Previous Prev Day Next DayNext

Bible in 90 Days

An intensive Bible reading plan that walks through the entire Bible in 90 days.
Duration: 88 days
Thai New Contemporary Bible (TNCV)
Version
ยูดา - วิวรณ์ 17

จดหมายฉบับนี้จากข้าพเจ้ายูดาผู้เป็นผู้รับใช้ของพระเยซูคริสต์และเป็นน้องชายของยากอบ

ถึงบรรดาผู้ที่ทรงเรียกซึ่งเป็นที่รักของพระเจ้าพระบิดาและได้รับการปกป้องไว้โดย[a]พระเยซูคริสต์

ขอพระเมตตา สันติสุข และความรักมีแก่ท่านทั้งหลายอย่างล้นเหลือ

บาปและความพินาศของคนอธรรม

เพื่อนที่รักทั้งหลาย แม้ข้าพเจ้ากระตือรือร้นอย่างยิ่งที่จะเขียนถึงท่านเกี่ยวกับความรอดที่เรามีร่วมกัน ข้าพเจ้าก็รู้สึกว่าจำเป็นต้องเขียนมาให้กำลังใจท่านให้ต่อสู้เพื่อความเชื่อซึ่งได้ทรงมอบหมายแก่ประชากรของพระเจ้าเพียงครั้งเดียวเป็นพอ เนื่องจากมีบางคนได้แอบแฝงเข้ามาในหมู่พวกท่าน คำพิพากษาของคนพวกนี้ได้ถูกบันทึก[b] ไว้นานแล้ว พวกเขาเป็นคนอธรรมไม่ยำเกรงพระเจ้า พลิกผันพระคุณของพระองค์มาเป็นใบเบิกทางให้ทำผิดศีลธรรม และปฏิเสธพระเยซูคริสต์ผู้ทรงเป็นองค์เจ้าชีวิตและเป็นองค์พระผู้เป็นเจ้าแต่ผู้เดียวของเรา

แม้ท่านทราบความทั้งสิ้นนี้แล้ว ข้าพเจ้าก็ยังอยากเตือนให้ท่านระลึกว่าองค์พระผู้เป็นเจ้า[c] ทรงปลดปล่อยประชากรของพระองค์ออกจากอียิปต์ แต่ต่อมาก็ทรงทำลายบรรดาผู้ที่ไม่เชื่อ และเหล่าทูตสวรรค์ที่ไม่พอใจในอำนาจหน้าที่ซึ่งพระเจ้าประทาน แต่ได้ละทิ้งถิ่นที่อยู่ของตนเอง พระองค์ได้ทรงกักขังทูตสวรรค์เหล่านี้ไว้ในที่มืด ล่ามด้วยโซ่อันเป็นนิรันดร์เพื่อรอการพิพากษาในวันอันยิ่งใหญ่นั้น เช่นเดียวกัน เมืองโสโดม เมืองโกโมราห์ และเมืองต่างๆ โดยรอบได้ปล่อยตัวมัวเมาทำผิดศีลธรรมทางเพศและกามวิปริต พวกนี้เป็นตัวอย่างของบรรดาผู้ที่จะรับโทษในไฟนิรันดร์

พวกเพ้อฝันเหล่านี้ก็เป็นแบบเดียวกันไม่มีผิด เขาปล่อยตัวแปดเปื้อน ปฏิเสธสิทธิอำนาจ กล่าวสบประมาทเทพเบื้องบน แม้แต่เทพบดีมีคาเอล เมื่อโต้แย้งกับมารเรื่องศพของโมเสสก็ยังไม่กล้าล่วงเกินกล่าวหามารเลย พูดเพียงว่า “ให้องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงจัดการกับเจ้า!” 10 กระนั้นคนเหล่านี้ก็กล่าวจาบจ้วงล่วงเกินสิ่งที่ตนไม่เข้าใจและสิ่งที่เขาเข้าใจโดยสัญชาตญาณเยี่ยงเดรัจฉานที่ไม่รู้จักใช้เหตุผล สิ่งเหล่านี้เองที่ทำลายล้างพวกเขา

11 วิบัติแก่พวกเขา! เขาได้ดำเนินตามแนวทางของคาอิน เขาได้ทุ่มตัวเข้าสู่ความผิดพลาดของบาลาอัมเพราะเห็นแก่ได้ เขาจะถูกทำลายล้างไปเหมือนอย่างการกบฏของโคราห์

12 คนเหล่านี้เป็นรอยด่างพร้อยในงานเลี้ยงแห่งความรักของท่าน พวกเขาร่วมกินดื่มกับท่านอย่างตะกละตะกลามโดยไม่เกรงกลัวแม้แต่น้อย เป็นเหมือนคนเลี้ยงแกะที่เลี้ยงแต่ตัวเอง เขาเป็นเมฆไร้ฝนที่ลอยไปตามลม เป็นต้นไม้ที่ไม่ให้ผลตามฤดูกาลและถูกถอนรากถอนโคนตายซ้ำสอง 13 เขาเป็นคลื่นคะนองในทะเลที่ซัดความน่าอับอายของตนเป็นฟองฟู่ เขาเป็นดาวที่เตลิดจากวงโคจร ความมืดมิดได้ถูกสงวนไว้ให้เขาตลอดกาล

14 เอโนคซึ่งเป็นคนในชั่วอายุที่เจ็ดนับจากอาดัมได้พยากรณ์เกี่ยวกับคนเหล่านี้ไว้ว่า “ดูเถิด องค์พระผู้เป็นเจ้ากำลังเสด็จมาพร้อมด้วยผู้บริสุทธิ์นับแสนนับล้านของพระองค์ 15 เพื่อพิพากษาทุกคนและเพื่อให้คนอธรรมทั้งปวงสำนึกในการอธรรมทั้งสิ้นที่ได้ทำไปตามแนวทางอธรรม และสำนึกในคำจาบจ้วงที่คนบาปคนอธรรมได้กล่าวร้ายพระองค์” 16 คนเหล่านี้มักพร่ำบ่นและชอบจับผิด เขาทำตามตัณหาชั่วของตน เขายกตนเองและประจบสอพลอคนอื่นเพื่อหาประโยชน์ใส่ตัว

เรียกร้องให้มานะอดทน

17 แต่เพื่อนที่รักทั้งหลาย จงระลึกถึงสิ่งที่เหล่าอัครทูตขององค์พระเยซูคริสต์เจ้าของเราได้บอกไว้ล่วงหน้า 18 พวกเขากล่าวกับท่านว่า “ในยุคสุดท้ายจะมีคนชอบเยาะเย้ยซึ่งทำตามตัณหาชั่วของตนเอง” 19 คนเหล่านี้ทำให้พวกท่านแตกแยกกัน เขาทำตามสัญชาตญาณเท่านั้นและไม่มีพระวิญญาณ

20 ส่วนท่านเพื่อนที่รักทั้งหลาย จงเสริมสร้างกันขึ้นในความเชื่ออันบริสุทธิ์ที่ท่านมีอยู่ และจงอธิษฐานในพระวิญญาณบริสุทธิ์ 21 จงรักษาตัวไว้ในความรักของพระเจ้าขณะที่ท่านรอคอยพระเมตตาของพระเยซูคริสต์เจ้าของเราให้นำท่านไปสู่ชีวิตนิรันดร์

22 จงสำแดงความเมตตาแก่ผู้ที่สงสัย 23 จงฉุดผู้อื่นออกมาจากไฟและช่วยพวกเขาให้รอด จงสำแดงความเมตตาแก่ผู้อื่น แต่จงกลัวที่จะเป็นมลทิน คือจงรังเกียจแม้แต่เสื้อผ้าที่แปดเปื้อนด้วยโลกีย์

บทสดุดี

24 แด่พระองค์ผู้ทรงสามารถคุ้มครองไม่ให้ท่านล้มลง และนำท่านเข้าสู่เบื้องพระพักตร์อันเปี่ยมด้วยพระเกียรติสิริอย่างปราศจากตำหนิและด้วยความชื่นชมยินดีอย่างใหญ่หลวง 25 คือแด่พระเจ้าองค์เดียวผู้ทรงเป็นพระผู้ช่วยให้รอดของเรา ขอพระเกียรติสิริ พระบารมี เดชานุภาพ และอำนาจมีแด่พระองค์โดยทางพระเยซูคริสต์องค์พระผู้เป็นเจ้าของเรา แด่พระเจ้าผู้ทรงดำรงตลอดมาทุกยุค ในอดีต ในปัจจุบัน และสืบๆ ไปเป็นนิตย์! อาเมน

อารัมภบท

นี่คือการสำแดงของพระเยซูคริสต์ซึ่งพระเจ้าประทานแก่พระองค์ เพื่อแสดงให้บรรดาผู้รับใช้ของพระองค์เห็นสิ่งที่จะต้องเกิดขึ้นในไม่ช้า พระองค์ทรงให้ทูตสวรรค์ของพระองค์ไปสำแดงแก่ยอห์นผู้รับใช้ของพระองค์ ยอห์นยืนยันทุกอย่างที่ท่านเห็น คือพระวจนะของพระเจ้าและคำพยานเรื่องพระเยซูคริสต์ ความสุขมีแก่ผู้ที่อ่านคำพยากรณ์นี้และความสุขมีแก่ผู้ที่ฟังแล้วจดจำใส่ใจในสิ่งที่เขียนไว้เพราะเวลานั้นใกล้เข้ามาแล้ว

คำทักทายและบทสรรเสริญ

จดหมายฉบับนี้จากข้าพเจ้ายอห์น

ถึงคริสตจักรทั้งเจ็ดในแคว้นเอเชีย

ขอพระคุณและสันติสุขมีแก่ท่านทั้งหลายจากพระองค์ผู้ทรงดำรงอยู่ในปัจจุบันและดำรงอยู่ในอดีตและจะเสด็จมา และจากวิญญาณทั้งเจ็ด[d] หน้าพระที่นั่งของพระองค์ และจากพระเยซูคริสต์ผู้ทรงเป็นพยานที่สัตย์ซื่อ เป็นคนแรกที่เป็นขึ้นมาจากตาย[e] และเป็นผู้ปกครองเหนือกษัตริย์ทั้งหลายของโลก

แด่พระองค์ผู้ทรงรักเราทั้งหลายและได้ทรงให้เราพ้นจากบาปของเราโดยพระโลหิตของพระองค์ และได้ทรงตั้งเราให้เป็นอาณาจักรและเป็นปุโรหิตเพื่อรับใช้พระเจ้าและพระบิดาของพระองค์ ขอพระเกียรติสิริและฤทธิ์อำนาจมีแด่พระองค์สืบๆ ไปเป็นนิตย์! อาเมน

ดูเถิด พระองค์กำลังเสด็จมาพร้อมกับหมู่เมฆ
และทุกนัยน์ตาจะเห็นพระองค์
แม้กระทั่งคนเหล่านั้นที่ได้แทงพระองค์
และประชาชาติทั้งมวลทั่วโลกจะเศร้าโศกเนื่องด้วยพระองค์
แล้วจะเป็นไปเช่นนั้น! อาเมน

พระเจ้าผู้เป็นองค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสว่า “เราเป็นอัลฟา[f]และโอเมกา[g] ผู้ดำรงอยู่ในปัจจุบันและดำรงอยู่ในอดีตและจะเสด็จมา เราคือองค์ทรงฤทธิ์”

ผู้หนึ่งคล้ายบุตรมนุษย์

ข้าพเจ้ายอห์นผู้เป็นพี่น้องและเพื่อนของท่าน ผู้ร่วมในการทนทุกข์และร่วมในอาณาจักรและในการอดทนอดกลั้นทั้งหมดซึ่งเกิดขึ้นกับเราในพระเยซู ข้าพเจ้ามาอยู่ที่เกาะปัทมอสเพราะประกาศพระวจนะของพระเจ้าและคำพยานเรื่องพระเยซู 10 ในวันขององค์พระผู้เป็นเจ้า ข้าพเจ้าอยู่ในพระวิญญาณและได้ยินเสียงคล้ายเสียงแตรดังก้องขึ้นด้านหลังข้าพเจ้า 11 กล่าวว่า “จงเขียนสิ่งที่เห็นลงในหนังสือม้วนและส่งไปยังคริสตจักรทั้งเจ็ดคือ คริสตจักรที่เอเฟซัส สเมอร์นา เปอร์กามัม ธิยาทิรา ซาร์ดิส ฟีลาเดลเฟีย และเลาดีเซีย”

