Print Page Options
Previous Prev Day Next DayNext

Bible in 90 Days

An intensive Bible reading plan that walks through the entire Bible in 90 days.
Duration: 88 days
New Thai Version (NTV-BIBLE)
Version
กันดารวิถี 21:8-32:19

พระผู้เป็นเจ้ากล่าวกับโมเสสว่า “จงหล่องูพิษตัวหนึ่งและติดไว้บนเสา เมื่อผู้ใดถูกงูกัด และมองดูงูที่อยู่บนเสา เขาก็จะมีชีวิตอยู่” และโมเสสหล่องูทองสัมฤทธิ์ขึ้นมาตัวหนึ่งและติดไว้ที่เสา เมื่อผู้ใดถูกงูกัด เขาก็จะมองดูงูสัมฤทธิ์ตัวนั้น และจะไม่ตาย[a]

การเดินทางไปโมอับ

10 ชาวอิสราเอลออกเดินทางและไปตั้งค่ายอยู่ที่โอโบท 11 จากโอโบทพวกเขาออกเดินทางไป และไปตั้งค่ายอยู่ที่อิเยอาบาริมในถิ่นทุรกันดารที่อยู่ตรงข้ามโมอับทางทิศตะวันออก 12 ต่อจากนั้นพวกเขาออกเดินทางไป และไปตั้งค่ายอยู่ที่ลุ่มน้ำเศเรด 13 จากนั้นพวกเขาได้ออกเดินทางต่อไป และไปตั้งค่ายอยู่ที่อีกฟากของอาร์โนนซึ่งอยู่ในถิ่นทุรกันดารที่ยื่นออกมาจากชายแดนของชาวอาโมร์ เพราะอาร์โนนเป็นชายแดนโมอับที่อยู่ระหว่างโมอับกับชาวอาโมร์ 14 ดังนั้นจึงปรากฏข้อความในหนังสือสงครามของพระผู้เป็นเจ้าว่า

“วาเฮบในสุฟาห์ ในหุบเขาอาร์โนน
15 และเนินในหุบเขาที่ยื่นล้ำเข้าไปในเมืองอาร์
    และพาดยาวไปจรดชายแดนโมอับ”

16 และจากนั้นพวกเขาก็ไปยังเบเออร์ซึ่งเป็นบ่อน้ำที่พระผู้เป็นเจ้ากล่าวกับโมเสสว่า “จงรวบรวมประชาชนให้อยู่รวมกันไว้ แล้วเราจะให้น้ำแก่พวกเขา” 17 แล้วอิสราเอลก็ได้ร้องเพลงนี้

“บ่อน้ำเอ๋ย จงมีน้ำพุขึ้น
    จงร้องเพลงในเรื่องนี้
18 เรื่องบ่อน้ำที่บรรดาเจ้านายชั้นผู้ใหญ่ขุดขึ้น
    ที่บรรดาผู้นำของประชาชนเจาะ
    ด้วยคทาและไม้เท้าของพวกเขา”

และพวกเขาออกเดินทางจากถิ่นทุรกันดารไปยังมัทธานาห์ 19 จากมัทธานาห์ไปยังนาหะลีเอล และจากนาหะลีเอลก็ไปสู่บาโมท 20 และจากบาโมทไปยังหุบเขาที่ตั้งอยู่ในอาณาเขตโมอับที่มียอดเขาปิสกาห์ตั้งตระหง่านอยู่เหนือที่ร้างอันแร้นแค้น

สิโหนและโอกพ่ายแพ้

21 แล้วอิสราเอลได้ให้พวกผู้ส่งข่าวบอกสิโหนกษัตริย์ของชาวอาโมร์ว่า 22 “ให้เราผ่านเข้าไปในดินแดนของท่านเถิด เราจะไม่เลี้ยวไปทางไร่นาหรือสวนองุ่น เราจะไม่ดื่มน้ำจากบ่อ เราจะมุ่งหน้าไปตามถนนหลวงจนกว่าจะผ่านเข้าไปในพรมแดนของท่าน” 23 แต่สิโหนไม่ยอมให้อิสราเอลผ่านเข้าไปในพรมแดนของท่าน และรวบรวมคนออกไปสู้รบกับอิสราเอลในถิ่นทุรกันดาร เมื่อถึงยาฮาสก็ได้ต่อสู้กับอิสราเอล 24 อิสราเอลใช้ดาบกำจัดพวกเขา และยึดดินแดนจากอาร์โนนจนถึงยับบอก ไกลออกไปจนถึงเขตแดนของชาวอัมโมนเพราะที่ชายแดนมีการคุ้มกันอย่างแข็งแกร่ง 25 อิสราเอลยึดเมืองเหล่านั้นไว้ได้ อิสราเอลได้ตั้งหลักแหล่งอยู่ในทุกเมืองที่เป็นของชาวอาโมร์ รวมถึงเมืองเฮชโบนและทุกหมู่บ้านโดยรอบ 26 เฮชโบนเป็นเมืองของสิโหนกษัตริย์ของชาวอาโมร์ผู้ที่เคยต่อสู้กับกษัตริย์ท่านก่อนแห่งโมอับและได้ยึดดินแดนทั้งหมดไปจนถึงอาร์โนนไปจากท่าน

27 ฉะนั้นบรรดานักขับโคลงกลอนจึงกล่าวไว้ว่า

“มาที่เฮชโบนเถิด มาสร้างเมืองขึ้นใหม่
    ให้เมืองของสิโหนได้รับการฟื้นฟู

28 ด้วยว่า มีไฟลุกจากเฮชโบน
    เปลวไฟจากเมืองของสิโหน
เผาผลาญเมืองอาร์ของโมอับ
    พลเมืองของที่สูงแห่งอาร์โนน
29 วิบัติจงเกิดแก่เจ้า โมอับ
    ประชาชนของเทพเจ้าเคโมชเอ๋ย เจ้าต้องพินาศไป
เทพเจ้าเคโมชได้ทำให้บรรดาบุตรชายของตนเป็นผู้ลี้ภัย
    และบุตรหญิงของตนเป็นนักโทษ
    ของสิโหนกษัตริย์ของชาวอาโมร์

30 พวกเราได้โค่นพวกเขาเหล่านั้นลงแล้ว
    เฮชโบนพินาศจนถึงดีโบน
เราล้มล้างพวกเขาถึงโนฟาห์
    ซึ่งขยายกว้างไปจนถึงเมเดบา”

31 ฉะนั้น อิสราเอลจึงได้ตั้งรกรากอยู่ในแผ่นดินของชาวอาโมร์ 32 เมื่อโมเสสให้พวกสอดแนมไปยังเมืองยาเซอร์ และชาวอิสราเอลยึดนิคมโดยรอบไว้และขับไล่ชาวอาโมร์ซึ่งอาศัยอยู่ที่นั่นออกไป 33 จากนั้นพวกเขาเลี้ยวขึ้นไปตามทางที่จะไปสู่แคว้นบาชาน และโอกกษัตริย์แห่งบาชานและกองทหารของท่านทั้งหมดเข้าปะทะในสงครามกับพวกเขาที่เอเดรอี 34 แต่พระผู้เป็นเจ้ากล่าวกับโมเสสว่า “อย่าไปกลัวเขาเลย เพราะเราได้มอบเขาไว้ในมือของเจ้าแล้ว รวมทั้งผู้คนและดินแดนของเขาด้วย เจ้าจงกระทำต่อเขาเช่นเดียวกับที่เจ้ากระทำต่อสิโหนกษัตริย์ของชาวอาโมร์ผู้อาศัยอยู่ในเฮชโบน” 35 ดังนั้นเขาทั้งหลายจึงฆ่าโอกและบรรดาบุตรของท่านและประชาชนทั้งปวง ไม่มีใครรอดชีวิตมาได้ แล้วเขาทั้งหลายก็เข้ายึดดินแดนนั้นไว้

