Print Page Options
Previous Prev Day Next DayNext

Bible in 90 Days

An intensive Bible reading plan that walks through the entire Bible in 90 days.
Duration: 88 days
Thai New Testament: Easy-to-Read Version (ERV-TH)
Version
ปฐมกาล 1-16

จุดเริ่มต้นของโลกมนุษย์

ในปฐมกาลนั้น เมื่อพระเจ้าสร้างแผ่นดินและท้องฟ้า แผ่นดินยังไร้ระเบียบ และว่างเปล่าอยู่ มีน้ำลึกปกคลุมแผ่นดิน และความมืดปกคลุมน้ำ

พระวิญญาณของพระเจ้า[a]เคลื่อนไหวเหมือนพายุอยู่เหนือน้ำนั้น

วันที่หนึ่ง สร้างแสงสว่าง

เมื่อพระเจ้าพูดว่า “จงมีแสงสว่างขึ้น” แสงสว่างก็เกิดขึ้น พระเจ้าเห็นว่า แสงสว่างนั้นดี พระเจ้าได้แยกความสว่างออกจากความมืด พระเจ้าเรียกความสว่างนั้นว่า “วัน” เรียกความมืดนั้นว่า “คืน” มีตอนเย็นและมีตอนเช้า นี่คือวันแรก

วันที่สอง สร้างท้องฟ้า

พระเจ้าพูดว่า “ขอให้มีโดม[b] เกิดขึ้นระหว่างน้ำ แยกน้ำนั้นออกจากกันเป็นสองส่วน” พระเจ้าจึงสร้างโดมขึ้น พระองค์แยกน้ำที่อยู่ใต้โดมนั้นออกจากน้ำที่อยู่เหนือโดมนั้น แล้วมันก็เกิดขึ้นตามนั้น พระเจ้าเรียกโดมนั้นว่า “ท้องฟ้า” มีตอนเย็นและมีตอนเช้า นี่คือวันที่สอง

วันที่สาม สร้างแผ่นดินและพืช

พระเจ้าพูดว่า “ให้น้ำที่อยู่ใต้ท้องฟ้านั้นมารวมอยู่ที่เดียวกัน เพื่อจะได้มีที่แห้งโผล่ขึ้น” มันก็เกิดขึ้นตามนั้น 10 พระเจ้าเรียกที่แห้งนั้นว่า “แผ่นดิน” พระเจ้าเรียกน้ำที่อยู่รวมกันนั้นว่า “ทะเล” พระเจ้าเห็นว่ามันดี

11 พระเจ้าพูดว่า “ขอให้มีหญ้างอกขึ้นบนแผ่นดิน ให้เกิดพืชพันธุ์ต่างๆที่ให้เมล็ด มีต้นไม้ต่างๆที่ออกลูกและมีเมล็ดตามชนิดของมันบนแผ่นดินนี้” แล้วมันก็เกิดขึ้นตามนั้น 12 แผ่นดินก็มีหญ้างอกขึ้น เกิดพืชพันธุ์ต่างๆที่ให้เมล็ดตามชนิดของมัน และมีต้นไม้ที่ออกลูกและมีเมล็ดตามชนิดของมัน พระเจ้าเห็นว่ามันดี

13 มีตอนเย็นและมีตอนเช้า นี่คือวันที่สาม

วันที่สี่ สร้างดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์และดวงดาวทั้งหลาย

14 พระเจ้าพูดว่า “ขอให้มีดวงสว่างมากมายในช่องว่างบนท้องฟ้า เพื่อแยกกลางวันออกจากกลางคืน และพวกมันจะเป็นเครื่องบ่งบอกถึงฤดูกาลทั้งหลายของงานเทศกาล รวมทั้งวันและปี[c] 15 ขอให้พวกมันเป็นดวงสว่างต่างๆในโดมของท้องฟ้า เพื่อให้แสงสว่างกับโลกนี้” แล้วมันก็เกิดขึ้นตามนั้น

16 พระเจ้าจึงได้สร้างดวงสว่างที่มีขนาดใหญ่ขึ้นมาสองดวง พระเจ้าให้ดวงสว่างดวงใหญ่ ปกครองกลางวัน และให้ดวงสว่างดวงเล็ก ปกครองกลางคืน พระเจ้าได้สร้างดวงดาวต่างๆขึ้นมาด้วย 17 แล้วพระเจ้าก็ได้วางดวงสว่างพวกนี้ไว้ในท้องฟ้า เพื่อส่องสว่างให้กับโลก 18 เพื่อให้ปกครองกลางวัน และกลางคืน และเพื่อแยกความสว่างออกจากความมืด พระเจ้าเห็นว่ามันดี

19 มีตอนเย็นและมีตอนเช้า นี่คือวันที่สี่

วันที่ห้า สร้างสัตว์น้ำและนก

20 พระเจ้าพูดว่า “ขอให้น้ำเต็มไปด้วยสิ่งมีชีวิตมากมาย และขอให้มีนกเกิดขึ้นมากมายบินไปมาบนท้องฟ้าเหนือแผ่นดินโลก” 21 แล้วพระเจ้าก็ได้สร้างสัตว์ทะเล[d]ขนาดใหญ่ขึ้นมากมายให้อยู่ในทะเลนั้น และสร้างสิ่งมีชีวิตทุกชนิดที่เคลื่อนไหวได้ในน้ำ พระเจ้าสร้างนกทุกชนิดขึ้นมาบินอยู่บนท้องฟ้า พระเจ้าเห็นว่ามันดี

22 พระเจ้าอวยพรพวกมันว่า “ขอให้เกิดลูกมากมายเต็มท้องทะเล พวกนกก็เหมือนกัน ขอให้เกิดลูกมากมายบนโลกนี้”

23 มีตอนเย็นและมีตอนเช้า นี่คือวันที่ห้า

วันที่หก สร้างสัตว์บกและคน

24 พระเจ้าพูดว่า “ขอให้แผ่นดินเกิดสิ่งมีชีวิตขึ้นทุกชนิด ทั้งสัตว์เลี้ยงขนาดใหญ่ สัตว์เลื้อยคลานขนาดเล็ก รวมทั้งสัตว์ป่าตามชนิดต่างๆของมัน” แล้วมันก็เกิดขึ้นตามนั้น

25 พระเจ้าสร้างสัตว์บกทุกชนิดขึ้นมา สร้างสัตว์เลี้ยงขนาดใหญ่ทุกประเภท และสร้างสัตว์เลื้อยคลานขนาดเล็กทุกประเภทบนโลก แล้วพระเจ้าก็เห็นว่ามันดี

26 พระเจ้าพูดอีกว่า “ขอให้เราสร้างมนุษย์[e] ขึ้นมาตามรูปแบบของเรา ให้เหมือนกับเรา และให้เขาปกครองฝูงปลาในทะเล ฝูงนกในอากาศ สัตว์เลี้ยงขนาดใหญ่ และโลกทั้งโลก[f] รวมทั้งสัตว์เลื้อยคลานขนาดเล็กทั้งหมดบนโลก”

27 แล้วพระเจ้าได้สร้างมนุษย์ขึ้นตามรูปแบบของพระองค์[g] พระองค์สร้างเขาขึ้นตามรูปแบบของพระเจ้า พระองค์สร้างพวกเขาเป็นชายและหญิง 28 พระเจ้าอวยพรพวกเขา และพูดกับพวกเขาว่า “ขอให้มีลูกดกทวีมากมายจนเต็มแผ่นดินโลก ให้ควบคุมโลกนี้ และปกครองฝูงปลาในทะเล ฝูงนกในอากาศ และสิ่งมีชีวิตทุกอย่างที่เคลื่อนไหวอยู่บนโลกนี้”

29 พระเจ้าพูดว่า “ดูเถิด เราได้มอบเมล็ดพันธุ์ทุกชนิดที่จะเติบโตขึ้นเป็นพืช และต้นไม้ทุกชนิดที่จะเกิดลูกพร้อมกับเมล็ดของมัน ให้กับเจ้าเป็นอาหาร 30 ส่วนสัตว์ทุกชนิดบนพื้นดิน นกทุกชนิดในอากาศ สัตว์เลื้อยคลานขนาดเล็กทุกประเภทบนพื้นดิน ที่มีลมหายใจ เราได้ให้พืชสีเขียวกับพวกมันเป็นอาหาร” แล้วทุกอย่างก็เกิดขึ้นตามนั้น

31 พระเจ้าได้มองดูทุกสิ่งที่พระองค์สร้างขึ้น และพระองค์เห็นว่ามันดีมาก

มีตอนเย็นและมีตอนเช้า นี่คือวันที่หก

วันที่เจ็ด วันพักผ่อน

ดังนั้น ท้องฟ้า แผ่นดิน และทุกสิ่งทุกอย่างในนั้น ถูกสร้างขึ้นมาจนเสร็จสมบูรณ์ ในวันที่เจ็ด พระเจ้าได้ทำงานที่พระองค์ทำอยู่เสร็จสิ้นทุกอย่างแล้ว ดังนั้นในวันที่เจ็ดพระเจ้าจึงหยุดพักจากการงานทุกอย่างที่พระองค์ทำ พระเจ้าได้อวยพรวันที่เจ็ด และทำให้มันเป็นวันศักดิ์สิทธิ์ เพราะในวันที่เจ็ดนี้ พระเจ้าได้หยุดจากงานสร้างที่พระองค์ทำอยู่

การเริ่มต้นของเผ่าพันธุ์มนุษย์

นี่เป็นที่มาของท้องฟ้าและแผ่นดินโลก ตอนที่พวกมันถูกสร้างขึ้นนั้น ตอนที่พระยาห์เวห์พระเจ้าสร้างโลกและท้องฟ้าขึ้นนั้น ยังไม่มีพุ่มไม้ในท้องทุ่งเกิดขึ้นบนโลกนี้ และยังไม่มีพืชในท้องทุ่งแตกหน่อออกมา เพราะพระยาห์เวห์พระเจ้า ยังไม่ได้ทำให้มีฝนตกบนโลกนี้ และยังไม่มีมนุษย์ที่จะมาไถพรวนดินนั้น แต่มีตาน้ำไหลออกมาจากพื้นดิน และมันก็ทำให้หน้าดินชุ่มชื้น

พระยาห์เวห์พระเจ้าได้ปั้นมนุษย์ผู้ชาย[h] ขึ้นจากผงดินบนพื้น พระองค์ปล่อยลมหายใจเข้าไปในจมูกของชายคนนั้น เป็นลมหายใจแห่งชีวิต และชายคนนั้นก็มีชีวิตขึ้นมา พระยาห์เวห์พระเจ้าสร้างสวนแห่งหนึ่งขึ้นในเอเดนทางทิศตะวันออก[i] พระองค์ให้ชายคนที่พระองค์สร้างขึ้นมาอยู่ที่นั่น พระยาห์เวห์พระเจ้าทำให้ต้นไม้ทุกชนิดงอกขึ้นมาจากพื้นดิน ทั้งต้นไม้ที่ให้ความสวยงาม กับต้นไม้ที่กินได้ ตรงกลางสวนนั้นมีต้นไม้แห่งชีวิต และต้นไม้แห่งการรู้จักผิดชอบชั่วดี

10 มีแม่น้ำสายหนึ่งไหลผ่านสวนเอเดน เพื่อจะได้มีน้ำให้กับสวนนั้น จากจุดนั้น แม่น้ำสายนี้ได้แยกออกมาเป็นแม่น้ำสายเล็กๆสี่สาย 11 แม่น้ำสายที่หนึ่งมีชื่อว่า ปิโชน เป็นแม่น้ำที่ไหลผ่านเมืองฮาวิลาห์[j] เมืองนี้มีทองคำ 12 เป็นทองคำเนื้อดี เมืองนี้ยังมียางไม้ครั่ง[k] และโมรา[l] ด้วย 13 แม่น้ำสายที่สองมีชื่อว่ากิโฮน เป็นแม่น้ำที่ไหลผ่านเมืองคูช[m] 14 แม่น้ำสายที่สามมีชื่อว่าไทกริส[n] เป็นแม่น้ำที่ไหลไปทางทิศตะวันออกของเมืองอัสซีเรีย แม่น้ำสายที่สี่มีชื่อว่ายูเฟรติส