12 ข้าพเจ้าเหลียวมาดูว่าใครพูดกับข้าพเจ้า และเมื่อหันมาข้าพเจ้าเห็นคันประทีปทองคำเจ็ดคัน 13 ท่ามกลางคันประทีปเหล่านั้นมีผู้หนึ่ง “เหมือนบุตรมนุษย์”[h] ทรงฉลองพระองค์ยาวกรอมพระบาทและมีแถบทองคำคาดรอบพระอุระ 14 พระเศียรและพระเกศาของพระองค์ขาวเหมือนสำลี ขาวดุจหิมะ พระเนตรของพระองค์ดั่งเปลวไฟช่วงโชติ 15 พระบาทของพระองค์ราวกับทองสัมฤทธิ์สุกปลั่งในเบ้าหลอม พระสุรเสียงของพระองค์ดุจเสียงน้ำเชี่ยวกราก 16 พระองค์ทรงถือดาวเจ็ดดวงไว้ในพระหัตถ์ขวา และมีดาบสองคมออกมาจากพระโอษฐ์ของพระองค์ พระพักตร์ของพระองค์ประหนึ่งดวงตะวันฉายแสงเจิดจ้า

17 เมื่อเห็นพระองค์ข้าพเจ้าก็ล้มลงแทบพระบาทเสมือนกับตายแล้ว จากนั้นพระองค์ทรงวางพระหัตถ์ขวาบนข้าพเจ้าและตรัสว่า “อย่ากลัวเลย เราเป็นเบื้องต้นและเบื้องปลาย 18 เราเป็นองค์ผู้ดำรงชีวิตอยู่ เราตายแล้ว และดูเถิดเรายังมีชีวิตอยู่สืบๆ ไปเป็นนิตย์! และเราถือกุญแจแห่งความตายและแดนมรณา

19 “ฉะนั้นจงเขียนสิ่งที่เจ้าได้เห็น สิ่งที่เป็นอยู่ขณะนี้ และสิ่งที่จะเกิดขึ้นในภายหน้า 20 ความล้ำลึกของดาวเจ็ดดวงที่เจ้าเห็นอยู่ในมือขวาของเราและความล้ำลึกของคันประทีปทองคำทั้งเจ็ดมีดังนี้ ดาวเจ็ดดวงคือทูตสวรรค์[i]แห่งคริสตจักรทั้งเจ็ด และคันประทีปเจ็ดคันคือคริสตจักรทั้งเจ็ด

ถึงคริสตจักรที่เมืองเอเฟซัส

“จงเขียนถึงทูตสวรรค์[j]แห่งคริสตจักรที่เมืองเอเฟซัสว่า

พระองค์ผู้ทรงถือดาวทั้งเจ็ดไว้ในพระหัตถ์ขวาและทรงดำเนินอยู่ท่ามกลางคันประทีปทองคำทั้งเจ็ดนั้นตรัสว่า เรารู้ถึงการกระทำของเจ้า ความเหนื่อยยากตรากตรำของเจ้า และความอดทนของเจ้า เรารู้ว่าเจ้าไม่อาจทนต่อคนชั่ว เจ้าได้ทดสอบบรรดาผู้อ้างตัวเป็นอัครทูตแต่ไม่ได้เป็น เจ้าจับได้ว่าเขาโกหก เรารู้ว่าเจ้าได้อดทนบากบั่นและได้ทนความยากเข็ญเพื่อนามของเรา และเจ้าไม่ได้ระย่อท้อแท้

แต่เรามีข้อติติงเจ้าคือ เจ้าได้ละทิ้งความรักดั้งเดิมของเจ้า จงระลึกว่าเจ้าได้ร่วงหล่นลงมามากเพียงใด! จงกลับใจใหม่และทำสิ่งที่เจ้าเคยทำตั้งแต่แรก ถ้าเจ้าไม่กลับใจใหม่เราจะมาหาเจ้าและยกคันประทีปของเจ้าออกจากที่ แต่เจ้ายังมีข้อดีอยู่บ้างตรงที่เจ้าชิงชังข้อปฏิบัติของพวกนิโคเลาส์นิยมซึ่งเราก็ชิงชังด้วย

ใครมีหูก็จงฟังสิ่งที่พระวิญญาณตรัสแก่คริสตจักรทั้งหลาย ผู้ใดมีชัยชนะเราจะให้เขามีสิทธิ์รับประทานผลจากต้นไม้แห่งชีวิตในอุทยานสวรรค์ของพระเจ้า

ถึงคริสตจักรที่เมืองสเมอร์นา

“จงเขียนถึงทูตสวรรค์แห่งคริสตจักรที่เมืองสเมอร์นาว่า

พระองค์ผู้ทรงเป็นเบื้องต้นและเบื้องปลาย ผู้ได้สิ้นพระชนม์และกลับมีชีวิตขึ้นมาอีกตรัสว่า เรารู้ถึงการทนทุกข์และความยากไร้ของเจ้า กระนั้นเจ้าก็มั่งมี! เรารู้ถึงคำให้ร้ายของบรรดาผู้ที่อ้างว่าตนเป็นยิวและไม่ได้เป็น แต่เป็นธรรมศาลาของซาตาน 10 อย่ากลัวการทนทุกข์ที่เจ้ากำลังจะเผชิญ เราบอกเจ้าว่ามารจะขังพวกเจ้าบางคนไว้ในคุกเพื่อทดสอบเจ้า และเจ้าจะทนทุกข์เพราะการข่มเหงถึงสิบวัน จงสัตย์ซื่อแม้ต้องตายและเราจะมอบมงกุฎแห่งชีวิตให้แก่เจ้า

11 ใครมีหูก็จงฟังสิ่งที่พระวิญญาณตรัสแก่คริสตจักรทั้งหลาย ผู้ใดมีชัยชนะจะไม่ถูกทำร้ายโดยความตายครั้งที่สองเลย

ถึงคริสตจักรที่เมืองเปอร์กามัม

12 “จงเขียนถึงทูตสวรรค์แห่งคริสตจักรที่เมืองเปอร์กามัมว่า

พระองค์ผู้ทรงถือดาบสองคมตรัสว่า 13 เรารู้ว่าเจ้าอาศัยอยู่ที่ไหน ที่นั่นเป็นที่ซึ่งซาตานครองบัลลังก์ กระนั้นเจ้าก็ยังคงภักดีต่อนามของเรา เจ้าไม่ได้ละทิ้งความเชื่อที่เจ้ามีในเราแม้ในช่วงที่อันทีพาสผู้เป็นพยานให้เราอย่างสัตย์ซื่อถูกฆ่าตายในเมืองของเจ้า คือที่ซึ่งซาตานอยู่

14 กระนั้นเรามีบางข้อที่จะติติงเจ้าคือ พวกเจ้าบางคนยึดถือคำสอนของบาลาอัมซึ่งเสี้ยมสอนบาลาคให้มาล่ออิสราเอลให้ทำบาปด้วยการกินอาหารที่ได้เซ่นไหว้แก่รูปเคารพและการทำผิดศีลธรรมทางเพศ 15 เช่นเดียวกันนั้นก็มีบางคนที่ยึดถือคำสอนของพวกนิโคเลาส์นิยม 16 เพราะฉะนั้นจงกลับใจใหม่! มิฉะนั้นอีกไม่นานเราจะมาหาเจ้าและสู้กับคนเหล่านั้นด้วยดาบแห่งปากของเรา

17 ใครมีหูก็จงฟังสิ่งที่พระวิญญาณตรัสแก่คริสตจักรทั้งหลาย ผู้ใดมีชัยชนะเราจะให้มานาที่ซ่อนอยู่ และให้หินขาวอันมีนามใหม่จารึกไว้ซึ่งผู้ที่รับเท่านั้นจึงจะรู้

ถึงคริสตจักรที่เมืองธิยาทิรา

18 “จงเขียนถึงทูตสวรรค์แห่งคริสตจักรที่เมืองธิยาทิราว่า

พระบุตรของพระเจ้าผู้ซึ่งมีพระเนตรดั่งเปลวไฟโชติช่วงและพระบาทดั่งทองสัมฤทธิ์สุกปลั่งตรัสว่า 19 เรารู้ถึงการกระทำของเจ้า ความรักและความเชื่อของเจ้า การรับใช้และความอดทนบากบั่นของเจ้า และเรารู้ว่าปัจจุบันเจ้ากำลังทำสิ่งเหล่านี้มากยิ่งกว่าตอนแรก

20 กระนั้นเรามีข้อที่จะติติงเจ้าคือ เจ้าทนฟังเยเซเบลผู้หญิงที่เรียกตนเองว่าผู้เผยพระวจนะ คำสอนของนางทำให้ผู้รับใช้ของเราหลงไปประพฤติผิดทางเพศและกินของที่เซ่นไหว้แก่รูปเคารพ 21 เราให้โอกาสหญิงนั้นกลับใจจากความสำส่อนของนาง แต่นางก็ไม่ยอม 22 ดังนั้นเราจะโยนนางลงบนเตียงแห่งความทุกข์ทรมาน และให้บรรดาผู้ล่วงประเวณีกับหญิงนั้นทนทุกข์แสนสาหัส เว้นแต่พวกเขาจะกลับใจจากวิถีของนาง 23 เราจะประหารลูกๆ ของหญิงนั้น แล้วคริสตจักรทั้งปวงจะได้รู้ว่าเราคือผู้พิเคราะห์ความคิดจิตใจ และเราจะตอบแทนเจ้าแต่ละคนตามการกระทำของเจ้า 24 บัดนี้เรากล่าวกับพวกเจ้าที่เหลืออยู่ในธิยาทิรากับพวกเจ้าที่ไม่ยึดถือคำสอนของนาง และไม่ได้เรียนรู้สิ่งที่เรียกกันว่าความลี้ลับของซาตานนั้น (เราจะไม่มอบภาระอื่นแก่เจ้า) 25 เพียงแต่จงยึดมั่นในสิ่งที่เจ้ามีอยู่จนกว่าเราจะมา

26 ผู้ใดมีชัยชนะและทำสิ่งที่เราประสงค์จนถึงที่สุด เราจะให้ผู้นั้นมีสิทธิอำนาจเหนือประชาชาติต่างๆ

27 ‘เขาจะปกครองคนเหล่านั้นด้วยคทาเหล็ก

จะฟาดพวกเขาให้แหลกเป็นชิ้นๆ เหมือนหม้อดิน’[k]

เช่นเดียวกับที่เราได้รับสิทธิอำนาจจากพระบิดาของเรา 28 เราจะมอบดาวแห่งรุ่งอรุณให้แก่เขาด้วย 29 ใครมีหูก็จงฟังสิ่งที่พระวิญญาณตรัสแก่คริสตจักรทั้งหลาย

ถึงคริสตจักรที่เมืองซาร์ดิส

“จงเขียนถึงทูตสวรรค์[l]แห่งคริสตจักรที่เมืองซาร์ดิสว่า

พระองค์ผู้ทรงครองวิญญาณทั้งเจ็ด[m]ของพระเจ้าและดาวทั้งเจ็ดนั้นตรัสว่า เรารู้ถึงการกระทำของเจ้า เจ้าได้รับการยกย่องว่ามีชีวิตอยู่แต่เจ้าตายแล้ว จงตื่นขึ้น! เสริมกำลังส่วนที่เหลืออยู่และจวนจะตายนั้น เพราะเราพบว่าการกระทำของเจ้าไม่สมบูรณ์พร้อมในสายพระเนตรพระเจ้าของเรา เพราะฉะนั้นจงระลึกถึงสิ่งที่เจ้าได้รับไว้และได้ฟังมา จงทำตามสิ่งนั้นและกลับใจใหม่ แต่ถ้าเจ้าไม่ตื่นขึ้นเราจะมาอย่างขโมย และเจ้าไม่รู้ว่าเราจะมาหาเจ้าเวลาใด

