณ์กว่า ซึ่งไม่ได้ทำขึ้นด้วยมือมนุษย์ คือไม่ได้เป็นส่วนของโลกที่ถูกสร้างขึ้น 12 พระองค์ไม่ได้เข้าไปด้วยเลือดแพะ และเลือดลูกโค แต่พระองค์เข้าไปในอภิสุทธิสถานด้วยโลหิตของพระองค์เอง เพียงครั้งเดียวเป็นพอ เราจึงได้มาซึ่งการไถ่อันเป็นนิรันดร์ 13 ถ้าเลือดแพะ และโคตัวผู้ และเถ้าจากลูกโคตัวเมีย ที่ประพรมลงบนคนที่มีมลทิน เพื่อชำระให้มนุษย์บริสุทธิ์ภายนอกได้ 14 ดังนั้นโลหิตของพระคริสต์จะชำระล้างมโนธรรมของเราจากการกระทำอันไร้ประโยชน์ เพื่อรับใช้พระเจ้าผู้ดำรงอยู่ได้มากกว่าเพียงไร ด้วยเหตุว่า พระองค์ได้ถวายพระองค์เองผู้ปราศจากตำหนิแด่พระเจ้า โดยผ่านพระวิญญาณอันเป็นนิรันดร์

15 และด้วยเหตุนี้ พระคริสต์จึงเป็นคนกลางของพันธสัญญาใหม่ ระหว่างพระเจ้ากับมนุษย์ เพื่อว่าบรรดาผู้ที่พระเจ้าเรียก จะได้รับมรดกอันเป็นนิรันดร์ซึ่งเป็นพระสัญญา เพราะพระองค์ได้สิ้นชีวิต เพื่อเป็นค่าไถ่ให้พวกเขาเป็นอิสระจากการล่วงละเมิดภายใต้บังคับของพันธสัญญาแรก 16 ในกรณีที่เกี่ยวกับหนังสือพินัยกรรม จำเป็นต้องพิสูจน์ว่าผู้ทำหนังสือนั้นตายแล้ว 17 เพราะหนังสือพินัยกรรมจะใช้ได้ก็ต่อเมื่อคนนั้นตายแล้ว และยังใช้ไม่ได้หากว่าคนที่ทำหนังสือยังมีชีวิตอยู่ 18 เหตุฉะนั้นแม้พันธสัญญาแรกจะใช้ได้ ก็ต่อเมื่อมีการใช้เลือด 19 เมื่อโมเสสได้ประกาศพระบัญญัติทุกข้อแก่คนทั้งปวงตามกฎบัญญัติแล้ว ท่านใช้ขนสัตว์สีแดงสดกับไม้หุสบ จุ่มเลือดลูกโคกับเลือดแพะผสมน้ำ ประพรมหนังสือม้วนและคนทั้งปวง 20 ท่านกล่าวว่า “นี่คือเลือดแห่งพันธสัญญา ซึ่งพระเจ้าได้สั่งให้พวกท่านรักษาไว้”[y] 21 ในวิธีเดียวกันท่านก็ได้ประพรมกระโจมและทุกสิ่งที่ใช้ในพิธีด้วยเลือด 22 ตามกฎบัญญัติแล้ว เกือบทุกสิ่งได้รับการชำระด้วยเลือด และถ้าปราศจากการหลั่งเลือดแล้วก็จะไม่มีการให้อภัยโทษ

23 ฉะนั้น จึงจำเป็นต้องให้สิ่งที่ทำขึ้นตามแบบอย่างสวรรค์ ได้รับการชำระให้บริสุทธิ์ด้วยเครื่องสักการะเหล่านี้ แต่สิ่งซึ่งเป็นอย่างสวรรค์เองต้องมีเครื่องสักการะที่ดีกว่านี้ 24 ด้วยว่าพระคริสต์ไม่ได้เข้าสู่สถานที่บริสุทธิ์ของพระผู้เป็นเจ้าซึ่งเป็นแบบของจริงด้วยมือมนุษย์ แต่ได้เข้าสู่สวรรค์อันแท้จริง และบัดนี้พระองค์ปรากฏต่อหน้าพระเจ้าเพื่อพวกเรา 25 พระองค์ไม่ได้เข้าสู่สวรรค์เพื่อถวายตัวครั้งแล้วครั้งเล่า ตามแบบของหัวหน้ามหาปุโรหิตที่เข้าไปในอภิสุทธิสถานทุกปี พร้อมกับเอาเลือดที่ไม่ใช่ของตนเองไป 26 มิฉะนั้น พระองค์จะต้องทนทุกข์บ่อยครั้งนับตั้งแต่การสร้างโลกแล้ว แต่บัดนี้พระองค์ได้ปรากฏเพียงครั้งเดียวเป็นพอในปลายยุค เพื่อกำจัดบาป โดยสละชีวิตของพระองค์เองเป็นเครื่องสักการะ 27 มนุษย์ทุกคนถูกกำหนดให้ตายครั้งเดียว และจากนั้นก็มีการพิพากษาฉันใด 28 พระคริสต์ก็เป็นเครื่องลบล้างบาปครั้งเดียว เพื่อกำจัดบาปทั้งปวงของมนุษย์จำนวนมากฉันนั้น พระองค์จะปรากฏเป็นครั้งที่สองมิใช่เพื่อรับบาปไป แต่เพื่อนำความรอดพ้นมาให้บรรดาผู้ที่รอคอยพระองค์อยู่ด้วยใจจดจ่อ

พระคริสต์เป็นเครื่องสักการะครั้งเดียวเป็นพอ

10 กฎบัญญัติเป็นเพียงแค่เงาของบรรดาสิ่งประเสริฐที่จะมาในภายหลัง คือมิใช่ตัวจริง ด้วยเหตุนี้ กฎบัญญัติจึงไม่สามารถทำให้ผู้ที่เข้านมัสการอย่างใกล้ชิดเพียบพร้อมทุกประการได้ โดยการถวายเครื่องสักการะที่ซ้ำแล้วซ้ำอีกอย่างไม่หยุดหย่อนทุกปี เพราะถ้าเป็นเช่นนั้นได้แล้ว เขาน่าจะหยุดถวายเครื่องสักการะมิใช่หรือ หากผู้ถวายได้รับการชำระครั้งหนึ่งแล้ว ก็ไม่มีความรู้สึกว่าตนมีบาปอีกต่อไป แต่การถวายเครื่องสักการะก็เพื่อเตือนให้ระลึกถึงบาปทุกปี เพราะเป็นไปไม่ได้ที่เลือดโคตัวผู้กับแพะจะลบล้างบาปได้

ฉะนั้น เมื่อพระคริสต์เข้ามาในโลกพระองค์กล่าวว่า

“พระองค์ไม่ต้องการเครื่องสักการะและของถวาย
    แต่พระองค์เตรียมร่างกายให้แก่ข้าพเจ้า
พระองค์ไม่ยินดีกับสัตว์ที่เผาเป็นของถวาย
    และเครื่องสักการะเพื่อลบล้างบาป
แล้วข้าพเจ้ากล่าวว่า ‘ดูเถิด ข้าแต่พระเจ้า
    ข้าพเจ้าได้มาเพื่อกระทำตามความประสงค์ของพระองค์
    ตามที่มีบันทึกไว้เกี่ยวกับข้าพเจ้าในหนังสือม้วน’”[z]

