Print Page Options
Previous Prev Day Next DayNext

Bible in 90 Days

An intensive Bible reading plan that walks through the entire Bible in 90 days.
Duration: 88 days
New Thai Version (NTV-BIBLE)
Version
ปฐมกาล 28:20-40:11

20 แล้วยาโคบก็สาบานว่า “ถ้าพระเจ้าจะอยู่กับข้าพเจ้า และจะคุ้มครองข้าพเจ้าเวลาข้าพเจ้าเดินทางไป และจะให้อาหารข้าพเจ้ารับประทาน ให้เสื้อผ้าข้าพเจ้านุ่งห่ม 21 เพื่อให้ข้าพเจ้ากลับมายังบ้านบิดาของข้าพเจ้าอย่างปลอดภัย แล้วพระผู้เป็นเจ้าก็จะเป็นพระเจ้าของข้าพเจ้า 22 และก้อนหินที่ข้าพเจ้าตั้งไว้เป็นเสาหลักจะเป็นที่พำนักของพระเจ้า และหนึ่งในสิบของทุกสิ่งที่พระองค์ให้แก่ข้าพเจ้านั้น ข้าพเจ้าก็จะมอบแด่พระองค์”

ยาโคบแต่งงานกับเลอาห์และราเชล

29 ครั้นแล้ว ยาโคบก็เดินทางต่อไป และมาถึงดินแดนของชาวตะวันออก ขณะที่เขาทอดสายตา ก็เห็นบ่อน้ำในทุ่ง ดูเถิด มีแพะแกะ 3 ฝูงหมอบพักอยู่ข้างบ่อ เพราะฝูงแพะแกะอาศัยน้ำจากบ่อนั้น หินที่ปิดปากบ่อก็ใหญ่ เวลาพวกฝูงแพะแกะถูกต้อนรวมกันอยู่ที่นั่น คนเลี้ยงแกะก็จะกลิ้งหินออกจากปากบ่อ แล้วตักน้ำให้แพะแกะกิน เสร็จแล้วก็กลิ้งหินกลับปิดปากบ่อ

ยาโคบพูดกับพวกเขาว่า “พี่น้องเอ๋ย พวกท่านมาจากไหน” เขาตอบว่า “พวกเรามาจากฮาราน” ยาโคบจึงถามเขาว่า “ท่านรู้จักลาบันลูกชายของนาโฮร์หรือไม่” พวกเขาตอบว่า “เรารู้จักเขา” ยาโคบถามพวกเขาว่า “เขาสบายดีหรือ” เขาตอบว่า “เขาสบายดี ดูโน่น ราเชลลูกสาวของเขากำลังพาแพะแกะมา” ยาโคบพูดว่า “ดูสิ นี่ก็ยังวันอยู่ ยังไม่ถึงเวลาต้อนสัตว์เข้าคอก ให้น้ำแพะแกะกินเถิด แล้วปล่อยมันออกไปกินหญ้าอีก” แต่พวกเขาตอบว่า “เราทำไม่ได้จนกว่าทุกฝูงถูกต้อนมารวมกันก่อน และต้องกลิ้งหินออกไปจากปากบ่อ แล้วเราจึงให้น้ำแพะแกะกินได้”

ขณะที่เขากำลังพูดกับคนพวกนั้นอยู่ ราเชลก็พาแพะแกะของบิดาเธอมา เพราะเธอเป็นผู้เลี้ยงดูฝูงแกะ 10 เมื่อยาโคบเห็นราเชลบุตรหญิงของลาบันพี่ชายมารดาของตน และแพะแกะของลาบันพี่ชายมารดาของเขา ยาโคบจึงขึ้นไปกลิ้งหินออกจากปากบ่อ และให้น้ำแก่ฝูงแพะแกะของลาบันพี่ชายมารดาของตน 11 ยาโคบก็จูบแก้มราเชลแล้วร้องไห้เสียงดัง 12 และยาโคบบอกราเชลว่าเขาเป็นญาติของบิดาของเธอ คือเป็นบุตรของนางเรเบคาห์ เธอจึงวิ่งไปบอกบิดาของเธอ

13 เมื่อลาบันได้ยินเรื่องราวของยาโคบลูกน้องสาวของตน ก็วิ่งไปพบกับเขา กอดและจูบแก้มเขา แล้วพาเขาไปที่บ้าน ยาโคบเล่าเรื่องราวต่างๆ ให้ลาบันฟัง 14 ลาบันจึงพูดกับเขาว่า “เจ้าเป็นเลือดเนื้อเชื้อไขของเราโดยแท้” และยาโคบอยู่กับลาบัน 1 เดือน

15 ลาบันพูดกับยาโคบว่า “เพราะเจ้าเป็นญาติของเรา เจ้าจะรับใช้เราเปล่าๆ หรือไง บอกเราเถิดว่าต้องการค่าจ้างเท่าไหร่” 16 ลาบันมีบุตรหญิง 2 คน คนโตชื่อเลอาห์ และคนเล็กชื่อราเชล 17 ดวงตาของเลอาห์นั้นมีแววอ่อนโยน ส่วนราเชลมีรูปร่างดี ใบหน้างดงาม 18 ยาโคบรักราเชล เขาจึงพูดว่า “ฉันจะทำงานรับใช้ลุง 7 ปีเพื่อขอราเชลลูกสาวคนเล็กของลุง” 19 ลาบันตอบว่า “เรายกเธอให้เจ้าดีกว่าที่จะยกให้ชายอื่น อยู่กับเราเถิด” 20 ฉะนั้นยาโคบรับใช้อยู่ 7 ปีเพื่อราเชล และเขารู้สึกว่า 7 ปีนานเหมือนไม่กี่วันเท่านั้น เพราะความรักที่เขามีต่อเธอ

21 แล้วยาโคบพูดกับลาบันว่า “ในเมื่อฉันทำงานครบกำหนดเวลาแล้ว ขอให้ฉันได้ภรรยาเถิด ฉันจะได้ครองคู่กับเธอ” 22 ลาบันจึงเชื้อเชิญผู้คนในละแวกนั้นมาเลี้ยงฉลอง 23 แต่เมื่อค่ำลงลาบันพาเลอาห์บุตรหญิงของเขามามอบให้ยาโคบแทน ยาโคบก็ได้นางเป็นภรรยา 24 (ลาบันให้ศิลปาห์สาวรับใช้ของตนไปเป็นผู้รับใช้เลอาห์บุตรหญิง) 25 พอรุ่งเช้า ยาโคบจึงพบว่าหญิงนั้นเป็นเลอาห์ เขาจึงพูดกับลาบันว่า “ทำไมลุงจึงทำกับฉันเช่นนี้ ฉันไม่ได้รับใช้ลุงเพื่อราเชลหรือ แล้วทำไมลุงจึงหลอกลวงฉัน” 26 ลาบันพูดว่า “ไม่ใช่ประเพณีของพวกเราที่จะยกคนเล็กให้ก่อนคนหัวปี 27 เจ้ารอให้พิธี 7 วันนี้เสร็จเรียบร้อยลงก่อน แล้วเราจะยกอีกคนให้เจ้าด้วย เป็นการแลกเปลี่ยนกับการรับใช้ของเจ้าอีก 7 ปี” 28 ยาโคบทำตามจนเสร็จพิธี 7 วันกับเลอาห์ แล้วลาบันก็ยกราเชลบุตรหญิงของตนให้เป็นภรรยา 29 (ลาบันให้บิลฮาห์สาวรับใช้ของตนไปเป็นผู้รับใช้ราเชลบุตรหญิง) 30 ยาโคบจึงได้ราเชลเป็นภรรยา เขารักราเชลมากกว่าเลอาห์ และอยู่รับใช้ลาบันต่อไปอีก 7 ปี

บุตรของยาโคบ

31 เมื่อพระผู้เป็นเจ้าเห็นว่าเลอาห์เป็นที่เกลียดชัง พระองค์จึงเปิดครรภ์ของนาง แต่ราเชลเป็นหมัน 32 เลอาห์ตั้งครรภ์และให้กำเนิดบุตรชาย นางตั้งชื่อเขาว่า รูเบน เพราะนางพูดว่า “เพราะพระผู้เป็นเจ้าเห็นความทุกข์ใจ คราวนี้สามีฉันจะรักฉันอย่างแน่นอน” 33 นางตั้งครรภ์อีก และให้กำเนิดบุตรชาย นางพูดว่า “เพราะพระผู้เป็นเจ้าได้ยินแล้วว่า ฉันเป็นที่เกลียดชัง พระองค์จึงได้ให้ลูกชายคนนี้แก่ฉันด้วย” และนางตั้งชื่อเขาว่า สิเมโอน 34 นางตั้งครรภ์อีก และให้กำเนิดบุตรชาย นางพูดว่า “คราวนี้สามีฉันจะผูกพันกับฉัน เพราะฉันให้กำเนิดลูกชายแก่เขา 3 คนแล้ว” ฉะนั้นเขาถูกตั้งชื่อว่า เลวี 35 นางตั้งครรภ์อีก และให้กำเนิดบุตรชาย นางพูดว่า “ครั้งนี้ ฉันจะสรรเสริญพระผู้เป็นเจ้า” ฉะนั้นนางตั้งชื่อเขาว่า ยูดาห์ จากนั้นนางก็ไม่มีบุตรอีก

30 เมื่อราเชลเห็นว่านางไม่สามารถให้กำเนิดบุตรแก่ยาโคบได้ ก็เกิดอิจฉาพี่สาว และนางพูดกับยาโคบว่า “ทำให้ฉันมีลูกด้วย มิฉะนั้นฉันจะตาย” ยาโคบเดือดดาลกับราเชล เขาจึงพูดว่า “เจ้าเห็นว่าเราเป็นพระเจ้าหรือ พระองค์นั่นแหละเป็นผู้ที่ทำให้เจ้าไม่มีลูก” นางพูดว่า “นี่บิลฮาห์หญิงรับใช้ของฉัน หลับนอนกับนางเถิด นางจะได้มีลูกให้ฉัน แม้ตัวฉันเองก็ยังจะมีลูกได้โดยผ่านนาง” ราเชลให้บิลฮาห์หญิงรับใช้ของนางไปเป็นภรรยาของเขา แล้วยาโคบก็ได้นางเป็นภรรยา บิลฮาห์ตั้งครรภ์และให้กำเนิดบุตรชายแก่เขา ราเชลพูดว่า “พระเจ้าได้ให้ความเป็นธรรมแก่ข้าพเจ้า พระองค์ได้ยินเสียงของฉันด้วย และให้ลูกชายคนหนึ่งแก่ฉัน” ฉะนั้นนางจึงตั้งชื่อเขาว่า ดาน บิลฮาห์หญิงรับใช้ของราเชลตั้งครรภ์อีก และให้กำเนิดบุตรชายคนที่สอง ราเชลพูดว่า “ฉันสู้กับพี่สาวของฉันอย่างหนัก และก็สำเร็จด้วย” นางจึงตั้งชื่อลูกว่า นัฟทาลี

เมื่อเลอาห์เห็นว่านางหยุดมีบุตรแล้ว นางจึงให้ศิลปาห์หญิงรับใช้ของนางไปเป็นภรรยาของยาโคบ 10 แล้วศิลปาห์หญิงรับใช้ของเลอาห์ก็ให้กำเนิดบุตรชายแก่ยาโคบ 11 เลอาห์พูดว่า “โชคดีจริง” นางจึงตั้งชื่อเขาว่า กาด 12 ศิลปาห์หญิงรับใช้ของเลอาห์ให้กำเนิดบุตรชายคนที่สองแก่ยาโคบ 13 และเลอาห์พูดว่า “ฉันมีความสุข เพราะบรรดาผู้หญิงจะนับว่าฉันมีความสุขแล้ว” นางจึงตั้งชื่อเขาว่า อาเชอร์