บาลาคเรียกบาลาอัมให้มาหา

22 ครั้นแล้วชาวอิสราเอลก็ออกเดินทางไปยังที่ราบโมอับ และไปตั้งค่ายอยู่ที่ริมฝั่งแม่น้ำจอร์แดนที่ฝั่งตรงข้ามกับเยรีโค ส่วนบาลาคบุตรศิปโปร์ได้เห็นทุกสิ่งที่อิสราเอลได้กระทำต่อชาวอาโมร์ และชาวโมอับตกใจกลัวชนชาตินั้นที่มีจำนวนมาก ชาวโมอับหวาดหวั่นชาวอิสราเอลมาก ชาวโมอับพูดกับบรรดาหัวหน้าชั้นผู้ใหญ่ของมีเดียนว่า “ชนกลุ่มนี้จะกินทุกสิ่งรอบตัวเราเหมือนโคกินหญ้าในทุ่งจนเรียบ” ในเวลานั้นบาลาคบุตรศิปโปร์เป็นกษัตริย์แห่งโมอับ ท่านจึงให้บรรดาผู้ส่งข่าวไปยังบาลาอัมบุตรเบโอร์ที่เปโธร์ที่อยู่ใกล้แม่น้ำในถิ่นฐานบ้านเกิดของเขา บาลาคพูดว่า “ดูเถิด ชนชาติหนึ่งได้ออกมาจากอียิปต์ ดูเถิด พวกเขาแผ่ขยายไปทั่วแผ่นดินโลก และพวกเขาได้ตั้งถิ่นฐานอยู่ตรงข้ามเรา บัดนี้จงมาเถิด มาสาปแช่งชนชาตินี้ให้เรา ในเมื่อพวกเขาเข้มแข็งเกินไปสำหรับเรา เราอาจจะตีพวกเขาให้พ่ายไปได้ และขับไล่พวกเขาออกไปจากแผ่นดิน เพราะเราทราบว่าท่านให้พรผู้ใด ผู้นั้นก็ได้รับพร และท่านสาปแช่งผู้ใด ผู้นั้นก็ถูกสาปแช่ง”

บรรดาหัวหน้าชั้นผู้ใหญ่ของโมอับและบรรดาหัวหน้าชั้นผู้ใหญ่ของมีเดียนก็เอาค่าจ้างการทำนายติดมือไป เมื่อมาถึงบาลาอัม เขาก็รายงานว่าบาลาคพูดอะไรบ้าง บาลาอัมพูดกับพวกเขาว่า “คืนนี้จงค้างแรมที่นี่เถิด แล้วเราจะนำคำตอบของพระผู้เป็นเจ้ามาบอกท่าน” และบรรดาผู้นำของโมอับก็พักอยู่กับบาลาอัม พระเจ้ามากล่าวกับบาลาอัมว่า “ชายเหล่านี้ที่อยู่กับเจ้าเป็นใคร” 10 บาลาอัมตอบพระเจ้าว่า “บาลาคบุตรศิปโปร์กษัตริย์แห่งโมอับส่งคนมาบอกข้าพเจ้าว่า 11 ‘ดูเถิด ชนชาติหนึ่งได้ออกมาจากอียิปต์ ชนชาตินี้แผ่ขยายไปทั่วแผ่นดินโลก บัดนี้จงมาเถิด มาสาปแช่งพวกเขาให้เรา เราอาจจะต่อสู้กับพวกเขาได้ และขับไล่พวกเขาออกไป’” 12 แต่พระผู้เป็นเจ้ากล่าวกับบาลาอัมว่า “เจ้าอย่าไปกับพวกเขา เจ้าอย่าสาปแช่งชนชาตินั้น เพราะพวกเขาได้รับพร” 13 วันรุ่งขึ้นบาลาอัมลุกขึ้นและบอกกับบรรดาเจ้านายชั้นผู้ใหญ่ของบาลาคว่า “จงกลับไปยังแผ่นดินของท่านเถิด เพราะพระผู้เป็นเจ้าห้ามเรามิให้ไปกับท่าน” 14 บรรดาเจ้านายชั้นผู้ใหญ่ของโมอับจึงลุกขึ้น และไปบอกบาลาคว่า “บาลาอัมปฏิเสธที่จะมากับพวกเรา”

15 ครั้นแล้วบาลาคจึงให้บรรดาเจ้านายชั้นผู้ใหญ่อื่นๆ ไปอีก มีจำนวนมากขึ้นและมีเกียรติยศมากกว่ารุ่นก่อน 16 พวกเขามาพูดกับบาลาอัมว่า “บาลาคบุตรศิปโปร์กล่าวว่า ‘อย่าให้มีสิ่งใดฉุดรั้งไม่ให้ท่านมาหาเรา 17 เพราะเราจะมอบเกียรติอย่างสูงให้แก่ท่าน เราจะกระทำทุกสิ่งที่ท่านต้องการให้เราทำ เราขอร้องให้ท่านมาสาปแช่งชนชาตินี้ให้เรา’” 18 แต่บาลาอัมตอบบรรดาผู้รับใช้ของบาลาคว่า “ถึงแม้ว่าบาลาคจะยกบ้านที่เต็มด้วยเงินทองให้เรา เราก็ไม่อาจขัดต่อคำสั่งใดๆ ของพระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของเราได้เลย ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเล็กหรือใหญ่ก็ตาม 19 บัดนี้ท่านค้างแรมที่นี่ด้วยเถิด เราจะได้ทราบว่าพระผู้เป็นเจ้าอาจจะมีอะไรกล่าวกับเราอีก” 20 และพระเจ้ามากล่าวกับบาลาอัมในคืนนั้นว่า “ถ้าชายเหล่านั้นมาเรียกตัวเจ้าไป ก็จงลุกขึ้นไปกับเขา แต่จงกระทำตามเฉพาะสิ่งที่เราบอกเจ้าเท่านั้น”