หลังจากที่กล่าวว่า “พระองค์ไม่ต้องการเครื่องสักการะและของถวาย สัตว์ที่เผาเป็นของถวายและเครื่องสักการะเพื่อลบล้างบาป พระองค์ไม่ยินดีกับสิ่งเหล่านี้ด้วย” (แม้ว่ากฎบัญญัติสั่งให้ทำตาม) แล้วพระองค์ก็กล่าวอีกว่า “ดูเถิด ข้าพเจ้าได้มาเพื่อกระทำตามความประสงค์ของพระองค์” พระองค์ล้มล้างระบบเดิมเพื่อสร้างระบบใหม่ 10 ด้วยความประสงค์นี้ เราจึงได้รับการชำระให้บริสุทธิ์ได้ โดยร่างกายของพระเยซูคริสต์ที่ถวายเพียงครั้งเดียวเป็นพอ

11 ปุโรหิตทุกคนยืนปฏิบัติหน้าที่ของตน ถวายเครื่องสักการะซ้ำแล้วซ้ำอีกอยู่ทุกวัน ซึ่งไม่มีวันที่จะลบล้างบาปทั้งปวงได้ 12 แต่พระองค์ได้ถวายเครื่องสักการะครั้งเดียว เพื่อบาปทั้งปวงได้ตลอดกาล พระองค์นั่งอยู่ ณ เบื้องขวาของพระเจ้า 13 และตั้งแต่นั้นมา ก็ได้รอจนกระทั่งศัตรูของพระองค์ถูกนำมาอยู่ใต้เท้าดั่งที่วางเท้าของพระองค์ 14 เพราะพระองค์ได้ทำให้บรรดาผู้ที่ได้รับการชำระให้บริสุทธิ์เพียบพร้อมทุกประการตลอดกาลด้วยเครื่องสักการะเดียว

15 พระวิญญาณบริสุทธิ์ยืนยันกับเราด้วยว่า

16 “พระผู้เป็นเจ้ากล่าวว่า นี่คือพันธสัญญา
    ที่เราจะทำกับพวกเขา และหลังจากนั้น
เราจะให้กฎบัญญัติของเราประทับอยู่ในใจของเขา
    และจะจารึกไว้ในความคิดของเขา”[aa]

17 พระองค์กล่าวอีกว่า

“เราจะไม่จดจำบาปและการกระทำ
    ที่ชั่วร้ายของเขาอีกต่อไป”[ab]

18 บัดนี้ เมื่อมีการยกโทษสิ่งเหล่านี้แล้ว จึงไม่มีการถวายสิ่งใดๆ เพื่อชดใช้บาปอีกต่อไป

ต้องมีมานะอดทน

19 ฉะนั้น พี่น้องเอ๋ย ในเมื่อพวกเรามีความมั่นใจที่จะเข้าสู่อภิสุทธิสถานโดยโลหิตของพระเยซู 20 โดยทางใหม่ และทางอันมีชีวิตที่เปิดออกให้พวกเราผ่านเข้าไปทางม่าน คือทางร่างกายของพระองค์ 21 และในเมื่อเรามีปุโรหิตผู้ยิ่งใหญ่ที่ดูแลพระตำหนักของพระเจ้า 22 ขอให้เราเข้าใกล้พระเจ้าด้วยใจจริง และมีความมั่นใจในความเชื่อ ให้ใจของเรารับการประพรมให้สะอาดจากมโนธรรมที่ชั่วร้าย และกายของเรารับการล้างให้สะอาดด้วยน้ำอันบริสุทธิ์ 23 ขอให้เรายึดมั่นในความหวัง ที่เราอ้างว่าเราเชื่อโดยไม่ลังเลใจ เพราะองค์ผู้ให้สัญญาไว้จะรักษาคำมั่นสัญญา 24 และขอให้เราคิดดูว่าจะทำอย่างไร จึงจะได้สนับสนุนกันและกันให้มีความรักและทำความดี 25 ขออย่าขาดการประชุมร่วมกัน เหมือนบางคนที่มีนิสัยนั้น แต่จงให้กำลังใจกันและกันมากยิ่งขึ้น ในเมื่อท่านเห็นว่าวันนั้นใกล้เข้ามาแล้ว

26 ถ้าเราตั้งใจทำบาปเรื่อยไปหลังจากที่ได้รับทราบความจริงแล้ว เครื่องสักการะเพื่อลบล้างบาปก็จะไม่มีเหลืออยู่เลย 27 จะมีแต่ความหวาดกลัวเรื่องรอการพิพากษา และไฟอันร้อนยิ่งที่จะเผาผลาญศัตรูของพระเจ้า 28 ผู้ใดที่ไม่ได้เชื่อฟังหมวดกฎบัญญัติของโมเสส เมื่อมีพยานสองหรือสามปากให้คำยืนยัน เขาก็ตายไปโดยปราศจากความเมตตา 29 แล้วท่านคิดว่า คนที่เหยียบย่ำพระบุตรของพระเจ้า และเขานับว่าโลหิตแห่งพันธสัญญาซึ่งชำระให้เขาบริสุทธิ์ไม่ใช่โลหิตที่บริสุทธิ์ และได้ดูหมิ่นพระวิญญาณผู้มีพระคุณ เขาคนนั้นควรได้รับโทษจะได้รับหนักยิ่งกว่าเพียงไร 30 เรารู้จักพระองค์ผู้กล่าวว่า “การแก้แค้นเป็นของเรา เราจะสนองตอบ”[ac] และได้กล่าวอีกว่า “พระผู้เป็นเจ้าจะตัดสินคนของพระองค์”[ad] 31 การตกอยู่ในมือของพระเจ้าผู้ดำรงอยู่เป็นสิ่งน่าหวาดหวั่นยิ่งนัก

32 แต่จงนึกถึงสมัยก่อน เมื่อท่านเพิ่งสัมผัสกับความสว่างจากพระเจ้า ท่านทนสู้ต่อความยากลำบากมาก 33 บางครั้งท่านถูกเหยียดหยามต่อหน้าผู้คน และถูกกดขี่ข่มเหง บางครั้งท่านก็รับทุกข์ร่วมกับพวกเขาที่ถูกกระทำเช่นเดียวกัน 34 ท่านเห็นใจพวกที่อยู่ในคุก และเมื่อทรัพย์สิ่งของของท่านถูกยึดไป ท่านก็ยอมด้วยใจยินดีเพราะท่านทราบว่า พวกท่านเองมีทรัพย์สิ่งของที่ดีกว่าและทนทานกว่า 35 ดังนั้น อย่าทิ้งความมั่นใจของท่านไป ซึ่งจะได้รับรางวัลอันยิ่งใหญ่ 36 ท่านจำต้องมีความบากบั่น เพื่อว่าเวลาท่านทำตามความประสงค์ของพระเจ้าแล้ว ท่านจะได้รับสิ่งที่พระองค์ได้สัญญาไว้ 37 เพียงอีกไม่นานนัก