แต่ก็มีพวกเจ้าสองสามคนในซาร์ดิสที่ไม่ได้ทำให้เสื้อผ้าของตนแปดเปื้อน พวกเขาจะสวมชุดสีขาวเดินไปกับเราเพราะพวกเขาสมควรแล้วที่จะได้ทำเช่นนั้น ผู้ใดมีชัยชนะจะได้สวมชุดสีขาวเช่นเดียวกับพวกเขา เราจะไม่ลบชื่อผู้นั้นจากหนังสือแห่งชีวิตเลย แต่จะรับรองชื่อผู้นั้นต่อหน้าพระบิดาของเราและต่อหน้าเหล่าทูตสวรรค์ของพระองค์ ใครมีหูก็จงฟังสิ่งที่พระวิญญาณตรัสแก่คริสตจักรทั้งหลาย

ถึงคริสตจักรที่เมืองฟีลาเดลเฟีย

“จงเขียนถึงทูตสวรรค์แห่งคริสตจักรที่เมืองฟีลาเดลเฟียว่า

พระองค์ผู้ทรงบริสุทธิ์และสัตย์จริง ผู้ทรงถือกุญแจของดาวิด สิ่งที่พระองค์ทรงเปิดแล้วไม่มีใครปิดได้และสิ่งที่พระองค์ทรงปิดแล้วไม่มีใครเปิดได้ พระองค์ตรัสว่า เรารู้ถึงการกระทำของเจ้า ดูเถิดเราได้เปิดประตูไว้ต่อหน้าเจ้าซึ่งไม่มีใครปิดได้ เรารู้ว่าเจ้ามีกำลังน้อย กระนั้นเจ้าก็ได้ประพฤติตามคำของเราและไม่ได้ปฏิเสธนามของเรา เราจะทำให้บรรดาผู้เป็นธรรมศาลาของซาตาน ผู้อ้างตัวเป็นยิวทั้งๆ ที่ไม่ได้เป็น แต่เป็นคนโกหก เราจะทำให้พวกเขามาล้มลงแทบเท้าของเจ้าและรับรู้ว่าเรารักพวกเจ้า 10 เพราะพวกเจ้าได้อดทนอย่างยิ่งตามที่เราได้สั่งไว้ เราก็จะปกป้องเจ้าให้พ้นจากวาระแห่งการทดลองที่กำลังมาเหนือโลกทั้งโลกเพื่อทดสอบบรรดาผู้ที่อาศัยอยู่ในโลก

11 เราจะมาในไม่ช้า จงยึดมั่นในสิ่งที่เจ้ามีอยู่เพื่อว่าจะไม่มีใครชิงมงกุฎของเจ้าไปได้ 12 ผู้ใดมีชัยชนะเราจะตั้งผู้นั้นให้เป็นเสาหนึ่งในพระวิหารของพระเจ้าของเรา ผู้นั้นจะไม่จากพระวิหารไปอีกเลย บนตัวผู้นั้นเราจะจารึกพระนามพระเจ้าของเราและชื่อนครของพระเจ้าของเราคือ เยรูซาเล็มใหม่ซึ่งพระเจ้าของเรากำลังทรงส่งลงมาจากสวรรค์ และเราจะจารึกชื่อใหม่ของเราไว้บนตัวผู้นั้นด้วย 13 ใครมีหูก็จงฟังสิ่งที่พระวิญญาณตรัสแก่คริสตจักรทั้งหลาย

ถึงคริสตจักรที่เมืองเลาดีเซีย

14 “จงเขียนถึงทูตสวรรค์แห่งคริสตจักรที่เมืองเลาดีเซียว่า

พระองค์ผู้ทรงเป็นพระอาเมน[n] เป็นพยานที่สัตย์ซื่อและเที่ยงแท้ เป็นผู้ปกครองเหนือสรรพสิ่งที่พระเจ้าทรงสร้างตรัสว่า 15 เรารู้ถึงการกระทำของเจ้า เจ้าไม่ร้อนไม่เย็น เราอยากให้เจ้าร้อนหรือเย็นไปอย่างใดอย่างหนึ่ง! 16 เพราะเจ้าอุ่นๆ ไม่ร้อนไม่เย็น ดังนั้นเรากำลังจะถ่มเจ้าออกจากปาก 17 เจ้ากล่าวว่า ‘ข้าร่ำรวย ได้ทรัพย์สมบัติมากมาย และไม่ขัดสนสิ่งใดเลย’ แต่เจ้าไม่รู้ว่าตนเองเป็นคนน่าสังเวชน่าสงสาร ยากไร้ ตาบอด และเปลือยกายอยู่ 18 เราแนะนำเจ้าให้ซื้อทองคำที่หลอมให้บริสุทธิ์แล้วด้วยไฟจากเราเพื่อเจ้าจะได้มั่งคั่ง ซื้อเสื้อผ้าสีขาวมาสวมใส่เพื่อปกปิดความเปลือยเปล่าอันน่าละอาย และซื้อยามาทาตาของเจ้าเพื่อเจ้าจะได้มองเห็น

19 เราว่ากล่าวและตีสอนผู้ที่เรารัก ดังนั้นจงกระตือรือร้นและกลับใจใหม่ 20 เราอยู่ที่นี่แล้ว! เรายืนเคาะอยู่ที่ประตู ถ้าผู้ใดได้ยินเสียงของเราและเปิดประตู เราจะเข้าไปรับประทานอาหารกับผู้นั้นและเขาจะรับประทานร่วมกับเรา

21 ผู้ใดมีชัยชนะเราจะให้เขามีสิทธิ์นั่งกับเราบนบัลลังก์ของเรา เหมือนที่เราได้มีชัยชนะและได้นั่งกับพระบิดาของเราบนบัลลังก์ของพระองค์ 22 ใครมีหูก็จงฟังสิ่งที่พระวิญญาณตรัสแก่คริสตจักรทั้งหลาย”

พระที่นั่งในสวรรค์

หลังจากนั้นข้าพเจ้ามองไปเห็นประตูหนึ่งเปิดไว้ในสวรรค์ต่อหน้าข้าพเจ้า และพระสุรเสียงคล้ายเสียงแตรซึ่งข้าพเจ้าได้ยินเมื่อตอนต้นนั้นตรัสแก่ข้าพเจ้าว่า “ขึ้นมาที่นี่เถิด เราจะสำแดงสิ่งที่ต้องเกิดขึ้นหลังจากนี้แก่เจ้า” ทันใดนั้นข้าพเจ้าก็อยู่ในพระวิญญาณและตรงหน้าข้าพเจ้ามีพระที่นั่งตั้งอยู่ในสวรรค์ มีผู้หนึ่งประทับบนพระที่นั่งนั้น ผู้ประทับอยู่นั้นทรงโอ่อ่าตระการตาดั่งเพชรนิลจินดา สายรุ้งดุจมรกตล้อมรอบพระที่นั่ง รายรอบพระที่นั่งนั้นมีอีกยี่สิบสี่ที่นั่งซึ่งมีผู้อาวุโสยี่สิบสี่คนนั่งอยู่ ทุกคนนุ่งห่มขาว สวมมงกุฎทองคำบนศีรษะ มีฟ้าแลบแวบวาบ เสียงฟ้าคำรนครืนๆ จากพระที่นั่งนั้น ตรงหน้าพระที่นั่งมีคบเพลิงเจ็ดอันลุกโชติช่วงอยู่คือวิญญาณทั้งเจ็ด[o]ของพระเจ้า และหน้าพระที่นั่งมีสิ่งซึ่งคล้ายทะเลแก้วใสเหมือนแก้วผลึก

บริเวณตรงกลางรอบพระที่นั่งมีสิ่งมีชีวิตสี่ตนซึ่งมีดวงตาเต็มไปหมดทั้งด้านหน้าและด้านหลัง ตนแรกคล้ายสิงโต ตนที่สองคล้ายวัว ตนที่สามมีใบหน้าคล้ายคน ตนที่สี่คล้ายนกอินทรีที่กำลังบิน สิ่งมีชีวิตทั้งสี่นี้ แต่ละตนมีหกปีกและมีดวงตาทั่วไปหมดแม้แต่ใต้ปีก ต่างร้องขานทั้งวันทั้งคืนไม่หยุดว่า

“บริสุทธิ์ บริสุทธิ์ บริสุทธิ์
คือองค์พระผู้เป็นเจ้าพระเจ้าผู้ทรงฤทธิ์
ผู้ทรงดำรงอยู่ในอดีตและดำรงอยู่ในปัจจุบัน
และจะเสด็จมา”

ทุกครั้งที่สิ่งมีชีวิตทั้งสี่ถวายพระสิริ พระเกียรติ และคำขอบพระคุณแด่พระองค์ผู้ประทับบนพระที่นั่ง ผู้ทรงดำรงอยู่ตลอดกาล 10 ผู้อาวุโสทั้งยี่สิบสี่คนก็หมอบกราบพระองค์ผู้ประทับบนพระที่นั่งนั้น นมัสการพระองค์ผู้ทรงดำรงอยู่ตลอดกาล พวกเขาวางมงกุฎของตนลงหน้าพระที่นั่งนั้นและทูลว่า

11 “ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้าและพระเจ้าของเรา
พระองค์ทรงสมควรที่จะรับพระสิริ
พระเกียรติและเดชานุภาพ
เพราะพระองค์ได้ทรงสร้างสรรพสิ่ง
และโดยพระดำริของพระองค์ สิ่งเหล่านี้ได้ถูกสร้างขึ้น
และเป็นอยู่”

หนังสือม้วนและพระเมษโปดก

แล้วข้าพเจ้าเห็นหนังสือม้วนในพระหัตถ์ขวาของพระองค์ผู้ประทับบนพระที่นั่ง หนังสือนี้เขียนไว้ทั้งสองด้านและปิดผนึกด้วยตราประทับเจ็ดดวง และข้าพเจ้าเห็นทูตสวรรค์ทรงฤทธิ์องค์หนึ่งประกาศเสียงดังว่า “ผู้ใดสมควรที่จะแกะตราและเปิดหนังสือม้วนนี้?” แต่ไม่มีใครในสวรรค์ บนแผ่นดินโลก หรือใต้แผ่นดินโลกสามารถเปิดหนังสือม้วนออกหรือแม้แต่มองดูข้างในได้ ข้าพเจ้าได้แต่ร้องไห้เพราะไม่มีใครสมควรที่จะเปิดหนังสือม้วนออกหรือดูข้างในได้ แล้วหนึ่งในเหล่าผู้อาวุโสนั้นกล่าวกับข้าพเจ้าว่า “อย่าร้องไห้! ดูเถิด สิงห์แห่งเผ่ายูดาห์ ทายาท[p]ของดาวิดทรงชนะแล้ว พระองค์ทรงสามารถเปิดหนังสือม้วนและตราทั้งเจ็ดได้”

จากนั้นข้าพเจ้าเห็นพระเมษโปดก[q]ดูประหนึ่งว่าได้ถูกฆ่าแล้ว พระองค์ประทับยืนอยู่ตรงกลางพระที่นั่ง รายล้อมด้วยสิ่งมีชีวิตทั้งสี่และเหล่าผู้อาวุโส พระองค์ทรงมีเขาเจ็ดเขาและมีตาเจ็ดดวงซึ่งเป็นวิญญาณทั้งเจ็ด[r]ของพระเจ้าที่ทรงส่งออกไปทั่วโลก พระเมษโปดกเสด็จเข้ามารับหนังสือม้วนจากพระหัตถ์ขวาของพระองค์ผู้ประทับบนพระที่นั่ง เมื่อทรงรับแล้ว สิ่งมีชีวิตทั้งสี่กับเหล่าผู้อาวุโสทั้งยี่สิบสี่คนก็หมอบกราบลงเบื้องหน้าพระเมษโปดก ต่างถือพิณกับขันทองคำที่เต็มด้วยเครื่องหอมซึ่งเป็นคำอธิษฐานของประชากรของพระเจ้า และขับร้องเพลงบทใหม่ว่า

“พระองค์ทรงสมควรที่จะรับหนังสือม้วน
และเปิดผนึกตราของหนังสือนั้นออก
เพราะพระองค์ทรงถูกประหารแล้ว
และด้วยพระโลหิตของพระองค์ได้ทรงซื้อ
มนุษย์ทั้งหลายถวายแด่พระเจ้า
จากทุกเผ่า ทุกภาษา ทุกหมู่ชน และทุกชาติ
10 ทรงโปรดให้เขาทั้งหลายเป็นอาณาจักรและเป็นปุโรหิตรับใช้พระเจ้าของเรา
และพวกเขาจะครอบครองโลก”

11 แล้วข้าพเจ้ามองดูและได้ยินเสียงทูตสวรรค์นับแสนนับล้านมากมายนับไม่ถ้วน ซึ่งรายล้อมพระที่นั่งกับสิ่งมีชีวิตทั้งสี่และเหล่าผู้อาวุโส 12 ทูตสวรรค์เหล่านั้นขับร้องเสียงดังว่า

“พระเมษโปดกผู้ถูกประหาร
ทรงสมควรได้รับเดชานุภาพ ราชสมบัติ ปัญญา พลัง
พระเกียรติ พระสิริ และคำสรรเสริญ!”