14 ในฤดูเกี่ยวข้าวสาลี รูเบนเข้าไปในทุ่งและพบผลดูดาอิม[a] เขาจึงเก็บมาให้เลอาห์มารดาของตน และราเชลพูดกับเลอาห์ว่า “ขอผลดูดาอิมของลูกชายเธอให้ฉันกินบ้างได้ไหม” 15 แต่เลอาห์ตอบนางว่า “เธอแย่งสามีของฉันไปยังไม่พอ แล้วเธอจะแย่งผลดูดาอิมของลูกชายฉันไปอีกหรือ” ราเชลพูดว่า “เธอนอนกับยาโคบคืนนี้ก็ได้ ถ้าเธอให้ผลดูดาอิมของลูกชายเธอแก่ฉัน” 16 เมื่อยาโคบกลับมาจากทุ่งในเวลาเย็น เลอาห์ก็ออกไปพบเขา และพูดว่า “ท่านอยู่กับฉันในคืนนี้ เพราะฉันได้จ่ายค่าตัวท่านเป็นผลดูดาอิมของลูกชายฉัน” เขาจึงอยู่กับนางในคืนนั้น 17 และพระเจ้าได้ยินเลอาห์ นางจึงตั้งครรภ์และให้กำเนิดบุตรชายคนที่ห้าแก่ยาโคบ 18 เลอาห์พูดว่า “พระเจ้าได้ให้รางวัลแก่ฉัน เพราะฉันให้หญิงรับใช้แก่สามีของฉัน” นางจึงตั้งชื่อเขาว่า อิสสาคาร์

19 เลอาห์ตั้งครรภ์อีก และนางให้กำเนิดบุตรชายคนที่หกแก่ยาโคบ 20 เลอาห์พูดว่า “พระเจ้าได้มอบของประทานที่ดีแก่ฉัน คราวนี้สามีฉันจะให้เกียรติฉัน เพราะฉันได้ให้กำเนิดลูกชาย 6 คนแก่เขา” นางจึงตั้งชื่อเขาว่า เศบูลุน 21 หลังจากนั้นนางให้กำเนิดบุตรหญิง และตั้งชื่อเธอว่า ดีนาห์

22 แล้วพระเจ้านึกถึงราเชล พระองค์ได้ยินนาง และเปิดครรภ์ของนาง 23 นางตั้งครรภ์และให้กำเนิดบุตรชาย นางพูดว่า “พระเจ้าได้กำจัดความอับอายของฉัน” 24 และนางตั้งชื่อเขาว่า โยเซฟ นางพูดว่า “ขอให้พระผู้เป็นเจ้าโปรดให้ฉันได้ลูกชายอีกคนเถิด”

ความเจริญก้าวหน้าของยาโคบ

25 เมื่อราเชลให้กำเนิดโยเซฟ ยาโคบพูดกับลาบันว่า “ให้ฉันไปเถิด ฉันจะได้ไปยังถิ่นฐานและแผ่นดินของบรรพบุรุษของฉัน 26 ให้ภรรยาและลูกไปกับฉันเถิด เพราะฉันรับใช้ลุงมาก็เพื่อพวกเขา ปล่อยให้ฉันไป ลุงเองก็ทราบดีว่าฉันรับใช้มามากเพียงไร” 27 แต่ลาบันพูดกับเขาว่า “ได้โปรดเถิด หากว่าฉันเป็นที่พอใจในสายตาของเจ้า ก็ช่วยอยู่ที่นี่ต่อไป ฉันรู้มาจากการทำนายว่า พระผู้เป็นเจ้าอวยพรฉันก็เพราะเจ้า 28 ตั้งค่าแรงเถิด แล้วฉันจะจ่ายให้” 29 ยาโคบพูดว่า “ลุงเองก็ทราบว่าฉันรับใช้ลุงอย่างไร และปศุสัตว์เพิ่มขึ้นมากแค่ไหนขณะอยู่ในการดูแลของฉัน 30 เพราะลุงมีสัตว์เพียงไม่กี่ตัวก่อนที่ฉันมา แล้วมันก็ได้เพิ่มจำนวนมากขึ้น และไม่ว่าฉันจะทำอะไรให้ที่ไหนพระผู้เป็นเจ้าก็ได้อวยพรลุง คราวนี้ฉันควรจะทำอะไรให้ครอบครัวของฉันเองบ้าง” 31 ลาบันพูดว่า “ฉันควรจะให้อะไรเจ้า” ยาโคบตอบว่า “ลุงไม่ต้องให้อะไรฉันเลย แต่มีข้อแม้คือ ฉันจะดูแลฝูงสัตว์ของลุงต่อไป ฉันจะเฝ้าให้ 32 แต่วันนี้ให้ฉันไปสำรวจฝูงแพะแกะของลุง คัดแกะทุกตัวที่มีจุดและด่าง และลูกแกะสีดำทุกตัว อีกทั้งแพะทุกตัวที่มีจุดและด่างออกจากฝูง สัตว์พวกนี้จะเป็นค่าจ้างของฉัน 33 ลุงจะทราบได้โดยง่ายว่าฉันซื่อสัตย์กับลุงหรือไม่ในภายหน้าคือ เมื่อลุงมาตรวจค่าจ้างของฉัน ถ้าฉันมีแพะที่ไม่มีจุดหรือด่าง หรือมีแกะที่ไม่มีสีดำติด ก็ถือว่าถูกขโมยมา” 34 ลาบันพูดว่า “ดี ตกลงทำตามที่เจ้าว่า” 35 แต่ในวันนั้นลาบันเองเป็นคนคัดแพะตัวผู้ที่เป็นลายและด่าง และแพะตัวเมียทุกตัวที่มีจุดและด่าง รวมทั้งทุกตัวที่มีแต้มขาว และลูกแกะสีดำทุกตัว แล้วสั่งให้บรรดาบุตรชายของเขาดูแล 36 เขาพาสัตว์ทั้งฝูงไปให้ไกลจากยาโคบ เดินทางไปเป็นระยะเวลา 3 วัน ขณะเดียวกันยาโคบก็ดูแลฝูงสัตว์ที่เหลือของลาบัน

37 แล้วยาโคบเอากิ่งไม้สดจากต้นพ๊อพลาร์ ต้นอัลมอนด์ และต้นเพลน แล้วเขาลอกเปลือกออกเป็นริ้ว เห็นเนื้อไม้เป็นเส้นสีขาว 38 เขาวางไม้ที่ลอกเปลือกแล้วไว้ตรงหน้าฝูงสัตว์ที่ลำธาร คือรางน้ำที่ฝูงสัตว์มากินน้ำ เพราะมันผสมพันธุ์กันเวลามากินน้ำ 39 พวกฝูงสัตว์ก็ผสมพันธุ์ตรงหน้ากิ่งไม้ ฉะนั้นสัตว์จึงได้ลูกที่เป็นลาย มีจุดและด่าง 40 ยาโคบแยกแกะโดยให้ฝูงแกะหันหน้าไปทางสัตว์ที่เป็นลายและสีดำทุกตัวในฝูงของลาบัน และเขาจัดฝูงสัตว์ออกต่างหากสำหรับตนเอง ไม่ได้ปะปนไว้กับฝูงสัตว์ของลาบัน 41 เวลาตัวที่แข็งแรงในฝูงกำลังผสมพันธุ์ ยาโคบก็วางกิ่งไม้ไว้ที่ลำธารตรงหน้าฝูงสัตว์ เพื่อให้มันผสมพันธุ์ในดงกิ่งไม้นั้น 42 แต่สำหรับตัวที่อ่อนแอในฝูง เขาไม่ได้วางกิ่งไม้ไว้ที่นั่น ดังนั้นตัวที่อ่อนแอเป็นของลาบัน ส่วนตัวที่แข็งแรงกว่าเป็นของยาโคบ 43 ฉะนั้นยาโคบจึงมั่งมียิ่งๆ ขึ้น และมีแพะแกะฝูงใหญ่ อูฐ ลา และผู้รับใช้ทั้งหญิงและชาย

ยาโคบหนีไปจากลาบัน

31 ยาโคบได้ยินมาว่าพวกบุตรชายของลาบันพูดกันว่า “ยาโคบเอาทุกสิ่งที่เป็นของบิดาของเราไป และที่ร่ำรวยถึงขนาดนี้ได้ก็เพราะเขาได้มาจากบิดาของเรา” และยาโคบเห็นว่าลาบันไม่ได้ใยดีต่อเขาเหมือนก่อน พระผู้เป็นเจ้าพูดกับยาโคบว่า “จงกลับไปยังดินแดนของบรรพบุรุษของเจ้าและญาติพี่น้องของเจ้า และเราจะอยู่กับเจ้า”

ดังนั้น ยาโคบจึงให้คนไปเรียกราเชลและเลอาห์เข้าไปในทุ่งที่มีฝูงสัตว์ของเขา และพูดกับนางทั้งสองว่า “ฉันเห็นว่าบิดาของเจ้าไม่ได้ใยดีต่อฉันเหมือนแต่ก่อน แต่พระเจ้าของบิดาของฉันอยู่กับฉันมาโดยตลอด พวกเจ้าก็รู้ว่าฉันได้รับใช้บิดาของเจ้าอย่างเต็มกำลัง ถึงกระนั้น บิดาของเจ้าก็ยังโกงฉัน เปลี่ยนค่าจ้างเป็นสิบๆ ครั้ง แต่พระเจ้าไม่เคยปล่อยให้เขาทำร้ายฉัน ถ้าเขาพูดว่า ‘ตัวมีจุดด่างเป็นค่าแรงของเจ้า’ ทุกตัวก็มีลูกเป็นจุดด่าง และถ้าเขาพูดว่า ‘ตัวมีลายเป็นค่าแรงของเจ้า’ ทุกตัวก็มีลูกเป็นลาย ด้วยวิธีนี้ พระเจ้าก็ได้ส่งปศุสัตว์จากบิดาของเจ้ามาให้ฉัน 10 ในฤดูติดสัด ฉันฝันว่าได้เงยหน้าขึ้น เห็นแพะตัวผู้ผสมพันธุ์กับสัตว์ในฝูงเป็นแพะลาย มีจุดและแต้ม 11 แล้วในฝันนั้นทูตสวรรค์ของพระเจ้าได้เรียกฉัน ‘ยาโคบ’ ฉันได้ตอบว่า ‘ข้าพเจ้าอยู่นี่’ 12 พระองค์กล่าวว่า ‘เงยหน้าดูสิ แพะทุกตัวที่ผสมพันธุ์เป็นแพะลาย มีจุดและแต้ม เพราะเราเห็นทุกสิ่งที่ลาบันทำกับเจ้า 13 เราเป็นพระเจ้าที่ปรากฏแก่เจ้าที่เบธเอล เจ้าได้เจิมเสาหลัก และได้สาบานกับเราไว้ บัดนี้จงลุกขึ้น เจ้าจงไปจากดินแดนนี้ กลับไปยังดินแดนที่เจ้าเกิด’” 14 แล้วราเชลและเลอาห์ตอบเขาว่า “ไม่มีมรดกที่บ้านบิดาของเราเหลือไว้ให้พวกเราอีกแล้ว 15 บิดานับว่าพวกเราเป็นคนต่างชาติมิใช่หรือ เพราะท่านขายเราแล้ว โดยใช้เงินที่จ่ายเป็นค่าตัวเราหมดแล้ว 16 ทรัพย์สมบัติทั้งหมดที่พระเจ้าเอามาจากบิดาของเราก็เป็นของพวกเราและลูกๆ ของเรา มาบัดนี้ อะไรที่พระเจ้าได้สั่งให้ท่านทำ ก็ทำไปเถิด”

