Print Page Options
Previous Prev Day Next DayNext

Bible in 90 Days

An intensive Bible reading plan that walks through the entire Bible in 90 days.
Duration: 88 days
New Thai Version (NTV-BIBLE)
Version
อพยพ 1:1-15:18

ชาวอิสราเอลในประเทศอียิปต์

ต่อไปนี้เป็นรายชื่อบุตรของอิสราเอลที่เดินทางไปยังประเทศอียิปต์พร้อมกับยาโคบ โดยแต่ละคนต่างมีครอบครัวร่วมทางไปด้วย รูเบน สิเมโอน เลวีและยูดาห์ อิสสาคาร์ เศบูลุนและเบนยามิน ดานและนัฟทาลี กาดและอาเชอร์ รวมจำนวนผู้สืบเชื้อสายของยาโคบทั้งหมดได้ 70 คน[a] ส่วนโยเซฟอยู่ที่อียิปต์แล้ว

เวลาต่อมา เมื่อโยเซฟ พี่น้องของท่าน และทุกคนในสมัยนั้นเสียชีวิตไปหมดแล้ว ชาวอิสราเอลก็เกิดลูกเต็มบ้านหลานเต็มเมือง ทวีคนมากยิ่งขึ้น จนชาวอิสราเอลมีมากมายเต็มแผ่นดิน

จุดเริ่มต้นของการกดขี่ข่มเหง

กษัตริย์ท่านใหม่ที่ขึ้นปกครองประเทศอียิปต์ไม่เคยทราบเรื่องราวของโยเซฟมาก่อน ท่านกล่าวกับคนของท่านว่า “ดูเถิด ชาวอิสราเอลมีจำนวนมากมายและมีกำลังเหนือกว่าพวกเราแล้ว 10 มาเถิด เราควรหาวิธีควบคุมคนเหล่านี้อย่างฉลาดรอบคอบ เพราะเกรงว่าพวกเขาจะเพิ่มจำนวนมากขึ้น และหากเกิดสงคราม พวกเขาอาจจะรวมตัวหันไปเข้ากับข้าศึกต่อสู้กับพวกเรา เพื่อหลบหนีไปจากแผ่นดินก็ได้” 11 ฉะนั้นชาวอียิปต์จึงตั้งให้มีหัวหน้าคุมทาส เพื่อบีบบังคับพวกเขาด้วยการทำงานหนัก ให้สร้างเมืองปิธมและราอัมเสสเป็นเมืองคลังหลวงให้ฟาโรห์ 12 ชาวอิสราเอลยิ่งถูกบีบบังคับ พวกเขาก็ยิ่งเพิ่มจำนวนมากขึ้นและแผ่ขยายออกไปกว้างขวางยิ่งขึ้น ทำให้ชาวอียิปต์รู้สึกหวั่นกลัวชาวอิสราเอล 13 พวกเขาจึงให้ชาวอิสราเอลทำงานหนักเยี่ยงทาสอย่างไม่ลดละ 14 ทำให้ชาวอิสราเอลต้องขมขื่นเพราะตรากตรำทำปูนสอและอิฐ รวมไปถึงงานสารพัดชนิดในทุ่ง พวกเขาทารุณชาวอิสราเอลโดยให้ทำงานหนักเยี่ยงทาสในทุกด้าน

ฟาโรห์วางแผนฆ่าชาวอิสราเอล

15 กษัตริย์แห่งอียิปต์กล่าวกับชิฟราห์และปูอาห์ซึ่งเป็นหมอตำแยของชาวฮีบรูว่า 16 “เวลาเจ้าทำคลอดให้หญิงชาวฮีบรู จงดูให้ดีเวลาเด็กเกิด ถ้าเป็นบุตรชาย เจ้าจงฆ่าเสีย ไว้ชีวิตได้เฉพาะบุตรหญิง” 17 แต่หมอตำแยเกรงกลัวพระเจ้า และไม่ทำตามที่กษัตริย์แห่งอียิปต์สั่งไว้ จึงทำให้เด็กผู้ชายมีชีวิตรอด 18 ดังนั้นกษัตริย์แห่งอียิปต์จึงเรียกหมอตำแยมาถามว่า “ทำไมเจ้าจึงปล่อยให้เด็กผู้ชายรอดชีวิตเช่นนี้” 19 หมอตำแยพูดกับฟาโรห์ว่า “เพราะว่าหญิงฮีบรูไม่เหมือนหญิงอียิปต์ เพราะพวกเขาคลอดง่าย เด็กเกิดก่อนหมอตำแยไปถึง” 20 พระเจ้าจึงโปรดปรานเหล่าหมอตำแย และชาวอิสราเอลเพิ่มจำนวนขึ้นทวีคูณ 21 และเป็นเพราะหมอตำแยเกรงกลัวพระเจ้า พระองค์จึงโปรดให้หมอตำแยมีครอบครัวเป็นของตนเอง 22 ครั้นแล้วฟาโรห์ก็สั่งคนของท่านว่า “พวกเจ้าจะต้องโยนบุตรชายที่เกิดจากหญิงฮีบรูทุกคนลงในแม่น้ำไนล์ แต่จงไว้ชีวิตบุตรหญิงทุกคน”

กำเนิดของโมเสส

มีชายเผ่าเลวีผู้หนึ่งแต่งงานกับหญิงจากเผ่าเดียวกัน หญิงผู้นั้นตั้งครรภ์และให้กำเนิดบุตรชาย เมื่อนางเห็นว่าบุตรแข็งแรงดี นางจึงซ่อนตัวเขาไว้จนมีอายุได้ 3 เดือน แต่เมื่อนางไม่สามารถแอบซ่อนเขาไว้ได้อีกแล้ว นางจึงนำตะกร้าสานด้วยต้นกก ชันด้วยยางมะตอยและยางไม้มา แล้วก็วางทารกลงในตะกร้า นำไปลอยไว้ที่ริมแม่น้ำไนล์ในดงอ้อ พี่สาวของทารก[b]ยืนอยู่ห่างๆ เพื่อดูว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับเขา ขณะนั้นธิดาของฟาโรห์ลงมาอาบน้ำที่แม่น้ำไนล์ พวกสาวใช้ก็เดินอยู่ที่ริมฝั่ง เธอเห็นตะกร้าในดงอ้อ จึงให้สาวใช้ไปนำมา เมื่อเธอเปิดตะกร้าดูก็เห็นเด็กน้อยนั้น ดูสิ เด็กกำลังร้องไห้ เธอสงสารและพูดว่า “นี่ต้องเป็นเด็กของชาวฮีบรูแน่เลย” แล้วพี่สาวของเด็กพูดกับธิดาของฟาโรห์ว่า “จะให้ไปเรียกหญิงชาวฮีบรูมาให้นมเด็กคนนี้ให้ท่านไหม” ธิดาของฟาโรห์ตอบว่า “ไปเรียกเถิด” เด็กหญิงคนนั้นก็ไปตามมารดาของเด็กน้อยมา ธิดาของฟาโรห์พูดกับนางว่า “นำเด็กน้อยนี้ไป และเป็นแม่นมให้เราด้วย เราจะให้ค่าจ้าง” หญิงคนนั้นจึงรับเด็กน้อยไปและให้นม 10 เด็กน้อยเติบโตขึ้น นางจึงพาตัวมาหาธิดาของฟาโรห์ เธอรับเลี้ยงเขาไว้เป็นบุตรของเธอ และเธอตั้งชื่อเขาว่า โมเสส และพูดว่า “เพราะเราอุ้มตัวเขาขึ้นมาจากน้ำ”[c]

โมเสสหนีไปยังมีเดียน

11 วันเวลาล่วงไป โมเสสเติบใหญ่ขึ้นก็ออกไปหาพี่น้องร่วมชาติ และเห็นด้วยตาตนเองว่าพวกเขาถูกเกณฑ์ทำงานหนักเพียงไร และท่านได้เห็นว่าชาวอียิปต์คนหนึ่งกำลังทุบตีชาวฮีบรูซึ่งเป็นชนชาติเดียวกับท่าน 12 ท่านจึงเหลียวซ้ายแลขวา เมื่อไม่เห็นว่ามีใครแถวนั้น ท่านจึงฆ่าชาวอียิปต์คนนั้นและซ่อนศพของเขาไว้ในทราย 13 วันต่อมาเมื่อท่านออกไปอีก พอดีมีชายฮีบรู 2 คนกำลังต่อสู้กัน ท่านจึงพูดกับคนที่เป็นฝ่ายผิดว่า “ทำไมท่านจึงทุบตีพวกพ้องของท่านเอง” 14 เขาตอบว่า “ใครแต่งตั้งให้ท่านเป็นผู้ปกครองและผู้ตัดสินความของเรา ท่านอยากจะฆ่าเราอย่างที่ท่านได้ฆ่าชาวอียิปต์อย่างนั้นหรือ” โมเสสจึงกลัวและนึกอยู่ว่า “มีคนรู้เรื่องที่เราทำแล้ว” 15 เมื่อฟาโรห์ทราบเรื่อง ท่านก็หมายจะฆ่าโมเสส โมเสสจึงหลบหนีฟาโรห์ไป และเดินทางไปยังดินแดนมีเดียน และท่านนั่งลงข้างบ่อน้ำแห่งหนึ่งที่นั่น

16 ฝ่ายปุโรหิตของมีเดียนมีบุตรหญิง 7 คน หญิงเหล่านี้มาตักน้ำใส่รางน้ำให้เต็มเพื่อให้แพะแกะของบิดาดื่ม 17 เมื่อกลุ่มคนเลี้ยงแกะมาถึงก็ขับไล่หญิงเหล่านั้นไป แต่โมเสสลุกขึ้นช่วยพวกนางไว้ และให้แพะแกะของพวกนางดื่มน้ำ 18 เมื่อพวกนางกลับไปหาเรอูเอลผู้เป็นบิดา เขาถามว่า “ทำไมวันนี้พวกเจ้าจึงกลับมาเร็วนัก” 19 พวกนางตอบว่า “ชายอียิปต์คนหนึ่งช่วยเราให้พ้นจากมือของพวกคนเลี้ยงแกะ แล้วยังตักน้ำให้เราและให้แพะแกะได้ดื่มด้วย” 20 เขาพูดกับบุตรหญิงว่า “แล้วเขาอยู่ไหนล่ะ ทำไมถึงปล่อยให้เขาอยู่ที่โน่น ลูกไปเชิญเขาเข้ามารับประทานอาหารด้วยกันเถิด” 21 โมเสสยินดีไปอาศัยอยู่กับชายคนนั้น และเขายกศิปโปราห์บุตรหญิงให้แก่โมเสส 22 นางให้กำเนิดบุตรชาย และโมเสสตั้งชื่อเขาว่า เกอร์โชม เพราะท่านพูดว่า “เราเป็นคนต่างด้าวในที่ต่างถิ่น”

23 หลายปีผ่านไป กษัตริย์แห่งอียิปต์สิ้นชีวิต และชาวอิสราเอลคร่ำครวญในการที่ต้องเป็นทาสรับใช้ พวกเขาจึงร้องขอความช่วยเหลือ ดังนั้นเสียงร้องเนื่องจากการเป็นทาสรับใช้ดังขึ้นไปถึงพระเจ้า 24 พระเจ้าก็ได้ยินเสียงร้องครวญครางของพวกเขา พระเจ้าจึงระลึกถึงพันธสัญญาที่มีต่ออับราฮัม กับอิสอัค และกับยาโคบ[d] 25 พระเจ้าเห็นชาวอิสราเอลทุกข์ยากยิ่งนัก และพระเจ้าทราบถึงความเป็นอยู่ของพวกเขาเป็นอย่างดี

พระเจ้าเรียกโมเสส

ขณะที่โมเสสกำลังเฝ้าฝูงแพะแกะของเยโธร[e]พ่อตาผู้เป็นปุโรหิตของมีเดียน ท่านพาฝูงแพะแกะไปทางด้านหลังของถิ่นทุรกันดาร ครั้นมาถึงภูเขาของพระเจ้า คือโฮเรบ ทูตสวรรค์ของพระผู้เป็นเจ้าก็ปรากฏแก่ท่านกลางพุ่มไม้ซึ่งเป็นเปลวไฟลุกอยู่ ท่านมองเห็นว่า แม้พุ่มไม้จะลุกเป็นไฟ แต่ก็ไม่ไหม้ โมเสสพูดว่า “เราจะต้องเข้าไปดูภาพที่เห็นซิว่าทำไมพุ่มไม้นั้นไม่ไหม้” ครั้นพระผู้เป็นเจ้าเห็นว่าท่านกำลังจะเข้าไปดู พระเจ้าจึงเปล่งเสียงจากพุ่มไม้ เรียกท่านว่า “โมเสส โมเสส” และท่านตอบว่า “ข้าพเจ้าอยู่ที่นี่” พระองค์กล่าวว่า “อย่าเข้ามาใกล้ จงถอดรองเท้าออกจากเท้าเสียเถิด เพราะว่าที่ซึ่งเจ้ายืนอยู่นี้เป็นสถานที่บริสุทธิ์” และพระองค์กล่าวอีกว่า “เราเป็นพระเจ้าของบรรพบุรุษของเจ้า พระเจ้าของอับราฮัม พระเจ้าของอิสอัค และพระเจ้าของยาโคบ” แล้วโมเสสก็ปิดหน้าตนเอง เพราะท่านไม่กล้ามองพระเจ้า