15 พระเจ้าเอาผู้ชายคนนั้นไปอยู่ในสวนเอเดน ให้เขาดูแลเอาใจใส่สวนนั้น 16 พระยาห์เวห์พระเจ้าสั่งชายคนนั้นว่า “เจ้าจะกินจากต้นไม้ไหนๆก็ได้ในสวนนี้ 17 แต่เจ้าต้องไม่กินจากต้นไม้แห่งการรู้จักผิดชอบชั่วดี เพราะในวันที่เจ้ากินจากต้นไม้นั้น เจ้าจะต้องตายอย่างแน่นอน”

ผู้หญิงคนแรก

18 พระยาห์เวห์พระเจ้าพูดว่า “มันไม่ดีที่จะให้ผู้ชายคนนี้อยู่คนเดียว เราจะสร้างผู้ช่วยคนหนึ่งที่เหมือนกับเขาให้กับเขา”

19 พระยาห์เวห์พระเจ้าได้ใช้ดินสร้างเป็นสัตว์ทุกชนิดในท้องทุ่งและนกทุกชนิดในอากาศ แล้วพระองค์ได้นำสัตว์พวกนี้แต่ละตัวไปมอบให้กับชายคนนี้ เพื่อดูว่าเขาจะเรียกมันว่าอะไร ชายคนนี้เรียกสิ่งมีชีวิตพวกนั้นว่าอะไร มันก็มีชื่อตามนั้น 20 ชายคนนี้ตั้งชื่อให้กับสัตว์เลี้ยงขนาดใหญ่ พวกนกที่อยู่ในอากาศ และสัตว์ป่าทุกชนิด แต่ก็ไม่เจอผู้ช่วยที่เหมือนกับเขาเลย 21 พระยาห์เวห์พระเจ้าทำให้ชายคนนี้หลับสนิท ตอนที่เขาหลับอยู่นั้น พระองค์เอาซี่โครงซี่หนึ่งของเขาออกมา แล้วปิดแผลบนผิวหนังของเขา 22 จากนั้น พระยาห์เวห์พระเจ้าก็เอาซี่โครงที่มาจากชายนั้น มาสร้างเป็นผู้หญิงคนหนึ่ง แล้วพระองค์ก็เอานางไปให้กับชายคนนั้น 23 ชายนั้นจึงพูดว่า

“ในที่สุด
    นี่แหละคือกระดูกจากกระดูกของเรา
    และเนื้อจากเนื้อของเรา
เธอจะถูกเรียกว่า ผู้หญิง[o]
    เพราะเธอถูกดึงออกมาจากผู้ชาย”

24 เพราะเหตุนี้ ผู้ชายจึงได้จากพ่อแม่ของเขา ไปผูกพันอยู่กับเมียของเขา และทั้งสองคนก็กลายเป็นหนึ่งเดียวกัน

25 ในเวลานั้น ทั้งผู้ชายและเมียของเขา ก็เปลือยกายอยู่ แต่พวกเขาก็ไม่รู้สึกอับอาย

การเริ่มต้นของบาป

ในขณะนั้น งูเป็นสัตว์ที่ฉลาดเจ้าเล่ห์กว่าสัตว์ป่าทั้งหมดที่พระยาห์เวห์พระเจ้าได้สร้างขึ้น งูตัวนั้นพูดกับผู้หญิงว่า “จริงหรือที่พระเจ้าพูดว่า ‘พวกเจ้าต้องไม่กินจากต้นไหนๆในสวนนี้’”

หญิงนั้นตอบงูว่า “พวกเรากินผลไม้จากต้นไหนๆก็ได้ในสวนนี้ แต่พระเจ้าพูดว่า ‘พวกเจ้าต้องไม่กินผลไม้จากต้นที่อยู่กลางสวนนั้น อย่าแม้แต่จะแตะต้องมัน ไม่อย่างนั้นเจ้าจะตาย’”

งูนั้นพูดกับหญิงนั้นว่า “เจ้าจะไม่ตายหรอก พระเจ้าเองก็ยังรู้เลยว่า เมื่อเจ้ากินจากต้นนั้น ตาของเจ้าจะสว่างขึ้น แล้วเจ้าจะเป็นเหมือนกับพระเจ้า รู้จักผิดชอบชั่วดี”

หญิงนั้นมองดู และเห็นว่าต้นไม้นั้นมีผลน่ากินมาก มันช่างสวยงาม และยั่วยวนใจเหลือเกิน เพราะมันสามารถทำให้คนเฉลียวฉลาดได้ หญิงนั้นจึงเด็ดเอาผลของมันมากิน แล้วเธอก็ส่งให้สามีของเธอกินด้วย และเขาก็กินมัน

แล้วตาของพวกเขาก็สว่างขึ้น พวกเขารู้ตัวว่ากำลังเปลือยกายอยู่ พวกเขาจึงเอาใบไม้มาเย็บเข้าด้วยกัน แล้วเอามาใส่ปกปิดร่างกาย

ในเวลาเย็นของวันนั้น พวกเขาได้ยินเสียงของพระยาห์เวห์พระเจ้าเดินมาในสวน ทั้งชายนั้นและเมียของเขา ต่างพากันไปหลบซ่อนจากหน้าของพระยาห์เวห์พระเจ้า พวกเขาแอบอยู่ตามต้นไม้ในสวน พระยาห์เวห์พระเจ้า ได้ส่งเสียงเรียกชายคนนั้น และพูดกับเขาว่า “เจ้าอยู่ที่ไหน”

10 ชายคนนั้นตอบว่า “ข้าพเจ้าได้ยินเสียงของพระองค์ในสวนนี้ ข้าพเจ้าเกรงกลัว เพราะข้าพเจ้าเปลือยกายอยู่ ข้าพเจ้าจึงมาแอบซ่อนตัวอยู่”

11 พระยาห์เวห์พระเจ้าจึงตอบว่า “ใครบอกเจ้าว่าเจ้าเปลือยกายอยู่ นี่เจ้ากินจากต้นที่เราสั่งห้ามไม่ให้เจ้ากินแล้วใช่ไหม”

12 ชายคนนั้นตอบว่า “หญิงที่พระองค์ได้มอบให้กับข้าพเจ้า เป็นคนเอาผลไม้จากต้นนั้นมาให้ข้าพเจ้าแล้วข้าพเจ้าก็กินมัน”

13 พระยาห์เวห์พระเจ้าพูดกับหญิงคนนั้นว่า “เจ้าได้ทำอะไรลงไป” หญิงนั้นตอบว่า “งูตัวหนึ่งมาล่อลวงข้าพเจ้า แล้วข้าพเจ้าก็กินผลไม้นั้น”

14 พระยาห์เวห์พระเจ้าพูดกับงูว่า

“เพราะเจ้าได้ทำอย่างนี้
    เจ้าจะถูกสาปแช่งมากยิ่งกว่าสัตว์ทุกชนิด ทั้งสัตว์เลี้ยงและสัตว์ป่า
เจ้าจะต้องเลื้อยไปด้วยท้อง
    เจ้าจะต้องกินฝุ่นไปตลอดชีวิต
15 เราจะทำให้เจ้ากับหญิงนั้นเป็นศัตรูกัน
    ลูกหลานของเจ้ากับลูกหลานของหญิงนั้นจะเป็นศัตรูกัน
ลูกหลานของหญิงนั้นจะทำให้หัวของเจ้าฟกช้ำ
    แล้วเจ้าจะทำให้ส้นเท้าของเขาฟกช้ำ”

16 แล้วพระองค์พูดกับหญิงนั้นว่า

“เราจะทำให้เจ้าต้องทำงานอย่างหนัก
    เจ้าจะต้องตั้งท้องบ่อยๆ
นอกจากจะต้องทำงานหนักแล้ว
    เจ้าจะต้องคลอดลูกอีกด้วย[p]
เจ้าจะอยากควบคุม[q]สามี
    แต่สามีจะครอบงำเจ้า”

17 แล้วพระองค์พูดกับชายนั้นว่า

“เพราะเจ้าไปฟังเสียงของเมียเจ้า
    และเจ้ากินจากต้นไม้ที่เราสั่งห้ามไม่ให้เจ้ากิน
เพราะเจ้าทำอย่างนั้น เราจะสาปแช่งผืนดิน
    เจ้าจะได้กินจากผืนดินนั้นก็ต่อเมื่อเจ้าทำงานอย่างหนักทุกวันตลอดชั่วชีวิตของเจ้า
18 แผ่นดินจะเกิดหนามและวัชพืชให้กับเจ้า
    และเจ้าจะต้องกินพืชที่อยู่ในท้องทุ่ง[r]
19 เจ้าจะต้องทำงานหนักอาบเหงื่อต่างน้ำเพื่อจะมีอาหารกิน
    จนกว่าเจ้าจะตายกลับไปสู่ดินเพราะเจ้ามาจากดิน
เพราะเจ้าถูกสร้างมาจากผงดิน
    ดังนั้นเจ้าจะต้องคืนกลับไปเป็นผงดินเหมือนเดิม”

20 ชายคนนั้นตั้งชื่อเมียของเขาว่า “เอวา”[s] เพราะนางจะเป็นแม่คนแรกของทุกคนที่จะเกิดมา

21 พระยาห์เวห์พระเจ้าทำเครื่องนุ่งห่มจากหนังสัตว์ ให้อาดัมกับเมียของเขาใส่เพื่อปกปิดร่างกาย 22 แล้วพระยาห์เวห์พระเจ้าพูดว่า “ดูสิ พวกมนุษย์ได้กลายมาเป็นเหมือนเราแล้ว คือรู้จักผิดชอบชั่วดี และตอนนี้เขาอาจจะยื่นมือออกไปหยิบผลไม้จากต้นไม้แห่งชีวิตมากิน และมีชีวิตอยู่ตลอดไป”

23 พระยาห์เวห์พระเจ้าจึงขับไล่เขาออกจากสวนเอเดน ให้ไปทำงานบนดินที่พระเจ้าใช้สร้างเขาขึ้นมานั้น 24 พระองค์ได้ขับไล่ชายคนนั้นไป แล้วตรงทิศตะวันออกของสวนเอเดน พระองค์ได้ตั้งพวกทูตสวรรค์เครูบ ที่มีดาบเป็นประกายไฟลุกโพลง มาเฝ้าทางเข้าที่จะนำไปสู่ต้นไม้แห่งชีวิตนั้น

ครอบครัวแรก

ฝ่ายอาดัมได้มีเพศสัมพันธ์กับเอวาเมียของตน แล้วนางก็ตั้งท้อง คลอดลูกชายคนหนึ่งชื่อ คาอิน เธอพูดว่า “ฉันได้[t]ลูกชายแล้วจากความช่วยเหลือของพระยาห์เวห์”

ต่อมานางก็ได้คลอดน้องชายของคาอิน ชื่ออาเบล เมื่ออาเบลโตขึ้นก็เป็นคนเลี้ยงแกะ ส่วนคาอินก็เป็นชาวนา

การฆ่ากันครั้งแรก

อยู่มาวันหนึ่ง คาอินได้นำเอาพืชผลที่เกิดจากผืนดินมาถวายให้กับพระยาห์เวห์ ส่วนอาเบลก็เอาพวกแกะหัวปีจากฝูงของเขา โดยเฉพาะส่วนไขมัน[u] มาถวายให้กับพระยาห์เวห์

พระยาห์เวห์ยอมรับอาเบลและเครื่องบูชาของเขา แต่พระองค์ไม่ยอมรับคาอินกับเครื่องบูชาของเขา ทำให้คาอินโกรธมาก ไม่พอใจ หน้าบึ้งอยู่ พระยาห์เวห์พูดกับคาอินว่า “เจ้าโกรธทำไม เจ้าหน้าบึ้งทำไม ถ้าเจ้าทำในสิ่งที่ถูก เราก็จะยอมรับเจ้า แต่ถ้าเจ้าทำสิ่งที่ผิด ความบาปก็ดักซุ่มโจมตีเจ้าอยู่ที่ประตู มันอยากควบคุมเจ้า[v] แต่เจ้าจะต้องเป็นฝ่ายที่ครอบงำมัน”

