Print Page Options
Previous Prev Day Next DayNext

Bible in 90 Days

An intensive Bible reading plan that walks through the entire Bible in 90 days.
Duration: 88 days
New Thai Version (NTV-BIBLE)
Version
ปฐมกาล 17:1-28:19

พันธสัญญาแห่งการเข้าสุหนัต

17 เมื่ออับรามมีอายุ 99 ปี พระผู้เป็นเจ้าได้ปรากฏแก่ท่าน และกล่าวว่า “เราเป็นพระเจ้าผู้กอปรด้วยมหิทธานุภาพ จงดำเนินชีวิตตามวิถีทางของเรา และอย่าให้ใครตำหนิติเตียนได้ แล้วเราจะทำพันธสัญญาระหว่างเรากับเจ้า และจะทวีจำนวนผู้สืบเชื้อสายของเจ้าให้มาก” อับรามจึงทิ้งตัวลงราบกับพื้น และพระเจ้ากล่าวว่า “ดูเถิด พันธสัญญาของเราอยู่กับเจ้า และเจ้าจะเป็นบิดาของประชาชาติมากหลาย ชื่อของเจ้าจะไม่ใช่อับราม[a]อีกต่อไป แต่จะเป็นอับราฮัม[b] เพราะเราได้ทำให้เจ้าเป็นบิดาของประชาชาติมากหลาย เราจะทำให้เจ้าเกิดลูกเต็มบ้านหลานเต็มเมือง และเราจะทำให้เชื้อสายของเจ้าเป็นบรรดาประชาชาติ และผู้สืบเชื้อสายของเจ้าบางคนจะเป็นกษัตริย์ เราจะทำพันธสัญญาระหว่างเรากับเจ้า และบรรดาผู้สืบเชื้อสายของเจ้าที่มาภายหลังเจ้า ตราบจนถึงทุกชาติพันธุ์ของพวกเขา ให้เป็นพันธสัญญาอันเป็นนิรันดร์ เราจะเป็นพระเจ้าของเจ้าและของบรรดาผู้สืบเชื้อสายของเจ้าที่มาภายหลังเจ้า เราจะยกดินแดนที่เจ้ากำลังอพยพไปอยู่ รวมทั้งดินแดนทั้งหมดของคานาอันให้แก่เจ้า และแก่บรรดาผู้สืบเชื้อสายของเจ้าที่มาภายหลังเจ้า เพื่อเป็นที่ครอบครองไปตลอดกาล และเราจะเป็นพระเจ้าของเขาทั้งหลาย”

และพระเจ้ากล่าวกับอับราฮัมต่อไปอีกว่า “ส่วนเจ้าก็จะรักษาพันธสัญญาของเราไว้ ทั้งตัวเจ้าและบรรดาผู้สืบเชื้อสายของเจ้าที่ติดตามมาในภายหลัง ตลอดไปจนถึงทุกชาติพันธุ์ของเจ้า 10 พันธสัญญาของเราที่เจ้าจะต้องรักษาไว้ ระหว่างเรากับเจ้า และบรรดาผู้สืบเชื้อสายของเจ้าที่ติดตามมาในภายหลัง คือชายทุกคนในพวกเจ้าจะต้องเข้าสุหนัต 11 เจ้าเองก็จะต้องเข้าสุหนัตตัดผิวหนังที่ปลายองคชาต และนั่นแหละคือสัญลักษณ์ของพันธสัญญาระหว่างเรากับเจ้า 12 เด็กผู้ชายในหมู่พวกเจ้าที่อายุครบ 8 วันจะต้องเข้าสุหนัต ผู้ชายทุกคนในทุกชาติพันธุ์ของเจ้า ไม่ว่าจะเกิดในบ้านของเจ้าหรือเป็นชนต่างชาติที่เจ้าซื้อด้วยเงิน ซึ่งไม่ใช่เชื้อสายของเจ้า 13 ทั้งคนที่เกิดในบ้านและคนที่ซื้อมาด้วยเงินของเจ้า จะต้องเข้าสุหนัตเช่นนี้ทุกคน พันธสัญญาของเรากับเจ้าจะปรากฏที่ผิวหนังของเจ้า เป็นพันธสัญญาอันเป็นนิรันดร์ 14 ชายใดที่ไม่ได้เข้าสุหนัตตัดผิวหนังที่ปลายองคชาต เขาจะต้องถูกตัดขาดจากชนชาติของเขา เพราะไม่ได้รักษาพันธสัญญาของเรา”

15 และพระเจ้ากล่าวกับอับราฮัมว่า “ส่วนซารายภรรยาของเจ้านั้น เจ้าจะไม่เรียกชื่อนางว่า ซาราย แต่ชื่อของนางจะเป็นซาราห์[c] 16 เราจะให้พรแก่นาง และยิ่งไปกว่านั้น เราจะให้บุตรชายคนหนึ่งแก่เจ้าโดยให้เกิดแก่นางซาราห์ เราจะให้พรแก่นาง และนางจะเป็นมารดาของบรรดาประชาชาติ เหล่ากษัตริย์ของบรรดาชนชาติสืบเชื้อสายจากนาง” 17 แล้วอับราฮัมก็ทิ้งตัวลงราบกับพื้นพลางหัวเราะ และพูดกับตนเองว่า “ชายมีอายุ 100 ปีแล้วจะมีลูกได้หรือ ซาราห์มีอายุ 90 ปีจะมีลูกหรือ” 18 และอับราฮัมพูดกับพระเจ้าว่า “ขอพระองค์ได้โปรดดูแลอิชมาเอลเถิด” 19 พระเจ้ากล่าวว่า “ไม่ใช่เขา แต่ซาราห์ภรรยาของเจ้าจะมีบุตรชายคนหนึ่งกับเจ้า และเจ้าจะตั้งชื่อเขาว่า อิสอัค[d] เราจะทำพันธสัญญาของเราให้มีขึ้นระหว่างเรากับเขา เป็นพันธสัญญาอันเป็นนิรันดร์สำหรับผู้สืบเชื้อสายของเขาที่สืบต่อมา 20 ส่วนอิชมาเอล เราก็ได้ยินเจ้าแล้ว ดูเถิด เราให้พรแก่เขาแล้ว และเราจะทำให้เขาเกิดลูกเต็มบ้านหลานเต็มเมือง ทวีคนของเขาให้มากยิ่งขึ้น เขาจะได้บุตรชาย 12 คนที่อยู่ในระดับผู้ปกครองชั้นสูง และเราจะให้ประชาชาติหนึ่งที่ยิ่งใหญ่เกิดขึ้นมาจากตัวเขา 21 แต่เราจะทำพันธสัญญาของเราให้มีขึ้นระหว่างเรากับอิสอัคซึ่งเป็นบุตรที่เกิดจากซาราห์ บุตรของเจ้าจะเกิดประมาณหนึ่งปีหลังจากนี้”

22 เมื่อพระเจ้ากล่าวกับท่านเสร็จแล้ว พระองค์ก็จากไป 23 ในวันเดียวกันนั้นเอง อับราฮัมก็ให้อิชมาเอลบุตรของตนและทุกคนที่ทั้งเกิดในบ้านของท่านและที่ซื้อมาด้วยเงิน รวมทั้งทุกคนในบรรดาผู้ชายที่เกิดในบ้านของอับราฮัม มาเข้าสุหนัตตัดผิวหนังที่ปลายองคชาต ตามที่พระเจ้าได้กล่าวไว้ 24 อับราฮัมมีอายุ 99 ปี เมื่อท่านเข้าสุหนัตตัดผิวหนังที่ปลายองคชาตของท่าน 25 และอิชมาเอลบุตรของท่านมีอายุได้ 13 ปีเมื่อเข้าสุหนัตตัดผิวหนังที่ปลายองคชาต 26 ในวันเดียวกันนั้นเอง อับราฮัมและอิชมาเอลบุตรของท่านเข้าสุหนัต 27 และชายทุกคนในบ้านของท่าน ทั้งพวกที่เกิดในบ้านและพวกที่เป็นชนต่างชาติที่ท่านซื้อมา ก็ได้เข้าสุหนัตด้วยกันพร้อมกับท่าน

ผู้มาเยือนทั้งสาม

18 และพระผู้เป็นเจ้าปรากฏแก่ท่านที่ข้างสวนโอ๊กของมัมเร ท่านนั่งอยู่ตรงทางเข้าของกระโจม ขณะที่แดดจัดจ้า ท่านเงยหน้าขึ้น ดูเถิด มีชาย 3 คนยืนอยู่ตรงข้ามท่าน เมื่อท่านเห็นก็รีบรุดจากทางเข้ากระโจมไปหาท่านทั้งสามและก้มตัวลงราบกับพื้น พร้อมกับพูดว่า “เจ้านายของข้าพเจ้า ถ้าข้าพเจ้าเป็นที่โปรดปรานในสายตาของท่าน โปรดอย่าผ่านผู้รับใช้ของท่านไปเลย ให้ข้าพเจ้าได้หาน้ำมาล้างเท้าท่าน และขอเชิญเข้าพักที่ใต้ต้นไม้นี้เถิด ข้าพเจ้าจะไปเอาขนมปังมาให้ท่านสักเล็กน้อย ท่านจะได้สดชื่นขึ้น เมื่อเสร็จแล้วท่านจะได้เดินทางต่อไป ในเมื่อท่านก็มายังผู้รับใช้ของท่านแล้ว” ดังนั้นท่านทั้งสามจึงพูดว่า “ทำตามที่เจ้าพูดเถิด” อับราฮัมรีบเข้าไปในกระโจมบอกกับซาราห์ว่า “เจ้ารีบเอาแป้งสาลีชั้นเยี่ยม 3 สอาห์[e] นวดแล้วทำขนมปังโดยเร็ว” แล้วอับราฮัมรีบรุดออกไปที่ฝูงโค เลือกลูกโคน้อยอายุกำลังเหมาะ ให้ผู้รับใช้ไปรีบทำเป็นอาหาร ครั้นแล้ว ท่านก็นำโยเกิร์ต นม และเนื้อลูกโคที่ปรุงเป็นอาหารแล้ว มาวางไว้เบื้องหน้าท่านทั้งสาม แล้วท่านก็ยืนอยู่ข้างๆ ที่ใต้ต้นไม้ขณะที่ท่านเหล่านั้นรับประทาน

ท่านทั้งสามกล่าวกับท่านว่า “ซาราห์ภรรยาของเจ้าอยู่ที่ไหน” อับราฮัมตอบว่า “นางอยู่ในกระโจม” 10 ท่านหนึ่งกล่าวว่า “เราจะกลับมาหาเจ้าอย่างแน่นอนประมาณหนึ่งปีหลังจากนี้ และซาราห์ภรรยาของเจ้าจะให้กำเนิดบุตรชาย”[f] นางซาราห์กำลังฟังอยู่ข้างหลังอับราฮัมที่ทางเข้ากระโจม 11 อับราฮัมและซาราห์ชราแล้ว ทั้งสองมีอายุมาก ซาราห์ก็หมดรอบเดือนแล้ว 12 นางซาราห์จึงหัวเราะค่อยๆ และคิดในใจว่า “ตัวฉันชราปานนี้แล้ว สามีของฉันก็มีอายุมาก ฉันยังจะมีลูกได้อีกหรือ” 13 พระผู้เป็นเจ้ากล่าวกับอับราฮัมว่า “ทำไมซาราห์จึงหัวเราะและพูดว่า ‘ฉันจะมีลูกจริงๆ ในยามชราหรือนี่’ 14 มีอะไรที่ยากเกินไปสำหรับพระผู้เป็นเจ้าหรือ ปีหน้าเราจะกลับมาหาเจ้าตามกำหนดเวลานี้ และซาราห์จะได้บุตรชาย” 15 แต่ซาราห์รีบปฏิเสธด้วยความกลัวและพูดว่า “ข้าพเจ้าไม่ได้หัวเราะ” แต่พระองค์กล่าวว่า “ไม่จริง เจ้าหัวเราะเมื่อสักครู่นี้”

อับราฮัมขอพระเจ้าไม่ให้ทำลายโสโดม

16 ครั้นแล้วชายทั้งสามก็ไปจากที่นั่น มุ่งหน้าไปทางเมืองโสโดม อับราฮัมก็ได้เดินไปส่ง 17 พระผู้เป็นเจ้ากล่าวว่า “เราควรจะปิดบังสิ่งที่เรากำลังจะทำไม่ให้อับราฮัมรู้หรือ 18 ด้วยว่าบรรดาผู้สืบเชื้อสายของอับราฮัมจะเป็นประชาชาติหนึ่งที่มีอำนาจและเข้มแข็งมาก และประชาชาติทั้งปวงในโลกจะได้รับพรโดยผ่านเขา[g] 19 เป็นเพราะว่าเราได้เลือกเขาไว้เพื่อเขาจะได้กำชับลูกหลานและทุกคนที่จะเกิดมาในตระกูลของเขาให้รักษาวิถีทางของพระผู้เป็นเจ้าโดยปฏิบัติตามความชอบธรรมและความยุติธรรม เพื่อพระผู้เป็นเจ้าจะได้มอบสิ่งที่พระองค์สัญญาไว้แก่อับราฮัม” 20 แล้วพระผู้เป็นเจ้ากล่าวว่า “เพราะมีเสียงร้องทุกข์ต่อต้านเมืองโสโดมและโกโมราห์ดังมาก และผู้คนทำในสิ่งเลวร้ายยิ่ง 21 เราจะลงไปดูว่า พวกเขาได้กระทำความเลวจริง ดังที่เสียงร้องทุกข์มาถึงเราหรือไม่ จะจริงเท็จอย่างไร เราก็จะรู้”