ลาของบาลาอัม

21 พอรุ่งเช้าบาลาอัมก็ลุกขึ้น ผูกอานลาของตนและไปกับบรรดาเจ้านายชั้นผู้ใหญ่ของโมอับ 22 พระเจ้าโกรธกริ้วที่เขาไป และทูตสวรรค์ของพระผู้เป็นเจ้ายืนขวางทางไว้เพื่อห้ามเขา ขณะนั้นเขากำลังขี่ลาไป และมีผู้รับใช้ 2 คนอยู่ด้วย 23 ครั้นลาเห็นทูตสวรรค์ของพระผู้เป็นเจ้ายืนถือดาบขวางทางอยู่ ลาตัวนั้นจึงเลี้ยวออกนอกทางเข้าไปในทุ่งนา บาลาอัมจึงตีลาให้หันกลับไปที่ถนนอีก 24 ทูตสวรรค์ของพระผู้เป็นเจ้ายืนที่ทางแคบระหว่างสวนองุ่น 2 แห่งซึ่งมีกำแพงกั้นทั้ง 2 ฟาก 25 ขณะที่ลาเห็นทูตสวรรค์ของพระผู้เป็นเจ้า มันก็ดันกำแพงและทำให้เท้าของบาลาอัมถูกอัดติดกำแพง เขาจึงตีลาอีก 26 ทูตสวรรค์ของพระผู้เป็นเจ้าขยับไปข้างหน้าและยืนอยู่ที่ทางแคบอีก ไม่มีทางเลี้ยวซ้ายหรือขวาได้ 27 เมื่อลาเห็นทูตสวรรค์ของพระผู้เป็นเจ้า มันก็หมอบลงขณะที่บาลาอัมยังอยู่บนหลังลา เขาก็โกรธและใช้ไม้ตีลา 28 แล้วพระผู้เป็นเจ้าจึงเปิดปากลา มันก็พูดกับบาลาอัมว่า “ข้าพเจ้าทำอะไรท่านหรือ ท่านจึงได้ตีข้าพเจ้าถึง 3 ครั้งเช่นนี้” 29 บาลาอัมพูดกับลาว่า “เพราะเจ้าทำให้เรารู้สึกโง่เง่า หากว่ามือเราถือดาบอยู่ เราก็จะฆ่าเจ้าเสียบัดนี้” 30 ลาจึงพูดกับบาลาอัมว่า “ข้าพเจ้าไม่ได้เป็นลาของท่านหรอกหรือที่ท่านใช้ขี่มาตลอดชีวิตอันยาวนานของท่านจนถึงวันนี้ ข้าพเจ้าเคยกระทำเช่นนี้กับท่านหรือ” เขาก็ตอบว่า “ไม่เคย”

31 พระผู้เป็นเจ้าก็เปิดตาของบาลาอัม เขาจึงเห็นทูตสวรรค์ของพระผู้เป็นเจ้ายืนขวางทางอยู่และชักดาบไว้พร้อม เขาจึงก้มศีรษะและซบหน้าลงกับพื้น 32 ทูตสวรรค์ของพระผู้เป็นเจ้าพูดกับเขาว่า “ทำไมท่านจึงตีลาของท่านถึง 3 ครั้งเช่นนั้น ดูเถิด เราได้ออกมาขัดขวางท่าน เพราะเราเห็นว่าท่านทำตัวหุนหันพลันแล่นยิ่งนัก 33 และลาก็เห็นเราจึงเลี้ยวเข้าข้างทางต่อหน้าเรา 3 ครั้งเช่นนั้น หากว่ามันไม่ได้หันเข้าข้างทางเลี่ยงเราไป เราคงจะฆ่าท่านไปเสียแล้ว และก็ปล่อยให้ลารอดตัวไป” 34 บาลาอัมพูดกับทูตสวรรค์ของพระผู้เป็นเจ้าว่า “ข้าพเจ้ากระทำบาป เพราะข้าพเจ้าไม่ทราบว่าท่านยืนอยู่ที่ถนนเพื่อขวางข้าพเจ้าไว้ ฉะนั้นบัดนี้หากว่าเป็นสิ่งชั่วร้ายในสายตาของท่าน ข้าพเจ้าก็จะกลับไป” 35 ทูตสวรรค์ของพระผู้เป็นเจ้าพูดกับบาลาอัมว่า “จงไปกับชายเหล่านั้น แต่ท่านจงพูดตามคำที่เราพูดกับท่านเท่านั้น” และบาลาอัมก็ไปกับบรรดาเจ้านายชั้นผู้ใหญ่ของบาลาค

36 ครั้นบาลาคได้ยินว่าบาลาอัมกำลังมา ท่านจึงออกไปพบกับเขาที่เมืองโมอับชายแดนอาร์โนนในเขตพรมแดนเมือง 37 และบาลาคพูดกับบาลาอัมว่า “เราให้คนไปเรียกตัวท่านมาครั้งแล้วครั้งเล่ามิใช่หรือ ทำไมท่านจึงไม่มาหาเรา เราไม่ได้ให้เกียรติแก่ท่านหรือ” 38 บาลาอัมตอบบาลาคว่า “ดูเถิด ข้าพเจ้ามาหาท่านแล้ว แต่บัดนี้ข้าพเจ้าหามีอำนาจที่จะกล่าวสิ่งใดไม่ ข้าพเจ้าจะพูดไปตามคำที่พระเจ้าบันดาลให้ข้าพเจ้าพูดเท่านั้น” 39 แล้วบาลาอัมไปกับบาลาคจนถึงคีริยาทหุโซท 40 บาลาคถวายโคและแกะเป็นเครื่องสักการะ และแจกให้บาลาอัมกับบรรดาเจ้านายชั้นผู้ใหญ่ที่อยู่ด้วย

41 เช้าวันรุ่งขึ้นบาลาคพาบาลาอัมขึ้นไปยังบาโมทบาอัล และเขาก็ได้เห็นประชาชนที่อยู่ไม่ไกลจากที่นั่น

คำพยากรณ์แรกของบาลาอัม

23 บาลาอัมพูดกับบาลาคว่า “โปรดสร้างแท่นบูชาให้แก่ข้าพเจ้า 7 แท่นที่นี่ และเตรียมโคตัวผู้ 7 ตัวกับแกะตัวผู้ 7 ตัวให้ข้าพเจ้าที่นี่” บาลาคก็กระทำตามที่บาลาอัมพูด และท่านทั้งสองถวายโคตัวผู้และแกะตัวผู้อย่างละ 1 ตัวที่แท่นบูชาแต่ละแท่น บาลาอัมพูดกับบาลาคว่า “จงยืนที่ข้างสัตว์ที่เผาเป็นของถวายของท่าน แล้วข้าพเจ้าก็จะไป พระผู้เป็นเจ้าอาจจะมาพบกับข้าพเจ้า แล้วข้าพเจ้าจะบอกท่านว่าพระองค์แจ้งอะไรแก่ข้าพเจ้าบ้าง” และเขาก็ไปยังบริเวณที่สูงอันแห้งแล้ง พระเจ้าพบกับบาลาอัม บาลาอัมพูดกับพระองค์ว่า “ข้าพเจ้าได้เตรียมแท่นบูชา 7 แท่น และได้ถวายโคตัวผู้และแกะตัวผู้อย่างละ 1 ตัวที่แท่นบูชาแต่ละแท่น” และพระผู้เป็นเจ้าบันดาลให้บาลาอัมพร้อมที่จะพูด และกล่าวว่า “จงกลับไปหาบาลาค แล้วเจ้าจงพูดไปตามสิ่งที่เราบอก” เขากลับไปหาบาลาค และพบว่าบาลาคและบรรดาเจ้านายชั้นผู้ใหญ่ของชาวโมอับยังยืนอยู่ที่ข้างสัตว์ที่เผาเป็นของถวาย