17 ดังนั้น ยาโคบจึงลุกขึ้น ให้บุตรและภรรยาขึ้นขี่อูฐ 18 เขาไล่ต้อนปศุสัตว์ และขนทรัพย์สมบัติที่สะสมได้ ปศุสัตว์ที่เขาเป็นเจ้าของ ซึ่งหามาได้จากปัดดานอารัม เพื่อไปหาอิสอัคบิดาของเขาที่ดินแดนคานาอัน 19 ขณะที่ลาบันออกไปตัดขนแกะ ราเชลก็ขโมยเอาเทวรูปประจำบ้านของบิดาของตนไปด้วย 20 ส่วนยาโคบทำให้ลาบันชาวอารัมตายใจ โดยไม่บอกให้เขารู้ว่าตนตั้งใจจะหนีไป 21 เขาเอาทุกสิ่งที่เป็นของเขาหอบหนีไป โดยข้ามแม่น้ำยูเฟรติส และตั้งหน้าเดินทางไปยังเทือกเขากิเลอาด

22 สามวันต่อมา มีคนบอกลาบันว่ายาโคบหนีไปแล้ว 23 เขาจึงพาพวกญาติออกไปตระเวนตามจับตัวยาโคบเป็นเวลาถึง 7 วัน ตามจนเข้าไปใกล้บริเวณเทือกเขากิเลอาด 24 และคืนวันหนึ่งพระเจ้าปรากฏแก่ลาบันชาวอารัมในฝัน และกล่าวกับเขาว่า “จงระวัง เจ้าจงอย่าพูดกับยาโคบเลย ไม่ว่าเรื่องดีหรือร้าย”

25 ลาบันตามมาทันยาโคบ ขณะนั้นยาโคบตั้งกระโจมอยู่ที่แถบเทือกเขา และลาบันกับพวกญาติของเขาก็ตั้งค่ายพักอยู่ที่แถบเทือกเขาในกิเลอาด 26 ลาบันพูดกับยาโคบว่า “เจ้าทำอะไร เจ้าหลอกฉัน แล้วยังพาลูกสาวของฉันหนีมาเหมือนเป็นเชลยศึก 27 ทำไมเจ้าจึงแอบเดินทางมา แถมยังหลอกฉันโดยไม่บอกกล่าวกันเลย ถ้าบอกให้รู้ ฉันพร้อมจะส่งเจ้าไปด้วยความยินดี พร้อมกับเสียงเพลงจากรำมะนาและพิณ 28 ทำไมเจ้าจึงไม่ยอมให้ฉันจูบแก้มลาลูกหลานของฉัน เจ้าทำสิ่งโง่ๆ แบบนี้ 29 ฉันมีกำลังจะทำร้ายเจ้าก็ได้ แต่พระเจ้าของบิดาของเจ้ากล่าวกับฉันเมื่อคืนว่า ‘จงระวัง เจ้าจงอย่าพูดกับยาโคบเลย ไม่ว่าเรื่องดีหรือร้าย’ 30 และบัดนี้เจ้าก็จากมาแล้ว เพราะเจ้าอยากไปบ้านบิดาของเจ้าเหลือเกิน แต่ทำไมเจ้าจึงขโมยเทวรูปของฉัน” 31 ยาโคบตอบลาบันว่า “เพราะว่าฉันกลัว ฉันคิดว่าลุงจะชิงตัวลูกสาวของลุงไปจากฉัน 32 ถ้าลุงพบว่าเทวรูปอยู่กับใครก็ตาม ผู้นั้นต้องตาย ลุงชี้ให้เห็นต่อหน้าญาติๆ ได้ว่าสิ่งไหนที่ฉันมีเป็นของลุง แล้วลุงก็ยึดไปได้เลย” ขณะนั้นยาโคบไม่ทราบว่าราเชลได้ขโมยเทวรูปมา

33 ดังนั้น ลาบันจึงเข้าไปในกระโจมของยาโคบ ของเลอาห์ และของหญิงรับใช้ 2 คน แต่ก็ไม่พบ จึงออกไปจากกระโจมของเลอาห์ แล้วเข้าไปในกระโจมของราเชล 34 ราเชลได้เอาเทวรูปไปซ่อนไว้ในอานอูฐและนางก็นั่งทับไว้ ลาบันคลำหาทั่วกระโจม แต่ก็ไม่พบ 35 นางพูดกับบิดานางว่า “ขอพ่ออย่าโกรธเลยที่ลูกลุกขึ้นยืนต้อนรับพ่อไม่ได้ เพราะลูกกำลังมีปัญหาที่ผู้หญิงเป็นทุกเดือน” ลาบันค้นหา แต่ก็ไม่พบเทวรูปประจำบ้านเลย

36 ยาโคบจึงโกรธและต่อว่าลาบัน พร้อมกับพูดว่า “ฉันมีความผิดข้อหาอะไรหรือ ฉันทำอะไรที่เป็นบาปจนลุงต้องร้อนรนตามจับตัวฉันอย่างนี้ 37 ลุงได้ค้นทุกสิ่งที่ฉันมีจนทั่วแล้ว ลุงพบของใช้ประจำบ้านอะไรบ้างที่เป็นของลุง เอามาวางไว้ต่อหน้าญาติของฉันและญาติของลุง ให้พวกเขาตัดสินระหว่างเราสองคน 38 ฉันเคยอยู่กับลุงเป็นเวลา 20 ปี แกะสาวและแพะตัวเมียของลุงไม่เคยแท้งลูก และฉันไม่เคยกินแกะตัวผู้จากฝูงของลุงเลย 39 ตัวไหนถูกสัตว์ป่าขม้ำ ฉันก็ไม่เคยเอามาให้ลุงดู ฉันรับเป็นฝ่ายเสียแทน สัตว์ที่ถูกลักขโมยไม่ว่าจะเป็นเวลากลางวันแสกๆ หรือค่ำคืน ลุงก็ให้ฉันชดใช้แทน 40 ฉันนั่นแหละที่ทนทุกข์ กลางวันที่ร้อนแทบตาย กลางคืนที่หนาวเจียนตายทั้งยังไม่ได้หลับได้นอน 41 ใช่แล้ว 20 ปีที่ฉันอยู่ที่บ้านลุง ฉันรับใช้ลุง 14 ปีเพื่อได้ลูกสาว 2 คนของลุง และ 6 ปีเพื่อได้ฝูงแพะแกะของลุง แถมลุงเปลี่ยนค่าจ้างของฉันเป็นสิบๆ ครั้ง 42 ถ้าพระเจ้าของบิดาฉัน พระเจ้าของอับราฮัม และพระเจ้าที่อิสอัคเกรงกลัวไม่ได้เป็นฝ่ายฉัน ลุงคงจะให้ฉันจากไปตัวเปล่าเป็นแน่ พระเจ้าเห็นความทุกข์ของฉัน และแรงงานจากมือของฉันเอง พระองค์จึงได้ห้ามลุงไว้เมื่อคืนวานนี้”

43 ลาบันตอบยาโคบว่า “หญิงเหล่านี้เป็นลูกสาวของฉัน เด็กๆ ก็เป็นหลานฉัน ฝูงสัตว์ก็เป็นของฉัน และทุกสิ่งที่เจ้าเห็นเป็นของฉัน วันนี้ฉันจะทำอะไรเพื่อพวกเขา หรือเพื่อลูกๆ ของเขาที่เขาให้กำเนิดมาได้บ้างเล่า 44 มาเถิด เจ้ากับฉัน เรามาทำพันธสัญญากันเพื่อเป็นพยานระหว่างเราสองคน” 45 ยาโคบจึงหยิบหินก้อนหนึ่งให้เป็นเสาหลัก 46 แล้วยาโคบพูดกับญาติของตนว่า “จงหยิบก้อนหินมา” พวกเขาก็หยิบก้อนหิน เอามารวมกันไว้เป็นกอง แล้วก็รับประทานอาหารกันใกล้กองหินที่นั่น 47 ลาบันตั้งชื่อกองหินนั้นว่า เยการ์สหดูธา แต่ยาโคบตั้งชื่อว่า กาเลเอด[b] 48 ลาบันพูดว่า “หินกองนี้เป็นพยานระหว่างเจ้ากับฉันในวันนี้” เขาจึงเรียกชื่อว่า กาเลเอด 49 ลาบันพูดต่อไปว่า “ขอให้พระผู้เป็นเจ้าคอยเฝ้าพวกเราไว้ขณะที่เราอยู่ห่างจากกัน” สถานที่นั้นจึงมีอีกชื่อว่า มิสปาห์ 50 ลาบันพูดต่ออีกว่า “ถ้าเจ้าทำไม่ดีต่อลูกสาวของฉัน หรือถ้าเจ้ามีภรรยาอื่นนอกเหนือจากลูกสาวของฉันแล้ว แม้ว่าฉันจะไม่รู้ แต่จงจำไว้ว่า พระเจ้าเป็นพยานระหว่างเจ้ากับฉัน”

51 แล้วลาบันพูดกับยาโคบว่า “ดูหินกองนี้และเสาหลักที่ฉันได้ตั้งไว้ระหว่างเจ้ากับฉัน 52 หินกองนี้เป็นพยาน และเสาหลักก็เป็นพยานว่า ฉันจะไม่ข้ามหินกองนี้ไปหาเจ้า และเจ้าจะไม่ข้ามหินกองนี้มาหาฉันเพื่อทำร้ายกัน 53 ให้พระเจ้าของอับราฮัม และพระเจ้าของนาโฮร์ คือพระเจ้าของบิดาของท่านทั้งสองตัดสินระหว่างเรา” ดังนั้น ยาโคบจึงสาบานในพระนามของพระเจ้าที่อิสอัคบิดาของตนเกรงกลัว 54 แล้วยาโคบถวายเครื่องสักการะที่แถบเทือกเขา และเรียกบรรดาญาติมารับประทานขนมปัง พวกเขาก็รับประทานและอยู่ที่แถบเทือกเขานั้นตลอดคืน

55 ลาบันลุกขึ้นแต่เช้าตรู่ จูบแก้มลาหลานๆ และบุตรหญิงของเขา อวยพรพวกเขาเสร็จแล้วก็เดินทางกลับบ้านไป

ยาโคบเตรียมประจันหน้ากับเอซาว

32 ฝ่ายยาโคบก็ไปตามทางของเขา และเหล่าทูตสวรรค์ของพระเจ้าพบกับเขา เมื่อยาโคบเห็นทูตสวรรค์ก็พูดว่า “นี่เป็นกองทัพของพระเจ้า” เขาจึงเรียกชื่อที่นั้นว่า มาหะนาอิม[c]

ยาโคบให้ผู้ส่งข่าวไปล่วงหน้า เพื่อไปหาเอซาวพี่ชายของตน ที่ดินแดนเสอีร์ในอาณาเขตเอโดม โดยสั่งว่า “เจ้าจะต้องพูดกับเอซาวนายของเราตามนี้คือ ยาโคบผู้รับใช้ของท่านฝากพูดดังนี้ว่า ‘ข้าพเจ้าได้อาศัยอยู่กับลาบันจนกระทั่งบัดนี้ และข้าพเจ้ามีโค ลา ฝูงแพะแกะ ผู้รับใช้ชายและหญิง และข้าพเจ้าส่งคนมาบอกนายท่าน เผื่อข้าพเจ้าอาจจะเป็นที่โปรดปรานในสายตาของท่านบ้าง’”

แล้วพวกผู้ส่งข่าวกลับมาบอกยาโคบว่า “พวกเราไปหาเอซาวพี่ชายของท่าน และเขากำลังมาพบท่าน มากับชาย 400 คน” ยาโคบตกใจกลัวและเป็นกังวล เขาจึงแยกผู้คนที่อยู่กับเขาพร้อมทั้งฝูงแพะแกะ ฝูงโค และอูฐออกเป็น 2 พวก โดยคิดว่า “ถ้าเอซาวโจมตีพวกหนึ่งจนราบคาบ อีกพวกที่เหลือจะได้หนีไปได้”