22 ฉะนั้น ชายทั้งสามท่านจึงไปจากที่นั่น เพื่อไปยังเมืองโสโดม แต่อับราฮัมยังยืนอยู่ ณ เบื้องหน้าพระผู้เป็นเจ้า 23 อับราฮัมจึงเข้าไปใกล้พลางพูดว่า “พระองค์จะทำให้คนมีความชอบธรรมถึงแก่ชีวิตไปด้วยกับคนชั่วช้าจริงๆ หรือ 24 สมมุติว่าผู้มีความชอบธรรมอยู่ในเมือง 50 คน แล้วพระองค์จะทำลายสถานที่นั้น โดยไม่ไว้ชีวิตคนมีความชอบธรรม 50 คนที่อยู่ในนั้นหรือ 25 ไม่มีวันที่พระองค์จะทำเช่นนั้น ไม่มีวันที่จะฆ่าผู้มีความชอบธรรมไปพร้อมกับคนชั่ว ไม่มีวันกระทำต่อผู้มีความชอบธรรมเหมือนกับที่กระทำต่อคนชั่ว ไม่มีวันที่พระองค์จะทำเช่นนั้น องค์ผู้พิพากษาของทุกคนในโลกจะไม่กระทำด้วยความยุติธรรมหรือ” 26 พระผู้เป็นเจ้าจึงกล่าวว่า “ถ้าเราพบผู้มีความชอบธรรม 50 คนในเมืองโสโดม เราจะไม่ทำลายเมืองนั้นทั้งหมดเพราะเห็นแก่คนเหล่านั้น”

27 อับราฮัมตอบว่า “โปรดให้อภัยข้าพเจ้าที่บังอาจพูดสิ่งต่อไปนี้กับพระผู้เป็นเจ้า ข้าพเจ้าเป็นเพียงผงธุลีและเศษเถ้า 28 แต่สมมุติว่าใน 50 คนของผู้มีความชอบธรรมขาดไป 5 คน แล้วพระองค์จะทำลายทั้งเมืองเพราะขาดไป 5 คนหรือ” พระองค์ตอบว่า “เราจะไม่ทำลายเมืองนั้นถ้าเราพบ 45 คนที่นั่น” 29 ท่านจึงพูดกับพระองค์ต่อไปอีกว่า “แล้วสมมุติว่าพบเพียง 40 คนที่นั่น” พระองค์ตอบว่า “เพราะเห็นแก่ 40 คน เราจะไม่ทำ” 30 แล้วท่านก็พูดว่า “โอ ขอพระผู้เป็นเจ้าอย่าโกรธเลย ข้าพเจ้าต้องขอถามต่ออีกว่า สมมุติว่าพบ 30 คนที่นั่น” พระองค์ตอบว่า “เราจะไม่ทำลายเมืองนั้น ถ้าเราพบ 30 คนที่นั่น” 31 ท่านพูดว่า “โปรดให้อภัยที่ข้าพเจ้าบังอาจกล้าพูดกับพระผู้เป็นเจ้าต่ออีกว่า ถ้าสมมุติว่าพบ 20 คนที่นั่น” พระองค์ตอบว่า “เพราะเห็นแก่ 20 คน เราจะไม่ทำลายเมืองนั้น” 32 แล้วท่านพูดว่า “โอ ขอพระผู้เป็นเจ้าอย่าโกรธเลย และข้าพเจ้าจะพูดอีกครั้งเดียวว่า สมมุติว่าพบ 10 คนที่นั่น” พระองค์ตอบว่า “เพราะเห็นแก่ 10 คน เราจะไม่ทำลายเมืองนั้น” 33 ครั้นพระผู้เป็นเจ้ากล่าวกับอับราฮัมเสร็จแล้ว พระองค์ก็ไปยังจุดหมายของพระองค์ ในขณะอับราฮัมก็กลับไปยังที่ของท่าน

เมืองโสโดมและเมืองโกโมราห์ถูกทำลาย

19 ทูตสวรรค์ 2 องค์นั้นมายังโสโดมในเวลาเย็น โลทกำลังนั่งอยู่ที่ประตูเมืองโสโดม เมื่อโลทเห็นท่านทั้งสอง เขาก็ลุกขึ้นไปหา และก้มตัวลงราบกับพื้น หน้าซบดิน และพูดว่า “เจ้านายของข้าพเจ้า ได้โปรดมายังบ้านของผู้รับใช้ท่านเถิด มาค้างคืนและล้างเท้าของท่าน แล้วท่านจะได้ลุกขึ้นแต่เช้าตรู่ไปตามทางของท่าน” ทั้งสองกล่าวว่า “ไม่หรอก เราจะค้างคืนที่ลานเมือง” แต่เขาก็ยังคงคะยั้นคะยอท่านทั้งสองมิได้หยุด จนท่านต้องยอมไปบ้านของโลท โลททำอาหารเลี้ยงอย่างใหญ่โต และทำขนมปังไร้เชื้อ ท่านทั้งสองก็รับประทาน

แต่ก่อนจะเอนกายลง พวกผู้ชายของเมืองโสโดมทั้งคนหนุ่มและคนชราคือ ผู้ชายทั้งเมืองพากันมาล้อมบ้านของโลท พวกเขาร้องเรียกโลทว่า “ผู้ชายที่มาหาเจ้าคืนนี้อยู่ไหน พาพวกเขาออกมาหาเรา เราจะได้หลับนอนกับเขา” โลทจึงออกไปพูดกับพวกเขาข้างนอกพลางปิดประตู เขาพูดว่า “เราขอร้องพวกท่าน พี่น้องทั้งหลาย อย่าทำตัวโฉดชั่วเช่นนี้ ดูเถิด เรามีลูกสาว 2 คนซึ่งไม่เคยสมสู่กับชายใด เราจะพามาให้ท่าน จงทำสิ่งที่ใจท่านชอบ ขอแต่เพียงอย่าทำอะไรกับชายเหล่านี้เลย เพราะเขาอยู่ใต้การดูแลของเรา” แต่พวกเขากลับพูดว่า “หลีกไป เจ้าคนนี้เป็นคนต่างด้าว แล้วยังทำตัวเป็นผู้พิพากษา พวกเราจะทำกับเจ้าเสียยิ่งกว่าจะทำกับคนทั้งสองนั้นอีก” แล้วพวกเขาก็ผลักโลทโดยแรง พลางถลันเข้าใกล้ประตู หวังจะพังประตูเข้าไป 10 แต่ชายทั้งสองเอื้อมมือออกไปดึงโลทกลับเข้าไปในบ้าน และปิดประตู 11 ครั้นแล้วท่านทั้งสองทำให้พวกที่อยู่นอกประตูบ้าน คนหนุ่มและคนชรา ตามัวมองไม่เห็น จนต้องพากันคลำหาประตู

12 แล้วชายทั้งสองพูดกับโลทว่า “เจ้ามีใครอยู่ที่นี่อีกไหม ลูกเขย ลูกชาย ลูกสาว หรือคนอื่นๆ ที่เจ้ามีในเมืองนี้ จงพาพวกเขาออกไปจากที่นี่ 13 เรากำลังจะทำลายเมืองนี้ เพราะเสียงร้องทุกข์ต่อต้านผู้คนของเมืองนี้ดังสนั่นขึ้นไปถึงพระผู้เป็นเจ้า และพระองค์ได้ส่งเรามาทำลายมันเสีย” 14 ดังนั้นโลทจึงออกไปพูดกับบรรดาว่าที่บุตรเขยซึ่งหมายจะแต่งงานกับบุตรหญิงของตนว่า “เร็วๆ ออกไปจากเมืองนี้เสีย เพราะพระผู้เป็นเจ้ากำลังจะทำลายเมืองนี้แล้ว” แต่พวกเขากลับคิดว่าโลทพูดล้อเล่น

15 ครั้นฟ้าสาง ทูตสวรรค์ทั้งสองเร่งโลทว่า “ลุกขึ้น พาภรรยากับลูกสาวอีก 2 คนที่อยู่ที่นี่ออกไป มิฉะนั้นเจ้าจะตายไปด้วยกับคนทั้งเมืองที่ถูกลงโทษ” 16 ขณะที่โลทลังเลใจอยู่ ชายทั้งสองจึงคว้ามือเขาและภรรยากับบุตรหญิง 2 คนออกมา เพราะพระผู้เป็นเจ้ามีเมตตาต่อเขา ท่านทั้งสองได้พาเขาออกไปให้พ้นจากเมือง 17 ทันทีที่พวกเขาพ้นจากเขตเมืองไปแล้ว ท่านกล่าวว่า “หนีเอาชีวิตรอดเถิด อย่าหันกลับไปดูหรือหยุดอยู่ที่ใดในที่ราบ จงหนีไปทางเนินเขา มิฉะนั้นเจ้าจะต้องตาย” 18 โลทพูดกับท่านทั้งสองว่า “โอ อย่าเลย นายท่าน 19 ดูเถิด ผู้รับใช้ของท่านเป็นที่โปรดปรานในสายตาของท่าน ทั้งท่านยังได้แสดงให้ข้าพเจ้าเห็นถึงความกรุณาโดยช่วยชีวิตข้าพเจ้าไว้ แต่ข้าพเจ้าหนีไปทางเนินเขาไม่ได้ เพราะเกรงว่าความวิบัติจะมาถึงตัวข้าพเจ้า แล้วข้าพเจ้าก็จะตาย 20 ดูเถิด เมืองข้างหน้านี้ก็ใกล้พอที่จะหนีไปถึงได้ ถึงเมืองจะเล็ก ก็ขอให้ข้าพเจ้าหนีไปที่นั่นเถิด ขนาดเล็กมากมิใช่หรือ ชีวิตข้าพเจ้าจะได้ปลอดภัย” 21 ท่านกล่าวกับโลทว่า “เอาเถิด เราให้เจ้าทำตามนั้น แล้วเราจะไม่ทำลายเมืองที่เจ้าพูดถึง 22 จงรีบเร่งหนีไปที่นั่น เพราะเรายังทำอะไรไม่ได้จนกว่าเจ้าจะถึงที่นั่น” ฉะนั้นชื่อของเมืองนั้นคือ โศอาร์[h]

23 ขณะที่โลทมาถึงโศอาร์ดวงตะวันก็ขึ้นแล้ว 24 แล้วพระผู้เป็นเจ้าก็บันดาลให้กำมะถันและไฟตกจากฟ้าสวรรค์ ลงมาที่เมืองโสโดมและเมืองโกโมราห์ 25 พระองค์ได้เผาผลาญเมืองทั้งสอง ทั้งในบริเวณที่ราบ และผู้อาศัยทุกคนที่อยู่ในเมืองรวมถึงพืชผลทุกชนิดด้วย 26 แต่ภรรยาของโลทที่กำลังตามมา ได้หันหลังกลับไปมอง นางจึงกลายเป็นเสาเกลือไป

27 เวลาเช้าตรู่อับราฮัมก็ไปยังที่ที่ท่านยืนอยู่ ณ เบื้องหน้าพระผู้เป็นเจ้าเมื่อคราวก่อน 28 ท่านมองลงมาทางเมืองโสโดม โกโมราห์ และทางดินแดนทั่วที่ราบ ท่านก็เห็นควันลอยขึ้นจากดินแดนนั้นราวกับกลุ่มควันที่พลุ่งจากเตาเผา

29 เหตุการณ์ดังกล่าวได้เกิดขึ้น เมื่อพระเจ้าทำลายเมืองเหล่านั้นในบริเวณที่ราบ พระเจ้าระลึกถึงอับราฮัม จึงได้พาโลทออกไปจากดินแดนที่ถูกเผาซึ่งเป็นเมืองที่โลทเคยอาศัยอยู่

โลทกับบุตรหญิงทั้งสอง

30 มาบัดนี้โลทก็ออกจากเมืองโศอาร์ ขึ้นไปอาศัยอยู่ในแถบเนินเขากับบุตรหญิง 2 คน เพราะไม่กล้าอยู่ที่โศอาร์ จึงได้อาศัยอยู่ในถ้ำรวมกับบุตรหญิงทั้งสอง 31 ลูกคนหัวปีพูดกับคนน้องว่า “พ่อของเราแก่แล้ว และไม่มีชายสักคนในโลกที่จะมาแต่งงานอยู่เคียงคู่กับเราเหมือนกับคนอื่นๆ ในโลกเขาทำกัน 32 มาเถิดนะ มาทำให้พ่อเราเมาเหล้าองุ่น แล้วเราจะอยู่ร่วมกับท่าน เราจะได้สงวนเชื้อสายโดยผ่านทางพ่อของเราไว้” 33 ดังนั้นนางทั้งสองจึงให้พ่อของตนดื่มเหล้าองุ่นในคืนนั้น คนหัวปีเข้าไปนอนกับพ่อของนาง เขาเองไม่รู้ว่าเมื่อไหร่นางนอนลงหรือลุกขึ้น

