Bible in 90 Days
15 เมื่อเจ้าทำให้พวกเลวีบริสุทธิ์ และถวายพวกเขาเป็นเครื่องยื่นบูชาแล้ว ต่อจากนั้น พวกชาวเลวีก็เข้าไปรับใช้ในเต็นท์นัดพบได้ 16 ชาวอิสราเอลได้มอบชาวเลวีให้กับเราอย่างครบถ้วนแล้ว เราได้รับพวกชาวเลวีไว้แทนที่ลูกชายหัวปีของชาวอิสราเอลทั้งหมด 17 เพราะลูกชายหัวปีของชาวอิสราเอลทั้งหมดเป็นของเรา ไม่ว่าจะเป็นลูกคนหรือลูกสัตว์ตั้งแต่วันที่เราได้ฆ่าลูกชายหัวปีทั้งหมดในแผ่นดินอียิปต์ เราได้เลือกลูกชายหัวปีของอิสราเอลไว้เป็นของเราแล้ว 18 แต่เราเอาชาวเลวีมาแทนที่ลูกชายหัวปีของคนอิสราเอลทั้งหมด 19 ในพวกอิสราเอลทั้งหลาย เราได้มอบชาวเลวีให้กับอาโรนและลูกชายของเขา ชาวเลวีจะได้รับใช้ชาวอิสราเอลอยู่ในเต็นท์นัดพบ และช่วยจัดการถวายเครื่องบูชาเพื่อให้ชาวอิสราเอลพ้นโทษ[a] จะได้ไม่เกิดโรคระบาดกับชาวอิสราเอลถ้าพวกเขาเกิดไปแตะต้องถูกของที่ศักดิ์สิทธิ์พวกนั้นเข้า”
20 โมเสสและอาโรน รวมทั้งชาวอิสราเอลในชุมชนทั้งหมดก็ได้ทำตามนี้ ชาวอิสราเอลทำกับชาวเลวีตามที่พระยาห์เวห์ได้สั่งโมเสสไว้เกี่ยวกับพวกเขา 21 ชาวเลวีต่างชำระล้างตัวเองให้บริสุทธิ์และซักเสื้อผ้าพวกเขา แล้วอาโรนก็ถวายพวกเขาเป็นเครื่องยื่นบูชาต่อพระยาห์เวห์ อาโรนจะกำจัดความไม่บริสุทธิ์และบาปให้กับพวกเขา เพื่อทำให้พวกเขาบริสุทธิ์ 22 หลังจากนั้น ชาวเลวีก็เข้าไปรับใช้ในเต็นท์นัดพบได้ ภายใต้การดูแลของอาโรนกับลูกชาย พวกเขาทำกับชาวเลวีตามที่พระยาห์เวห์สั่งโมเสสไว้
23 พระยาห์เวห์พูดกับโมเสสว่า 24 “นี่คือกฎสำหรับชาวเลวี ผู้ชายเลวีที่มีอายุตั้งแต่ยี่สิบห้าปีขึ้นไป จะต้องเข้าไปทำงานแบกหามอยู่ในเต็นท์นัดพบ 25 แต่เมื่อพวกเขามีอายุห้าสิบปี พวกเขาต้องเกษียณจากการทำงานแบกหาม เขาจะต้องไม่ทำงานหนักอีกต่อไป 26 เขาอาจจะช่วยงานญาติพี่น้องของเขาได้ในเต็นท์นัดพบ โดยการยืนเป็นยามเฝ้าระวัง แต่เขาต้องไม่ทำงานหนัก เจ้าต้องทำอย่างนี้เวลาที่เจ้ามอบหมายงานให้คนเลวีทำ”
เทศกาลวันปลดปล่อย
9 พระยาห์เวห์พูดกับโมเสสในที่เปล่าเปลี่ยวแห้งแล้งซีนาย นี่เป็นเดือนแรกของปีที่สองหลังจากที่ชาวอิสราเอลออกมาจากแผ่นดินอียิปต์ พระองค์พูดว่า 2 “ชาวอิสราเอลจะต้องฉลองเทศกาลปลดปล่อย ในเวลาที่ได้กำหนดไว้ 3 เจ้าต้องฉลองในเวลาที่ได้กำหนดไว้ คือวันที่สิบสี่ของเดือนนี้ ในช่วงเย็นก่อนค่ำ เจ้าต้องฉลองเทศกาลปลดปล่อยให้เป็นไปตามกฎและระเบียบต่างๆของมัน”
4 โมเสสจึงบอกชาวอิสราเอลให้ฉลองเทศกาลปลดปล่อย 5 พวกเขาได้ฉลองเทศกาลนี้ในตอนเย็นก่อนค่ำ ของวันที่สิบสี่ของเดือนแรก ตามที่พระยาห์เวห์ได้สั่งโมเสสไว้ทุกอย่าง
6 แต่มีบางคนที่ไม่บริสุทธิ์ เพราะไปถูกศพมา ไม่สามารถร่วมฉลองกับคนอื่นๆได้ พวกเขาจึงมาพบโมเสสและอาโรนในวันนั้น 7 พวกเขาพูดกับโมเสสว่า “พวกเราไม่บริสุทธิ์เพราะไปถูกศพมา แต่ทำไมถึงห้ามไม่ให้พวกเราถวายเครื่องบูชาต่อพระยาห์เวห์ในเวลาที่กำหนดนี้ พร้อมกับชาวอิสราเอลคนอื่นๆละ”
8 โมเสสบอกพวกเขาว่า “คอยเดี๋ยวนะ เราจะไปถามพระยาห์เวห์ว่าพระองค์จะเอายังไงกับพวกท่าน”
9 พระยาห์เวห์พูดกับโมเสสว่า 10 “ให้บอกชาวอิสราเอลว่า ‘ถ้ามีใครไม่บริสุทธิ์เพราะไปถูกศพมา ไม่ว่าจะเป็นตัวเจ้าเองหรือลูกหลานของเจ้าที่กำลังเดินทางอยู่ คนๆนั้นก็สามารถฉลองเทศกาลปลดปล่อยได้ 11 พวกเขาสามารถฉลองเทศกาลนี้ได้ในตอนเย็นก่อนค่ำ ของวันที่สิบสี่ ของเดือนที่สอง พวกเขาต้องกินแกะของเทศกาลนี้ กับขนมปังไม่ใส่เชื้อฟู และผักที่มีรสขม 12 พวกเขาจะต้องไม่ให้มีอาหารพวกนี้เหลือถึงวันรุ่งขึ้น และพวกเขาต้องไม่หักกระดูกของแกะด้วย พวกเขาต้องฉลองเทศกาลปลดปล่อยให้เป็นไปตามกฎทุกอย่างของเทศกาลนี้ 13 แต่คนที่บริสุทธิ์ และไม่ได้อยู่ในระหว่างการเดินทาง แต่ไม่ยอมฉลองเทศกาลปลดปล่อยนี้ คนๆนั้นจะต้องถูกตัดออกจากประชาชนของเขา เพราะเขาไม่ได้ถวายเครื่องบูชาให้กับพระยาห์เวห์ในเวลาที่ได้กำหนดไว้ คนๆนั้นจะต้องถูกลงโทษสำหรับความผิดของเขา
14 ถ้ามีชาวต่างชาติอาศัยอยู่ท่ามกลางพวกเจ้า และเขาอยากจะฉลองเทศกาลปลดปล่อยนี้ของพระยาห์เวห์ เขาก็ฉลองได้ แต่ต้องทำตามกฎและระเบียบของเทศกาลนี้ด้วย ไม่ว่าจะเป็นคนอิสราเอลหรือคนต่างชาติก็ใช้กฎเดียวกัน’”
เมฆและไฟ
(อพย. 40:34-38)
15 ในวันที่ตั้งเต็นท์ศักดิ์สิทธิ์เสร็จแล้ว ก็มีเมฆมาปกคลุมเต็นท์ศักดิ์สิทธิ์ คือเต็นท์ที่เก็บข้อตกลงนี้ ในตอนเย็นเมฆที่ปกคลุมเต็นท์นั้นดูเหมือนไฟจนถึงตอนเช้า 16 เมฆนั้นได้ปกคลุมเต็นท์อยู่ตลอดเวลา ในเวลากลางคืน เมฆนั้นดูเหมือนไฟ มันจะเป็นอย่างนี้ตลอด 17 เมื่อไหร่ก็ตามที่เมฆลอยขึ้นจากเต็นท์ ชาวอิสราเอลจะเริ่มเคลื่อนย้าย และถ้าเมฆนั้นไปหยุดอยู่ที่ไหน ชาวอิสราเอลก็จะตั้งค่ายอยู่ที่นั่น 18 นี่เป็นสัญญาณที่พระยาห์เวห์ใช้ เพื่อจะบอกกับชาวอิสราเอลว่าเมื่อไหร่จะเคลื่อนย้ายและเมื่อไหร่จะหยุดตั้งค่าย พวกเขาจะตั้งค่ายอยู่นานเท่าที่เมฆยังคงหยุดอยู่เหนือเต็นท์ศักดิ์สิทธิ์ 19 บางครั้งเมฆจะหยุดอยู่เหนือเต็นท์ศักดิ์สิทธิ์เป็นเวลาหลายวัน ชาวอิสราเอลก็เชื่อฟังคำสั่งของพระยาห์เวห์ พวกเขาจะไม่เคลื่อนย้ายไปไหน 20 บางครั้งเมฆปกคลุมเต็นท์ศักดิ์สิทธิ์อยู่แค่สองสามวัน พวกเขาก็คอยดูสัญญาณจากพระยาห์เวห์ ว่าจะให้พวกเขาตั้งค่ายต่อหรือจะให้พวกเขาเคลื่อนย้าย 21 บางครั้งเมฆปกคลุมเต็นท์แค่ค่ำคืนเดียวแล้วก็ลอยไปในตอนเช้า พวกเขาก็เคลื่อนย้ายตาม ไม่ว่าจะเป็นกลางวันหรือกลางคืน เมื่อเมฆลอยไป พวกเขาก็เคลื่อนย้ายตาม 22 ไม่ว่าจะเป็นแค่วันสองวัน หรือเป็นเดือนหรือเป็นปี เมื่อไหร่ก็ตามที่เมฆยังคงปกคลุมเต็นท์ศักดิ์สิทธิ์อยู่ พวกเขาก็จะตั้งค่ายอยู่ ไม่เคลื่อนย้ายไปไหน แต่เมื่อไหร่ก็ตามที่เมฆลอยไป พวกเขาก็เคลื่อนย้ายตาม 23 พวกเขาดูสัญญาณจากพระยาห์เวห์ว่าเมื่อไหร่จะให้ตั้งค่ายและเมื่อไหร่จะให้เคลื่อนย้าย พวกเขารักษาคำสั่งของพระยาห์เวห์ที่สั่งผ่านมาทางโมเสส
แตรเงิน
10 พระยาห์เวห์พูดกับโมเสสว่า 2 “ให้ทำแตรเงินสองอันสำหรับตัวเจ้า ให้เอาเงินมาทุบเป็นแตรสองอันนั้น แตรสองอันนี้เอาไว้เป่าเรียกคนมาชุมนุมกัน หรือเป่าบอกให้คนเคลื่อนย้ายเต็นท์ 3 เมื่อเป่าแตรทั้งสองด้วยเสียงยาว ให้คนมาชุมนุมกันต่อหน้าเจ้าที่ทางเข้าเต็นท์นัดพบ 4 แต่ถ้าเป่าแค่อันเดียว ก็ให้พวกผู้นำ ที่เป็นหัวหน้าของตระกูลต่างๆของอิสราเอลมาชุมนุมกันต่อหน้าเจ้า
5 เมื่อพวกเจ้าเป่าแตรเสียงสั้น ให้ค่ายทางตะวันออกเคลื่อนที่ 6 เมื่อพวกเจ้าเป่าแตรเป็นเสียงสั้นครั้งที่สอง ให้ค่ายทางด้านใต้เคลื่อนที่ พวกเขาต้องเป่าแตรเสียงสั้นเพื่อบอกให้พวกเขาเคลื่อนย้าย 7 แต่เมื่อเจ้าจะเรียกประชุมเจ้าต้องเป่าเสียงยาว ไม่ใช่เสียงสั้น 8 ให้พวกลูกชายของอาโรนที่เป็นนักบวชทั้งหลายนั้นเป็นคนเป่าแตร นี่เป็นกฎสำหรับเจ้าที่จะใช้ตลอดไปชั่วลูกชั่วหลาน
9 เมื่อเจ้าต้องออกไปทำสงครามกับศัตรูที่มาบุกรุกแผ่นดินของเจ้า เจ้าต้องเป่าแตรทั้งสองด้วยเสียงสั้น และยาห์เวห์พระเจ้าของเจ้าจะได้ยินและจะช่วยให้เจ้าปลอดภัยจากศัตรูของเจ้า 10 ในเวลาที่พวกเจ้ามีงานรื่นเริง งานเทศกาลต่างๆและงานฉลองเริ่มเดือนใหม่ ให้พวกเจ้าเป่าแตร เมื่อพวกเจ้าถวายเครื่องเผาบูชาและเครื่องสังสรรค์บูชาของพวกเจ้า เสียงแตรจะเป็นวิธีที่ทำให้พระเจ้านึกถึงเจ้า[b] เราคือยาห์เวห์พระเจ้าของพวกเจ้า”
ชาวอิสราเอลเคลื่อนย้ายค่าย
11 ในวันที่ยี่สิบของเดือนที่สองของปีที่สอง เมฆได้ลอยขึ้นจากเต็นท์ศักดิ์สิทธิ์ที่เก็บข้อตกลง 12 ชาวอิสราเอลจึงออกเดินทางจากที่เปล่าเปลี่ยวแห้งแล้งซีนาย เมฆลอยมาหยุดอยู่ที่ที่เปล่าเปลี่ยวแห้งแล้งปาราน 13 นี่จึงเป็นครั้งแรกที่พวกเขาเคลื่อนย้าย ตามสัญญาณของพระยาห์เวห์ ที่สั่งผ่านมาทางโมเสส