คาอินบอกกับอาเบลน้องชายว่า ให้เราไปในทุ่งกันเถอะ[w] ตอนที่พวกเขาอยู่ในทุ่งนั้น คาอินก็โถมเข้าใส่อาเบลน้องชายและฆ่าเขา

พระยาห์เวห์ถามคาอินว่า “น้องชายของเจ้าอยู่ไหน”

คาอินตอบว่า “ข้าพเจ้าไม่รู้ ข้าพเจ้าเป็นคนดูแลน้องชายหรือยังไง”

10 พระยาห์เวห์จึงพูดว่า “เจ้าได้ทำอะไรลงไป เลือดของน้องชายเจ้าที่ผืนดินนั้นได้ร้องออกมาถึงเรา 11 ตอนนี้เจ้าถูกสาปแช่งจากแผ่นดินที่อ้าปากของมันดื่มกินเลือดของน้องชายเจ้าจากมือของเจ้า 12 เมื่อเจ้าทำงานบนผืนดิน มันจะไม่ให้พืชผลกับเจ้าอีกแล้ว เจ้าจะกลายเป็นคนเร่ร่อนไม่มีหลักแหล่งในโลกนี้”

13 คาอินพูดกับพระยาห์เวห์ว่า “โทษของข้าพเจ้าหนักเกินกว่าที่ข้าพเจ้าจะทนได้ 14 ดูเถิดในวันนี้พระองค์ได้ขับไล่ข้าพเจ้าออกไปจากแผ่นดิน แล้วข้าพเจ้าจะถูกซ่อนไปจากพระองค์ ข้าพเจ้าจะต้องกลายเป็นคนเร่ร่อนไม่มีหลักแหล่งในโลกนี้ และใครก็ตามที่พบข้าพเจ้าจะฆ่าข้าพเจ้า”

15 พระยาห์เวห์พูดกับเขาว่า “เพราะเครื่องหมายนี้ ใครก็ตามที่ฆ่าเจ้า จะต้องถูกลงโทษเจ็ดเท่า” แล้วพระเจ้าก็ใส่เครื่องหมายบนตัวคาอิน เพื่อว่าคนที่เจอเขาจะได้ไม่ฆ่าเขา

ครอบครัวของคาอิน

16 จากนั้น คาอินจากพระยาห์เวห์ไป เขาไปอยู่ที่เมืองโนด[x] ทางทิศตะวันออกของเอเดน

17 คาอินมีเพศสัมพันธ์กับเมียของเขา นางตั้งท้องและคลอดลูกชื่อเอโนค คาอินสร้างเมืองขึ้นเมืองหนึ่งและเขาตั้งชื่อเมืองนั้นว่า เอโนค ตามชื่อลูกชายของเขา

18 เอโนคมีลูกชายชื่ออิราด อิราดมีลูกชายชื่อเมหุยาเอล เมหุยาเอลมีลูกชายชื่อเมธูชาเอล เมธูชาเอลมีลูกชายชื่อลาเมค

19 ลาเมคมีเมียสองคนชื่ออาดาห์ กับศิลลาห์ 20 อาดาห์มีลูกชื่อยาบาล เขาเป็นบรรพบุรุษ[y] ของพวกที่อาศัยอยู่ในเต็นท์และเลี้ยงสัตว์ใช้งาน 21 น้องชายของยาบาลชื่อยูบาล เขาเป็นบรรพบุรุษของพวกคนที่เล่นพิณและเป่าขลุ่ยเก่ง 22 ศิลลาห์มีลูกชื่อ ทูบัลคาอิน เขาเป็นบรรพบุรุษของพวกช่างทำเครื่องมือทองสัมฤทธิ์และเหล็กต่างๆ[z] น้องสาวของทูบัลคาอินชื่อนาอามาห์

23 ลาเมคพูดกับเมียทั้งสองของเขาว่า

“อาดาห์กับศิลลาห์ฟังเราให้ดี
    เจ้าที่เป็นเมียของลาเมคฟังสิ่งที่เราจะพูดให้ดี
เราได้ฆ่าชายคนหนึ่งที่ทำให้เราบาดเจ็บ
    เราได้ฆ่าเด็กหนุ่มคนหนึ่งที่ได้มาทำร้ายเรา
24 ถ้าหากการฆ่าคาอินจะต้องรับโทษเจ็ดเท่า
    การฆ่าเราลาเมค ก็จะต้องได้รับโทษถึงเจ็ดสิบเจ็ดเท่า”

อาดัมกับเอวามีลูกชายอีกคน

25 อาดัมมีเพศสัมพันธ์กับเมียของตนอีก นางคลอดลูกชายคนหนึ่ง นางตั้งชื่อเขาว่า เสท[aa] เพราะนางพูดว่า “พระยาห์เวห์ให้ลูกชายอีกคนหนึ่งกับฉันแทนอาเบล เพราะคาอินฆ่าเขาแล้ว” 26 แล้วเสทก็มีลูกชายคนหนึ่ง เขาตั้งชื่อลูกว่า เอโนช ในเวลานั้น ผู้คนเริ่มพากันมานมัสการพระยาห์เวห์[ab]

ประวัติของครอบครัวอาดัม

(1 พศด. 1:1-4)

นี่คือหนังสือประวัติครอบครัวของอาดัม[ac] ในวันที่พระเจ้าสร้างมนุษย์นั้น พระเจ้าสร้างพวกเขาให้เหมือนกับพระองค์[ad] พระเจ้าได้สร้างชายและหญิงขึ้น ในวันที่พระองค์สร้างพวกเขานั้นพระองค์ได้อวยพรพวกเขา และเรียกพวกเขาว่ามนุษย์

เมื่ออาดัมมีอายุได้หนึ่งร้อยสามสิบปี เขาก็มีลูกชายอีกคนหนึ่ง ซึ่งรูปร่างหน้าตาคล้ายเขามาก เขาตั้งชื่อลูกว่าเสท หลังจากเสทเกิดแล้ว อาดัมก็มีชีวิตต่อไปอีกแปดร้อยปี และเขายังมีลูกชายลูกสาวอีกหลายคน อาดัมมีอายุถึงเก้าร้อยสามสิบปีจึงตาย

ส่วนเสทนั้น เมื่อมีอายุได้หนึ่งร้อยห้าปี ก็มีลูกชายชื่อเอโนช หลังจากเอโนชเกิดมาแล้ว เสทก็มีชีวิตต่อไปอีกแปดร้อยเจ็ดปี เขายังมีลูกชายลูกสาวอีกหลายคน เสทมีอายุถึงเก้าร้อยสิบสองปีจึงตาย

เมื่อเอโนชมีอายุได้เก้าสิบปี เขาก็มีลูกชายชื่อเคนัน 10 หลังจากที่เคนันเกิดมาแล้ว เอโนชมีชีวิตต่อไปอีกแปดร้อยสิบห้าปี เขายังมีลูกชายลูกสาวอีกหลายคน 11 เอโนชมีอายุถึงเก้าร้อยห้าปีจึงตาย

12 เมื่อเคนันอายุเจ็ดสิบปี ก็มีลูกชายชื่อ มาหะลาเลล 13 หลังจากมาหะลาเลลเกิดมาแล้ว เคนันมีชีวิตต่อไปอีกแปดร้อยสี่สิบปี เขายังมีลูกชายลูกสาวอีกหลายคน 14 เคนันมีอายุถึงเก้าร้อยสิบปีจึงตาย

15 เมื่อมาหะลาเลลมีอายุหกสิบห้าปี ก็มีลูกชายชื่อยาเรด 16 หลังจากที่ยาเรดเกิดมาแล้ว มาหะลาเลลมีชีวิตต่อไปอีกแปดร้อยสามสิบปี เขายังมีลูกชายลูกสาวอีกหลายคน 17 มาหะลาเลลมีอายุถึงแปดร้อยเก้าสิบห้าปีจึงตาย

18 เมื่อยาเรดมีอายุหนึ่งร้อยหกสิบสองปี ก็มีลูกชายชื่อเอโนค 19 หลังจากที่เอโนคเกิดมาแล้ว ยาเรดมีชีวิตต่อไปอีกแปดร้อยปี เขายังมีลูกชายลูกสาวอีกหลายคน 20 ยาเรดมีอายุถึงเก้าร้อยหกสิบสองปีจึงตาย

21 เมื่อเอโนคอายุได้หกสิบห้าปี ก็มีลูกชายชื่อเมธูเสลาห์ 22 หลังจากที่เมธูเสลาห์เกิดมาแล้ว เอโนคมีชีวิตที่อยู่ใกล้ชิดกับพระเจ้า[ae]ต่อไปอีกสามร้อยปี ระหว่างนั้นเขามีลูกชายลูกสาวอีกหลายคน 23 เอโนคมีชีวิตอยู่จนมีอายุสามร้อยหกสิบห้าปี 24 เอโนคเดินไปกับพระเจ้า แล้วเขาก็หายตัวไปเพราะพระเจ้าเอาตัวเขาไป

25 เมื่อเมธูเสลาห์มีอายุหนึ่งร้อยแปดสิบเจ็ดปี ก็มีลูกชายชื่อลาเมค 26 หลังจากที่ลาเมคเกิดมาแล้ว เมธูเสลาห์มีชีวิตต่อไปอีกเจ็ดร้อยแปดสิบสองปี เขามีลูกชายลูกสาวอีกหลายคน 27 เมธูเสลาห์ มีอายุถึงเก้าร้อยหกสิบเก้าปีจึงตาย

28 เมื่อลาเมคมีอายุหนึ่งร้อยแปดสิบสองปี ก็มีลูกชายคนหนึ่ง 29 เขาตั้งชื่อลูกว่าโนอาห์[af] เขาพูดว่า “ลูกคนนี้จะทำให้พวกเราได้หยุดพักจากการงานที่เหน็ดเหนื่อยของเรา เพราะพระเจ้าได้สาปแช่งแผ่นดินแห่งนี้ไว้”

30 หลังจากที่โนอาห์เกิดมาแล้ว ลาเมคก็มีชีวิตต่อไปอีกห้าร้อยเก้าสิบห้าปี และเขาก็มีลูกชายลูกสาวอีกหลายคน 31 ลาเมคมีอายุถึงเจ็ดร้อยเจ็ดสิบเจ็ดปีจึงตาย

32 เมื่อโนอาห์อายุได้ห้าร้อยปี ก็มีลูกชายชื่อเชม ฮาม และยาเฟท

ประชาชนเริ่มชั่วร้าย

เมื่อประชาชนบนแผ่นดินมีจำนวนเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆและได้เกิดลูกสาวมากมาย พวกลูกชายของพระเจ้า[ag] เห็นว่าลูกสาวของมนุษย์นั้นสวยงามเหลือเกิน พวกเขาจึงได้แต่งงานกับบรรดาลูกสาวของมนุษย์ที่พวกเขาได้เลือกมา

พระเจ้าจึงพูดว่า “วิญญาณของเราจะไม่อยู่กับพวกมนุษย์ตลอดไป เพราะพวกเขาตายได้ ดังนั้นพวกเขาก็จะมีอายุเพียงหนึ่งร้อยยี่สิบปี”[ah]

ในเวลานั้น มีชาวเนฟิล[ai] อาศัยอยู่บนแผ่นดินด้วย เมื่อพวกลูกชายของพระเจ้าได้มีเพศสัมพันธ์กับพวกลูกสาวของมนุษย์ ผู้หญิงเหล่านี้ได้คลอดลูกออกมาหลายคน ซึ่งพวกเขาได้เติบโตขึ้นเป็นนักรบที่กล้าหาญ มีชื่อเสียงมากในยุคโบราณนั้น[aj]