34 วันรุ่งขึ้น คนหัวปีพูดกับคนน้องว่า “ดูสิ เมื่อคืนวานฉันนอนกับพ่อของฉัน เรามาให้ท่านดื่มเหล้าองุ่นคืนนี้ด้วย แล้วเธอเข้าไปนอนกับท่าน เราจะได้สงวนเชื้อสายโดยผ่านทางพ่อของเราไว้” 35 ดังนั้นนางทั้งสองจึงให้บิดาของเขาดื่มเหล้าองุ่นในคืนนั้นด้วย และคนน้องลุกขึ้นไปนอนกับเขา และเขาเองไม่รู้ว่าเมื่อไหร่นางนอนลงหรือลุกขึ้น 36 ฉะนั้นบุตรหญิงทั้งสองของโลทตั้งครรภ์กับบิดาของตน 37 คนหัวปีได้บุตรชาย และตั้งชื่อเขาว่า โมอับ[i] เขาเป็นบิดาต้นตระกูลของชาวโมอับมาจนถึงทุกวันนี้ 38 คนน้องได้บุตรชายเช่นกัน และตั้งชื่อเขาว่า เบนอัมมี[j] เขาเป็นบิดาต้นตระกูลของชาวอัมโมนมาจนถึงทุกวันนี้

อับราฮัมกับอาบีเมเลค

20 อับราฮัมย้ายถิ่นฐานจากที่นั่นไปทางดินแดนเนเกบ และตั้งรกรากระหว่างคาเดชและเมืองชูร์ และท่านอาศัยอยู่อย่างคนต่างด้าวที่เมืองเก-ราร์ อับราฮัมพูดถึงซาราห์ภรรยาของตนว่า “นางเป็นน้องสาวของข้าพเจ้า” ดังนั้นอาบีเมเลคกษัตริย์แห่งเก-ราร์ใช้คนไปพาตัวซาราห์มาพบ แต่คืนวันหนึ่งพระเจ้าปรากฏแก่อาบีเมเลคในฝัน และกล่าวกับท่านว่า “ระวังเถิด เจ้าตายแน่ เพราะหญิงที่เจ้าได้ตัวมานั้น นางมีสามีแล้ว” ขณะนั้นอาบีเมเลคยังไม่ได้เข้าถึงตัวนาง จึงพูดว่า “พระผู้เป็นเจ้า พระองค์จะทำให้บรรดาผู้มีความชอบธรรมถึงแก่ชีวิตหรือ ตัวเขาเองมิใช่หรือที่พูดกับข้าพเจ้าว่า ‘นางเป็นน้องสาวของข้าพเจ้า’ และตัวนางเองก็พูดว่า ‘เขาเป็นพี่ชายของข้าพเจ้า’ ข้าพเจ้ากระทำไปด้วยความจริงใจและความบริสุทธิ์” แล้วพระเจ้ากล่าวกับท่านในฝันว่า “เรารู้ว่าเจ้าทำไปด้วยความจริงใจของเจ้า และเราเป็นผู้ป้องกันเจ้าไม่ให้กระทำบาปต่อเรา เราจึงไม่ได้ปล่อยให้เจ้าถูกต้องตัวนาง เอาล่ะ จงคืนภรรยาของชายนั้นไปเสีย เพราะว่าเขาเป็นผู้เผยคำกล่าวของพระเจ้า และเขาจะอธิษฐานให้เจ้า เจ้าจะได้ไม่ตาย แต่ถ้าเจ้าไม่คืนนางไป จงรู้ด้วยว่าเจ้าจะต้องตายแน่ ทั้งตัวเจ้าและทุกคนที่อยู่ในปกครองของเจ้า”

ดังนั้น อาบีเมเลคจึงลุกขึ้นแต่เช้าตรู่ เรียกผู้รับใช้ทุกคนมา และเล่าเรื่องทั้งหมดให้ฟัง พวกเขาต่างพากันกลัวเป็นอย่างยิ่ง อาบีเมเลคจึงเรียกอับราฮัมมาและกล่าวว่า “ท่านทำอะไรกับพวกเรา และเราทำอะไรผิดต่อท่านนักหรือ ท่านจึงได้ทำให้เราและอาณาจักรของเราต้องบาปหนักเช่นนี้ ท่านกระทำสิ่งที่ไม่อันควรแก่เราเลย” 10 อาบีเมเลคกล่าวกับอับราฮัมว่า “ท่านคิดอะไรอยู่ ถึงได้ทำเช่นนี้” 11 อับราฮัมพูดว่า “ข้าพเจ้ากระทำไปก็เพราะคิดว่า ไม่มีใครที่เกรงกลัวพระเจ้าในที่นี้ และข้าพเจ้าจะถูกฆ่าโดยเหตุจากภรรยาของข้าพเจ้า 12 นอกจากนั้นแล้ว นางยังเป็นน้องสาวของข้าพเจ้าจริงๆ คือ เป็นลูกสาวของบิดาข้าพเจ้า แต่ไม่ใช่ลูกสาวที่เกิดจากมารดาข้าพเจ้า ต่อมานางได้มาเป็นภรรยาข้าพเจ้า 13 เมื่อพระเจ้าทำให้ข้าพเจ้าเร่ร่อนออกจากบ้านของบิดาข้าพเจ้า ข้าพเจ้าบอกนางว่า ‘สิ่งที่เจ้าจะช่วยฉันได้คือ ทุกๆ แห่งที่เราไป จงพูดถึงฉันว่า ฉันเป็นพี่ชายของเจ้า’”

14 แล้วอาบีเมเลคก็มอบแพะแกะ โค บ่าวรับใช้ชายหญิงให้แก่อับราฮัม และคืนซาราห์ภรรยาให้แก่ท่าน 15 อาบีเมเลคกล่าวว่า “ดูเถิด ดินแดนของเราที่ท่านเห็นในเบื้องหน้านี้ จงตั้งรกรากในที่ใดก็ได้ตามที่ท่านพอใจ” 16 ท่านกล่าวกับซาราห์ว่า “ส่วนเจ้า เราก็ได้ให้เหรียญเงิน 1,000 เหรียญแก่พี่ชายของเจ้าเพื่อพิสูจน์ต่อหน้าคนทั้งปวงที่อยู่กับเจ้า และให้ทุกคนเห็นว่าเจ้าไม่ได้ทำอะไรผิด” 17 แล้วอับราฮัมก็อธิษฐานต่อพระเจ้า พระเจ้ารักษาอาบีเมเลคและภรรยาของท่าน รวมทั้งบรรดาบ่าวรับใช้หญิงให้ตั้งครรภ์ได้ 18 ด้วยว่าพระผู้เป็นเจ้าได้ปิดครรภ์ของทุกคนในครัวเรือนของอาบีเมเลค เพราะเรื่องซาราห์ภรรยาของอับราฮัม

การเกิดของอิสอัค

21 พระผู้เป็นเจ้ามาเยี่ยมซาราห์ตามที่พระองค์ได้กล่าวไว้ และพระผู้เป็นเจ้าให้พรแก่ซาราห์ตามที่ได้สัญญาไว้ และซาราห์ตั้งครรภ์ และมีบุตรชายให้แก่อับราฮัมซึ่งอยู่ในวัยชรา ตรงตามเวลาที่พระเจ้าได้กล่าวไว้ อับราฮัมตั้งชื่อบุตรชายที่นางซาราห์ให้กำเนิดนี้ว่า อิสอัค[k] อับราฮัมทำพิธีเข้าสุหนัตให้แก่อิสอัคบุตรของตนเมื่อมีอายุครบ 8 วันตามคำสั่งของพระเจ้า เวลาอิสอัคเกิด อับราฮัมมีอายุ 100 ปี นางซาราห์พูดว่า “พระเจ้าทำให้ฉันหัวเราะ ทุกคนที่ทราบเรื่องนี้ก็พลอยหัวเราะไปกับฉันด้วย” นางพูดต่อไปอีกว่า “มีใครที่จะพูดกับอับราฮัมได้ว่า ซาราห์จะได้มีลูกกินนมนางเอง แต่ฉันก็ได้ให้กำเนิดลูกชายแก่ท่านในวัยชรา”

พระเจ้าคุ้มครองฮาการ์และอิชมาเอล

เมื่อเด็กชายเติบโตขึ้นจนหย่านมแล้ว อับราฮัมก็จัดงานฉลองใหญ่ในวันที่อิสอัคหย่านม นางซาราห์เห็นบุตรชายของนางฮาการ์กำลังเล่นกับอิสอัคบุตรชายของตน ฮาการ์เป็นชาวอียิปต์ที่ให้กำเนิดบุตรชายแก่อับราฮัม 10 ซาราห์จึงบอกอับราฮัมว่า “จงไล่หญิงทาสคนนี้กับลูกของนางไปเสีย ด้วยว่าลูกของหญิงทาสคนนี้จะไม่มีวันรับมรดกร่วมกับอิสอัคลูกของฉัน”[l] 11 เรื่องนี้ทำให้อับราฮัมไม่สบายใจ เพราะเป็นเรื่องบุตรชายของท่าน 12 แต่พระเจ้ากล่าวกับอับราฮัมว่า “จงอย่าทุกข์ใจเรื่องเด็กและหญิงทาสของเจ้าเลย ซาราห์ว่าอะไรก็ทำตามที่นางบอกเถิด เพราะว่าเจ้าจะมีบรรดาผู้สืบเชื้อสายโดยผ่านทางอิสอัค 13 และเราจะให้บรรดาผู้สืบเชื้อสายจากลูกของหญิงทาสของเจ้าเป็นประชาชาติหนึ่งด้วย เพราะเขาก็สืบเชื้อสายมาจากเจ้าเช่นกัน” 14 ดังนั้นอับราฮัมจึงลุกขึ้นแต่เช้าตรู่ หยิบขนมปังกับน้ำใส่ในถุงหนังยื่นให้ฮาการ์ โดยสะพายบนบ่านาง พร้อมกับเด็กชาย และให้นางไปเสีย นางก็จากไปและระหกระเหินอยู่ในถิ่นทุรกันดารแห่งเบเออร์เช-บา

15 เมื่อน้ำในถุงหนังหมดแล้ว นางก็ทิ้งเด็กชายไว้ที่ใต้ร่มไม้ 16 จากนั้นนางก็ไปนั่งตามลำพัง ห่างประมาณเท่ากับระยะยิงลูกธนูตก เพราะนางคิดว่า “อย่าให้ฉันเห็นความตายของเด็กชายเลย” และขณะที่นางนั่งลง นางแผดเสียงขึ้นแล้วก็ร้องไห้ 17 พระเจ้าได้ยินเสียงเด็ก และทูตสวรรค์ของพระเจ้าเรียกฮาการ์จากสวรรค์ และกล่าวกับนางว่า “ฮาการ์ เจ้าเป็นอะไรไป ไม่ต้องกลัวหรอก เพราะพระเจ้าได้ยินเสียงของเด็กจากที่ๆ เขาอยู่ 18 จงลุกขึ้น พยุงเด็กและจับมือเขาไว้ให้แน่น เพราะว่าเราจะให้ประชาชาติหนึ่งที่ยิ่งใหญ่เกิดขึ้นมาจากตัวเขา” 19 แล้วพระเจ้าก็โปรดให้นางมองเห็นบ่อน้ำ นางจึงไปเอาน้ำใส่ถุงหนังจนเต็ม และให้เด็กดื่มน้ำ 20 พระเจ้าสถิตกับเด็กนั้น เขาเติบโตขึ้นและอาศัยอยู่ในถิ่นทุรกันดาร เขาชำนาญในการใช้ธนู 21 เขาอยู่ในถิ่นทุรกันดารแห่งปาราน มารดาหาภรรยาคนหนึ่งจากดินแดนของประเทศอียิปต์ให้เขา

พันธสัญญากับอาบีเมเลค

22 เวลานั้นอาบีเมเลคและฟีโคล์ผู้บังคับกองพันทหารของท่านกล่าวกับอับราฮัมว่า “พระเจ้าสถิตกับท่านในทุกสิ่งที่ท่านทำ 23 ฉะนั้นบัดนี้จงสาบานต่อหน้าพระเจ้าว่า ท่านจะไม่ทรยศเราหรือลูกหลาน หรือผู้สืบตระกูลของเรา แต่จะปฏิบัติต่อเราและต่อแผ่นดินที่ท่านอาศัยอยู่อย่างคนต่างด้าว ดังที่เราได้กรุณาต่อท่าน” 24 อับราฮัมตอบว่า “ข้าพเจ้าขอสาบาน”