“พระองค์ผู้กำลังมา
    จะมาโดยไม่ล่าช้า
38 แต่คนที่มีความชอบธรรมของเรา
    จะมีชีวิตได้โดยความเชื่อ
และถ้าเขาถอยกลับ
    เราจะไม่พอใจในตัวเขา”[ae]

39 แต่เราไม่ใช่พวกที่ถอยกลับไปสู่ความพินาศ แต่เป็นพวกที่มีความเชื่อเพื่อความรอดพ้นของจิตวิญญาณ

ความเชื่อ

11 ความเชื่อคือ ความแน่ใจในสิ่งที่เราหวังไว้ และมั่นใจกับสิ่งที่เรามองไม่เห็น เป็นเพราะความเชื่อนั่นแหละ คนโบราณจึงได้รับความเห็นชอบจากพระเจ้า เป็นเพราะความเชื่อ เราจึงเข้าใจว่าจักรวาลถูกสร้างขึ้นโดยคำสั่งของพระเจ้า ดังนั้นสิ่งที่มองเห็นถูกสร้างขึ้นจากสิ่งที่ไม่ปรากฏให้เห็น

เป็นเพราะความเชื่อ อาเบลจึงถวายเครื่องสักการะที่ดีกว่าของคาอินให้แด่พระเจ้า เป็นเพราะความเชื่อ เขาจึงได้รับความเห็นชอบว่าเป็นคนชอบธรรม เมื่อพระเจ้าชมว่าของถวายของเขาดี และเป็นเพราะความเชื่อ อาเบลจึงยังพูดได้แม้เขาจะตายแล้วก็ตาม เป็นเพราะความเชื่อ เอโนคจึงถูกรับตัวขึ้นไป เพื่อท่านจะได้ไม่ประสบความตาย ไม่มีใครหาท่านพบ เพราะพระเจ้าได้รับตัวท่านขึ้นไป ก่อนที่ท่านจะถูกรับตัวไปท่านได้รับความเห็นชอบ เพราะเป็นผู้ที่ทำให้พระเจ้าพอใจ และเป็นไปไม่ได้ที่จะทำให้พระเจ้าพอใจหากไม่มีความเชื่อ เพราะทุกคนที่เข้าหาพระเจ้าจะต้องเชื่อว่าพระองค์เป็นจริง และเป็นผู้ให้รางวัลแก่คนที่แสวงหาพระองค์ เป็นเพราะความเชื่อ โนอาห์จึงเชื่อฟังและสร้างเรือใหญ่ขึ้น เพื่อให้ครอบครัวของท่านรอดชีวิต เมื่อพระเจ้าเตือนเรื่องที่ยังไม่ได้ปรากฏให้เห็น เป็นเพราะความเชื่อ ท่านแสดงให้เห็นว่าโลกถูกกล่าวโทษ และโนอาห์เป็นผู้ได้รับความชอบธรรมซึ่งเกิดจากความเชื่อ

เป็นเพราะความเชื่อ อับราฮัมจึงเชื่อฟังโดยเดินทางออกไปยังที่ท่านจะได้รับเป็นมรดกเมื่อพระเจ้าเรียกท่าน ท่านเดินทางไปโดยไม่ทราบว่าจะไปไหน เป็นเพราะความเชื่อ ท่านจึงตั้งรกรากอยู่ในดินแดนที่พระเจ้าสัญญาให้ไว้ราวกับคนแปลกหน้าในต่างแดน ท่านอาศัยอยู่ในกระโจมเช่นเดียวกับอิสอัคและยาโคบ ซึ่งเป็นผู้รับมรดกร่วมกันตามพระสัญญาเดียวกัน 10 เพราะอับราฮัมตั้งตาคอยที่จะได้เมืองซึ่งมีฐานรากที่ออกแบบและสร้างขึ้นโดยพระเจ้า 11 เป็นเพราะความเชื่อ แม้อับราฮัมจะมีอายุเกินวัย (และนางซาราห์เองก็เป็นหมัน) ก็ยังสามารถเป็นบิดาได้ เพราะท่านเชื่อว่าพระองค์รักษาคำมั่นสัญญาที่ได้ให้ไว้ 12 ฉะนั้นจากชายคนหนึ่งซึ่งชราจนเสมือนคนที่ตายแล้ว ก็มีผู้สืบเชื้อสายมากมายราวกับดวงดาวในท้องฟ้า และอย่างเม็ดทรายที่ชายฝั่งทะเลซึ่งนับไม่ถ้วน

13 คนเหล่านั้นทุกคนเมื่อตายไปก็ยังมีความเชื่อ โดยไม่ได้รับสิ่งที่พระเจ้าสัญญาไว้ เป็นเพียงแต่ได้เห็น และยินดีกับพระสัญญาทั้งหลายแต่ไกล และยอมรับอย่างเปิดเผยว่า พวกเขาเป็นคนแปลกหน้าและเป็นคนต่างแดนในโลก 14 บรรดาคนที่พูดเช่นนี้ก็แสดงให้เห็นชัดแล้วว่า พวกเขาแสวงหาแผ่นดินของตนเอง 15 และที่จริงแล้ว ถ้าเขานึกถึงแผ่นดินที่เขาได้จากมา เขาก็จะกลับไปได้ 16 แต่เท่าที่เป็นไป พวกเขาต้องการแผ่นดินที่ดีกว่า นั่นก็คือที่เป็นอย่างสวรรค์ ฉะนั้นพระเจ้าไม่ละอายที่พวกเขาจะเรียกพระองค์ว่าพระเจ้าของพวกเขา ในเมื่อพระองค์ได้เตรียมเมืองไว้ให้แล้ว

17 เป็นเพราะความเชื่อ อับราฮัมจึงได้มอบอิสอัคเป็นเครื่องสักการะเมื่อพระเจ้าทดสอบท่าน และท่านซึ่งได้รับพระสัญญาก็เกือบจะมอบบุตรคนเดียวของท่านเป็นเครื่องสักการะแล้ว 18 แม้พระเจ้าได้กล่าวกับท่านดังนี้แล้วว่า “เจ้าจะมีบรรดาผู้สืบเชื้อสายโดยผ่านทางอิสอัค”[af] 19 อับราฮัมเชื่อว่าพระเจ้าสามารถให้คนฟื้นคืนชีวิตจากความตาย ฉะนั้นกล่าวโดยอุปมาได้ว่า ท่านได้รับบุตรกลับคืนจากความตาย 20 เป็นเพราะความเชื่อ อิสอัคจึงได้ให้พรแก่ยาโคบและเอซาวสำหรับอนาคตของท่านทั้งสอง 21 เป็นเพราะความเชื่อ ขณะที่ยาโคบกำลังจะตาย ท่านก็ได้ให้พรแก่บุตรทั้งสองของโยเซฟ แล้วได้พิงอยู่กับปลายไม้เท้าของตนขณะที่นมัสการพระเจ้า 22 เป็นเพราะความเชื่อ โยเซฟจึงได้พูดถึงการอพยพของชาวอิสราเอลออกจากประเทศอียิปต์ และสั่งเรื่องกระดูกของท่านเมื่อท่านกำลังจะตาย