พระยาห์เวห์เห็นว่ามนุษย์บนโลกชั่วมาก สิ่งที่พวกเขาคิดในใจก็ล้วนชั่วร้ายตลอดเวลา พระยาห์เวห์รู้สึกเสียใจที่พระองค์สร้างมนุษย์ขึ้นในโลก ใจของพระองค์เศร้าสลด พระยาห์เวห์พูดว่า “เราจะทำลายล้างมนุษย์ที่เราสร้างขึ้นจากดิน กับพวกสัตว์ใช้งาน สัตว์เลื้อยคลานทุกอย่างบนดิน รวมทั้งนกทุกชนิด เพราะเราเศร้าใจที่ได้สร้างพวกเขาขึ้นมา”

มีแต่โนอาห์[ak] เท่านั้นที่พระเจ้าชอบใจ

โนอาห์กับน้ำท่วมครั้งใหญ่

ต่อไปนี้เป็นเรื่องราวของโนอาห์และครอบครัวของเขา โนอาห์เป็นคนดีมาก ไม่มีที่ติเลยในท่ามกลางคนในยุคสมัยของเขา โนอาห์ได้เดินไปกับพระเจ้า[al] 10 เขามีลูกชายสามคนชื่อ เชม ฮาม และยาเฟท

11 ในสายตาของพระเจ้านั้น โลกดูเสื่อมทรามมาก เต็มไปด้วยประชาชนที่ชอบความรุนแรง 12 พระเจ้ามองดูโลกนี้ และเห็นว่าโลกนี้เสื่อมทรามจริงๆ เพราะวิถีทางทั้งหลายของมนุษย์ทุกคนบนโลกนี้เสื่อมทราม

13 พระเจ้าพูดกับโนอาห์ว่า เราได้ตัดสินใจที่จะทำลายสิ่งมีชีวิตทั้งหมด เพราะโลกนี้เต็มไปด้วยความรุนแรง ดังนั้นเราจะทำลายพวกมันไปพร้อมๆกับโลก 14 ให้เจ้าต่อเรือสำหรับเจ้าเองลำหนึ่ง โดยใช้ไม้สนโกเฟอร์[am] สร้างห้องขึ้นหลายห้องในเรือลำนั้น[an] เอาน้ำมันดิน[ao] มาทาอุดร่องไม้ทั้งด้านในและด้านนอก

15 ให้ต่อเรือขึ้นมีความยาวหนึ่งร้อยสี่สิบเมตร กว้างยี่สิบสามเมตรและสูงสิบสามเมตรครึ่ง 16 ให้ทำหลังคาบนเรือด้วย เมื่อทำหลังคาเสร็จแล้ว ควรให้มันมีทางเอียงลาด[ap] ขนาดครึ่งเมตร[aq] ให้ทำประตูไว้ทางด้านข้างบานหนึ่งด้วย ให้สร้างดาดฟ้า พื้นชั้นล่าง ชั้นที่สอง และชั้นที่สามด้วย

17 เราจะให้น้ำท่วมโลก เพื่อทำลายทุกๆชีวิตภายใต้ท้องฟ้านี้ ทุกอย่างบนโลกนี้จะตายหมด 18 แต่เราจะให้สัญญาพิเศษกับเจ้า เจ้าจะเข้าไปอยู่ในเรือ พร้อมกับพวกลูกชาย เมียและลูกสะใภ้ของเจ้า 19 เจ้าควรจะนำสิ่งมีชีวิตทุกชนิดอย่างละคู่ เข้าไปอยู่ในเรือเพื่อให้มีชีวิตรอดรวมอยู่กับเจ้าด้วย สัตว์แต่ละอย่างให้มีทั้งตัวเมียและตัวผู้ 20 นกทุกชนิดอย่างละหนึ่งคู่ สัตว์ทุกชนิด และสัตว์เลื้อยคลานบนแผ่นดินทุกชนิดจะมากับเจ้า เพื่อให้เจ้ารักษาชีวิตของพวกมันให้รอด 21 เจ้าต้องรวบรวมเสบียงอาหาร และนำมาเก็บสะสมไว้เพื่อตัวเจ้า และสัตว์เหล่านั้น

22 โนอาห์ก็ทำตามที่พระเจ้าสั่งให้ทำทุกอย่าง

น้ำเริ่มท่วม

จากนั้นพระเจ้าพูดกับโนอาห์ว่า “ให้เข้าไปอยู่ในเรือ ทั้งตัวเจ้าและครอบครัว เพราะเห็นว่ามีเพียงเจ้าเท่านั้นที่เป็นคนดีในหมู่คนรุ่นนี้ ให้นำสัตว์ต่างๆที่สะอาดอย่างละเจ็ดคู่ ทั้งตัวผู้และตัวเมีย ส่วนสัตว์ที่ไม่สะอาด[ar] ให้เอาไปอย่างละคู่ ทั้งตัวผู้และตัวเมีย นกในอากาศอย่างละเจ็ดคู่ทั้งตัวผู้และตัวเมีย เพื่อให้สัตว์ทั้งหลายมีชีวิตรอดต่อไปในโลกนี้ เพราะภายในเจ็ดวันนี้ เราจะทำให้ฝนตกเป็นเวลาสี่สิบวันสี่สิบคืน เราจะทำลายสิ่งที่มีชีวิตทุกอย่างที่เราได้สร้างขึ้นบนพื้นผิวของโลก” ฝ่ายโนอาห์ก็ทำตามที่พระยาห์เวห์สั่งไว้ทุกอย่าง

ตอนที่เกิดน้ำท่วมขึ้นบนแผ่นดิน โนอาห์มีอายุหกร้อยปี โนอาห์เข้าไปอยู่ในเรือ พร้อมกับลูกชาย เมีย และลูกสะใภ้ เพื่อหนีให้พ้นจากน้ำท่วม พวกสัตว์ที่สะอาด สัตว์ที่ไม่สะอาด นกต่างๆและสัตว์เลื้อยคลานบนพื้นดิน ก็ได้เข้าไปอยู่ในเรือของโนอาห์ เป็นคู่ๆทั้งตัวผู้และตัวเมีย ตามที่พระเจ้าได้สั่งโนอาห์ไว้ 10 หลังจากนั้นเจ็ดวัน น้ำก็เริ่มท่วม

11 เมื่อโนอาห์มีอายุได้หกร้อยปี ในวันที่สิบเจ็ดของเดือนที่สอง น้ำจากใต้ดินได้ไหลพลุ่งขึ้นมา ช่องฟ้าก็เปิด 12 ฝนได้เทลงมาอย่างหนัก เป็นเวลานานถึงสี่สิบวันสี่สิบคืน 13 ในวันเดียวกันนั้นเอง โนอาห์ก็ได้เข้าไปอยู่ในเรือกับลูกชายทั้งสาม คือ เชม ฮาม และยาเฟท พร้อมกับเมียและลูกสะใภ้ทั้งสามคน 14 พวกเขาและสัตว์ป่าทุกชนิด สัตว์ใช้งาน สัตว์เลื้อยคลาน นกทุกชนิด 15 สัตว์ทุกชนิดได้มาหาโนอาห์ที่เรือเป็นคู่ๆ 16 บรรดาสัตว์ที่มาอยู่ในเรือ มีทั้งตัวผู้และตัวเมียตามที่พระเจ้าได้สั่งโนอาห์ไว้ทุกอย่าง จากนั้นพระยาห์เวห์ก็ปิดประตูเรือ

17 น้ำได้ท่วมบนแผ่นดินต่อไปอีกเป็นเวลาถึงสี่สิบวัน จำนวนน้ำเพิ่มขึ้นเรื่อยๆและยกเรือให้ลอยสูงขึ้น เรือนั้นลอยสูงขึ้นเหนือแผ่นดิน 18 ส่วนน้ำก็ยังคงไหลต่อเนื่องกันไป และเพิ่มปริมาณน้ำขึ้นเรื่อยๆบนแผ่นดิน เรือนั้นลอยไปบนพื้นน้ำ 19 น้ำก็สูงขึ้นเรื่อยๆบนแผ่นดิน จนกระทั่งภูเขาสูงทุกลูกจมอยู่ใต้น้ำ 20 น้ำนั้นยังคงไหลต่อเนื่องไปอีก จนยอดเขาจมลึกลงไปใต้น้ำประมาณหกเมตร[as]

21 สิ่งมีชีวิตทั้งหลายบนแผ่นดินตายหมด คือบรรดานก สัตว์ใช้งาน สัตว์ป่า สิ่งมีชีวิตทั้งหลายบนแผ่นดิน รวมทั้งมนุษย์ด้วย 22 สิ่งมีชีวิตทั้งหลายที่อยู่บนบกก็ตายหมด 23 พระเจ้าทำลายสิ่งมีชีวิตทุกอย่างบนแผ่นดินทั้งหมด บรรดามนุษย์ สัตว์ต่างๆ สัตว์เลื้อยคลาน และพวกนกในท้องฟ้า ก็ล้วนถูกทำลายไปจากโลก มีเพียงโนอาห์เท่านั้นที่ยังมีชีวิตอยู่ กับบรรดาคนและสัตว์ที่อยู่กับเขาในเรือ 24 น้ำนั้นยังคงท่วมโลกอยู่ต่อไปนานถึงหนึ่งร้อยห้าสิบวัน

น้ำท่วมสิ้นสุดลง

แต่พระเจ้าก็ยังคงระลึกถึงโนอาห์ และบรรดาสัตว์ป่ากับสัตว์ใช้งานทั้งหลายที่อยู่กับโนอาห์ในเรือนั้น แล้วพระเจ้าก็ให้ลมพัดบนแผ่นดินโลก น้ำนั้นก็ค่อยๆลดลง

น้ำได้หยุดไหลจากใต้พื้นดิน ท้องฟ้านั้นปิดลง ฝนจากฟ้าก็หยุดตก น้ำจึงค่อยๆลดลงจากแผ่นดิน ในวันที่หนึ่งร้อยห้าสิบ น้ำก็ลดลงเพียงพอ ที่จะให้เรือจอดอยู่บนเทือกเขาอารารัต[at] เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นในวันที่สิบเจ็ดของเดือนที่เจ็ด แล้วน้ำก็ค่อยๆลดลง จนถึงเดือนที่สิบ ในวันที่หนึ่งของเดือนที่สิบ ยอดเขาก็ค่อยๆโผล่ขึ้นมา

เมื่อเวลาผ่านไปสี่สิบวัน โนอาห์เปิดหน้าต่างของเรือลำที่เขาสร้างขึ้นนั้น โนอาห์ส่งอีกาตัวหนึ่งออกไป มันบินวนเวียนไปและกลับมาที่เรือ น้ำค่อยๆแห้งลง แล้วโนอาห์ส่งนกพิราบออกไปตัวหนึ่ง เพื่อดูว่าน้ำลดไปจากแผ่นดินหรือยัง

แต่นกนั้นยังหาที่เกาะไม่ได้ นกจึงบินกลับมาหาโนอาห์ที่เรืออีก เพราะน้ำยังท่วมแผ่นดินอยู่ โนอาห์ยื่นมือออกไปจับนกนั้น เอามันกลับเข้ามาในเรือ

10 โนอาห์รอต่อไปอีกเจ็ดวัน จึงส่งนกพิราบออกไปจากเรืออีก 11 นกตัวนั้นบินกลับมาหาเขาในเย็นวันนั้น ปากของมันคาบเอาใบมะกอกสดที่เด็ดมาใบหนึ่ง โนอาห์จึงรู้ว่าน้ำบนแผ่นดินลดลงแล้ว 12 โนอาห์รอต่อไปอีกเจ็ดวัน จึงค่อยส่งนกพิราบออกไปอีกตัวหนึ่ง นกตัวนั้นก็ไม่ได้บินกลับมาหาเขาอีก