แล้วบาลาอัมก็กล่าวคำพยากรณ์ว่า

“บาลาคได้เรียกข้าพเจ้าให้มาจากอารัม[b]
    กษัตริย์แห่งโมอับนำข้าพเจ้ามาจากเทือกเขาทางตะวันออก
ท่านกล่าวว่า ‘มาเถิด มาสาปแช่งยาโคบให้เรา
    และมาเถิด มาประณามอิสราเอล’
ข้าพเจ้าจะสาปแช่งผู้ที่
    พระเจ้าไม่ได้สาปแช่งได้อย่างไร
ข้าพเจ้าจะประณามผู้ที่
    พระผู้เป็นเจ้าไม่ได้ประณามได้อย่างไร
ข้าพเจ้าเห็นพวกเขาจากยอดเขา
    และข้าพเจ้ามองดูพวกเขาจากเนินเขา
ดูเถิด ชนชาติซึ่งอาศัยอยู่ตามลำพัง
    และไม่ได้นับตนเองเข้าในบรรดาประชาชาติ
10 ใครจะนับผงธุลีของยาโคบได้
    หรือนับหนึ่งในสี่ของอิสราเอลได้
ให้ข้าพเจ้าตายอย่างบรรดาผู้มีความชอบธรรมตายเถิด
    และให้จุดจบของข้าพเจ้าเป็นเช่นเดียวกับของพวกเขา”

11 บาลาคพูดกับบาลาอัมว่า “ท่านทำความเสียหายให้กับเรา เราส่งคนไปตามตัวท่านมาเพื่อสาปแช่งศัตรูของเรา ดูเถิด ท่านไม่ได้ทำอะไรให้เราเลย แต่กลับอวยพรพวกเขา” 12 เขาตอบว่า “จะไม่ให้ข้าพเจ้าพูดไปตามคำที่พระผู้เป็นเจ้าบันดาลให้ข้าพเจ้าพูดหรือ”

คำพยากรณ์ครั้งที่สองของบาลาอัม

13 บาลาคพูดกับเขาว่า “ไปกับเรา ไปอีกที่แห่งหนึ่งที่ท่านสามารถมองเห็นพวกเขา ท่านจะไม่เห็นทุกคน แต่จะเป็นเพียงบางส่วนเท่านั้น และจากที่นั่นท่านจงสาปแช่งพวกเขาให้เราด้วย” 14 ดังนั้นบาลาคจึงพาบาลาอัมไปยังทุ่งของโศฟิมที่ยอดภูเขาปิสกาห์ และสร้างแท่นบูชา 7 แท่น ถวายโคตัวผู้และแกะตัวผู้อย่างละ 1 ตัวที่แท่นบูชาแต่ละแท่น 15 บาลาอัมพูดกับบาลาคว่า “จงยืนที่ข้างสัตว์ที่เผาเป็นของถวายของท่าน ขณะที่ข้าพเจ้าไปพบพระองค์ที่โน่น” 16 พระผู้เป็นเจ้าพบกับบาลาอัม พระองค์บันดาลให้บาลาอัมพร้อมที่จะพูด และกล่าวว่า “จงกลับไปหาบาลาค แล้วเจ้าจงพูดไปตามคำที่เราบอก” 17 เขากลับไปหาบาลาคและพบว่า บาลาคและบรรดาเจ้านายชั้นผู้ใหญ่ของโมอับยังยืนอยู่ที่ข้างสัตว์ที่เผาเป็นของถวาย บาลาคถามเขาว่า “พระผู้เป็นเจ้ากล่าวว่าอย่างไร”

18 แล้วเขาก็กล่าวคำพยากรณ์ว่า

“บาลาค จงลุกขึ้นและฟังเถิด
    บุตรของศิปโปร์ จงฟังข้าพเจ้าเถิด
19 พระเจ้าไม่ใช่มนุษย์ พระองค์ไม่กล่าวเท็จ
    และไม่ใช่บุตรของมนุษย์ พระองค์ไม่เปลี่ยนใจ
เมื่อพระองค์กล่าว แล้วจะไม่กระทำหรือ
    เมื่อพระองค์สัญญา แล้วจะไม่ลุล่วงหรือ
20 ข้าพเจ้าได้รับคำสั่งให้อวยพร
    พระองค์อวยพรให้แล้ว ข้าพเจ้าไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้

21 จะไม่มีเรื่องราวร้ายๆ เกิดขึ้นกับยาโคบ
    ไม่มีความทุกข์ปรากฏในอิสราเอล
พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของพวกเขาสถิตกับเขา
    ความปิติยินดีของกษัตริย์อยู่ท่ามกลางพวกเขา
22 พระเจ้าพาพวกเขาออกมาจากอียิปต์
    พวกเขามีกำลังดั่งกระทิง
23 ไม่มีเวทมนตร์คาถาสาปแช่งยาโคบ
    ไม่มีการทำนายคัดค้านอิสราเอล
บัดนี้ไป จะมีการกล่าวถึงยาโคบ
    และอิสราเอลว่า ‘ดูเถิดว่า พระเจ้าได้กระทำอะไรบ้าง’
24 ชนชาตินั้นผุดลุกเยี่ยงสิงโตตัวเมีย
    และผงาดขึ้นเยี่ยงสิงโต
ซึ่งจะไม่มีวันหมอบลงพักจนกว่าจะได้ขม้ำเหยื่อ
    และดื่มเลือดของเหยื่อที่ล่าได้เสียก่อน”

25 ครั้นแล้วบาลาคก็ได้พูดกับบาลาอัมว่า “ท่านไม่ต้องสาปแช่งและไม่ต้องอวยพรพวกเขาเลย” 26 บาลาอัมตอบว่า “ข้าพเจ้าได้บอกท่านแล้วมิใช่หรือว่า ข้าพเจ้าต้องกระทำตามที่พระผู้เป็นเจ้ากล่าว” 27 แล้วบาลาคพูดกับบาลาอัมว่า “มาเถิด ให้เราพาท่านไปอีกที่แห่งหนึ่ง เผื่อว่าพระเจ้าจะโปรดปรานก็ได้ หากว่าท่านสาปแช่งพวกเขาให้เราจากที่นั่น” 28 บาลาคจึงพาบาลาอัมขึ้นไปยังยอดเขาเปโอร์ซึ่งตั้งตระหง่านอยู่เหนือที่ร้างอันแร้นแค้น 29 บาลาอัมพูดว่า “จงสร้างแท่นบูชา 7 แท่นให้ข้าพเจ้าที่นี่ เตรียมโคตัวผู้และแกะตัวผู้อย่างละ 7 ตัวให้เรา” 30 บาลาคกระทำตามที่บาลาอัมบอก และถวายโคตัวผู้และแกะตัวผู้อย่างละ 1 ตัวที่แท่นบูชาแต่ละแท่น