ยาโคบพูดว่า “โอ พระเจ้าของอับราฮัมบิดาของข้าพเจ้า และพระเจ้าของอิสอัคบิดาของข้าพเจ้า โอ พระผู้เป็นเจ้าผู้กล่าวกับข้าพเจ้าว่า ‘จงกลับไปยังประเทศของเจ้าและญาติพี่น้องของเจ้า และเราจะทำให้เจ้าเจริญ’ 10 ข้าพเจ้าไม่มีค่าแม้แต่น้อย ที่จะได้รับความรักอันมั่นคงและความสัตย์ซื่อ ที่พระองค์ได้แสดงให้ผู้รับใช้ของพระองค์เห็น เพราะครั้งที่ข้าพเจ้าข้ามแม่น้ำจอร์แดนไป ก็มีแต่ไม้เท้าเท่านั้น แต่ตอนนี้ข้าพเจ้ามีถึง 2 กลุ่ม 11 ข้าพเจ้าอธิษฐานต่อพระองค์ ให้ช่วยข้าพเจ้าให้รอดจากเงื้อมมือของพี่ชายข้าพเจ้า จากมือของเอซาว เพราะข้าพเจ้ากลัวเขา เกรงว่าเขาจะฆ่าเราทุกคนแม้กระทั่งพวกผู้หญิงและเด็ก 12 แต่พระองค์กล่าวไว้ว่า ‘เราจะทำให้เจ้าเจริญ และให้บรรดาผู้สืบเชื้อสายของเจ้ามีมากมายจนนับไม่ถ้วน ราวกับเม็ดทรายบนชายฝั่งทะเล’”

13 ฉะนั้น เขาค้างแรมที่นั่นในคืนนั้น แล้วเขาก็เลือกบางสิ่งที่เขามีติดตัวมา เพื่อเป็นของกำนัลแก่เอซาวพี่ชายของตน 14 คือแพะตัวเมีย 200 ตัว แพะตัวผู้ 20 ตัว แกะสาว 200 ตัว และแกะตัวผู้ 20 ตัว 15 อูฐแม่ลูกอ่อน 30 ตัวกับลูกของมัน โคตัวเมีย 40 ตัว โคตัวผู้ 10 ตัว ลาตัวเมีย 20 ตัว และลาตัวผู้ 10 ตัว 16 เขาแยกสัตว์เป็นฝูงๆ ให้คนรับใช้ดูแลแต่ละฝูง และบอกพวกเขาว่า “ล่วงหน้าไปก่อนเรา และเว้นระยะห่างระหว่างฝูง” 17 เขาสั่งกลุ่มแรกว่า “เมื่อเอซาวพี่ชายของเราพบเจ้าและถามเจ้าว่า ‘เจ้ารับใช้ผู้ใด เจ้ากำลังจะไปไหน และสัตว์ที่อยู่ข้างหน้าเจ้านี้เป็นของใคร’ 18 เจ้าจงบอกไปว่า ‘มันเป็นของยาโคบผู้รับใช้ของท่าน และเป็นของกำนัลฝากมาให้เอซาวนายของข้าพเจ้า และยิ่งกว่านั้น ยาโคบท่านกำลังตามหลังพวกเรามา’” 19 เขาสั่งกลุ่มที่สอง ที่สามและกลุ่มอื่นๆ ที่ดูแลฝูงสัตว์ในทำนองเดียวกันว่า “เจ้าจะต้องพูดกับเอซาวแบบเดียวกัน เวลาเจ้าพบเขา 20 และเจ้าจะพูดว่า ‘ยิ่งกว่านั้น ยาโคบผู้รับใช้ของท่านกำลังตามหลังพวกเรามา’” เพราะยาโคบคิดว่า “ฉันคงจะคืนดีกับเขาได้ด้วยของกำนัลที่ไปล่วงหน้าฉัน และหลังจากนั้นฉันก็จะเจอหน้าเขา เขาอาจจะยอมรับฉัน” 21 ดังนั้นของกำนัลจึงไปล่วงหน้าเขา และตัวเขาเองก็พักแรมที่ค่ายคืนนั้น

ยาโคบปล้ำสู้กับพระเจ้า

22 ในคืนเดียวกันนั้นเขาลุกขึ้นและพาภรรยาทั้งสอง หญิงรับใช้ 2 คน และบุตรชาย 11 คนของเขาไปข้ามลำธารยับบอก 23 เมื่อพาส่งข้ามลำธารไปแล้ว ก็ได้ส่งทุกสิ่งที่เป็นของเขาข้ามไปพร้อมกัน 24 ฝ่ายยาโคบไม่ได้ไปด้วย ครั้นแล้วก็มีชายผู้หนึ่งมาปล้ำสู้กับเขาจนถึงฟ้าสาง 25 เมื่อชายผู้นั้นเห็นว่าไม่สามารถเอาชนะยาโคบได้ระหว่างที่สู้กัน จึงแตะข้อตะโพกของยาโคบ และตะโพกของเขาเคลื่อนหลุดขณะที่สู้กัน 26 ชายผู้นั้นพูดว่า “ปล่อยเรา เพราะฟ้าจะสางแล้ว” แต่ยาโคบพูดว่า “ข้าพเจ้าจะไม่ปล่อยให้ท่านไป จนกว่าท่านจะอวยพรข้าพเจ้า” 27 ชายผู้นั้นพูดกับเขาว่า “เจ้าชื่ออะไร” เขาตอบว่า “ยาโคบ” 28 ชายผู้นั้นพูดว่า “ชื่อของเจ้าจะไม่ใช่ยาโคบอีกต่อไป แต่จะเป็นอิสราเอล[d] เพราะเจ้าได้สู้กับพระเจ้าและมนุษย์ และเจ้าก็ชนะ” 29 แล้วยาโคบถามว่า “ได้โปรดเถิด บอกข้าพเจ้าเถิดว่าท่านชื่ออะไร” แต่ชายผู้นั้นตอบว่า “ทำไมเจ้าจึงถามชื่อของเรา” แล้วก็อวยพรยาโคบที่นั่น 30 ดังนั้นยาโคบเรียกชื่อสถานที่นั้นว่า เปนูเอล พลางพูดว่า “เพราะฉันได้เห็นพระเจ้าจังหน้า และฉันยังมีชีวิตอยู่อีก” 31 ดวงอาทิตย์ขึ้นขณะที่ยาโคบข้ามเปนูเอล ขากะโผลกกะเผลกก็เพราะขาอ่อนของเขายอก 32 ฉะนั้นจนถึงบัดนี้ชาวอิสราเอลไม่รับประทานเส้นเอ็นขาอ่อนที่ข้อตะโพก เพราะพระองค์แตะข้อตะโพกของยาโคบที่เอ็นขาอ่อน

ยาโคบพบกับเอซาว

33 ยาโคบเงยหน้าขึ้นดู นั่นไง เอซาวกำลังมาพร้อมกับชาย 400 คน ท่านจึงแยกพวกลูกๆ ไว้กับเลอาห์ ราเชล และหญิงรับใช้ 2 คน ครั้นแล้วก็ให้หญิงรับใช้กับลูกๆ ของพวกนางอยู่ด้านหน้าสุด ต่อมาก็เป็นเลอาห์กับลูกๆ ของนาง และราเชลกับโยเซฟอยู่ท้ายสุด ตัวท่านเองไปล่วงหน้าพวกเขา คุกเข่าคำนับลงถึงพื้น 7 ครั้ง จนเข้าไปใกล้พี่ชายของท่าน

แต่เอซาววิ่งไปพบยาโคบ โอบกอด ซบหน้าลงที่คอ และจูบแก้มท่าน แล้วทั้งสองก็ร้องไห้ เมื่อเอซาวเงยหน้าขึ้นเห็นบรรดาผู้หญิงและเด็กๆ เขาก็ถามว่า “คนพวกที่มากับเจ้านี้เป็นใคร” ยาโคบตอบว่า “ลูกๆ ที่พระเจ้าได้กรุณามอบให้แก่ผู้รับใช้ของท่าน” พวกหญิงรับใช้กับลูกๆ เข้ามาใกล้และก้มคำนับ เลอาห์ก็เช่นกัน ทั้งนางและลูกๆ ของนางเข้ามาใกล้ๆ และก้มคำนับ และคนท้ายสุด โยเซฟกับราเชลเข้ามาใกล้และก้มคำนับ เอซาวพูดว่า “แล้วทั้งกลุ่มที่ฉันพบเล่า หมายความว่าอย่างไร” ยาโคบตอบว่า “เผื่อจะเป็นที่โปรดปรานในสายตาของนายท่าน” แต่เอซาวพูดว่า “ฉันมีพอแล้ว น้องเอ๋ย เก็บสิ่งที่เจ้ามีไว้ให้ตัวเองเถิด” 10 ยาโคบพูดว่า “ไม่ได้ ได้โปรดเถิด ถ้าข้าพเจ้าเป็นที่โปรดปรานในสายตาของท่าน กรุณารับของกำนัลจากมือข้าพเจ้า เพราะจริงๆ แล้ว ที่ข้าพเจ้าเห็นหน้าท่านก็เหมือนเห็นหน้าของพระเจ้า เนื่องจากท่านได้รับข้าพเจ้าไว้ด้วยความกรุณา 11 ข้าพเจ้าขอร้อง รับของกำนัลที่ข้าพเจ้านำมาให้ท่านไว้เถิด เพราะพระเจ้ากระทำต่อข้าพเจ้าด้วยความกรุณา และเป็นเพราะข้าพเจ้ามีพอเพียงแล้ว” ยาโคบสนับสนุนด้วยคำพูดของท่าน เอซาวจึงรับไว้

12 แล้วเอซาวพูดว่า “ไปกันเถิด ฉันจะไปล่วงหน้าเจ้า” 13 แต่ยาโคบพูดกับเขาว่า “นายท่านก็ทราบว่าพวกเด็กๆ อ่อนแอ และข้าพเจ้าต้องดูแลฝูงแพะแกะ และฝูงสัตว์มีลูกอ่อนกินนม ถ้าต้องฝืนต่อไปอีกวัน ฝูงสัตว์ทั้งหมดก็คงไม่รอด 14 ข้าพเจ้าให้นายท่านล่วงหน้าผู้รับใช้ไปก่อน และข้าพเจ้าจะนำพวกเขาไปอย่างช้าๆ ตามกำลังปศุสัตว์ที่อยู่ข้างหน้าข้าพเจ้า และตามกำลังของพวกเด็กๆ จนกว่าข้าพเจ้าจะตามนายท่านไปทันที่เสอีร์”

15 เอซาวจึงพูดว่า “ฉันจะทิ้งคนของฉันไว้กับเจ้าบ้าง” แต่ท่านพูดว่า “ไม่จำเป็นเลย ให้ข้าพเจ้าเป็นที่โปรดปรานในสายตาของนายท่านเถิด” 16 วันนั้นเอซาวจึงกลับไปยังเสอีร์ 17 แต่ยาโคบเดินทางไปยังสุคคท ท่านสร้างบ้านอยู่ สร้างเพิงให้ปศุสัตว์ของท่าน สถานที่นั้นจึงชื่อ สุคคท[e]

18 ยาโคบเดินทางจากปัดดานอารัมมาถึงเมืองเชเคมซึ่งเป็นดินแดนของคานาอันอย่างปลอดภัย ท่านตั้งค่ายอยู่ใกล้ตัวเมือง 19 ยาโคบตั้งกระโจมบนที่ดินผืนหนึ่งที่ซื้อมาจากพวกบุตรชายของฮาโมร์บิดาของเชเคม เป็นจำนวน 100 เหรียญเงิน 20 ท่านตั้งแท่นบูชาที่นั่น โดยตั้งชื่อว่า เอลเอโลเฮ-อิสราเอล[f]

ดีนาห์กับชาวฮีว

34 ฝ่ายดีนาห์บุตรหญิงที่เลอาห์ให้กำเนิดแก่ยาโคบ ออกไปเยี่ยมเยียนพวกผู้หญิงในถิ่นนั้น เมื่อเชเคมบุตรของฮาโมร์ชาวฮีวผู้นำถิ่นเห็นดีนาห์ ก็ใช้กำลังจับตัวเธอไปและข่มขืนเธอ เพราะเขามีจิตใจผูกพันอยู่กับดีนาห์บุตรหญิงของยาโคบ เขารักหญิงสาวจึงได้พูดจาอ่อนหวานกับเธอ เชเคมจึงพูดกับฮาโมร์บิดาของเขาว่า “ช่วยสู่ขอหญิงสาวคนนี้มาเป็นภรรยาลูกเถิด”