13 เมื่อโนอาห์มีอายุหกร้อยหนึ่งปี ในวันที่หนึ่งของเดือนที่หนึ่ง น้ำก็แห้งไปจากแผ่นดิน โนอาห์ได้เปิดประตู[au] เรือออกไปดูข้างนอก และเห็นว่าผืนดินแห้งแล้ว 14 เมื่อถึงวันที่ยี่สิบเจ็ดของเดือนที่สอง แผ่นดินก็แห้งสนิท

15 พระเจ้าจึงพูดกับโนอาห์ว่า 16 “ออกไปจากเรือได้แล้ว ทั้งตัวเจ้า เมียของเจ้า ลูกชาย และลูกสะใภ้ของเจ้า 17 นำทุกสิ่งที่มีชีวิตบนเรือออกไปกับเจ้าด้วย สัตว์ทุกชนิด นกต่างๆ สัตว์ใช้งาน และสัตว์เลื้อยคลานบนแผ่นดินทุกชนิด เพื่อพวกมันจะได้อยู่กันจนเต็มแผ่นดิน พวกมันจะมีลูกหลานและจะเพิ่มจำนวนขึ้นบนโลกนี้”

18 โนอาห์กับลูกชาย เมีย และลูกสะใภ้จึงพากันออกจากเรือ 19 สัตว์แต่ละครอบครัวได้พากันเดินออกมาจากเรือ ทั้งสัตว์เลื้อยคลานทุกตัวบนพื้นดินและนกทุกชนิด

20 จากนั้นโนอาห์จึงสร้างแท่นบูชาให้กับพระยาห์เวห์ เขาได้นำนกที่สะอาดทุกชนิดและสัตว์ที่สะอาด[av] ทุกชนิดมา และเอาพวกมันมาเผาถวายบนแท่นบูชานั้น

21 ซึ่งเป็นกลิ่นที่พระยาห์เวห์พอใจมาก พระองค์จึงพูดกับตัวเองว่า “เราจะไม่สาปแช่งแผ่นดินโลกนี้อีกต่อไป เพราะเห็นแก่มนุษย์ มนุษย์นั้นมีความคิดชั่วร้ายตั้งแต่เด็กแล้ว ดังนั้นเราจะไม่มีวันทำลายสิ่งที่มีชีวิตทั้งหมดอย่างที่เราได้ทำไปแล้วนั้นอีก 22 ตราบใดที่โลกนี้ยังอยู่ การเพาะปลูกและการเก็บเกี่ยว ความเย็นและความร้อน ฤดูร้อนและฤดูหนาว กลางวันและกลางคืน จะไม่มีวันหมดไป”

สัญญาที่พระเจ้าทำกับโนอาห์

พระเจ้าได้อวยพรโนอาห์กับพวกลูกชายของเขาและพูดว่า “ให้มีลูกมีหลานมากมายเต็มแผ่นดิน บรรดาสัตว์ทุกอย่างในโลกนี้ ทั้งพวกนก พวกสัตว์เลื้อยคลานอยู่บนพื้นดิน และปลาในทะเล จะกลัวพวกเจ้า พวกมันทั้งหมดจะอยู่ภายใต้การควบคุมของเจ้า ทุกสิ่งที่มีชีวิตที่เคลื่อนไหวได้ เราจะยกให้เป็นอาหารของพวกเจ้า เหมือนอย่างที่เราได้ยกพวกพืชผักให้พวกเจ้ากินอยู่แล้ว ตอนนี้เราให้ทุกสิ่งทุกอย่างกับเจ้า แต่พวกเจ้าจะต้องไม่กินเนื้อสัตว์ที่ยังมีเลือดติดอยู่ เพราะมีชีวิตอยู่ในเลือด ไม่อย่างนั้นเราจะทวงเลือดนั้นคืนจากชีวิตของพวกเจ้า สัตว์ตัวไหนที่ฆ่ามนุษย์ เราจะทวงชีวิตนั้นคืนจากมันด้วย สำหรับมนุษย์นั้น ถ้าใครฆ่าใครก็ตาม เราจะทวงชีวิตของคนๆนั้นคืนมา

ใครที่ฆ่าคน
    คนนั้นจะต้องถูกอีกคนหนึ่งฆ่าด้วย
    เพราะพระเจ้าสร้างมนุษย์ขึ้นมาตามรูปแบบของพระองค์

ให้พวกเจ้ามีลูกหลานมากมายและอยู่กันจนเต็มแผ่นดิน”

พระเจ้าพูดกับโนอาห์และพวกลูกชายของเขาอีกว่า “เราจะทำข้อตกลงกับเจ้าและลูกหลานทั้งหมดของเจ้า 10 เราจะทำข้อตกลงกับสิ่งมีชีวิตทั้งหมดที่อยู่กับเจ้า ทั้งพวกนก พวกสัตว์ใช้งาน และสัตว์อื่นทั้งหมดที่อยู่กับเจ้า 11 เราให้สัญญากับพวกเจ้าว่า จะไม่มีน้ำมาท่วมทำลายทุกสิ่งที่มีชีวิตหรือโลกนี้อีก”

12 แล้วพระเจ้าก็พูดต่ออีกว่า “นี่คือเครื่องหมายแห่งสัญญาที่เราได้ทำกับเจ้า กับลูกหลานของเจ้า และกับสิ่งมีชีวิตทุกอย่างที่อยู่กับเจ้า เป็นเครื่องหมายที่จะมีอยู่ตลอดไป 13 คือเราจะทำให้มีรุ้งที่ก้อนเมฆ เพื่อแสดงถึงสัญญาระหว่างเรากับโลก 14 เวลาใดที่มีรุ้งกินน้ำที่ก้อนเมฆเหนือพื้นดินนั้น 15 เราจะระลึกถึงสัญญาที่เราได้ให้ไว้กับเจ้า และบรรดาสิ่งมีชีวิตทั้งหลายที่อยู่กับเจ้า คือเราจะไม่ให้น้ำมาท่วมทำลายสิ่งมีชีวิตทั้งหลายอีก 16 เมื่อมีรุ้งกินน้ำที่ก้อนเมฆเมื่อใด เราจะมองดูรุ้งนั้น และจะนึกถึงสัญญาที่มั่นคงถาวร ระหว่างเรากับทุกสิ่งที่มีชีวิตบนโลกนี้”

17 แล้วพระเจ้าพูดกับโนอาห์อีกว่า “นี่แหละคือเครื่องหมายแห่งสัญญาระหว่างเรากับทุกสิ่งที่มีชีวิตบนโลกนี้”

โนอาห์กับลูกๆของเขา

18 ลูกชายของโนอาห์คือ เชม ฮาม และยาเฟท ออกมาจากเรือด้วยกัน (ฮามได้เป็นพ่อของคานาอัน) 19 ประชาชนทั้งหมดบนโลกนี้ล้วนมาจากลูกชายทั้งสามคนนี้ของเขา

20 ฝ่ายโนอาห์นั้นเป็นชาวไร่ เขาเป็นคนแรกที่ทำไร่องุ่น 21 เขาได้ดื่มเหล้าองุ่นและเมาหลับไปในเต็นท์ ทั้งที่เปลือยกายอยู่ 22 ฝ่ายฮามที่เป็นพ่อของคานาอันนั้น มาเห็นโนอาห์พ่อของเขานอนหลับเปลือยกายอยู่ เขาจึงออกไปบอกกับพี่ชายทั้งสองคนของเขา 23 เชมกับยาเฟทจึงช่วยกันเอาผ้ามาพาดบ่าของพวกเขาทั้งสองคน และเดินหันหลังเข้าไปหาพ่อที่นอนเปลือยกายอยู่ เอาผ้าคลุมร่างพ่อไว้โดยที่ไม่ได้มองร่างเปลือยของพ่อเลย

24 เมื่อโนอาห์ตื่นขึ้นสร่างเมาแล้ว และรู้เรื่องว่าลูกชายคนเล็กได้ทำอะไรกับเขา 25 โนอาห์จึงพูดว่า

“คานาอัน[aw] เจ้าจะต้องถูกแช่ง
    ให้เป็นทาสชั้นต่ำที่สุดของพี่น้อง”

26 แล้วโนอาห์พูดต่ออีกว่า

“ขอพระเจ้าอวยพรให้เชม
    และให้คานาอันเป็นทาสของเขาเถิด
27 ขอพระเจ้าขยาย[ax] ดินแดนของยาเฟท
    ขอให้ยาเฟทอยู่ในเต็นท์ของเชม[ay]
    ขอให้คานาอันเป็นทาสของยาเฟทด้วย”

28 โนอาห์มีชีวิตหลังน้ำท่วมต่อไปอีกสามร้อยห้าสิบปี 29 โนอาห์มีอายุถึงเก้าร้อยห้าสิบปีจึงตาย

เชื้อสายของลูกชายของโนอาห์

(1 พศด. 1:5-23)

10 ต่อไปนี้เป็นเชื้อสายของลูกชายทั้งสามคนของโนอาห์ คือ เชม ฮาม และยาเฟท พวกเขามีลูกหลังจากน้ำท่วม

ลูกหลานของยาเฟท

พวกลูกชายของยาเฟท คือ โกเมอร์ มาโกก มาดัย ยาวาน ทูบัล เมเชค และทิราส

พวกลูกชายของโกเมอร์ คือ อัชเคนัส รีฟาท และโทการมาห์

พวกลูกชายของยาวาน คือ เอลีชาห์ ทารชิช คิทธิม และโดดานิม[az]

บรรดาประชาชนที่อาศัยอยู่ตามบริเวณทะเลเมดิเตอร์เรเนียน ล้วนสืบเชื้อสายมาจากลูกๆของยาเฟท ครอบครัวทั้งหลายนี้แต่ละครอบครัวได้กลายเป็นชนชาติต่างๆที่มีแผ่นดินและภาษาเป็นของพวกเขาเอง

ลูกหลานของฮาม

ฮามมีลูกชายคือ คูช อียิปต์[ba] พูตและคานาอัน

คูชมีลูกชายหลายคน คือ เชบา ฮาวิลาห์ สับทาห์ ราอามาห์ และสับเทคา ส่วนลูกของราอามาห์ คือ เสบาและเดดาน

ลูกของคูชที่ชื่อว่านิมโรดนั้น เป็นนักรบที่กล้าหาญ[bb] คนหนึ่งในแผ่นดิน เขาเป็นนายพรานที่กล้าหาญมากต่อหน้าพระยาห์เวห์ นี่เป็นเหตุที่ประชาชนมักพูดว่า “คนผู้นี้เป็นเหมือนนิมโรดนายพรานผู้กล้าหาญต่อหน้าพระยาห์เวห์”

10 อาณาจักรของนิมโรดนั้น เริ่มขยายจากเมืองบาบิโลน เมืองเอเรก และเมืองอัคคัด ซึ่งเมืองทั้งสามนี้อยู่ในแผ่นดินชินาร์[bc] 11 จากที่นั่น นิมโรดได้ไปยังแผ่นดินอัสซีเรีย แล้วสร้างเมืองนีนะเวห์ เมืองเรโหโบทอีร์ เมืองคาลาห์ 12 และเมืองเรเสน ซึ่งตั้งอยู่ระหว่างเมืองนีนะเวห์กับเมืองคาลาห์นั้น เดี๋ยวนี้เรเสนได้กลายเป็นเมืองใหญ่เมืองหนึ่ง

13 อียิปต์มีลูกชายหลายคน คือ ลูด อานามิม เลหะบิม นัฟทูฮิม 14 ปัทรุสิม คัสลูห์ (ผู้เป็นต้นตระกูลคนฟีลิสเตีย) และคนคัฟโทร์

15 คานาอันมีลูกคนโต คือ ไซดอน คานาอันยังเป็นพ่อของเฮท 16 คนเยบุส คนอาโมไรต์ คนเกอร์กาชี 17 คนฮีไวต์ คนอารคี คนสินี 18 คนอารวัด คนเศเมอร์ และคนฮามัทด้วย ต่อมาภายหลังครอบครัวคานาอันได้กระจายออกไปตามที่ต่างๆ