25 เมื่ออับราฮัมบ่นกับอาบีเมเลคเรื่องบ่อน้ำที่พวกผู้รับใช้ของอาบีเมเลคยึดเอาไป 26 อาบีเมเลคกล่าวว่า “เราไม่รู้ว่าใครก่อเรื่องนี้ ท่านไม่เคยบอกเราก่อนหน้านี้ และเราก็ไม่รู้เรื่องจนวันนี้” 27 อับราฮัมจึงมอบแพะแกะและโคให้แก่อาบีเมเลค แล้วทั้งสองท่านได้ทำพันธสัญญากัน 28 อับราฮัมแยกแกะสาว 7 ตัวออกจากฝูง 29 อาบีเมเลคกล่าวกับอับราฮัมว่า “แกะสาว 7 ตัวที่ท่านแยกออกไปนี้มีความหมายว่าอย่างไร” 30 ท่านตอบว่า “แกะสาว 7 ตัวนี้ท่านจะรับไปจากมือข้าพเจ้า เพื่อเป็นหลักฐานยืนยันว่าข้าพเจ้าเป็นผู้ขุดบ่อนี้” 31 ฉะนั้นสถานที่นั้นมีชื่อว่า เบเออร์เช-บา[m] เพราะเป็นสถานที่ซึ่งทั้งสองท่านได้สัจจะสาบานต่อกัน 32 ดังนั้นท่านทั้งสองได้ทำพันธสัญญาที่เบเออร์เช-บา อาบีเมเลคพร้อมทั้งฟีโคล์ผู้บังคับกองพันทหารของท่านก็ลุกขึ้น เดินทางกลับไปยังดินแดนชาวฟีลิสเตีย 33 อับราฮัมปลูกต้นแทมริสก์ที่เบเออร์เช-บา และ ณ ที่นั้นท่านร้องเรียกพระนามของพระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าผู้เป็นนิรันดร์ 34 แล้วอับราฮัมอาศัยอยู่อย่างคนต่างด้าวในดินแดนของชาวฟีลิสเตียเป็นเวลานาน

พระเจ้าทดสอบอับราฮัม

22 หลังจากนั้นต่อมา พระเจ้าได้ทดสอบอับราฮัมโดยกล่าวกับท่านว่า “อับราฮัม” ท่านตอบว่า “ข้าพเจ้าอยู่นี่” พระองค์กล่าวว่า “จงพาบุตรชายของเจ้า อิสอัคบุตรคนเดียวของเจ้าที่เจ้ารัก ไปยังดินแดนของโมริยาห์ และมอบอิสอัคเพื่อเผาเป็นของถวายบนเขาแห่งหนึ่งซึ่งเราจะแสดงให้เห็น”[n] อับราฮัมก็ลุกขึ้นแต่เช้าตรู่ ขนของขึ้นลา ให้คนรับใช้หนุ่ม 2 คนไป พร้อมกับอิสอัคบุตรของตน และท่านได้ตัดฟืนสำหรับของถวายที่จะเผา แล้วออกเดินทางไปยังที่ซึ่งพระเจ้าสั่งไว้ พอถึงวันที่สาม อับราฮัมเงยหน้าดูก็เห็นสถานที่นั้นแต่ไกล แล้วอับราฮัมพูดกับคนรับใช้หนุ่มว่า “เจ้าอยู่ที่นี่กับลา เรากับเด็กจะไปข้างหน้าโน้นเพื่อนมัสการ แล้วจะกลับมา” อับราฮัมให้อิสอัคแบกฟืนสำหรับของถวายที่จะเผา ท่านเองก็ถือถ่านไฟกับมีด แล้วทั้งสองเริ่มเดินไปด้วยกัน อิสอัคพูดกับอับราฮัมบิดาของเขาว่า “พ่อท่าน” ท่านพูดว่า “พ่ออยู่นี่ ลูกเอ๋ย” อิสอัคพูดว่า “ดูสิ มีไฟกับฟืน แต่ลูกแกะสำหรับเผาเป็นของถวายอยู่ที่ไหน” อับราฮัมพูดว่า “ลูกเอ๋ย พระเจ้าจะจัดหาลูกแกะสำหรับเผาเป็นของถวายเอง” แล้วทั้งสองก็เดินต่อไปด้วยกัน

เมื่อมาถึงที่ซึ่งพระเจ้าได้บอกอับราฮัมไว้ ท่านก็สร้างแท่นบูชาที่นั่น เรียงฟืนไว้เรียบร้อย มัดตัวอิสอัคบุตรของตน และวางตัวเขาไว้บนฟืนที่แท่นบูชา[o] 10 ครั้นแล้วอับราฮัมก็ยื่นมือคว้ามีดเพื่อจะฆ่าบุตรของตน 11 แต่ทูตสวรรค์ของพระผู้เป็นเจ้าเรียกท่านจากฟ้าสวรรค์ พลางกล่าวว่า “อับราฮัม อับราฮัม” ท่านพูดว่า “ข้าพเจ้าอยู่นี่” 12 ทูตสวรรค์กล่าวว่า “อย่าให้เขาเจ็บตัวหรือทำอะไรเขา เพราะบัดนี้เรารู้แล้วว่าเจ้าเกรงกลัวพระเจ้า เราเห็นแล้วว่าเจ้าไม่ได้ยึดเหนี่ยวบุตรของเจ้าซึ่งเป็นบุตรคนเดียวของเจ้าไว้จากเรา” 13 อับราฮัมเงยหน้าขึ้นก็มองเห็นแกะผู้ตัวหนึ่ง เขาของมันเกี่ยวติดกับพุ่มไม้ทึบ อับราฮัมจึงไปจับตัวมันมา เพื่อจะใช้เผาเป็นของถวายแทนตัวบุตรของท่าน 14 ดังนั้นอับราฮัมเรียกชื่อสถานที่นั้นว่า “พระผู้เป็นเจ้าจะจัดหาให้” ตามที่พูดกันอยู่ทุกวันนี้ว่า “จะจัดหาให้บนภูเขาของพระผู้เป็นเจ้า

15 และทูตสวรรค์ของพระผู้เป็นเจ้าเรียกอับราฮัมจากฟ้าสวรรค์เป็นครั้งที่สอง 16 โดยกล่าวว่า “เราปฏิญาณโดยตัวเราเอง พระผู้เป็นเจ้าพูดว่า เป็นเพราะเจ้าได้ปฏิบัติเช่นนี้ โดยไม่ได้ยึดเหนี่ยวบุตรของเจ้า ซึ่งเป็นบุตรคนเดียวของเจ้า 17 เราจึงให้พรแก่เจ้า และจะเพิ่มผู้สืบเชื้อสายให้แก่เจ้ามากยิ่งขึ้นอย่างแน่นอน มากมายราวกับดวงดาวบนท้องฟ้า และราวกับเม็ดทรายบนชายฝั่งทะเล และบรรดาผู้สืบเชื้อสายของเจ้าจะยึดครองเมืองของพวกศัตรู 18 และประชาชาติทั้งปวงในโลกจะได้รับพรโดยผ่านผู้สืบเชื้อสายของเจ้า[p] เพราะเจ้าเชื่อฟังเรา” 19 อับราฮัมก็กลับไปหาคนรับใช้หนุ่มของท่าน แล้วทั้งสี่ก็ไปยังเบเออร์เช-บาด้วยกัน แล้วอับราฮัมก็ได้ตั้งรกรากอยู่ที่เบเออร์เช-บา

20 ต่อมาภายหลัง มีคนบอกอับราฮัมว่า “มิลคาห์ให้กำเนิดบุตรแก่นาโฮร์น้องชายของท่านด้วยคือ 21 อูสคนหัวปี บูซน้องชายของเขา เคมูเอลบิดาของอารัม 22 เคเสด ฮาโซ ปิลดาช ยิดลาฟและเบธูเอล” 23 เบธูเอลเป็นบิดาของนางเรเบคาห์ 8 คนที่กล่าวมานี้ล้วนเป็นบุตรชายที่มิลคาห์ให้กำเนิดแก่นาโฮร์น้องชายของอับราฮัม 24 นอกจากนี้แล้วภรรยาน้อยของเขาที่ชื่อเรอูมาห์ก็ได้ให้กำเนิดเทบาห์ กาฮัม ทาหาชและมาอาคาห์

ซาราห์สิ้นชีวิต และการซื้อสุสาน

23 ซาราห์มีชีวิตอยู่ถึง 127 ปี แล้วนางก็สิ้นชีวิตที่คีริยาทอาร์บา (มีอีกชื่อว่า เฮโบรน) ในดินแดนของคานาอัน อับราฮัมเข้าไปร้องคร่ำครวญถึงซาราห์ และร้องไห้ถึงนาง เมื่ออับราฮัมลุกขึ้นจากข้างศพก็พูดกับพวกชาวฮิตว่า “ข้าพเจ้าเป็นคนต่างแดนอาศัยอยู่ท่ามกลางพวกท่าน ขอให้ข้าพเจ้าได้ที่ดินเป็นสถานที่สำหรับบรรจุศพที่นี่เถิด เพื่อจะได้บรรจุร่างผู้ตายของข้าพเจ้าให้พ้นสายตา” ชาวฮิตตอบอับราฮัมว่า “นายท่าน โปรดฟังพวกเราเถิด ท่านเป็นผู้ยิ่งใหญ่ และอยู่ท่ามกลางพวกเรา ไปบรรจุร่างผู้ตายของท่านในถ้ำเก็บศพที่ดีที่สุดของพวกเราเถิด ไม่มีใครหวงถ้ำเก็บศพโดยไม่ให้ท่าน หรือรั้งท่านมิให้บรรจุร่างผู้ตายของท่านหรอก” อับราฮัมลุกขึ้นคำนับชาวฮิตซึ่งเป็นเจ้าของที่ดิน และพูดกับพวกเขาว่า “ถ้าท่านยินดีให้ข้าพเจ้าบรรจุร่างผู้ตายของข้าพเจ้าให้พ้นสายตาก็โปรดฟัง และช่วยขอร้องเอโฟรนลูกโศหาร์ให้ข้าพเจ้าด้วย ขอถ้ำมัคเป-ลาห์ซึ่งเขาเป็นเจ้าของอยู่ ถ้ำนั้นตั้งอยู่ปลายทุ่ง ขอให้เขาขายต่อหน้าท่านทั้งหลายในราคาเต็ม ข้าพเจ้าจะได้มีไว้ใช้เป็นสถานบรรจุศพ”

10 เอโฟรนกำลังนั่งอยู่กับกลุ่มชาวฮิต ดังนั้นเอโฟรนชาวฮิตจึงตอบอับราฮัมต่อหน้าชาวฮิตทั้งหลายที่เข้าฟังร่วมกันที่ประตูเมืองของเขาว่า 11 “ไม่หรอก นายท่าน โปรดฟังข้าพเจ้า ข้าพเจ้ายกทุ่งนาให้แก่ท่าน รวมทั้งถ้ำในนาด้วย ข้าพเจ้าขอมอบให้แก่ท่านต่อหน้าพลเมืองของข้าพเจ้า ท่านจงใช้เป็นที่บรรจุร่างผู้ตายของท่านเถิด” 12 อับราฮัมคำนับต่อหน้าพลเมืองของดินแดนนั้น 13 และท่านพูดกับเอโฟรนต่อหน้าพลเมืองของดินแดนนั้นว่า “ได้โปรดเถิด ฟังข้าพเจ้า ข้าพเจ้าจะซื้อทุ่งนาตามราคา จงรับไปจากข้าพเจ้าเถิด ข้าพเจ้าจะได้ใช้เป็นที่บรรจุร่างผู้ตายของข้าพเจ้าที่นั่น” 14 เอโฟรนตอบอับราฮัมว่า 15 “นายท่าน โปรดฟังข้าพเจ้า ที่ดินผืนเดียวมีค่าเป็นเงินหนัก 400 เชเขล[q] ไม่หนักหนาอะไรเลย ท่านจงใช้เป็นที่บรรจุร่างผู้ตายของท่านเถิด” 16 อับราฮัมเห็นด้วยกับราคาของเอโฟรน ท่านจึงชั่งเงินที่เอโฟรนตีราคาไว้ต่อหน้าชาวฮิตทั้งหลาย เป็นเงินหนัก 400 เชเขลตามมาตรฐานน้ำหนักที่พวกพ่อค้าใช้กัน

17 ดังนั้นทุ่งนาของเอโฟรนในมัคเป-ลาห์ ซึ่งอยู่ใกล้มัมเร ทั้งทุ่งและถ้ำ ต้นไม้ทั้งหมดที่อยู่ในทุ่ง ทั่วบริเวณทั้งหมดถูกโอน 18 ให้อับราฮัมเป็นเจ้าของต่อหน้าชาวฮิต ต่อหน้าทุกคนที่เข้าไปในประตูเมืองของเขา 19 หลังจากนั้น อับราฮัมก็บรรจุซาราห์ภรรยาของท่านไว้ในถ้ำที่ทุ่งนาในมัคเป-ลาห์ ซึ่งอยู่ใกล้มัมเรในเฮโบรน ในดินแดนคานาอัน 20 ชาวฮิตโอนทุ่งนาและถ้ำที่อยู่ในนาให้อับราฮัมเป็นเจ้าของเพื่อใช้เป็นสุสาน