ยาโคบได้ยินว่าเชเคมได้ทำให้ดีนาห์บุตรหญิงของท่านเสียสาวแล้ว แต่พวกบุตรชายของตนอยู่กับปศุสัตว์ในทุ่ง ยาโคบจึงนิ่งเงียบไว้จนกว่าพวกเขากลับมา ขณะนั้นฮาโมร์บิดาของเชเคมออกไปพูดกับยาโคบ ลูกๆ ของยาโคบกลับมาจากทุ่ง เมื่อพวกเขาได้ยินเรื่องราวก็ตกใจ และโกรธแค้นที่เชเคมกระทำความอัปยศในอิสราเอลโดยนอนกับบุตรหญิงของยาโคบ เพราะเหตุการณ์เช่นนี้ไม่ควรเกิดขึ้น

แต่ฮาโมร์พูดกับพวกเขาว่า “จิตใจของเชเคมลูกชายฉันนึกถึงเพียงลูกสาวของท่าน ฉันขอร้องท่านให้เธอแต่งงานกับเขาเถิด มาเป็นทองแผ่นเดียวกันเถิด ยกบรรดาลูกสาวของท่านให้เรา และรับลูกสาวของเราไว้สำหรับพวกท่านเอง 10 ท่านจะได้อาศัยอยู่กับพวกเรา ท่านจะอยู่ที่ไหนก็ได้ อยู่เสียที่นี่ เดินทางได้โดยอิสระ และเป็นเจ้าของที่ดินได้” 11 เชเคมก็พูดกับบิดาและพวกพี่ชายของเธอด้วยว่า “โปรดกรุณาข้าพเจ้าเถิด และข้าพเจ้าจะให้ทุกสิ่งตามที่ท่านต้องการ 12 เรียกร้องค่าสินสอดและของขวัญจากข้าพเจ้ามากเท่าไหร่ก็ได้ ข้าพเจ้าจะให้ตามที่เรียกร้อง ขอเพียงแต่ยกเธอให้เป็นภรรยาของข้าพเจ้า”

13 พวกลูกๆ ของยาโคบตอบโกหกเชเคมและฮาโมร์บิดาของเขา เพราะเขาทำให้ดีนาห์น้องสาวของเขาเสียสาว 14 พวกเขาพูดว่า “พวกเราทำไม่ได้ การยกน้องสาวให้คนที่ไม่ได้เข้าสุหนัตเป็นความอัปยศสำหรับพวกเรา 15 มีเงื่อนไขก่อนยินยอมทำตามคือ ท่านจะต้องเป็นเหมือนพวกเราโดยให้ชายทุกคนของท่านเข้าสุหนัต 16 แล้วเราจึงจะยกลูกสาวของเราให้พวกท่าน และเราจะรับลูกสาวของท่านไว้สำหรับพวกเราเอง แล้วเราจะอาศัยร่วมกับพวกท่าน และมาเป็นชนชาติเดียวกัน 17 แต่ถ้าท่านไม่ยอมฟังเรา และไม่เข้าสุหนัต พวกเราก็จะพาลูกสาวของเราไปเสีย”

18 ข้อเสนอของพวกเขาเป็นที่พอใจของฮาโมร์และเชเคมบุตรของฮาโมร์ 19 ชายหนุ่มคนนั้นรีบทำตามคำแนะนำ เพราะเขาต้องตาต้องใจบุตรหญิงของยาโคบมาก และเขาเป็นคนสำคัญที่สุดในครอบครัวด้วย 20 ดังนั้นฮาโมร์และเชเคมบุตรของเขาจึงไปที่ประตูเมือง พูดกับพวกผู้ชายของเมืองนั้นว่า 21 “ชายพวกนี้เป็นมิตรกับเรา ปล่อยให้เขาอาศัยอยู่ในแผ่นดินและค้าขายที่นี่เถิด ดูสิ แผ่นดินออกจะกว้างใหญ่พอสำหรับพวกเขา เรามาแต่งงานกับพวกลูกสาวของเขา และยกลูกสาวของเราให้เขาไป 22 ชายเหล่านี้ยอมตกลงอาศัยอยู่กับเรา เพื่อจะได้เป็นชนชาติเดียวกันตามเงื่อนไขนี้คือ ชายของเราทุกคนจะต้องเข้าสุหนัตตามอย่างพวกเขา 23 ปศุสัตว์ของเขา ทรัพย์สมบัติ และสัตว์เลี้ยงทุกชนิดของพวกเขาจะไม่ตกเป็นของพวกเราหรือ เราเพียงตกลงกับเขา แล้วเขาก็จะอาศัยอยู่กับเรา” 24 ทุกคนที่มายังประตูเมืองก็ฟังฮาโมร์และเชเคมบุตรของเขา และชายทุกคนก็เข้าสุหนัต ทุกคนที่มายังประตูเมืองทำตามนั้น

25 สามวันต่อมา เมื่อพวกเขายังเจ็บอยู่ สิเมโอนกับเลวีบุตรของยาโคบ คือพี่ชายทั้งสองของดีนาห์คว้าดาบของตน และเข้าไปในเมืองโดยไม่มีใครทราบ เข้าไปฆ่าชายทุกคนตาย 26 เขาทั้งสองฆ่าฮาโมร์กับเชเคมบุตรของเขาด้วยคมดาบ พาดีนาห์ออกจากบ้านเชเคมแล้วหนีไป 27 และบรรดาบุตรของยาโคบไปยังที่เกิดเหตุ และริบข้าวของในเมือง เพราะน้องสาวของพวกเขาเสียสาว 28 พวกเขายึดเอาฝูงแพะแกะ ฝูงโค ลา และทุกสิ่งที่อยู่ในเมืองและในทุ่งไป 29 เขาริบทรัพย์สมบัติทั้งหมดและทุกสิ่งที่อยู่ในบ้าน และยึดตัวเด็กเล็กกับภรรยาของพวกเขาไป

30 ครั้นแล้วยาโคบก็พูดกับสิเมโอนและเลวีว่า “เจ้าหาเรื่องให้ฉัน ทำให้ฉันเป็นที่น่ารังเกียจไปทั่วถิ่นของชาวคานาอันและชาวเปริส คนของฉันมีไม่มาก ถ้าเขารวบรวมพวกเข้าด้วยกัน เพื่อต่อต้านและโจมตีฉัน ฉันก็จะต้องพินาศ ทั้งตัวฉันและครอบครัว” 31 แต่พวกเขาพูดว่า “ควรแล้วหรือที่เขากระทำต่อน้องสาวของเราเยี่ยงหญิงแพศยา”

ยาโคบกลับไปยังเบธเอล

35 พระเจ้าพูดกับยาโคบว่า “จงลุกขึ้น ไปยังเบธเอลและอาศัยอยู่ที่นั่น และสร้างแท่นบูชาถวายแด่พระเจ้า ผู้ได้ปรากฏแก่เจ้าครั้งที่เจ้าหนีเอซาวพี่ชายของเจ้าไป” ยาโคบจึงพูดกับครอบครัวของท่านและกับทุกคนที่อยู่กับท่านว่า “จงกำจัดเทวรูปต่างชาติที่เจ้าเก็บไว้ ชำระตัวให้สะอาดและเปลี่ยนเสื้อผ้าของเจ้า ไปจากที่นี่กัน ไปยังเบธเอล ฉันจะได้สร้างแท่นบูชาที่นั่นเพื่อถวายแด่พระเจ้าผู้ตอบฉันในวันที่ฉันมีความทุกข์ และอยู่กับฉันเสมอมาไม่ว่าฉันจะไปไหน” ดังนั้นพวกเขาจึงมอบบรรดาเทวรูปต่างชาติที่ตนมี และตุ้มหูที่สวมอยู่แก่ยาโคบ และยาโคบก็ซ่อนมันไว้ใต้ต้นโอ๊กที่อยู่ใกล้เชเคม

ขณะที่พวกเขาเดินทางไป เมืองที่อยู่โดยรอบเกิดความหวาดกลัวพระเจ้า จึงไม่กล้าตามไปกำจัดบุตรชายของยาโคบ ฝ่ายยาโคบกับคนทั้งหลายที่อยู่กับท่านก็มาถึงลูส (เป็นชื่อเดิมของเบธเอล) ซึ่งอยู่ในดินแดนคานาอัน ท่านสร้างแท่นบูชาที่นั่น และเรียกชื่อสถานที่นั้นว่า เอลเบธเอล[g] เพราะพระเจ้าได้ปรากฏพระองค์แก่ท่านตอนที่ท่านหนีพี่ชายมา เดโบราห์พี่เลี้ยงของเรเบคาห์สิ้นชีวิตและร่างได้ถูกฝังไว้ที่ใต้ต้นโอ๊กทางทิศใต้ของเบธเอล จึงได้ชื่อว่า อัลโลน-บาคูท[h]

เมื่อยาโคบกลับมาจากปัดดานอารัม พระเจ้าก็ปรากฏแก่ท่านอีกและให้พรแก่ท่าน 10 และพระเจ้ากล่าวกับท่านว่า “ยาโคบเป็นชื่อของเจ้า จากนี้ไปชื่อของเจ้าไม่ใช่ยาโคบอีกต่อไปแล้ว แต่อิสราเอลจะเป็นชื่อของเจ้า” ดังนั้นพระองค์เรียกชื่อท่านว่า อิสราเอล 11 และพระเจ้ากล่าวกับท่านว่า “เราเป็นพระเจ้าผู้กอปรด้วยมหิทธานุภาพ จงเกิดลูกเต็มบ้านหลานเต็มเมือง ทวีคนขึ้น ประชาชาติหนึ่งและประชาชาติกลุ่มใหญ่จะสืบเชื้อสายมาจากเจ้า และบรรดากษัตริย์จะมาจากเชื้อสายของเจ้า 12 ดินแดนที่เราให้แก่อับราฮัมและอิสอัคนั้น เราจะให้แก่เจ้า และเราจะให้ดินแดนแก่บรรดาผู้สืบเชื้อสายของเจ้าที่มาภายหลังเจ้า” 13 แล้วพระเจ้าก็จากยาโคบไป 14 ยาโคบจึงตั้งเสาหลักไว้ที่ที่พระองค์ได้กล่าวกับท่าน เป็นเสาหลักหิน ท่านเทเครื่องดื่มบูชาและน้ำมันบนเสาหลักนั้น 15 ยาโคบจึงเรียกชื่อสถานที่ที่พระเจ้าได้กล่าวกับท่านว่า เบธเอล

ราเชลและอิสอัคสิ้นชีวิต

16 แล้วพวกเขาก็เดินทางจากเบธเอลไปเอฟราธาห์ แต่ยังไม่ทันถึง ราเชลก็ถึงเวลาจวนคลอดและเจ็บครรภ์มาก 17 เมื่อนางเจ็บครรภ์มาก หมอตำแยพูดกับนางว่า “อย่ากลัวเลย เพราะท่านได้ลูกชายอีก” 18 ขณะที่วิญญาณกำลังจากร่างนางไป เพราะนางกำลังจะสิ้นลม นางเรียกชื่อเขาว่า เบนโอนี[i] แต่บิดาของเขาตั้งชื่อเขาว่า เบนยามิน[j] 19 ราเชลสิ้นชีวิต และร่างได้ถูกฝังไว้ใกล้ถนนที่จะไปเอฟราธาห์ คือเบธเลเฮม 20 ยาโคบตั้งแผ่นหินบนที่ฝังศพ เป็นแผ่นหินปักไว้บนที่ฝังศพของราเชลมาจนถึงทุกวันนี้ 21 อิสราเอลเดินทางต่อไป และตั้งกระโจมอยู่ที่อีกฝั่งของหอคอยเอเดอร์