พระผู้เป็นเจ้ากล่าวว่า “เราเห็นจริงแล้วว่า ชนชาติของเราถูกข่มเหงในประเทศอียิปต์ เราได้ยินเสียงร้องของพวกเขาเพราะพวกหัวหน้าคุมทาสของเขา เรารู้ว่าพวกเขาต้องทนทุกข์ และเราลงมาเพื่อปลดปล่อยเขาเหล่านั้นให้พ้นจากมือของชาวอียิปต์ และพาเขาออกไปจากดินแดนนั้นสู่ดินแดนอันสมบูรณ์และกว้างใหญ่ไพศาล ดินแดนอันอุดมด้วยน้ำนมและน้ำผึ้ง สู่สถานที่ของชาวคานาอัน ชาวฮิต ชาวอาโมร์ ชาวเปริส ชาวฮีว และชาวเยบุส บัดนี้ เสียงร้องของชาวอิสราเอลดังมาถึงเรา และเราเห็นชาวอียิปต์บีบบังคับพวกเขา 10 จงไปเดี๋ยวนี้ เราจะให้เจ้าไปหาฟาโรห์ เพื่อนำคนของเราคือชาวอิสราเอลออกไปจากอียิปต์” 11 แต่โมเสสพูดกับพระเจ้าว่า “ข้าพเจ้าเป็นใครที่จะไปพบฟาโรห์ และนำชาวอิสราเอลออกไปจากอียิปต์” 12 พระองค์กล่าวว่า “เราจะอยู่กับเจ้า สิ่งที่จะพิสูจน์ให้เจ้าเห็นได้ว่าเราเป็นผู้ส่งเจ้าไปก็คือ เมื่อเจ้าได้นำคนออกจากอียิปต์แล้ว เจ้าจะกลับมานมัสการพระเจ้าบนภูเขานี้”

13 โมเสสพูดกับพระเจ้าว่า “ถ้าข้าพเจ้าไปหาชาวอิสราเอล และพูดกับพวกเขาว่า ‘พระเจ้าของบรรพบุรุษของท่านได้ให้เรามาหาท่าน’ และพวกเขาถามข้าพเจ้าว่า ‘พระองค์มีนามว่าอะไร’ ข้าพเจ้าควรบอกเขาว่าอย่างไร” 14 พระเจ้ากล่าวกับโมเสสว่า “เราเป็นผู้ดำรงอยู่ก่อนแล้ว”[f] และพระองค์กล่าวว่า “จงพูดกับชาวอิสราเอลตามนี้ว่า ‘ผู้ดำรงอยู่ก่อนแล้วได้ส่งข้าพเจ้ามาหาพวกท่าน’” 15 พระเจ้ากล่าวกับโมเสสด้วยว่า “จงบอกชาวอิสราเอลตามนี้ว่า ‘พระผู้เป็นเจ้า[g] พระเจ้าของบรรพบุรุษของท่าน พระเจ้าของอับราฮัม พระเจ้าของอิสอัค และพระเจ้าของยาโคบได้ให้ข้าพเจ้ามาหาพวกท่าน’ นี่คือชื่อของเราตั้งแต่นี้ไปจนชั่วนิรันดร์กาล และจะเป็นชื่อที่ระลึกถึงเราทุกชั่วอายุคน 16 เจ้าจงไปรวบรวมบรรดาหัวหน้าชั้นผู้ใหญ่ของอิสราเอลมา และบอกพวกเขาว่า ‘พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของบรรพบุรุษของพวกท่าน พระเจ้าของอับราฮัม ของอิสอัค และของยาโคบได้ปรากฏแก่ข้าพเจ้าโดยกล่าวดังนี้ว่า “เราเฝ้าดูพวกเจ้าด้วยความห่วงใยถึงสิ่งที่พวกเจ้าถูกกระทำในอียิปต์ 17 และเราสัญญาว่า เราจะพาเจ้าขึ้นไปให้พ้นจากความทุกข์ทรมานที่มีในอียิปต์ และไปยังดินแดนของชาวคานาอัน ชาวฮิต ชาวอาโมร์ ชาวเปริส ชาวฮีว และชาวเยบุส ซึ่งเป็นดินแดนอันอุดมด้วยน้ำนมและน้ำผึ้ง”’ 18 พวกเขาจะฟังเสียงเจ้า และเจ้าจงไปกับบรรดาหัวหน้าชั้นผู้ใหญ่ของอิสราเอล เพื่อไปเฝ้ากษัตริย์แห่งอียิปต์และบอกเขาว่า ‘พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของชาวฮีบรูได้ปรากฏแก่พวกเรา และบัดนี้ ได้โปรดเถิด ให้พวกเราเดินทาง 3 วันไปในถิ่นทุรกันดาร เพื่อถวายเครื่องสักการะแด่พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของเรา’ 19 เรารู้ว่ากษัตริย์แห่งอียิปต์จะไม่ยอมให้เจ้าไป นอกจากว่าจะถูกบังคับจากผู้มีอานุภาพอันยิ่งใหญ่ 20 ฉะนั้นเราจึงยื่นมือของเราออกไป และจะลงโทษชาวอียิปต์ด้วยการกระทำอันมหัศจรรย์สารพัดอย่างในอียิปต์ หลังจากนั้นเขาก็จะปล่อยให้เจ้าไป 21 แล้วเราจะทำให้ชาวอียิปต์เห็นว่าเราโปรดปรานชาวอิสราเอล และเวลาเจ้าไป เจ้าจะไม่ไปมือเปล่า 22 คือหญิงทุกคนจะขอเครื่องประดับกายทำด้วยเงินและทองคำ และเสื้อผ้าจากเพื่อนบ้านและจากผู้ที่อาศัยอยู่กับเพื่อนบ้านด้วย และเจ้าจะสวมให้กับบุตรชายบุตรหญิงของเจ้า เจ้าจะริบเอาสิ่งของไปจากชาวอียิปต์ด้วยวิธีนี้”

หมายสำคัญของโมเสส

โมเสสจึงตอบว่า “แต่พวกเขาจะไม่เชื่อข้าพเจ้าและไม่ฟังเสียงข้าพเจ้าหรอก เพราะเขาจะพูดว่า ‘พระผู้เป็นเจ้าไม่ได้ปรากฏแก่ท่าน’” พระผู้เป็นเจ้ากล่าวกับท่านว่า “ที่อยู่ในมือเจ้าคืออะไร” ท่านตอบว่า “ไม้เท้า” พระองค์กล่าวว่า “โยนมันลงที่พื้น” โมเสสก็โยนมันลงที่พื้น แล้วไม้เท้าก็กลายเป็นงู ท่านเดินหนีงูไป และพระผู้เป็นเจ้ากล่าวกับโมเสสว่า “จงยื่นมือเจ้าออกมาจับหางงูเถิด” ท่านจึงยื่นมือออกไปจับ แล้วงูก็กลายเป็นไม้เท้าอยู่ในอุ้งมือท่าน “จงทำตามนี้ แล้วพวกเขาจะเชื่อว่าพระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของอับราฮัม พระเจ้าของอิสอัค และพระเจ้าของยาโคบได้ปรากฏแก่เจ้า” แล้วพระผู้เป็นเจ้ากล่าวกับท่านอีกว่า “จงสอดมือเจ้าไว้ที่อก” ท่านก็ทำตาม เมื่อท่านชักมือออก ดูเถิด มือของท่านก็เป็นโรคเรื้อน ขาวราวหิมะ แล้วพระองค์กล่าวว่า “สอดมือเจ้ากลับไปที่อก” ท่านก็ทำตาม เมื่อท่านชักมือออก ดูเถิด ผิวหนังก็ดีดังเดิม มือก็กลับสู่สภาพเดิม พระเจ้ากล่าวว่า “ถ้าพวกเขาไม่เชื่อเจ้า หรือไม่เชื่อปรากฏการณ์อัศจรรย์ครั้งแรก เขาจะเชื่อปรากฏการณ์อัศจรรย์ครั้งที่สอง ถ้าพวกเขายังจะไม่เชื่อแม้แต่ปรากฏการณ์อัศจรรย์ทั้งสองนี้ และไม่ฟังเสียงเจ้าแล้ว เจ้าจงตักน้ำจากแม่น้ำไนล์มาเทลงบนดินแห้ง และน้ำที่เจ้าตักมานั้นจะกลายเป็นเลือดบนดินแห้ง”

10 แต่โมเสสพูดกับพระผู้เป็นเจ้าว่า “โอ พระผู้เป็นเจ้า ข้าพเจ้าไม่ใช่คนมีโวหารดีทั้งในอดีตหรือแม้แต่หลังจากที่พระองค์พูดกับผู้รับใช้ของพระองค์แล้วก็ตาม ข้าพเจ้าพูดไม่เก่ง และลิ้นก็ไม่คล่อง” 11 ครั้นแล้ว พระผู้เป็นเจ้ากล่าวกับท่านว่า “ใครสร้างปากให้มนุษย์ ใครทำให้เขาเป็นใบ้หรือหูหนวก มองเห็นหรือตาบอด ไม่ใช่เราซึ่งเป็นพระผู้เป็นเจ้าหรอกหรือ 12 จงไปเดี๋ยวนี้ เราจะอยู่กับปากเจ้า และจะสอนว่าเจ้าจะต้องพูดอะไรบ้าง” 13 แต่ท่านพูดว่า “โอ พระผู้เป็นเจ้า โปรดใช้คนอื่นไปเถิด” 14 พระผู้เป็นเจ้าจึงกริ้วโมเสสมาก พระองค์กล่าวว่า “อาโรนชาวเลวีเป็นพี่ชายเจ้ามิใช่หรือ เรารู้ว่าเขาพูดเก่ง ดูสิ เขากำลังออกมาหาเจ้า เมื่อเขาเห็นเจ้า เขาจะยินดีมาก 15 เจ้าพูดกับเขาได้ และบอกว่าเขาควรจะพูดอะไร เราจะอยู่กับปากเจ้าและปากเขา และจะสอนเจ้าว่า เจ้าควรจะทำอะไร 16 เขาจะเป็นคนที่พูดกับประชาชนให้เจ้าเอง และเขาจะเป็นปากให้เจ้า และเจ้าจะเป็นเสมือนพระเจ้าให้กับเขา 17 และเจ้าจะถือไม้เท้านี้ไว้ในมือของเจ้า เพื่อใช้สำหรับแสดงปรากฏการณ์อัศจรรย์ต่างๆ”

โมเสสกลับไปยังประเทศอียิปต์

18 โมเสสกลับไปหาเยโธรพ่อตาของตน และพูดว่า “โปรดให้ข้าพเจ้ากลับไปหาพี่น้องข้าพเจ้าในอียิปต์เถิด เพื่อดูว่าพวกเขายังมีชีวิตอยู่หรือไม่” เยโธรตอบว่า “จงไปด้วยสันติสุขเถิด” 19 และพระผู้เป็นเจ้ากล่าวกับโมเสสที่มีเดียนว่า “จงกลับไปอียิปต์ เพราะทุกคนที่ต้องการฆ่าเจ้านั้นตายหมดแล้ว” 20 ดังนั้นโมเสสจึงพาภรรยาและบุตรของท่านไป ให้นั่งบนหลังลาและกลับไปยังดินแดนของอียิปต์ และโมเสสถือไม้เท้าของพระเจ้าไว้ในมือ

21 พระผู้เป็นเจ้ากล่าวกับโมเสสว่า “เมื่อเจ้ากลับไปอียิปต์ ต้องแน่ใจด้วยว่า เจ้าจะแสดงสิ่งมหัศจรรย์ทุกอย่างที่เรามอบให้อยู่ในอำนาจของเจ้าต่อหน้าฟาโรห์ แต่เราก็จะทำให้ใจของเขาแข็งกระด้าง และเขาจะไม่ยอมปล่อยให้ชาวอิสราเอลไป 22 แล้วเจ้าจงพูดกับฟาโรห์ว่า ‘พระผู้เป็นเจ้ากล่าวว่า อิสราเอลเป็นบุตรหัวปีของเรา 23 และเราขอบอกเจ้าว่า “ปล่อยให้บุตรของเราไป เขาจะได้นมัสการเรา” แต่เจ้าปฏิเสธไม่ยอมให้เขาไป ดูเถิด เราจะฆ่าบุตรหัวปีของเจ้า’”

24 ณ ที่พักแห่งหนึ่งระหว่างทาง พระผู้เป็นเจ้าประจันหน้ากับโมเสส และพยายามทำให้โมเสสถึงแก่ชีวิต 25 ศิปโปราห์จึงคว้าหินคม นางตัดผิวหนังที่ปลายองคชาตบุตรของนาง แล้วเอาไปแตะเท้าของโมเสส นางพูดว่า “เพราะท่านเป็นเจ้าบ่าวที่เปื้อนเลือดของฉัน” 26 ดังนั้นพระผู้เป็นเจ้าปล่อยโมเสสไป ในเวลานั้นนางพูดว่า “เจ้าบ่าวที่เปื้อนเลือด” อันเป็นการอ้างถึงการเข้าสุหนัต

27 ครั้นแล้ว พระผู้เป็นเจ้ากล่าวกับอาโรนว่า “จงไปหาโมเสสในถิ่นทุรกันดาร” อาโรนจึงไปพบกับโมเสสที่ภูเขาของพระเจ้า และจูบแก้มทักทายท่าน 28 โมเสสบอกให้อาโรนฟังถึงทุกสิ่งที่พระผู้เป็นเจ้ากล่าวไว้ และปรากฏการณ์อัศจรรย์ทั้งหมดที่พระองค์สั่งให้ทำ 29 โมเสสกับอาโรนจึงจัดประชุมบรรดาหัวหน้าชั้นผู้ใหญ่ของอิสราเอล 30 แล้วอาโรนก็กล่าวถึงทุกสิ่งที่พระผู้เป็นเจ้าได้บอกโมเสส และท่านได้แสดงปรากฏการณ์อัศจรรย์ต่างๆ ต่อหน้าประชาชน 31 พวกประชาชนก็เชื่อ และเมื่อพวกเขาทราบว่าพระผู้เป็นเจ้าได้ปรากฏพระองค์แก่ชาวอิสราเอล และได้เห็นความทุกข์ยากของพวกเขาแล้ว เขาก็พากันก้มศีรษะและกราบนมัสการพระองค์