14 ค่ายแรกที่ออกนำหน้าคือค่ายของยูดาห์ มีสามเผ่าจากค่ายนี้ คือเผ่าของยูดาห์ มีนาโชนลูกชายของอัมมีนาดับเป็นผู้นำกอง[c] 15 เผ่าของอิสสาคาร์ มีเนธันเอลลูกชายของศุอาร์เป็นผู้นำกอง 16 เผ่าเศบูลุนมีเอลีอับลูกชายเฮโลนเป็นผู้นำกอง ทั้งหมดเดินอยู่ภายใต้กองของตนเอง
17 แล้วพวกเขาก็ได้รื้อเต็นท์ศักดิ์สิทธิ์ลง ชาวเกอร์โชนและชาวเมรารีได้แบกเต็นท์ศักดิ์สิทธิ์นั้นออกเดินทางเป็นกองต่อไป
18 ต่อจากนั้นเป็นค่ายของรูเบน มีสามเผ่าจากค่ายนี้ คือเผ่ารูเบน มีเอลีซูร์ลูกชายเชเดเออร์เป็นผู้นำกอง 19 เผ่าสิเมโอนมีเชลูมิเอลลูกชายศูริชัดดัยเป็นผู้นำกอง 20 เผ่ากาด มีเอลียาสาฟลูกชายเดอูเอลเป็นผู้นำกอง
21 ต่อจากนั้น ก็เป็นพวกชาวโคฮาท พวกนี้แบกของศักดิ์สิทธิ์ต่างๆในเต็นท์ตามไป เพื่อจะได้ไปถึงตอนที่เต็นท์ศักดิ์สิทธิ์ตั้งเสร็จแล้วในที่ใหม่
22 ต่อจากนั้นก็เป็นค่ายของเอฟราอิม ค่ายนี้มีสามเผ่า คือเผ่าเอฟราอิม มีเอลีชามาลูกชายของอัมมีฮูดเป็นผู้นำกอง 23 เผ่ามนัสเสห์ มีกามาลิเอลลูกชายของเปดาซูร์เป็นผู้นำกอง 24 เผ่าเบนยามิน มีอาบีดันลูกชายของกิเดโอนีเป็นผู้นำกอง ทั้งหมดเดินอยู่ภายใต้กองของตน
25 ค่ายที่คอยระวังท้ายให้ คือค่ายของดาน ค่ายนี้มีสามเผ่า คือเผ่าดาน มีอาหิเยเซอร์ลูกชายอัมมีชัดดัยเป็นผู้นำกอง 26 เผ่าอาเชอร์ มีปากีเอลลูกชายของโอครานเป็นผู้นำกอง 27 เผ่านัฟทาลี มีอาหิราลูกชายของเอนันเป็นผู้นำกอง ทั้งหมดก็เดินอยู่ภายใต้กองของตน
28 เวลาที่ชาวอิสราเอลเคลื่อนย้าย พวกเขาก็เคลื่อนขบวน เป็นกองๆตามลำดับอย่างนี้
29 โมเสสพูดกับโฮบับลูกชายเรอูเอลชาวมีเดียน (เรอูเอลเป็นพ่อตาของโมเสส)[d] ว่า “พวกเรากำลังเดินทางไปยังสถานที่ที่พระยาห์เวห์บอกว่าจะยกให้กับพวกเรา ไปกับพวกเราสิ เราจะดีกับท่าน เพราะพระยาห์เวห์สัญญาที่จะให้สิ่งดีๆกับชาวอิสราเอล”
30 แต่โฮบับตอบโมเสสว่า “ผมไม่ไปหรอก ผมจะกลับไปแผ่นดินของผม กลับไปหาครอบครัวของผม”
31 โมเสสจึงพูดว่า “อย่าได้ทิ้งพวกเราไปเลย เพราะท่านรู้ว่าพวกเราควรจะตั้งค่ายที่ไหนในที่เปล่าเปลี่ยวแห้งแล้ง ช่วยนำทางพวกเราหน่อย 32 ถ้าท่านไปกับพวกเรา ไม่ว่าพระยาห์เวห์ให้สิ่งที่ดีๆอะไรกับเรา เราก็จะแบ่งสิ่งดีๆนั้นให้กับท่านด้วย”
33 พวกเขาจึงเคลื่อนออกจากภูเขาของพระยาห์เวห์ แล้วเดินทางไปเป็นเวลาสามวัน ตลอดสามวันนั้น นักบวชได้แบกหีบศักดิ์สิทธิ์ที่ใส่ข้อตกลงของพระยาห์เวห์ เดินนำหน้าพวกเขาอยู่ตลอดเวลา เพื่อหาที่ที่จะให้พวกเขาตั้งค่าย 34 เมฆของพระยาห์เวห์ลอยอยู่เหนือพวกเขาทุกวันตั้งแต่ออกจากค่ายมา
35 ทุกครั้งที่หีบศักดิ์สิทธิ์เคลื่อนออกจากค่าย โมเสสจะพูดว่า
“ลุกขึ้นเถิด พระยาห์เวห์
ให้ศัตรูของพระองค์กระจัดกระจายไป
ให้คนที่เกลียดชังพระองค์ วิ่งหนีพระองค์ไป”
36 และทุกครั้งที่เขาวางหีบศักดิ์สิทธิ์ลง โมเสสจะพูดว่า
“กลับมาเถิด[e] พระยาห์เวห์
มาสู่ชาวอิสราเอลหลายหมื่นคนนี้”
ประชาชนเริ่มบ่นอีกครั้ง
11 ชาวอิสราเอลเริ่มบ่นอย่างขมขื่นต่อหน้าพระยาห์เวห์ พระองค์ได้ยินและโกรธ พระองค์จึงส่งไฟลงมาเผาผลาญอยู่ท่ามกลางพวกเขา และไฟนั้นได้เผาบริเวณแถวๆริมค่ายหายไปส่วนหนึ่ง 2 พวกประชาชนต่างร้องขอความช่วยเหลือกับโมเสส โมเสสได้อธิษฐานกับพระยาห์เวห์ และไฟก็ดับลง 3 เขาจึงตั้งชื่อสถานที่นั้นว่า ทาเบราห์[f] เพราะไฟจากพระยาห์เวห์ได้เผาผลาญอยู่ท่ามกลางพวกเขา
พวกผู้นำอาวุโสเจ็ดสิบคน
4 พวกที่ชอบก่อปัญหา[g] อยากได้อาหารที่ดีกว่านี้ และชาวอิสราเอลเองร้องไห้คร่ำครวญอีกครั้ง พวกเขาพูดว่า “ใครจะให้เนื้อเรากิน 5 เราคิดถึงเนื้อปลาที่เราได้กินในอียิปต์ ไม่ต้องจ่ายอะไรเลย ยังมีแตงกวา แตงโม ต้นหอม หัวหอมและกระเทียม 6 แต่ตอนนี้ชีวิตของเราช่างแห้งแล้งเสียเหลือเกิน ไม่มีอะไรเลย นอกจากมานานี้” 7 (มานามีลักษณะเหมือนเมล็ดผักชี มีสีเหมือนยางไม้ 8 ผู้คนจะไปเก็บรวบรวมมันและนำไปบดด้วยโม่หินหรือตำด้วยครกและต้มในหม้อและทำเป็นแผ่นขนมปัง รสชาติเหมือนกับขนมปังแผ่นที่อบกับน้ำมัน 9 ตอนกลางคืน เมื่อน้ำค้างตกในค่าย มานาจะตกลงมาพร้อมๆกับน้ำค้างนั้น)
10 ผู้คนในแต่ละตระกูล ต่างพากันยืนอยู่หน้าเต็นท์ของตัวเองร้องไห้คร่ำครวญกัน โมเสสได้ยินเสียงนั้น พระยาห์เวห์โกรธ และโมเสสก็ไม่พอใจ 11 โมเสสถามพระยาห์เวห์ว่า “ทำไมพระองค์ถึงทำให้เกิดปัญหาพวกนี้กับข้าพเจ้าผู้รับใช้ของพระองค์ ทำไมพระองค์ไม่ชอบข้าพเจ้า ถึงได้ให้ข้าพเจ้าต้องแบกภาระของคนพวกนี้ทั้งหมด 12 ข้าพเจ้าตั้งท้องพวกนี้มาหรือ ข้าพเจ้าคลอดพวกนี้มาหรือ พระองค์ถึงได้พูดกับข้าพเจ้าว่า ‘อุ้มพวกเขาไว้แนบอกเหมือนคนเลี้ยงที่อุ้มเด็กทารกไว้’ เพื่อนำพวกเขาไปยังดินแดนที่พระองค์ได้สัญญาไว้กับบรรพบุรุษของพวกเขา 13 เมื่อพวกเขามาร้องคร่ำครวญต่อหน้าข้าพเจ้า พูดว่า ‘ให้เนื้อสัตว์พวกเรากินหน่อย’ แล้วข้าพเจ้าจะไปหาเนื้อสัตว์จากที่ไหนมาให้คนพวกนี้ 14 ลำพังข้าพเจ้าคนเดียว ไม่สามารถแบกคนเหล่านี้ได้ทั้งหมดหรอก มันมากเกินไปสำหรับข้าพเจ้า 15 ถ้าพระองค์จะทำอย่างนี้กับข้าพเจ้า ฆ่าข้าพเจ้าเลยดีกว่า ถ้าพระองค์พอใจข้าพเจ้า ก็ให้ข้าพเจ้าตายไปดีกว่า จะได้ไม่ต้องเจอกับปัญหาพวกนี้อีกต่อไป”
16 พระยาห์เวห์พูดกับโมเสสว่า “ไปรวบรวมผู้อาวุโสของอิสราเอลมาให้เราเจ็ดสิบคน เอาคนที่เจ้ารู้ว่าเป็นผู้อาวุโส และผู้นำของประชาชน แล้วพาพวกเขามาที่เต็นท์นัดพบ และให้พวกเขายืนอยู่ที่นั่นกับเจ้า 17 แล้วเราจะลงมาและพูดกับเจ้าที่นั่น พระวิญญาณที่อยู่กับเจ้านี้ เราจะเอาส่วนหนึ่งไปให้กับพวกเขา พวกเขาจะช่วยแบกภาระของประชาชนกับเจ้า เพื่อเจ้าจะได้ไม่ต้องแบกคนเดียว
18 ให้บอกกับประชาชนว่า ‘ชำระตัวของเจ้าให้บริสุทธิ์สำหรับวันพรุ่งนี้ พรุ่งนี้เจ้าจะได้กินเนื้อ เพราะเจ้าได้ร้องคร่ำครวญต่อหน้าพระยาห์เวห์ว่า “ใครจะเอาเนื้อมาให้พวกเรากิน อยู่ที่อียิปต์ดีกว่านี้เยอะเลย” พระยาห์เวห์จะให้เนื้อกับพวกท่าน และพวกท่านจะได้กินมัน 19 ท่านจะไม่ได้กินแค่วันสองวันหรือห้าวัน หรือสิบวันหรือยี่สิบวันเท่านั้น 20 แต่ท่านจะได้กินตลอดทั้งเดือน จนมันทะลักออกมาทางจมูก ท่านจะกินจนขยะแขยงไปเลย มันจะเป็นอย่างนี้ เพราะท่านปฏิเสธพระยาห์เวห์ที่อยู่ท่ามกลางท่าน และมาร้องคร่ำครวญต่อหน้าพระองค์ว่า “ทำไมเราถึงต้องออกมาจากอียิปต์กัน”’”
21 โมเสสพูดว่า “มีทหารเดินเท้าตั้งหกแสนคนอยู่กับข้าพเจ้าที่นี่ แต่พระองค์ยังพูดว่า ‘เราจะให้เนื้อสัตว์กับพวกเขากินกันทั้งเดือน’ 22 ถึงฆ่าแกะและวัวหมดทั้งฝูง ก็ยังไม่พอให้พวกเขากินเลย ถึงจับปลามาหมดทะเล ก็ยังไม่พอเลี้ยงพวกเขาเลย”
23 พระยาห์เวห์พูดกับโมเสสว่า “เจ้าคิดว่ามือของพระยาห์เวห์สั้นไปหรือยังไง เดี๋ยวเจ้าจะได้เห็นว่าสิ่งที่เราพูดนั้นจะเกิดขึ้นกับเจ้าไหม”
24 โมเสสออกไปบอกกับประชาชนว่าพระยาห์เวห์พูดอะไร โมเสสได้รวบรวมผู้อาวุโสของอิสราเอลมาเจ็ดสิบคน โมเสสให้พวกเขามายืนอยู่รอบๆเต็นท์ 25 แล้วพระยาห์เวห์ได้ลงมาในเมฆ และพูดกับโมเสส พระองค์เอาวิญญาณบางส่วนที่อยู่กับโมเสส ไปใส่ไว้ในผู้อาวุโสทั้งเจ็ดสิบคนนั้น เมื่อพระวิญญาณเข้าไปอยู่ในตัวพวกเขา พวกเขาก็ตะโกนพระคำออกมาด้วยความยินดี[h] แต่หลังจากนั้นพวกเขาก็ไม่เคยทำอย่างนั้นอีกเลย
26 ยังมีผู้อาวุโสสองคนที่ไม่ได้มา แต่ยังคงอยู่ในค่าย คนหนึ่งชื่อเอลดาด อีกคนชื่อเมดาด พระวิญญาณก็เข้าไปอยู่ในตัวพวกเขา พวกเขาก็อยู่ในกลุ่มของผู้อาวุโสทั้งเจ็ดสิบคนนั้นด้วย แต่พวกเขาไม่ได้ไปที่เต็นท์ ดังนั้น พวกเขาจึงตะโกนพระคำออกมาด้วยความยินดีอยู่ในค่าย 27 ชายหนุ่มคนหนึ่งวิ่งออกมาบอกกับโมเสสว่า “เอลดาดและเมดาดกำลังตะโกนพระคำด้วยความยินดีอยู่ในค่าย”
28 โยชูวาลูกชายของนูน พูดกับโมเสสว่า “โมเสส นายท่าน หยุดพวกเขาเถิด” โยชูวา เป็นผู้ช่วยของโมเสสตั้งแต่โยชูวายังเป็นหนุ่ม[i]