23 เป็นเพราะความเชื่อ บิดามารดาของโมเสสจึงได้ซ่อนตัวท่านไว้เป็นเวลา 3 เดือนนับตั้งแต่เกิด เพราะทั้งสองเห็นว่าท่านไม่ใช่เด็กธรรมดาและไม่กลัวคำบัญชาของกษัตริย์เลย 24 เป็นเพราะความเชื่อ โมเสสจึงได้ไม่ยอมให้ผู้คนเรียกท่าน ว่าเป็นบุตรของธิดากษัตริย์ฟาโรห์เมื่อท่านเติบโตเป็นผู้ใหญ่แล้ว 25 ท่านเลือกการทนทุกข์ร่วมกับคนของพระเจ้า มากกว่าการเพลิดเพลินกับความสำราญในบาปเพียงชั่วระยะหนึ่ง 26 ท่านพิจารณาเห็นว่า การที่ถูกเหยียดหยามเพื่อพระคริสต์ มีค่ายิ่งกว่าสมบัติทั้งปวงของประเทศอียิปต์ เพราะท่านคาดหวังในรางวัลที่จะได้รับ 27 เป็นเพราะความเชื่อ ท่านจึงได้จากประเทศอียิปต์ไป โดยไม่กลัวความโกรธของกษัตริย์ ท่านบากบั่นต่อไปราวกับว่าท่านเห็นองค์ผู้ที่ไม่ปรากฏแก่สายตา 28 เป็นเพราะความเชื่อ ท่านจึงได้ทำพิธีปัสกา และสั่งให้ประพรมเลือดด้วย เพื่อผู้ที่ทำลายบุตรหัวปีจะได้ไม่แตะต้องบุตรหัวปีของชาวอิสราเอล

29 เป็นเพราะความเชื่อ ชาวอิสราเอลจึงได้เดินข้ามทะเลแดงเหมือนเดินบนดินแห้ง และเมื่อชาวอียิปต์ลองทำบ้างก็จมน้ำตาย 30 เป็นเพราะความเชื่อ กำแพงเมืองเยรีโคจึงพังทลายลงหลังจากชาวอิสราเอลเดินรอบๆ เป็นเวลา 7 วัน 31 เป็นเพราะความเชื่อ ราหับหญิงแพศยาจึงไม่ตายไปกับพวกที่ไม่เชื่อฟัง เพราะนางได้ต้อนรับพวกสอดแนมด้วยความเป็นมิตร

32 แล้วข้าพเจ้าจะพูดอะไรมากกว่านี้อีกเล่า ข้าพเจ้าไม่มีเวลาพอที่จะบอกเรื่องกิเดโอน บาราค แซมสัน เยฟธาห์ ดาวิด ซามูเอล และผู้เผยคำกล่าวของพระเจ้าทั้งหลาย 33 ซึ่งด้วยความเชื่อ จึงมีชัยชนะได้อาณาจักรต่างๆ การปฏิบัติที่แสดงถึงความชอบธรรม ได้รับพระสัญญา ปิดปากสิงโต 34 ดับไฟที่ไหม้โหมกระหน่ำ หลุดพ้นจากคมดาบ จากคนอ่อนแอก็กลายเป็นคนเข้มแข็งได้ กลายเป็นคนแข็งแกร่งในสงคราม ตีกองทัพชาติอื่นๆ จนแตกพ่ายไป 35 พวกผู้หญิงได้พวกของตนที่ตายแล้วกลับฟื้นคืนชีวิต แต่บางคนถูกทรมาน และไม่ยอมรับการปลดปล่อย เพื่อพวกเขาจะได้ฟื้นคืนชีวิตที่ดีกว่านั้นอีก 36 บางคนก็ประสบกับการเยาะเย้ยและเฆี่ยนตี อีกทั้งถูกล่ามโซ่กับจำคุกด้วย 37 บางคนถูกขว้างด้วยก้อนหิน บ้างก็ถูกเลื่อยเป็น 2 ท่อน [พวกเขาถูกทดสอบใจ][ag] บางคนถูกฆ่าตายด้วยคมดาบ บ้างก็ต้องนุ่งห่มด้วยหนังแกะหนังแพะเร่ร่อนไป สิ้นเนื้อประดาตัว ถูกกดขี่ข่มเหงและทารุณ 38 โลกไม่ดีพอสำหรับคนเหล่านี้ พวกเขาพเนจรไปในถิ่นทุรกันดารและตามภูเขา ตามถ้ำและอยู่ในโพรงใต้ดิน

39 คนเหล่านี้ได้รับการเห็นชอบเพราะความเชื่อของเขา แต่ก็ยังไม่ได้รับสิ่งที่พระเจ้าได้สัญญาไว้ 40 เพราะพระเจ้าได้เตรียมสิ่งที่ดีกว่าไว้ให้พวกเรา เพื่อว่าพวกเขาจะเพียบพร้อมทุกประการได้ ก็ต่อเมื่อมีพวกเราทั้งหลายรวมอยู่ด้วย

พระเจ้าฝึกบรรดาบุตรให้มีวินัย

12 ฉะนั้น ในเมื่อเรามีผู้ยืนยันมากมายอยู่รอบข้างเช่นนี้ ขอให้เรากำจัดทุกสิ่งที่เหนี่ยวรั้งเรา และบาปซึ่งเกาะเราไว้แน่น และขอให้เราบากบั่นเช่นเดียวกับการวิ่งแข่งขันที่จะต้องวิ่งต่อไป ขอให้เราใฝ่ใจในพระเยซูซึ่งเป็นผู้เบิกทางให้แก่ความเชื่อของเรา และทำให้ความเชื่อนั้นบริบูรณ์ เป็นเพราะความยินดีที่กำลังรอคอยพระองค์อยู่ พระองค์จึงไม่ได้นึกถึงความอัปยศอดสูเพราะการสิ้นชีวิตบนไม้กางเขน และพระองค์ก็ได้นั่งอยู่ ณ เบื้องขวาของบัลลังก์ของพระเจ้า

จงนึกถึงพระองค์ผู้อดทนต่อคนบาปซึ่งมุ่งร้ายต่อพระองค์มากเช่นนั้น ท่านจะได้ไม่อ่อนใจและท้อถอย การที่ท่านต่อสู้กับบาป ท่านยังไม่ได้ยืนหยัดสู้จนถึงกับต้องเสียโลหิตเลย แล้วท่านก็ได้ลืมคำที่ให้กำลังใจซึ่งเจาะจงถึงท่านว่าเป็นบรรดาบุตรคือ

“บุตรเอ๋ย เจ้าจงเอาใจใส่เมื่อพระผู้เป็นเจ้าฝึกให้มีวินัย
    และอย่าท้อถอยเมื่อพระองค์ว่ากล่าวตักเตือนเจ้า
เพราะพระผู้เป็นเจ้าฝึกคนที่พระองค์รักให้มีวินัย
    และพระองค์ลงโทษทุกคนที่พระองค์รับไว้เป็นบุตร”[ah]