ประจันหน้ากับฟาโรห์เป็นครั้งแรก

หลังจากนั้น โมเสสและอาโรนไปหาฟาโรห์ และพูดว่า “พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของอิสราเอลกล่าวดังนี้ ‘จงปล่อยชนชาติของเราไปเสีย เพื่อให้พวกเขาเลี้ยงฉลองเป็นการให้เกียรติแก่เราในถิ่นทุรกันดาร’” แต่ฟาโรห์ตอบว่า “ใครคือพระผู้เป็นเจ้าที่เราควรจะต้องเชื่อฟัง ถึงกับต้องปล่อยชาวอิสราเอลไป เราไม่รู้จักพระผู้เป็นเจ้า และยิ่งกว่านั้น เราจะไม่ปล่อยชาวอิสราเอลไปไหนทั้งนั้น” แล้วท่านทั้งสองพูดว่า “พระเจ้าของชาวฮีบรูได้ปรากฏแก่เรา โปรดปล่อยพวกเราไปเถิด ให้พวกเราเดินทาง 3 วันไปยังถิ่นทุรกันดาร และถวายเครื่องสักการะแด่พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของเรา มิฉะนั้นพระองค์จะให้เราพบกับโรคระบาดหรือไม่ก็คมดาบ” กษัตริย์แห่งอียิปต์กล่าวกับท่านว่า “โมเสสและอาโรน ทำไมเจ้าจึงทำให้ประชาชนละจากการทำงาน ให้เขากลับไปทำงานหนักต่อไปเถิด” ฟาโรห์กล่าวต่อไปว่า “ดูสิ เวลานี้มีประชาชนจำนวนมากในแผ่นดิน และเจ้าทำให้พวกเขาหยุดทำงานกัน” ในวันเดียวกันนั้นเอง ฟาโรห์สั่งพวกหัวหน้าคุมทาสและผู้แทนหน่วยว่า “พวกเจ้าไม่ต้องหาฟางมาให้คนพวกนี้ทำอิฐอย่างที่เคยเป็นมา ให้เขาหากันเอง ส่วนจำนวนอิฐที่พวกเขาเคยทำได้เท่าไหร่ก็ต้องให้เขาทำได้จำนวนเท่าเดิม อย่าให้ลดจำนวนลง เพราะคนพวกนี้เกียจคร้านนัก จึงได้พากันโอดครวญว่า ‘ปล่อยพวกเราไป และให้เราถวายเครื่องสักการะแด่พระเจ้าของเรา’ จงเพิ่มงานให้พวกเขาทำมากขึ้น จะได้ไม่มีเวลามาสนใจฟังเรื่องที่เชื่อถือไม่ได้”

10 ดังนั้น หัวหน้าคุมทาสและผู้แทนหน่วยทั้งหลายจึงออกไปพูดกับชาวอิสราเอลว่า “ฟาโรห์สั่งว่า ‘เราจะไม่หาฟางมาให้แล้ว 11 พวกเจ้าไปหาฟางกันเอง จะไปหาได้ที่ไหนก็แล้วแต่ แต่จำนวนอิฐที่ได้อย่างน้อยต้องมีจำนวนเท่าเดิม’” 12 ดังนั้นชาวอิสราเอลจึงกระจัดกระจายออกไปทั่วดินแดนอียิปต์ เพื่อรวบรวมเศษฟาง 13 หัวหน้าคุมทาสพูดเร่งรัดว่า “ทำงานประจำวันของเจ้าให้เสร็จสิ้น เหมือนตอนที่มีฟางเตรียมไว้ให้” 14 ผู้แทนหน่วยชาวอิสราเอลที่อยู่ใต้บังคับหัวหน้าทาสของฟาโรห์ถูกเฆี่ยนและถูกซักไซ้ไล่เลียงว่า “ทำไมระยะนี้เจ้าจึงไม่ทำอิฐให้เสร็จเท่ากับจำนวนที่เคยทำ”

15 ผู้แทนหน่วยชาวอิสราเอลไปร้องต่อฟาโรห์ว่า “ทำไมท่านจึงกระทำอย่างนี้กับผู้รับใช้ของท่าน 16 ไม่มีฟางให้กับผู้รับใช้ แล้วยังจะพูดกับพวกเราอีกว่า ‘ทำอิฐสิ’ ดูเถิด บรรดาผู้รับใช้ของท่านถูกเฆี่ยน ทั้งที่ความผิดอยู่ที่คนของท่านเอง” 17 แต่ฟาโรห์กล่าวว่า “พวกเจ้าเกียจคร้านเต็มประดา จึงได้พูดกันว่า ‘ปล่อยพวกเราไป และให้เราถวายเครื่องสักการะแด่พระผู้เป็นเจ้า 18 ไปทำงานเดี๋ยวนี้เลย เพราะไม่มีฟางจะให้พวกเจ้าแล้ว ถึงอย่างไรเจ้าก็จะต้องทำอิฐให้ได้มากเท่าเดิม” 19 ผู้แทนหน่วยชาวอิสราเอลเห็นว่า พวกตนตกที่นั่งลำบากแล้วเมื่อได้ยินคำว่า “แต่ละวันจำนวนอิฐที่เจ้าทำจะลดลงไม่ได้” 20 ขณะที่พวกเขาออกมาจากการเข้าเฝ้าฟาโรห์ ก็พบโมเสสและอาโรนซึ่งกำลังยืนรอพวกเขาอยู่ 21 จึงพูดกับท่านทั้งสองว่า “ขอพระผู้เป็นเจ้าเห็นสิ่งที่ท่านทำและตัดสินท่านทั้งสอง เพราะท่านทำให้พวกเราเป็นที่น่ารังเกียจต่อฟาโรห์และข้าราชบริพาร ท่านเป็นผู้ยื่นดาบให้พวกเขาฆ่าพวกเรา”

22 ดังนั้น โมเสสจึงกลับไปหาพระผู้เป็นเจ้าอีก และถามว่า “โอ พระผู้เป็นเจ้า ทำไมพระองค์จึงทำให้คนของพระองค์ต้องเผชิญกับความเลวร้าย ทำไมพระองค์จึงใช้ข้าพเจ้ามา 23 นับตั้งแต่ข้าพเจ้าไปหาฟาโรห์เพื่อพูดในพระนามของพระองค์ ฟาโรห์ก็ได้ทำให้คนของพระองค์ต้องเผชิญกับความเลวร้าย และพระองค์ยังไม่ได้ช่วยคนของพระองค์ให้รอดปลอดภัยเลย”

พระเจ้าสัญญาให้อิสรภาพ

พระผู้เป็นเจ้ากล่าวกับโมเสสว่า “บัดนี้ เจ้าจะได้เห็นว่า เราจะทำอะไรต่อฟาโรห์ เพราะด้วยอานุภาพอันยิ่งใหญ่ของเรา ฟาโรห์จะปล่อยให้พวกเขาไป ใช่ และด้วยอานุภาพอันยิ่งใหญ่ของเรา เขาจะปล่อยให้พวกเขาออกไปจากดินแดนของเขา”

แล้วพระเจ้ากล่าวกับโมเสสว่า “เราคือพระผู้เป็นเจ้า เราได้ปรากฏแก่อับราฮัม อิสอัค และยาโคบในนามว่า ‘พระเจ้าผู้กอปรด้วยมหิทธานุภาพ’[h] แต่เราไม่ได้เผยให้พวกเขารู้ว่า นามของเราคือ พระผู้เป็นเจ้า เราทำพันธสัญญาไว้กับพวกเขาด้วยว่า เราจะให้ดินแดนคานาอันแก่พวกเขา อันเป็นดินแดนที่เขาอพยพไปอยู่ในฐานะคนต่างด้าว ยิ่งกว่านั้น เราได้ยินเสียงคร่ำครวญของชาวอิสราเอลซึ่งชาวอียิปต์บังคับให้เป็นทาสรับใช้ และเราจำพันธสัญญาของเราได้ ฉะนั้นจงบอกกับชาวอิสราเอลว่า ‘เราคือพระผู้เป็นเจ้าและเราจะให้พวกเจ้าหลุดพ้นจากงานหนักที่ชาวอียิปต์บังคับให้ทำ และเราจะให้พวกเจ้าพ้นจากการเป็นทาส และเราจะไถ่ให้รอดพ้นด้วยพลานุภาพ และด้วยการตัดสินลงโทษสถานหนัก และเราจะรับพวกเจ้าเป็นชนชาติของเรา เราจะเป็นพระเจ้าของพวกเจ้า และเจ้าจะรู้ว่า เราคือพระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของเจ้า ผู้ให้หลุดพ้นจากงานหนักที่ชาวอียิปต์บังคับให้ทำ และเราจะพาพวกเจ้าเข้าไปยังแผ่นดินที่เราได้ยกมือปฏิญาณไว้กับอับราฮัม อิสอัค และยาโคบ เราจะมอบแผ่นดินให้พวกเจ้าครอบครอง เราคือพระผู้เป็นเจ้า’” โมเสสก็บอกชาวอิสราเอลไปตามนั้น แต่พวกเขาไม่ฟังโมเสส เพราะขาดความอดทนและต้องตรากตรำกับงาน

10 แล้วพระผู้เป็นเจ้ากล่าวกับโมเสสว่า 11 “ไปเถิด จงบอกฟาโรห์กษัตริย์แห่งอียิปต์ให้ปล่อยชาวอิสราเอลออกไปจากแผ่นดินของเขา” 12 แต่โมเสสพูดกับพระผู้เป็นเจ้าว่า “ถ้าชาวอิสราเอลไม่ฟังข้าพเจ้า แล้วฟาโรห์จะฟังข้าพเจ้าได้อย่างไร ในเมื่อข้าพเจ้าพูดไม่เก่ง” 13 แต่พระผู้เป็นเจ้ากล่าวกับโมเสสและอาโรน และมอบหน้าที่ให้ท่านทั้งสองไปยังชาวอิสราเอลและฟาโรห์กษัตริย์แห่งอียิปต์ เพื่อพาชาวอิสราเอลออกจากแผ่นดินอียิปต์

บันทึกลำดับเชื้อสายของโมเสสและอาโรน

14 นี่คือบรรดาต้นตระกูลทางฝ่ายบิดาของพวกเขา รูเบนบุตรหัวปีของอิสราเอลมีบุตรชื่อ ฮาโนค ปัลลู เฮสโรน และคาร์มี นี่คือตระกูลของรูเบน 15 สิเมโอนมีบุตรชื่อ เยมูเอล ยามีน โอหาด ยาคีน โศหาร์ ชาอูลบุตรของหญิงชาวคานาอัน นี่คือตระกูลของสิเมโอน 16 รายชื่อบุตรของเลวี ตามการสืบทายาทของเขาคือ เกอร์โชน โคฮาท และเมรารี เลวีมีอายุได้ 137 ปี 17 บุตรของเกอร์โชนชื่อ ลิบนี และชิเมอี นี่คือตระกูลของเขา 18 บุตรของโคฮาทชื่อ อัมราม อิสฮาร์ เฮโบรน และอุสซีเอล โคฮาทมีอายุได้ 133 ปี 19 บุตรของเมรารีชื่อ มัคลี และมูชี นี่คือตระกูลจากเผ่าเลวี ตามการสืบทายาทของเขา 20 อัมรามได้โยเคเบดน้องบิดาของตนเป็นภรรยา และนางให้กำเนิดอาโรนและโมเสส อัมรามมีอายุได้ 137 ปี 21 บุตรของอิสฮาร์ชื่อ โคราห์ เนเฟก และศิครี 22 บุตรของอุสซีเอลชื่อ มิชาเอล เอลซาฟาน และสิธรี 23 อาโรนได้เอลีเช-บาบุตรหญิงของอัมมีนาดับเป็นภรรยา นางเป็นน้องสาวของนาโชน และนางให้กำเนิดนาดับ อาบีฮู เอเลอาซาร์ และอิธามาร์ 24 บุตรของโคราห์ชื่อ อัสสีร์ เอลคานาห์ และอาบียาสาฟ นี่คือตระกูลจากเผ่าโคราห์ 25 เอเลอาซาร์บุตรของอาโรนได้บุตรหญิงคนหนึ่งของปูทิเอลเป็นภรรยา นางให้กำเนิดฟีเนหัส นี่คือต้นสกุลทางฝ่ายบิดาจากเผ่าเลวี ตามแต่ละตระกูลของพวกเขา

26 อาโรนและโมเสสสองคนนี้แหละที่พระผู้เป็นเจ้าสั่งว่า “จงนำชาวอิสราเอลออกจากแผ่นดินอียิปต์โดยแยกกองเหมือนกองทัพตามเผ่าพันธุ์” 27 สองคนนี้แหละที่พูดกับฟาโรห์กษัตริย์แห่งอียิปต์เรื่องการนำชาวอิสราเอลออกจากอียิปต์ เป็นโมเสสผู้นี้และอาโรนผู้นี้

28 ในวันที่พระผู้เป็นเจ้ากล่าวกับโมเสสที่แผ่นดินอียิปต์ 29 พระผู้เป็นเจ้ากล่าวกับโมเสสว่า “เราคือพระผู้เป็นเจ้า จงบอกฟาโรห์กษัตริย์แห่งอียิปต์ถึงทุกคำที่เราบอกกับเจ้า” 30 แต่โมเสสพูดกับพระผู้เป็นเจ้าว่า “ดูเถิด ข้าพเจ้าพูดไม่เก่ง แล้วเหตุใดฟาโรห์จะฟังข้าพเจ้า”

โมเสสและอาโรนยืนเบื้องหน้าฟาโรห์

พระผู้เป็นเจ้ากล่าวกับโมเสสว่า “คอยดูเถิด เราจะทำให้เจ้าเป็นเสมือนพระเจ้าแก่ฟาโรห์ ส่วนอาโรนพี่ชายของเจ้าจะเป็นผู้เผยคำกล่าวของพระเจ้าแทนเจ้า เจ้าจะพูดทุกสิ่งที่เราสั่งให้พูด และอาโรนพี่ชายของเจ้าก็จะบอกฟาโรห์ให้ปล่อยชาวอิสราเอลออกไปจากแผ่นดินของเขา แต่เราจะเป็นผู้ทำจิตใจของฟาโรห์ให้แข็งกระด้าง และแม้ว่าเราจะแสดงปรากฏการณ์อัศจรรย์และสิ่งมหัศจรรย์เพิ่มมากขึ้นที่แผ่นดินอียิปต์ ฟาโรห์ก็จะไม่ฟังเจ้า แล้วเราจะลงมือกับอียิปต์ และพากองทัพของเรา ชนชาติของเรา คือชาวอิสราเอลออกไปจากแผ่นดินอียิปต์โดยการลงโทษอียิปต์สถานหนัก และชาวอียิปต์จะรู้ว่าเราคือพระผู้เป็นเจ้าเมื่อเรายื่นมือของเราออกเพื่อลงโทษพวกเขา และพาชาวอิสราเอลออกไปจากพวกเขา” โมเสสกับอาโรนจึงไปทำตามนั้น ท่านทั้งสองกระทำตามที่พระผู้เป็นเจ้าสั่ง ตอนที่ท่านทั้งสองไปพูดกับฟาโรห์นั้น โมเสสมีอายุได้ 80 ปี และอาโรนมีอายุ 83 ปี