29 แต่โมเสสพูดกับโยชูวาว่า “อิจฉาแทนเราหรือ เราอยากจะให้คนของพระยาห์เวห์ทุกคนตะโกนพระคำออกมาด้วยความยินดี เราอยากให้พระยาห์เวห์ใส่พระวิญญาณลงในตัวพวกเขา” 30 แล้วโมเสสและผู้อาวุโสของอิสราเอลก็กลับเข้าค่าย
นกคุ่มมาถึง
31 มีลมพัดมาจากพระยาห์เวห์ และได้พาเอานกคุ่มมาจากทะเลมาตกกระจัดกระจายอยู่รอบค่าย มีนกคุ่มมากมายทั่วทุกทิศ มีระยะทางยาวเท่ากับคนเดินหนึ่งวัน และมันตกทับถมกันสูงถึงสองศอก[j] 32 ผู้คนต่างออกไปเก็บนกคุ่มพวกนั้นตลอดทั้งวันทั้งคืนไปจนกระทั่งถึงอีกวันหนึ่งเต็มๆ พวกเขาเก็บได้อย่างน้อยคนละสองพันสองร้อยลิตร[k] พวกเขาตากนกคุ่มไปทั่วค่าย
33 ในระหว่างที่เนื้อยังอยู่ระหว่างฟัน ยังไม่ทันกัดกินกันเลย พระยาห์เวห์ก็โกรธพวกเขา พระองค์ทำให้พวกเขาเป็นโรคระบาดอย่างร้ายแรง 34 พวกเขาจึงตั้งชื่อสถานที่นั้นว่า ขิบโรท-หัทธาอาวาห์[l] เพราะที่นั่นพวกเขาได้ฝังศพของคนที่กระหายอยากกินเนื้อสัตว์
35 ประชาชนออกเดินทางจากขิบโรท-หัทธาอาวาห์ไปถึงฮาเซโรท และพวกเขาก็พักอยู่ที่นั่น
มิเรียมและอาโรนบ่นเกี่ยวกับโมเสส
12 มิเรียมและอาโรนพูดต่อต้านโมเสส เพราะผู้หญิงชาวเอธิโอเปีย ที่โมเสสแต่งงานด้วย และโมเสสก็แต่งงานกับผู้หญิงชาวเอธิโอเปียนั้นจริง 2 พวกเขาพูดว่า “พระยาห์เวห์พูดผ่านโมเสสคนเดียวหรือยังไง พระองค์พูดผ่านเราด้วยไม่ใช่หรือ” พระยาห์เวห์ได้ยินที่เขาพูด 3 โมเสสเป็นคนที่ถ่อมตัวมาก ถ่อมกว่าใครๆในโลกนี้ 4 ในทันใดนั้นเอง พระยาห์เวห์พูดกับโมเสส อาโรนและมิเรียมว่า “พวกเจ้าทั้งสามคน ออกมาที่เต็นท์นัดพบ”
พวกเขาทั้งสามคนได้ออกมาที่เต็นท์ 5 พระยาห์เวห์ลงมาในเสาเมฆ และมาหยุดอยู่ที่ทางเข้าเต็นท์ แล้วพระองค์ก็ร้องเรียกว่า “อาโรนและมิเรียม” ทั้งสองคนออกมา 6 พระองค์พูดว่า “ฟังเราให้ดี ตอนที่มีผู้พูดแทนพระเจ้าท่ามกลางเจ้า เรา ยาห์เวห์ จะแสดงตัวของเราให้กับเขาเห็นในนิมิต เราจะพูดกับเขาในความฝัน 7 แต่สำหรับโมเสส ผู้รับใช้ของเรา มันไม่ได้เป็นอย่างนั้น เราฝากทั้งครัวเรือนของเราไว้กับเขา 8 เวลาเราพูดกับเขา เราได้พูดกับเขาต่อหน้า และบอกเขาชัดเจนถึงสิ่งที่เราจะให้เขาทำ ไม่ต้องใช้เรื่องเล่าต่างๆที่มีความหมายแอบแฝงอยู่ และเขาสามารถมองเห็นรูปลักษณ์ของพระยาห์เวห์ได้โดยตรง พวกเจ้ากล้าดียังไงถึงได้มาพูดต่อต้านโมเสสผู้รับใช้ของเรา”
9 พระยาห์เวห์โกรธพวกเขา และพระองค์ก็จากไป 10 เมื่อเมฆลอยไปจากเต็นท์ ก็มีเกล็ดขาวๆเหมือนหิมะโผล่ขึ้นมาตามผิวหนังของมิเรียม เมื่ออาโรนหันมาที่มิเรียม ก็เห็นเกล็ดสีขาวบนตัวนาง
11 อาโรนจึงพูดกับโมเสสว่า “เจ้านายของเรา อย่าได้ลงโทษพวกเราเลย ที่เราได้ทำบาปโง่ๆลงไป 12 ขออย่าให้นางเป็นเหมือนเด็กที่ตายตอนคลอดแล้วเนื้อแหว่งไปครึ่งหนึ่งเลย”
13 โมเสสร้องขอต่อพระยาห์เวห์ “พระเจ้า ขอได้โปรดช่วยรักษานางด้วยเถิด”
14 พระยาห์เวห์พูดกับโมเสสว่า “ถ้าพ่อของนางถุยน้ำลายใส่หน้านาง นางจะรู้สึกอับอายไปถึงเจ็ดวันใช่ไหม ถ้าอย่างนั้นให้ไล่นางออกไปอยู่นอกค่ายเจ็ดวัน หลังจากนั้น ก็ให้นำนางกลับมาได้”
15 พวกเขาจึงนำตัวมิเรียมออกไปไว้นอกค่ายเป็นเวลาเจ็ดวันและประชาชนก็ไม่ได้เดินทางต่อ รอจนนำมิเรียมกลับมา 16 หลังจากนั้นประชาชนก็ออกจากฮาเซโรท และไปตั้งค่ายที่ที่เปล่าเปลี่ยวแห้งแล้งปาราน
เหล่าผู้สอดแนมไปคานาอัน
(ฉธบ. 1:19-33)
13 พระยาห์เวห์พูดกับโมเสสว่า 2 “ส่งคนของเจ้าออกไปสำรวจแผ่นดินคานาอัน แผ่นดินที่เราจะให้กับประชาชนชาวอิสราเอล พวกเจ้าต้องส่งผู้นำคนหนึ่งของแต่ละเผ่าเข้าไป”
3 โมเสสจึงส่งพวกนี้ไปจากที่เปล่าเปลี่ยวแห้งแล้งปาราน ตามคำสั่งของพระยาห์เวห์ ทุกคนล้วนเป็นผู้นำของประชาชนชาวอิสราเอล 4 ต่อไปนี้เป็นรายชื่อของพวกเขา
ชัมมุอาลูกชายศักเกอร์ จากเผ่าของรูเบน
5 ชาฟัทลูกชายโฮรี จากเผ่าของสิเมโอน
6 คาเลบลูกชายเยฟุนเนห์ จากเผ่าของยูดาห์
7 อิกาลลูกชายโยเซฟ จากเผ่าของอิสสาคาร์
8 โฮเชยาลูกชายนูน จากเผ่าของเอฟราอิม
9 ปัลทีลูกชายราฟู จากเผ่าของเบนยามิน
10 กัดเดียลลูกชายโสดี จากเผ่าของเศบูลุน
11 กัดดีลูกชายสุสี จากเผ่าของโยเซฟ ซึ่งมาจากเผ่าของมนัสเสห์
12 อัมมีเอลลูกชายเกมัลลี จากเผ่าของดาน
13 เสธูร์ลูกชายมีคาเอล จากเผ่าของอาเชอร์
14 นาบีลูกชายโวฟสี จากเผ่าของนัฟทาลี
15 เกอูเอลลูกชายมาคี จากเผ่าของกาด
16 ทั้งหมดนั้นเป็นรายชื่อของคนที่โมเสสส่งออกไปสอดแนม[m] แผ่นดินนั้น (โมเสสได้เปลี่ยนชื่อโฮเชยาลูกชายของนูนเป็นโยชูวา[n])
17 ตอนที่โมเสสกำลังจะส่งพวกเขาไปสำรวจดินแดนคานาอัน โมเสสพูดว่า “ไปที่เนเกบและขึ้นไปที่แถบเนินเขานั้น 18 ไปดูว่าแผ่นดินนั้นเป็นอย่างไร ให้ดูว่าคนที่อาศัยอยู่ที่นั่นแข็งแรงหรืออ่อนแอ ให้ดูว่าพวกเขามีจำนวนมากหรือน้อย 19 ให้ดูว่าแผ่นดินที่พวกเขาอาศัยอยู่เป็นอย่างไร ดีหรือไม่ดี ให้ดูว่าเมืองที่พวกเขาอยู่นั้นเปิดโล่งหรือมีกำแพงล้อมรอบ 20 ให้ดูว่าแผ่นดินนั้นอุดมสมบูรณ์หรือฝืดเคือง และให้ดูว่ามีต้นไม้หรือเปล่า พยายามเอาผลไม้จากดินแดนนั้นกลับมาด้วย” (ช่วงนี้เป็นหน้าองุ่นสุกพอดี)
21 พวกเขาจึงไปสำรวจดินแดนนั้น จากที่เปล่าเปลี่ยวแห้งแล้งศินถึงเรโหบและเลโบ ฮามัท 22 พวกเขาขึ้นไปที่เนเกบและมาถึงเมืองเฮโบรน ซึ่งมีตระกูลของอาหิมาน เชชัยและทัลมัย ลูกหลานของอานาคอยู่ที่นั่น (เมืองเฮโบรนสร้างก่อนเมืองโศอันในประเทศอียิปต์อยู่เจ็ดปี) 23 แล้วพวกเขาก็มาถึงหุบเขาเอชโคล์[o] พวกเขาได้ตัดองุ่นพร้อมกิ่งมาพวงหนึ่ง แล้วเอาคานสอดหามกันมาสองคน พวกเขาแบกมะเดื่อและทับทิมมาด้วย 24 พวกเขาเรียกสถานที่นั้นว่า หุบเขาเอชโคล์ เพราะมันเป็นสถานที่ที่ชาวอิสราเอลไปตัดเถาองุ่นนั้นมา
25 หลังจากสำรวจดินแดนนั้นได้สี่สิบวัน พวกเขาก็กลับมาที่ค่าย 26 พวกเขามาหาโมเสส อาโรนและชุมชนชาวอิสราเอลทั้งหมดในที่เปล่าเปลี่ยวแห้งแล้งปาราน ที่เคเดช แล้วพวกเขาได้รายงานให้โมเสส อาโรน รวมทั้งคนในชุมชนฟัง พวกเขาได้เอาผลไม้ที่เก็บมาได้มาให้ดู 27 พวกเขาบอกโมเสสว่า “พวกเราได้เข้าไปในแผ่นดินที่ท่านได้ส่งพวกเราไปมาแล้ว มันเป็นดินแดนที่อุดมสมบูรณ์[p] และนี่คือผลไม้ของมัน 28 แต่ประชาชนที่อยู่ที่นั่นแข็งแรง เมืองต่างๆก็มีกำแพงขนาดใหญ่ล้อมรอบ พวกเรายังเห็นชาวอานาค[q] ที่นั่นด้วย 29 ชาวอามาเลคอาศัยอยู่ในแผ่นดินเนเกบ ชาวฮิตไทต์ ชาวเยบุสและชาวอาโมไรต์อาศัยอยู่ตามแถบเนินเขา ส่วนชาวคานาอันอาศัยตามชายฝั่งทะเลและริมฝั่งแม่น้ำจอร์แดน”
30 คาเลบบอกให้ประชาชนที่อยู่ใกล้โมเสสเงียบลง และเขาก็พูดว่า “เราควรจะบุกขึ้นไปยึดเอาแผ่นดินนั้นมาเป็นของเรา เพราะเราจะชนะมันแน่”
31 แต่คนอื่นที่ขึ้นไปกับคาเลบด้วยพูดว่า “พวกเราสู้พวกมันไม่ได้แน่ เพราะพวกมันแข็งแรงกว่าเรามาก” 32 พวกนี้เอาแต่ข่าวร้ายมารายงานให้ประชาชนอิสราเอลฟังเกี่ยวกับแผ่นดินที่พวกเขาไปสำรวจมานั้น พวกเขาพูดว่า “แผ่นดินที่พวกเราไปสำรวจมานั้น เป็นแผ่นดินที่กินคนที่อาศัยอยู่ที่นั่น[r] แถมคนที่เราเห็นที่นั่น ก็ตัวใหญ่เท่ายักษ์ 33 พวกเราเห็นชาวเนฟิล[s] ที่นั่นด้วย (ลูกหลานของอานาคก็มาจากเนฟิล) พวกเรารู้สึกเหมือนตัวเองเป็นตั๊กแตน และพวกเขาก็เห็นเราเหมือนตั๊กแตนด้วย”
ประชาชนเริ่มบ่นอีกครั้ง
14 พวกประชาชนต่างโห่ร้องเสียงดังและในคืนนั้นพวกเขาก็ร้องห่มร้องไห้กัน 2 ประชาชนชาวอิสราเอลทั้งหมดบ่นต่อว่าโมเสสและอาโรน พวกเขาทั้งหมดพูดกับโมเสสและอาโรนว่า “น่าจะปล่อยให้พวกเราตายในแผ่นดินอียิปต์หรือไม่ก็ทิ้งให้พวกเราตายในที่เปล่าเปลี่ยวแห้งแล้งนี้ 3 พระยาห์เวห์พาพวกเรามาที่แผ่นดินนี้ เพื่อมาล้มตายด้วยดาบทำไมกัน แล้วเมียและลูกๆของพวกเราก็จะถูกจับไป อย่างนี้พวกเรากลับไปอียิปต์ไม่ดีกว่าหรือ”
4 พวกเขาพูดกันว่า “ให้พวกเราเลือกหัวหน้าคนใหม่ มานำพวกเรากลับไปอียิปต์กันดีกว่า”