19 เขตของคนคานาอัน แผ่ขยายจากเมืองไซดอนไปทางเมืองเกราร์จนถึงเมืองกาซา และไปทางเมืองโสโดม โกโมราห์ อัดมาห์ และเศโบยิมจนถึงเมืองลาชา

20 คนเหล่านี้เป็นเชื้อสายของฮาม พวกเขามีภาษาของตนเอง มีเขตแดนที่อยู่ของตนเอง และแบ่งแยกเป็นชนชาติต่างๆ

ลูกหลานของเชม

21 ส่วนเชมที่เป็นพี่ชายคนโตของยาเฟทนั้น ก็มีลูกอีกหลายคน เขาเป็นต้นตระกูลของพวกชาวเอเบอร์ด้วย

22 พวกลูกชายของเชม คือเอลาม อัสชูร อารปัคชาด ลูด และอารัม

23 พวกลูกชายของอารัม คืออูส ฮูล เกเธอร์ และมัช

24 ส่วนอารปัคชาดมีลูกชาย คือเชลาห์ ส่วนเชลาห์มีลูกคือเอเบอร์ 25 ลูกชายสองคนของเอเบอร์ คือเพเลก[bd] และโยกทาน ที่เขาตั้งชื่อว่าเพเลกก็เพราะในสมัยนั้นมีการแบ่งแผ่นดินกัน

26 โยกทานมีลูกหลายคน คืออัลโมดัด เชเลฟ ฮาซารมาเวท เยราห์ 27 ฮาโดรัม อุซาล ดิคลาห์ 28 โอบาล อาบีมาเอล เสบา 29 โอฟีร์ ฮาวิลาห์ และโยบับ คนเหล่านี้ล้วนเป็นลูกชายของโยกทาน 30 คนเหล่านี้ได้อาศัยอยู่ในแถบเนินเขาด้านตะวันออก[be] จากเมืองเมชาไปทางเสฟาร์

31 คนเหล่านี้เป็นเชื้อสายของเชม พวกเขามีภาษาของตนเอง มีดินแดนที่อยู่ของตนเอง มีเชื้อชาติของตัวเอง

32 นี่คือรายชื่อครอบครัวต่างๆที่เกิดมาจากพวกลูกชายของโนอาห์ พวกเขาเรียงลำดับตามชนชาติของพวกเขา และจากครอบครัวเหล่านี้เอง ประชากรมนุษย์ก็แผ่ขยายไปทั่วโลกภายหลังน้ำท่วม

โลกถูกแบ่งแยก

11 ในขณะนั้นทั่วโลกยังพูดภาษาเดียวกัน คำที่ใช้ก็มีความหมายเหมือนกัน เมื่อผู้คนพากันอพยพไปจากทิศตะวันออก พวกเขาก็พบที่ราบในแผ่นดินของชินาร์ จึงตกลงใจอาศัยอยู่ที่นั่น

พวกเขาพูดชักชวนกันว่า “มาเถิด ให้พวกเราทำอิฐกัน เอาอิฐไปเผาจนแข็ง” พวกเขาจึงมีอิฐใช้แทนหิน และมียางมะตอย[bf] ใช้แทนปูนสอ[bg]

จากนั้นพวกเขาก็พูดว่า “มาเถิด มาสร้างเมืองสำหรับพวกเรากันเถอะ แล้วสร้างหอคอยให้สูงเทียมฟ้า พอทำอย่างนั้นแล้ว พวกเราก็จะมีชื่อเสียงโด่งดัง ใครๆก็จะรู้จักเรา ถ้าเราไม่ทำ พวกเราก็จะกระจัดกระจายไปทั่วโลก”

พระยาห์เวห์ได้ลงมาดูเมืองและหอคอยที่พวกมนุษย์ช่วยกันสร้างขึ้นนั้น แล้วพระยาห์เวห์พูดว่า “ดูเถิด ประชาชนเหล่านี้เป็นชนชาติเดียวกัน พูดภาษาเดียวกัน นี่เป็นแค่จุดเริ่มต้นของสิ่งที่พวกเขาจะทำในอนาคต และเมื่อพวกเขาตั้งใจจะทำอะไรแล้ว ก็จะทำได้แน่นอน มาเถิด ให้พวกเราลงไปทำให้ภาษาของพวกเขาสับสนกัน”

พระยาห์เวห์จึงทำให้พวกเขากระจัดกระจายไปทั่วแผ่นดินโลก คนเหล่านั้นจึงต้องเลิกสร้างเมืองนั้น แล้วคนก็เรียกเมืองนั้นว่าบาเบล[bh] เพราะพระยาห์เวห์ทำให้ภาษาของทั้งโลกสับสนไปหมด แล้วพระยาห์เวห์ยังทำให้พวกเขากระจัดกระจายไปทั่วแผ่นดิน

เรื่องราวของลูกหลานเชม

(1 พศด. 1:24-27)

10 ต่อไปนี้เป็นเชื้อสายลูกหลานของเชม หลังจากเกิดน้ำท่วมไปแล้วสองปี เชมก็มีลูกชายชื่ออารปัคชาด เชมมีอายุหนึ่งร้อยปีพอดี 11 หลังจากที่เขามีอารปัคชาดแล้ว เชมก็มีชีวิตต่อไปอีกห้าร้อยปี และมีลูกชายหญิงอีกหลายคน

12 เมื่ออารปัคชาดมีอายุได้สามสิบห้าปี เขาก็มีลูกชายชื่อเชลาห์ 13 พอมีเชลาห์แล้ว อารปัคชาดมีชีวิตต่อไปอีกสี่ร้อยสามปี เขายังมีลูกชายหญิงอีกหลายคน

14 เมื่อเชลาห์อายุได้สามสิบปี เขาก็มีลูกชายชื่อเอเบอร์ 15 พอมีเอเบอร์แล้ว เชลาห์ก็มีชีวิตต่อไปอีกสี่ร้อยสามปี เขายังมีลูกชายหญิงอีกหลายคน

16 เมื่อเอเบอร์มีอายุสามสิบสี่ปี เขาก็มีลูกชายชื่อเปเลก 17 พอมีเปเลกแล้ว เอเบอร์ก็มีชีวิตต่อไปอีกสี่ร้อยสามสิบปี เขายังมีลูกชายหญิงอีกหลายคน

18 เมื่อเปเลกมีอายุสามสิบปี ก็มีลูกชายชื่อเรอู 19 พอมีเรอูแล้ว เปเลกก็มีชีวิตต่อไปอีกสองร้อยเก้าปี เขายังมีลูกชายหญิงอีกหลายคน

20 เมื่อเรอูมีอายุสามสิบสองปีก็มีลูกชื่อเสรุก 21 พอมีเสรุกแล้ว เรอูมีชีวิตต่อไปอีกสองร้อยเจ็ดปี เขายังมีลูกชายหญิงอีกหลายคน

22 เมื่อเสรุกมีอายุสามสิบปีก็มีลูกชื่อนาโฮร์ 23 พอมีนาโฮร์แล้ว เสรุกก็มีชีวิตต่อไปอีกสองร้อยปี เขายังมีลูกชายหญิงอีกหลายคน

24 เมื่อนาโฮร์อายุยี่สิบเก้าปีก็มีลูกชื่อเทราห์ 25 พอมีเทราห์แล้ว นาโฮร์ก็มีชีวิตต่อไปอีกหนึ่งร้อยสิบเก้าปี เขายังมีลูกชายหญิงอีกหลายคน

26 เมื่อเทราห์อายุเจ็ดสิบปีก็มีลูกชายชื่อ อับราม นาโฮร์ และฮาราน

เรื่องราวของครอบครัวเทราห์

27 ต่อไปนี้เป็นเชื้อสายลูกหลานของเทราห์ เขาเป็นพ่อของอับราม นาโฮร์ และฮาราน ฮารานมีลูกชายชื่อโลท 28 ฮารานนั้นตายก่อนเทราห์พ่อของเขา ในแผ่นดินที่เขาเกิดในเมืองเออร์ของชาวบาบิโลน[bi] 29 อับรามกับนาโฮร์ต่างก็มีเมีย เมียของอับรามชื่อซาราย เมียของนาโฮร์ชื่อมิลคาห์ ซึ่งเป็นลูกสาวของฮาราน (ฮารานเป็นพ่อของมิลคาห์และอิสคาห์) 30 ฝ่ายซารายนั้นเป็นหมัน จึงไม่มีลูก

31 เทราห์พาอับรามลูกของตัวเองกับโลทที่เป็นหลานชาย ซึ่งเป็นลูกของฮาราน และซารายลูกสะใภ้ที่เป็นเมียของอับราม ออกจากเมืองเออร์ของชาวบาบิโลน เพื่อจะเข้าไปอยู่ในแผ่นดินคานาอัน แต่เมื่อพวกเขาเดินทางมาถึงเมืองฮาราน ก็ได้อาศัยอยู่ที่นั่น 32 เมื่อเทราห์อายุได้สองร้อยห้าปี เขาก็ตายที่เมืองฮาราน

พระยาห์เวห์เรียกอับราม

12 พระยาห์เวห์พูดกับอับรามว่า
“ให้ออกจากประเทศของเจ้า
    ละทิ้งประชาชน
และครอบครัวของพ่อเจ้าเสีย
    และให้มุ่งไปยังดินแดนที่เราจะแสดงแก่เจ้า
เราจะทำให้เจ้าเป็นชนชาติที่ยิ่งใหญ่
เราจะอวยพรเจ้า
    และทำให้ชื่อเจ้าเป็นที่รู้จักกว้างขวาง
    และเจ้าจะเป็นพระพรสำหรับคนอื่น[bj]
เราจะอวยพรคนที่อวยพรเจ้า
    และจะสาปแช่งคนที่สาปแช่งเจ้า
คนทั้งหลายบนโลกนี้จะได้รับพรจากเจ้าด้วย[bk]

อับรามไปคานาอัน

อับรามจึงออกจากเมืองฮารานพร้อมกับโลท และทำตามที่พระยาห์เวห์บอก ในขณะนั้นเขามีอายุเจ็ดสิบห้าปี อับรามพาเมียเขาที่ชื่อซาราย และหลานชายชื่อโลทไปด้วย รวมทั้งทรัพย์สมบัติทั้งหมดและทาสทั้งหมดที่เขาได้มาจากเมืองฮาราน พวกเขาทั้งหมดได้ออกเดินทางมาจนถึงแผ่นดินคานาอัน อับรามเดินทางผ่านดินแดนของชาวคานาอันและสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ในเมืองเชเคม สู่ต้นก่อของโมเรห์ (ซึ่งชาวคานาอันอาศัยอยู่ในเวลานั้น)

พระยาห์เวห์ปรากฏตัวให้อับรามเห็นและพูดกับเขาว่า “เราจะให้ดินแดนแห่งนี้แก่ลูกหลานของเจ้า”

อับรามสร้างแท่นบูชาขึ้นแท่นหนึ่งให้กับพระยาห์เวห์ที่ได้ปรากฏตัวให้เขาเห็น แล้วเขาก็ย้ายจากที่นั่นไปยังแถบเนินเขาทางตะวันออกของเมืองเบธเอล เขาตั้งเต็นท์ขึ้นที่นั่น ด้านตะวันตกคือเมืองเบธเอล ทางตะวันออกคือเมืองอัย เขาสร้างแท่นบูชาขึ้นอีกแท่นที่นั่น และเขาได้นมัสการพระยาห์เวห์ หลังจากนั้นเขาก็เดินทางต่อไปยังเนเกบ

อับรามในอียิปต์

10 ในขณะนั้นเกิดภาวะฝนแล้งและกันดารอาหารอย่างรุนแรง อับรามจึงเดินทางไปอาศัยในอียิปต์ 11 ก่อนที่เขาจะเข้าสู่เขตแดนของอียิปต์ เขาบอกนางซารายเมียของเขาว่า “ฟังนะ พี่รู้ว่าน้องเป็นผู้หญิงที่สวยมาก 12 ถ้าผู้ชายชาวอียิปต์พบน้องเข้า พวกเขาจะพูดว่า ‘ผู้หญิงคนนี้เป็นเมียของผู้ชายที่มาด้วยแน่’ พวกนั้นก็จะฆ่าพี่แต่ไม่ฆ่าน้องหรอก 13 ฉะนั้นให้บอกไปว่าน้องเป็นน้องสาวของพี่ เพื่อคนพวกนั้นจะได้ดีกับพี่และพี่ก็จะรอดชีวิตเพราะน้อง”