13 จากนั้นข้าพเจ้าได้ยินเสียงทุกชีวิตในสวรรค์ บนแผ่นดินโลก ใต้แผ่นดินโลก และในมหาสมุทร ตลอดจนสรรพสิ่งในนั้นขับร้องว่า

“ขอถวายคำสรรเสริญ พระเกียรติ พระสิริ และเดชานุภาพ
แด่พระองค์ผู้ประทับบนพระที่นั่งและแด่พระเมษโปดก
สืบๆ ไปเป็นนิตย์!”

14 สิ่งมีชีวิตทั้งสี่ร้องว่า “อาเมน[s]” และเหล่าผู้อาวุโสหมอบกราบนมัสการ

ตราทั้งเจ็ด

ข้าพเจ้ามองดูขณะพระเมษโปดกทรงแกะตราดวงที่หนึ่งของตราทั้งเจ็ดออก แล้วข้าพเจ้าได้ยินหนึ่งในสิ่งมีชีวิตทั้งสี่กล่าวขึ้นด้วยเสียงเหมือนฟ้าร้องว่า “มาเถิด!” ข้าพเจ้ามองไปเห็นม้าขาวตัวหนึ่งอยู่ตรงหน้าข้าพเจ้า! ผู้ขี่ม้านี้ถือธนู เขาได้รับมงกุฎแล้วควบม้าไปอย่างผู้พิชิตที่ตั้งใจออกไปพิชิตศึก

เมื่อพระเมษโปดกทรงแกะตราดวงที่สอง ข้าพเจ้าได้ยินสิ่งมีชีวิตตนที่สองกล่าวขึ้นว่า “มาเถิด!” แล้วม้าอีกตัวหนึ่งก็ออกมาเป็นสีแดงเพลิง ผู้ขี่ม้านี้ได้รับอำนาจที่จะนำสันติภาพไปจากโลกและทำให้มนุษย์เข่นฆ่ากัน ผู้นี้ได้รับดาบเล่มใหญ่

เมื่อพระเมษโปดกทรงแกะตราดวงที่สาม ข้าพเจ้าได้ยินสิ่งมีชีวิตตนที่สามกล่าวขึ้นว่า “มาเถิด!” ข้าพเจ้ามองไปก็เห็นม้าดำตัวหนึ่งอยู่ตรงหน้าข้าพเจ้า! ผู้ขี่ม้านี้ถือตราชูอยู่ในมือ แล้วข้าพเจ้าได้ยินเสียงซึ่งดูเหมือนดังขึ้นจากท่ามกลางสิ่งมีชีวิตทั้งสี่ว่า “ข้าวสาลีลิตร[t]ละหนึ่งเดนาริอัน[u] ข้าวบาร์เลย์สามลิตรหนึ่งเดนาริอัน แต่อย่าทำให้น้ำมันและเหล้าองุ่นเสียหาย!”

เมื่อพระเมษโปดกทรงแกะตราดวงที่สี่ ข้าพเจ้าได้ยินสิ่งมีชีวิตตนที่สี่กล่าวว่า “มาเถิด!” ข้าพเจ้ามองไปเห็นม้าสีเขียวหม่นตัวหนึ่งอยู่ตรงหน้าข้าพเจ้า! ผู้ขี่ม้านี้ชื่อว่าความตาย และแดนมรณาตามหลังผู้นี้มาติดๆ ทั้งสองได้รับอำนาจที่จะเข่นฆ่าหนึ่งในสี่ของโลกด้วยดาบ การกันดารอาหาร และโรคระบาด และด้วยสัตว์ร้ายแห่งแผ่นดิน

เมื่อพระองค์ทรงแกะตราดวงที่ห้า ข้าพเจ้าเห็นภายใต้แท่นบูชามีดวงวิญญาณของบรรดาผู้ถูกฆ่าเพราะพระวจนะของพระเจ้าและคำพยานที่เขายึดถือ 10 พวกเขาร้องเสียงดังว่า “ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้าองค์เจ้าชีวิต ผู้ทรงบริสุทธิ์และทรงสัตย์จริง อีกนานเท่าใดกว่าพระองค์จะทรงพิพากษาชาวโลกและแก้แค้นให้พวกเราผู้หลั่งเลือดพลีชีวิต?” 11 จากนั้นแต่ละคนได้รับชุดสีขาวและพระองค์ตรัสบอกให้พวกเขารอต่อไปอีกหน่อยจนกว่าเพื่อนผู้รับใช้และพี่น้องซึ่งถูกฆ่าแบบเดียวกับพวกเขาจะครบจำนวน

12 ข้าพเจ้าเฝ้าดูขณะที่พระองค์ทรงแกะตราดวงที่หก เกิดแผ่นดินไหวครั้งใหญ่ ดวงอาทิตย์กลับมืดดำเหมือนผ้ากระสอบขนแพะ ดวงจันทร์เต็มดวงกลายเป็นสีเลือด 13 และดวงดาวในท้องฟ้าร่วงลงสู่พื้นโลกดั่งมะเดื่ออ่อนร่วงลงจากต้นเมื่อถูกพายุพัด 14 ท้องฟ้าม้วนตัวขึ้นไปดั่งหนังสือม้วน ภูเขาทุกลูกและเกาะทุกเกาะถูกเคลื่อนย้ายไปจากที่เดิม

15 จากนั้นบรรดากษัตริย์ของโลก เจ้านาย ขุนพล เศรษฐี ผู้ยิ่งใหญ่ และทุกผู้ทุกคนไม่ว่าทาสหรือไท ต่างมุดซ่อนในถ้ำ ในหลืบหินตามภูเขา 16 พวกเขาร้องบอกภูเขาและหินผาว่า “จงถล่มลงมากลบเราและซ่อนเราให้พ้นจากพระพักตร์ของพระองค์ผู้ประทับบนพระที่นั่งนั้น และพ้นจากพระพิโรธของพระเมษโปดก! 17 เพราะวันยิ่งใหญ่แห่งพระพิโรธของทั้งสองพระองค์มาถึงแล้วและใครเล่าจะทนได้?”

ประทับตรา 144,000 คน

หลังจากนั้นข้าพเจ้าเห็นทูตสวรรค์สี่องค์ยืนอยู่ที่สี่มุมโลก ห้ามลมทั้งสี่ทิศไม่ให้พัดบนบก บนทะเล หรือบนต้นไม้ใดๆ แล้วข้าพเจ้าเห็นทูตสวรรค์อีกองค์ขึ้นมาจากทางตะวันออกถือดวงตราของพระเจ้าผู้ทรงพระชนม์อยู่ ทูตนั้นร้องบอกเสียงดังแก่ทูตสวรรค์ทั้งสี่ซึ่งได้รับอำนาจให้ทำอันตรายแก่แผ่นดินและทะเลว่า “อย่าทำอันตรายแก่แผ่นดิน ทะเล หรือต้นไม้จนกว่าเราจะได้ประทับตราบนหน้าผากบรรดาผู้รับใช้ของพระเจ้าของเราเสียก่อน” แล้วข้าพเจ้าได้ยินว่าจำนวนผู้รับการประทับตราคือ 144,000 คนจากทุกเผ่าของอิสราเอล

จากเผ่ายูดาห์ 12,000 คน ได้รับการประทับตรา

จากเผ่ารูเบน 12,000 คน

จากเผ่ากาด 12,000 คน

จากเผ่าอาเชอร์ 12,000 คน

จากเผ่านัฟทาลี 12,000 คน

จากเผ่ามนัสเสห์ 12,000 คน

จากเผ่าสิเมโอน 12,000 คน

จากเผ่าเลวี 12,000 คน

จากเผ่าอิสสาคาร์ 12,000 คน

จากเผ่าเศบูลุน 12,000 คน

จากเผ่าโยเซฟ 12,000 คน

จากเผ่าเบนยามิน 12,000 คน

ผู้คนมากมายสวมชุดสีขาว

หลังจากนั้นข้าพเจ้ามองไปและตรงหน้าข้าพเจ้ามีผู้คนมากมายนับไม่ถ้วนจากทุกชาติ ทุกเผ่า ทุกหมู่ชน และทุกภาษายืนอยู่หน้าพระที่นั่งและต่อหน้าพระเมษโปดก พวกเขาสวมชุดสีขาวและถือทางอินทผลัม 10 และพวกเขาร้องเสียงดังว่า

“ความรอดมาจากพระเจ้าของเรา
ผู้ประทับบนพระที่นั่ง
และมาจากพระเมษโปดก”

11 ทูตสวรรค์ทั้งปวงยืนอยู่รอบพระที่นั่ง รอบเหล่าผู้อาวุโสและสิ่งมีชีวิตทั้งสี่ พวกเขาหมอบกราบซบหน้าลงต่อหน้าพระที่นั่งและนมัสการพระเจ้า 12 ร้องว่า

“อาเมน!
ขอให้คำสรรเสริญ พระสิริ
ปัญญา คำขอบพระคุณ พระเกียรติ
เดชานุภาพ และกำลัง
มีแด่พระเจ้าของเราสืบๆ ไปเป็นนิตย์
อาเมน!”

13 จากนั้นผู้อาวุโสคนหนึ่งถามข้าพเจ้าว่า “คนเหล่านี้ที่สวมชุดสีขาวคือใครและพวกเขามาจากไหน?”