อิสอัคกับเรเบคาห์

24 บัดนี้อับราฮัมชราลง ท่านมีอายุมากแล้ว และพระผู้เป็นเจ้าได้ให้พรอับราฮัมในทุกด้าน อับราฮัมพูดกับผู้รับใช้ที่มีอายุมากที่สุดในบ้าน และเป็นผู้ดูแลทรัพย์สินทั้งหมดของท่านว่า “จงวางมือของเจ้าไว้ที่ใต้ขาอ่อนของเรา และเราจะให้เจ้าสาบานในพระนามของพระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าแห่งฟ้าสวรรค์และแผ่นดินโลกว่า เจ้าจะไม่หาลูกสาวจากชาวคานาอันมาเป็นภรรยาลูกชายของเรา เราเองก็อาศัยอยู่ท่ามกลางพวกเขา แต่เจ้าจะกลับไปที่ประเทศและหมู่ญาติพี่น้องของเรา และหาภรรยาให้อิสอัคลูกชายของเรา” ผู้รับใช้ตอบท่านว่า “ถ้าทางฝ่ายหญิงไม่ยอมติดตามข้าพเจ้ามายังดินแดนนี้ ข้าพเจ้าจะพาลูกชายของท่านกลับไปยังดินแดนที่ท่านจากมาหรือไม่” อับราฮัมพูดกับเขาว่า “ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นก็ตาม เจ้าอย่าพาลูกชายของเรากลับไปที่นั่น พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าแห่งฟ้าสวรรค์ผู้นำเรามาจากบ้านของบิดาของเรา และจากดินแดนที่เรากำเนิด และเป็นองค์ผู้กล่าวกับเราและปฏิญาณดังนี้ว่า ‘เราจะให้ดินแดนนี้แก่ผู้สืบเชื้อสายของเจ้า’[r] พระองค์จะให้ทูตสวรรค์ของพระองค์ล่วงหน้าไปก่อนเจ้า และเจ้าจะหาภรรยาจากที่นั่นให้ลูกชายของเราได้ แต่ถ้าผู้หญิงไม่ยอมติดตามเจ้า เจ้าก็จะพ้นจากคำสาบานของเรา ขอเพียงแต่เจ้าอย่าพาลูกชายของเรากลับไปที่นั่น” ดังนั้นผู้รับใช้จึงวางมือของเขาไว้ที่ใต้ขาอ่อนของอับราฮัมนายของเขา และสาบานต่อท่านในเรื่องนี้

10 ผู้รับใช้นำอูฐ 10 ตัวของนายมา แล้วออกเดินทางไป เขานำของมีค่าสารพัดชนิดของนายติดมือไปด้วย เขาไปยังอารัมนาหะราอิม[s] ยังเมืองของนาโฮร์ 11 เขาให้อูฐคุกเข่าลงที่นอกเมืองใกล้บ่อน้ำในเวลาเย็น ซึ่งเป็นเวลาที่พวกผู้หญิงพากันไปตักน้ำ 12 แล้วเขาพูดว่า “โอ พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของอับราฮัมนายของข้าพเจ้า โปรดให้ข้าพเจ้าได้พบความสำเร็จในวันนี้เถิด ข้าพเจ้าอธิษฐานต่อพระองค์ ขอพระองค์แสดงความรักอันมั่นคงต่ออับราฮัมนายข้าพเจ้าเถิด 13 ดูเถิด ข้าพเจ้ากำลังยืนอยู่ที่ข้างบ่อน้ำพุ และบรรดาลูกสาวของคนในเมืองนี้ออกมาตักน้ำ 14 ขอให้หญิงสาวคนที่ข้าพเจ้าจะพูดกับเธอว่า ‘โปรดวางโถของเธอลงให้ฉันดื่ม’ เป็นคนที่จะพูดกับข้าพเจ้าว่า ‘ดื่มเถิด และฉันจะให้อูฐของท่านกินน้ำด้วย’ โปรดให้เธอเป็นคนที่พระองค์มั่นหมายไว้สำหรับอิสอัคผู้รับใช้ของพระองค์ ถ้าเกิดขึ้นตามนี้ ข้าพเจ้าจะได้ทราบว่าพระองค์ได้แสดงความรักอันมั่นคงของพระองค์แก่นายของข้าพเจ้า”

15 เขายังพูดไม่ทันจบ ดูเถิด เรเบคาห์บุตรหญิงของเบธูเอลบุตรของมิลคาห์ภรรยาของนาโฮร์น้องชายของอับราฮัม ก็แบกโถน้ำบนบ่าของเธอเดินออกมา 16 หญิงสาวผู้นั้นโฉมงามนักและเธอเป็นพรหมจาริณี ซึ่งยังไม่มีชายใดแตะต้องมาก่อน เธอลงไปที่น้ำพุ ตักน้ำใส่โถของนางจนเต็ม และกลับขึ้นมา 17 ครั้นแล้วผู้รับใช้คนนั้นก็วิ่งไปพบเธอ พลางพูดว่า “โปรดให้ฉันดื่มน้ำจากโถของเธอสักนิด” 18 เธอพูดว่า “เชิญดื่มเถิด นาย” แล้วเธอก็ลดโถน้ำที่ประคองในมือของเธอลงโดยเร็ว และให้เขาดื่ม 19 เมื่อเธอให้เขาดื่มเสร็จแล้ว เธอพูดว่า “ฉันจะตักน้ำให้อูฐของท่านด้วย จนกว่าจะกินกันอิ่ม” 20 เธอจึงรีบเทน้ำจากโถของเธอลงในรางน้ำ แล้ววิ่งไปตักน้ำจากบ่ออีก เธอตักน้ำให้อูฐของเขาทุกตัว 21 ชายผู้นั้นจ้องดูเธอโดยไม่ปริปาก เพื่อดูว่าพระผู้เป็นเจ้าได้ให้การเดินทางของเขาสำเร็จผลหรือไม่

22 เมื่ออูฐกินน้ำเสร็จแล้ว ชายผู้นั้นก็หยิบแหวนทองคำหนักครึ่งเชเขล กับกำไลมือทองคำ 2 วงหนัก 10 เชเขล 23 และพูดว่า “บอกฉันเถิดว่าเธอเป็นลูกสาวของใคร บ้านบิดาของเธอมีห้องพักให้พวกเราค้างแรมหรือเปล่า” 24 เธอพูดตอบเขาว่า “ฉันเป็นลูกสาวของเบธูเอลผู้เป็นลูกชายของนาโฮร์กับมิลคาห์” 25 เธอพูดต่ออีกว่า “เรามีทั้งฟางและอาหารพอ รวมทั้งห้องสำหรับค้างแรมด้วย” 26 ชายผู้นั้นก้มศีรษะและกราบนมัสการพระผู้เป็นเจ้า 27 พลางพูดว่า “สรรเสริญพระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของอับราฮัมนายข้าพเจ้า พระองค์ไม่ลืมความรักอันมั่นคงของพระองค์ และความสัตย์จริงที่มีต่อนายของข้าพเจ้า พระผู้เป็นเจ้าได้นำทางข้าพเจ้าให้มาถึงบ้านของญาติพี่น้องของนายข้าพเจ้า” 28 แล้วหญิงสาวผู้นั้นวิ่งไปบอกคนในครัวเรือนของมารดาถึงเรื่องที่เกิดขึ้น

29 ลาบันพี่ชายเรเบคาห์วิ่งไปหาชายผู้นั้นที่น้ำพุ 30 เมื่อเขาเห็นแหวนกับกำไลที่ข้อมือน้องสาว และเมื่อเขาได้ยินเรเบคาห์น้องสาวพูดว่า “ชายคนนั้นพูดกับฉันอย่างนี้” เขาก็ไปหาชายคนนั้น และเห็นว่าเขากำลังยืนอยู่ข้างอูฐที่น้ำพุ 31 เขาจึงพูดว่า “เชิญเข้ามาข้างใน ท่านผู้ได้รับพระพรของพระผู้เป็นเจ้า ทำไมท่านจึงยืนอยู่ข้างนอก ข้าพเจ้าได้เตรียมบ้านให้เรียบร้อยแล้ว และมีที่สำหรับพวกอูฐด้วย” 32 ชายคนนั้นจึงเข้าไปในบ้าน ลาบันยกของลงจากอูฐ ให้ฟางและอาหารแก่อูฐ มีน้ำล้างเท้าให้เขาและพวกผู้ชายที่มากับเขาด้วย 33 จากนั้นก็มีอาหารตั้งไว้ที่ตรงหน้าเขาเพื่อรับประทาน แต่เขาพูดว่า “ข้าพเจ้าจะไม่รับประทานจนกว่าจะได้พูดเรื่องธุระก่อน” ลาบันพูดว่า “เชิญท่านพูดเถิด”

34 เขาจึงพูดว่า “ข้าพเจ้าเป็นผู้รับใช้ของอับราฮัม 35 พระผู้เป็นเจ้าได้อวยพรนายของข้าพเจ้าจนท่านมั่งมี พระองค์ได้ให้แพะแกะและโคเป็นฝูงๆ แก่ท่าน ทั้งเงินและทอง ผู้รับใช้ชายและหญิง อูฐ และลา 36 ส่วนซาราห์ภรรยาของนายข้าพเจ้าได้กำเนิดลูกชายคนหนึ่งให้แก่ท่านในวัยชรา นายข้าพเจ้าได้ให้ทุกสิ่งที่ท่านมีแก่ลูกของท่าน 37 นายข้าพเจ้าให้ข้าพเจ้าสาบานว่า ‘เจ้าจะไม่หาลูกสาวจากชาวคานาอันมาเป็นภรรยาลูกชายของเรา เราเองก็อาศัยอยู่ท่ามกลางพวกเขา 38 แต่เจ้าจะไปยังบ้านบิดาของเราและตระกูลของเรา และหาภรรยาให้อิสอัคลูกชายของเรา’ 39 ข้าพเจ้าพูดกับนายข้าพเจ้าว่า ‘ทางฝ่ายหญิงอาจจะไม่ยอมติดตามข้าพเจ้ามา’ 40 แต่ท่านพูดกับข้าพเจ้าว่า ‘พระผู้เป็นเจ้าซึ่งเป็นผู้ที่ข้าพเจ้าเชื่อฟังจะให้ทูตสวรรค์ของพระองค์ไปกับเจ้า และจะมอบความสำเร็จให้แก่เจ้า เจ้าจะหาภรรยาจากตระกูลของเราและจากบ้านบิดาของเราให้แก่ลูกชายของเรา 41 เจ้าก็จะพ้นจากคำสาบานของเรา เวลาเจ้าไปหาคนในตระกูลของเรา แล้วถ้าพวกเขาไม่ยอมให้เธอไปกับเจ้า เจ้าก็จะพ้นจากคำสาบานของเรา’

42 วันนี้ข้าพเจ้าไปที่น้ำพุ ข้าพเจ้าพูดว่า ‘โอ พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของอับราฮัมนายข้าพเจ้า โปรดให้การเดินทางของข้าพเจ้าสำเร็จผล 43 ดูเถิด ข้าพเจ้ากำลังยืนอยู่ที่ข้างบ่อน้ำพุ ขอให้หญิงสาวคนที่มาตักน้ำ เป็นคนที่ข้าพเจ้าจะพูดด้วยว่า “โปรดให้ฉันดื่มน้ำจากโถของเธอสักนิด” 44 และเป็นคนที่จะพูดกับข้าพเจ้าว่า “ดื่มเถิด และฉันจะตักให้อูฐของท่านด้วย” ขอให้เธอเป็นหญิงที่พระผู้เป็นเจ้าได้มั่นหมายไว้สำหรับลูกชายของนายข้าพเจ้าเถิด’

45 ข้าพเจ้าอธิษฐานยังไม่ทันจบ ดูเถิด เรเบคาห์แบกโถน้ำบนบ่าของเธอเดินออกมา และเธอลงไปที่น้ำพุเพื่อตักน้ำ ข้าพเจ้าพูดกับเธอว่า ‘โปรดให้ฉันดื่มน้ำเถิด’ 46 เธอประคองโถน้ำของเธอลงจากบ่าโดยเร็ว และพูดว่า ‘เชิญดื่มเถิด และฉันจะให้อูฐของท่านกินด้วย’ ข้าพเจ้าจึงดื่ม และเธอก็ให้อูฐกินด้วย 47 แล้วข้าพเจ้าถามเธอว่า ‘เธอเป็นลูกสาวของใคร’ เธอพูดว่า ‘ลูกสาวของเบธูเอลผู้เป็นลูกชายของนาโฮร์กับมิลคาห์’ ข้าพเจ้าจึงใส่แหวนที่จมูก และกำไลที่ข้อมือให้เธอ 48 แล้วข้าพเจ้าก้มศีรษะและกราบนมัสการพระผู้เป็นเจ้า และสรรเสริญพระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของอับราฮัมนายข้าพเจ้า องค์ผู้นำทางให้ข้าพเจ้าตรงมายังที่หมาย เพื่อพาลูกสาวของญาติพี่น้องของนายข้าพเจ้า ไปให้ลูกชายของท่าน 49 มาบัดนี้ ถ้าท่านจะแสดงความกรุณาและความภักดีต่อนายข้าพเจ้า ขอให้ท่านบอกข้าพเจ้า และหากว่าไม่ ก็ขอให้บอกข้าพเจ้า ข้าพเจ้าจะได้ทราบว่าจะทำอย่างไรต่อไป”