คำพยากรณ์ครั้งที่สามของบาลาอัม

24 ครั้นบาลาอัมเห็นว่าการที่ได้อวยพรอิสราเอลเป็นที่โปรดปรานของพระผู้เป็นเจ้า เขาไม่ได้หันไปพึ่งเวทมนตร์คาถาเหมือนครั้งอื่นๆ แต่กลับหันหน้าไปทางถิ่นทุรกันดาร เมื่อบาลาอัมเงยหน้าขึ้นและเห็นอิสราเอลไปตั้งค่ายตามเผ่าของตน เขาเปี่ยมด้วยพระวิญญาณพระเจ้า และเขาก็กล่าวคำพยากรณ์ว่า

“คำพยากรณ์ของบาลาอัม บุตรเบโอร์
    คำพยากรณ์ของผู้มองเห็นอย่างกระจ่างชัด
คำพยากรณ์ของผู้ได้ยินคำกล่าวของพระเจ้า
    ผู้เห็นภาพนิมิตจากองค์ผู้กอปรด้วยมหิทธานุภาพ
    ผู้ล้มลงและก็ยังลืมตา

ยาโคบเอ๋ย กระโจมของท่านช่างงามอะไรเช่นนี้
    อิสราเอลเอ๋ย กระโจมที่ท่านอาศัยอยู่ก็งาม

แผ่กว้างออกดั่งหุบเขา
    ดั่งสวนที่อยู่ริมฝั่งแม่น้ำ
ดั่งต้นกฤษณาที่พระผู้เป็นเจ้าปลูกไว้
    ดั่งต้นซีดาร์ที่อยู่ข้างแหล่งน้ำ
น้ำจะไหลหลั่งจากถังของเขา
    บรรดาผู้สืบเชื้อสายของเขาจะมีแหล่งน้ำอุดมสมบูรณ์

กษัตริย์ของเขาจะยิ่งใหญ่กว่าอากัก
    อาณาจักรของเขาจะเหนือกว่าของผู้อื่น

พระเจ้าได้นำเขาออกจากอียิปต์
    เขามีพละกำลังดั่งกระทิง
เขากลืนกินบรรดาประชาชาติที่เป็นศัตรู
    และหักกระดูกของเขาได้เป็นท่อนๆ
    ลูกธนูปักลงที่พวกเขา
เขาหมอบและนอนลงเยี่ยงสิงโต
    และสิงโตตัวเมีย ใครเล่าจะกล้ายั่วเย้าให้ผงาดขึ้นอีก

ขอให้บรรดาผู้ที่อวยพรท่านได้รับพระพร
    และบรรดาผู้ที่สาปแช่งท่านถูกสาปแช่งเถิด”

10 บาลาคก็โกรธบาลาอัมมาก ท่านจึงตบมือและพูดกับเขาว่า “เราสั่งให้ท่านสาปแช่งพวกศัตรูของเรา แต่ท่านกลับอวยพรเขาถึง 3 ครั้ง 11 จงรีบหนีกลับไปยังที่ที่ท่านมา เราพูดไว้ว่าเราจะให้ท่านได้รับเกียรติอย่างแน่นอน แต่ดูเถิด พระผู้เป็นเจ้ารั้งท่านไม่ให้ได้รับเกียรติ” 12 บาลาอัมตอบบาลาคว่า “ข้าพเจ้าไม่ได้บอกบรรดาผู้ส่งข่าวที่ท่านส่งไปหรือว่า 13 ‘ถ้าแม้ว่าบาลาคจะยกบ้านที่เต็มไปด้วยเงินทองให้แก่ข้าพเจ้า ข้าพเจ้าก็ไม่สามารถขัดต่อคำกล่าวของพระผู้เป็นเจ้า เพื่อทำในสิ่งที่ดีหรือเลวตามความประสงค์ของข้าพเจ้าได้ พระผู้เป็นเจ้ากล่าวว่าอย่างไร ข้าพเจ้าก็พูดไปตามนั้น’ 14 ดูเถิด บัดนี้ ข้าพเจ้าจะกลับไปหาชนชาติข้าพเจ้า มาเถิด ข้าพเจ้าจะบอกให้ท่านทราบว่าชนชาตินี้จะกระทำอะไรต่อชนชาติของท่านในวันข้างหน้า”

คำพยากรณ์ครั้งที่สี่ของบาลาอัม

15 แล้วเขากล่าวคำพยากรณ์ว่า

“คำพยากรณ์ของบาลาอัมบุตรเบโอร์
    คำพยากรณ์ของผู้มองเห็นอย่างกระจ่างชัด
16 คำพยากรณ์ของผู้ได้ยินคำกล่าวของพระเจ้า
    และได้รับความรู้จากองค์ผู้สูงสุด
ผู้เห็นภาพนิมิตจากองค์ผู้กอปรด้วยมหิทธานุภาพ
    ผู้ล้มลงและก็ยังลืมตา

17 ข้าพเจ้าเห็นพระองค์ แต่ไม่ใช่ขณะนี้
    ข้าพเจ้ามองดูพระองค์ แต่ไม่ใช่จากระยะใกล้
ดาวดวงหนึ่งจะบังเกิดขึ้นจากยาโคบ[c]
    และคทาจะลุกขึ้นมาจากอิสราเอล[d]
จะทับที่ขมับของโมอับ
    อีกทั้งหน้าผากของบรรดาบุตรของเชท
18 เอโดมจะตกเป็นของผู้อื่น
    และเสอีร์ ฝ่ายศัตรูก็จะตกเป็นของผู้อื่นเช่นกัน
    ขณะที่อิสราเอลกระทำการด้วยความกล้าหาญ
19 ผู้มาจากยาโคบจะครอบครองอาณาจักร
    และจะกำจัดบรรดาผู้รอดตายของเมืองนั้น”

คำพยากรณ์ครั้งสุดท้ายของบาลาอัม

20 ครั้นแล้วบาลาอัมมองดูอามาเลข และกล่าวคำพยากรณ์ว่า

“อามาเลขเป็นชาติแรกในบรรดาประชาชาติ
    แต่จุดจบคือความหายนะ”

21 แล้วเขามองดูชาวเคน และกล่าวคำพยากรณ์ว่า

“ที่อยู่อาศัยของท่านจะปลอดภัย
    และที่พักพิงของท่านตั้งอยู่ในหิน
22 ถึงกระนั้นคาอินก็จะถูกกำจัดสิ้น
    พวกอัชชูร์จะจับตัวท่านไป”

23 แล้วเขากล่าวคำพยากรณ์ว่า

“โธ่เอ๋ย ใครจะมีชีวิตรอดได้ หากพระเจ้ากระทำเช่นนี้
24     จะมีเรือมาจากฝั่งทะเลคิทธิม
และทำให้อัชชูร์และเอเบอร์ได้รับทุกข์ทรมาน
    และเขาจะประสบกับความหายนะ”