14 ข้าพเจ้าตอบว่า “ท่านเจ้าข้า ท่านย่อมทราบอยู่แล้ว”

และเขาพูดว่า “คนเหล่านี้คือผู้ที่มาจากความทุกข์ลำเค็ญครั้งใหญ่ พวกเขาได้ชำระล้างเสื้อผ้าของตนในพระโลหิตของพระเมษโปดกจนขาวสะอาดแล้ว 15 เหตุฉะนั้น

“พวกเขาอยู่หน้าพระที่นั่งของพระเจ้า
และรับใช้พระองค์ทั้งกลางวันกลางคืนในพระวิหารของพระองค์
และพระองค์ผู้ประทับบนพระที่นั่งจะทรงกางเต็นท์ของพระองค์เหนือพวกเขา
16 พวกเขาจะไม่หิวโหยอีก
พวกเขาจะไม่กระหายอีกแล้ว
ทั้งดวงอาทิตย์และความร้อนแรงกล้า
จะไม่แผดเผาพวกเขาอีกเลย
17 เพราะพระเมษโปดกผู้ทรงอยู่กลางพระที่นั่งนั้นจะเป็นพระผู้เลี้ยงของเขา
พระองค์จะทรงนำพวกเขาไปยังน้ำพุแห่งชีวิต
และพระเจ้าจะทรงเช็ดน้ำตาทุกหยดจากตาของเขา”

ตราดวงที่เจ็ดและกระถางไฟทองคำ

เมื่อพระเมษโปดกทรงแกะตราดวงที่เจ็ด ก็เกิดความเงียบงันไปในสวรรค์ราวครึ่งชั่วโมง

และข้าพเจ้าเห็นทูตสวรรค์เจ็ดองค์ยืนอยู่ต่อหน้าพระเจ้า ทูตสวรรค์เหล่านั้นได้รับแตรเจ็ดคัน

ทูตสวรรค์อีกองค์หนึ่งถือกระถางไฟทองคำเข้ามาและยืนที่แท่นบูชา ทูตนั้นได้รับเครื่องหอมมากมายสำหรับเผาถวายบนแท่นบูชาทองคำหน้าพระที่นั่งร่วมกับคำอธิษฐานของประชากรทั้งปวงของพระเจ้า ควันเครื่องหอมจากมือของทูตนั้นลอยขึ้นไปพร้อมกับคำอธิษฐานของประชากรของพระเจ้าสู่เบื้องพระพักตร์พระองค์ แล้วทูตนั้นนำกระถางไฟไปบรรจุไฟจากแท่นบูชาและโยนลงบนแผ่นดินโลก ทำให้เกิดเสียงฟ้าร้องกึกก้อง เสียงครืนๆ ฟ้าแลบแวบวาบ และแผ่นดินไหว

แตรทั้งเจ็ด

จากนั้นทูตสวรรค์เจ็ดองค์ผู้ถือแตรเจ็ดคันก็เตรียมพร้อมที่จะเป่า

ทูตสวรรค์องค์แรกเป่าแตร ลูกเห็บและไฟปนเลือดก็ถูกโยนลงมาบนแผ่นดิน หนึ่งในสามของโลกถูกเผาไป ต้นไม้มอดไหม้ไปหนึ่งในสาม และหญ้าเขียวก็ถูกไฟไหม้หมดสิ้น

ทูตสวรรค์องค์ที่สองเป่าแตร และมีสิ่งหนึ่งเหมือนภูเขาใหญ่ที่ติดไฟลุกโชนถูกโยนลงทะเล หนึ่งในสามของทะเลกลายเป็นเลือด หนึ่งในสามของสิ่งมีชีวิตในทะเลตายสิ้น หนึ่งในสามของเรือทั้งหลายถูกทำลายไป

10 ทูตสวรรค์องค์ที่สามเป่าแตรและดาวใหญ่ดวงหนึ่งที่ติดไฟลุกโชติช่วงดั่งคบเพลิงก็ตกจากท้องฟ้าลงบนหนึ่งในสามของแม่น้ำทั้งหลายและลงบนบ่อน้ำพุต่างๆ 11 ดาวดวงนั้นชื่อว่าบอระเพ็ด[v] ทำให้หนึ่งในสามของน้ำมีรสขมและผู้คนมากมายล้มตายไปเนื่องจากน้ำกลายเป็นน้ำขม

12 ทูตสวรรค์องค์ที่สี่เป่าแตร หนึ่งในสามของดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ และดวงดาวต่างๆ ถูกทำลายลงจนมืดไป ทำให้เวลาหนึ่งในสามของกลางวันและกลางคืนไม่มีแสงสว่าง

13 ขณะที่ข้าพเจ้าเฝ้าดูก็ได้ยินเสียงนกอินทรีบินไปกลางอากาศร้องเสียงดังว่า “วิบัติ! วิบัติ! วิบัติแก่ชาวโลกเพราะเสียงแตรที่ทูตสวรรค์อีกสามองค์กำลังจะเป่า!”

ทูตสวรรค์องค์ที่ห้าเป่าแตรและข้าพเจ้าเห็นดาวดวงหนึ่งตกจากฟ้าลงมาบนโลก ดาวนั้นได้รับกุญแจไขนรกขุมลึก ซึ่งเมื่อเปิดออกควันก็พุ่งออกมาดั่งควันจากเตาหลอมมหึมาบดบังดวงอาทิตย์และท้องฟ้าให้มืดไป มีฝูงตั๊กแตนออกจากควันนั้นบินลงมายังโลก พระเจ้าประทานพิษร้ายให้แก่พวกมันเช่นเดียวกับพิษแมงป่องในโลก พวกมันถูกสั่งห้ามไม่ให้ทำลายหญ้า ต้นไม้ พืชพันธุ์ในโลก แต่ให้ทำร้ายเฉพาะผู้คนที่ไม่มีตราประทับของพระเจ้าบนหน้าผาก พระองค์ไม่ได้ให้อำนาจที่จะฆ่าคนเหล่านั้น เพียงแต่ให้ทรมานพวกเขาเป็นเวลาห้าเดือน เป็นความเจ็บปวดทรมานเหมือนถูกแมงป่องต่อย ตลอดช่วงนั้นพวกเขาจะร้องหาความตายแต่จะไม่พบ อยากตายแต่ความตายจะหลบลี้หนีหน้าไปจากเขา

ตั๊กแตนนั้นดูคล้ายม้าศึกจะออกรบ ที่หัวมีสิ่งหนึ่งเหมือนมงกุฎทองคำ ใบหน้าคล้ายหน้ามนุษย์ ผมเหมือนผมผู้หญิง ฟันราวกับฟันสิงโต แผงกำบังอกคล้ายเกราะเหล็ก เสียงปีกขยับเหมือนเสียงกึกก้องของฝูงม้าศึกและเสียงรถม้าศึกทะยานสู่สงคราม 10 พวกมันมีหางและเหล็กในเหมือนแมงป่อง หางของมันมีพิษสงทรมานมนุษย์เป็นเวลาห้าเดือน 11 เจ้าเหนือหัวของพวกมันคือทูตแห่งนรกขุมลึกซึ่งมีชื่อในภาษาฮีบรูว่าอาบัดโดน และมีชื่อในภาษากรีกว่า อปอลลิโยน[w]

12 วิบัติที่หนึ่งผ่านไปแล้ว ยังมีอีกสองวิบัติที่จะมาถึง

13 ทูตสวรรค์องค์ที่หกเป่าแตร และข้าพเจ้าได้ยินเสียงดังมาจากเชิงงอนของแท่นบูชาทองคำซึ่งตั้งอยู่ต่อหน้าพระเจ้า 14 เสียงนั้นสั่งทูตองค์ที่หกซึ่งถือแตรอยู่ว่า “จงแก้มัดทูตสวรรค์ทั้งสี่ที่ถูกมัดไว้ที่แม่น้ำใหญ่ชื่อยูเฟรติส” 15 และทูตสวรรค์ทั้งสี่ซึ่งพระเจ้าได้เตรียมไว้พร้อมแล้วสำหรับชั่วโมง วัน เดือน และปีนี้ ก็ถูกปล่อยให้ไปฆ่ามนุษย์เสียหนึ่งในสาม 16 ข้าพเจ้าได้ยินว่าจำนวนพลทหารม้ามีสองร้อยล้าน

17 ม้าและผู้ขี่ที่ข้าพเจ้าเห็นในนิมิตนั้นมีลักษณะดังนี้คือ ผู้ขี่นั้นสวมเกราะกำบังอกสีแดงเพลิง สีน้ำเงินเข้ม และสีเหลืองกำมะถัน หัวของม้าคล้ายหัวสิงโต มีไฟ ควัน และกำมะถันพุ่งออกมาจากปากของพวกมัน 18 หนึ่งในสามของมนุษย์ถูกฆ่าด้วยภัยพิบัติสามอย่างคือ ไฟ ควัน และกำมะถันที่พุ่งออกมาจากปากม้า 19 พิษสงของม้าอยู่ที่ปากและหางเพราะหางของมันเหมือนงูและมีหัวหลายหัวซึ่งมันใช้ทำร้ายคน 20 มนุษย์ทั้งหลายที่ไม่ถูกฆ่าด้วยภัยพิบัตินี้ยังไม่ยอมสำนึกกลับใจจากการกระทำของตน ไม่เลิกกราบไหว้ภูติผีและรูปเคารพที่ทำด้วยทองคำ เงิน ทองสัมฤทธิ์ หิน และไม้ รูปเคารพซึ่งไม่สามารถเห็น ได้ยิน หรือเดิน 21 ทั้งพวกเขาไม่ได้สำนึกผิด กลับใจจากการฆ่าฟันกัน การใช้ไสยศาสตร์ เวทมนตร์ การผิดศีลธรรมทางเพศ และการลักขโมยที่ทำอยู่

ทูตสวรรค์กับม้วนหนังสือเล็ก

10 จากนั้นข้าพเจ้าเห็นทูตสวรรค์ทรงฤทธิ์อีกองค์หนึ่งลงมาจากฟ้าสวรรค์ มีเมฆคลุมกาย มีรุ้งเหนือศีรษะ ใบหน้าดั่งดวงอาทิตย์ และขาดุจเสาที่มีไฟลุกโชติช่วง มือถือม้วนหนังสือเล็กๆ ซึ่งคลี่ออก เท้าขวายืนอยู่บนทะเล เท้าซ้ายเหยียบบนแผ่นดิน ทูตนั้นตะโกนเสียงดังดุจสิงห์คำราม เมื่อท่านตะโกนเสียงฟ้าร้องทั้งเจ็ดก็กล่าวตอบ เมื่อเสียงฟ้าร้องทั้งเจ็ดดังขึ้น ข้าพเจ้าขยับจะเขียนก็ได้ยินเสียงจากสวรรค์กล่าวว่า “จงเก็บสิ่งที่ฟ้าร้องทั้งเจ็ดได้กล่าวไว้ให้เป็นความลับ อย่าเขียนลงไป”

แล้วทูตสวรรค์ซึ่งข้าพเจ้าเห็นยืนอยู่บนทะเลและบนแผ่นดินนั้นก็ชูมือขวาขึ้นฟ้าสวรรค์ และปฏิญาณโดยอ้างพระองค์ผู้ทรงดำรงอยู่ตลอดกาล ผู้ทรงสร้างฟ้าสวรรค์และสรรพสิ่งในนั้น ผู้ทรงสร้างโลกกับสรรพสิ่งในนั้น ตลอดจนทะเลและสรรพสิ่งในนั้นว่า “จะไม่ล่าช้าอีกต่อไปแล้ว! แต่ในวันที่ทูตสวรรค์องค์ที่เจ็ดจะเป่าแตรนั้น แผนการอันล้ำลึกของพระเจ้าก็จะสำเร็จตามที่พระองค์ได้ทรงประกาศไว้แก่เหล่าผู้เผยพระวจนะผู้รับใช้ของพระองค์”

แล้วเสียงจากสวรรค์นั้นกล่าวกับข้าพเจ้าอีกครั้งว่า “จงไปรับม้วนหนังสือที่คลี่ออกในมือทูตสวรรค์ผู้ยืนอยู่บนทะเลและบนแผ่นดินนั้นเถิด”

ดังนั้นข้าพเจ้าจึงไปขอม้วนหนังสือเล็กๆ จากทูตนั้น เขากล่าวกับข้าพเจ้าว่า “จงรับไปกินเถิด มันจะทำให้ท้องของเจ้าเปรี้ยว แต่เมื่ออยู่ในปากของเจ้าจะหวานปานน้ำผึ้ง” 10 ข้าพเจ้ารับม้วนหนังสือเล็กๆ จากมือทูตสวรรค์มากิน เมื่ออยู่ในปากของข้าพเจ้าก็มีรสหวานเหมือนน้ำผึ้ง แต่เมื่อกลืนลงไปท้องของข้าพเจ้ากลับเปรี้ยว 11 แล้วมีผู้บอกข้าพเจ้าว่า “เจ้าจะต้องเผยพระวจนะอีกเกี่ยวกับผู้คนหลายเผ่าพันธุ์ ชนชาติต่างๆ ภาษาทั้งหลาย และกษัตริย์จำนวนมาก”