จงอดทนต่อความยากลำบากที่เป็นการฝึกให้มีวินัย พระเจ้าปฏิบัติต่อท่านเสมือนว่าท่านเป็นบุตร บุตรแบบไหนที่บิดาไม่ฝึกให้มีวินัย ถ้าท่านไม่ได้รับการฝึกให้มีวินัย (และทุกคนก็ต้องได้ผ่านการฝึกให้มีวินัย) ท่านก็เป็นบุตรนอกกฎหมาย คือไม่ใช่บุตรที่แท้ ยิ่งไปกว่านั้นเรามีบรรดาบิดาที่เป็นมนุษย์เป็นผู้ฝึกเราให้มีวินัย และเราก็นับถือท่าน แล้วเราจะไม่ยอมเชื่อฟังพระบิดาฝ่ายวิญญาณมากกว่าหรือ เพื่อเราจะได้มีชีวิต 10 เพราะบรรดาบิดาของเราฝึกให้เรามีวินัยเพียงชั่วขณะหนึ่งตามที่คิดว่าดีที่สุดแล้ว แต่พระเจ้าฝึกเราเพื่อประโยชน์ของเราเอง เราจะได้มีส่วนร่วมในความบริสุทธิ์ของพระองค์ 11 ขณะที่การฝึกให้มีวินัยเกิดขึ้นทุกครั้ง ก็ดูเหมือนว่าไม่น่ายินดีเลย แต่น่าเจ็บปวด และต่อมาภายหลัง คนที่ได้รับการฝึกจะได้เก็บเกี่ยวผลแห่งความชอบธรรมและสันติสุข

12 ฉะนั้น จงทำให้มือที่อ่อนแอ และเข่าที่อ่อนแรงมีพลังขึ้น 13 และ “ทำทางเดินให้ตรงเพื่อเท้าของเจ้า”[ai] เพื่อขาที่เป๋จะได้ไม่พลิก แต่จะหายเป็นปกติ

การเตือนไม่ให้พลาดพระคุณของพระเจ้า

14 จงพยายามอยู่อย่างสงบสุขกับคนทั้งหลายและด้วยความบริสุทธิ์ใจ เพราะถ้าปราศจากความบริสุทธิ์แล้วจะไม่มีใครเห็นพระผู้เป็นเจ้า 15 จงระวังว่าไม่มีใครพลาดพระคุณของพระเจ้า และไม่มีความขมขื่นที่เป็นเสมือนรากฝังอยู่ในใจจนงอกขึ้น อันเป็นเหตุให้เกิดความยุ่งยาก และทำให้คนเป็นอันมากมีมลทิน 16 อย่าให้ผู้ใดประพฤติผิดทางเพศหรือขาดคุณธรรม เช่นเอซาวที่ขายสิทธิ์ของการได้รับมรดกของเขาในฐานะเป็นบุตรหัวปีไป เพื่อเห็นแก่อาหารมื้อเดียว 17 พวกท่านก็ทราบว่า ต่อมาภายหลังเมื่อเขาต้องการรับพรนี้เป็นมรดก เขาก็ถูกปฏิเสธ เขาไม่มีหนทางแก้ไขสิ่งใดได้เลยแม้จะพยายามแสวงหาพรจนน้ำตาไหลก็ตาม

18 ท่านไม่ได้มาถึงภูเขาที่จับต้องได้ ซึ่งลุกไหม้เป็นไฟในความมืด อีกทั้งมีความมืดมนและลมพายุ 19 หรือเสียงแตรดัง เสียงพูดซึ่งพวกคนที่ได้ยินก็ขอร้องไม่ให้พูดกับเขาอีกต่อไป 20 เพราะเขาไม่สามารถทนต่อคำสั่งที่ว่า “ถ้าแม้สัตว์แตะต้องภูเขา มันก็จะถูกหินขว้างตาย”[aj] 21 ภาพที่เห็นนั้นน่ากลัวจนโมเสสกล่าวว่า “ข้าพเจ้ากลัวจนตัวสั่น”[ak] 22 แต่ท่านทั้งหลายได้มาถึงภูเขาศิโยนและถึงเมืองเยรูซาเล็มแห่งสวรรค์ คือเมืองของพระเจ้าผู้ดำรงอยู่ พวกท่านได้มาถึงที่ชุมนุมอันน่ายินดีของทูตสวรรค์ ซึ่งมีจำนวนมากมายเกินที่จะนับได้ 23 และถึงคริสตจักรของบรรดาบุตรหัวปีที่มีชื่อบันทึกในสวรรค์ ท่านได้มาถึงพระเจ้าที่เป็นผู้พิพากษาของคนทั้งปวง มาถึงวิญญาณของคนทั้งปวงที่มีความชอบธรรมและเพียบพร้อมทุกประการแล้ว 24 และได้มาถึงพระเยซูผู้เป็นคนกลางของพันธสัญญาใหม่ ระหว่างพระเจ้ากับมนุษย์ และถึงโลหิตที่ประพรมซึ่งร้องด้วยคำพูดที่ดีกว่าโลหิตของอาเบล

25 จงระวังว่าท่านจะไม่ปฏิเสธที่จะฟังพระองค์ผู้กำลังพูดอยู่ ถ้าพวกเขาหนีไม่พ้น เพราะปฏิเสธที่จะฟังผู้ที่ได้ตักเตือนเขาในโลกแล้ว พวกเรายิ่งจะหนีไม่พ้น ยิ่งไปกว่านั้นสักเท่าใด ถ้าเราหันหลังให้พระองค์ผู้เตือนจากสวรรค์ 26 และเสียงของพระองค์ทำให้แผ่นดินโลกสั่นสะเทือนในเวลานั้น แต่บัดนี้พระองค์ได้สัญญาไว้ว่า “ไม่เพียงแต่แผ่นดินโลกเท่านั้นที่เราจะทำให้สั่นสะเทือนอีกครั้งหนึ่ง แต่ทั้งฟ้าสวรรค์ด้วย”[al] 27 คำที่ว่า “อีกครั้งหนึ่ง” ชี้ให้เห็นว่าสิ่งที่ถูกสร้างขึ้นจะถูกทำให้สั่นสะเทือนและถูกกำจัดเสีย เพื่อว่าสิ่งที่ไม่ถูกสั่นสะเทือนจะได้คงอยู่ 28 ฉะนั้นในเมื่อเรากำลังรับอาณาจักรที่ไม่อาจสั่นคลอนได้ ขอให้เราขอบคุณและนมัสการพระเจ้า ตามที่พระองค์โปรดด้วยความเคารพและยำเกรง 29 ด้วยว่าพระเจ้าของเราเป็นดั่งไฟเผาผลาญ

เครื่องสักการะอันเป็นที่พอใจของพระเจ้า

13 จงรักกันฉันพี่น้องเสมอไป อย่าละเลยที่จะแสดงการต้อนรับคนแปลกหน้า เพราะว่าการกระทำเช่นนี้บางคนได้ต้อนรับทูตสวรรค์โดยไม่รู้ตัว จงระลึกถึงคนที่ถูกจำขังเหมือนกับว่าท่านอยู่ในคุกด้วยกันกับพวกเขา และระลึกถึงคนที่ถูกกดขี่ข่มเหงเหมือนกับว่าท่านเองทนทุกข์ด้วย จงให้การสมรสเป็นที่นับถือแก่คนทั้งปวง และจงให้เตียงสมรสปราศจากมลทิน เพราะพระเจ้าจะกล่าวโทษผู้ประพฤติผิดทางเพศและผู้ผิดประเวณี อย่าให้ชีวิตของท่านตกเป็นทาสของความรักเงิน จงพอใจกับสิ่งที่ท่านมี เพราะพระองค์เองกล่าวว่า “ไม่มีวันที่เราจะจากหรือทอดทิ้งเจ้าไป”[am] ดังนั้นพวกเราพูดด้วยความมั่นใจได้ว่า