ไม้เท้าของอาโรนกลายเป็นงู

พระผู้เป็นเจ้ากล่าวกับโมเสสและอาโรนว่า “เวลาฟาโรห์พูดกับเจ้าว่า ‘จงทำสิ่งมหัศจรรย์พิสูจน์ให้ข้าเห็นสิ’ เจ้าจงบอกอาโรนว่า ‘หยิบไม้เท้าโยนลงต่อหน้าฟาโรห์ แล้วมันจะกลายเป็นงู’” 10 ดังนั้น โมเสสและอาโรนจึงไปหาฟาโรห์ และทำตามที่พระผู้เป็นเจ้าสั่ง อาโรนโยนไม้เท้าลงต่อหน้าฟาโรห์และข้าราชบริพารของท่าน 11 ฟาโรห์จึงเรียกตัวบรรดาผู้เรืองปัญญา พวกที่ใช้เวทมนตร์ และพวกที่ใช้วิทยาคมของประเทศอียิปต์ใช้อาคมของตนทำเช่นเดียวกันด้วย 12 ทุกคนโยนไม้เท้าของตนลง มันก็กลายเป็นงู แต่ไม้เท้าของอาโรนกลับกลืนไม้เท้าของคนเหล่านั้นเข้าไป 13 แม้กระนั้นจิตใจของฟาโรห์ก็ยังแข็งกระด้าง ไม่ยอมฟังท่านทั้งสอง ดังที่พระผู้เป็นเจ้าได้กล่าวไว้

ภัยพิบัติแรก: เลือด

14 พระผู้เป็นเจ้ากล่าวกับโมเสสว่า “จิตใจของฟาโรห์แข็งกระด้าง เขาไม่ยอมปล่อยให้ประชาชนไป 15 เจ้าจงไปหาฟาโรห์ในตอนเช้า ขณะที่เขาออกไปที่แม่น้ำ จงรอเขาอยู่ที่ริมฝั่งแม่น้ำ เอาไม้เท้าด้ามที่กลายเป็นงูติดมือไปกับเจ้าด้วย 16 แล้วเจ้าจงพูดกับเขาว่า ‘พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของชาวฮีบรูใช้ข้าพเจ้าให้มาบอกว่า “ปล่อยให้ชนชาติของเราไป เพื่อพวกเขาจะได้นมัสการเราที่ถิ่นทุรกันดาร แต่เจ้าก็ยังไม่เชื่อฟัง” 17 ดังนั้นพระผู้เป็นเจ้ากล่าวอีกว่า “เจ้าจะรู้ว่าเราคือพระผู้เป็นเจ้าโดยสิ่งที่เรากระทำคือ เราจะใช้ไม้เท้าที่อยู่ในมือเราฟาดลงที่ผิวน้ำในแม่น้ำไนล์ และมันจะกลายเป็นเลือด 18 ปลาในแม่น้ำไนล์จะตาย และแม่น้ำจะเหม็น ชาวอียิปต์จะไม่อยากดื่มน้ำจากแม่น้ำไนล์”’” 19 พระผู้เป็นเจ้ากล่าวกับโมเสสว่า “จงบอกอาโรนให้หยิบไม้เท้าของเขา แล้วยื่นมือออกไปให้ทั่วเหนือน้ำในอียิปต์ ทั้งแม่น้ำ คลอง บึง และแหล่งเก็บน้ำทั้งหมด แล้วน้ำทุกแห่งก็จะกลายเป็นเลือด จะมีเลือดทั่วแผ่นดินอียิปต์ แม้แต่ในภาชนะไม้และภาชนะหิน”

20 โมเสสกับอาโรนก็ทำตามที่พระผู้เป็นเจ้าบัญชา ท่านยกไม้เท้าของท่านขึ้นฟาดน้ำในแม่น้ำไนล์ ต่อหน้าฟาโรห์และต่อหน้าข้าราชบริพารของท่าน และน้ำทั้งแม่น้ำไนล์กลายเป็นเลือด 21 ปลาในแม่น้ำไนล์พากันตายหมด แม่น้ำจึงเหม็นจนชาวอียิปต์ไม่สามารถดื่มน้ำจากแม่น้ำไนล์ได้อีก มีเลือดนองไปทั่วแผ่นดินอียิปต์ 22 ครั้นแล้วพวกที่ใช้วิทยาคมของอียิปต์ก็ใช้อาคมของตนทำเช่นเดียวกันด้วย ดังนั้นจิตใจของฟาโรห์จึงแข็งกระด้างดังเดิม ไม่ยอมฟังโมเสสและอาโรน ดังที่พระผู้เป็นเจ้ากล่าวไว้ 23 ฟาโรห์หันกลับเข้าวังของท่านโดยไม่ได้คิดถึงเรื่องที่เกิดขึ้นเลย 24 ชาวอียิปต์ทั้งปวงก็ขุดบ่อหาน้ำดื่มใกล้ๆ แม่น้ำไนล์ เพราะไม่สามารถดื่มน้ำจากแม่น้ำได้

25 เจ็ดวันผ่านไปนับจากเวลาที่พระผู้เป็นเจ้าได้ทำให้น้ำกลายเป็นเลือด

ภัยพิบัติที่สอง: กบ

แล้วพระผู้เป็นเจ้ากล่าวกับโมเสสว่า “จงเข้าไปหาฟาโรห์และพูดกับเขาว่า ‘พระผู้เป็นเจ้ากล่าวดังนี้ “ปล่อยชนชาติของเราไปเสีย เพื่อพวกเขาจะได้นมัสการเรา แต่ถ้าเจ้าไม่ยอมให้พวกเขาไป ดูเถิด เราจะให้เกิดภัยพิบัติเป็นฝูงกบทั่วแผ่นดินของเจ้า จะมีกบเต็มแม่น้ำไนล์ แล้วมันจะกระโดดเข้าไปในวัง ในห้องนอน และเตียงนอนของเจ้า มันจะเข้าไปในบ้านของข้าราชบริพารและพลเมือง ในเตาอบและอ่างนวดแป้ง กบจะกระโดดขึ้นตัวเจ้า ขึ้นตัวพลเมือง และข้าราชบริพารของเจ้าทุกคน”’” แล้วพระผู้เป็นเจ้ากล่าวกับโมเสสว่า “จงบอกอาโรนว่า ‘ยื่นมือที่ถือไม้เท้าออกเหนือแม่น้ำ คลอง และบึง เพื่อทำให้กบขึ้นไปบนแผ่นดินอียิปต์’” อาโรนก็ยื่นมือออกไปเหนือแหล่งน้ำทั้งหลายในอียิปต์ และกบก็ขึ้นมาเกาะอยู่ทั่วแผ่นดินอียิปต์ ครั้นแล้วพวกที่ใช้วิทยาคมก็ใช้อาคมของตนทำขึ้นได้บ้างเหมือนกัน ทำให้มีกบขึ้นมาอยู่บนแผ่นดินอียิปต์

ฟาโรห์จึงเรียกตัวโมเสสและอาโรนมาโดยกล่าวว่า “เจ้าจงอธิษฐานให้พระผู้เป็นเจ้ากำจัดกบไปจากเรา จากพลเมืองของเรา แล้วเราจะปล่อยให้ชนชาติของเจ้าไปถวายเครื่องสักการะแด่พระผู้เป็นเจ้า โมเสสตอบฟาโรห์ว่า “ขอให้สั่งมาเถิดว่าเวลาใดท่านจะให้ข้าพเจ้าอธิษฐานให้ท่าน ให้ข้าราชบริพารและพลเมืองของท่าน เพื่อกำจัดกบไปเสียจากท่านและจากบ้าน จะมีเหลืออยู่ก็แต่ในแม่น้ำไนล์เท่านั้น” 10 ท่านกล่าวว่า “พรุ่งนี้” โมเสสจึงตอบว่า “จะเป็นไปตามที่ท่านว่า เพื่อท่านจะได้ทราบว่าไม่มีผู้ใดเป็นเหมือนพระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของเรา 11 ฝูงกบจะไปจากท่าน จากบ้านของท่าน จากข้าราชบริพารและพลเมืองของท่าน จะมีเหลืออยู่ก็แต่ในแม่น้ำไนล์เท่านั้น” 12 โมเสสกับอาโรนก็จากฟาโรห์ไป โมเสสร้องอ้อนวอนต่อพระผู้เป็นเจ้าเรื่องกบ ตามที่ได้ตกลงไว้กับฟาโรห์ 13 พระผู้เป็นเจ้าก็ทำตามคำขอร้องของโมเสส คือกบตายอยู่ในบ้าน ที่ลานบ้าน และในทุ่ง 14 และมีคนเก็บมันไว้เป็นกองๆ แผ่นดินก็เหม็นคลุ้ง 15 แต่ครั้นฟาโรห์เห็นว่าหมดทุกข์แล้ว ท่านก็ทำจิตใจแข็งกระด้าง ไม่ยอมฟังท่านทั้งสอง ดังที่พระผู้เป็นเจ้าได้กล่าวไว้

ภัยพิบัติที่สาม: ริ้น

16 พระผู้เป็นเจ้ากล่าวกับโมเสสว่า “จงบอกอาโรนว่า ‘ยื่นไม้เท้าของพี่ออกไป ฟาดผงคลีดิน เพื่อให้มีริ้นอยู่ทั่วแผ่นดินอียิปต์’” 17 ทั้งสองก็ทำตาม อาโรนยื่นมือพร้อมไม้เท้าของท่านออกไป และฟาดผงคลีดิน เกิดเป็นริ้นตอมตัวคนและสัตว์เลี้ยง ผงคลีทุกแห่งหนกลายเป็นริ้นทั่วแผ่นดินอียิปต์ 18 พวกที่ใช้วิทยาคมพยายามเสกคาถาขึ้นบ้าง แต่ก็ทำไม่ได้ ฉะนั้นริ้นเกาะอยู่ตามตัวคนและสัตว์เลี้ยง 19 พวกที่ใช้วิทยาคมบอกฟาโรห์ว่า “นี่เป็นนิ้วมือของพระเจ้า” แต่จิตใจของฟาโรห์ก็ยังแข็งกระด้าง และท่านไม่ยอมฟังท่านทั้งสอง ดังที่พระผู้เป็นเจ้าได้กล่าวไว้

ภัยพิบัติที่สี่: ตัวเหลือบ

20 แล้วพระผู้เป็นเจ้ากล่าวกับโมเสสว่า “พรุ่งนี้เจ้าจงลุกขึ้นแต่เช้าตรู่ ไปยืนต่อหน้าฟาโรห์ในยามที่เขาออกไปที่แม่น้ำ และพูดกับเขาว่า ‘พระผู้เป็นเจ้ากล่าวดังนี้ “ปล่อยชนชาติของเราไปเสีย เพื่อพวกเขาจะได้นมัสการเรา 21 เพราะว่าถ้าเจ้าไม่ปล่อยให้ชนชาติของเราไป เราจะให้ฝูงเหลือบมาตอมตัวเจ้า ตอมข้าราชบริพารและพลเมืองของเจ้า มันจะเข้าไปในบ้านของเจ้า ในบ้านเรือนของชาวอียิปต์จะเต็มไปด้วยฝูงเหลือบแม้กระทั่งพื้นที่พวกเขายืนอยู่ 22 แต่ในเวลานั้นเราจะไม่กระทำเช่นนั้นต่อดินแดนโกเชนซึ่งเป็นที่ชนชาติของเราอาศัยอยู่ ฉะนั้นจะไม่มีฝูงเหลือบที่นั่น เจ้าจะได้รู้ว่าเราคือพระผู้เป็นเจ้าอยู่ในดินแดนนี้ 23 โดยวิธีการนี้ เราจะทำให้เห็นความแตกต่างระหว่างชนชาติของเราและพลเมืองของเจ้า สิ่งนี้จะเป็นที่พิสูจน์ให้เห็นภายในพรุ่งนี้”’” 24 แล้วพระผู้เป็นเจ้าก็ทำตามนั้น คือมีเหลือบฝูงใหญ่บินเข้าวังของฟาโรห์และบ้านของข้าราชบริพารของท่าน ตัวเหลือบทำความเสียหายแผ่นดินทั่วทั้งอียิปต์

25 ฟาโรห์จึงเรียกตัวโมเสสและอาโรนมากล่าวว่า “จงไปเถิด ไปถวายเครื่องสักการะแด่พระเจ้าของเจ้าภายในอาณาเขตของแผ่นดินนี้” 26 แต่โมเสสตอบว่า “ไม่สมควรที่จะทำอย่างนั้น เพราะว่าเป็นที่น่ารังเกียจต่อชาวอียิปต์ที่เราจะนมัสการโดยมอบของถวายแด่พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของเรา ถ้าพวกเรานมัสการโดยมอบของถวายอันเป็นสิ่งที่ชาวอียิปต์ถือว่าเป็นสิ่งน่ารังเกียจให้พวกเขาเห็น แล้วเขาจะไม่ขว้างก้อนหินใส่เราหรือ 27 เราต้องเดินทางเป็นเวลา 3 วันเข้าไปในถิ่นทุรกันดารเพื่อนมัสการพระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของเรา ตามที่พระองค์บัญชา” 28 ฟาโรห์กล่าวว่า “เราจะปล่อยให้พวกเจ้าไป เพื่อนมัสการพระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของเจ้าในถิ่นทุรกันดาร ถ้าเจ้าไปไม่ไกลเกินไป ก็ขออธิษฐานให้เราด้วย” 29 โมเสสพูดว่า “ดูเถิด ข้าพเจ้าจะไปจากท่าน และจะอธิษฐานต่อพระผู้เป็นเจ้าให้พวกฝูงเหลือบไปเสียจากฟาโรห์ จากข้าราชบริพาร และจากพลเมืองของท่านในวันพรุ่งนี้ ขอเพียงฟาโรห์อย่าได้ลวงเราอีกด้วยการไม่ยอมปล่อยให้ประชาชนไปนมัสการพระผู้เป็นเจ้า 30 โมเสสจากฟาโรห์ไป และอธิษฐานต่อพระผู้เป็นเจ้า 31 และพระผู้เป็นเจ้าทำตามที่โมเสสอธิษฐานขอ โดยให้พวกฝูงเหลือบไปเสียจากฟาโรห์ จากข้าราชบริพาร และจากพลเมืองของท่าน ไม่มีตัวเหลือบเหลือสักตัวเดียว 32 แต่ครั้งนี้ฟาโรห์ก็ยังมีจิตใจแข็งกระด้างอีก ไม่ยอมปล่อยให้ประชาชนไป