พยานทั้งสอง

11 ข้าพเจ้าได้รับไม้อ้ออันหนึ่ง รูปร่างเหมือนไม้วัด และได้รับคำสั่งว่า “จงไปวัดพระวิหารของพระเจ้ากับแท่นบูชาและนับจำนวนผู้นมัสการที่นั่น แต่ไม่ต้องวัดลานชั้นนอกเนื่องจากที่นั่นยกให้คนต่างชาติแล้ว เขาทั้งหลายจะเหยียบย่ำนครศักดิ์สิทธิ์เป็นเวลา 42 เดือน เราจะมอบฤทธิ์อำนาจให้แก่พยานทั้งสองของเรา พวกเขาจะนุ่งห่มผ้ากระสอบและเผยพระวจนะเป็นเวลา 1,260 วัน พยานทั้งสองคือต้นมะกอกสองต้นและคันประทีปสองคันซึ่งอยู่ต่อหน้าองค์พระผู้เป็นเจ้าของโลก” ไฟจะพุ่งออกจากปากพยานทั้งสอง เผาผลาญผู้คิดจะมาทำร้าย ผู้ใดคิดจะทำอันตรายพยานทั้งสองจะต้องตายเช่นนี้ ทั้งสองมีฤทธิ์อำนาจที่จะปิด ท้องฟ้าไม่ให้ฝนตกขณะกำลังเผยพระวจนะและมีฤทธิ์ทำให้น้ำกลายเป็นเลือด ตลอดจนบันดาลภัยพิบัติทุกชนิดมากระหน่ำโลกกี่ครั้งก็ได้ตามที่ประสงค์

และเมื่อทั้งสองเป็นพยานเสร็จแล้ว สัตว์ร้ายจากนรกขุมลึกจะขึ้นมาทำร้ายพวกเขา มันจะเอาชนะเขาและฆ่าเขา ซากศพของพยานทั้งสองจะถูกทิ้งอยู่กลางถนนแห่งมหานครซึ่งได้รับสมญานามว่า โสโดมและอียิปต์ ที่ซึ่งองค์พระผู้เป็นเจ้าของพวกเขาถูกตรึงบนไม้กางเขน ตลอดสามวันครึ่งผู้คนจากทุกหมู่ชน ทุกตระกูล ทุกภาษา และทุกชนชาติจะมาจ้องมองซากศพของเขา และไม่ยอมให้ฝังศพนั้น 10 ชาวโลกทั้งหลายจะมองศพของเขาด้วยความยินดีและจะเฉลิมฉลองให้ของขวัญแก่กัน เพราะผู้เผยพระวจนะทั้งสองได้ทรมานบรรดาผู้ที่อาศัยอยู่ในโลก

11 แต่หลังจากสามวันครึ่งแล้วพระเจ้าทรงระบายลมหายใจแห่งชีวิตเข้าในร่างนั้น เขาทั้งสองจึงลุกขึ้นยืน คนที่พบเห็นก็หวาดกลัวยิ่งนัก 12 แล้วพวกเขาได้ยินเสียงดังจากฟ้าสวรรค์กล่าวว่า “จงขึ้นมาที่นี่” พยานนั้นก็ขึ้นไปในเมฆสู่สวรรค์ขณะที่เหล่าศัตรูของเขามองดูอยู่

13 ในชั่วโมงนั้นเองเกิดแผ่นดินไหวร้ายแรง และหนึ่งในสิบของเมืองนั้นถล่มลง มีคนตายเจ็ดพันคนในแผ่นดินไหวครั้งนี้ ส่วนผู้ที่รอดชีวิตตกใจกลัวและถวายพระเกียรติสิริแด่พระเจ้าแห่งฟ้าสวรรค์

14 วิบัติที่สองได้ผ่านพ้นไป วิบัติที่สามจะมาถึงในไม่ช้านี้

แตรคันที่เจ็ด

15 ทูตสวรรค์องค์ที่เจ็ดเป่าแตรและมีเสียงดังหลายเสียงในสวรรค์กล่าวว่า

“ราชอาณาจักรของโลกนี้ได้กลับมาเป็นราชอาณาจักรขององค์พระผู้เป็นเจ้าของเรากับพระคริสต์ของพระองค์แล้ว และพระองค์จะทรงครองอาณาจักรเป็นนิตย์”

16 แล้วผู้อาวุโสทั้งยี่สิบสี่คนซึ่งนั่งบนบัลลังก์ของตนต่อหน้าพระเจ้าก็หมอบซบหน้าลงนมัสการพระเจ้า 17 ทูลว่า

“ข้าพระองค์ทั้งหลายขอบคุณพระองค์ องค์พระผู้เป็นเจ้าพระเจ้าผู้ทรงฤทธิ์
ผู้ทรงดำรงอยู่ในปัจจุบันและผู้ทรงดำรงอยู่ในอดีต
เพราะพระองค์ได้ทรงสำแดงฤทธานุภาพยิ่งใหญ่ของพระองค์
และได้ทรงเริ่มครอบครองอาณาจักรแล้ว
18 บรรดาประชาชาติโกรธกริ้ว
แต่พระพิโรธของพระองค์มาถึงแล้ว
และเวลานั้นได้มาถึงแล้ว เวลาที่จะทรงพิพากษาคนที่ได้ตายไป
เวลาที่จะประทานบำเหน็จแก่เหล่าผู้เผยพระวจนะผู้รับใช้ของพระองค์
และแก่ประชากรของพระองค์และบรรดาผู้ยำเกรงพระนามของพระองค์
ทั้งผู้ใหญ่ผู้น้อย
และเวลาที่จะทรงทำลายบรรดาผู้ที่ทำลายโลก”

19 แล้วพระวิหารของพระเจ้าในสวรรค์ก็เปิดออก และข้าพเจ้าเห็นหีบพันธสัญญาภายในพระวิหารของพระองค์ และเกิดฟ้าแลบแวบวาบ เสียงครืนๆ เสียงฟ้าร้องกึกก้อง แผ่นดินไหว และพายุลูกเห็บครั้งร้ายแรง

ผู้หญิงและพญานาค

12 มีหมายสำคัญอันอัศจรรย์และยิ่งใหญ่ปรากฏขึ้นในสวรรค์คือ หญิงคนหนึ่งมีดวงอาทิตย์เป็นอาภรณ์ ดวงจันทร์อยู่ใต้เท้า และดาวสิบสองดวงเป็นมงกุฎบนศีรษะ หญิงนั้นตั้งครรภ์และร้องด้วยความเจ็บปวดเพราะจวนจะคลอดแล้ว จากนั้นมีหมายสำคัญอีกอย่างหนึ่งเกิดขึ้นในสวรรค์คือ พญานาคใหญ่สีแดงตัวหนึ่ง มีเจ็ดหัวและสิบเขา ทั้งเจ็ดหัวสวมมงกุฎ หางของมันตวัดหนึ่งในสามของดวงดาวในท้องฟ้าทิ้งลงมาบนโลก พญานาคนั้นยืนอยู่หน้าหญิงที่กำลังจะคลอดเพื่อมันจะได้กินทารกในทันทีที่เกิดมา หญิงนั้นคลอดบุตรชายผู้ซึ่งจะปกครองมวลประชาชาติด้วยคทาเหล็ก บุตรนั้นถูกฉวยออกมาและนำขึ้นไปเข้าเฝ้าพระเจ้า ไปยังพระที่นั่งของพระองค์ ส่วนหญิงนั้นหนีไปยังถิ่นกันดารสู่ที่พำนักซึ่งพระเจ้าทรงเตรียมไว้สำหรับนาง ที่นั่นนางจะได้รับการเลี้ยงดูเป็นเวลา 1,260 วัน

และเกิดสงครามขึ้นในสวรรค์ มีคาเอลกับทูตสวรรค์ของเขาสู้รบกับพญานาคและสมุนของมัน ฝ่ายของพญานาคพ่ายแพ้ ถูกขับไล่ออกจากสวรรค์ พญานาคใหญ่ถูกเหวี่ยงลงมา พญานาคนี้คืองูดึกดำบรรพ์ที่เรียกกันว่า มาร หรือ ซาตาน ผู้ล่อลวงคนทั้งโลกให้หลงผิด มันถูกเหวี่ยงลงมาบนโลกพร้อมกับทูตสวรรค์ของมัน

10 แล้วข้าพเจ้าได้ยินเสียงดังในสวรรค์กล่าวว่า

“บัดนี้ความรอด เดชานุภาพ และราชอาณาจักรของพระเจ้าของเรา
และสิทธิอำนาจแห่งพระคริสต์ของพระองค์มาถึงแล้ว
เพราะผู้กล่าวโทษบรรดาพี่น้องของเรา
ซึ่งกล่าวโทษเขาต่อหน้าพระเจ้า
ของเราทั้งวันทั้งคืน
ได้ถูกเหวี่ยงลงไปแล้ว
11 พวกเขาชนะพญามาร
โดยพระโลหิตของพระเมษโปดก
และโดยคำพยานของตน
พวกเขาไม่กลัวตาย
ไม่เสียดายชีวิต
12 เพราะฉะนั้นสวรรค์และชาวสวรรค์เอ๋ย
จงชื่นชมยินดีเถิด!
แต่วิบัติแก่แผ่นดินและทะเล
เพราะมารได้ลงไปหาเจ้า!
ด้วยความโกรธยิ่งนัก
เนื่องจากรู้ว่าเวลาของมันมีน้อย”

13 เมื่อพญานาคเห็นว่าตนถูกทิ้งลงบนโลกก็ไล่ล่าหญิงซึ่งคลอดบุตรชายนั้น 14 หญิงนั้นได้รับปีกพญาอินทรีสองปีกเพื่อจะได้บินไปยังที่ซึ่งจัดเตรียมไว้ให้นางในถิ่นกันดาร ที่นั่นนางจะได้รับการปกป้องเลี้ยงดูให้พ้นจากพญานาคตลอดหนึ่งวาระ สองวาระและครึ่งวาระ 15 พญานาคนั้นก็พ่นน้ำออกมามากมายเหมือนแม่น้ำเพื่อซัดนางให้ลอยไปตามกระแสน้ำ 16 แต่แผ่นดินช่วยนางไว้ มันแยกออกสูบเอาแม่น้ำซึ่งพญานาคพ่นออกจากปากลงไป 17 แล้วพญานาคก็โกรธแค้นหญิงนั้นและไปทำสงครามกับลูกหลานของนางที่เหลือคือ คนเหล่านั้นที่เชื่อฟังพระบัญชาของพระเจ้าและยึดมั่นในคำพยานเรื่องพระเยซู

13 ส่วนพญานาค[x] ยืนอยู่ริมหาด

สัตว์ร้ายจากทะเล

และข้าพเจ้าเห็นสัตว์ร้ายตัวหนึ่งขึ้นมาจากทะเล มันมีเจ็ดหัวและสิบเขา แต่ละเขามีมงกุฎสวมอยู่และแต่ละหัวมีชื่อที่เป็นคำหมิ่นประมาทพระเจ้า สัตว์ร้ายที่ข้าพเจ้าเห็นนั้นคล้ายเสือดาว แต่มีตีนเหมือนตีนหมีและมีปากเหมือนปากสิงโต พญานาคยกบัลลังก์กับอำนาจยิ่งใหญ่ของมันให้แก่สัตว์ร้ายนั้น หัวหนึ่งของสัตว์ร้ายนั้นดูเหมือนเคยมีแผลฉกรรจ์ปางตายแต่หายสนิทแล้ว ทั้งโลกติดตามสัตว์ร้ายนั้นไปด้วยความอัศจรรย์ใจ ผู้คนกราบนมัสการพญานาคเพราะมันให้อำนาจแก่สัตว์ร้ายและกราบนมัสการสัตว์ร้ายด้วย พวกเขาถามกันว่า “ใครเล่าจะเหมือนสัตว์นี้? ผู้ใดจะสู้รบกับมันได้?”