5 โมเสสและอาโรนก้มลงกับพื้น ต่อหน้าชาวอิสราเอลที่ชุมนุมกันอยู่ที่นั่น 6 โยชูวาลูกชายของนูนและคาเลบลูกชายเยฟุนเนห์ สองคนนี้ที่ได้ไปสำรวจดินแดนแห่งนั้นด้วย ทั้งสองคนก็โกรธฉีกเสื้อผ้า[t] ของตนออก 7 ทั้งสองพูดกับชาวอิสราเอลที่ชุมนุมกันอยู่ว่า “แผ่นดินที่พวกเราเดินทางเข้าไปสำรวจนั้นเป็นแผ่นดินที่ดีมากจริงๆ 8 ถ้าพระยาห์เวห์พอใจพวกเรา พระองค์จะนำพวกเราเข้าในแผ่นดินนั้น และพระองค์จะยกแผ่นดินนั้นให้กับพวกเรา เป็นแผ่นดินที่อุดมสมบูรณ์ 9 ดังนั้น อย่าได้กบฏต่อพระยาห์เวห์เลย และไม่ต้องกลัวคนในแผ่นดินนั้นด้วย เพราะพวกมันเป็นเหยื่อของพวกเรา และสิ่งที่ป้องกันพวกมันก็ไม่มีแล้ว แต่พระยาห์เวห์อยู่กับพวกเรา อย่ากลัวพวกมันเลย”
10 คนที่ชุมนุมกันนั้นขู่ว่าจะเอาหินขว้างเขาทั้งสอง แล้วรัศมีของพระยาห์เวห์ ก็ปรากฏขึ้นที่เต็นท์นัดพบ ต่อหน้าชาวอิสราเอลทั้งหมด 11 พระยาห์เวห์พูดกับโมเสสว่า “พวกนี้จะดูหมิ่นเราไปอีกนานแค่ไหน พวกเขาจะไม่ไว้ใจเราไปอีกนานแค่ไหน ทั้งๆที่เราได้แสดงการอัศจรรย์มากมายให้พวกเขาเห็นแล้ว 12 เราจะให้เกิดโรคระบาดร้ายแรงกับพวกเขาและเราจะทำลายพวกเขา และเราจะทำให้เจ้าเป็นชนชาติที่ยิ่งใหญ่และเข้มแข็งกว่าคนพวกนี้”
13 โมเสสพูดกับพระยาห์เวห์ว่า “ถ้าพระองค์ทำอย่างนี้ ชาวอียิปต์จะได้ยินเกี่ยวกับเรื่องนี้ เพราะพระองค์ใช้ฤทธิ์อำนาจของพระองค์นำประชาชนเหล่านี้ออกมาจากท่ามกลางพวกเขา 14 ชาวอียิปต์จะบอกกับคนที่อาศัยอยู่บนแผ่นดินนี้ พวกเขาก็รู้อยู่แล้วว่าพระองค์ พระยาห์เวห์ ได้อยู่ท่ามกลางคนพวกนี้ และรู้อีกว่าพระองค์ พระยาห์เวห์ได้ปรากฏให้คนพวกนี้เห็นด้วยตาเปล่า พวกเขารู้ว่าเมฆของพระองค์อยู่เหนือคนพวกนี้ พวกเขาก็รู้ว่าในเวลากลางวัน พระองค์นำหน้าคนพวกนี้ในเสาเมฆ ส่วนในเวลากลางคืนพระองค์นำหน้าคนพวกนี้ในเสาไฟ 15 ถ้าพระองค์ฆ่าคนพวกนี้ทั้งหมด ชนชาติทั้งหลายที่ได้ยินเกี่ยวกับพระองค์ก็จะพูดกันว่า 16 ‘เป็นเพราะพระยาห์เวห์ไม่สามารถนำคนพวกนี้เข้าไปในแผ่นดินที่พระองค์ได้สัญญาไว้กับพวกเขา พระองค์จึงฆ่าพวกเขาเสียในที่เปล่าเปลี่ยวแห้งแล้ง’
17 ตอนนี้ขอให้ฤทธิ์อำนาจของพระยาห์เวห์ยิ่งใหญ่ เหมือนกับที่พระองค์ได้พูดไว้ 18 พระองค์พูดว่า ‘เรา ยาห์เวห์โกรธช้า แต่เรามีความรักยิ่งใหญ่ เราอภัยให้กับคนที่ทำบาปและแหกกฎ แต่เราจะไม่เว้นโทษให้ทั้งหมด เราจะลงโทษคนพวกนั้น รวมทั้งลูก หลาน เหลน ของเขาด้วย สำหรับความผิดบาปที่พวกเขาทำนั้น’ 19 ดังนั้น ได้โปรดให้อภัยบาปของคนพวกนี้ ด้วยความรักอันยิ่งใหญ่ของพระองค์ เหมือนกับที่พระองค์ได้อภัยให้กับพวกเขาตั้งแต่ตอนที่พวกเขาออกจากอียิปต์มาจนถึงเดี๋ยวนี้”
20 พระยาห์เวห์พูดว่า “เราจะอภัยให้ ตามที่เจ้าขอ 21 เรามีชีวิตอยู่แน่ขนาดไหน และโลกทั้งใบนี้ปกคลุมด้วยรัศมีของพระยาห์เวห์อย่างแน่นอนขนาดไหน ก็ให้แน่ใจขนาดนั้นเลยว่า เราสัญญาว่า 22 คนพวกนี้ทั้งหมดที่ได้เห็นรัศมีของเราและเหตุการณ์อันมหัศจรรย์ของเรา ที่เราได้ทำในอียิปต์และในที่เปล่าเปลี่ยวแห้งแล้ง และได้ลองดีกับเราถึงสิบครั้งและไม่เชื่อฟังเรา 23 คนพวกนี้ทั้งหมดจะไม่ได้เห็นแผ่นดินที่เราได้สัญญาไว้กับบรรพบุรุษของพวกเขา รวมทั้งคนพวกนั้นทุกคนที่ไม่เคารพยำเกรงเรา จะไม่ได้เข้าไปในแผ่นดินนั้นด้วย 24 แต่เพราะคาเลบผู้รับใช้เรา คิดแตกต่างจากคนพวกนั้น และติดตามเราทุกอย่าง เราจะนำเขาเข้าไปในแผ่นดินที่เขาเคยเข้าไปแล้ว และลูกหลานของเขาก็จะได้ครอบครองแผ่นดินนั้น 25 ชาวอามาเลคและชาวคานาอันอาศัยอยู่ในหุบเขา ดังนั้นในวันพรุ่งนี้ ให้เดินทางกลับเข้าไปในที่เปล่าเปลี่ยวแห้งแล้ง โดยใช้เส้นทางที่มุ่งสู่ทะเลแดง”
พระยาห์เวห์ลงโทษประชาชน
26 พระยาห์เวห์พูดกับโมเสสและอาโรนว่า 27 “ไอ้พวกชั่วช้านี้จะบ่นต่อว่าเราไปอีกนานแค่ไหน เราได้ยินเสียงบ่นของพวกชาวอิสราเอลที่บ่นต่อว่าเรา 28 ให้บอกพวกมันว่า ‘พระยาห์เวห์บอกว่า “เรามีชีวิตอยู่แน่ขนาดไหน ก็ให้แน่ใจขนาดนั้นเลยว่า เราจะทำกับเจ้าเหมือนกับที่เจ้าได้บ่นใส่หูเรา 29 พวกเจ้าจะตายในที่เปล่าเปลี่ยวแห้งแล้งนี้ พวกเจ้าทุกคนที่ได้นับไว้แล้ว ทุกคนที่มีอายุตั้งแต่ยี่สิบปีขึ้นไปที่ได้บ่นต่อว่าเรา 30 เจ้าจะไม่ได้เข้าไปในแผ่นดินที่เราได้สัญญาไว้ว่าจะให้เจ้าเข้าไปอยู่ ยกเว้นคาเลบลูกชายของเยฟุนเนห์และโยชูวาลูกชายของนูน 31 และลูกๆของเจ้าที่เจ้าบอกว่าจะถูกจับตัวไป เราจะพาพวกเขาเข้าไปในแผ่นดินนั้น และพวกเขาจะรู้จักแผ่นดินที่พวกเจ้าปฏิเสธ 32 แต่พวกเจ้าจะต้องตายอยู่ในที่เปล่าเปลี่ยวแห้งแล้งนี้
33 ลูกๆของพวกเจ้าจะเป็นคนเลี้ยงแกะในที่เปล่าเปลี่ยวแห้งแล้งเป็นเวลาสี่สิบปี พวกเขาจะต้องทนทุกข์ทรมานเพราะความไม่ซื่อสัตย์ของพวกเจ้า จนกว่าพวกเจ้าจะตายกันหมดในที่เปล่าเปลี่ยวแห้งแล้ง 34 พวกเจ้าจะต้องทนทุกข์เพราะบาปของพวกเจ้าเป็นเวลาสี่สิบปี ซึ่งเท่ากับจำนวนสี่สิบวันที่พวกเจ้าเข้าไปสำรวจแผ่นดินนั้น หนึ่งปีต่อหนึ่งวัน แล้วเจ้าจะได้รู้ว่าเมื่อเราขัดขวางเจ้านั้น มันจะเป็นอย่างไร”’[u]
35 เรา ยาห์เวห์ ได้พูดไว้แล้วว่า เราจะทำอย่างนี้กับไอ้พวกชั่วช้านี้ทุกคน ที่ได้มาชุมนุมกันต่อต้านเรา พวกมันทุกคนจะต้องตายในที่เปล่าเปลี่ยวแห้งแล้งนี้”
36 พวกผู้ชายที่โมเสสส่งเข้าไปสำรวจแผ่นดินนั้น ได้กลับมา และรายงานเกี่ยวกับแผ่นดินนั้นอย่างเสียๆหายๆทำให้ผู้คนทั้งหมดบ่นต่อว่าพระยาห์เวห์ 37 พระยาห์เวห์ได้ทำให้ผู้ชายพวกนี้ที่ได้รายงานเกี่ยวกับแผ่นดินนั้นอย่างเสียๆหายๆตายหมดด้วยโรคระบาด 38 ผู้ชายทั้งหมดที่เข้าไปสำรวจแผ่นดินนั้น มีแต่โยชูวาลูกชายของนูนและคาเลบลูกชายเยฟุนเนห์เท่านั้นที่ยังมีชีวิตอยู่
ประชาชนพยายามบุกเข้าคานาอัน
(ฉธบ. 1:41-46)
39 เมื่อโมเสสบอกเรื่องนี้กับชาวอิสราเอลทุกคน พวกเขาเศร้าโศกเสียใจมาก 40 วันต่อมา พวกเขาตื่นแต่เช้าตรู่ และเริ่มตรงไปที่ยอดเนินเขานั้น พวกเขาพูดว่า “เราอยู่ที่นี่แล้ว พวกเราจะขึ้นไปยังสถานที่ที่พระยาห์เวห์ได้สัญญาไว้ เพราะพวกเราได้ทำบาปไปแล้ว”
41 โมเสสจึงพูดว่า “ตอนนี้ทำไมพวกท่านถึงขัดคำสั่งของพระยาห์เวห์ มันจะไม่สำเร็จหรอก 42 อย่าขึ้นไปเลย พวกท่านจะได้ไม่ถูกฟาดฟันจนพ่ายแพ้ต่อหน้าศัตรู เพราะพระยาห์เวห์ไม่ได้อยู่ท่ามกลางพวกท่าน 43 เพราะพวกชาวอามาเลคและชาวคานาอันจะต่อสู้กับท่านที่นั่น และพวกท่านจะถูกฆ่าฟันล้มลง เพราะพวกท่านได้หันไปจากพระยาห์เวห์ และพระยาห์เวห์ก็จะไม่อยู่กับพวกท่าน”
44 แต่พวกเขายังคงดื้อดึง ขึ้นไปบนยอดเนินเขานั้น แม้ว่าหีบศักดิ์สิทธิ์ที่ใส่ข้อตกลงของพระยาห์เวห์ และโมเสสยังไม่ได้ออกไปจากค่าย 45 ชาวอามาเลคและชาวคานาอันที่อาศัยอยู่แถบเนินเขานั้นต่างกรูกันลงมา และเข้าโจมตีพวกชาวอิสราเอลจนแตกกระเจิงไปถึงโฮรมาห์
กฎเกี่ยวกับการถวาย
15 พระยาห์เวห์พูดกับโมเสสว่า 2 “ให้บอกกับคนอิสราเอลว่า เมื่อเจ้าเข้าไปในแผ่นดินที่เจ้าจะไปอาศัยอยู่ เป็นแผ่นดินที่เรายกให้กับเจ้านั้น 3 เจ้าต้องเอาของถวายที่มาจากฝูงวัวหรือฝูงแกะมาถวายพระยาห์เวห์ ไม่ว่าจะเป็นเครื่องเผาบูชา หรือเครื่องสัตวบูชาต่างๆที่เอามาแก้บน หรือเป็นเครื่องบูชาที่สมัครใจเอามาเอง หรือเอามาตอนมีงานเทศกาลต่างๆตามปกติ เพื่อเป็นของขวัญอันมีกลิ่นหอมให้กับพระยาห์เวห์
4 คนที่ถวายเครื่องบูชาให้กับพระยาห์เวห์ จะต้องถวายเครื่องบูชาจากเมล็ดพืชด้วย คือแป้งอย่างดีสองลิตร[v] ผสมน้ำมันมะกอกหนึ่งลิตร[w]
5 เจ้าต้องถวายเหล้าองุ่นหนึ่งลิตรเป็นเครื่องดื่มบูชาด้วย พร้อมกับเครื่องเผาบูชาและเครื่องสัตวบูชา เหล้าองุ่นหนึ่งลิตรสำหรับแกะหนึ่งตัว
6 หรือในกรณีที่เป็นแกะตัวผู้ เจ้าต้องถวายเครื่องบูชาจากเมล็ดพืชด้วย คือแป้งอย่างดีสี่ลิตรครึ่ง[x] ผสมน้ำมันมะกอกหนึ่งลิตร 7 และเจ้าต้องถวายเหล้าองุ่นหนึ่งลิตรเป็นเครื่องดื่มบูชา เป็นกลิ่นหอมให้กับพระยาห์เวห์