ภัยพิบัติที่ห้า: โรคในสัตว์เลี้ยง

พระผู้เป็นเจ้าจึงกล่าวกับโมเสสว่า “จงไปหาฟาโรห์และพูดกับเขาว่า ‘พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของชาวฮีบรูกล่าวดังนี้ “จงปล่อยชนชาติของเราไปเสีย เพื่อพวกเขาจะได้นมัสการเรา เพราะถ้าเจ้าไม่ยอมปล่อยให้พวกเขาไป และยังหน่วงเหนี่ยวไว้อีก ดูเถิด มือของพระผู้เป็นเจ้าจะลงโทษเจ้าโดยให้โรคระบาดอันร้ายแรงเกิดกับฝูงปศุสัตว์ในทุ่ง ม้า ลา อูฐ ฝูงโค แพะและแกะทั้งหลาย แต่พระผู้เป็นเจ้าจะกระทำต่อฝูงปศุสัตว์ของชาวอิสราเอลต่างกับฝูงปศุสัตว์ของชาวอียิปต์ เพื่อว่าสัตว์ของชาวอิสราเอลจะไม่ตายเลยสักตัว”’” แล้วพระผู้เป็นเจ้าก็กำหนดเวลาไว้ว่า “พรุ่งนี้พระผู้เป็นเจ้าจะกระทำตามนี้ในแผ่นดิน” พอวันรุ่งขึ้น พระผู้เป็นเจ้าก็กระทำตามคำพูด ฝูงปศุสัตว์ของชาวอียิปต์ตาย แต่ฝูงปศุสัตว์ของประชาชนชาวอิสราเอลไม่ตายสักตัวเดียว ฟาโรห์ถามไถ่ดูได้ความว่าฝูงปศุสัตว์ของชาวอิสราเอลไม่ตายสักตัวเดียว แต่จิตใจของฟาโรห์ถูกทำให้แข็งกระด้าง และท่านไม่ยอมปล่อยให้ประชาชนไป

ภัยพิบัติที่หก: ฝี

พระผู้เป็นเจ้ากล่าวกับโมเสสและอาโรนว่า “จงเอาขี้เถ้าสักสองสามกำมือจากเตาเผา ให้โมเสสปาขึ้นฟ้าต่อหน้าฟาโรห์ แล้วมันก็จะกลายเป็นละอองฝุ่นทั่วแผ่นดินอียิปต์ และจะกลายเป็นฝี แตกเป็นแผลตามตัวคนและสัตว์เลี้ยงทั่วแผ่นดินอียิปต์” 10 ดังนั้น ท่านทั้งสองจึงเอาขี้เถ้าจากเตาเผาไปยืนอยู่ต่อหน้าฟาโรห์ และโมเสสปาขึ้นฟ้า และมันก็กลายเป็นฝี แตกเป็นแผลตามตัวคนและสัตว์เลี้ยง 11 คราวนี้พวกที่ใช้วิทยาคมทนยืนต่อหน้าโมเสสไม่ไหวเพราะเป็นฝี ฝีขึ้นตามตัวพวกเขาเช่นเดียวกับชาวอียิปต์ทุกคน 12 แต่พระผู้เป็นเจ้าเป็นผู้ทำจิตใจของฟาโรห์ให้แข็งกระด้าง ท่านไม่ยอมฟังโมเสสและอาโรน ดังที่พระผู้เป็นเจ้าบอกโมเสสไว้แล้ว

ภัยพิบัติที่เจ็ด: ลูกเห็บ

13 พระผู้เป็นเจ้ากล่าวกับโมเสสว่า “พรุ่งนี้เจ้าจงลุกขึ้นแต่เช้าตรู่ ไปยืนต่อหน้าฟาโรห์แล้วพูดกับเขาว่า ‘พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของชาวฮีบรูกล่าวดังนี้ “ปล่อยชนชาติของเราไปเสีย เพื่อพวกเขาจะได้นมัสการเรา 14 ครั้งนี้เราจะให้ภัยพิบัติทั้งหมดกระหน่ำลงที่เจ้า ที่ข้าราชบริพาร และที่พลเมืองของเจ้า แล้วเจ้าจะได้รู้ว่าไม่มีใครในโลกที่เป็นอย่างเรา 15 เพราะบัดนี้ เราจะบันดาลให้โรคระบาดเกิดขึ้นกับเจ้าและพลเมืองของเจ้าก็ได้ แล้วเจ้าก็จะถูกกำจัดไปเสียจากโลก 16 แต่เราแต่งตั้งเจ้าขึ้นมาเพราะจุดประสงค์นี้เอง เพื่อเราจะได้แสดงอานุภาพของเราให้เจ้าเห็น และเพื่อนามของเราจะได้ถูกป่าวประกาศไปทั่วโลก 17 เจ้ายังหยิ่งยโสต่อชนชาติของเรา และไม่ยอมปล่อยให้พวกเขาไป 18 ดูเถิด พรุ่งนี้ประมาณเวลานี้ เราจะทำให้ลูกเห็บตกหนักอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อนในอียิปต์ ครั้งตั้งแต่อียิปต์เป็นประเทศจนถึงวันนี้ 19 บัดนี้ เจ้าให้คนไปต้อนฝูงปศุสัตว์และทุกสิ่งที่เป็นของเจ้าในทุ่งเข้าที่กำบัง เพราะลูกเห็บจะตกถูกตัวคนและสัตว์เลี้ยงทั้งหลายที่ไม่พาเข้ามาจากทุ่ง และจะต้องตาย”’” 20 ข้าราชบริพารของฟาโรห์ที่เกรงกลัวคำกล่าวของพระผู้เป็นเจ้าก็รีบพาทาสผู้รับใช้และฝูงปศุสัตว์กลับเข้าที่พัก 21 ส่วนคนที่ไม่สนใจคำกล่าวของพระผู้เป็นเจ้าก็ปล่อยพวกทาสผู้รับใช้และฝูงปศุสัตว์ของตนไว้ในทุ่ง

22 ครั้นแล้วพระผู้เป็นเจ้าก็กล่าวกับโมเสสว่า “จงยื่นมือของเจ้าขึ้นสู่ฟ้า จะได้มีลูกเห็บตกทั่วแผ่นดินอียิปต์ ถูกตัวคนและสัตว์เลี้ยง ตกบนพืชผักในไร่นาทั่วทั้งแผ่นดินอียิปต์” 23 โมเสสจึงยื่นไม้เท้าของท่านขึ้นสู่ฟ้า และพระผู้เป็นเจ้าก็บันดาลให้ฟ้าร้องและมีลูกเห็บตก ฟ้าแลบทั่วแผ่นดิน พระผู้เป็นเจ้าให้ลูกเห็บตกที่แผ่นดินอียิปต์ 24 พายุลูกเห็บตกหนัก พร้อมกับฟ้าแลบแปลบปลาบ ลูกเห็บลงหนักอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อนในแผ่นดินอียิปต์นับตั้งแต่ที่ได้มาเป็นประชาชาติ 25 ลูกเห็บตกลงมาโดนทุกสิ่งที่อยู่ในทุ่งนาทั่วดินแดนอียิปต์ไม่ว่าจะเป็นคนหรือสัตว์เลี้ยง รวมทั้งต้นพืชในทุ่งนา และต้นไม้ทุกต้นในทุ่งหักโค่นลง 26 มีเพียงดินแดนโกเชนอันเป็นอาณาเขตที่ชาวอิสราเอลอาศัยอยู่เท่านั้นที่ไม่มีลูกเห็บตก

27 ฟาโรห์ส่งคนไปตามโมเสสและอาโรนมา และกล่าวว่า “ครั้งนี้เราผิดไปแล้ว พระผู้เป็นเจ้าเป็นฝ่ายถูก เราและพลเมืองของเราเป็นฝ่ายผิด 28 เจ้าจงอธิษฐานต่อพระผู้เป็นเจ้าเถิด ยามนี้เสียงฟ้าร้องและลูกเห็บที่ตกลงมาก็มากเกินพอแล้ว เราจะปล่อยให้เจ้าไป และเจ้าไม่ต้องอยู่ที่นี่อีกต่อไปแล้ว” 29 โมเสสตอบท่านว่า “ทันทีที่ข้าพเจ้าออกไปจากเมือง ข้าพเจ้าจะยกมืออธิษฐานต่อพระผู้เป็นเจ้า ฟ้าจะหยุดคำรามและจะไม่มีลูกเห็บอีก ท่านจะได้ทราบว่าแผ่นดินโลกเป็นของพระผู้เป็นเจ้า 30 แต่ข้าพเจ้าทราบว่าท่านและข้าราชบริพารของท่านยังไม่เกรงกลัวพระผู้เป็นเจ้า องค์พระเจ้า” 31 (ต้นป่านและข้าวบาร์เลย์เสียหาย เพราะข้าวบาร์เลย์กำลังสุกได้ที่และต้นป่านก็กำลังออกดอก 32 แต่ข้าวสาลีและข้าวสาลีป่าไม่เสียหายเพราะออกดอกช้ากว่า) 33 แล้วโมเสสก็จากฟาโรห์ไป และออกไปจากตัวเมืองและยกมืออธิษฐานต่อพระผู้เป็นเจ้า ฟ้าหยุดร้อง ลูกเห็บและฝนก็หยุดตก 34 แต่เมื่อฟาโรห์เห็นว่าฝนกับลูกเห็บหยุดตก และฟ้าหยุดร้อง ท่านจึงทำผิดบาปอีก ทั้งท่านและข้าราชบริพารก็ทำจิตใจแข็งกระด้าง 35 ดังนั้นจิตใจของฟาโรห์ถูกทำให้แข็งกระด้าง และท่านไม่ยอมให้ชาวอิสราเอลไป ดังที่พระผู้เป็นเจ้าได้กล่าวไว้กับโมเสส

ภัยพิบัติที่แปด: ตั๊กแตน

10 พระผู้เป็นเจ้ากล่าวกับโมเสสว่า “เจ้าจงไปหาฟาโรห์ เพราะเราได้ทำจิตใจของเขาและของข้าราชบริพารของเขาให้แข็งกระด้างแล้ว เพื่อเราจะได้แสดงปรากฏการณ์อัศจรรย์เหล่านี้ของเราแก่พวกเขา และเจ้าจะได้เล่าให้ลูกหลานของเจ้าฟังได้ว่า เราพอใจเพียงไรที่ทำให้ชาวอียิปต์ดูเป็นคนโง่เขลา และให้พวกเขารู้ว่าเราได้แสดงปรากฏการณ์อัศจรรย์อะไรบ้าง พวกเจ้าทั้งหลายจะได้รู้ว่าเราคือพระผู้เป็นเจ้า

ดังนั้น โมเสสและอาโรนจึงไปหาฟาโรห์และพูดกับท่านว่า “พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของชาวฮีบรูกล่าวว่า ‘เจ้าจะปฏิเสธไม่ยอมนอบน้อมต่อเราอีกนานแค่ไหน จงปล่อยให้ชนชาติของเราไป พวกเขาจะได้นมัสการเรา เพราะถ้าหากว่าเจ้าไม่ยอมให้ชนชาติของเราไป ดูเถิด พรุ่งนี้เราจะให้ฝูงตั๊กแตนบินเข้ามาในประเทศของเจ้า และมันจะมาลงเต็มทั่วแผ่นดิน จนไม่มีใครสามารถมองเห็นพื้นดินได้เลย พวกตั๊กแตนก็จะกินทุกสิ่งที่ลูกเห็บไม่ได้ทำลายจนเกลี้ยง พวกมันจะกินต้นไม้ของเจ้าทุกต้นในทุ่งนา พวกมันจะเกาะอยู่เต็มบ้านของเจ้า ของข้าราชบริพารของเจ้า และของชาวอียิปต์ทุกคน อย่างที่บิดาและบรรพบุรุษของเจ้าไม่เคยเห็นมาก่อน นับตั้งแต่พวกเขาเกิดมาจนถึงวันนี้’” ครั้นแล้วท่านก็หันกลับออกไปจากฟาโรห์

ข้าราชบริพารของฟาโรห์จึงถามท่านว่า “ชายผู้นี้จะนำความลำบากมาให้พวกเราอีกนานแค่ไหน ปล่อยพวกเขาไปเถิด เพื่อจะได้ไปนมัสการพระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของพวกเขา ท่านไม่ตระหนักเลยหรือว่าอียิปต์พังพินาศแล้ว” ดังนั้น โมเสสและอาโรนจึงถูกพาตัวกลับเข้ามาหาฟาโรห์อีก และท่านกล่าวกับโมเสสและอาโรนว่า “จงไปนมัสการพระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของเจ้า แต่ใครบ้างที่จะไป” โมเสสตอบว่า “พวกเราจะไปกับคนหนุ่มและคนแก่ เราจะไปกับบุตรชายบุตรหญิงของเรา ฝูงแพะแกะ และโคของเรา เพราะเราต้องมีพิธีเลี้ยงฉลองเพื่อพระผู้เป็นเจ้า 10 ฟาโรห์กล่าวกับท่านทั้งสองว่า “ถ้าเรายอมให้เจ้าและพวกเด็กเล็กของเจ้าไป ก็ขอให้พระผู้เป็นเจ้าสถิตกับเจ้าเถิด ดูสิ พวกเจ้าคิดประสงค์ร้าย 11 เอาอย่างนี้ ผู้ชายเท่านั้นที่จะไปนมัสการพระผู้เป็นเจ้า เพราะนั่นเป็นความต้องการของพวกเจ้า” แล้วท่านทั้งสองก็ถูกขับไล่ออกไปให้พ้นหน้าฟาโรห์