50 ลาบันและเบธูเอลตอบว่า “เรื่องนี้มาจากพระผู้เป็นเจ้า พวกเราจะว่าอะไรได้ 51 ดูเถิด เรเบคาห์ก็อยู่ตรงหน้าท่าน เชิญพาเธอไป ให้เธอไปเป็นภรรยาของลูกชายของนายท่าน ตามที่พระผู้เป็นเจ้าได้กล่าวไว้”

52 เมื่อผู้รับใช้ของอับราฮัมได้ยินคำพูดของพวกเขาแล้ว เขาก็ก้มลงกราบที่พื้น ณ เบื้องหน้าพระผู้เป็นเจ้า 53 แล้วผู้รับใช้หยิบเครื่องประดับกายเงินและทองคำ และเสื้อผ้าออกมาให้เรเบคาห์ เขาให้ของอันมีค่าแก่พี่ชายและมารดาของเธอด้วย 54 หลังจากนั้น เขาและพวกผู้ชายที่มากับเขาก็รับประทานและดื่มกัน แล้วค้างแรมที่นั่น เมื่อลุกขึ้นในตอนเช้า เขาพูดว่า “ให้ข้าพเจ้ากลับไปยังนายของข้าพเจ้าเถิด” 55 พี่ชายกับมารดาของเธอพูดว่า “ให้เธออยู่กับเราสักพัก อย่างน้อย 10 วัน และหลังจากนั้น เธอจึงไปได้” 56 แต่เขาพูดตอบว่า “อย่ารั้งข้าพเจ้าเลย ในเมื่อพระผู้เป็นเจ้าได้ให้การเดินทางของข้าพเจ้าสำเร็จผล ปล่อยให้ข้าพเจ้าไป ข้าพเจ้าจะได้ไปหานายของข้าพเจ้า” 57 พวกเขาพูดว่า “เราจะเรียกหญิงสาวมาถามเอง” 58 แล้วพวกเขาจึงเรียกเรเบคาห์มา และถามเธอว่า “เจ้าจะไปกับชายคนนี้หรือไม่” เธอตอบว่า “ฉันจะไป” 59 ดังนั้น พวกเขาจึงส่งตัวเรเบคาห์น้องสาวกับพี่เลี้ยงของเธอ ไปกับผู้รับใช้ของอับราฮัมและคนของท่าน 60 แล้วพวกเขาอวยพรเรเบคาห์ พลางพูดกับเธอว่า

“น้องสาวของเรา ขอให้เจ้าเป็นมารดา
    ของคนจำนวนมากมายเกินที่จะนับได้
และขอให้บรรดาผู้สืบเชื้อสาย
    ของเจ้ายึดครองเมืองของพวกศัตรูได้”

61 เรเบคาห์กับพวกสาวใช้ก็ลุกขึ้น แล้วขึ้นขี่อูฐตามชายคนนั้นไป ผู้รับใช้คนนั้นก็พาเรเบคาห์ไป

62 ส่วนอิสอัคเพิ่งกลับมาจากเบเออลาไฮรอย และกำลังอาศัยอยู่ที่เนเกบ 63 ครั้นใกล้ยามเย็นอิสอัคออกไปใคร่ครวญอยู่ในทุ่งนา ท่านเงยหน้าขึ้นเห็น ดูเถิด มีอูฐเดินมา 64 เรเบคาห์เงยหน้าขึ้น เมื่อเธอเห็นอิสอัค เธอก็ลงจากอูฐ 65 และถามผู้รับใช้คนนั้นว่า “ชายคนที่กำลังเดินในทุ่งนามาพบกับเรานั่นเป็นใคร” ผู้รับใช้ตอบว่า “เป็นนายของข้าพเจ้า” เธอจึงหยิบผ้าคลุมหน้ามาคลุม 66 แล้วผู้รับใช้ก็บอกอิสอัคถึงทุกสิ่งที่เขาทำ 67 อิสอัคจึงพาเรเบคาห์เข้าไปในกระโจมของซาราห์มารดาของตน อิสอัครับเธอเป็นภรรยา ท่านรักเธอ นับจากวันที่สูญเสียมารดาของท่านไปแล้ว บัดนี้เองที่อิสอัครู้สึกสบายใจขึ้น

อับราฮัมสิ้นชีวิต

25 อับราฮัมมีภรรยาอีกคนชื่อเคทูราห์ นางให้กำเนิดบุตรชื่อ ศิมราน โยกชาน เมดาน มีเดียน อิชบาก และชูอัค โยกชานมีบุตรชื่อ เช-บา และเดดาน บุตรของเดดานคือชาวอัชชูร์ เลทูช และเลอุม มีเดียนมีบุตรชื่อ เอฟาห์ เอเฟอร์ ฮาโนค อาบีดา และเอลดาอาห์ คนเหล่านี้เป็นผู้สืบเชื้อสายของเคทูราห์ อับราฮัมให้ทุกสิ่งที่ท่านมีแก่อิสอัค แต่อับราฮัมให้ของขวัญแก่บรรดาบุตรของภรรยาน้อยของท่าน และขณะที่ท่านมีชีวิตอยู่ ท่านให้พวกเขาไปอยู่ในที่ซึ่งห่างไกลจากอิสอัคบุตรของท่าน ไปทางทิศตะวันออกยังดินแดนของชาติตะวันออก

อับราฮัมมีชีวิตอยู่นานถึง 175 ปี อับราฮัมหมดลมหายใจและสิ้นชีวิตเมื่อชราภาพ เป็นคนชราที่มีอายุยืนนาน และถูกบรรจุรวมไว้กับญาติพี่น้องที่ล่วงลับไปแล้ว อิสอัคกับอิชมาเอลบุตรทั้งสองก็ได้บรรจุร่างท่านไว้ในถ้ำมัคเป-ลาห์ ในทุ่งนาของเอโฟรนบุตรของโศหาร์ชาวฮิต ซึ่งอยู่ใกล้มัมเร 10 อันเป็นทุ่งนาที่อับราฮัมได้ซื้อจากพวกชาวฮิต อับราฮัมถูกบรรจุไว้ที่นั่นกับซาราห์ภรรยาของท่าน 11 หลังจากที่อับราฮัมเสียชีวิตแล้ว พระเจ้าก็ได้ให้พรแก่อิสอัคบุตรของท่าน และอิสอัคอาศัยอยู่ที่เบเออลาไฮรอย

ลำดับเชื้อสายอิชมาเอล

12 ต่อไปนี้เป็นลำดับเชื้อสายของอิชมาเอล บุตรของอับราฮัมกับนางฮาการ์ชาวอียิปต์ที่เป็นหญิงรับใช้ของซาราห์ 13 อิชมาเอลมีบุตร ชื่อเรียงตามลำดับการเกิดดังนี้ เนบาโยทบุตรหัวปีของอิชมาเอล เคดาร์ อัดบีเอล และมิบสัม 14 มิชมา ดูมาห์ และมัสสา 15 ฮาดัด เท-มา เยทูร์ นาฟิช และเคเดมาห์ 16 คนเหล่านี้เป็นบุตรของอิชมาเอล และมีชื่อดังกล่าวนับตามหมู่บ้านและตามค่ายของพวกเขา ทั้ง 12 คนอยู่ในระดับปกครองชั้นสูงตามเผ่าของเขา 17 (อิชมาเอลมีอายุถึง 137 ปี หมดลมหายใจและสิ้นชีวิต ถูกบรรจุรวมไว้กับญาติพี่น้องที่ล่วงลับไปแล้ว) 18 บรรดาบุตรเหล่านี้อาศัยอยู่ในอาณาเขตระหว่างฮาวิลาห์และชูร์ ซึ่งอยู่ใกล้ประเทศอียิปต์ทางไปอัชชูร์ และเขาเหล่านั้นมุ่งร้ายต่อญาติพี่น้องทุกคน

ยาโคบกับเอซาวเผชิญการแก่งแย่งเป็นครั้งแรก

19 ต่อไปนี้เป็นลำดับเชื้อสายของอิสอัคบุตรของอับราฮัม อับราฮัมเป็นบิดาของอิสอัค 20 อิสอัคมีอายุ 40 ปีเมื่อได้เรเบคาห์มาเป็นภรรยา เรเบคาห์เป็นบุตรหญิงของเบธูเอลชาวอารัม[t]แห่งปัดดานอารัม เป็นน้องสาวของลาบันชาวอารัม 21 อิสอัคอธิษฐานต่อพระผู้เป็นเจ้าให้ภรรยาของตน เพราะนางเป็นหมัน และพระผู้เป็นเจ้าก็ตอบคำอธิษฐานของท่าน เรเบคาห์ภรรยาของท่านจึงตั้งครรภ์ 22 ทารกในครรภ์ผลักกันอยู่ในครรภ์ของนาง และนางพูดว่า “ทำไมฉันต้องเผชิญกับเรื่องอย่างนี้” นางจึงถามพระผู้เป็นเจ้า

23 และพระผู้เป็นเจ้ากล่าวตอบนางว่า

“สองประชาชาติอยู่ในครรภ์ของเจ้า
    และสองชนชาติซึ่งเกิดจากเจ้าจะถูกแยกกัน
ชนพวกหนึ่งจะมีกำลังมากกว่าอีกพวกหนึ่ง
    คนพี่จะรับใช้คนน้อง”[u]

24 เมื่อนางครบกำหนดคลอด ดูเถิด ลูกแฝดอยู่ในครรภ์ของนาง 25 คนแรกคลอดออกมาผิวแดง มีขนดกตามตัวดั่งเสื้อคลุม เขาจึงมีชื่อว่า เอซาว 26 น้องชายของเขาตามออกมา โดยมือบีบส้นเท้าของเอซาวอยู่ เขาจึงมีชื่อว่า ยาโคบ อิสอัคมีอายุ 60 ปีเมื่อบุตรทั้งสองถือกำเนิดออกมา

27 เมื่อเด็ก 2 คนโตเป็นหนุ่ม เอซาวเป็นนายพรานมือหนึ่ง ชอบใช้ชีวิตในทุ่งกว้าง ฝ่ายยาโคบเป็นคนเงียบๆ ชอบอยู่แต่ในกระโจม 28 อิสอัครักเอซาว เพราะท่านชอบรับประทานเนื้อที่ล่าได้ แต่เรเบคาห์รักยาโคบ

29 มาวันหนึ่งขณะที่ยาโคบกำลังต้มสตูอยู่ เอซาวเข้ามาจากทุ่งอย่างหิวโซ 30 เอซาวจึงพูดกับยาโคบว่า “ขอกินสตูแดงบ้าง เพราะฉันหิวเหลือเกิน” (เขาจึงมีอีกชื่อหนึ่งว่า เอโดม[v]) 31 ยาโคบตอบว่า “ขายสิทธิของลูกหัวปี[w]ของพี่ให้ฉันก่อนสิ” 32 เอซาวพูดว่า “ในเมื่อฉันเกือบจะตายอยู่แล้ว สิทธิของลูกหัวปีจะใช้อะไรได้สำหรับฉัน” 33 ยาโคบตอบว่า “สาบานให้ฉันก่อน” เขาจึงสาบานและขายสิทธิของบุตรหัวปีของตนแก่ยาโคบ 34 ยาโคบจึงให้ขนมปังกับสตูถั่วเลนเทิ้ลแก่เอซาว เขากินและดื่มเสร็จก็ลุกขึ้น แล้วออกไป เอซาวไม่ไยดีกับสิทธิของบุตรหัวปีเลย

อิสอัคกับอาบีเมเลค

26 เกิดทุพภิกขภัยขึ้นในแผ่นดินอีกครั้งหนึ่ง หลังจากที่ได้เกิดขึ้นมาก่อนแล้วในสมัยของอับราฮัม และอิสอัคไปยังเมืองเก-ราร์ซึ่งอาบีเมเลคกษัตริย์แห่งฟีลิสเตียอยู่ พระผู้เป็นเจ้าปรากฏแก่อิสอัคและกล่าวว่า “อย่าลงไปยังประเทศอียิปต์ แต่จงตั้งค่ายอยู่ในแผ่นดินที่เราจะบอกให้เจ้ารู้ จงอาศัยอยู่ในดินแดนนี้ แล้วเราจะอยู่กับเจ้า และจะให้พรแก่เจ้า เราจะให้แว่นแคว้นเหล่านี้แก่เจ้าและแก่บรรดาผู้สืบเชื้อสายของเจ้า และเราจะรักษาสัญญาที่ได้ปฏิญาณกับอับราฮัมบิดาของเจ้า เราจะเพิ่มผู้สืบเชื้อสายจำนวนมากมายราวกับดวงดาวบนฟ้าให้แก่เจ้า และจะให้แว่นแคว้นเหล่านี้แก่บรรดาผู้สืบเชื้อสายของเจ้า ประชาชาติทั้งปวงในโลกจะได้รับพรโดยผ่านผู้สืบเชื้อสายของเจ้า[x] เพราะอับราฮัมเชื่อฟังเรา และได้ทำตามคำสั่งของเรา บัญญัติของเรา กฎเกณฑ์ของเรา และกฎบัญญัติของเรา”