8 เมื่อเจ้าถวายวัวรุ่นตัวหนึ่งจากฝูงเป็นเครื่องเผาบูชา หรือเครื่องสัตวบูชาแก้บน หรือเครื่องสังสรรค์บูชาต่อพระยาห์เวห์ 9 เจ้าต้องถวายเครื่องบูชาจากเมล็ดพืชพร้อมกับวัวรุ่นตัวนั้นด้วย คือแป้งอย่างดีหกลิตรครึ่ง[y] ผสมน้ำมันมะกอกหนึ่งลิตรครึ่ง[z] 10 เจ้าต้องถวายเหล้าองุ่นหนึ่งลิตรครึ่ง เป็นเครื่องดื่มบูชา นี่จะเป็นของขวัญอันมีกลิ่นหอมให้กับพระยาห์เวห์ 11 วัวตัวผู้แต่ละตัว หรือแกะตัวผู้แต่ละตัว หรือแกะหรือแพะแต่ละตัวที่เอามาถวาย ต้องเตรียมอย่างนี้ทั้งหมด 12 ไม่ว่าเจ้าจะเอาสัตว์มาถวายเท่าไหร่ก็ตาม เจ้าจะต้องทำอย่างนี้กับสัตว์แต่ละตัว ไม่ว่าจะมากแค่ไหนก็ตาม
13 ประชาชนชาวอิสราเอลจะต้องทำอย่างนั้น เมื่อถวายพวกของขวัญอันมีกลิ่นหอมให้กับพระยาห์เวห์ 14 ต่อจากนี้ไป เมื่อชาวต่างชาติคนหนึ่งที่อาศัยอยู่ร่วมกับพวกเจ้า อยากจะถวายพวกของขวัญ ที่มีกลิ่นหอมให้กับพระยาห์เวห์ เขาก็จะต้องทำเหมือนกับที่เจ้าทำ 15 มันจะมีแค่กฎเดียวสำหรับเจ้าและคนต่างด้าวที่อยู่กับเจ้า กฎนี้จะใช้ตลอดไป ตลอดชั่วลูกชั่วหลานของเจ้า เพราะในสายตาของพระยาห์เวห์ เจ้าและชาวต่างชาติก็เหมือนกัน 16 เจ้าและชาวต่างชาติที่อาศัยอยู่กับเจ้าจะใช้กฎและระเบียบเดียวกัน”
17 พระยาห์เวห์พูดกับโมเสสว่า 18 “ให้บอกประชาชนชาวอิสราเอลว่า ‘เมื่อเจ้าเข้าไปในแผ่นดินที่เรากำลังนำเจ้าไป 19 และเมื่อเจ้ากินอาหารจากแผ่นดินนั้น เจ้าจะต้องถวายของขวัญให้กับพระยาห์เวห์ 20 แป้งดิบก้อนแรกของเจ้า เจ้าต้องทำเป็นขนมปังถวายเป็นของขวัญ เจ้าต้องถวายมันเหมือนกับของขวัญที่มาจากลานนวดข้าว 21 เจ้าจะต้องถวายแป้งดิบก้อนแรกเป็นของขวัญกับพระยาห์เวห์ ตลอดชั่วลูกชั่วหลาน
22 ถ้าเจ้าทำผิดโดยไม่ได้ตั้งใจและไม่ได้ทำตามคำสั่งทั้งหมดนี้ที่พระยาห์เวห์ได้บอกโมเสสไว้ 23 ทุกอย่างที่พระยาห์เวห์ได้สั่งเจ้าผ่านทางโมเสส ตั้งแต่วันนั้นที่พระองค์ได้ให้กฎพวกนั้นกับเจ้าเป็นครั้งแรก เรื่อยมาตลอดชั่วลูกชั่วหลาน 24 แล้วถ้าชุมชนของพวกเจ้าทำสิ่งนี้ไปโดยไม่ได้ตั้งใจแต่ทำไปเพราะไม่รู้ ทั้งชุมชนต้องนำวัวรุ่นจากฝูงวัวมาเป็นเครื่องเผาบูชาที่มีกลิ่นหอมให้กับพระยาห์เวห์ พร้อมกับเครื่องบูชาจากเมล็ดพืชและเครื่องดื่มบูชาตามที่กฎกำหนดไว้ และพวกเจ้าต้องนำแพะตัวผู้มาเป็นเครื่องบูชาชำระล้าง
25 ด้วยวิธีนี้ นักบวชจะทำพิธีชำระสถานที่ศักดิ์สิทธิ์แทนประชาชนชาวอิสราเอลทั้งชุมชน เพื่อพวกเขาจะได้รับการยกโทษ เพราะมันเป็นความผิดพลาด และพวกเขาก็ได้นำเครื่องบูชามาถวายเป็นของขวัญให้กับพระยาห์เวห์ และได้นำเครื่องบูชาชำระล้างของพวกเขามาไว้ต่อหน้าพระยาห์เวห์ สำหรับความผิดพลาดของพวกเขา 26 ประชาชนชาวอิสราเอลทั้งชุมชนและชาวต่างชาติที่อยู่ร่วมกับเจ้าก็จะได้รับการยกโทษ เพราะทุกคนมีส่วนเกี่ยวข้องกับความผิดพลาดนั้น
27 แต่ถ้าคนๆหนึ่งทำผิดโดยไม่ได้ตั้งใจ คนๆนั้นต้องถวายแพะตัวเมียตัวหนึ่งอายุหนึ่งปีเป็นเครื่องบูชาชำระล้าง 28 แล้วนักบวชจะทำพิธีชำระแท่นบูชาแทนคนๆนั้นที่ทำผิดโดยไม่ได้ตั้งใจ นักบวชจะทำพิธีนี้ต่อหน้าพระยาห์เวห์แทนคนๆนั้น แล้วคนๆนั้นจะได้รับการยกโทษ 29 สำหรับประชาชนของอิสราเอลและชาวต่างชาติที่อาศัยอยู่ร่วมกับพวกเจ้า ก็ให้ใช้กฏเดียวกันเมื่อมีคนทำผิด
30 แต่คนที่ทำบาปโดยตั้งใจ ไม่ว่าจะเป็นคนอิสราเอลเองหรือชาวต่างชาติ คนๆนั้นได้ดูหมิ่นพระยาห์เวห์ เขาจะต้องถูกตัดออกจากประชาชนของเขา 31 เพราะเขาดูหมิ่นคำพูดของพระยาห์เวห์ และฝ่าฝืนคำสั่งของพระองค์ คนๆนั้นต้องถูกตัดออกจากประชาชน เขาจะต้องถูกลงโทษ[aa]’”
คนที่ทำงานในวันหยุดทางศาสนา
32 เมื่อประชาชนชาวอิสราเอลอยู่ในที่เปล่าเปลี่ยวแห้งแล้ง พวกเขาพบชายคนหนึ่งไปเก็บฟืนในวันหยุดทางศาสนา 33 คนเหล่านั้นที่เจอเขาเก็บฟืนอยู่ ได้นำตัวเขามาหาโมเสส อาโรนและประชาชนทั้งหมด 34 พวกเขาควบคุมตัวชายคนนั้นไว้เพราะยังไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรกับเขา
35 พระยาห์เวห์จึงพูดกับโมเสสว่า “ชายคนนั้นต้องถูกฆ่า ประชาชนทั้งหมดต้องฆ่าเขาด้วยก้อนหินที่นอกค่าย” 36 ประชาชนจึงนำตัวชายคนนั้นออกไปนอกค่ายและเอาหินขว้างเขาจนตาย ตามที่พระยาห์เวห์ได้สั่งโมเสสไว้
พู่เตือนความจำ
37 พระยาห์เวห์พูดกับโมเสสว่า 38 “ให้บอกคนอิสราเอลว่า ให้พวกเขาทำพู่ติดไว้ที่ชายเสื้อของพวกเขาตลอดชั่วลูกชั่วหลาน และพวกเขาต้องเอาเชือกสีฟ้าผูกบนพู่ทุกมุม 39 เจ้าจะมีพู่พวกนี้ เพื่อพวกเจ้าจะได้เห็นมันและจดจำคำสั่งของพระยาห์เวห์ทุกข้อ และทำตาม เพื่อพวกเจ้าจะได้ไม่กลายเป็นคนไม่สัตย์ซื่อ เพราะไปทำตามใจและความอยากของตัวเอง 40 เจ้าจะได้จดจำและทำตามคำสั่งของเราทุกข้อ และเจ้าจะเป็นคนที่ถูกแยกออกมาสำหรับพระเจ้าของเจ้า 41 เราคือยาห์เวห์พระเจ้าของพวกเจ้า ที่นำเจ้าออกจากแผ่นดินอียิปต์ เพื่อจะเป็นพระเจ้าของเจ้า เราคือยาห์เวห์พระเจ้าของเจ้า”
ผู้นำบางคนเริ่มต่อต้านโมเสส
16 โคราห์ ดาธาน อาบีรัม และโอน ได้ต่อต้านโมเสส โคราห์เป็นลูกชายของอิสฮาร์ อิสฮาร์เป็นลูกชายของโคฮาท โคฮาทเป็นลูกชายของเลวี ส่วนดาธานและอาบีรัมเป็นลูกชายของเอลีอับ โอนเป็นลูกชายของเปเลท ดาธาน อาบีรัมและโอนเป็นลูกหลานของรูเบน พวกเขาได้พาคนหลายคน 2 ลุกขึ้นต่อต้านโมเสส พวกเขารวบรวมคนได้สองร้อยห้าสิบคนจากประชาชนชาวอิสราเอล พวกคนสองร้อยห้าสิบคนนี้เป็นผู้นำของชุมชน ที่ประชาชนเลือกขึ้นมา เป็นพวกคนที่มีชื่อเสียง 3 พวกเขารวมตัวกันต่อต้านโมเสสและอาโรน พวกเขาพูดกับโมเสสและอาโรนว่า “พวกท่านหลงตัวเองเกินไปแล้ว เพราะประชาชนทั้งหมดนี้ ทุกคนเป็นคนพิเศษของพระยาห์เวห์ และพระยาห์เวห์ก็อยู่ท่ามกลางพวกเขา ทำไมท่านถึงต้องยกตัวเองขึ้นข่มประชาชนของพระยาห์เวห์ด้วย”
4 เมื่อโมเสสได้ยินอย่างนั้น เขาก็ทรุดตัวกราบลงกับพื้นดิน 5 แล้วพูดกับโคราห์และพรรคพวกของเขาว่า “พรุ่งนี้เช้าพระยาห์เวห์จะทำให้ท่านรู้ว่าใครเป็นของพระองค์และใครเป็นคนพิเศษ และพระองค์จะนำคนที่พิเศษนั้นมาอยู่ใกล้พระองค์ และคนที่พระองค์เลือก พระองค์ก็จะนำมาอยู่ใกล้พระองค์ 6 โคราห์ ทำอย่างนี้สิ ในวันพรุ่งนี้ ให้ท่านและพรรคพวกของท่านเอากระถางไฟมา 7 และเอาไฟใส่เข้าไป แล้วใส่เครื่องหอมลงในนั้นต่อหน้าพระยาห์เวห์ในวันพรุ่งนี้ แล้วคนที่พระยาห์เวห์เลือกจะเป็นคนพิเศษของพระองค์ พวกท่านเลวีต่างหากที่หลงตัวเองไปแล้ว”
8 โมเสสพูดกับโคราห์ว่า “ฟังให้ดีๆพวกชาวเลวีทั้งหลาย 9 พวกท่านคิดว่ามันน้อยเกินไปใช่ไหม ที่พระเจ้าของชาวอิสราเอลได้แยกพวกท่านออกจากประชาชนชาวอิสราเอล เพื่อนำพวกท่านมาใกล้พระองค์ ให้มารับใช้ในเต็นท์ศักดิ์สิทธิ์ของพระยาห์เวห์ และมายืนอยู่ต่อหน้าชุมชนเพื่อบริการพวกเขา 10 พระยาห์เวห์ได้นำท่าน และพรรคพวกของท่าน ให้มาอยู่ใกล้พระองค์ แต่พวกท่านอยากจะเป็นนักบวชด้วย 11 ดังนั้น ท่าน และพรรคพวกของท่าน จึงได้รวมตัวกันเพื่อต่อต้านพระยาห์เวห์ แล้วอาโรนทำผิดอะไร พวกท่านถึงได้บ่นต่อว่าเขา”
12 โมเสสส่งคนไปเรียกดาธานและอาบีรัมลูกชายเอลีอับมา แต่พวกเขาบอกว่า “พวกเราจะไม่มา 13 แค่นี้ยังไม่พออีกหรือ ที่ท่านนำพวกเราออกมาจากแผ่นดินที่อุดมสมบูรณ์ เพื่อให้เรามาตายในที่เปล่าเปลี่ยวแห้งแล้งนี้ แล้วตอนนี้ท่านยังทำตัวเป็นเจ้านายเหนือพวกเราอีก 14 นอกจากนั้น ท่านก็ยังไม่ยอมพาพวกเราเข้าไปในแผ่นดินอันอุดมสมบูรณ์ แถมยังไม่ยอมให้ที่นาและไร่องุ่นกับพวกเราด้วย ท่านจะแหกตาพวกนี้ต่อไปอีกหรือ พวกเราจะไม่มา”
15 โมเสสโกรธมาก เขาพูดกับพระยาห์เวห์ว่า “อย่าไปรับเครื่องบูชาของพวกเขาเลย ข้าพเจ้าไม่เคยทำผิดต่อพวกเขาเลย แม้แต่ลาซักตัวก็ไม่เคยเอาของเขามา”
16 โมเสสพูดกับโคราห์ว่า “ท่านและพรรคพวกของท่านต้องมาอยู่ต่อหน้าพระยาห์เวห์ในวันพรุ่งนี้ จะมีท่าน พรรคพวกของท่านและอาโรน 17 พวกท่านแต่ละคนจะต้องเอากระถางไฟของท่านใส่เครื่องหอม แล้วแต่ละคนต้องนำกระถางไฟนั้นมาอยู่ต่อหน้าพระยาห์เวห์ รวมทั้งหมดสองร้อยห้าสิบใบ ท่านและอาโรนก็ต้องนำกระถางไฟของตัวเองมาด้วย”