“พระผู้เป็นเจ้าเป็นผู้ช่วยของข้าพเจ้า
    ข้าพเจ้าจะไม่หวั่นกลัว
    มนุษย์จะทำอะไรต่อข้าพเจ้าได้หรือ”[an]

จงระลึกถึงเหล่าผู้นำของท่านที่ประกาศคำกล่าวของพระเจ้าแก่ท่าน จงพิจารณาดูผลที่เกิดจากความประพฤติของเขา และจงทำตามอย่างความเชื่อของเขา พระเยซูคริสต์เป็นเหมือนเดิม ทั้งวานนี้ วันนี้ และตลอดไป อย่ายอมให้การสั่งสอนแปลกๆ สารพันอย่างนำท่านไปในทางที่ผิด จะเป็นการดีถ้ากำลังใจของเราดีขึ้นได้โดยพระคุณ ไม่ใช่โดยอาหารที่กินตามกฎเกณฑ์ ซึ่งไม่เป็นประโยชน์แก่พวกที่ถือตามเลย 10 พวกเรามีแท่นบูชาแท่นหนึ่ง และบรรดาผู้รับใช้ที่กระโจมไม่มีสิทธิ์รับประทานของจากแท่นนั้นได้ 11 หัวหน้ามหาปุโรหิตนำเลือดสัตว์เข้าไปในอภิสุทธิสถานเป็นเครื่องสักการะเพื่อลบล้างบาป แต่ร่างของสัตว์ถูกเผาที่นอกค่าย 12 และพระเยซูก็ทนทุกข์ทรมานอยู่นอกเขตประตูเมืองด้วย เพื่อให้คนทั้งหลายเป็นผู้บริสุทธิ์ได้โดยโลหิตของพระองค์เอง 13 ขอให้พวกเราออกไปหาพระองค์ที่นอกค่ายเถิด เพื่อทนกับความเหยียดหยามที่พระองค์รับ 14 ด้วยว่า ณ ที่นี้ พวกเราไม่มีเมืองอันถาวร แต่เรากำลังแสวงหาเมืองที่จะมีในภายหน้า 15 ฉะนั้นขอให้เราถวายเครื่องสักการะแห่งการสรรเสริญแด่พระเจ้าโดยผ่านพระเยซูต่อไปเถิด คือเครื่องถวายจากริมฝีปากที่สารภาพรับพระนามของพระองค์ 16 อย่าลืมกระทำความดีและแบ่งปันให้แก่กันและกัน เพราะพระเจ้าพอใจกับเครื่องสักการะแบบนั้น

17 จงเชื่อฟังและยอมอยู่ใต้อำนาจของเหล่าผู้นำของท่าน เพราะเขาห่วงใยและดูแลท่านอยู่เสมอ และต้องรายงานความรับผิดชอบของเขา จงเชื่อฟังเขา เพื่อเขาจะได้ยินดีในการทำงาน มิฉะนั้นจะกลายเป็นภาระกับเขา และท่านจะไม่ได้ประโยชน์อะไรเลย

18 จงอธิษฐานเพื่อเรา พวกเราแน่ใจว่าเรามีมโนธรรมที่ดี ต้องการประพฤติสิ่งที่ดีงามทุกอย่าง 19 ข้าพเจ้าขอด้วยความจริงใจให้พวกท่านอธิษฐาน เพื่อว่าข้าพเจ้าจะได้มาหาท่านในไม่ช้า

คำลงท้าย

20 ขอพระเจ้าแห่งสันติสุข ผู้โปรดให้พระเยซู องค์พระผู้เป็นเจ้าของเรา คือผู้เลี้ยงดูฝูงแกะที่ยิ่งใหญ่ และฟื้นขึ้นจากความตายโดยโลหิตแห่งพันธสัญญาอันเป็นนิรันดร์ 21 ช่วยให้ท่านพร้อมเสมอที่จะประพฤติตามความประสงค์ของพระองค์ และสำแดงการกระทำในหมู่เราตามความพอใจของพระองค์โดยผ่านพระเยซูคริสต์ ขอพระบารมีจงมีแด่พระองค์ชั่วนิรันดร์กาลเถิด อาเมน

22 พี่น้องทั้งหลาย ข้าพเจ้าขอร้องให้ท่านอดทนฟังคำเตือนที่ให้กำลังใจท่าน ด้วยว่าข้าพเจ้าเขียนถึงท่านอย่างสั้นๆ เท่านั้น 23 จงทราบไว้ด้วยว่าทิโมธีน้องชายของเราได้รับการปลดปล่อยแล้ว ถ้าเขามาถึงทันเวลา เขาก็จะมาหาท่านด้วยกันกับข้าพเจ้า 24 ช่วยฝากความคิดถึงมายังเหล่าผู้นำของท่าน และผู้บริสุทธิ์ของพระเจ้าทุกคน บรรดาผู้ที่มาจากประเทศอิตาลีฝากความคิดถึงมาด้วย

25 ขอพระคุณจงอยู่กับท่านทุกคนเถิด

การทักทายของยากอบ

ข้าพเจ้ายากอบ ผู้รับใช้ของพระเจ้า และของพระเยซูคริสต์ องค์พระผู้เป็นเจ้า

ขอส่งความคิดถึงมายัง 12 เผ่าที่กระจัดกระจายไปในต่างแดน

ทดสอบความเชื่อ

พี่น้องเอ๋ย เมื่อท่านประสบกับความลำบากต่างๆ ก็จงนับว่าเป็นเรื่องที่น่ายินดีอย่างยิ่ง เพราะท่านทราบว่า การทดสอบความเชื่อของท่านทำให้เกิดความบากบั่น ให้ความบากบั่นเป็นที่ปรากฏอย่างสม่ำเสมอ เพื่อท่านจะได้เป็นคนดีเพียบพร้อมทุกประการ และมีคุณสมบัติครบถ้วน ไม่มีสิ่งใดขาดตกบกพร่องเลย

ถ้าคนใดในพวกท่านขาดปัญญา ก็ให้เขาขอจากพระเจ้า แล้วเขาก็จะได้รับ เพราะพระองค์มอบให้แก่ทุกคนด้วยความเอื้อเฟื้อและด้วยความยินดี แต่เวลาเขาขอจากพระองค์ เขาต้องมีใจเชื่อโดยไม่สงสัย เพราะคนที่สงสัยเป็นเสมือนคลื่นในทะเลที่ถูกกระแสลมพัดให้ซัดม้วนไปมา คนนั้นไม่ควรคิดว่า เขาจะได้รับสิ่งใดจากพระผู้เป็นเจ้าเลย เขาเป็นคนสองจิตสองใจ ไม่มั่นคงในสิ่งใดๆ ที่ตนกระทำ