22 ขณะที่อิสราเอลอาศัยอยู่ในดินแดนนั้น รูเบนไปนอนกับบิลฮาห์ภรรยาน้อยของบิดาของตน และอิสราเอลก็ทราบเรื่อง

ยาโคบมีบุตรชาย 12 คน 23 บุตรที่เกิดจากนางเลอาห์ชื่อ รูเบนบุตรหัวปีของยาโคบ สิเมโอน เลวี ยูดาห์ อิสสาคาร์ และเศบูลุน 24 บุตรที่เกิดจากนางราเชลชื่อ โยเซฟ และเบนยามิน 25 บุตรที่เกิดจากบิลฮาห์หญิงรับใช้ของราเชลชื่อ ดาน และนัฟทาลี 26 บุตรที่เกิดจากศิลปาห์หญิงรับใช้ของเลอาห์ชื่อ กาด และอาเชอร์ คนเหล่านี้เป็นบุตรชายของยาโคบที่กำเนิดแก่ท่านที่ปัดดานอารัม

27 ยาโคบไปหาอิสอัคบิดาของตนที่มัมเร ในคีริยาทอาร์บา (มีอีกชื่อว่า เฮโบรน) เป็นที่ที่อับราฮัมและอิสอัคเคยอพยพไปอยู่ 28 อิสอัคมีอายุยืนถึง 180 ปี 29 และเมื่ออิสอัคหมดลมหายใจ ท่านสิ้นชีวิตและก็ถูกบรรจุศพรวมไว้กับญาติพี่น้องที่ล่วงลับไปแล้ว ท่านชราและมีอายุยืนนาน เอซาวและยาโคบบุตรทั้งสองก็บรรจุศพท่าน

บรรดาผู้สืบเชื้อสายของเอซาว

36 ต่อไปนี้เป็นลำดับเชื้อสายของเอซาว (มีอีกชื่อว่า เอโดม) เอซาวได้บรรดาบุตรหญิงชาวคานาอันเป็นภรรยาคือ อาดาห์บุตรหญิงของเอโลนชาวฮิต โอโฮลีบามาห์บุตรหญิงของอานาห์ผู้เป็นบุตรของศิเบโอนชาวฮีว และบาเสมัทบุตรหญิงของอิชมาเอล และเป็นน้องสาวเนบาโยท บุตรชายที่อาดาห์ให้กำเนิดแก่เอซาวคือ เอลีฟัส บาเสมัทให้กำเนิดเรอูเอล โอโฮลีบามาห์ให้กำเนิดเยอูช ยาลาม และโคราห์ ชายที่กล่าวข้างต้นคือบุตรของเอซาวที่กำเนิดแก่เขาในดินแดนคานาอัน

เอซาวพาเหล่าภรรยา บุตรชาย บุตรหญิง และสมาชิกในครัวเรือนทั้งหมดรวมทั้งปศุสัตว์ที่มีทั้งสิ้น และทรัพย์สมบัติที่หามาได้ในดินแดนคานาอัน ไปยังดินแดนแห่งหนึ่งซึ่งไกลจากยาโคบน้องชายของเขา เพราะทรัพย์สิ่งของของทั้งสองฝ่ายมีมากเกินกว่าจะอยู่ร่วมกัน แผ่นดินที่เขาอพยพมาอยู่ด้วยกันไม่กว้างพอเลี้ยงปศุสัตว์ของทุกคน ฉะนั้นเอซาวอาศัยอยู่ในแถบเทือกเขาเสอีร์ เอซาวก็คือเอโดม

ต่อไปนี้เป็นลำดับเชื้อสายของเอซาวบิดาของชาวเอโดมในแถบเทือกเขาเสอีร์ 10 เอซาวมีบุตรชายชื่อเอลีฟัสบุตรของอาดาห์ภรรยาเอซาว และเรอูเอลบุตรของบาเสมัทภรรยาเอซาว 11 เอลีฟัสมีบุตรชื่อ เทมาน โอมาร์ เศโฟ กาทาม และเคนัส 12 เอลีฟัสบุตรเอซาวมีภรรยาน้อยชื่อทิมนา นางให้กำเนิดอามาเลขแก่เอลีฟัส ชายที่กล่าวข้างต้นคือหลานของอาดาห์ภรรยาเอซาว 13 เรอูเอลมีบุตรชื่อ นาหัท เศรัค ชัมมาห์ และมิสซาห์ ชายเหล่านี้คือหลานของบาเสมัทภรรยาเอซาว 14 โอโฮลีบามาห์ภรรยาเอซาว เป็นบุตรหญิงของอานาห์ผู้เป็นบุตรชายของศิเบโอน นางให้กำเนิดบุตรชาย 3 คนชื่อ เยอูช ยาลาม และโคราห์

15 ต่อไปนี้เป็นบรรดาต้นตระกูลที่สืบเชื้อสายจากเอซาว เอลีฟัสบุตรคนแรกของเอซาว เป็นบรรพบุรุษของตระกูลต่อไปนี้คือ เทมาน โอมาร์ เศโฟ เคนัส 16 โคราห์ กาทาม และอามาเลข ชายที่กล่าวข้างต้นเป็นต้นตระกูลที่สืบเชื้อสายจากเอลีฟัสในดินแดนของเอโดม และเป็นหลานชายของอาดาห์ 17 เรอูเอลบุตรเอซาวเป็นบรรพบุรุษของตระกูลต่อไปนี้คือ นาหัท เศรัค ชัมมาห์ และมิสซาห์ ชายที่กล่าวข้างต้นเป็นต้นตระกูลที่สืบเชื้อสายจากเรอูเอลในดินแดนของเอโดม และเป็นหลานชายของบาเสมัทภรรยาเอซาว 18 โอโฮลีบามาห์ภรรยาเอซาวมีบุตรที่เป็นต้นตระกูลดังต่อไปนี้ เยอูช ยาลาม และโคราห์ ชายเหล่านี้เป็นต้นตระกูลที่เกิดจากโอโฮลีบามาห์บุตรหญิงของอานาห์ และเป็นภรรยาเอซาว 19 ชายที่กล่าวข้างต้นเป็นบุตรของเอซาว (คือเอโดม) และเป็นต้นตระกูลของพวกเขา

20 บรรดาบุตรของเสอีร์ชาวโฮรี ซึ่งอยู่อาศัยในดินแดนคือ โลทาน โชบาล ศิเบโอน อานาห์ 21 ดีโชน เอเซอร์ และดีชาน ชายเหล่านี้เป็นต้นตระกูลชาวโฮรี บุตรทั้งหลายของเสอีร์ในดินแดนของเอโดม 22 โลทานมีบุตรชื่อ โฮรี และเฮมาม น้องสาวของโลทานชื่อทิมนา 23 โชบาลมีบุตรชื่อ อัลวาน มานาฮาท เอบาล เชโฟ และโอนัม 24 ศิเบโอนมีบุตรชื่อ อัยยาห์ และอานาห์ อานาห์เป็นคนที่พบบ่อน้ำพุร้อนในถิ่นทุรกันดาร ขณะที่เขาต้อนลาของศิเบโอนบิดาของเขาไปกินหญ้า 25 อานาห์มีบุตรชื่อดีโชน และบุตรหญิงชื่อโอโฮลีบามาห์ 26 ดีโชนมีบุตรชื่อ เฮมดาน เอชบาน อิธราน และเคราน 27 เอเซอร์มีบุตรชื่อ บิลฮาน ศาวาน และอาขาน 28 ดีชานมีบุตรชื่อ อูส และอารัน 29 บรรดาต้นตระกูลชาวโฮรีคือ โลทาน โชบาล ศิเบโอน อานาห์ 30 ดีโชน เอเซอร์ และดีชาน ชายเหล่านี้เป็นต้นตระกูลชาวโฮรี ตามลำดับตระกูลในดินแดนเสอีร์

กษัตริย์ของเอโดม

31 ก่อนที่จะมีกษัตริย์มาปกครองชาวอิสราเอล ก็มีบรรดากษัตริย์ที่ปกครองในดินแดนเอโดม ซึ่งมีชื่อดังต่อไปนี้ 32 เบ-ลาบุตรของเบโอร์ ครองราชย์ที่เอโดม เมืองของท่านชื่อ ดินฮาบาห์ 33 เมื่อเบ-ลาสิ้นชีวิต โยบับบุตรเศรัคแห่งโบสราห์ครองราชย์แทนท่าน 34 เมื่อโยบับสิ้นชีวิต หุชามแห่งดินแดนของชาวเทมานครองราชย์แทนท่าน 35 เมื่อหุชามสิ้นชีวิต ฮาดัดบุตรเบดัดซึ่งรบชนะมีเดียนในดินแดนโมอับครองราชย์แทนท่าน เมืองของท่านชื่อ อาวีท 36 เมื่อฮาดัดสิ้นชีวิต สัมลาห์แห่งมัสเรคาห์ครองราชย์แทนท่าน 37 เมื่อสัมลาห์สิ้นชีวิต ชาอูลแห่งเรโหโบทบนฝั่งแม่น้ำยูเฟรติสครองราชย์แทนท่าน 38 เมื่อชาอูลสิ้นชีวิต บาอัลฮานานบุตรของอัคโบร์ครองราชย์แทนท่าน 39 เมื่อบาอัลฮานานบุตรอัคโบร์สิ้นชีวิต และฮาดาร์ครองราชย์แทนท่าน เมืองของท่านชื่อ ปาอู ภรรยาชื่อเมเหทาเบลบุตรหญิงของมัทเรดผู้เป็นบุตรหญิงของเมซาหับ

40 มีบรรดาต้นตระกูลที่สืบเชื้อสายจากเอซาว ตามชื่อเผ่าและอาณาเขตของพวกเขาดังต่อไปนี้ ทิมนา อัลวาห์ เยเธท 41 โอโฮลีบามาห์ เอลาห์ ปิโนน 42 เคนัส เทมาน มิบซาร์ 43 มักดีเอล และอิราม รายชื่อดังกล่าวเป็นบรรดาต้นตระกูลเอโดม (คือเอซาวบิดาของชาวเอโดม) ตามที่อาศัยอยู่ในดินแดนที่ตนเป็นเจ้าของ

โยเซฟฝัน

37 ฝ่ายยาโคบก็ตั้งถิ่นฐานอยู่ในดินแดนที่บิดาของตนได้อพยพไปอยู่ที่ดินแดนคานาอัน

ต่อไปนี้เป็นลำดับเชื้อสายของยาโคบ

โยเซฟชายหนุ่มอายุ 17 ปี กำลังเลี้ยงฝูงแพะแกะกับพวกพี่ชายที่เป็นบุตรของบิลฮาห์และศิลปาห์ภรรยาบิดาของเขา โยเซฟบอกบิดาเรื่องความประพฤติไม่ดีของพวกพี่ๆ อิสราเอลรักโยเซฟมากกว่าบุตรคนอื่นๆ เพราะโยเซฟเกิดในเวลาที่ท่านมีอายุมากแล้ว และท่านทำเสื้อคลุมยาวมีแขนให้แก่โยเซฟ เมื่อพวกพี่ๆ เห็นว่าบิดารักเขามากกว่าพวกตน จึงทำให้พวกเขาเกลียดและพูดจาไม่เป็นมิตรกับโยเซฟ

ครั้งหนึ่งโยเซฟฝัน พอเล่าเรื่องที่ตนฝันให้พวกพี่ๆ ฟัง พวกเขาก็กลับเกลียดโยเซฟมากยิ่งขึ้น โยเซฟพูดว่า “ฉันจะเล่าเรื่องที่ฉันฝันให้ฟัง พวกเรากำลังมัดฟ่อนข้าวอยู่ในนา ทันใดนั้น ฟ่อนข้าวของฉันก็ตั้งตรงขึ้น และฟ่อนของพวกพี่ๆ มาห้อมล้อมฟ่อนของฉัน แล้วก้มเคารพด้วย” พี่ๆ ของโยเซฟตอบกลับมาว่า “เจ้าจะปกครองพวกเราอย่างนั้นเชียวหรือ หรือว่าเจ้าจะมีอำนาจเหนือพวกเราจริง” พวกเขาเกลียดชังโยเซฟมากยิ่งขึ้น เพราะเรื่องที่เขาฝันและเพราะสิ่งที่โยเซฟพูดเกี่ยวกับตัวเขา