18 ดังนั้นทุกคนได้นำกระถางไฟของตัวเองมา ใส่ถ่านที่ติดไฟอยู่ลงไปและใส่เครื่องหอมลงไป แล้วมายืนอยู่หน้าทางเข้าเต็นท์นัดพบพร้อมกับโมเสสและอาโรน 19 โคราห์รวบรวมคนในชุมชนทั้งหมดให้มาต่อต้านพวกเขาที่ทางเข้าเต็นท์นัดพบ แล้วรัศมีของพระยาห์เวห์ ก็ปรากฏแก่คนทั้งชุมชน
20 พระยาห์เวห์พูดกับโมเสสและอาโรนว่า 21 “ถอยห่างจากชุมชนนี้ เราจะทำลายพวกมันทันที”
22 โมเสสและอาโรนก้มกราบลงและพูดว่า “พระเจ้า พระองค์เป็นพระเจ้าเหนือวิญญาณของคนทั้งหมด[ab] เมื่อมีคนหนึ่งทำบาป พระองค์จะโกรธคนทั้งชุมชนหรือ”
23 พระยาห์เวห์จึงพูดกับโมเสสว่า 24 “ให้บอกกับคนในชุมชนว่า ‘ย้ายออกไปให้ห่างจากเต็นท์ของโคราห์ ดาธานและอาบีรัม’”
25 โมเสสยืนขึ้นและตรงไปที่ดาธาน อาบีรัมและพวกผู้ใหญ่ของชาวอิสราเอลที่ติดตามเขา 26 โมเสสบอกกับชุมชนว่า “ย้ายออกให้ห่างจากเต็นท์ของคนชั่วพวกนี้ และอย่าไปแตะต้องอะไรก็ตามที่เป็นของพวกเขา ไม่อย่างนั้น ท่านจะถูกทำลาย เพราะความบาปทั้งหมดของพวกเขา”
27 ประชาชนจึงย้ายออกห่างจากเต็นท์ของโคราห์ ดาธานและอาบีรัม ตอนนี้ ดาธานและอาบีรัมได้ออกมายืนอยู่ที่ทางเข้าเต็นท์ของพวกเขา พร้อมกับลูกเมียและเด็กทารกของพวกเขา
28 โมเสสพูดว่า “อย่างนี้พวกท่านจะได้รู้ว่า พระยาห์เวห์ได้ส่งเรามาทำสิ่งต่างๆเหล่านี้ เราไม่ได้คิดพวกมันขึ้นมาเอง 29 คือ ถ้าคนพวกนี้ตายธรรมดาๆเหมือนกับที่คนอื่นๆเขาตายกัน และถ้าเรื่องที่เกิดกับคนอื่นก็เกิดขึ้นกับพวกเขาด้วย แสดงว่าพระยาห์เวห์ไม่ได้ส่งเรามา 30 แต่ถ้าพระยาห์เวห์ทำในสิ่งที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน ให้พื้นดินอ้าปากกลืนพวกเขาและทุกสิ่งที่เขามีลงไป และพวกนี้ถูกฝังทั้งเป็น แล้วท่านก็จะได้รู้ว่า พวกเขาได้ดูหมิ่นพระยาห์เวห์”
31 เมื่อโมเสสพูดจบ พื้นดินที่อยู่ใต้คนพวกนั้นก็แยกออก 32 มันเหมือนกับพื้นดินกำลังอ้าปากของมันและกลืนเอาคนพวกนั้น ครอบครัวของพวกเขาและคนของโคราห์ รวมทั้งทรัพย์สมบัติทั้งหมดของเขา 33 พวกเขาจึงถูกฝังทั้งเป็นพร้อมสิ่งของของพวกเขา แล้วพื้นดินก็ปิดทับพวกเขาและพวกเขาก็หายไปจากชุมชน
34 คนอิสราเอลอื่นๆที่อยู่รอบๆต่างวิ่งหนี เมื่อได้ยินเสียงร้องของพวกเขา คนเหล่านั้นพูดว่า “เดี๋ยวแผ่นดินจะกลืนพวกเราไปด้วย”
35 พระยาห์เวห์ได้ส่งไฟลงมาทำลายสองร้อยห้าสิบคนที่กำลังบูชาเครื่องหอมอยู่
36 พระยาห์เวห์พูดกับโมเสสว่า 37-38 “บอกเอเลอาซาร์ลูกชายของนักบวชอาโรนว่า ให้เอากระถางไฟพวกนั้นออกมาจากกองไฟที่ยังเผาอยู่ และเขี่ยถ่านไฟและขี้เถ้าให้กระจายไปทั่วๆ กระถางไฟได้กลายเป็นของศักดิ์สิทธิ์ เพราะพวกเขาได้เอากระถางไฟพวกนี้มาถวายพระยาห์เวห์ ให้เอากระถางไฟของคนพวกนี้ที่ทำบาปจนทำให้พวกเขาต้องตาย ไปตีให้แบนๆ แล้วเอามาทาบเข้ากับแท่นบูชา มันจะเป็นสิ่งเตือนใจสำหรับประชาชนชาวอิสราเอล”
39 นักบวชเอเลอาซาร์จึงเอากระถางไฟทองสัมฤทธิ์ ที่คนพวกนั้นที่ถูกเผาไปแล้วนำมาถวาย เอามาตีเป็นแผ่นบางๆ มาทาบไปบนแท่นบูชาตามที่พระยาห์เวห์ได้บอกกับเขาผ่านทางโมเสส 40 แผ่นทองสัมฤทธิ์นี้จะเป็นสิ่งที่เตือนประชาชนชาวอิสราเอล เพื่อไม่ให้คนที่ไม่มีสิทธิ์ ที่ไม่ใช่ลูกหลานของอาโรนเข้าไปใกล้แท่นบูชาเพื่อเผาเครื่องหอมต่อหน้าพระยาห์เวห์ จะได้ไม่เป็นเหมือนโคราห์และพรรคพวกของเขา
อาโรนช่วยชีวิตประชาชน
41 วันต่อมา ชุมชนชาวอิสราเอลทั้งหมด ต่างบ่นต่อว่าโมเสสและอาโรนว่า “ท่านได้ทำให้คนของพระยาห์เวห์ต้องตาย”
42 ขณะที่คนในชุมชนกำลังรวมตัวกันต่อต้านโมเสสและอาโรน พวกเขาได้หันไปทางเต็นท์นัดพบ และเห็นเมฆปกคลุมเต็นท์นั้นและรัศมีของพระยาห์เวห์ ก็ปรากฏขึ้น 43 โมเสสกับอาโรนก็มาที่ด้านหน้าของเต็นท์นัดพบ
44 พระยาห์เวห์พูดกับโมเสสว่า 45 “ถอยไปให้ห่างจากชุมชนนี้ เราจะได้ทำลายพวกเขาเดี๋ยวนี้” โมเสสกับอาโรนจึงก้มกราบลงกับพื้น
46 โมเสสพูดกับอาโรนว่า “ไปเอากระถางไฟ และเอาไฟจากแท่นบูชาใส่ลงไป และใส่เครื่องหอมลงไปด้วย แล้วรีบเอาไปที่ชุมชนนั้นแทนประชาชน เพื่อระงับความโกรธของพระยาห์เวห์ เพราะพระยาห์เวห์กำลังโกรธพวกเขา โรคระบาดกำลังเกิดขึ้น”
47 แล้วอาโรนก็ไปเอากระถางไฟตามที่โมเสสบอก แล้ววิ่งเข้าไปกลางชุมชน และเขาเห็นว่าเกิดโรคระบาดขึ้นแล้วในหมู่ประชาชน เขาเอาเครื่องหอมใส่ลงในกระถางไฟแทนประชาชน เพื่อระงับความโกรธของพระยาห์เวห์ 48 เขายืนอยู่ระหว่างคนเป็นและคนตาย และโรคระบาดก็หยุดลง 49 มีคนตายจากโรคระบาดครั้งนี้ถึงหนึ่งหมื่นสี่พันเจ็ดร้อยคน ไม่รวมคนที่ตายไปก่อนหน้านี้แล้วเพราะโคราห์ 50 อาโรนได้กลับไปหาโมเสสที่ทางเข้าเต็นท์นัดพบ เพราะโรคระบาดได้หยุดลงแล้ว
ไม้เท้าอาโรนแตกหน่อ
17 พระยาห์เวห์พูดกับโมเสสว่า 2 “ให้พูดกับประชาชนชาวอิสราเอลและให้หัวหน้าของแต่ละเผ่าเอาไม้เท้าของพวกเขามา รวมเป็นสิบสองอัน และให้เขียนชื่อของหัวหน้าเผ่าแต่ละคนลงไปบนไม้เท้าของเขานั้น 3 ให้เขียนชื่อของอาโรนลงบนไม้เท้าของเผ่าเลวี เพราะจะมีไม้เท้าหนึ่งอันสำหรับหัวหน้าเผ่าแต่ละเผ่า 4 ให้เอาไม้เท้าพวกนี้มาวางไว้ในเต็นท์นัดพบ ตรงหน้าหีบเก็บข้อตกลงเป็นสถานที่ที่เราพบกับพวกเจ้า 5 เราเลือกคนไหน ไม้เท้าของคนนั้นก็จะแตกหน่อออกมา ด้วยวิธีนี้ เราจะได้หยุดการบ่นต่อว่าของประชาชนชาวอิสราเอลที่มีต่อพวกเจ้า”
6 โมเสสจึงพูดกับประชาชนชาวอิสราเอล และพวกผู้นำของเขาทุกคนก็เอาไม้เท้าของตัวเองมาให้กับโมเสส รวมเป็นสิบสองอัน จากเผ่าละอัน ไม้เท้าของอาโรนก็อยู่ท่ามกลางไม้เท้าของพวกเขาด้วย 7 โมเสสวางไม้เท้าพวกนั้นไว้ต่อหน้าพระยาห์เวห์ในเต็นท์ที่เก็บข้อตกลง
8 วันต่อมา โมเสสได้เข้าไปในเต็นท์ที่เก็บข้อตกลง เขาเห็นไม้เท้าของอาโรนจากเผ่าเลวีแตกใบ แตกหน่อและมีดอกบาน พร้อมกับผลอัลมอนด์ด้วย 9 โมเสสจึงเอาไม้เท้าทั้งหมดจากด้านหน้าของพระยาห์เวห์ ออกมาให้กับ ประชาชนอิสราเอล หัวหน้าแต่ละคนก็หาและหยิบไม้เท้าของตนเอง
10 พระยาห์เวห์พูดกับโมเสสว่า “เอาไม้เท้าของอาโรนกลับไปวางไว้ด้านหน้าหีบข้อตกลง เพื่อเก็บไว้ให้เป็นสิ่งคอยเตือนพวกนี้ที่ทรยศเรา เพื่อพวกเขาจะได้หยุดบ่นต่อว่าเรา และพวกเขาจะได้ไม่ตาย” 11 โมเสสจึงทำตามที่พระยาห์เวห์สั่งเขาทุกอย่าง
12 แต่ประชาชนชาวอิสราเอลพูดกับโมเสสว่า “ดูสิ พวกเราจะตาย พวกเราจะถูกทำลาย พวกเราจะถูกทำลายกันหมด 13 ทุกคนที่แค่เข้าไปใกล้เต็นท์ที่เก็บข้อตกลงของพระยาห์เวห์ ก็ต้องตายแล้ว พวกเราจะตายกันหมดหรือเปล่านี่”
งานของนักบวชเลวี
18 พระยาห์เวห์พูดกับอาโรนว่า “ตัวเจ้า ลูกชายของเจ้าและคนในตระกูลของเจ้า จะต้องรับโทษ ถ้ามีใครมาทำให้สถานที่ศักดิ์สิทธิ์เสื่อมเสีย ตัวเจ้าและลูกชายจะต้องรับโทษ ถ้าทำหน้าที่นักบวชบกพร่องทำให้เกิดความเสื่อมเสีย 2 ให้พาพี่น้องชาวเลวีคนอื่นๆที่อยู่เผ่าพันธุ์เดียวกับพ่อของเจ้ามาด้วย พวกเขาจะได้มาร่วมงานและช่วยเหลือเจ้าตอนที่เจ้าและลูกชายของเจ้าอยู่ต่อหน้าเต็นท์เก็บข้อตกลง 3 พวกเขาจะต้องทำหน้าที่เป็นยามคอยเฝ้าระวังให้กับเจ้า คอยดูแลเต็นท์ที่เก็บข้อตกลง แต่พวกเขาต้องไม่เข้าไปใกล้เครื่องใช้ต่างๆที่ศักดิ์สิทธิ์ในเต็นท์ศักดิ์สิทธิ์หรือแท่นบูชานั้น เพื่อว่าทั้งพวกเขาและเจ้าจะได้ไม่ตาย 4 พวกเขาจะร่วมงานกับเจ้าและทำหน้าที่เป็นยามคอยเฝ้าระวังเต็นท์นัดพบ รวมทั้งงานหนักต่างๆที่เกี่ยวกับเต็นท์ด้วย แต่ห้ามคนที่ไม่มีสิทธิ์เข้ามาใกล้เจ้า
5 เจ้าต้องทำหน้าที่เป็นยามคอยเฝ้าระวังสถานที่ศักดิ์สิทธิ์และแท่นบูชา เพื่อเราจะได้ไม่โกรธประชาชนชาวอิสราเอล 6 ดูสิ เราได้เลือกพวกพี่น้องชาวเลวีของเจ้า ออกมาจากประชาชนชาวอิสราเอล พวกเขาเป็นของขวัญสำหรับเจ้า ที่มอบให้กับพระยาห์เวห์ เพื่อทำงานหนักในเต็นท์นัดพบ 7 อาโรน มีแต่เจ้าและลูกชายของเจ้าเท่านั้นที่จะทำหน้าที่นักบวช คอยดูแลทุกสิ่งทุกอย่างที่เกี่ยวกับแท่นบูชาและที่อยู่หลังม่านนั้น และเจ้าก็ต้องทำงานด้วย เราจะให้งานเจ้าให้สมกับฐานะนักบวช แต่คนที่ไม่มีสิทธิ์ แล้วบุกรุกเข้ามาจะต้องถูกฆ่า”