25 แล้วบาลาอัมก็ลุกขึ้นกลับบ้านไป บาลาคเองก็ไปตามทางของตน

เหตุการณ์ที่เปโอร์

25 ขณะที่อิสราเอลพักอยู่ในชิทธีม ประชาชนเริ่มประพฤติผิดทางเพศกับหญิงชาวโมอับ หญิงเหล่านี้เชิญชวนให้พวกเขาไปร่วมพิธีมอบเครื่องบูชาแก่บรรดาเทวรูปของพวกนาง ประชาชนทั้งกินและก้มกราบเทวรูปเหล่านั้น ดังนั้นเท่ากับว่าอิสราเอลเทียมแอกร่วมกับเทพเจ้าบาอัล[e]แห่งเปโอร์ พระผู้เป็นเจ้าจึงกริ้วอิสราเอลมาก พระผู้เป็นเจ้ากล่าวกับโมเสสว่า “จงเอาหัวหน้าทุกคนของชาวอิสราเอลไปแขวนกลางแดด ณ เบื้องหน้าพระผู้เป็นเจ้า เพื่อหันเหความกริ้วอันร้อนแรงของพระผู้เป็นเจ้าไปจากอิสราเอล” โมเสสพูดกับบรรดาผู้ตัดสินความของอิสราเอลว่า “พวกท่านทุกคนจงฆ่าชายทุกคนที่เทียมแอกร่วมกับเทพเจ้าบาอัลแห่งเปโอร์”

ดูเถิด ชายอิสราเอลคนหนึ่งพาหญิงชาวมีเดียนเข้ามาในกลุ่มพี่น้องของเขาที่กำลังร้องไห้อยู่ที่ทางเข้ากระโจมที่นัดหมาย ต่อหน้าต่อตาโมเสสและชาวอิสราเอลทั้งปวง เมื่อฟีเนหัสบุตรเอเลอาซาร์ซึ่งเป็นบุตรของอาโรนปุโรหิตเห็นเข้า จึงลุกขึ้นจากที่ประชุมพร้อมกับคว้าหอกติดมือไปด้วย เขาตามชายอิสราเอลคนนั้นเข้าไปถึงห้องชั้นในและแทงทั้งสองคน ทั้งชายอิสราเอลและหญิงคนนั้นถูกแทงทะลุพุง ภัยพิบัติที่เกิดขึ้นกับชาวอิสราเอลจึงยุติลง จำนวนผู้ตายจากภัยพิบัติมีถึง 24,000 คน

10 พระผู้เป็นเจ้ากล่าวกับโมเสสว่า 11 “ฟีเนหัสบุตรเอเลอาซาร์ซึ่งเป็นบุตรของอาโรนปุโรหิตได้ทำให้ความเกรี้ยวโกรธของเราหันเหไปจากชาวอิสราเอล เขามีใจหวงแหนประชาชนเหมือนใจเราเมื่อเขาอยู่กับประชาชน ดังนั้นเราจึงไม่ทำให้ชาวอิสราเอลจบชีวิตลงเพราะความเดือดดาลในใจของเรา 12 ฉะนั้นจงบอกเขาว่า ‘ดูเถิด เราให้พันธสัญญาแห่งสันติของเราแก่เขา 13 อันจะเป็นพันธสัญญาของการเป็นปุโรหิตตลอดไปสำหรับเขา และบรรดาผู้สืบเชื้อสายของเขาในภายหน้า เพราะเขาหวงแหนแทนพระเจ้าของเขา และได้ทำพิธีเพื่อชดใช้บาปให้แก่ประชาชนของอิสราเอล’”

14 ชื่อของชายอิสราเอลที่ถูกฆ่าตายพร้อมกับหญิงชาวมีเดียนคนนั้น คือศิมรีบุตรสาลูหัวหน้าคนหนึ่งในตระกูลชาวสิเมโอน 15 ชื่อของหญิงชาวมีเดียนที่ถูกฆ่าคือ คสบีบุตรหญิงของศูร์หัวหน้าเผ่าในตระกูลมีเดียน

16 พระผู้เป็นเจ้ากล่าวกับโมเสสว่า 17 “จงไปโจมตีชาวมีเดียน และฆ่าพวกเขาเสีย 18 เพราะคนเหล่านั้นได้ก่อกวนพวกเจ้าด้วยอุบายที่ล่อลวงที่เปโอร์ และเรื่องคสบีบุตรหญิงของหัวหน้าชาวมีเดียน หญิงที่ถูกฆ่าในครั้งที่กำลังเกิดภัยพิบัติเพราะเหตุมาจากเปโอร์”

การสำรวจสำมะโนประชากรครั้งที่สอง

26 สิ่งที่เกิดขึ้นหลังจากภัยพิบัติคือ พระผู้เป็นเจ้ากล่าวกับโมเสสและเอเลอาซาร์บุตรอาโรนปุโรหิตว่า “จงสำรวจสำมะโนประชากรของชาวอิสราเอลทั้งมวล ตามตระกูลของผู้ที่มีอายุตั้งแต่ 20 ปีขึ้นไป ที่สามารถสู้รบเพื่ออิสราเอลได้” โมเสสและเอเลอาซาร์ปุโรหิตพูดกับประชาชน ณ ที่ราบโมอับ ริมฝั่งแม่น้ำจอร์แดนที่ฝั่งตรงข้ามกับเยรีโคว่า “จงสำรวจสำมะโนประชากรของผู้มีอายุ 20 ปีขึ้นไป ตามที่พระผู้เป็นเจ้าบัญชาโมเสส” ชาวอิสราเอลที่ออกมาจากอียิปต์คือ

บรรดาบุตรของรูเบนผู้เป็นบุตรหัวปีของอิสราเอล สืบจากฮาโนค คือครอบครัวของชาวฮาโนค สืบจากปัลลู คือครอบครัวของชาวปัลลู สืบจากเฮสโรน คือครอบครัวของชาวเฮสโรน สืบจากคาร์มี คือครอบครัวของชาวคาร์มี นี่คือครอบครัวของชาวรูเบน นับจำนวนได้ 43,730 คน บุตรของปัลลูคือเอลีอับ บรรดาบุตรของเอลีอับคือ เนมูเอล ดาธาน และอะบีราม ทั้งดาธานและอะบีรามเป็นคนที่ได้รับเลือกจากมวลชน ทั้งสองขัดขืนโมเสสและอาโรน และเป็นพรรคพวกของโคราห์ในครั้งที่ขัดขืนพระผู้เป็นเจ้า 10 แผ่นดินได้กลืนพวกเขาไปพร้อมๆ กับโคราห์และพรรคพวกที่ตาย และไฟเผาผลาญชาย 250 คน เหตุที่เกิดขึ้นเป็นหมายสำคัญที่เตือนอิสราเอล 11 แต่บรรดาบุตรของโคราห์ไม่ตาย

12 บุตรของสิเมโอนตามลำดับครอบครัว สืบจากเนมูเอล คือครอบครัวของชาวเนมูเอล สืบจากยามีน คือครอบครัวของชาวยามีน สืบจากยาคีน คือครอบครัวของชาวยาคีน 13 สืบจากเศรัค คือครอบครัวของชาวเศรัค สืบจากชาอูล คือครอบครัวของชาวชาอูล 14 นี่คือครอบครัวของชาวสิเมโอน นับจำนวนได้ 22,200 คน

15 บุตรของกาดตามลำดับครอบครัว สืบจากเศโฟน คือครอบครัวของชาวเศโฟน สืบจากฮักกี คือครอบครัวของชาวฮักกี สืบจากชูนี คือครอบครัวของชาวชูนี 16 สืบจากโอสนี คือครอบครัวของชาวโอสนี สืบจากเอรี คือครอบครัวของชาวเอรี 17 สืบจากอาโรด คือครอบครัวของชาวอาโรด สืบจากอาเรลี คือครอบครัวของชาวอาเรลี 18 นี่คือครอบครัวของกาด นับจำนวนได้ 40,500 คน