ดังนั้น อิสอัคจึงอาศัยอยู่ในเก-ราร์ เมื่อพวกผู้ชายของเมืองนั้นถามท่านเกี่ยวกับภรรยาของท่าน ท่านก็ตอบว่า “นางเป็นน้องสาวของข้าพเจ้า” เหตุที่ท่านไม่กล้าพูดว่า “ภรรยาของข้าพเจ้า” เพราะคิดว่า “กลัวว่าพวกผู้ชายของเมืองจะเข่นฆ่าฉันเพราะเรเบคาห์” เพราะว่านางโฉมงามนัก เมื่ออิสอัคอยู่ที่นั่นเป็นเวลานาน อาบีเมเลคกษัตริย์แห่งฟีลิสเตียมองจากช่องหน้าต่าง เห็นอิสอัคกำลังคลอเคลียอยู่กับเรเบคาห์ภรรยาของตน อาบีเมเลคจึงเรียกอิสอัคมาพบ และกล่าวว่า “แท้จริงแล้วนางก็เป็นภรรยาของท่าน แล้วท่านพูดได้อย่างไรว่า ‘นางเป็นน้องสาวของข้าพเจ้า’” อิสอัคพูดกับท่านว่า “เพราะข้าพเจ้าคิดว่า ‘กลัวว่าข้าพเจ้าอาจจะตายเพราะนาง’” 10 อาบีเมเลคกล่าวว่า “ท่านทำอะไรกับเรา อาจจะมีใครสักคนในเมืองไปนอนกับภรรยาของท่านไปแล้วก็ได้ และท่านก็จะทำให้เราต้องมีความผิดไปด้วย” 11 ดังนั้นอาบีเมเลคจึงเตือนทุกคนว่า “ใครก็ตามที่แตะต้องตัวชายผู้นี้หรือภรรยาของเขา จะต้องมีโทษถึงตาย”

12 อิสอัคหว่านพืชในดินแดนนั้น และในปีนั้นก็สามารถเก็บเกี่ยวได้ผลเป็นร้อยเท่า พระผู้เป็นเจ้าให้พรแก่ท่าน 13 ท่านจึงกลายเป็นคนร่ำรวยและมีความเจริญยิ่งๆ ขึ้น จนเป็นมหาเศรษฐี 14 ท่านเป็นเจ้าของฝูงแพะแกะ และโค อีกทั้งผู้รับใช้มากมาย จนกระทั่งชาวฟีลิสเตียอิจฉา 15 (เมื่ออับราฮัมบิดาของท่านยังมีชีวิตอยู่ พวกผู้รับใช้ของท่านได้ขุดบ่อน้ำไว้ มาบัดนี้พวกฟีลิสเตียเอาดินถมบ่อทุกบ่อ) 16 อาบีเมเลคกล่าวกับอิสอัคว่า “จงไปจากพวกเรา เพราะว่าท่านมีกำลังเกินกว่าพวกเราแล้ว”

17 อิสอัคจึงออกไปจากที่นั่น ท่านตั้งค่ายอยู่ที่ลุ่มน้ำเก-ราร์ และอาศัยอยู่ที่นั่น 18 แล้วอิสอัคขุดบ่อน้ำเดิมที่เคยขุดไว้แล้วในสมัยของอับราฮัมบิดาของท่าน แต่ชาวฟีลิสเตียได้ถมบ่อเสียหลังจากอับราฮัมสิ้นชีวิตลง และท่านตั้งชื่อบ่อเป็นชื่อเดียวกันกับที่บิดาของท่านได้ตั้งไว้ 19 เมื่อพวกผู้รับใช้ของอิสอัคขุดบ่อที่ลุ่มน้ำก็พบว่ามีน้ำไหล 20 พวกคนเลี้ยงสัตว์ของเก-ราร์จึงวิวาทกับคนเลี้ยงสัตว์ของอิสอัค โดยพูดว่า “น้ำเป็นของพวกเรา” ท่านจึงตั้งชื่อบ่อนั้นว่า เอเสก[y] เพราะพวกเขาวิวาทกับท่าน 21 แล้วพวกเขาก็ขุดอีกบ่อหนึ่ง และวิวาทกันเรื่องบ่อนั้นอีก ท่านจึงตั้งชื่อว่า สิตนาห์[z] 22 แล้วท่านก็ได้ย้ายไปจากที่นั่น และไปขุดอีกบ่อหนึ่ง คราวนี้ไม่มีการวิวาทกันเรื่องบ่ออีก ท่านจึงตั้งชื่อว่า เรโหโบท[aa]โดยพูดว่า “บัดนี้พระผู้เป็นเจ้าได้ให้พวกเรามีที่กว้างขวาง และเราจะได้ผลทวีขึ้น”

23 ท่านจากที่นั่นไป และขึ้นไปยังเบเออร์เช-บา 24 ในคืนวันนั้นพระผู้เป็นเจ้าปรากฏแก่ท่าน และกล่าวว่า “เราเป็นพระเจ้าของอับราฮัมบิดาของเจ้า อย่ากลัวเลย เพราะว่าเราอยู่กับเจ้า และจะให้พรแก่เจ้า พร้อมทั้งเพิ่มจำนวนผู้สืบเชื้อสายของเจ้าเพื่ออับราฮัมผู้รับใช้ของเรา” 25 ดังนั้น ท่านจึงสร้างแท่นบูชาขึ้นที่นั่น ร้องเรียกพระนามของพระผู้เป็นเจ้า และตั้งกระโจมอยู่ที่นั่น พวกผู้รับใช้ของอิสอัคก็ขุดบ่อน้ำอีก

26 ขณะนั้นอาบีเมเลคกับอาหุสซัทผู้ปรึกษาออกไปจากเก-ราร์ พร้อมด้วยฟีโคล์ผู้บังคับกองพันทหารของท่าน 27 อิสอัคพูดกับพวกเขาว่า “ทำไมพวกท่านจึงมาหาข้าพเจ้า ในเมื่อท่านเกลียดชังข้าพเจ้า และให้ข้าพเจ้าไปจากพวกท่านแล้ว” 28 พวกเขาตอบว่า “พวกเราเห็นอย่างชัดเจนแล้วว่า พระผู้เป็นเจ้าสถิตกับท่าน พวกเราจึงตัดสินใจว่าเราควรร่วมสาบานกันระหว่างท่านและเรา ให้พวกเราทำพันธสัญญากับท่านเถิด 29 ว่าท่านจะไม่ทำสิ่งเลวร้ายใดๆ ต่อพวกเรา เช่นเดียวกับที่เราไม่ได้แตะต้องตัวท่าน หากแต่ทำสิ่งดีๆ ให้แก่ท่าน และให้ท่านจากไปอย่างสันติ บัดนี้ท่านก็ได้รับพระพรจากพระผู้เป็นเจ้า 30 อิสอัคจึงจัดเลี้ยงให้พวกเขา เขาก็รับประทานและดื่มกัน 31 พอรุ่งเช้าเขาทั้งหลายลุกขึ้นแต่เช้าตรู่เพื่อสาบานต่อกันและกัน แล้วอิสอัคล่ำลาชายทั้งสาม พวกเขาได้จากไปโดยสันติ 32 ในวันเดียวกันนั้น พวกผู้รับใช้ของอิสอัคมาบอกท่านเรื่องบ่อน้ำที่ได้ขุดกันไว้ และบอกท่านว่า “พวกเราพบน้ำแล้ว” 33 ท่านเรียกชื่อบ่อว่า ชิบาห์ ฉะนั้นชื่อเมืองจึงเป็น เบเออร์เช-บา

34 เมื่อเอซาวมีอายุ 40 ปี เขาได้ยูดิธบุตรหญิงของเบเออรีชาวฮิต และบาเสมัทบุตรหญิงของเอโลนชาวฮิตเช่นกันเป็นภรรยา 35 หญิงทั้งสองทำให้ชีวิตของอิสอัคและเรเบคาห์มีแต่ความทุกข์

ยาโคบรับพรจากอิสอัค

27 เมื่ออิสอัคชราลง ตามัวจนมองไม่เห็น ท่านได้เรียกเอซาวบุตรชายหัวปีของท่านมา และกล่าวว่า “ลูกเอ๋ย” เขาก็ตอบว่า “ข้าพเจ้าอยู่นี่” ท่านพูดว่า “ดูสิ พ่อแก่แล้ว เมื่อไหร่จะถึงวันตายก็ไม่รู้ เอาล่ะ เจ้าเอาอาวุธของเจ้าออกไป เอาแล่งธนูและคันธนูของเจ้าไปในทุ่ง แล้วล่าเนื้อมาให้พ่อ จงเตรียมอาหารอร่อยๆ ที่พ่อชอบ แล้วเอามาให้พ่อกิน พ่อจะได้ให้พรแก่เจ้าก่อนตาย”

ขณะที่อิสอัคพูดกับเอซาวบุตรของตนอยู่ เรเบคาห์ก็แอบฟัง ดังนั้น เมื่อเอซาวออกไปในทุ่งเพื่อล่าเนื้อ เรเบคาห์พูดกับยาโคบบุตรของนางว่า “แม่ได้ยินพ่อของเจ้าพูดกับเอซาวพี่ชายของเจ้าว่า ‘เอาเนื้อมาให้พ่อ เตรียมอาหารอร่อยๆ ให้พ่อกิน แล้วพ่อจะให้พรแก่เจ้าต่อหน้าพระผู้เป็นเจ้าก่อนพ่อตาย’ มาเถิด ลูกแม่ จงเชื่อฟังคำของแม่ตามที่แม่สั่งเจ้า จงไปที่ฝูงแพะแกะ เลือกลูกแพะดีๆ มาให้แม่ 2 ตัว จะได้เตรียมอาหารอร่อยๆ ที่พ่อของเจ้าชอบ 10 แล้วเจ้าจะเป็นคนเอาอาหารไปให้พ่อของเจ้ากิน ท่านจะได้ให้พรแก่เจ้าก่อนตาย” 11 แต่ยาโคบพูดกับเรเบคาห์มารดาของตนว่า “ดูสิ เอซาวพี่ชายของลูกเป็นคนมีขนดก แต่ลูกขนไม่ดก 12 พ่ออาจจะจับตัวลูก ท่านจะเห็นว่าลูกพยายามหลอกลวงท่าน แล้วจะสาปแช่งลูกแทนการให้พร” 13 มารดาพูดกับเขาว่า “ให้การสาปแช่งของเจ้าตกเป็นของแม่ ลูกเอ๋ย เพียงแต่เชื่อฟังคำของแม่ ไปเถิด หาลูกแพะมาให้แม่”

14 ดังนั้น เขาจึงไปเอาลูกแพะมาให้มารดา และนางก็เตรียมอาหารอร่อยๆ ที่บิดาของเขาชอบ 15 ครั้นแล้วเรเบคาห์ก็หยิบเสื้อผ้าชุดดีที่สุดของเอซาวบุตรหัวปีของนางมา เป็นเสื้อที่นางเก็บไว้ที่บ้าน นางสวมใส่ให้ยาโคบบุตรคนเล็ก 16 นางหุ้มมือและคอที่เกลี้ยงเกลาของเขาด้วยหนังลูกแพะ 17 และยื่นอาหารอร่อยๆ กับขนมปังที่เตรียมไว้ให้กับมือของยาโคบบุตรของนาง