14 เมื่ออับรามไปถึงอียิปต์ ชาวอียิปต์เห็นว่าซารายเป็นผู้หญิงที่สวยมาก 15 และเมื่อพวกเจ้าหน้าที่ของฟาโรห์กษัตริย์อียิปต์มาพบนาง จึงไปบอกกับฟาโรห์ว่านางสวยขนาดไหน หลังจากนั้น นางซารายจึงถูกนำตัวมาที่วัง 16 กษัตริย์ฟาโรห์จึงปฏิบัติกับอับรามอย่างดี เพราะเขาเป็นพี่ชายของนางซาราย เขาได้รับแกะ วัว ลาตัวผู้ ลาตัวเมีย ทาสชายหญิง และพวกอูฐ

17 แต่พระยาห์เวห์ทำให้เกิดโรคระบาดขึ้นอย่างรุนแรงกับฟาโรห์และคนในวัง เพื่อลงโทษฟาโรห์ที่ไปเอาเมียของอับรามมา 18 กษัตริย์แห่งอียิปต์จึงเรียกตัวอับรามมาพบและถามว่า “นี่เจ้าทำอะไรกับเรา ทำไมถึงไม่บอกเราว่านางเป็นเมียเจ้า 19 ทำไมถึงบอกว่า ‘นางเป็นน้องสาว’ ทำให้เรารับนางมาเป็นเมีย ตอนนี้เอาเมียของเจ้าคืนไปและออกไปให้พ้น” 20 ฟาโรห์ได้ออกคำสั่งกับคนของพระองค์ให้ส่งอับรามกับเมียเขา รวมทั้งสิ่งของที่เป็นของเขา ออกจากอียิปต์

อับรามกลับคานาอัน

13 อับรามกับเมียและโลทจึงเอาทรัพย์สมบัติทั้งหมดเดินทางจากอียิปต์ต่อไปยังเนเกบ ขณะนี้อับรามร่ำรวยมาก มีฝูงสัตว์ เครื่องเงินและทองมากมาย

อับรามเดินทางจากเนเกบกลับไปเบธเอล เมื่อเขามาถึงบริเวณที่อยู่ระหว่างเมืองเบธเอลและเมืองอัย ตรงบริเวณที่เขาเคยตั้งเต็นท์ตอนที่ผ่านมาครั้งก่อน เป็นสถานที่ที่เขาสร้างแท่นบูชาไว้ อับรามได้นมัสการพระยาห์เวห์ที่นั่น

อับรามและโลทแยกทางกัน

โลทซึ่งเดินทางมากับอับราม ก็มีฝูงแพะแกะ ฝูงวัว และเต็นท์อีกมากมาย พื้นที่ที่เคยอาศัยอยู่จึงไม่เพียงพอที่จะให้พวกเขาอยู่ด้วยกันอีกต่อไป เพราะทรัพย์สมบัติและสิ่งของของพวกเขามีจำนวนมากมายมหาศาลจนไม่สามารถอยู่รวมกันได้ คนเลี้ยงแกะของอับรามทะเลาะกับคนเลี้ยงแกะของโลทหลายครั้ง (ในเวลานั้นชาวคานาอันและชาวเปริสซีได้อาศัยอยู่ในบริเวณนั้นด้วย)

อับรามจึงพูดกับโลทว่า “พวกเราไม่ควรมาทะเลาะกันเอง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องระหว่างลุงกับหลาน หรือเรื่องระหว่างคนเลี้ยงแกะของเรา เพราะเราเป็นญาติกัน แผ่นดินทั้งหมดนี้คอยอยู่ต่อหน้าหลาน พวกเราควรแยกทางกัน ถ้าหลานไปทางซ้าย ลุงก็จะไปทางขวา ถ้าหลานไปทางขวา ลุงก็จะไปทางซ้าย”

10 โลทมองไปรอบๆ เห็นที่ลุ่มในหุบเขาจอร์แดนตลอดระยะทางจนถึงเมืองโศอาร์ แผ่นดินแห่งนี้มีน้ำท่าอุดมสมบูรณ์ (ตอนนั้นพระยาห์เวห์ยังไม่ได้ทำลายเมืองโสโดมและโกโมราห์) แผ่นดินแห่งนี้เหมือนกับสวนของพระยาห์เวห์ เหมือนกับดินแดนในประเทศอียิปต์ 11 โลทเลือกที่ลุ่มในหุบเขาจอร์แดน เขาจึงเดินทางไปทางตะวันออก ทั้งสองคนจึงแยกทางกัน 12 อับรามอาศัยอยู่ในดินแดนของคานาอัน โลทอาศัยอยู่ท่ามกลางเมืองต่างๆในหุบเขา โลทได้ย้ายเต็นท์ของเขาไปใกล้กับเมืองโสโดม 13 ชาวเมืองโสโดมเป็นคนชั่วและทำบาปต่อพระยาห์เวห์อย่างมาก

14 หลังจากที่โลทแยกไปแล้ว พระยาห์เวห์พูดกับอับรามว่า “ให้มองไปรอบๆจากจุดที่เจ้าอยู่ มองไปทางเหนือ ทางใต้ ทางตะวันออกและทางตะวันตก 15 เพราะเราจะมอบทุกที่ที่เจ้าเห็นให้เจ้าและลูกหลานของเจ้าตลอดไป 16 เราจะให้ลูกหลานของเจ้ามีจำนวนมากมายเหมือนฝุ่นบนโลก ถ้าหากมีใครสามารถนับฝุ่นบนโลกได้ ก็จะสามารถนับจำนวนลูกหลานของเจ้าได้ 17 ไปเถิด เดินทางไปให้ทั่วดินแดนนี้ เพราะเราจะให้มันกับเจ้า”

18 อับรามจึงย้ายเต็นท์ของเขาไปตั้งหลักแหล่งในที่ใหม่ บริเวณสวนต้นก่อของมัมเรในตำบลเฮโบรน และเขาสร้างแท่นบูชาแท่นหนึ่งที่นั่นให้กับพระยาห์เวห์

โลทถูกจับตัวไป

14 ในเวลานั้นกษัตริย์อัมราเฟลแห่งเมืองชินาร์ กษัตริย์อารีโอคแห่งเมืองเอลลาสาร์ กษัตริย์เคโดร์ลาโอเมอร์แห่งเมืองเอลาม และกษัตริย์ทิดาลแห่งเมืองโกยิม พวกกษัตริย์ทั้งหมดนี้กำลังทำสงครามอยู่กับกษัตริย์เบราแห่งเมืองโสโดม กษัตริย์บิรชาแห่งเมืองโกโมราห์ กษัตริย์ชินาบแห่งเมืองอัดมาห์ กษัตริย์เชเมเบอร์แห่งเมืองเศโบยิม และกษัตริย์ของเมืองเบลา (เบลา มีอีกชื่อหนึ่งว่าโศอาร์)

พวกกษัตริย์ฝ่ายหลังร่วมกันยกทัพไปที่หุบเขาสิดดิม (ปัจจุบันคือทะเลเกลือ) กษัตริย์พวกนี้เคยรับใช้กษัตริย์เคโดร์ลาโอเมอร์อยู่ถึงสิบสองปี แต่ในปีที่สิบสาม พวกเขาก่อการกบฏขึ้น ในปีที่สิบสี่ กษัตริย์เคโดร์ลาโอเมอร์และกษัตริย์ที่ยังจงรักภักดีกับเขา ได้บุกมา และรบชนะชาวเมืองพวกนี้คือ ชาวเรฟาอิมที่เมืองอัชทาโรทคารนาอิม ชาวศูซิมที่เมืองฮาม และชาวเอมิมที่เมืองชาเวห์-คีริยาธาอิม พวกเขายังรบชนะชาวโฮรีที่อาศัยอยู่ในเนินเขารอบๆเสอีร์ไปจนถึงเอลปาราน[bl] ที่อยู่ติดกับทะเลทราย แล้วพวกกษัตริย์เคโดร์ลาโอเมอร์ก็หันทัพกลับไปตีเมืองเอนมิสปัท (ซึ่งก็คือเมืองเคเดช) พวกเขาได้รบชนะไปทั่วทั้งเขตแดนของชาวอามาเลคและชาวอาโมไรต์ที่อาศัยอยู่ในฮาซาโซนทามาร์

ฝ่ายกษัตริย์เมืองโสโดม โกโมราห์ อัดมาห์ เศโบยิมและเบลา (หรือโศอาร์) ได้ออกมาจัดทัพเพื่อเตรียมสู้รบกับพวกกษัตริย์อีกฝ่ายหนึ่งในหุบเขาสิดดิม คือกษัตริย์เคโดร์ลาโอเมอร์แห่งเอลาม กษัตริย์ทิดาลแห่งโกยิม กษัตริย์อัมราเฟลแห่งชินาร์ และกษัตริย์อารีโอคแห่งเมืองเอลลาสาร์ กษัตริย์สี่องค์ต่อสู้กับกษัตริย์ห้าองค์

10 ขณะนั้นหุบเขาสิดดิมเต็มไปด้วยหลุมน้ำมันดิน[bm] เมื่อกองทัพของกษัตริย์โสโดมและโกโมราห์วิ่งหนี บางคนก็ตกลงไปในหลุมเหล่านั้น และส่วนที่เหลือก็วิ่งไปหลบที่ภูเขา

11 กษัตริย์เคโดร์ลาโอเมอร์กับพวกของเขาก็ได้ยึดเอาทรัพย์สมบัติต่างๆของโสโดมและโกโมราห์ รวมทั้งอาหารทั้งหมด แล้วก็จากไป 12 พวกเขายังได้จับตัวโลท (หลานชายของอับราม) และยึดทรัพย์สมบัติของเขาไปด้วย เพราะโลทอาศัยอยู่ในเมืองโสโดม แล้วพวกเขาก็จากไป 13 คนรับใช้คนหนึ่งของโลทที่หนีรอดมาได้ ได้มาบอกกับอับรามชาวฮีบรู ขณะนั้น อับรามอาศัยอยู่ใกล้ๆกับสวนต้นก่อของมัมเร ซึ่งเป็นของชาวอาโมไรต์ ที่เป็นพี่น้องของเอชโคล์และอาเนอร์ พวกเขาทั้งหมดเป็นเพื่อนกับอับราม และเคยตกลงกันแล้วที่จะช่วยเหลือซึ่งกันและกัน

อับรามช่วยโลท

14 เมื่ออับรามได้ยินว่าหลานชายถูกจับตัวไป เขาจึงรวบรวมคนของเขาที่ได้รับการฝึกฝนการรบมาและเป็นทาสที่เกิดอยู่ในครอบครัวของเขา จำนวนสามร้อยสิบแปดคน แล้วเขาก็ไล่ตามศัตรูไปจนถึงเมืองดาน 15 ในคืนนั้นอับรามและพวกทาสของเขาได้แยกกันเข้าโจมตีศัตรู พวกเขารบชนะพวกนั้น และไล่ตามไปจนถึงเมืองโฮบาห์ ซึ่งอยู่ทางเหนือของเมืองดามัสกัส 16 อับรามยึดทรัพย์สมบัติคืนมาทั้งหมด และนำตัวโลทและทรัพย์สมบัติของโลทคืนมา รวมทั้งพวกผู้หญิงและคนอื่นๆที่ถูกกวาดต้อนไปคืนมาด้วย

17 หลังจากอับรามกับฝ่ายของเขากลับจากการสู้รบชนะกษัตริย์เคโดร์ลาโอเมอร์ กษัตริย์โสโดมได้ออกมาพบอับรามตรงที่ราบหุบเขาชาเวห์ (คือที่ราบหุบเขาแห่งกษัตริย์)