19 เอร์และโอนันเป็นบุตรของยูดาห์ สองคนนี้เสียชีวิตในแผ่นดินคานาอัน 20 บุตรของยูดาห์ตามลำดับครอบครัว สืบจากเชลาห์ คือครอบครัวของชาวเชลาห์ สืบจากเปเรศ คือครอบครัวของชาวเปเรศ สืบจากเศรัค คือครอบครัวของชาวเศรัค 21 บุตรของเปเรศ สืบจากเฮสโรน คือครอบครัวของชาวเฮสโรน สืบจากฮามูล คือครอบครัวของชาวฮามูล 22 นี่คือครอบครัวของยูดาห์ นับจำนวนได้ 76,500 คน

23 บุตรของอิสสาคาร์ตามลำดับครอบครัว สืบจากโทลา คือครอบครัวของชาวโทลา สืบจากปูวาห์ คือครอบครัวของชาวปูวาห์ 24 สืบจากยาชูบ คือครอบครัวของชาวยาชูบ สืบจากชิมโรน คือครอบครัวของชาวชิมโรน 25 นี่คือครอบครัวของอิสสาคาร์ นับจำนวนได้ 64,300 คน

26 บุตรของเศบูลุนตามลำดับครอบครัว สืบจากเสเรด คือครอบครัวของชาวเสเรด สืบจากเอโลน คือครอบครัวของชาวเอโลน สืบจากยาเลเอล คือครอบครัวของชาวยาเลเอล 27 นี่คือครอบครัวของชาวเศบูลุน นับจำนวนได้ 60,500 คน

28 บุตรของโยเซฟตามบรรดาครอบครัวทางมนัสเสห์และเอฟราอิม 29 บุตรของมนัสเสห์ สืบจากมาคีร์ คือครอบครัวของชาวมาคีร์ มาคีร์เป็นบิดาของกิเลอาด สืบจากกิเลอาด คือครอบครัวของชาวกิเลอาด 30 รายชื่อต่อไปนี้เป็นบุตรของกิเลอาด สืบจากอีเยเซอร์ คือครอบครัวของชาวอีเยเซอร์ สืบจากเฮเลค คือครอบครัวของชาวเฮเลค 31 สืบจากอัสรีเอล คือครอบครัวของชาวอัสรีเอล สืบจากเชเคม คือครอบครัวของชาวเชเคม 32 สืบจากเชมิดา คือครอบครัวของชาวเชมิดา สืบจากเฮเฟอร์ คือครอบครัวของชาวเฮเฟอร์ 33 เศโลเฟหัดบุตรของเฮเฟอร์ไม่มีบุตรชาย มีแต่บุตรหญิงชื่อ มาลาห์ โนอาห์ โฮกลาห์ มิลคาห์ และทีรซาห์ 34 นี่คือครอบครัวของมนัสเสห์ นับจำนวนได้ 52,700 คน

35 บุตรของเอฟราอิมตามลำดับครอบครัว สืบจากชูเธลาห์ คือครอบครัวของชาวชูเธลาห์ สืบจากเบเคอร์ คือครอบครัวของชาวเบเคอร์ สืบจากทาหาน คือครอบครัวของชาวทาหาน 36 นี่คือบุตรของชูเธลาห์ สืบจากเอราน คือครอบครัวของชาวเอราน 37 นี่คือครอบครัวของเอฟราอิม นับจำนวนได้ 32,500 คน บุตรของโยเซฟตามลำดับครอบครัว

38 บุตรของเบนยามินตามลำดับครอบครัว สืบจากเบ-ลา คือครอบครัวของชาวเบ-ลา สืบจากอัชเบล คือครอบครัวของชาวอัชเบล สืบจากอาหิรัม คือครอบครัวของชาวอาหิรัม 39 สืบจากเชฟูฟาม คือครอบครัวของชาวเชฟูฟาม สืบจากหุฟาม คือครอบครัวของชาวหุฟาม 40 บุตรของเบ-ลา สืบทางอาร์ดและนาอามาน สืบจากอาร์ด คือครอบครัวของชาวอาร์ด สืบจากนาอามาน คือครอบครัวของชาวนาอามาน 41 นี่คือครอบครัวของเบนยามิน นับจำนวนได้ 45,600 คน

42 บุตรของดานตามลำดับครอบครัว สืบจากชูฮัม คือครอบครัวของชาวชูฮัม ครอบครัวที่กล่าวมานี้คือครอบครัวของดาน 43 ทุกคนเป็นครอบครัวของชาวชูฮัม และนับจำนวนได้ 64,400 คน

44 บุตรของอาเชอร์ตามลำดับครอบครัว สืบจากอิมนาห์ คือครอบครัวของชาวอิมนาห์ สืบจากอิชวี คือครอบครัวของชาวอิชวี สืบจากเบรีอาห์ คือครอบครัวของชาวเบรีอาห์ 45 จากบรรดาบุตรของเบรีอาห์ สืบจากเฮเบอร์ คือครอบครัวของชาวเฮเบอร์ สืบจากมัลคีเอล คือครอบครัวของชาวมัลคีเอล 46 อาเชอร์มีบุตรหญิงชื่อเสราห์ 47 นี่คือครอบครัวของอาเชอร์ นับจำนวนได้ 53,400 คน

48 บุตรของนัฟทาลีตามลำดับครอบครัว สืบจากยาเซเอล คือครอบครัวของชาวยาเซเอล สืบจากกูนี คือครอบครัวของชาวกูนี 49 สืบจากเยเซอร์ คือครอบครัวของชาวเยเซอร์ สืบจากชิลเลม คือครอบครัวของชาวชิลเลม 50 นี่คือครอบครัวของนัฟทาลี นับจำนวนได้ 45,400 คน

51 รวมจำนวนชายชาวอิสราเอลทั้งหมดได้ 601,730 คน

52 พระผู้เป็นเจ้ากล่าวกับโมเสสว่า 53 “จงแบ่งแผ่นดินให้คนเหล่านี้รับเป็นมรดกตามจำนวนรายชื่อ 54 เจ้าจงให้ชนกลุ่มใหญ่รับมรดกผืนใหญ่ และชนกลุ่มน้อยรับมรดกผืนเล็ก คือแต่ละกลุ่มจะได้รับมรดกตามจำนวนคน 55 แต่แผ่นดินจะถูกแบ่งด้วยการจับฉลาก ให้พวกเขารับมรดกตามรายชื่อเผ่าของบิดาของเขา 56 มรดกแต่ละผืนจะต้องแจกจ่ายตามฉลากที่จับได้ คือแยกเป็นฉลากของเผ่าใหญ่ และฉลากของเผ่าเล็ก”