12 พระผู้เป็นเจ้ากล่าวกับโมเสสว่า “จงยื่นมือของเจ้าออกเหนือแผ่นดินอียิปต์ ให้ฝูงตั๊กแตนมาลงที่แผ่นดินอียิปต์ ให้มันกินพืชทุกต้นที่ลูกเห็บไม่ได้ทำลาย” 13 โมเสสจึงยื่นไม้เท้าของตนออกไปเหนือแผ่นดินอียิปต์ แล้วพระผู้เป็นเจ้าให้ลมตะวันออกพัดมาบนแผ่นดินในวันนั้นตลอดทั้งวันและคืน พอรุ่งเช้าลมตะวันออกก็พัดพาเอาตั๊กแตนมา 14 ฝูงตั๊กแตนบินมาลงทั่วดินแดนอียิปต์ มันปักหลักกันอยู่ทุกแห่งหนทุกซอกทุกมุมของอียิปต์ อย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน และจะไม่มีวันเป็นเช่นนี้อีกในอนาคต 15 มันกระจายไปเกาะทั่วผิวแผ่นดินจนมืด มันกัดกินพืชที่ขึ้นอยู่ในแผ่นดิน ผลไม้บนต้นที่ลูกเห็บไม่ได้ทำลาย ไม่มีพืชไม้ใบเขียวชนิดใดหลงเหลืออยู่เลย ไม่มีต้นไม้หรือพืชใดๆ ในแผ่นดินอียิปต์ 16 ฟาโรห์จึงรีบเรียกโมเสสและอาโรนมาหาและกล่าวว่า “เราได้กระทำผิดบาปต่อพระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของเจ้า และต่อพวกเจ้าด้วย 17 ฉะนั้นเราขอให้เจ้าอภัยบาปเราครั้งนี้อีกครั้งเดียว จงอธิษฐานต่อพระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของเจ้าให้เราหลุดพ้นจากความตายครั้งนี้เถิด” 18 โมเสสจึงจากฟาโรห์ไป และไปอธิษฐานต่อพระผู้เป็นเจ้า 19 พระผู้เป็นเจ้าจึงให้ลมตะวันตกพัดแรงจนหอบเอาฝูงตั๊กแตนออกไปลงในทะเลแดง ไม่มีตั๊กแตนเหลืออยู่บนแผ่นดินอียิปต์แม้แต่สักตัวเดียว 20 แต่พระผู้เป็นเจ้าเป็นผู้ทำจิตใจของฟาโรห์ให้แข็งกระด้าง ท่านจึงไม่ยอมปล่อยให้ชาวอิสราเอลไป

ภัยพิบัติที่เก้า: ความมืด

21 พระผู้เป็นเจ้ากล่าวกับโมเสสว่า “จงยื่นมือของเจ้าขึ้นสู่ฟ้า จะได้เกิดความมืดที่สัมผัสได้ทั่วแผ่นดินอียิปต์” 22 โมเสสจึงยื่นมือขึ้นสู่ฟ้า เกิดความมืดครอบคลุมทั่วแผ่นดินอียิปต์เป็นเวลา 3 วัน 23 ผู้คนไม่สามารถมองเห็นใครได้ และไม่ได้ไปมาหาสู่กันนานถึง 3 วัน ส่วนชาวอิสราเอลมีแสงสว่างในที่ที่พวกเขาอาศัยอยู่ 24 ฟาโรห์จึงเรียกโมเสสมาพบและกล่าวว่า “ไปเถิด ไปนมัสการพระผู้เป็นเจ้า ลูกหลานของเจ้าจะไปกับเจ้าด้วยก็ได้ แต่ทิ้งฝูงแพะแกะ และโคของเจ้าไว้ที่นี่แหละ” 25 แต่โมเสสตอบว่า “ท่านต้องให้พวกเรามีเครื่องสักการะและสัตว์ที่เผาเป็นของถวายด้วย เพื่อสักการะแด่พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของเรา 26 ฝูงปศุสัตว์ของเราต้องไปกับเราด้วย จะทิ้งไว้ที่นี่แม้แต่กีบหนึ่งก็ไม่ได้ เพราะเราต้องเลือกสัตว์จากฝูงที่เป็นของเราเพื่อนมัสการพระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของเรา และเราไม่ทราบว่าจะต้องนมัสการพระผู้เป็นเจ้าด้วยอะไรจนกว่าเราจะถึงที่นั่นก่อน” 27 แต่พระผู้เป็นเจ้าเป็นผู้ทำจิตใจของฟาโรห์ให้แข็งกระด้าง และท่านจะไม่ยอมให้พวกเขาไป 28 ฟาโรห์จึงพูดกับโมเสสว่า “ไปให้พ้นหน้าเรา เจ้าระวังตัวให้ดี อย่ามาให้เราเห็นหน้าอีก เพราะในวันที่เจ้ามาให้เห็นหน้าอีก เจ้าจะต้องตาย” 29 โมเสสตอบว่า “ข้าพเจ้าจะไม่โผล่หน้ามาให้ท่านเห็นอีกตามที่ท่านต้องการ”

การเตือนถึงภัยพิบัติครั้งสุดท้าย

11 พระผู้เป็นเจ้ากล่าวกับโมเสสว่า “ยังมีภัยพิบัติอีกหนึ่งอย่างที่เราจะให้เกิดแก่ฟาโรห์และประเทศอียิปต์ หลังจากนั้นแล้ว เขาจะยอมปล่อยให้เจ้าไป เมื่อถึงเวลาที่เขาปล่อยให้เจ้าไป เขาจะขับไล่พวกเจ้าออกไปให้หมด จงกำชับทั้งชายและหญิงทุกคนให้ไปขอสิ่งที่ทำด้วยเงินและทองคำจากเพื่อนบ้านของตน” และพระผู้เป็นเจ้าทำให้ชาวอียิปต์มีความกรุณาต่อชาวอิสราเอล โมเสสเองก็เป็นที่นับหน้าถือตาในแผ่นดินอียิปต์ ในหมู่ข้าราชบริพารและในสายตาของประชาชน

โมเสสกล่าวว่า “พระผู้เป็นเจ้ากล่าวดังนี้ว่า ‘ประมาณเที่ยงคืน เราจะออกไปท่ามกลางชาวอียิปต์ บุตรหัวปีทุกคนของอียิปต์จะถึงแก่ความตาย นับจากบุตรหัวปีของฟาโรห์ผู้นั่งบนบัลลังก์ของเขา จนถึงบุตรหัวปีของทาสหญิงที่อยู่หลังโรงสีข้าว และลูกสัตว์เลี้ยงตัวแรกทุกตัวด้วย จะมีเสียงร้องระงมไปทั่วแผ่นดินอียิปต์แบบไม่เคยมีมาก่อนและจะไม่มีวันเกิดขึ้นอีก แต่สำหรับชาวอิสราเอลแล้ว สุนัขสักตัวก็จะไม่แยกเขี้ยวใส่คนหรือสัตว์เลี้ยงของพวกเขา เพื่อเจ้าจะได้รู้ว่าพระผู้เป็นเจ้ากระทำต่อชาวอียิปต์และชาวอิสราเอลต่างกัน’ แล้วข้าราชบริพารของท่านจะลงมาหาข้าพเจ้าและก้มกราบพร้อมกับพูดว่า ‘ไปเถิด ทั้งตัวเจ้าและทุกคนที่จะตามเจ้าไปด้วย’ และหลังจากนั้นข้าพเจ้าจะไป” ครั้นแล้วโมเสสก็จากฟาโรห์ไปด้วยความเดือดดาล พระผู้เป็นเจ้ากล่าวกับโมเสสว่า “ฟาโรห์จะไม่ฟังเจ้า เพื่อว่าสิ่งมหัศจรรย์ของเราจะได้เกิดทวีขึ้นอีกในแผ่นดินอียิปต์”

10 โมเสสและอาโรนแสดงสิ่งมหัศจรรย์เหล่านี้ต่อหน้าฟาโรห์ และพระผู้เป็นเจ้าก็เป็นผู้ทำจิตใจของฟาโรห์ให้แข็งกระด้าง ท่านไม่ยอมให้ชาวอิสราเอลออกไปพ้นแผ่นดินอียิปต์

วันปัสกาแรก

12 พระผู้เป็นเจ้ากล่าวกับโมเสสและอาโรนที่แผ่นดินอียิปต์ว่า “เดือนนี้เป็นเดือนแรกเริ่มสำหรับพวกเจ้า คือเป็นเดือนแรกของปีสำหรับเจ้าทั้งหลาย[i] จงบอกชาวอิสราเอลทั้งมวลว่าวันที่สิบของเดือนนี้ ชายทุกคนที่เป็นหัวหน้าครอบครัวจะต้องเลือกเอาลูกแกะ 1 ตัวสำหรับครอบครัวของตน และถ้าครอบครัวเล็กเกินไปที่จะใช้แกะทั้งตัว เขาต้องแบ่งรับประทานกับเพื่อนบ้านใกล้เคียง โดยแบ่งกันตามจำนวนคนว่า แต่ละคนจะรับประทานมากน้อยแค่ไหน ลูกแกะของเจ้าจะต้องปราศจากตำหนิ ตัวผู้อายุ 1 ปี เจ้าจะเลือกจากฝูงแกะหรือฝูงแพะก็ได้ เจ้าจงดูแลมันไว้จนถึงวันที่สิบสี่ของเดือนนี้[j] แล้วชาวอิสราเอลทั้งมวลจะต้องฆ่าลูกแกะของตนในเวลาพลบค่ำ

และให้พวกเขาใช้เลือดทารอบวงกบประตูหน้าบ้านที่พวกเขาใช้เป็นที่รับประทานอาหารกัน ค่ำวันนั้น ให้เขารับประทานเนื้อสัตว์ย่างกับขนมปังไร้เชื้อและผักรสขม อย่ารับประทานเนื้อดิบหรือเนื้อที่ต้มสุกด้วยน้ำ แต่ให้ย่างทั้งตัวรวมทั้งหัว ขาและเครื่องในด้วย 10 พวกเจ้าอย่าให้มีอะไรเหลือทิ้งไว้จนถึงรุ่งเช้า สิ่งใดที่เหลือไว้จนถึงเช้าจะต้องเผาให้หมด 11 เวลาที่เจ้ารับประทานจงแต่งตัวสำหรับการเดินทางให้พร้อม โดยสวมรองเท้าไว้ ถือไม้เท้า และเจ้าควรรับประทานอย่างรีบเร่ง เพราะนี่เป็นเวลาปัสกา[k]ของพระผู้เป็นเจ้า 12 เพราะเราจะผ่านเข้าไปในแผ่นดินอียิปต์ในคืนเดียวกันนั้น เราจะสังหารบุตรหัวปีทุกคนและลูกสัตว์เลี้ยงตัวแรกทุกตัวในแผ่นดินอียิปต์ เราจะลงโทษเทพเจ้าทั้งปวงของอียิปต์ เราคือพระผู้เป็นเจ้า 13 เลือดจะเป็นหมายสำคัญของพวกเจ้า เวลาเราเห็นเลือดติดบ้านที่เจ้าอยู่ เราจะผ่านเลยไป โดยจะไม่มีภัยพิบัติเกิดแก่เจ้าในเวลาที่เรากำราบแผ่นดินอียิปต์

14 วันนี้จะเป็นวันที่เจ้าควรรำลึก และฉลองเพื่อเป็นวาระเทศกาลแด่พระผู้เป็นเจ้าโดยทั่วทุกชาติพันธุ์ของเจ้า เจ้าจงรักษากฎเกณฑ์นี้ไปตลอดกาล 15 จงรับประทานขนมปังไร้เชื้อในระยะ 7 วัน วันแรกจงกำจัดเชื้อยีสต์ไม่ให้ตกค้างอยู่ในบ้านเจ้า เพราะถ้าใครรับประทานสิ่งที่มีเชื้อยีสต์ในระยะตั้งแต่วันแรกจนถึงวันที่เจ็ด คนนั้นจะถูกตัดขาดจากอิสราเอล 16 ในวันแรกจงมีการประชุมอันบริสุทธิ์ และวันที่เจ็ดก็เช่นกัน อย่าทำงานใน 2 วันนั้น แต่เตรียมทำอาหารได้สำหรับทุกคนที่ต้องรับประทาน 17 จงฉลองเทศกาลขนมปังไร้เชื้อ เพราะในวันนี้ เราได้นำเผ่าพันธุ์ของเจ้าออกจากแผ่นดินอียิปต์ ฉะนั้น เจ้าจงรักษาวันนี้ให้เป็นกฎเกณฑ์ของทุกชาติพันธุ์ของเจ้าไปตลอดกาล 18 เย็นวันที่สิบสี่ของเดือนแรกนี้ เจ้าจะต้องรับประทานขนมปังไร้เชื้อจนถึงเย็นวันที่ยี่สิบเอ็ดของเดือน 19 อย่าให้มีเชื้อยีสต์หลงเหลืออยู่ในบ้านพวกเจ้าตลอดระยะเวลา 7 วัน เพราะถ้าใครรับประทานสิ่งที่มีเชื้อยีสต์ คนนั้นจะถูกตัดขาดจากมวลชนชาวอิสราเอล ไม่ว่าเขาจะเป็นคนต่างด้าวหรือชาวอิสราเอลโดยกำเนิด 20 อย่ารับประทานสิ่งใดที่มีเชื้อยีสต์ผสมอยู่ ทุกๆ บ้านต้องรับประทานขนมปังไร้เชื้อ”