ให้พี่น้องผู้ต่ำต้อยยินดีเมื่อได้รับการยกย่อง 10 และคนมั่งมีถ่อมตัวเมื่อตกต่ำลง เพราะเขาจะล่วงลับไปเหมือนดอกหญ้า 11 เพราะดวงอาทิตย์ขึ้นพร้อมกับความร้อนที่แผดเผา และทำให้พืชเหี่ยวเฉา ดอกร่วงโรยและความงามก็หมดสิ้นไป ในทำนองเดียวกันคือ คนมั่งมีจะล่วงลับไป แม้จะเป็นเวลาที่เขาทำหน้าที่การงานอยู่

12 คนที่บากบั่นฟันฝ่าความยากลำบากก็เป็นสุข เพราะเมื่อเขาผ่านการทดสอบแล้ว เขาจะได้รับมงกุฎแห่งชีวิตที่พระเจ้าได้สัญญาไว้กับบรรดาผู้ที่รักพระองค์ 13 เวลาผู้ใดถูกยั่วยุก็อย่าพูดว่า “พระเจ้ากำลังยั่วยุข้าพเจ้า” เพราะความชั่วจะยั่วยุพระเจ้าไม่ได้ และพระเจ้าไม่ยั่วยุผู้ใดเช่นกัน 14 ทว่า แต่ละคนถูกยั่วยุได้ ในเวลาที่เขาติดกับดักแรงกิเลสของตัวเอง 15 เมื่อกิเลสเกิดขึ้นแล้ว บาปก็เกิดตามไปด้วย เมื่อบาปเติบใหญ่เต็มที่แล้ว ก็นำไปสู่ความตาย

ปฏิบัติตามคำกล่าว

16 พี่น้องที่รักของข้าพเจ้าเอ๋ย อย่าให้ผู้ใดหลอกลวงท่านเลย 17 สิ่งดีและเพียบพร้อมทุกประการมาจากเบื้องบน ลงมาจากพระบิดาผู้สร้างความสว่างทั้งหลายในท้องฟ้า พระองค์ไม่เปลี่ยนแปลงไปอย่างเงาที่เคลื่อนไปได้ 18 พระองค์มีความประสงค์ จึงได้ให้เราบังเกิดโดยคำกล่าวที่เป็นความจริง เพื่อว่าเราจะได้เป็นเสมือนผลแรก[ao]ของสิ่งทั้งปวงที่พระองค์สร้างขึ้น

19 พี่น้องที่รักของข้าพเจ้าเอ๋ย จงทราบข้อนี้ว่า ทุกคนควรว่องไวในการฟัง ไม่ต้องรีบพูดหรือรีบโกรธ 20 ด้วยว่า ความโกรธของมนุษย์ไม่ช่วยให้เขามีชีวิตที่ชอบธรรมตามที่พระเจ้าประสงค์ 21 ดังนั้นจงกำจัดความโสมมทั้งปวงและความชั่วที่มีอยู่มากมาย และจงถ่อมตัวรับคำกล่าวที่ปลูกฝังอยู่ในตัวท่าน ซึ่งสามารถช่วยให้ท่านรอดพ้นได้

22 อย่าเป็นเพียงผู้ฟังคำกล่าวเท่านั้น เพราะเป็นการหลอกลวงตนเอง แต่จงทำตามคำที่กล่าวไว้ 23 ใครก็ตามที่เพียงแต่ได้ยินคำกล่าวแล้วไม่ทำตาม ก็เป็นเสมือนคนที่มองหน้าตนเองในกระจกเงา 24 และหลังจากมองดูตนเองแล้วก็เดินจากไป และลืมในทันทีว่าตัวเองเป็นอย่างไร 25 แต่คนที่พิจารณาดูกฎบัญญัติอันเพียบพร้อมทุกประการซึ่งนำไปสู่อิสรภาพ และบากบั่นต่อไป เขาไม่เป็นคนที่ฟังแล้วหลงลืม แต่เป็นผู้ปฏิบัติตาม แล้วเขาก็จะได้รับพระพรในสิ่งที่เขากระทำ

26 ถ้าผู้ใดคิดว่าตนเคร่งในศาสนา แต่ควบคุมลิ้นไว้ไม่ได้ ก็นับว่าหลอกตนเอง ศาสนาของเขาก็ไร้ค่า 27 ศาสนาที่พระเจ้า ผู้เป็นพระบิดาของเรานับว่าบริสุทธิ์และปราศจากมลทิน คือการดูแลพวกเด็กกำพร้าและหญิงม่ายซึ่งตกทุกข์ และการรักษาตัวเองให้พ้นจากราคีของโลก

ระวังอย่าลำเอียง

พี่น้องของข้าพเจ้าเอ๋ย เพราะท่านเป็นผู้เชื่อในพระเยซูคริสต์ องค์พระผู้เป็นเจ้าของเรา ผู้กอปรด้วยพระสง่าราศี ท่านก็อย่าเป็นคนลำเอียง ถ้ามีชายคนหนึ่งเข้ามาในที่ประชุมของท่าน แต่งกายดีและสวมแหวนทอง และมีคนจนสวมเสื้อสกปรกเข้ามาด้วย และท่านเอาใจใส่คนที่สวมเสื้อผ้าดีโดยพูดว่า “เชิญท่านนั่งที่ดีๆ ที่นี่เถิด” และท่านพูดกับคนจนว่า “แกไปยืนที่โน่น ไม่ก็นั่งลงแทบเท้าของเรา” พวกท่านไม่ได้แบ่งชั้นวรรณะในหมู่ท่านเอง และกลายเป็นผู้ตัดสินความด้วยใจชั่วหรือ พี่น้องที่รักของข้าพเจ้าเอ๋ย จงฟังเถิด พระเจ้าไม่ได้เลือกคนจนของโลกให้เป็นคนมั่งมีในความเชื่อ และเป็นผู้รับมรดกของอาณาจักร ซึ่งพระองค์สัญญาไว้กับบรรดาคนที่รักพระองค์หรือ แต่ท่านได้หลู่เกียรติคนจน ไม่ใช่คนมั่งมีหรอกหรือ ที่กดหัวท่าน และลากตัวท่านไปขึ้นศาล ไม่ใช่พวกเขาหรอกหรือ ที่พูดหมิ่นประมาทชื่ออันประเสริฐ ซึ่งเป็นชื่อที่ผู้คนใช้เรียกท่าน

ถ้าท่านปฏิบัติตามกฎบัญญัติแห่งอาณาจักรโดยแท้จริงตามที่พระคัมภีร์ระบุว่า “จงรักเพื่อนบ้านของเจ้าให้เหมือนรักตนเอง”[ap]แล้ว ท่านก็ประพฤติดีอยู่ แต่ถ้าพวกท่านลำเอียง ท่านก็ทำบาป และถูกตัดสินโดยกฎบัญญัติว่าท่านละเมิดกฎ 10 เพราะใครก็ตามที่รักษากฎบัญญัติทั้งหมดแต่พลั้งผิดเพียงข้อเดียว ก็นับว่าเขาผิดต่อกฎบัญญัติทั้งหมด 11 เพราะองค์ที่กล่าวว่า “อย่าผิดประเวณี”[aq] ก็กล่าวด้วยว่า “อย่าฆ่าคน”[ar] ถ้าท่านไม่ผิดประเวณีแต่ฆ่าคน ท่านก็กลายเป็นคนละเมิดกฎแล้ว 12 จงพูดและประพฤติให้เหมือนกับคนที่จะถูกตัดสินโดยกฎบัญญัติที่นำไปสู่อิสรภาพ 13 เพราะว่าพระเจ้าจะไม่เมตตาในการพิพากษาคนที่ไม่มีความเมตตา ความเมตตาย่อมมีชัยชนะเหนือการพิพากษา