8 พระยาห์เวห์พูดกับอาโรนว่า “ดูสิ เราเองได้มอบหมายงานให้เจ้าเป็นยามคอยเฝ้าระวังของขวัญต่างๆที่คนเอามาให้กับเรา รวมทั้งของขวัญอันศักดิ์สิทธิ์ทั้งหมดที่ประชาชนชาวอิสราเอลเอามา เราจะแบ่งสิ่งเหล่านั้นให้เจ้าและลูกชายของเจ้า เป็นส่วนแบ่งที่พวกเจ้าจะได้ตลอดไป 9 ผู้คนจะเอาเครื่องบูชาต่างๆมาถวายเรา มีทั้งเครื่องบูชาจากเมล็ดพืช เครื่องบูชาชำระล้าง เครื่องบูชาชดใช้ เครื่องบูชาพวกนี้ศักดิ์สิทธิ์ที่สุด เจ้าจะได้ส่วนแบ่งจากเครื่องบูชาที่ศักดิ์สิทธิ์ที่สุดนี้ จากส่วนที่เก็บไว้ ที่ไม่ได้เอาไปเผาบนแท่นบูชา ส่วนนี้จะเป็นส่วนที่ศักดิ์สิทธิ์ที่สุดสำหรับเจ้าและพวกลูกชายของเจ้า 10 เจ้าต้องกินมันในสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ที่สุด ผู้ชายในครอบครัวเจ้ากินได้หมดทุกคน มันเป็นของศักดิ์สิทธิ์สำหรับเจ้า
11 และของขวัญพิเศษอื่นๆที่ชาวอิสราเอลนำมายื่นถวายกับเรา ก็จะเป็นของเจ้าด้วย เราจะให้ของพวกนั้นกับเจ้า ลูกชายของเจ้าและลูกสาวของเจ้า นั่นเป็นส่วนแบ่งของเจ้า ในครอบครัวเจ้า ทุกคนที่บริสุทธิ์ตามพิธีกรรมก็กินได้
12 เมื่อชาวอิสราเอลนำผลผลิตที่เก็บเกี่ยวได้เป็นครั้งแรกมาถวายให้กับพระยาห์เวห์ มีน้ำมันมะกอกอย่างดี เหล้าองุ่นใหม่และเมล็ดข้าวทั้งหมด เราจะยกให้กับเจ้า 13 เมื่อพวกเขานำพืชผลที่สุกเป็นครั้งแรกในที่ดินของพวกเขามาถวายพระยาห์เวห์ ของถวายนั้นก็จะเป็นของพวกเจ้า ในครอบครัวเจ้า ทุกคนที่บริสุทธิ์ตามพิธีกรรม ก็กินได้
14 ทุกสิ่งทุกอย่างที่เขานำมาถวายในอิสราเอล ก็จะเป็นของเจ้า
15 ลูกหัวปีไม่ว่าจะเป็นลูกคนหรือลูกสัตว์ ที่พวกเขาเอามาถวายให้กับพระยาห์เวห์จะเป็นของเจ้า แต่เจ้าจะต้องรับเงินที่เขาจ่ายเป็นค่าไถ่สำหรับลูกหัวปีของคน และลูกหัวปีของสัตว์ที่ไม่บริสุทธิ์[ac] 16 เมื่อลูกหัวปีนั้นมีอายุได้หนึ่งเดือน เจ้าจะต้องมาซื้อคืนไปเป็นเงินหนักห้าเชเขล[ad] ตายตัวตามมาตรฐานอย่างเป็นทางการ[ae] โดยคิดหนึ่งเชเขลเท่ากับยี่สิบเกราห์[af]
17 แต่ลูกวัวหัวปี ลูกแกะหัวปี และลูกแพะหัวปี ห้ามไม่ให้เจ้าซื้อคืนไป พวกมันเป็นของศักดิ์สิทธิ์ เจ้าต้องเอาเลือดของพวกมันมาพรมลงบนแท่นบูชาและต้องเผาไขมันของพวกมัน เป็นของขวัญ ที่มีกลิ่นหอมให้กับพระยาห์เวห์ 18 แต่ส่วนที่เป็นเนื้อจะเป็นของเจ้า รวมทั้งส่วนอกของเครื่องยื่นบูชา และส่วนสะโพกข้างขวา ก็เป็นของเจ้าด้วย 19 พวกของขวัญศักดิ์สิทธิ์ทั้งหมดที่ชาวอิสราเอลเอามายื่นถวายให้กับพระยาห์เวห์ เรามอบให้กับเจ้า ลูกชายและลูกสาวของเจ้า มันเป็นส่วนของเจ้าตลอดไป มันจะเป็นข้อตกลง[ag] ของพระยาห์เวห์ สำหรับเจ้าและลูกหลานรุ่นหลังจากเจ้าตลอดไป”
20 พระยาห์เวห์พูดกับอาโรนว่า “เจ้าจะไม่ได้รับส่วนแบ่งอะไรเลยในที่ดินของพวกเขา และเจ้าจะไม่ได้เป็นเจ้าของในส่วนแบ่งที่ดินท่ามกลางพวกเขา เราคือส่วนแบ่งของเจ้าและมรดกของเจ้าในท่ามกลางประชาชนชาวอิสราเอล
21 พวกชาวอิสราเอลจะถวายสิบเปอร์เซ็นต์ของพืชผลและสัตว์ที่เกิดใหม่ เรายกส่วนนี้ให้กับชาวเลวี นี่จะเป็นส่วนแบ่งของพวกเขา เป็นค่าตอบแทน ที่พวกเขาทำงานหนักในเต็นท์นัดพบ 22 ตั้งแต่นี้ไป ชาวอิสราเอลต้องไม่เข้าไปใกล้เต็นท์นัดพบ ไม่อย่างนั้นพวกเขาจะถูกลงโทษ เพราะบาปของพวกเขาและจะตาย 23 มีแต่ชาวเลวีเท่านั้นที่จะทำงานให้เต็นท์นัดพบ และพวกเขาจะต้องรับผิดชอบต่อความบาปที่เกิดขึ้น นี่จะเป็นกฎของพวกเจ้าตลอดไป และพวกเลวีก็จะไม่ได้ส่วนแบ่งอะไรเลยในที่ดินของชาวอิสราเอล 24 ชาวอิสราเอลจะถวายสิบเปอร์เซ็นต์ของรายได้เป็นของขวัญให้กับพระยาห์เวห์ แล้วเราจะให้ส่วนนี้กับชาวเลวี เป็นส่วนแบ่งแทนที่ดิน เพราะอย่างนี้ เราถึงได้บอกชาวเลวีว่า พวกเขาจะไม่ได้ส่วนแบ่งอะไรเลยในที่ดิน ท่ามกลางประชาชนชาวอิสราเอล”
25 พระยาห์เวห์พูดกับโมเสสว่า 26 “ให้บอกชาวเลวีว่า ‘เมื่อคนอิสราเอลเอาสิบเปอร์เซ็นต์ของรายได้มาถวายให้กับเรา เราก็ได้มอบส่วนนี้ให้เป็นส่วนแบ่งของเจ้า เมื่อเจ้าได้รับส่วนแบ่งนี้แล้ว เจ้าต้องถวายสิบเปอร์เซ็นต์ของส่วนแบ่งนั้นให้กับพระยาห์เวห์ด้วย 27 ของขวัญของเจ้านี้ พระเจ้าก็จะนับให้กับเจ้าเหมือนกับว่ามันเป็นเมล็ดข้าวจากลานนวดข้าวและน้ำองุ่นที่เต็มล้นในบ่อย่ำองุ่น 28 ดังนั้น เมื่อเจ้าได้รับสิบเปอร์เซ็นต์ที่ชาวอิสราเอลเอามาถวายพระยาห์เวห์ เจ้าก็ต้องถวายของขวัญให้กับพระยาห์เวห์เหมือนกัน จากของขวัญที่เจ้าเอามาถวายให้กับพระยาห์เวห์นี้ เจ้าต้องเอาไปให้กับนักบวชอาโรน 29 เจ้าจะต้องแยกส่วนที่ดีที่สุดจากของขวัญแต่ละอย่างทั้งหมดที่เจ้าได้รับมา เอาไว้เป็นของขวัญจากเจ้าที่ให้พระยาห์เวห์’
30 และให้บอกกับพวกเลวีว่า ‘เมื่อเจ้าเอาส่วนที่ดีที่สุดของมันมาถวายแล้ว พระเจ้าก็จะถือว่าส่วนที่เหลือนั้น เป็นของเจ้าชาวเลวี เหมือนกับตอนที่เอาผลผลิตจากลานนวดข้าว และผลผลิตจากบ่อย่ำองุ่น มาถวายนั่นเอง 31 เจ้าและครอบครัวของเจ้าจะกินมันที่ไหนก็ได้ เพราะมันเป็นค่าแรงของเจ้าที่ทำงานในเต็นท์นัดพบ 32 และถ้าเจ้าถวายส่วนที่ดีที่สุดของมันให้กับพระยาห์เวห์ เจ้าจะไม่ต้องรับโทษบาปเพราะมัน เจ้าต้องไม่ทำให้ของขวัญอันศักดิ์สิทธิ์ของประชาชนชาวอิสราเอล เสื่อมเสียไป เพื่อเจ้าจะได้ไม่ตาย’”
ขี้เถ้าของวัวแดง
19 พระยาห์เวห์พูดกับโมเสสและอาโรนว่า 2 “นี่เป็นกฎข้อบังคับที่พระยาห์เวห์ได้สั่งไว้ ให้บอกกับประชาชนชาวอิสราเอลว่า ให้พวกเขาเอาวัวตัวเมียสีแดงหนึ่งตัวที่ไม่มีตำหนิหรือรอยฟกช้ำใดๆมาให้กับเจ้า และต้องเป็นวัวที่ไม่เคยถูกเทียมแอก[ah] มาก่อน 3 พวกเจ้าต้องเอาวัวตัวนั้นมาให้กับนักบวชเอเลอาซาร์ เขาจะจูงมันออกไปนอกค่าย และฆ่ามันต่อหน้าเขา 4 แล้วนักบวชเอเลอาซาร์ต้องเอานิ้วมือจุ่มลงไปในเลือดของมัน และพรมเลือดไปที่หน้าเต็นท์นัดพบเจ็ดครั้ง 5 แล้วต้องเผาวัวแดงนั้นต่อหน้าเขา ต้องเผาหนัง เนื้อและเลือด รวมทั้งขี้ของมันไปพร้อมๆกัน 6 นักบวชต้องนำไม้สนซีดาร์ กิ่งหุสบ[ai] และด้ายสีแดงเข้ม โยนลงไปในไฟที่กำลังเผาวัวแดงนั้น 7 นักบวชต้องซักเสื้อผ้าของเขา และล้างตัวในน้ำ หลังจากนั้น นักบวชถึงกลับเข้ามาในค่ายได้ แต่เขาจะยังไม่บริสุทธิ์ทางพิธีกรรมจนกว่าจะถึงตอนเย็น 8 คนที่เผาวัวแดงต้องเอาเสื้อผ้าไปซักและล้างตัวในน้ำ และเขาจะไม่บริสุทธิ์ทางพิธีกรรมไปจนถึงตอนเย็นเหมือนกัน
9 แล้วให้ผู้ชายคนหนึ่งที่ยังบริสุทธิ์ทางพิธีกรรมไปโกยขี้เถ้าของวัวแดง และเอาไปเก็บไว้ในที่ที่สะอาดนอกค่าย ขี้เถ้านั้นจะถูกเก็บไว้ ผสมน้ำสำหรับชำระชุมชนชาวอิสราเอลให้บริสุทธิ์ มันคือเครื่องบูชาที่ทำให้คนบริสุทธิ์
10 คนที่ไปโกยขี้เถ้าวัวแดงนั้น ต้องซักเสื้อผ้าของเขา และจะไม่บริสุทธิ์ทางพิธีกรรมไปจนถึงตอนเย็น นี่จะเป็นกฎข้อบังคับที่จะใช้ตลอดไป ทั้งกับชาวอิสราเอลและชาวต่างชาติที่อาศัยอยู่ร่วมกับพวกเขา 11 คนที่ไปแตะต้องร่างคนตายมา ไม่ว่าจะเป็นร่างของใครก็ตาม คนๆนั้นจะไม่บริสุทธิ์ทางพิธีกรรมไปเป็นเวลาเจ็ดวัน 12 เขาจะต้องล้างตัวเองให้บริสุทธิ์ทางพิธีกรรมด้วยน้ำสำหรับชำระล้างนั้น แล้วเขาจะบริสุทธิ์ แต่ถ้าเขาไม่ล้างตัวเองให้บริสุทธิ์ในวันที่สามและในวันที่เจ็ด เขาจะยังคงไม่บริสุทธิ์ 13 คนที่ไปถูกศพมา และไม่ได้ชำระล้างตัวเองให้บริสุทธิ์ทางพิธีกรรม เขาก็จะทำให้เต็นท์ศักดิ์สิทธิ์ของพระยาห์เวห์ไม่บริสุทธิ์ไปด้วย คนๆนั้นจะต้องถูกตัดออกจากคนอิสราเอล ถ้าไม่ได้เอาน้ำสำหรับชำระล้างลาดลงบนตัวเขา เขาก็จะยังคงไม่บริสุทธิ์ทางพิธีกรรมต่อไป ความไม่บริสุทธิ์ยังคงติดตัวเขาอยู่