21 ครั้นแล้ว โมเสสจึงเรียกบรรดาหัวหน้าชั้นผู้ใหญ่ของอิสราเอลมาและกล่าวว่า “จงเลือกลูกแกะเองตามขนาดครอบครัวของท่าน และฆ่าลูกแกะปัสกา 22 ใช้ก้านหุสบจุ่มเลือดที่อยู่ในอ่าง และทาเลือดไว้ที่รอบวงกบประตู และอย่าให้ใครก้าวพ้นประตูบ้านไปจนกว่าจะรุ่งเช้า 23 เพราะพระผู้เป็นเจ้าจะผ่านเข้ามาเพื่อสังหารชาวอียิปต์ เมื่อพระองค์เห็นเลือดที่รอบวงกบประตู พระผู้เป็นเจ้าจะผ่านเลยประตูนั้นไป และจะไม่ปล่อยให้ผู้สังหารเข้าไปในบ้านเพื่อสังหารท่าน 24 จงฉลองพิธีที่ระบุไว้และถือเป็นกฎเกณฑ์ของท่านและลูกหลานตลอดไป 25 เมื่อท่านก้าวเข้าไปถึงดินแดนที่พระผู้เป็นเจ้าจะมอบให้ท่านดังที่พระองค์ได้สัญญาไว้ ท่านจะต้องรักษาพิธีนี้ไว้ 26 และยามที่ลูกหลานของท่านถามว่า ‘พิธีนี้มีความหมายอย่างไรสำหรับท่าน’ 27 จงบอกไปว่า ‘เป็นการถวายเครื่องสักการะแด่พระผู้เป็นเจ้าเนื่องในวันปัสกา เพราะที่อียิปต์พระองค์ได้ผ่านเลยบ้านของชาวอิสราเอลไป ขณะที่พระองค์สังหารชาวอียิปต์ แต่ไว้ชีวิตครอบครัวของพวกเรา’” แล้วชาวอิสราเอลก็ก้มศีรษะลงกราบนมัสการ

28 ชาวอิสราเอลก็ไปปฏิบัติตามคำสั่งของพระผู้เป็นเจ้าที่ให้ไว้กับโมเสสและอาโรน

ภัยพิบัติที่สิบ: บุตรหัวปีตาย

29 ในเวลาเที่ยงคืน พระผู้เป็นเจ้าพรากชีวิตบุตรหัวปีของชาวอียิปต์ทุกคนทั่วทั้งแผ่นดิน นับจากบุตรหัวปีของฟาโรห์ผู้นั่งบนบัลลังก์จนถึงบุตรหัวปีของเชลยที่อยู่ในคุกใต้ดินรวมถึงลูกสัตว์เลี้ยงตัวแรกทุกตัวด้วย 30 ในคืนนั้นฟาโรห์ ข้าราชบริพารทั้งหลายของท่าน และชาวอียิปต์ทุกคนตื่นขึ้น มีเสียงร้องระงมสนั่นทั่วแผ่นดินอียิปต์ เพราะไม่มีบ้านใดที่ปราศจากคนตาย 31 ท่านจึงเรียกตัวโมเสสและอาโรนมาพบในคืนนั้นและกล่าวว่า “ไปได้แล้ว จงไปให้พ้นจากประชาชนของเรา ทั้งพวกเจ้าและชาวอิสราเอล ไปนมัสการพระผู้เป็นเจ้าตามที่เจ้าพูดไว้ 32 แล้วก็พาฝูงแพะแกะ และโคของเจ้าไปตามที่เคยพูดไว้ ไปให้พ้นๆ แล้วพวกเจ้าก็จงให้พรเราด้วย”

การอพยพ

33 ชาวอียิปต์สนับสนุนให้ผู้คนเร่งออกไปจากแผ่นดินโดยเร็ว พวกเขาพูดกันว่า “ถ้าหากท่านไม่ไป พวกเราก็จะต้องตายกันหมด” 34 ดังนั้นพวกเขาจึงเอาแป้งนวดแล้วใส่ไว้ในภาชนะโดยไม่ได้ผสมเชื้อยีสต์ให้แป้งฟู แล้วห่อด้วยเสื้อคลุมแบกไว้บนบ่า 35 ชาวอิสราเอลก็ได้ทำตามที่โมเสสสั่งพวกเขาไว้ คือพวกเขาได้ขอสิ่งที่ทำด้วยเงินและทองคำ และเสื้อผ้าจากชาวอียิปต์ 36 และพระผู้เป็นเจ้าได้ทำให้ผู้คนของพระองค์เป็นที่พอใจของชาวอียิปต์ และพวกเขาก็ได้ให้สิ่งที่ชาวอิสราเอลขอ นี่เป็นวิธีที่ชาวอิสราเอลริบเอาความมั่งคั่งของชาวอียิปต์ไป

37 ชาวอิสราเอลเดินทางจากเมืองราเมเสสไปถึงเมืองสุคคท นอกจากผู้หญิงและเด็กแล้ว ก็มีชายฉกรรจ์ประมาณ 600,000 คน 38 มีคนชาติอื่นจำนวนมากที่เดินทางขึ้นไปกับพวกเขา และมีฝูงปศุสัตว์ขนาดใหญ่ ฝูงแพะแกะ และโคอีกมากมาย 39 เขาเหล่านั้นใช้แป้งที่นำออกมาจากอียิปต์มาอบเป็นขนมปังไร้เชื้อ เพราะถูกขับไล่ออกจากอียิปต์ทันควัน พวกเขาไม่มีเวลาเตรียมอาหารให้พร้อม

40 ชาวอิสราเอลอาศัยอยู่ในอียิปต์อย่างคนต่างด้าวเป็นเวลา 430 ปี 41 ในวันสุดท้ายของปีที่สี่ร้อยสามสิบ เผ่าพันธุ์ของพระผู้เป็นเจ้าได้ไปพ้นจากแผ่นดินอียิปต์ 42 คืนนั้นเป็นคืนที่พระผู้เป็นเจ้าคอยปกป้องดูแล เพื่อพาพวกเขาออกไปจากแผ่นดินอียิปต์ ดังนั้นเวลาค่ำวันนี้ของทุกปีชาวอิสราเอลจึงถือรักษาไว้ไปจนถึงทุกชั่วอายุคนเพื่อเป็นเกียรติแด่พระผู้เป็นเจ้า

ข้อจำกัดของเทศกาลปัสกา

43 พระผู้เป็นเจ้ากล่าวกับโมเสสและอาโรนว่า “กฎเทศกาลปัสกาเป็นดังนี้คือ อย่าให้ชนชาติอื่นร่วมรับประทานในพิธีปัสกา 44 แต่ทาสทุกคนที่เจ้าซื้อมาได้ด้วยเงินสามารถรับประทานได้ต่อเมื่อเขาได้เข้าสุหนัตแล้ว 45 ผู้มาเยือนชั่วคราวหรือคนรับจ้างก็อย่าให้รับประทานด้วย 46 จะต้องรับประทานในบ้าน อย่านำเอาเนื้อออกไปนอกบ้าน อย่าหักกระดูกสักชิ้นเดียว[l] 47 ชาวอิสราเอลทั้งมวลจะถือรักษากฎนี้ไว้ 48 เวลาชาวต่างด้าวมาอาศัยอยู่กับเจ้าและอยากจะฉลองปัสกาให้เกียรติแด่พระผู้เป็นเจ้า ก็ให้ชายทุกคนของพวกเขาเข้าสุหนัตก่อน แล้วจึงจะเข้าใกล้และร่วมพิธีด้วยได้ และเขาจะเป็นเหมือนกับทุกคนที่เป็นชาวอิสราเอลแต่กำเนิด ส่วนคนที่ไม่ได้เข้าสุหนัตก็อย่าให้รับประทาน 49 กฎเกณฑ์เดียวกันนี้ใช้สำหรับคนที่เป็นชาวอิสราเอลโดยกำเนิดและชาวต่างด้าวที่อพยพมาอาศัยอยู่ท่ามกลางพวกเจ้า”

50 ชาวอิสราเอลทุกคนจึงทำตามที่พระผู้เป็นเจ้าสั่งไว้กับโมเสสและอาโรน 51 และในวันเดียวกันนั้นเอง พระผู้เป็นเจ้านำชาวอิสราเอลออกจากแผ่นดินอียิปต์โดยแยกกองเหมือนกองทัพตามเผ่าพันธุ์

13 พระผู้เป็นเจ้ากล่าวกับโมเสสว่า “จงถวายบุตรชายคนแรกทุกคนให้แก่เรา ทุกชีวิตแรกในครรภ์ของชาวอิสราเอลเป็นของเรา ไม่ว่าจะเป็นมนุษย์หรือสัตว์ก็ตาม”

เทศกาลขนมปังไร้เชื้อ

โมเสสกล่าวแก่ประชาชนว่า “จงรำลึกถึงวันนี้ วันที่ท่านออกจากแผ่นดินอียิปต์ จากเรือนแห่งความเป็นทาส เพราะพระผู้เป็นเจ้านำพวกท่านออกมาจากที่นั่นด้วยอานุภาพอันยิ่งใหญ่ของพระองค์ อย่ารับประทานขนมปังที่มีเชื้อยีสต์ วันนี้ท่านทั้งหลายออกไปในเดือนอาบีบ เมื่อพระผู้เป็นเจ้านำพวกท่านเข้าไปในดินแดนของชาวคานาอัน ชาวฮิต ชาวอาโมร์ ชาวฮีว และชาวเยบุส ซึ่งพระองค์ปฏิญาณไว้กับบรรพบุรุษว่าจะยกให้แก่ท่าน เป็นดินแดนอันอุดมด้วยน้ำนมและน้ำผึ้ง ท่านควรรักษาพิธีนี้ในเดือนนี้ ท่านควรรับประทานขนมปังไร้เชื้อเป็นเวลา 7 วัน และในวันที่เจ็ดต้องมีพิธีเลี้ยงฉลองเพื่อพระผู้เป็นเจ้า จะต้องรับประทานขนมปังไร้เชื้อเป็นเวลา 7 วัน อย่ามีเชื้อยีสต์เก็บไว้ในอาณาเขตใดๆ ที่เป็นของท่าน และท่านจะต้องบอกบุตรของท่านในวันนั้นว่า ‘เป็นเพราะสิ่งที่พระผู้เป็นเจ้ากระทำเพื่อเราตอนออกมาจากอียิปต์’ การรักษาพิธีจะเป็นดั่งเครื่องหมายที่มือของท่าน และเป็นเครื่องเตือนใจที่หน้าผากเพื่อว่าพวกท่านจะได้พูดถึงและเรียนรู้กฎบัญญัติของพระผู้เป็นเจ้า เพราะพระผู้เป็นเจ้าได้นำพวกท่านออกจากอียิปต์ด้วยอานุภาพอันยิ่งใหญ่ของพระองค์ 10 ฉะนั้นท่านควรรักษากฎเทศกาลนี้ไว้ตามเวลาที่กำหนดทุกๆ ปี

การถวายบุตรหัวปี

11 เมื่อพระผู้เป็นเจ้านำพวกท่านสู่ดินแดนของชาวคานาอัน ดังที่พระองค์ได้ปฏิญาณไว้กับท่านและบรรพบุรุษของท่าน และจะมอบให้แก่ท่าน 12 ท่านต้องถวายทุกชีวิตแรกในครรภ์แด่พระผู้เป็นเจ้า สัตว์เลี้ยงตัวผู้ตัวแรกทุกตัวจะต้องเป็นของพระผู้เป็นเจ้า 13 ท่านจะต้องไถ่ลาตัวผู้ตัวแรกทุกตัวด้วยลูกแกะ ถ้าท่านไม่ต้องการไถ่ลูกลา ท่านจะต้องหักคอมันเสีย ท่านต้องไถ่บุตรชายคนแรกของท่านทุกคน 14 จะถึงเวลาเมื่อบุตรชายของท่านถามว่า ‘ทำไมท่านจึงทำอย่างนี้’ จงตอบว่า ‘พระผู้เป็นเจ้านำพวกเราออกจากอียิปต์และจากเรือนแห่งความเป็นทาสด้วยอานุภาพอันยิ่งใหญ่ของพระองค์ 15 เมื่อฟาโรห์ดื้อรั้นไม่ยอมปล่อยให้พวกเราไป พระผู้เป็นเจ้าสังหารบุตรชายหัวปีทุกคนในแผ่นดินอียิปต์ ทั้งบุตรชายหัวปีของมนุษย์และลูกสัตว์เลี้ยงตัวผู้ตัวแรก ฉะนั้นเราจึงถวายทุกชีวิตแรกในครรภ์เป็นเครื่องสักการะแด่พระผู้เป็นเจ้า แต่เราไถ่บุตรชายคนแรกทุกคนของเรา’ 16 การกระทำเช่นนี้เป็นดั่งเครื่องหมายที่มือหรือที่หน้าผากของท่าน เพราะพระผู้เป็นเจ้าได้นำพวกเราออกจากอียิปต์ด้วยอานุภาพอันยิ่งใหญ่ของพระองค์”

เมฆและเพลิงไฟขนาดมหึมา

17 เมื่อฟาโรห์ปล่อยประชาชนไป พระเจ้าไม่ได้นำพวกเขาผ่านไปทางดินแดนของชาวฟีลิสเตียแม้จะเป็นระยะทางที่สั้นกว่า เพราะพระเจ้ากล่าวว่า “เกรงว่าพวกเขาจะเปลี่ยนใจเมื่อเห็นว่าจะต้องต่อสู้และจะหันกลับไปยังอียิปต์” 18 แต่พระเจ้านำเขาอ้อมไปในแถบถิ่นทุรกันดารทางไปทะเลแดง และชาวอิสราเอลออกไปจากแผ่นดินอียิปต์พร้อมที่จะสู้รบ 19 โมเสสเอากระดูกของโยเซฟไปด้วย เพราะโยเซฟได้ให้บรรดาลูกหลานของอิสราเอลสาบานด้วยความจริงใจว่า “พระเจ้าจะมาเยี่ยมเยียนพวกเจ้า และเจ้าจะต้องนำเอากระดูกของเราติดตัวพวกเจ้าไปจากที่นี่”[m] 20 พวกเขาออกไปจากเมืองสุคคท และตั้งค่ายอยู่ที่เอธามติดกับถิ่นทุรกันดาร 21 พระผู้เป็นเจ้าออกนำทางล่วงหน้าพวกเขาในตอนกลางวันในรูปลักษณ์ของเมฆก้อนมหึมาดั่งเสาหลัก และในตอนกลางคืนในรูปลักษณ์ของเพลิงไฟขนาดมหึมาดั่งเสาหลักเพื่อส่องความสว่างให้แก่พวกเขาเพื่อให้เดินทางได้ตลอดทั้งวันและคืน 22 เมฆก้อนมหึมาดั่งเสาหลักในตอนกลางวัน และเพลิงไฟขนาดมหึมาดั่งเสาหลักในตอนกลางคืนนำทางพวกเขาไปตลอดเวลา