สัตว์ร้ายนั้นได้รับอนุญาตให้กล่าวถ้อยคำยโสโอหังและหมิ่นประมาทพระเจ้า มันได้รับอนุญาตให้ใช้อำนาจของมันเป็นเวลา 42 เดือน มันเอ่ยปากลบหลู่พระเจ้า กล่าวร้ายพระนามของพระองค์ตลอดจนที่ประทับและชาวสวรรค์ มันได้รับอำนาจที่จะสู้รบกับประชากรของพระเจ้าและมีชัยชนะ มันได้รับสิทธิอำนาจเหนือทุกเผ่า ทุกหมู่ชน ทุกภาษา และทุกชนชาติ ชาวโลกทั้งมวลจะกราบนมัสการสัตว์ร้ายนั้น คือคนทั้งปวงที่ไม่ได้มีชื่อจดไว้ในหนังสือแห่งชีวิตของพระเมษโปดกผู้ถูกประหารตั้งแต่แรกทรงสร้างโลก[y]

ใครมีหูก็จงฟังเถิด

10 ถ้าผู้ใดถูกกำหนดให้เป็นเชลย
ผู้นั้นก็จะตกเป็นเชลย
ถ้าผู้ใดถูกกำหนดให้ตาย[z]ด้วยดาบ
ผู้นั้นก็จะถูกดาบปลิดชีวิต

ในเรื่องนี้ประชากรของพระเจ้าต้องมีความทรหดอดทนและความสัตย์ซื่อ

สัตว์ร้ายจากแผ่นดิน

11 แล้วข้าพเจ้าเห็นสัตว์ร้ายอีกตัวหนึ่งขึ้นมาจากแผ่นดิน มีสองเขาเหมือนลูกแกะแต่พูดเหมือนพญานาค 12 มันเป็นตัวแทนใช้อำนาจทั้งสิ้นของสัตว์ร้ายตัวแรกนั้น และทำให้โลกกับชาวโลกกราบไหว้สัตว์ร้ายตัวแรกซึ่งมีรอยแผลฉกรรจ์ที่หายสนิทแล้ว 13 มันแสดงหมายสำคัญที่ยิ่งใหญ่ ถึงขนาดให้ไฟตกจากฟ้าสวรรค์ลงมาสู่โลกต่อหน้าต่อตาผู้คน 14 เนื่องด้วยหมายสำคัญเหล่านี้ที่มันได้รับอำนาจให้ทำการแทนสัตว์ร้ายตัวแรก มันล่อลวงชาวโลก สั่งให้พวกเขาสร้างรูปจำลองขึ้นเพื่อเป็นเกียรติแก่สัตว์ร้ายที่ถูกฟันด้วยดาบแต่ยังไม่ตายนั้น 15 มันได้รับอำนาจที่จะให้ลมหายใจแก่รูปจำลองของสัตว์ร้ายตัวแรกเพื่อให้รูปจำลองนั้นพูดได้และทำให้คนทั้งปวงที่ไม่ยอมบูชารูปจำลองถูกฆ่าตาย 16 มันยังบังคับทุกๆ คนไม่ว่าผู้ใหญ่ผู้น้อย คนรวยคนจน ทาสหรือไทให้รับเครื่องหมายไว้ที่มือขวาหรือหน้าผาก 17 เพื่อไม่ให้ผู้ใดทำการซื้อขายได้ เว้นแต่จะมีเครื่องหมายซึ่งเป็นชื่อหรือหมายเลขประจำชื่อของสัตว์ร้ายนั้น

18 ในเรื่องนี้ต้องใช้ปัญญา ผู้ใดมีความเข้าใจก็จงตรึกตรองหมายเลขของสัตว์ร้ายนั้น เพราะหมายเลขนั้นแทนชื่อบุคคลหนึ่ง หมายเลขของเขาคือ 666

พระเมษโปดกกับชน 144,000 คน

14 แล้วข้าพเจ้ามองไปเห็นพระเมษโปดกประทับยืนอยู่บนภูเขาศิโยนกับชน 144,000 คนซึ่งมีพระนามของพระองค์และพระบิดาเขียนไว้บนหน้าผาก และข้าพเจ้าได้ยินเสียงดังจากสวรรค์เหมือนเสียงน้ำเชี่ยวกรากและเสียงฟ้าร้องดังกึกก้อง เสียงที่ข้าพเจ้าได้ยินนั้นเหมือนเสียงเพลงที่เหล่านักพิณบรรเลง และเขาทั้งหลายขับร้องเพลงบทใหม่หน้าพระที่นั่งต่อหน้าสิ่งมีชีวิตทั้งสี่และเหล่าผู้อาวุโส ไม่มีใครสามารถร้องเพลงบทนั้นได้ นอกจากชน 144,000 คนที่ทรงไถ่ไว้จากแผ่นดินโลก คนเหล่านี้ไม่ข้องแวะกับสตรีเพศให้เป็นมลทินเพราะพวกเขารักษาตัวให้บริสุทธิ์ พวกเขาตามเสด็จพระเมษโปดกไปทุกแห่ง พวกเขาเป็นผู้ที่ทรงไถ่ไว้จากมวลมนุษย์เพื่อเป็นผลแรกถวายแด่พระเจ้าและพระเมษโปดก ไม่มีคำมุสาจากปากของเขา พวกเขาไม่มีตำหนิด่างพร้อยเลย

ทูตสวรรค์ทั้งสาม

แล้วข้าพเจ้าเห็นทูตสวรรค์อีกองค์หนึ่งเหาะขึ้นไปกลางอากาศและประกาศข่าวประเสริฐนิรันดร์แก่ชาวโลกทุกชนชาติ ทุกเผ่า ทุกภาษา และทุกหมู่ชน ทูตนั้นประกาศเสียงดังว่า “จงยำเกรงพระเจ้าและถวายพระเกียรติสิริแด่พระองค์เพราะวาระแห่งการทรงพิพากษามาถึงแล้ว จงกราบนมัสการพระองค์ผู้ทรงสร้างฟ้าสวรรค์ แผ่นดินโลก ทะเลและบ่อน้ำพุทั้งหลาย”

ทูตสวรรค์องค์ที่สองติดตามมาและประกาศว่า “ล่มแล้ว! บาบิโลนมหานครซึ่งทำให้มวลประชาชาติมัวเมาเหล้าองุ่นแห่งการล่วงประเวณีของมันได้ล่มสลายแล้ว”

ทูตสวรรค์องค์ที่สามติดตามมาและประกาศเสียงดังว่า “ถ้าผู้ใดบูชาสัตว์ร้ายกับรูปจำลองของมันและรับเครื่องหมายของมันที่หน้าผากหรือที่มือ 10 ผู้นั้นจะต้องดื่มเหล้าองุ่นแห่งพระพิโรธของพระเจ้าซึ่งเทลงในถ้วยแห่งพระพิโรธของพระองค์โดยไม่ผสมสิ่งอื่นใด เขาจะถูกทรมานด้วยไฟกำมะถันต่อหน้าเหล่าทูตสวรรค์ผู้บริสุทธิ์และต่อหน้าพระเมษโปดก 11 ควันแห่งการทรมานของเขาพลุ่งขึ้นสืบๆ ไปเป็นนิตย์ คนทั้งหลายที่กราบนมัสการสัตว์ร้ายกับรูปจำลองของมันหรือผู้ที่ได้รับเครื่องหมายชื่อของมันจะไม่ได้หยุดพักเลยไม่ว่ากลางวันหรือกลางคืน” 12 ในเรื่องนี้ประชากรของพระเจ้าผู้เชื่อฟังบทบัญญัติของพระองค์และยังคงสัตย์ซื่อต่อพระเยซูต้องมีความทรหดอดทน

13 จากนั้นข้าพเจ้าได้ยินเสียงจากสวรรค์กล่าวว่า “จงเขียนดังนี้นับแต่นี้ไปความสุขมีแก่บรรดาผู้ที่พลีชีพเพื่อองค์พระผู้เป็นเจ้า”

พระวิญญาณตรัสว่า “ใช่แล้วเขาทั้งหลายจะหยุดพักจากการตรากตรำของตนเพราะผลงานของเขาจะติดตามเขาไป”

การเก็บเกี่ยวโลก

14 ข้าพเจ้ามองไปเห็นเมฆขาวและผู้หนึ่ง “เหมือนบุตรมนุษย์”[aa] ประทับนั่งอยู่บนเมฆนั้น สวมมงกุฎทองคำบนพระเศียรและในพระหัตถ์มีเคียวคมกริบ 15 แล้วทูตสวรรค์อีกองค์หนึ่งออกมาจากพระวิหารร้องบอกผู้นั่งอยู่บนเมฆนั้นด้วยเสียงอันดังว่า “ใช้เคียวของท่านเกี่ยวไปเถิด ได้เวลาเก็บเกี่ยวแล้วเพราะผลที่จะเก็บเกี่ยวจากโลกก็สุกดีแล้ว” 16 ดังนั้นผู้นั่งอยู่บนเมฆจึงตวัดเคียวไปเหนือโลกและโลกก็ถูกเก็บเกี่ยว

17 ทูตสวรรค์อีกองค์หนึ่งออกมาจากพระวิหารในสวรรค์ ถือเคียวคมกริบเช่นกัน 18 และยังมีทูตสวรรค์อีกองค์หนึ่งซึ่งดูแลไฟออกมาจากแท่นบูชา และร้องเสียงดังบอกทูตผู้ถือเคียวคมกริบว่า “ใช้เคียวคมกริบของท่านเกี่ยวเก็บพวงองุ่นแห่งแผ่นดินโลกเถิดเพราะผลองุ่นสุกได้ที่แล้ว” 19 ทูตสวรรค์ผู้ถือเคียวจึงตวัดเคียวไปบนโลกเก็บเกี่ยวผลองุ่นและโยนลงในบ่อใหญ่ซึ่งเป็นบ่อย่ำองุ่นแห่งพระพิโรธของพระเจ้า 20 พวกเขาถูกเหยียบย่ำในบ่อย่ำองุ่นนอกเมือง เลือดทะลักท่วมจากบ่อย่ำสูงถึงระดับบังเหียนม้า ไหลนองไปเป็นระยะทาง 1,600 ซทาดิออน[ab]

ทูตสวรรค์เจ็ดองค์กับวิบัติทั้งเจ็ด

15 ข้าพเจ้าเห็นหมายสำคัญอันอัศจรรย์และยิ่งใหญ่อีกอย่างในสวรรค์คือ ทูตสวรรค์เจ็ดองค์กับวิบัติทั้งเจ็ดอันเป็นภัยพิบัติครั้งสุดท้ายเพราะพระพิโรธของพระเจ้าสิ้นสุดลงที่ภัยพิบัติเหล่านี้ ข้าพเจ้าแลเห็นสิ่งหนึ่งคล้ายทะเลแก้วปนไฟ บรรดาผู้มีชัยชนะเหนือสัตว์ร้ายกับรูปจำลองและหมายเลขประจำชื่อของมันยืนอยู่ข้างๆ ทะเลนั้น เขาทั้งหลายถือพิณซึ่งพระเจ้าประทาน และขับร้องบทเพลงของโมเสสผู้รับใช้ของพระเจ้าและบทเพลงของพระเมษโปดกว่า

“ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าผู้ทรงฤทธิ์
พระราชกิจของพระองค์ยิ่งใหญ่และมหัศจรรย์ยิ่งนัก
ข้าแต่องค์ราชันของทุกยุคสมัย
วิถีของพระองค์ล้วนเที่ยงธรรมและเที่ยงแท้
ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า ใครเล่าจะไม่เกรงกลัวพระองค์
และไม่เทิดทูนพระนามของพระองค์
เพราะพระองค์แต่ผู้เดียวทรงบริสุทธิ์
มวลประชาชาติจะเข้ามา
และกราบนมัสการต่อหน้าพระองค์
เพราะกิจอันชอบธรรมของพระองค์เป็นที่ประจักษ์แล้ว”

หลังจากนั้นข้าพเจ้าเห็นพระวิหารในสวรรค์เปิดออก พระวิหารนั้นคือพลับพลาแห่งสักขีพยาน ทูตสวรรค์เจ็ดองค์ที่ถือภัยพิบัติทั้งเจ็ดออกมาจากพระวิหาร นุ่งห่มผ้าลินินสะอาดสุกใส คาดแถบทองคำที่อก แล้วหนึ่งในสิ่งมีชีวิตทั้งสี่หยิบขันทองคำเจ็ดใบซึ่งเต็มด้วยพระพิโรธของพระเจ้าผู้ทรงพระชนม์อยู่ตลอดกาลส่งให้ทูตสวรรค์ทั้งเจ็ด และแล้วควันจากพระเกียรติสิริและเดชานุภาพของพระเจ้าก็ปกคลุมไปทั่วพระวิหาร ไม่มีผู้ใดเข้าไปในพระวิหารได้จนกว่าภัยพิบัติทั้งเจ็ดจากทูตสวรรค์เจ็ดองค์จะเสร็จสมบูรณ์