เมื่อโยเซฟฝันอีกเรื่อง แล้วได้เล่าให้พวกพี่ๆ ฟังว่า “ดูสิ ฉันฝันอีกเรื่องหนึ่ง คือว่าดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ และดาว 11 ดวงก้มคำนับฉัน” 10 เมื่อโยเซฟเล่าเรื่องให้บิดาและพี่ๆ ฟัง บิดาก็ดุโยเซฟ และพูดกับเขาว่า “เจ้าฝันอะไรของเจ้า จะให้ฉันกับแม่และพวกพี่ๆ มาก้มตัวลงราบกับพื้นเคารพที่เบื้องหน้าเจ้าหรือ” 11 พวกพี่ชายอิจฉาโยเซฟ แต่บิดาเก็บเรื่องไว้อยู่ในใจ

โยเซฟถูกขายเข้าประเทศอียิปต์

12 วันหนึ่งพวกพี่ๆ พาแพะแกะของบิดาของตนออกไปกินหญ้าใกล้เมืองเชเคม 13 อิสราเอลพูดกับโยเซฟว่า “พี่ชายของเจ้าพาแพะแกะไปกินหญ้าที่เชเคมมิใช่หรือ มานี่ ฉันจะให้เจ้าไปหาพวกเขา” โยเซฟพูดว่า “ได้สิพ่อ” 14 ท่านพูดกับโยเซฟว่า “ไปเดี๋ยวนี้ ดูซิว่า ทุกอย่างเป็นไปด้วยดีกับพี่ของเจ้าและฝูงสัตว์หรือไม่ และกลับมาบอกพ่อ” ท่านจึงให้โยเซฟไปจากหุบเขาเฮโบรน เมื่อเขาไปถึงเชเคม 15 ชายคนหนึ่งพบว่าเขากำลังเดินไปทั่วทุ่งนา จึงถามว่า “กำลังหาอะไรอยู่หรือ” 16 เขาตอบว่า “ฉันกำลังตามหาพี่ชายของฉัน ช่วยบอกฉันหน่อยว่า พวกเขาพาฝูงสัตว์ไปกินหญ้าที่ไหน” 17 ชายคนนั้นตอบว่า “เขาไปกันแล้ว ฉันได้ยินพวกเขาพูดว่า ‘เราไปโดธานกันเถิด’” โยเซฟจึงไปตามหาพี่ชายของเขา และพบพวกเขาที่โดธาน

18 เมื่อพวกเขาเห็นโยเซฟมาแต่ไกล ก็เริ่มวางแผนจะฆ่าโยเซฟก่อนจะเข้ามาใกล้ 19 พวกเขาพูดต่อกันและกันว่า “นั่นคนช่างฝันมาแล้ว 20 มาเถิด ฆ่าแล้วก็โยนตัวเขาลงในบ่อสักบ่อหนึ่ง แล้วไปเล่าว่าเขาถูกสัตว์ป่าขม้ำกิน คราวนี้พวกเราก็จะเห็นว่าความฝันของเขาเป็นอย่างไร” 21 แต่เมื่อรูเบนได้ยินเรื่อง เขาจึงช่วยโยเซฟให้รอดจากเงื้อมมือของพวกเขา พลางพูดว่า “เราอย่าฆ่าเขาเลย” 22 รูเบนพูดต่ออีกว่า “อย่าถึงต้องเสียเลือดเนื้อกันเลย โยนตัวเขาลงในบ่อนี้ ให้อยู่ในถิ่นทุรกันดาร แต่อย่าทำให้เขาเจ็บตัว” ทั้งนี้ก็เพื่อเขาจะได้ช่วยโยเซฟให้รอดจากเงื้อมมือของพวกเขา เพื่อส่งตัวคืนให้บิดาไป 23 เมื่อโยเซฟมาถึง พวกพี่ชายก็ถอดเสื้อคลุมของโยเซฟออก เป็นเสื้อคลุมแขนยาวที่เขาสวมอยู่ 24 เขาจับตัวโยเซฟและโยนลงในบ่อ ซึ่งเป็นบ่อแห้งไม่มีน้ำ

25 แล้วพวกเขาก็นั่งลงกินอาหาร พอเงยหน้าขึ้นเห็นกองคาราวานชาวอิชมาเอลกำลังมาจากกิเลอาด มีอูฐบรรทุกยางไม้หลากชนิด รวมทั้งมดยอบที่กำลังขนลงไปอียิปต์ 26 แล้วยูดาห์พูดกับพี่น้องของตนว่า “จะมีประโยชน์อะไรถ้าเราฆ่าน้องเราให้ตาย และปิดบังเลือดไม่ให้เห็น 27 มาเถิด เราขายตัวเขาให้พวกอิชมาเอล อย่าฆ่าเขาด้วยมือของเราเอง เพราะเขาเป็นน้องของเรา เป็นเลือดเนื้อของเรา” แล้วพี่น้องของเขาก็เห็นด้วย 28 เมื่อพวกพ่อค้าชาวมีเดียนผ่านมา พวกพี่ๆ จึงดึงตัวโยเซฟขึ้นจากบ่อ และขายเขาให้กับพวกอิชมาเอลเป็นเงินหนัก 20 เชเขล เขาเหล่านั้นก็พาโยเซฟไปยังอียิปต์

29 เมื่อรูเบนกลับไปที่บ่อ และเห็นว่าโยเซฟไม่อยู่ในบ่อ เขาจึงฉีกเสื้อผ้าของตนเอง 30 และกลับไปหาพวกน้องชายพลางพูดว่า “เจ้าเด็กหายไปแล้ว ฉันจะทำอย่างไรเล่า” 31 พวกเขาจึงฆ่าแพะตัวหนึ่งและเอาเสื้อคลุมของโยเซฟจุ่มเลือด 32 แล้วส่งเสื้อคลุมแขนยาวตัวนั้นไปให้บิดาของเขาพร้อมกับพูดว่า “พวกเราพบเสื้อตัวนี้ ดูสิว่าเป็นเสื้อของลูกชายของท่านหรือเปล่า” 33 ท่านจำเสื้อได้จึงพูดว่า “เป็นเสื้อของลูกฉัน สัตว์ป่าขม้ำกินเขาเสียแล้ว ไม่ต้องสงสัยเลยว่าโยเซฟถูกกัดจนไม่เหลือเลย” 34 ยาโคบจึงฉีกเสื้อผ้าของตนขาด คาดเอวด้วยผ้ากระสอบ และร้องคร่ำครวญถึงลูกอยู่หลายวัน 35 บุตรชายบุตรหญิงทุกคนต่างก็พากันปลอบประโลมท่าน แต่ท่านไม่ยอมให้ปลอบ แต่กลับพูดว่า “ไม่ต้องปลอบฉัน ฉันจะร้องคร่ำครวญถึงลูกฉัน จนถึงวันที่ฉันไปยังแดนคนตาย” บิดาของเขาจึงร่ำไห้ถึงเขาต่อไป 36 ในขณะเดียวกัน พวกมีเดียนก็ได้ขายโยเซฟต่อให้กับเจ้าหน้าที่ผู้เป็นหัวหน้าองครักษ์ของฟาโรห์ชื่อโปทิฟาร์ที่อียิปต์

ทามาร์กับยูดาห์

38 อยู่มาครั้งหนึ่ง ยูดาห์จากพี่น้องไป ลงไปตั้งรกรากอยู่ใกล้กับชายชาวอดุลลามที่ชื่อฮีราห์ ยูดาห์เห็นบุตรหญิงของชูอาชาวคานาอันคนหนึ่งที่นั่น เขาจึงแต่งงานกับนางและได้นางเป็นภรรยา เมื่อนางตั้งครรภ์และได้บุตรชาย ยูดาห์ตั้งชื่อเขาว่า เอร์ แล้วนางตั้งครรภ์คลอดเป็นบุตรชายอีก และนางตั้งชื่อเขาว่า โอนัน ต่อมานางได้บุตรชายอีกคนหนึ่ง และตั้งชื่อเขาว่า เชลาห์ นางอยู่ที่เคซิบในช่วงที่คลอดบุตร

ต่อมายูดาห์หาภรรยาคนหนึ่งให้เอร์บุตรคนแรก นางชื่อทามาร์ แต่เอร์ชั่วร้ายในสายตาของพระผู้เป็นเจ้า พระองค์จึงสังหารเขาเสีย แล้วยูดาห์พูดกับโอนันว่า “จงเข้าไปอยู่ร่วมกับภรรยาพี่ชายของเจ้า และทำหน้าที่น้องเขยให้กับนางให้มีลูกสืบเชื้อสายให้พี่ชายเจ้า”[k] แต่โอนันทราบว่าผู้สืบเชื้อสายจะไม่เป็นของตน ดังนั้นเมื่อเขาเข้าไปหาภรรยาพี่ชาย ก็ได้กำจัดน้ำกามลงบนพื้นดิน เพื่อเลี่ยงไม่ให้พี่ชายมีผู้สืบเชื้อสาย 10 สิ่งที่เขาทำเป็นที่ไม่พอใจในสายตาของพระผู้เป็นเจ้า พระองค์จึงทำให้เขาถึงแก่ชีวิตด้วย 11 ยูดาห์จึงบอกทามาร์บุตรสะใภ้ว่า “จงอยู่อย่างหญิงม่ายในบ้านบิดาของเจ้าไปก่อน จนกว่าเชลาห์ลูกชายของฉันโตขึ้น” เพราะยูดาห์กลัวว่าเชลาห์จะตายเหมือนกับพวกพี่ๆ ดังนั้นทามาร์จึงไปอาศัยอยู่ที่บ้านบิดาของนาง

12 วันเวลาล่วงไป ภรรยายูดาห์ คือบุตรหญิงของชูอาสิ้นชีวิต ยูดาห์ได้รับการปลอบประโลมแล้วก็ขึ้นไปหาพวกที่ตัดขนแกะของเขากับฮีราห์ชาวอดุลลามเพื่อนของตนที่ทิมนาห์ 13 มีคนบอกทามาร์ว่า “พ่อของสามีเจ้ากำลังขึ้นไปทิมนาห์เพื่อตัดขนแกะ” 14 นางจึงถอดเสื้อผ้าสำหรับหญิงม่ายที่ตนสวมอยู่ และใช้ผ้าคลุมหน้าและปกปิดร่างของนาง นางไปนั่งที่ทางเข้าไปยังเมืองเอนาอิมซึ่งเป็นทางผ่านไปทิมนาห์ เพราะนางเห็นว่าเชลาห์เติบโตขึ้นแล้ว แต่นางยังไม่ได้ถูกจัดให้แต่งงานกับเขา 15 ครั้นยูดาห์เห็นนาง เขาคิดว่านางเป็นหญิงแพศยา เพราะนางคลุมหน้าไว้ 16 เขาเข้าไปหานางที่ข้างถนน พูดกับนางว่า “มาเถิด ฉันจะไปนอนกับเจ้า” ด้วยว่าเขาไม่ทราบว่านางเป็นบุตรสะใภ้ของเขา นางถามว่า “ท่านจะข้องเกี่ยวกับฉัน แล้วท่านจะให้อะไรฉันเป็นการตอบแทน” 17 เขาตอบว่า “ฉันจะส่งลูกแพะตัวหนึ่งจากฝูงมาให้” นางพูดว่า “แล้วท่านจะให้อะไรฉันเก็บไว้ จนกว่าท่านจะส่งลูกแพะมาแลกคืน” 18 เขาถามว่า “ฉันจะต้องให้อะไรล่ะ” นางตอบว่า “ตราประทับกับสายคล้องของมัน และไม้เท้าในมือท่าน” เขาจึงให้สิ่งเหล่านั้นแก่นาง และไปนอนกับนาง นางก็ตั้งครรภ์กับเขา 19 แล้วนางก็กลับบ้านไป นางปลดผ้าคลุมหน้าออก สวมเสื้อผ้าสำหรับหญิงม่ายของนางกลับคืน