ข้ามทะเลแดง

14 ครั้นแล้ว พระผู้เป็นเจ้ากล่าวกับโมเสสว่า “จงบอกชาวอิสราเอลให้ย้อนกลับไปตั้งค่ายอยู่บริเวณหน้าปีหะหิโรธซึ่งอยู่ระหว่างมิกดลกับทะเล ตรงข้ามบาอัลเซโฟน จงตั้งค่ายที่ริมฝั่งทะเล ฟาโรห์จะพูดถึงชาวอิสราเอลว่า ‘พวกเขายังคงวนเวียนอยู่ในแผ่นดินด้วยความสับสน เหมือนถูกกักไว้ในถิ่นทุรกันดาร’ เราจะทำจิตใจของฟาโรห์ให้แข็งกระด้าง และเขาจะไล่ตามคนเหล่านั้นไป จากนั้นเราจะได้รับเกียรติที่มีชัยชนะเหนือฟาโรห์และกองทัพของเขา และชาวอียิปต์จะรู้ว่าเราคือพระผู้เป็นเจ้า” ชาวอิสราเอลจึงกระทำตามนั้น

เมื่อกษัตริย์แห่งอียิปต์ได้ทราบว่าประชาชนหนีไปแล้ว จิตใจของฟาโรห์และบรรดาข้าราชบริพารที่มีต่อประชาชนก็เปลี่ยนไป และพวกเขาพูดว่า “นี่เราทำอะไรลงไป ถึงได้ปล่อยให้ชาวอิสราเอลซึ่งเป็นทาสของพวกเราเป็นอิสระ” ท่านจึงเตรียมคนและรถศึกไปกับท่าน ท่านเลือกรถศึก 600 คันที่ดีที่สุด อีกทั้งรถศึกอื่นๆ ของอียิปต์โดยมีผู้บังคับการประจำรถแต่ละคัน พระผู้เป็นเจ้าเป็นผู้ทำจิตใจของฟาโรห์กษัตริย์แห่งอียิปต์ให้แข็งกระด้าง ท่านไล่ตามชาวอิสราเอลซึ่งกำลังเดินทางไปอย่างมีชัย กองทัพของชาวอียิปต์พร้อมกับม้า รถศึก และทหารม้าไล่ตามพวกเขาไปจนทันชาวอิสราเอลซึ่งตั้งค่ายอยู่ที่ชายฝั่งทะเลใกล้ปีหะหิโรธที่อยู่ตรงข้ามบาอัลเซโฟน

10 เมื่อฟาโรห์เข้ามาใกล้ ชาวอิสราเอลเงยหน้าขึ้น ดูเถิด ชาวอียิปต์กำลังไล่ตามพวกเขามา ชาวอิสราเอลกลัวมากจึงร้องเรียกถึงพระผู้เป็นเจ้า 11 พวกเขาพูดกับโมเสสว่า “นี่เป็นเพราะหลุมฝังศพในอียิปต์มีไม่พอหรือไง ท่านจึงพาพวกเราไปตายกันในถิ่นทุรกันดาร ท่านพาพวกเราออกไปจากอียิปต์เพื่ออะไรกัน 12 เราบอกท่านตอนอยู่ที่อียิปต์ไม่ใช่หรือว่า อย่ามายุ่งกับพวกเรา ปล่อยให้เรารับใช้ชาวอียิปต์ เพราะให้พวกเรารับใช้ชาวอียิปต์ก็ยังจะดีกว่าให้เราไปตายกันในถิ่นทุรกันดาร” 13 โมเสสตอบประชาชนว่า “อย่ากลัวเลย ท่านมั่นใจได้ แล้วท่านจะเห็นว่าพระผู้เป็นเจ้าจะช่วยท่านให้รอดพ้นในวันนี้ ท่านจะไม่มีวันเห็นชาวอียิปต์พวกนี้อีกต่อไป 14 พระผู้เป็นเจ้าจะเป็นผู้ต่อสู้ให้ท่าน เพียงแต่ท่านสงบนิ่งเอาไว้”

15 พระผู้เป็นเจ้ากล่าวกับโมเสสว่า “ทำไมเจ้าจึงร้องเรียกถึงเรา จงบอกชาวอิสราเอลให้มุ่งหน้าต่อไป 16 จงยกไม้เท้าของเจ้าขึ้น ยื่นมือเจ้าออกไปสู่ทะเลและแหวกทะเลออก ชาวอิสราเอลก็จะเดินผ่านทะเลไปบนพื้นที่แห้งได้ 17 แล้วเราจะทำจิตใจของชาวอียิปต์ให้แข็งกระด้าง พวกเขาจะได้ตามลงไป แล้วเราจะมีชัยชนะเหนือฟาโรห์และกองทัพของเขา รถศึกและทหารม้าของเขา แล้วเราจะได้รับเกียรติ 18 และชาวอียิปต์จะรู้ว่าเราคือพระผู้เป็นเจ้าเมื่อเราได้รับเกียรติที่ได้มาจากชัยชนะเหนือฟาโรห์ รถศึก และทหารม้าของเขา”

19 แล้วทูตสวรรค์ของพระเจ้าที่นำหน้าค่ายอิสราเอลก็ย้ายไปอยู่ข้างหลัง เมฆก้อนมหึมาดั่งเสาหลักก็ย้ายจากข้างหน้าพวกเขาไปอยู่ข้างหลังพวกเขา 20 คืออยู่ระหว่างค่ายของอียิปต์และค่ายของชาวอิสราเอล เป็นเมฆให้ความมืดที่ด้านหนึ่งและส่องให้อีกด้านหนึ่งสว่าง ทำให้ทั้ง 2 ค่ายไม่สามารถเข้าใกล้กันตลอดคืน

21 แล้วโมเสสก็ยื่นมือออกไปที่ทะเล ตลอดทั้งคืนพระผู้เป็นเจ้าทำให้ลมตะวันออกพัดกระหน่ำอย่างแรงและดันน้ำในทะเล ทำให้ใจกลางทะเลกลายเป็นแผ่นดินแห้ง คือน้ำได้แหวกออกจากกัน 22 แล้วชาวอิสราเอลก็เดินบนดินแห้งที่กลางทะเล ทั้ง 2 ฟากเป็นดั่งกำแพงน้ำให้พวกเขา 23 ชาวอียิปต์ไล่ตามไปจนถึงใจกลางทะเล ทั้งม้าของฟาโรห์ รถศึกและทหารม้าของท่านด้วย 24 ก่อนฟ้าสาง พระผู้เป็นเจ้าในรูปลักษณ์ของเพลิงและเมฆก้อนมหึมาดั่งเสาหลักได้ปรากฏเหนือค่ายของชาวอียิปต์ซึ่งทำให้พวกเขาว้าวุ่นชุลมุน 25 พระองค์ทำให้ล้อรถศึกติดขัดหมุนลำบาก ชาวอียิปต์พูดว่า “หนีไปให้ไกลจากพวกอิสราเอลกันเถิด เพราะพระผู้เป็นเจ้ากำลังช่วยพวกเขาต่อสู้กับชาวอียิปต์”

26 แล้วพระผู้เป็นเจ้ากล่าวกับโมเสสว่า “คราวนี้เจ้าจงยื่นมือออกไปสู่ทะเล น้ำจะได้ไหลกลับมาท่วมชาวอียิปต์ ท่วมรถศึกและทหารม้าของพวกเขา” 27 โมเสสจึงยื่นมือออกไปสู่ทะเล และน้ำก็ไหลกลับมาสู่ระดับเดิมเมื่อรุ่งอรุณ ชาวอียิปต์พยายามวิ่งหนีให้พ้นน้ำ พระผู้เป็นเจ้าทำให้ชาวอียิปต์ถูกซัดจมลงทะเล 28 น้ำไหลกลับมาท่วมรถศึก ทหารม้าและกองทัพของฟาโรห์ที่ไล่ตามชาวอิสราเอลลงไปในทะเล จึงไม่มีใครรอดตายสักคนเดียว 29 ขณะที่ชาวอิสราเอลได้เดินบนพื้นดินแห้งของทะเล ทั้ง 2 ฟากเป็นดั่งกำแพงน้ำให้พวกเขา

30 ในวันนั้น พระผู้เป็นเจ้าช่วยอิสราเอลให้รอดพ้นจากเงื้อมมือของชาวอียิปต์ และอิสราเอลก็ได้เห็นชาวอียิปต์ตายเกลื่อนกลาดอยู่ที่ริมฝั่งทะเล 31 อิสราเอลได้เห็นอานุภาพอันยิ่งใหญ่ของพระผู้เป็นเจ้าที่สำแดงต่อชาวอียิปต์ ต่างก็เกรงกลัวพระผู้เป็นเจ้า และพวกเขาก็เชื่อในพระผู้เป็นเจ้า และในโมเสสผู้รับใช้ของพระองค์

บทเพลงของโมเสส

15 โมเสสและชาวอิสราเอลจึงร้องเพลงบทนี้ถวายแด่พระผู้เป็นเจ้าว่า

“ข้าพเจ้าจะร้องเพลงถวายแด่พระผู้เป็นเจ้า
    เพราะพระองค์มีชัยชนะอันยิ่งใหญ่
พระองค์ได้โยนทั้งม้า
    และสารถีลงสู่ทะเลแล้ว

พระผู้เป็นเจ้ามาเป็นพละกำลังและอานุภาพ[n]ของข้าพเจ้า
    พระองค์มาเป็นผู้ช่วยข้าพเจ้าให้รอดพ้น
พระองค์เป็นพระเจ้าของข้าพเจ้า และข้าพเจ้าจะสรรเสริญพระองค์
    พระเจ้าของบรรพบุรุษของข้าพเจ้า และข้าพเจ้าจะยกย่องพระองค์
พระผู้เป็นเจ้าเป็นผู้ทำศึกสงคราม
    พระนามของพระองค์คือพระผู้เป็นเจ้า[o]
พระองค์ได้โยนรถศึก
    และกองทัพของฟาโรห์สู่ทะเล
เหล่าผู้บังคับการรถศึกที่ดีที่สุด
    ของฟาโรห์จมลงในทะเลแดงแล้ว
น้ำท่วมพวกเขาจนมิดหัว
    พวกเขาจมดิ่งลึกลงดั่งก้อนหิน
โอ พระผู้เป็นเจ้า มือขวาของพระองค์
    มีอานุภาพยิ่งนัก
โอ พระผู้เป็นเจ้า มือขวาของพระองค์
    ทำให้ศัตรูพินาศย่อยยับ

ด้วยความยิ่งใหญ่อนันต์ของพระองค์
    พระองค์ทำลายผู้ที่ขัดขวางพระองค์
พระองค์ปลดปล่อยความโกรธกริ้วของพระองค์
    ซึ่งเผาผลาญพวกเขาราวกับเผาฟาง
ลมปราณจากความกริ้วของพระองค์
    ทำให้น้ำไหลไปรวมกัน
กระแสน้ำถูกกักจนเอ่อสูงทะมึน
    ห้วงน้ำลึกตั้งตรงขึ้น ณ ใจกลางทะเล
ศัตรูพูดว่า ‘เราจะไล่ตาม
    แล้วเราจะจับตัวพวกเขาได้
เราจะแบ่งปันของที่ริบมาได้
    เราจะยึดมาจนกว่าจะหนำใจ
เราจะชักดาบออก
    เราจะทำลายพวกเขาจนราบคาบ’
10 แล้วพระองค์ได้บันดาลให้ลมพัด
    น้ำทะเลท่วมพวกเขา
พวกเขาเป็นดั่งตะกั่วที่จมดิ่งลง
    ในกระแสน้ำอันแรงกล้า
11 โอ พระผู้เป็นเจ้า มีเทพเจ้าใดบ้าง
    ที่เป็นเหมือนพระองค์
ใครเป็นเหมือนพระองค์ได้บ้าง
    พระองค์เป็นผู้บริสุทธิ์ยิ่ง
พระองค์กระทำการอันวิเศษสุด
    และสำแดงสิ่งอัศจรรย์

12 เมื่อพระองค์ยื่นมือขวาของพระองค์ออก
    แผ่นดินก็กลืนพวกเขา
13 ด้วยความรักอันมั่นคงของพระองค์
    พระองค์ได้นำคนที่พระองค์ไถ่ให้รอดจากศัตรู
พระองค์นำทางพวกเขาไปยังที่พำนักอันบริสุทธิ์ของพระองค์
    ด้วยพละกำลังของพระองค์
14 บรรดาชนชาติได้ยินแล้วก็ครั่นคร้าม
    ความหวาดหวั่นครอบงำคนที่อาศัยอยู่ในฟีลิสเตีย
15 บรรดาต้นตระกูลของเอโดมตกใจกลัว
    บรรดาผู้นำของโมอับสั่นสะท้าน
คนทั้งปวงที่อาศัยอยู่ในคานาอันก็ระทดท้อ
16     พวกเขารู้สึกกลัวและหวาดหวั่น
เพราะพลานุภาพของพระองค์
    เขานิ่งไม่ไหวติงราวกับหิน
จนกระทั่งผู้คนของพระองค์เดินผ่านไป โอ พระผู้เป็นเจ้า
    จนกระทั่งชนชาติที่พระองค์ได้ไถ่ไว้เดินผ่านไป
17 โอ พระผู้เป็นเจ้า พระองค์จะพาพวกเขาเข้าไป
    เพื่อให้ตั้งหลักแหล่งอยู่บนภูเขาของพระองค์
ที่ซึ่งพระองค์เลือกเป็นที่สถิตของพระองค์
    โอ พระผู้เป็นเจ้า ในที่พำนักซึ่งพระองค์สร้างขึ้น

18 พระผู้เป็นเจ้าจะครองบัลลังก์ตลอดกาล”

New Thai Version (NTV-BIBLE)

Copyright © 1998, 2012, 2020 by New Thai Version Foundation