14 นี่เป็นกฎที่ใช้ เมื่อมีคนตายในเต็นท์ คนที่เข้าไปในเต็นท์นั้น หรือคนที่อยู่ในเต็นท์นั้น จะไม่บริสุทธิ์ไปเจ็ดวัน 15 หม้อทุกใบที่เปิดฝาทิ้งไว้หรือไม่มีฝาปิดก็จะไม่บริสุทธิ์ 16 ใครก็ตามที่อยู่ในท้องทุ่ง แล้วเกิดไปแตะต้องถูกคนที่ถูกฟันตาย หรือคนที่ตายตามธรรมชาติ หรือกระดูกคนหรือหลุมศพ คนๆนั้นก็จะไม่บริสุทธิ์ไปเจ็ดวัน
17 ดังนั้นเจ้าต้องเอาขี้เถ้าของวัวแดงจากเครื่องบูชาชำระล้างนั้น มาให้กับคนที่ไม่บริสุทธิ์และเอาน้ำบริสุทธิ์[aj] มาเทผสมเข้ากับขี้เถ้านั้นที่อยู่ในชาม 18 ให้คนที่บริสุทธิ์เอากิ่งหุสบจุ่มลงในน้ำและพรมไปที่เต็นท์ และพวกถ้วยชามต่างๆ รวมทั้งคนที่อยู่ในเต็นท์นั้นด้วย และพรมให้กับคนที่ไปแตะต้องถูกของพวกนี้คือกระดูกคนตาย หรือคนที่ถูกฟันตาย หรือคนที่ตายตามธรรมชาติ หรือหลุมฝังศพ
19 คนที่บริสุทธิ์คนนั้น จะต้องพรมน้ำนั้นให้กับคนที่ไม่บริสุทธิ์ในวันที่สามและวันที่เจ็ด ด้วยวิธีนี้ เขาจะทำให้คนๆนั้นบริสุทธิ์ในวันที่เจ็ด แล้วคนที่ไม่บริสุทธิ์นั้นต้องซักล้างเสื้อผ้า และล้างตัวเองในน้ำ และเขาจะบริสุทธิ์ในตอนเย็น
20 คนที่กลายเป็นคนไม่บริสุทธิ์ และไม่ได้ทำให้ตัวเองบริสุทธิ์ คนๆนั้นจะต้องถูกตัดออกจากชุมชน เพราะคนๆนั้นทำให้สถานที่ศักดิ์สิทธิ์ของพระยาห์เวห์ไม่บริสุทธิ์ เพราะยังไม่ได้เอาน้ำสำหรับการชำระล้างราดบนตัวเขา คนๆนั้นก็ยังไม่บริสุทธิ์อยู่ 21 กฎนี้จะใช้กับพวกเขาตลอดไป คนที่พรมน้ำชำระล้างให้กับคนอื่นนั้น จะต้องซักเสื้อผ้าของเขา และคนที่แตะถูกน้ำสำหรับชำระล้าง จะไม่บริสุทธิ์ไปจนถึงตอนเย็น 22 คนที่ไม่บริสุทธิ์ไปแตะถูกอะไรก็ตาม สิ่งนั้นก็จะไม่บริสุทธิ์ไปด้วย และคนอื่นที่ไปแตะถูกตัวเขาก็จะไม่บริสุทธิ์ไปจนถึงเย็น”
มิเรียมตาย
20 ประชาชนชาวอิสราเอล ทั้งชุมชนมาถึงที่เปล่าเปลี่ยวแห้งแล้งศินในเดือนที่หนึ่ง ประชาชนอาศัยอยู่ที่เคเดช มิเรียมตายและถูกฝังไว้ที่นี่
โมเสสทำผิด
2 ที่นั่นไม่มีน้ำสำหรับชุมชน ดังนั้น พวกเขาจึงรวมตัวกันต่อต้านโมเสสและอาโรน 3 ประชาชนมาถกเถียงกับโมเสสและพูดว่า “พวกเราน่าจะตายไปพร้อมๆกับพี่น้องของเรา ตอนที่พวกเขาตายไปต่อหน้าพระยาห์เวห์ 4 พวกท่านพาชุมชนของพระยาห์เวห์มาในที่เปล่าเปลี่ยวแห้งแล้งนี้ทำไม เพื่อเราและสัตว์ของเราจะได้ตายกันที่นี่หรือยังไง 5 ท่านนำเราออกมาจากอียิปต์เพื่อมาอยู่ในที่ห่วยๆอย่างนี้ทำไม ที่นี่ไม่มีเมล็ดพืช มะเดื่อ องุ่นหรือทับทิม และแม้แต่น้ำจะดื่มก็ยังไม่มีเลย”
6 โมเสสและอาโรนจึงจากชุมชนไปที่ทางเข้าเต็นท์นัดพบ ทั้งสองคนก้มหน้ากราบลง และรัศมี ของพระยาห์เวห์ก็ปรากฏกับพวกเขา
7 พระยาห์เวห์พูดกับโมเสสว่า 8 “เจ้าและอาโรนพี่ชายเจ้า ไปหยิบไม้เท้าและรวบรวมคนในชุมชนนั้น แล้วพูดกับก้อนหินต่อหน้าพวกเขา แล้วหินจะให้น้ำไหลออกมา ด้วยวิธีนี้ เจ้าจะได้ผลิตน้ำให้กับพวกเขาจากหินก้อนนั้น และเจ้าก็ได้จัดหาน้ำดื่มให้กับชุมชนและสัตว์เลี้ยงของพวกเขา”
9 โมเสสจึงไปหยิบไม้เท้าที่อยู่ตรงหน้าพระยาห์เวห์ ตามที่พระองค์สั่งเขา 10 โมเสสและอาโรนก็เรียกชุมนุมคนที่หน้าหินก้อนนั้น โมเสสพูดกับพวกเขาทั้งหลายว่า “ฟังให้ดี ไอ้พวกแข็งข้อ จะให้เราทำน้ำออกมาจากหินก้อนนี้หรือ” 11 แล้วโมเสสก็ยกมือขึ้น และตีหินก้อนนั้นด้วยไม้เท้าสองครั้ง และน้ำก็พุ่งออกมา ชุมชนและสัตว์เลี้ยงของเขาก็เข้าไปดื่มกัน
12 พระยาห์เวห์พูดกับโมเสสและอาโรนว่า “เจ้าไม่ได้ไว้วางใจเราเพียงพอ เจ้าถึงไม่ได้ให้เกียรติเราในฐานะผู้ศักดิ์สิทธิ์ ต่อหน้าประชาชนชาวอิสราเอล ดังนั้น เจ้าจะไม่ได้นำชุมชนนี้เข้าไปในแผ่นดินที่เรากำลังจะให้กับพวกเขานั้น”
13 สถานที่นี้ถูกเรียกว่าน้ำของเมรีบาห์[ak] เป็นสถานที่ที่ประชาชนชาวอิสราเอลแข็งข้อต่อพระยาห์เวห์ และพระยาห์เวห์ได้แสดงให้พวกเขาเห็นว่าพระองค์เป็นผู้ศักดิ์สิทธิ์
เอโดมไม่อนุญาตให้อิสราเอลผ่าน
14 ตอนที่โมเสสอยู่ที่เคเดช เขาได้ส่งคนถือสารไปถึงกษัตริย์ของเอโดมมีใจความว่า
“น้องชายของท่าน ชาวอิสราเอล พูดกับท่านว่า ท่านก็รู้เกี่ยวกับความยากลำบากต่างๆที่เราได้พบมาแล้วว่า 15 บรรพบุรุษของเราได้ลงไปอยู่ที่อียิปต์และได้อาศัยอยู่ที่นั่นเป็นเวลาช้านาน และชาวอียิปต์ต่างก็โหดร้ายกับพวกเราและบรรพบุรุษของเรา 16 แต่เราได้ร้องขอความช่วยเหลือต่อพระยาห์เวห์ และพระองค์ก็ได้ยินเสียงร้องของพวกเรา และได้ส่งทูตสวรรค์องค์หนึ่งมานำเราออกจากอียิปต์
และดูสิ ตอนนี้เราอยู่ที่เคเดช เมืองที่ติดทางชายแดนของท่าน 17 ได้โปรดอนุญาตให้พวกเราเดินผ่านประเทศของท่าน พวกเราจะไม่เดินผ่านไร่นาหรือไร่องุ่น พวกเราจะไม่ดื่มน้ำจากบ่อของท่าน พวกเราจะเดินอยู่แต่บนทางหลวงเท่านั้น และจะไม่แวะที่ใดจนกว่าจะผ่านประเทศของท่านไป”
18 แต่กษัตริย์เอโดมตอบมาว่า “พวกท่านต้องไม่ผ่านเข้ามาในดินแดนของเรา ไม่อย่างนั้น เราจะยกทัพออกมาต่อสู้กับพวกท่าน”
19 ประชาชนชาวอิสราเอลจึงบอกกับเขาว่า “พวกเราจะเดินอยู่แต่บนทางหลวงเท่านั้น และถ้าสัตว์เลี้ยงของพวกเราไปดื่มน้ำของท่านเข้า พวกเราจะจ่ายเงินให้ ขอเพียงท่านอนุญาตให้พวกเราเดินผ่านไปเท่านั้น มันเป็นแค่เรื่องเล็กน้อยเท่านั้น”
20 แต่กษัตริย์ของเอโดมบอกว่า “ห้ามพวกท่านผ่านเข้ามา” เอโดมจึงยกกองทัพขนาดใหญ่ที่เข้มแข็งออกมาต้านชาวอิสราเอล 21 เอโดมไม่ยอมให้ชาวอิสราเอลผ่านดินแดนของพวกเขา ชาวอิสราเอลจึงต้องหันไปทางอื่น
อาโรนตาย
22 แล้วประชาชนชาวอิสราเอล ทั้งชุมชนก็จากเคเดช และมาถึงภูเขาโฮร์ 23 พระยาห์เวห์พูดกับโมเสสและอาโรนบนภูเขาโฮร์ ซึ่งติดกับชายแดนของเอโดม 24 “อาโรนจะตายและจะไปอยู่ร่วมกับบรรพบุรุษของเขา เขาจะไม่ได้เข้าไปในแผ่นดินที่เราจะให้กับประชาชนชาวอิสราเอล เพราะพวกเจ้าขัดคำสั่งเราเกี่ยวกับน้ำของเมรีบาห์
25 ให้นำตัวอาโรนและเอเลอาซาร์ลูกชายเขา ขึ้นมาบนภูเขาโฮร์ 26 และถอดเสื้อของอาโรนออก แล้วเอาไปสวมให้กับเอเลอาซาร์ลูกชายของเขา แล้วอาโรนจะได้ไปอยู่ร่วมกับบรรพบุรุษของเขาและตายที่บนภูเขานั่น”
27 โมเสสจึงทำตามที่พระยาห์เวห์สั่ง พวกเขาเดินขึ้นไปบนภูเขาโฮร์ ต่อหน้าชุมชน 28 โมเสสถอดเสื้อพิเศษของอาโรนออก แล้วสวมให้กับเอเลอาซาร์ลูกชายของเขา แล้วอาโรนก็ตายอยู่บนยอดเขานั้น โมเสสและเอเลอาซาร์ลงมาจากภูเขา 29 และชุมชนทั้งหมดก็เห็นว่าอาโรนตายแล้ว ประชาชนชาวอิสราเอลทุกคนก็ไว้ทุกข์[al] ให้อาโรนสามสิบวัน
สงครามกับชาวคานาอัน
21 กษัตริย์ชาวคานาอันแห่งเมืองอาราด ที่อาศัยอยู่ในเนเกบ ได้ยินว่าอิสราเอลกำลังเดินทางมาอาธาริม ท่านจึงเข้าโจมตีชาวอิสราเอลและจับตัวชาวอิสราเอลบางคนไป 2 ชาวอิสราเอลจึงบนไว้กับพระยาห์เวห์ว่า “ถ้าพระองค์ให้พวกมันตกอยู่ในเงื้อมมือของเรา เราจะทำลายเมืองของพวกมันทั้งหมด”
3 พระยาห์เวห์ฟังเสียงของชาวอิสราเอล และให้ชาวคานาอันตกอยู่ในเงื้อมมือของพวกอิสราเอล ชาวอิสราเอลจึงได้ทำลายชาวคานาอันและเมืองทั้งหมดของพวกเขา พวกเขาจึงเรียกสถานที่นั้นว่าโฮรมาห์[am]
งูทองสัมฤทธิ์
4 แล้วชาวอิสราเอลก็จากภูเขาโฮร์ ใช้เส้นทางที่มุ่งไปยังทะเลต้นกก[an] เพื่ออ้อมดินแดนของเอโดม ในระหว่างทางประชาชนเริ่มหมดความอดทน 5 พวกเขาพูดต่อว่าพระเจ้าและโมเสสว่า “ทำไมพวกท่านถึงทำให้เราต้องออกจากอียิปต์ เพื่อมาตายในที่เปล่าเปลี่ยวแห้งแล้งนี้ ที่นี่ไม่มีขนมปังและน้ำ และพวกเราก็เบื่ออาหารที่ห่วยๆนี้เต็มทนแล้ว”
6 พระยาห์เวห์จึงส่งงูพิษลงมาท่ามกลางพวกเขา งูพวกนั้นได้กัดคนอิสราเอลตายไปเป็นจำนวนมาก 7 ประชาชนจึงมาหาโมเสสและพูดว่า “พวกเราได้ทำบาปไปแล้ว ที่ไปพูดต่อว่าพระยาห์เวห์และท่าน ช่วยอธิษฐานต่อพระยาห์เวห์ ให้พระองค์ช่วยเอางูพวกนี้ไปจากพวกเราด้วยเถิด” โมเสสจึงอธิษฐานให้กับประชาชน
พระคริสตธรรมคัมภีร์: ฉบับอ่านเข้าใจง่าย ภาคคำสัญญาใหม่ © 2015 Bible League International