ขันทั้งเจ็ดแห่งพระพิโรธของพระเจ้า

16 จากนั้นข้าพเจ้าได้ยินเสียงดังออกมาจากพระวิหารสั่งทูตสวรรค์ทั้งเจ็ดว่า “จงไปเทพระพิโรธของพระเจ้าที่อยู่ในขันทั้งเจ็ดลงบนโลกเถิด”

ทูตสวรรค์องค์แรกออกไปเทขันของตนลงบนแผ่นดินโลก แผลร้ายน่าเกลียดที่สร้างความเจ็บปวดก็เกิดขึ้นที่ตัวของบรรดาผู้มีเครื่องหมายของสัตว์ร้ายและกราบนมัสการรูปจำลองของมัน

ทูตสวรรค์องค์ที่สองเทขันของตนลงบนทะเล ทะเลก็กลายเป็นเลือดดั่งเลือดของคนตาย สิ่งมีชีวิตในนั้นจึงตายหมด

ทูตสวรรค์องค์ที่สามเทขันของตนลงบนแม่น้ำและบ่อน้ำพุทั้งหลาย น้ำก็กลายเป็นเลือด แล้วข้าพเจ้าได้ยินทูตสวรรค์ผู้ดูแลห้วงน้ำกล่าวว่า

“ข้าแต่องค์ผู้บริสุทธิ์
พระองค์ผู้ทรงดำรงอยู่ทั้งในอดีตและในปัจจุบ้น
พระองค์ทรงพิพากษาลงโทษอย่างยุติธรรมแล้ว
เนื่องจากพวกเขาทำให้ประชากรของพระเจ้า
และผู้เผยพระวจนะของพระองค์ต้องหลั่งเลือด
สมควรแล้วที่พระองค์ทรงให้พวกเขาดื่มเลือด”

และข้าพเจ้าได้ยินแท่นบูชาขานรับว่า

“จริงเช่นนั้นข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้าพระเจ้าผู้ทรงฤทธิ์
การพิพากษาของพระองค์เที่ยงแท้และเที่ยงธรรม”

ทูตสวรรค์องค์ที่สี่เทขันของตนลงบนดวงอาทิตย์ ดวงอาทิตย์ก็ได้รับอำนาจที่จะแผดแสงเผามนุษย์ พวกเขาถูกความร้อนแรงกล้าแผดเผาและพวกเขาแช่งด่าพระนามของพระเจ้าผู้ทรงควบคุมภัยพิบัติเหล่านี้ แต่พวกเขาไม่ยอมกลับใจสำนึกผิดและถวายพระเกียรติสิริแด่พระองค์

10 ทูตสวรรค์องค์ที่ห้าเทขันของตนลงบนบัลลังก์ของสัตว์ร้ายนั้น อาณาจักรของมันก็จมดิ่งสู่ความมืดมิด ผู้คนกัดลิ้นด้วยความทุกข์ทรมาน 11 และแช่งด่าพระเจ้าแห่งฟ้าสวรรค์เพราะความเจ็บปวดรวดร้าวและแผลร้ายของตน แต่พวกเขาไม่ยอมกลับใจจากบาปที่ได้ทำไป

12 ทูตสวรรค์องค์ที่หกเทขันของตนลงบนแม่น้ำใหญ่ชื่อยูเฟรติส น้ำก็เหือดแห้งเพื่อเตรียมทางไว้สำหรับกษัตริย์ทั้งหลายจากตะวันออก 13 แล้วข้าพเจ้าเห็นวิญญาณชั่ว[ac]สามตนรูปร่างคล้ายกบ ออกมาจากปากพญานาค จากปากของสัตว์ร้าย และจากปากของผู้เผยพระวจนะเท็จ 14 พวกมันเป็นวิญญาณของผีมารที่ทำหมายสำคัญต่างๆ มันออกไปหาปวงกษัตริย์ทั่วโลกเพื่อระดมกษัตริย์เหล่านั้นมาทำสงครามในวันยิ่งใหญ่แห่งพระเจ้าผู้ทรงฤทธิ์

15 “ดูเถิด เราจะมาเหมือนขโมยที่มาโดยไม่มีใครคาดคิด ความสุขมีแก่ผู้ที่ตื่นอยู่และแต่งตัวเตรียมพร้อมเพื่อพวกเขาจะได้ไม่ต้องเดินเปลือยกายให้อับอายขายหน้า”

16 แล้ววิญญาณชั่วทั้งสามก็ระดมกษัตริย์ทั้งหลายมาชุมนุมกันในที่ซึ่งภาษาฮีบรูเรียกว่า อารมาเกดโดน

17 ทูตสวรรค์องค์ที่เจ็ดเทขันของตนลงในอากาศและมีเสียงมาจากพระที่นั่งในพระวิหารว่า “สำเร็จแล้ว!” 18 จากนั้นเกิดฟ้าแลบแวบวาบ เสียงครืนๆ เสียงฟ้าร้องกึกก้อง และแผ่นดินไหวครั้งรุนแรงนับตั้งแต่มนุษย์อยู่บนโลกมาไม่เคยมีแผ่นดินไหวร้ายแรงเช่นครั้งนี้เลย 19 มหานครแยกออกเป็นสามส่วน เมืองใหญ่ๆ ของประเทศต่างๆ พังทลายลง พระเจ้าทรงจดจำบาปของบาบิโลนมหานครได้ พระองค์ทรงให้มันดื่มจากถ้วยที่เต็มด้วยเหล้าองุ่นแห่งพระพิโรธอันใหญ่หลวงของพระองค์ 20 เกาะทุกเกาะและภูเขาทุกลูกจมหายไปหมด 21 ลูกเห็บมหึมาตกจากฟ้าใส่ผู้คน แต่ละก้อนหนักราว 50 กิโลกรัม[ad] และพวกเขาแช่งด่าพระเจ้าเพราะภัยพิบัติจากลูกเห็บนี้ร้ายแรงยิ่งนัก

ผู้หญิงที่นั่งอยู่บนสัตว์ร้าย

17 หนึ่งในทูตสวรรค์เจ็ดองค์ซึ่งถือขันทั้งเจ็ดนั้นมาบอกข้าพเจ้าว่า “มาเถิด จะให้ดูการลงโทษหญิงโสเภณีตัวฉกาจผู้นั่งบนห้วงน้ำ มากหลาย บรรดากษัตริย์ทั่วโลกล่วงประเวณีกับนาง และชาวโลกทั้งหลายก็มัวเมาไปกับเหล้าองุ่นแห่งการล่วงประเวณีของนาง”

แล้วทูตสวรรค์องค์นั้นได้ให้ข้าพเจ้าเห็นนิมิต พระวิญญาณทรงนำข้าพเจ้าเข้าไปในถิ่นกันดาร ที่นั่นข้าพเจ้าเห็นผู้หญิงคนหนึ่งนั่งอยู่บนสัตว์ร้ายสีแดงเข้ม สัตว์นี้มีชื่ออันเป็นคำหมิ่นประมาทพระเจ้าเต็มไปทั้งตัว มันมีเจ็ดหัวและสิบเขา หญิงนั้นนุ่งห่มผ้าสีม่วงและสีแดงเข้ม ตัวนางแพรวพราวไปด้วยเครื่องทอง เพชรนิลจินดาและไข่มุก นางถือถ้วยทองคำอันเต็มไปด้วยสิ่งน่าสะอิดสะเอียนและของโสโครกแห่งการล่วงประเวณีของนาง มีสมญานามเขียนไว้ที่หน้าผากของนางว่า

ความลี้ลับ

บาบิโลนมหานคร

มารดาแห่งหญิงโสเภณี

และสิ่งน่าสะอิดสะเอียนทั้งหลายของโลก

ข้าพเจ้าเห็นหญิงนั้นเมามายด้วยเลือดของประชากรของพระเจ้าและเลือดของผู้ที่เป็นพยานเพื่อพระเยซู

เมื่อข้าพเจ้าเห็นนางแล้วก็ประหลาดใจยิ่งนัก แล้วทูตนั้นกล่าวกับข้าพเจ้าว่า “เหตุใดท่านจึงประหลาดใจ? ข้าพเจ้าจะอธิบายความลี้ลับของหญิงนั้นกับสัตว์ร้ายเจ็ดหัวสิบเขาที่นางขี่ให้ฟัง สัตว์ร้ายที่ท่านได้เห็นนั้น ครั้งหนึ่งเคยมีชีวิตอยู่ แต่บัดนี้ไม่มี มันจะขึ้นมาจากนรกขุมลึกและไปสู่ความพินาศของมัน ชาวโลกทั้งหลายซึ่งไม่มีชื่ออยู่ในหนังสือแห่งชีวิตนับตั้งแต่ทรงสร้างโลกจะประหลาดใจเมื่อเห็นสัตว์ร้ายนี้ เพราะครั้งหนึ่งมันเคยมีชีวิตอยู่และบัดนี้ไม่มี แต่มันจะมาในอนาคต

“ในเรื่องนี้ต้องใช้ปัญญาตริตรอง เจ็ดหัวคือเนินเขาเจ็ดยอดที่หญิงนั้นนั่งอยู่ 10 ทั้งยังหมายถึงกษัตริย์เจ็ดองค์ ซึ่งห้าองค์ล่วงไปแล้ว องค์หนึ่งเป็นอยู่ อีกองค์หนึ่งยังไม่มา แต่เมื่อมาแล้วจะอยู่เพียงชั่วระยะหนึ่ง 11 สัตว์ร้ายซึ่งครั้งหนึ่งเคยมีชีวิตอยู่แต่บัดนี้ไม่มีคือกษัตริย์องค์ที่แปด มันร่วมในกลุ่มของกษัตริย์ทั้งเจ็ดองค์ด้วยและกำลังจะไปสู่ความพินาศของมัน

12 “ส่วนเขาทั้งสิบที่เห็นนั้นคือกษัตริย์สิบองค์ที่ยังไม่ได้ครองราชย์ แต่จะได้รับอำนาจในฐานะกษัตริย์ร่วมกับสัตว์ร้ายนั้นเป็นระยะเวลาสั้นๆ[ae] 13 พวกเขาจะมีมติเป็นเอกฉันท์ให้มอบฤทธิ์เดชและอำนาจแก่สัตว์ร้ายนั้น 14 พวกเขาจะทำศึกกับพระเมษโปดก แต่พระเมษโปดกจะทรงพิชิตพวกเขาเพราะพระองค์ทรงเป็นเจ้านายเหนือเจ้านายทั้งหลาย เป็นกษัตริย์เหนือกษัตริย์ทั้งหลายและสาวกผู้สัตย์ซื่อที่พระองค์ทรงเรียกและทรงเลือกไว้จะอยู่กับพระองค์”

15 แล้วทูตนั้นกล่าวกับข้าพเจ้าว่า “น้ำมากหลายที่ท่านเห็นหญิงโสเภณีนั้นนั่งอยู่คือเผ่าพันธุ์ หมู่คน ชนชาติ และภาษาต่างๆ 16 สัตว์ร้ายและสิบเขาที่ท่านได้เห็นจะเกลียดชังหญิงโสเภณีนั้น พวกมันจะทำลายและปล่อยให้นางเปลือยเปล่า จะกินเนื้อของนางและเผานางด้วยไฟ 17 เพราะพระเจ้าทรงดลใจพวกเขาให้ทำตามพระดำริของพระองค์ โดยให้พวกเขาเห็นพ้องกันที่จะมอบอำนาจการปกครองของเขาให้แก่สัตว์ร้ายนั้นจนกว่าจะเป็นจริงตามพระวจนะของพระเจ้า 18 หญิงที่ท่านได้เห็นนั้นคือนครใหญ่ซึ่งปกครองบรรดากษัตริย์ของโลก”

Thai New Contemporary Bible (TNCV)

Thai New Contemporary Bible Copyright © 1999, 2001, 2007 by Biblica, Inc.® Used by permission. All rights reserved worldwide.