18 เขาก็เข้าไปหาบิดา และพูดว่า “พ่อท่าน” ท่านตอบว่า “พ่ออยู่นี่ เจ้าเป็นใคร ลูกหรือ” 19 ยาโคบพูดกับบิดาของตนว่า “ลูกเป็นเอซาวลูกหัวปีของพ่อ ลูกทำตามที่พ่อบอก พ่อลุกขึ้นนั่งรับประทานเนื้อที่ลูกล่ามาได้เถิด พ่อจะได้ให้พรแก่ลูก” 20 แต่อิสอัคถามบุตรของตนว่า “ลูกเอ๋ย เจ้าหาเนื้อมาเร็วขนาดนี้ได้อย่างไร” เขาตอบว่า “เพราะว่าพระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของพ่อช่วยหาให้ลูก” 21 แล้วอิสอัคพูดกับยาโคบว่า “เข้ามาใกล้ๆ สิ พ่อจะได้จับตัวเจ้า ลูกเอ๋ย พ่อจะได้รู้ว่าเจ้าเป็นเอซาวลูกของพ่อจริงหรือเปล่า” 22 ยาโคบจึงเข้าไปใกล้อิสอัคบิดาของตน ท่านจับตัวเขาและพูดว่า “เสียงก็เป็นเสียงของยาโคบ แต่มือเป็นมือของเอซาว” 23 ท่านจำเขาไม่ได้ เพราะมือของเขามีขนดกเหมือนมือเอซาวพี่ชายของเขา ดังนั้นท่านจึงให้พรแก่เขา 24 ท่านถามว่า “เจ้าเป็นเอซาวลูกของพ่อจริงหรือ” เขาตอบว่า “จริง” 25 แล้วท่านพูดว่า “เอามาให้พ่อสิ พ่อจะได้กินเนื้อที่ลูกหามา แล้วจะให้พรแก่เจ้า” ยาโคบเอาอาหารมาให้ท่าน ท่านก็รับประทาน เขาเอาเหล้าองุ่นมาให้ท่าน และท่านก็ดื่ม

26 แล้วอิสอัคบิดาของเขาพูดกับเขาว่า “ลูกเอ๋ย เข้ามาใกล้ๆ และจูบแก้มพ่อ” 27 เขาจึงเข้าไปใกล้และจูบแก้มท่าน ท่านดมได้กลิ่นเสื้อผ้าของเอซาว แล้วให้พรแก่ยาโคบพลางพูดว่า

“โอ กลิ่นลูกชายของฉัน
    ช่างเหมือนกลิ่นทุ่งที่
    พระผู้เป็นเจ้าได้อวยพร
28 ขอให้พระเจ้าโปรดให้เจ้าได้รับน้ำค้างจากฟ้าสวรรค์
    ได้รับความอุดมจากแผ่นดิน
    รวมทั้งธัญพืชและเหล้าองุ่นอย่างเปี่ยมล้น
29 ให้ชนชาติทั้งหลายรับใช้เจ้า
    และบรรดาประชาชาติก้มลงนอบน้อมเจ้า
จงเป็นนายเหนือญาติพี่น้องของเจ้า
    ให้บรรดาลูกชายของมารดาของเจ้าก้มลงนอบน้อมเจ้า
ทุกคนที่สาปแช่งเจ้าจะถูกสาปแช่ง
    และทุกคนที่อวยพรเจ้าจะได้รับพร”

30 ทันทีที่อิสอัคให้พรแก่ยาโคบจบ ยาโคบเพิ่งจะออกไปพ้นหน้าอิสอัคบิดาของเขา เอซาวพี่ชายของเขาก็กลับเข้ามาจากการล่าเนื้อ 31 เขาทำอาหารอร่อยมาด้วย และกำลังนำมาให้บิดา เขาพูดกับบิดาว่า “ท่านพ่อลุกขึ้นรับประทานเนื้อที่ลูกของท่านล่ามาได้เถิด แล้วท่านจะได้ให้พรแก่ลูก” 32 อิสอัคบิดาของเขากล่าวว่า “เจ้าเป็นใคร” เขาตอบว่า “ข้าพเจ้าเป็นลูกของพ่อ เอซาวลูกหัวปีของพ่อไง” 33 อิสอัคก็ตัวสั่นเทา พลางพูดว่า “แล้วใครเล่าที่ล่าเนื้อ แล้วนำมาให้พ่อ พ่อก็กินหมดก่อนที่เจ้าจะเข้ามา พ่อให้พรแก่เขาแล้วด้วย ใช่แล้ว เขาจะได้รับพรแน่” 34 เมื่อเอซาวได้ยินคำพูดของบิดา เขาก็ร้องตะโกนเสียงลั่นด้วยความขมขื่น และพูดกับบิดาว่า “โอ พ่อของลูก ให้พรแก่ลูกเถิด ให้พรแก่ลูกด้วย” 35 แต่ท่านกล่าวว่า “น้องชายของเจ้ามาหลอกลวงพ่อ แล้วเขาเอาพรของเจ้าไปแล้ว” 36 เอซาวพูดว่า “ยาโคบช่างเป็นชื่อที่เหมาะสมกับเขาเสียจริง เพราะเขาสวมรอยลูกมา 2 หนแล้ว เขาชิงเอาสิทธิของลูกหัวปีของลูกไปแล้ว ดูนี่สิ คราวนี้เขาชิงเอาพรของลูกไป” แล้วเขาพูดต่ออีกว่า “พ่อไม่มีพรสำรองไว้ให้ลูกบ้างเลยหรือ” 37 อิสอัคตอบเอซาวว่า “ดูสิ พ่อทำให้เขาเป็นนายของเจ้า และพ่อให้ญาติพี่น้องของเขาเป็นผู้รับใช้เขา พ่อให้เขามีธัญพืชและเหล้าองุ่นสะสมไว้มากมาย ลูกของพ่อเอ๋ย แล้วพ่อจะช่วยอะไรเจ้าได้เล่า” 38 เอซาวพูดกับบิดาของเขาว่า “พ่อของลูก พ่อมีเพียงพรเดียวเท่านั้นหรือ ให้พรแก่ลูกเถิด ให้พรแก่ลูกด้วย โอ พ่อของลูก” เอซาวแผดเสียงขึ้น แล้วก็ร้องไห้

39 แล้วอิสอัคบิดาของเขาตอบเขาว่า

“ฟังนะ บ้านเรือนของเจ้า
    จะอยู่ไกลจากแผ่นดินอันอุดม
    อยู่ไกลจากน้ำค้างจากฟ้าสวรรค์เบื้องบน
40 เจ้าจะมีชีวิตอยู่ได้ด้วยการใช้คมดาบ
    และเจ้าจะรับใช้น้องของเจ้า
แต่เมื่อเจ้าฮึดสู้
    เจ้าจะสลัดแอกของเขา
    หลุดจากคอของเจ้า”

41 เอซาวเกลียดชังยาโคบ เพราะบิดาของเขาได้ให้พรแก่เขา เอซาวจึงรำพันขึ้นว่า “วันที่จะต้องร้องคร่ำครวญถึงพ่อใกล้จะถึงแล้ว แล้วฉันจะฆ่ายาโคบน้องชายของฉัน” 42 แต่มีคนไปบอกนางเรเบคาห์ถึงสิ่งที่เอซาวบุตรคนโตของนางกำลังจ้องที่จะทำ นางจึงให้คนไปเรียกยาโคบบุตรคนเล็กของนางมา และบอกว่า “ดูสิ เอซาวพี่ชายของเจ้าปลอบใจตัวเองโดยมีแผนจะฆ่าเจ้า 43 ฉะนั้นลูกเอ๋ย ตอนนี้เจ้าจงเชื่อฟังแม่ ไปเถิด หนีไปหาลาบันพี่ชายของแม่ที่ฮาราน 44 และอยู่กับเขาสักพักหนึ่ง จนกว่าพี่ชายของเจ้าจะคลายความฉุนเฉียว 45 เมื่อพี่ชายเจ้าหายโกรธจนลืมว่าเจ้าทำอะไรกับเขาไว้ แล้วแม่จะส่งคนไปรับตัวเจ้ามาจากที่นั่น แม่ไม่อยากเสียลูกทั้งสองคนในวันเดียว”

46 แล้วเรเบคาห์พูดกับอิสอัคว่า “ฉันเอือมระอากับผู้หญิงชาวฮิตเหลือเกิน ถ้ายาโคบหาภรรยาได้จากพวกผู้หญิงชาวฮิต คือผู้หญิงจากดินแดนนี้ ฉันก็คงไม่อยากมีชีวิตอยู่ต่อไปอีกแล้ว”

28 อิสอัคจึงเรียกยาโคบมาและให้พรแก่เขา พร้อมกับสั่งว่า “เจ้าจะต้องไม่แต่งงานกับหญิงชาวคานาอัน ไปเถิด ไปยังปัดดานอารัม ไปยังบ้านของเบธูเอลบิดาของแม่เจ้า และหาภรรยาจากที่นั่น จากลูกสาวคนใดคนหนึ่งของลาบันพี่ชายของแม่เจ้า ขอพระเจ้าผู้กอปรด้วยมหิทธานุภาพอวยพรเจ้า ให้เจ้าเกิดลูกเต็มบ้านหลานเต็มเมือง และทวีคนของเจ้าขึ้น เจ้าจะได้เป็นชนชาติกลุ่มใหญ่กลุ่มหนึ่ง ขอพระองค์ให้พรแก่เจ้าและแก่บรรดาผู้สืบเชื้อสายของเจ้า ตามที่ได้สัญญาอับราฮัมไว้ คือเจ้าจะได้ครอบครองแผ่นดินที่เจ้ากำลังอพยพไปอยู่ อันเป็นสิ่งที่พระเจ้าได้ให้แก่อับราฮัม” ดังนั้นอิสอัคส่งยาโคบออกเดินทางไป เขาจึงไปปัดดานอารัม ไปหาลาบันบุตรของเบธูเอลชาวอารัม พี่ชายของเรเบคาห์มารดาของยาโคบและเอซาว

เอซาวแต่งงานกับชาวอิชมาเอล

ฝ่ายเอซาวเห็นว่าอิสอัคได้อวยพรยาโคบ และส่งเขาไปยังปัดดานอารัมเพื่อหาภรรยาจากที่นั่น และขณะที่อวยพรเขา ท่านก็สั่งด้วยว่า “เจ้าจะต้องไม่แต่งงานกับหญิงคานาอัน” ยาโคบก็เชื่อฟังบิดามารดาของเขา และไปยังปัดดานอารัม ฉะนั้นเมื่อเอซาวเห็นว่าหญิงชาวคานาอันไม่เป็นที่พอใจอิสอัคบิดาของตน เอซาวจึงไปหาอิชมาเอลบุตรของอับราฮัม ทั้งๆ ที่เอซาวมีภรรยาอยู่บ้างแล้ว แต่ก็ยังไปแต่งงานกับมาหะลัทบุตรหญิงของอิชมาเอล ซึ่งเป็นน้องสาวของเนบาโยท

ยาโคบฝันที่เบธเอล

10 ยาโคบออกจากเมืองเบเออร์เช-บา และไปยังเมืองฮาราน 11 เมื่อมาถึงที่แห่งหนึ่งจึงพักแรมที่นั่น เพราะดวงอาทิตย์ตกแล้ว เขาหยิบหินก้อนหนึ่งมาหนุนศีรษะ เอนกายลงนอนอยู่ที่นั่น 12 แล้วเขาก็ฝันว่ามีบันไดอันหนึ่งตั้งไว้บนพื้นดิน หัวบันไดพาดไว้ที่ฟ้าสวรรค์ มีบรรดาทูตสวรรค์ของพระเจ้ากำลังขึ้นและลงบันไดอยู่[ab] 13 และพระผู้เป็นเจ้ายืนอยู่เหนือบันได พลางกล่าวว่า “เราคือพระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของอับราฮัมบิดาของเจ้า และพระเจ้าของอิสอัค เราจะให้ดินแดนที่เจ้านอนอยู่นี้แก่เจ้าและแก่บรรดาผู้สืบเชื้อสายของเจ้า 14 และบรรดาผู้สืบเชื้อสายของเจ้าจะมีจำนวนมากเท่าฝุ่นผงในโลก และเจ้าจะขยายหมู่ชนกว้างออกไปจนจรดทิศตะวันตกและทิศตะวันออก ทิศเหนือและทิศใต้ และบรรดาชุมชนในโลกจะได้รับพรโดยผ่านเจ้าและบรรดาผู้สืบเชื้อสายของเจ้า[ac] 15 ดูเถิด เราอยู่กับเจ้า และจะคุ้มครองเจ้าไม่ว่าเจ้าจะไปไหน และจะนำเจ้ากลับมายังดินแดนนี้ เพราะเราจะไม่จากเจ้าไปจนกว่าเราจะกระทำสิ่งที่เราได้สัญญาไว้เสียก่อน” 16 ครั้นแล้ว ยาโคบก็ตื่นขึ้นและพูดว่า “พระผู้เป็นเจ้าอยู่ที่นี่อย่างแน่นอน แต่ฉันเองกลับไม่รู้” 17 เขารู้สึกกลัวและพูดว่า “สถานที่นี้ช่างน่าเกรงขามอะไรเช่นนี้ ไม่อาจเป็นที่อื่นใดไปได้ นอกจากจะเป็นพระตำหนักของพระเจ้า และนี่ก็เป็นประตูทางเข้าสวรรค์”

18 ดังนั้น ยาโคบลุกขึ้นแต่เช้าตรู่ และเขาตั้งก้อนหินที่ใช้หนุนศีรษะขึ้น และเทน้ำมันลงบนหินนั้น 19 เขาเรียกชื่อสถานที่นั้นว่า เบธเอล[ad] แต่เดิมทีเดียวเมืองนั้นชื่อลูส

New Thai Version (NTV-BIBLE)

Copyright © 1998, 2012, 2020 by New Thai Version Foundation