ความเชื่อที่ปราศจากการกระทำ

14 พี่น้องทั้งหลาย จะมีประโยชน์อะไรถ้ามีคนพูดว่า เขามีความเชื่อ แต่ไม่มีการกระทำแสดงให้เห็น ความเชื่อนั้นช่วยให้เขารอดพ้นได้หรือ 15 ถ้าพี่น้องคนใดไม่มีเสื้อผ้านุ่งห่มและอาหารประจำวัน 16 คนหนึ่งในพวกท่านพูดกับเขาว่า “ขอให้ทุกสิ่งเป็นไปด้วยดีกับท่าน จงระวังอย่าปล่อยให้หนาวและหิวเลย” โดยที่ท่านก็ยังไม่ให้สิ่งจำเป็นสำหรับร่างกายของเขา แล้วจะมีประโยชน์อะไร 17 ฉะนั้น ความเชื่อก็เช่นเดียวกัน ถ้าปราศจากการกระทำควบคู่กันไปก็ไร้ชีวิต

18 แต่บางคนจะพูดว่า “ท่านมีความเชื่อ ข้าพเจ้ามีการกระทำ” จงแสดงความเชื่อของท่านที่ปราศจากการกระทำให้ข้าพเจ้าเห็น แล้วข้าพเจ้าจะแสดงความเชื่อของข้าพเจ้าให้ท่านเห็น โดยสิ่งที่ข้าพเจ้ากระทำ 19 ท่านเชื่อว่ามีพระเจ้าองค์เดียว ดีแล้ว แม้แต่พวกมารก็เชื่อเช่นนั้น และกลัวจนตัวสั่น 20 คนโง่เขลาเอ๋ย ท่านอยากจะเห็นข้อพิสูจน์ไหมว่า ความเชื่อที่ปราศจากการกระทำนั้นไร้ประโยชน์ 21 พระเจ้านับว่าอับราฮัมบิดาของเรามีความชอบธรรมโดยการกระทำมิใช่หรือ เมื่อท่านถวายอิสอัคผู้เป็นบุตรบนแท่นบูชา 22 ท่านทั้งหลายจะเห็นได้ว่า ความเชื่อของอับราฮัมควบคู่ไปกับการกระทำของท่าน และความเชื่อนั้นบริบูรณ์ได้โดยการกระทำ 23 และเป็นไปตามที่พระคัมภีร์ระบุว่า “อับราฮัมเชื่อพระเจ้า และพระองค์จึงนับว่าท่านเป็นผู้มีความชอบธรรม”[as] และพระเจ้าได้เรียกท่านว่า เป็นสหายของพระองค์ 24 ท่านทั้งหลายเห็นว่าคนพ้นผิดได้โดยการกระทำของเขา มิใช่ใช้เพียงความเชื่อเท่านั้น 25 ในวิธีเดียวกันคือแม้ราหับหญิงแพศยา พระเจ้าก็นับว่านางเป็นผู้มีความชอบธรรมโดยการกระทำด้วยมิใช่หรือ เมื่อนางต้อนรับบรรดาผู้สอดแนมแล้ว นางช่วยให้เขาหนีออกไปทางอื่นเสีย 26 ร่างกายที่ปราศจากวิญญาณไร้ชีวิตเช่นไร ความเชื่อที่ปราศจากการกระทำก็ไร้ชีวิตเช่นนั้น

ทำลิ้นให้เชื่อง

พี่น้องของข้าพเจ้าเอ๋ย อย่าเป็นครูอาจารย์กันหลายคนเลย เพราะท่านทราบว่า พวกเราผู้สอนจะถูกพิพากษาอย่างเข้มงวดมากกว่า เพราะเราทุกคนผิดพลาดหลายอย่าง ถ้าผู้ใดไม่ทำผิดพลาดไปจากสิ่งที่ตนพูด เขาก็เป็นคนดีโดยเพียบพร้อมทุกประการ สามารถควบคุมตนเองได้หมด ถ้าเราเอาบังเหียนใส่ปากม้า เพื่อให้มันเชื่อฟังเรา เราก็ควบคุมม้าทั้งตัวได้ด้วย ดูเถิด เรือก็เช่นกัน แม้ว่าจะมีขนาดใหญ่และถูกลมแรงพัด ก็ยังถูกควบคุมด้วยหางเสือเล็กๆ ที่นายท้ายใช้บังคับทิศทาง ลิ้นก็เช่นเดียวกัน เป็นส่วนเล็กของร่างกาย แต่ยังโอ้อวดเรื่องที่ยิ่งใหญ่

ดูเถิดว่า ป่าใหญ่ถูกไฟไหม้ได้ด้วยเปลวไฟเล็กๆ ลิ้นก็เป็นเหมือนไฟ ลิ้นเป็นเสมือนโลกที่ไม่มีความชอบธรรม ซึ่งอยู่ร่วมกับส่วนอื่นๆ ของร่างกาย ลิ้นทำให้ทั้งร่างกายเป็นมลทิน ทำให้ตลอดทั้งชีวิตถูกไฟลุกไหม้ และลิ้นติดไฟจากนรกได้

สัตว์ทุกชนิด นก สัตว์เลื้อยคลาน และสัตว์ในทะเลถูกทำให้เชื่องได้ และมนุษย์เป็นคนทำให้เชื่อง แต่ไม่มีผู้ใดสามารถทำให้ลิ้นเชื่องได้ ลิ้นเป็นสิ่งชั่วที่อยู่ไม่สุขและเต็มด้วยพิษร้ายถึงตาย เราสรรเสริญพระผู้เป็นเจ้าและพระบิดาของเราด้วยลิ้น และด้วยลิ้น เราก็สาปแช่งคนซึ่งถูกสร้างขึ้นตามคุณลักษณะของพระเจ้า 10 ทั้งคำสรรเสริญและคำสาปแช่งออกมาจากปากเดียวกัน พี่น้องของข้าพเจ้าเอ๋ย ไม่ควรให้เป็นเช่นนั้นเลย 11 บ่อน้ำพุมีทั้งน้ำจืดและน้ำเค็มพุ่งออกมาทางช่องเดียวกันได้หรือ 12 พี่น้องของข้าพเจ้าเอ๋ย ต้นมะเดื่อจะออกผลเป็นมะกอก หรือเถาองุ่นออกผลเป็นมะเดื่อได้ไหม บ่อน้ำพุเค็มก็ไม่สามารถให้น้ำจืดได้เช่นกัน

New Thai Version (NTV-BIBLE)

Copyright © 1998, 2012, 2020 by New Thai Version Foundation