20 ฝ่ายยูดาห์ก็ส่งลูกแพะไปกับเพื่อนชาวอดุลลาม เพื่อรับของๆ ตนคืนจากหญิงคนนั้น แต่เขาหานางไม่เจอ 21 เขาถามพวกผู้ชายแถวนั้นว่า “หญิงแพศยาประจำวิหารที่อยู่ข้างทางถนนที่เอนาอิมไปไหนแล้ว” พวกเขาตอบว่า “ไม่เคยมีหญิงแพศยาประจำวิหารอยู่แถวนี้” 22 เขาจึงกลับไปหายูดาห์ และบอกเขาว่า “ฉันหานางไม่พบ และพวกผู้ชายแถวนั้นบอกว่า ‘ไม่เคยมีหญิงแพศยาประจำวิหารอยู่แถวนี้’” 23 ยูดาห์ตอบว่า “ปล่อยให้เธอเก็บของพวกนั้นไว้เอง คนจะได้ไม่หัวเราะเยาะพวกเรา ก็ดูสิ ฉันส่งลูกแพะตัวนี้ไป แต่ท่านก็หานางไม่พบ”

24 ประมาณ 3 เดือนต่อมา มีคนบอกยูดาห์ว่า “ทามาร์ลูกสะใภ้ของท่านทำตัวเป็นหญิงแพศยา และยิ่งกว่านั้น นางกำลังอุ้มท้องในสภาพของหญิงแพศยา” ยูดาห์สั่งว่า “พาตัวนางมา เผานางทั้งเป็น” 25 ขณะที่นางถูกนำตัวมา นางให้คนไปบอกพ่อสามีของนางว่า “ฉันมีครรภ์กับชายที่เป็นเจ้าของสิ่งเหล่านี้” และนางพูดต่ออีกว่า “ดูสิว่า ท่านจำได้หรือไม่ว่าตราประทับกับสายคล้องและไม้เท้านี้เป็นของใคร” 26 ยูดาห์จำของพวกนั้นได้และพูดว่า “นางมีความชอบธรรมยิ่งกว่าฉัน เพราะว่าฉันไม่ได้ยกนางให้เชลาห์ลูกชายของฉัน” แล้วเขาก็ไม่ได้ข้องเกี่ยวกับนางอีกเลย

27 เมื่อนางครบกำหนดคลอด ก็พบว่ามีลูกแฝดอยู่ในครรภ์ 28 และเมื่อนางจวนคลอด คนหนึ่งยื่นมือมา หมอตำแยจับไว้และผูกข้อมือเขาด้วยเส้นด้ายสีแดงสด พลางพูดว่า “คนนี้เกิดก่อน” 29 แต่แล้วเขาหดมือกลับ ดูสิ และเด็กชายอีกคนก็คลอดออกมา นางจึงพูดว่า “ออกมาโดยวิธีนี้เองน่ะหรือ” ฉะนั้นเขาจึงชื่อ เปเรศ 30 หลังจากนั้นคนมีด้ายแดงที่ข้อมือก็คลอดออกมา เขาจึงชื่อ เศรัค

โยเซฟกับโปทิฟาร์

39 ฝ่ายโยเซฟก็ถูกพาตัวลงไปยังประเทศอียิปต์ และเจ้าหน้าที่ชาวอียิปต์คนหนึ่งชื่อโปทิฟาร์ซึ่งเป็นหัวหน้าองครักษ์ของฟาโรห์ได้ซื้อตัวโยเซฟมาจากพวกอิชมาเอลที่พาเขาลงไปที่นั่น พระผู้เป็นเจ้าสถิตกับโยเซฟ ดังนั้นไม่ว่าโยเซฟจะทำอะไรก็ทำได้สำเร็จ เขาอาศัยอยู่ในบ้านของนายชาวอียิปต์ นายของเขาเห็นว่า พระผู้เป็นเจ้าสถิตกับเขา และพระผู้เป็นเจ้าโปรดให้ทุกสิ่งที่เขาทำเกิดผลดี ดังนั้นโยเซฟเป็นที่พอใจของโปทิฟาร์ ได้ทำหน้าที่ดูแลนายอย่างใกล้ชิด เป็นหัวหน้าคุมงาน และได้รับมอบหมายดูแลทุกสิ่งที่เป็นของนาย นับตั้งแต่เวลาที่เขาให้โยเซฟเป็นหัวหน้าคุมงานของเขา และดูแลทุกสิ่งที่เป็นของนาย พระผู้เป็นเจ้าก็ได้อวยพรครอบครัวของชาวอียิปต์ผู้นี้ เพราะเห็นแก่โยเซฟ พระพรของพระผู้เป็นเจ้าสถิตกับทุกสิ่งที่เขามีทั้งในบ้านและในนา นับว่าเขายกทุกสิ่งที่เขามีให้อยู่ในการดูแลของโยเซฟ และไม่กังวลเรื่องใดๆ เลย เว้นแต่เรื่องอาหารที่เขารับประทานเท่านั้น

โยเซฟมีร่างกายกำยำและรูปหล่อ ไม่นานต่อมาภรรยาของเจ้านายมองโยเซฟด้วยความพิศวาส และพูดว่า “มานอนกับฉันเถิด” แต่เขาปฏิเสธและพูดกับภรรยาเจ้านายว่า “โปรดฟัง เจ้านายของข้าพเจ้าไม่ต้องกังวลกับเรื่องใดๆ ในบ้านเรือนก็เพราะข้าพเจ้าอยู่ที่นี่ ท่านให้ข้าพเจ้าดูแลทุกสิ่งที่ท่านมี ไม่มีใครในบ้านนี้ที่มีความรับผิดชอบเกินกว่าข้าพเจ้า และท่านไม่เคยหวงห้ามสิ่งใดที่เป็นของท่าน ยกเว้นตัวท่านเท่านั้น เพราะท่านเป็นภรรยาของนาย ข้าพเจ้าจะกระทำความเลวอันใหญ่หลวงนี้ และกระทำบาปต่อพระเจ้าได้อย่างไร” 10 และแม้ว่านางจะพูดกับโยเซฟวันแล้ววันเล่า เขาก็ปฏิเสธที่จะข้องเกี่ยวกับนางหรือใกล้ชิดกับนาง

11 อยู่มาวันหนึ่งโยเซฟเข้าไปในบ้านเรื่องการงาน ไม่มีผู้รับใช้ชายอยู่ในบ้านสักคนเดียว 12 นางได้คว้าผ้าชิ้นหนึ่งที่เขาสวมอยู่ พลางพูดว่า “มานอนกับฉันเถิด” แต่เขาทิ้งผ้าที่อยู่ในมือนางไว้และรีบหนีออกไปนอกบ้าน 13 เมื่อนางเห็นว่าเขาได้ทิ้งผ้าที่อยู่ในมือนางไว้ และรีบหนีออกไปนอกบ้าน 14 นางจึงเรียกผู้รับใช้ชายทั้งหลายให้มาหาและพูดว่า “ดูสิ สามีฉันพาคนฮีบรูมาดูถูกพวกเรา เขาเข้ามาหาฉันเพื่อจะนอนกับฉัน แต่ฉันตะโกนดังลั่น 15 เมื่อเขาได้ยินฉันส่งเสียงร้องและตะโกน เขาเลยทิ้งผ้าของเขาไว้กับฉัน แล้วรีบหนีออกไปนอกบ้าน” 16 แล้วนางก็วางผ้าชิ้นนั้นไว้ข้างนางกระทั่งนายกลับมาบ้าน 17 นางเล่าเรื่องเหมือนเดิมว่า “ผู้รับใช้ชาวฮีบรูที่ท่านพามาอยู่กับพวกเรา เขาได้เข้ามาหาฉันซึ่งแสดงถึงการสบประมาทฉัน 18 แต่ทันทีที่ฉันส่งเสียงร้องตะโกน เขาเลยทิ้งผ้าของเขาไว้กับฉัน แล้วรีบหนีออกไปนอกบ้าน”

19 เมื่อนายของเขาได้ยินคำพูดที่ภรรยาเล่าถึงโยเซฟว่า “นี่เป็นวิธีที่ผู้รับใช้ของท่านปฏิบัติต่อฉัน” เขาก็โกรธมาก 20 นายของโยเซฟจึงจับตัวเขาเข้าคุก ที่ที่นักโทษหลวงถูกจำขัง เขาต้องอยู่ที่นั่น 21 แต่พระผู้เป็นเจ้าสถิตกับโยเซฟและแสดงให้เห็นความรักอันมั่นคงของพระองค์ ให้พัศดีโปรดปรานเขา 22 พัศดีให้นักโทษทุกคนในเรือนจำอยู่ภายใต้การควบคุมของโยเซฟ และโยเซฟรับผิดชอบทุกอย่างที่นั่น 23 พัศดีไม่กังวลในสิ่งใดที่โยเซฟควบคุม เพราะพระผู้เป็นเจ้าสถิตกับเขา และพระองค์ให้ทุกสิ่งที่เขาปฏิบัติบังเกิดผลดี

พนักงานถวายเหล้าองุ่นกับพนักงานทำขนมปัง

40 ต่อมาหลังจากนั้นพนักงานถวายเหล้าองุ่น และพนักงานทำขนมปังประจำกษัตริย์แห่งอียิปต์ได้ทำให้นายใหญ่ของเขาคือกษัตริย์แห่งอียิปต์ขุ่นเคือง ฟาโรห์โกรธกริ้วพนักงานทั้งสอง คือหัวหน้าพนักงานถวายเหล้าองุ่นและหัวหน้าพนักงานทำขนมปัง ท่านจึงจำคุกเขาทั้งสองไว้ที่บ้านหัวหน้าองครักษ์ เป็นคุกเดียวกับที่โยเซฟถูกขังไว้ หัวหน้าองครักษ์สั่งให้โยเซฟดูแลรับใช้เขาทั้งสอง และพนักงานสองคนนี้ถูกขังไว้เป็นเวลานาน

อยู่มาคืนหนึ่งพนักงานถวายเหล้าองุ่นและพนักงานทำขนมปังของกษัตริย์แห่งอียิปต์ที่ถูกจำคุกฝัน ทั้งสองฝันในคืนเดียวกัน และความฝันของแต่ละคนก็มีความหมายต่างกัน วันรุ่งขึ้นโยเซฟมาหาเขาทั้งสอง ก็เห็นว่าเขาดูหดหู่ โยเซฟจึงถามพนักงานของฟาโรห์ที่ถูกขังด้วยกันที่บ้านนายของตนว่า “ทำไมวันนี้สีหน้าท่านจึงดูไม่ดีเลย” เขาทั้งสองตอบว่า “เราสองคนฝัน แต่ไม่มีใครที่จะแก้ฝันได้” โยเซฟกล่าวว่า “พระเจ้าแก้ฝันได้มิใช่หรือ โปรดเล่าให้ข้าพเจ้าฟังเถิด”

ดังนั้น หัวหน้าพนักงานถวายเหล้าองุ่นเล่าเรื่องที่ตนฝันให้โยเซฟฟังว่า “เราฝันว่ามีเถาองุ่นอยู่ตรงหน้าเรา 10 มี 3 กิ่งติดอยู่ที่เถา เมื่อแตกใบอ่อนแล้ว ก็ผลิดอกทันที ต่อมาก็เป็นพวงองุ่นสุก 11 เราถือถ้วยของฟาโรห์ไว้ในมือ บีบองุ่นใส่ถ้วยของฟาโรห์ และยื่นใส่มือฟาโรห์”

New Thai Version (NTV-BIBLE)

Copyright © 1998, 2012, 2020 by New Thai Version Foundation