เมลคีเซเดค

18 เมลคีเซเดคผู้เป็นกษัตริย์เมืองซาเล็มและเป็นนักบวชของพระเจ้าผู้สูงสุด ได้มาพบอับรามและนำขนมปังกับเหล้าองุ่นมาด้วย 19 เมลคีเซเดคได้อวยพรอับรามว่า

“ขออับรามได้รับพระพรจากพระเจ้าผู้สูงสุด
    ผู้สร้างท้องฟ้าและแผ่นดิน
20 และขอพระเจ้าผู้สูงสุดได้รับคำสรรเสริญ
    พระองค์ได้มอบศัตรูให้อยู่ในกำมือของท่าน”

อับรามได้ให้เมลคีเซเดค หนึ่งในสิบของทุกอย่างที่ยึดมาได้ 21 แล้วกษัตริย์โสโดมพูดกับอับรามว่า “ช่วยคืนคนของเราที่ถูกจับไปให้กับเราด้วย ส่วนทรัพย์สมบัตินั้นท่านเก็บเอาไว้เองเถิด”

22 อับรามจึงบอกกษัตริย์โสโดมว่า “เราได้ยกมือขึ้นสาบานกับพระยาห์เวห์ พระเจ้าผู้สูงสุด ผู้สร้างท้องฟ้าและแผ่นดินว่า 23 เราจะไม่เอาอะไรที่เป็นของท่านเลย แม้แต่ด้ายหรือเชือกผูกรองเท้าสักเส้น เพื่อท่านจะไม่สามารถอ้างได้ว่า ‘เรานี่แหละ ที่ทำให้อับรามร่ำรวย’ 24 เราจะไม่เอาอะไรเลย นอกจากอาหารที่คนของเราได้กินไปแล้วเท่านั้น และส่วนแบ่งสำหรับ อาเนอร์ เอชโคล์ และมัมเร ที่ได้ช่วยเราออกรบ ให้พวกเขารับส่วนแบ่งของพวกเขาไปเถิด”

พระเจ้าให้คำสัญญากับอับราม

15 หลังจากเหตุการณ์นั้น พระยาห์เวห์พูดกับอับรามในนิมิตว่า “อับราม ไม่ต้องกลัว เราเป็นโล่กำบังเจ้า เจ้าจะได้รับรางวัลที่ยิ่งใหญ่มาก”

แต่อับรามพูดว่า “ข้าแต่พระยาห์เวห์องค์เจ้าชีวิต พระองค์จะให้อะไรกับข้าพเจ้าหรือ เพราะข้าพเจ้ายังไม่มีลูก[bn] เลย และผู้รับมรดกของข้าพเจ้าคือเอลีเยเซอร์ชาวเมืองดามัสกัสทาสของข้าพเจ้า[bo] อับรามพูดว่า “ดูเถอะ พระองค์ไม่ได้ให้ลูกชายกับข้าพเจ้า ทาสชายที่เกิดในบ้านข้าพเจ้าก็จะเป็นคนรับมรดกจากข้าพเจ้า”

พระยาห์เวห์จึงพูดกับอับรามว่า “คนๆนี้จะไม่ใช่ผู้รับมรดกของเจ้าหรอก แต่ลูกชายของเจ้าเองจะเป็นผู้รับมรดกของเจ้า”

แล้วพระองค์ก็พาอับรามออกไปด้านนอก และพูดว่า “มองดูท้องฟ้าสิ และลองนับดวงดาวดูสิว่าเจ้าสามารถนับพวกมันได้หรือเปล่า” แล้วพระองค์ก็พูดกับเขาว่า “ลูกหลานของเจ้าจะมีจำนวนมากมายอย่างนั้น”

แล้วอับรามก็ไว้วางใจในพระยาห์เวห์ และเพราะความไว้วางใจของอับรามนั่นเอง พระองค์ถึงได้ยอมรับเขา[bp]

พระองค์จึงบอกอับรามว่า “เราคือยาห์เวห์ ผู้ที่นำเจ้าออกจากเมืองเออร์[bq] ของชาวเคลเดีย เพื่อมอบดินแดนนี้ให้กับเจ้าเป็นเจ้าของ”

อับรามก็พูดว่า “ข้าแต่พระยาห์เวห์ องค์เจ้าชีวิต ข้าพเจ้าจะรู้ได้อย่างไรว่าข้าพเจ้าจะได้เป็นเจ้าของมัน”

พระองค์ก็บอกกับเขาว่า “ให้เอาลูกวัวตัวเมียอายุสามปีมาตัวหนึ่ง แพะตัวเมียอายุสามปีตัวหนึ่ง แกะตัวผู้อายุสามปีอีกตัวหนึ่ง นกเขาและนกพิราบอย่างละตัวมาให้กับเรา”

10 อับรามก็ได้เอาสัตว์ทั้งหมดนี้มา และผ่ากลางลำตัวออกเป็นสองซีก แล้ววางไว้ข้างละซีกตรงกัน แต่เขาไม่ได้ผ่าพวกนก 11 ต่อมามีนกตัวใหญ่หลายตัวบินลงมาจะกินซากสัตว์พวกนั้น อับรามจึงไล่ฝูงนกพวกนั้นไป

12 ขณะนั้นตะวันเริ่มตกดิน อับรามหลับสนิท ความมืดอันน่ากลัวก็แผ่ปกคลุมบนตัวเขา 13 พระยาห์เวห์พูดกับอับรามว่า “เจ้าต้องรู้ว่าลูกหลานของเจ้าจะเป็นคนแปลกหน้าในประเทศที่ไม่ใช่ของพวกเขา และจะเป็นทาสของคนพวกนั้น และคนพวกนั้นก็จะกดขี่ข่มเหงพวกเขาเป็นเวลาสี่ร้อยปี 14 แต่เราจะตัดสินลงโทษชนชาตินั้น ที่พวกลูกหลานของเจ้าไปรับใช้ แล้วหลังจากนั้น พวกลูกหลานของเจ้าก็จะออกมาพร้อมกับทรัพย์สมบัติมากมาย

15 แต่เจ้าจะมีชีวิตอยู่อย่างยืนยาวและตายอย่างสงบสุขและถูกฝังไว้ 16 หลังผ่านพ้นไปสี่ชั่วอายุคน ลูกหลานของเจ้าก็จะกลับมาที่ดินแดนแห่งนี้ เพราะก่อนหน้านั้นความบาปของชาวอาโมไรต์ยังไม่ครบถ้วน”

17 เมื่อตะวันตกดิน มันมืดมาก แล้วมีหม้อที่มีควันไฟและคบเพลิงที่มีเปลวไฟลุกอยู่พุ่งผ่านกลางสองซีกของซากสัตว์พวกนั้น[br]

18 ในวันนั้นพระยาห์เวห์ได้ทำสัญญากับอับราม พระองค์พูดว่า “เราได้มอบแผ่นดินนี้ให้กับลูกหลานเจ้า จากแม่น้ำอียิปต์[bs] ไปจนถึงแม่น้ำยูเฟรติสอันยิ่งใหญ่ 19 รวมทั้งแผ่นดินของชาวเคไนต์ ชาวเคนัส ชาวขัดโมไนต์ 20 ชาวฮิตไทต์ ชาวเปริสซี ชาวเรฟาอิม 21 ชาวอาโมไรต์ ชาวคานาอัน ชาวเกอร์กาชีและชาวเยบุส”

นางฮาการ์ ทาสหญิง

16 ถึงเดี๋ยวนี้ซารายเมียของอับรามก็ยังไม่มีลูกให้กับอับรามเลย แต่นางมีทาสหญิงชาวอียิปต์คนหนึ่งชื่อฮาการ์ ซารายจึงพูดกับอับรามว่า “ดูสิ พระยาห์เวห์ไม่ยินยอมให้น้องมีลูก ไปร่วมหลับนอนกับทาสหญิงของน้องเถิด บางทีนางอาจมีลูกชายให้กับน้องก็ได้” อับรามก็ทำตามที่นางซารายแนะนำ

หลังจากที่อับรามอยู่ที่แผ่นดินคานาอันสิบปี ซารายเมียของอับราม ได้ยกทาสหญิงของนาง ที่ชื่อฮาการ์ให้เป็นเมียของอับราม อับรามก็เข้าไปร่วมหลับนอนกับฮาการ์ และนางก็ตั้งท้อง เมื่อนางตั้งท้อง นางก็เริ่มลืมตัวแล้วดูถูกซารายผู้เป็นนายหญิงของนาง ซารายจึงบอกกับอับรามว่า “พี่ต้องรับผิดชอบต่อสิ่งที่เกิดขึ้น น้องได้ยกหญิงรับใช้ของน้องให้อยู่ในอ้อมอกพี่ พอนางเห็นว่านางตั้งท้อง น้องก็ไม่อยู่ในสายตานางอีกต่อไป ขอให้พระยาห์เวห์ตัดสินว่าระหว่างน้องกับพี่ใครถูกกันแน่”

แต่อับรามพูดกับซารายว่า “ทาสของน้องก็อยู่ในกำมือของน้องอยู่แล้ว น้องจะทำอะไรกับนางก็ได้ตามที่น้องพอใจ” ซารายจึงดุด่าฮาการ์ จนนางหนีไป

อิชมาเอล ลูกชายนางฮาการ์

ทูตสวรรค์ของพระยาห์เวห์พบนางฮาการ์ อยู่ข้างแอ่งน้ำพุแห่งหนึ่งในที่เปล่าเปลี่ยวแห้งแล้ง แอ่งน้ำนั้นอยู่ติดถนนที่มุ่งไปสู่เมืองชูร์ ทูตสวรรค์พูดว่า “ฮาการ์ทาสของซาราย เจ้ามาจากไหนและกำลังจะไปไหน”

นางจึงตอบว่า “ข้าพเจ้าหนีซารายนายหญิงของข้าพเจ้ามา”

แล้วทูตสวรรค์ของพระยาห์เวห์ก็พูดกับนางว่า “กลับไปหานายหญิงของเจ้าและให้ยอมอยู่ใต้อำนาจของนาง” 10 และทูตสวรรค์องค์นั้นพูดว่า “เราจะทำให้ลูกหลานของเจ้าทวีเป็นจำนวนมากมายมหาศาลจนนับไม่ถ้วน”

11 ทูตสวรรค์ของพระยาห์เวห์บอกกับนางว่า

“ดูสิ ตอนนี้เจ้ากำลังตั้งท้อง
    เจ้าจะคลอดลูกชาย
และเจ้าจะเรียกเขาว่าอิชมาเอล[bt]
    เพราะพระยาห์เวห์ได้ยินถึงความทุกข์ของเจ้า
12 ลูกชายคนนี้จะเหมือนลาป่า
    มือของเขาจะต่อต้านทุกคน
    มือของทุกๆคนก็จะต่อต้านเขา
เขาจะอาศัยอยู่ใกล้ๆกับพี่น้องของเขา[bu]

13 ฮาการ์เรียกชื่อพระยาห์เวห์ที่พูดกับนางว่า “พระองค์คือพระเจ้าผู้มองเห็นฉัน[bv]” ที่นางเรียกอย่างนั้น ก็เพราะนางคิดว่า “ที่นี่ฉันได้เห็นพระองค์ที่มองเห็นฉันจริงๆหรือ[bw] 14 บ่อน้ำพุจึงได้ชื่อว่า เบเออลาไฮรอย[bx] บ่อนี้ยังคงอยู่ระหว่างเมืองเคเดชและเมืองเบเรด

15 นางฮาการ์ได้คลอดลูกชายให้กับอับราม แล้วอับรามก็ตั้งชื่อลูกของเขาว่าอิชมาเอล 16 ตอนที่ฮาการ์คลอดอิชมาเอลนี้ อับรามมีอายุแปดสิบหกปี

Thai New Testament: Easy-to-Read Version (ERV-TH)

พระคริสตธรรมคัมภีร์: ฉบับอ่านเข้าใจง่าย ภาคคำสัญญาใหม่ © 2015 Bible League International