57 นี่คือชาวเลวีที่นับได้ตามบรรดาครอบครัว สืบจากเกอร์โชน คือครอบครัวของชาวเกอร์โชน สืบจากโคฮาท คือครอบครัวของชาวโคฮาท สืบจากเมรารี คือครอบครัวของชาวเมรารี 58 มีครอบครัวของชาวเลวีอีกคือ ครอบครัวลิบนี ครอบครัวเฮโบรน ครอบครัวมัคลี ครอบครัวมูชี ครอบครัวโคราห์ โคฮาทเป็นบิดาของอัมราม 59 ภรรยาของอัมรามชื่อโยเคเบดบุตรหญิงของเลวี เกิดแก่เลวีที่อียิปต์ นางมีบุตรกับอัมรามชื่อ อาโรน โมเสส และมิเรียมพี่สาวของท่าน 60 บุตรที่เกิดแก่อาโรนชื่อนาดับ อาบีฮู เอเลอาซาร์ และอิธามาร์ 61 นาดับและอาบีฮูตายเมื่อถวายไฟต้องห้าม ณ เบื้องหน้าพระผู้เป็นเจ้า[f] 62 ชายชาวเลวีทั้งหมดที่มีอายุตั้งแต่ 1 เดือนขึ้นไปนับจำนวนได้ 23,000 คนซึ่งไม่ได้นับรวมไว้ในกลุ่มชาวอิสราเอล เพราะพวกเขาไม่ได้รับมรดกร่วมกับชาวอิสราเอล

63 ที่กล่าวข้างต้นคือจำนวนชาวอิสราเอลที่โมเสสและเอเลอาซาร์ปุโรหิตนับได้ ณ ที่ราบโมอับ ริมฝั่งแม่น้ำจอร์แดนที่ฝั่งตรงข้ามกับเยรีโค 64 จำนวนคนเหล่านี้ไม่ได้รวมอยู่ในจำนวนที่โมเสสและอาโรนปุโรหิตนับเป็นชาวอิสราเอลได้ในถิ่นทุรกันดารซีนาย 65 เพราะพระผู้เป็นเจ้าได้กล่าวถึงพวกเขาว่า “พวกเขาจะตายในถิ่นทุรกันดาร” ไม่มีชายใดเหลือสักคนเดียวนอกจากคาเลบบุตรเยฟุนเนห์ และโยชูวาบุตรของนูน[g]

บุตรหญิงของเศโลเฟหัด

27 บรรดาบุตรหญิงของเศโลเฟหัดบุตรของเฮเฟอร์ ผู้เป็นบุตรของกิเลอาด ผู้เป็นบุตรของมาคีร์ ผู้เป็นบุตรของมนัสเสห์ อยู่ในครอบครัวมนัสเสห์บุตรของโยเซฟ ชื่อของบรรดาบุตรหญิงคือ มาลาห์ โนอาห์ โฮกลาห์ มิลคาห์ และทีรซาห์ หญิงเหล่านี้เดินเข้าไปยืนต่อหน้าโมเสสและเอเลอาซาร์ปุโรหิต และต่อหน้าบรรดาหัวหน้าและมวลชนทั้งปวงที่ทางเข้ากระโจมที่นัดหมาย และพูดว่า “บิดาของเราตายในถิ่นทุรกันดาร แต่ท่านไม่ได้อยู่ในกลุ่มเดียวกับผู้ติดตามของโคราห์ที่รวมกลุ่มกันต่อว่าพระผู้เป็นเจ้า ท่านตายเพราะบาปของท่านเองและไม่มีบุตรชายเลย ทำไมชื่อของบิดาของเราต้องถูกลบออกเสียจากครอบครัวของท่านเพราะท่านไม่มีบุตรชาย ขอให้เราได้รับที่ดินร่วมกับพี่น้องของบิดาของเราด้วยเถิด”

โมเสสจึงนำเรื่องของเขามารายงานต่อพระผู้เป็นเจ้า และพระผู้เป็นเจ้ากล่าวกับโมเสสว่า “บุตรหญิงของเศโลเฟหัดพูดถูกต้องแล้ว เจ้าจงแบ่งที่ดินให้เป็นมรดกร่วมกับพี่น้องของบิดาของพวกนาง และยกมรดกของบิดาให้เป็นของพวกนางไป และเจ้าจงบอกชาวอิสราเอลว่า ‘ถ้าชายใดตายโดยไม่มีบุตรชาย เจ้าก็จงยกมรดกของเขาให้เป็นของบุตรหญิงไป และถ้าเขาไม่มีบุตรหญิง เจ้าจงยกมรดกของเขาให้เป็นของพี่น้องของเขา 10 และถ้าเขาไม่มีพี่น้อง เจ้าจงยกมรดกของเขาให้เป็นของพี่น้องฝ่ายบิดาของเขา 11 และถ้าบิดาของเขาไม่มีพี่น้อง เจ้าก็จงยกมรดกของเขาให้เป็นของญาติใกล้ชิดครอบครัวมากที่สุด เพื่อให้เขาเป็นเจ้าของที่ดิน นี่คือกฎเกณฑ์และคำบัญชาสำหรับชาวอิสราเอล ตามที่พระผู้เป็นเจ้าได้บัญชาโมเสส’”

โยชูวารับหน้าที่แทนโมเสส

12 พระผู้เป็นเจ้ากล่าวกับโมเสสว่า “จงขึ้นไปบนภูเขาที่เทือกเขาอาบาริมนี้ และมองดูดินแดนที่เราได้มอบให้แก่ชาวอิสราเอลแล้ว 13 เมื่อเจ้าเห็นแล้ว เจ้าด้วยที่จะถูกนำไปรวมอยู่กับชนชาติของเจ้าที่ล่วงลับไปแล้ว เหมือนกับอาโรนพี่ชายของเจ้า 14 เพราะเจ้าขัดขืนต่อคำของเราในถิ่นทุรกันดารศิน เมื่อมวลชนโต้แย้งกัน และเจ้าไม่แสดงให้เห็นว่าเราบริสุทธิ์ต่อหน้าพวกเขาที่แหล่งน้ำ” นี่คือแหล่งน้ำเมรีบาห์-คาเดชในถิ่นทุรกันดารศิน[h] 15 โมเสสพูดกับพระผู้เป็นเจ้าว่า 16 “ขอให้พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของวิญญาณมนุษย์ทั้งปวงแต่งตั้งชายผู้หนึ่งเพื่อนำมวลชนเหล่านี้ 17 จะได้เป็นผู้นำหน้าพวกเขาเวลาออกไปและนำกลับเข้ามาอีก และนำพวกเขาไปทุกแห่งหน เพื่อมวลชนของพระผู้เป็นเจ้าจะไม่เป็นเช่นฝูงแกะปราศจากผู้เลี้ยงดู”[i] 18 แล้วพระผู้เป็นเจ้ากล่าวกับโมเสสว่า “จงนำโยชูวาบุตรของนูนไป วิญญาณสถิตในตัวเขา และจงวางมือของเจ้าบนตัวเขา 19 ให้เขายืนที่ตรงหน้าเอเลอาซาร์ปุโรหิตและมวลชนทั้งปวง และเจ้าจงมอบหมายหน้าที่แก่เขาต่อหน้าทุกคน 20 เจ้าจงให้เขามีสิทธิอำนาจบ้าง เพื่อชาวอิสราเอลทั้งมวลจะเชื่อฟังเขา 21 และเขาจะยืนที่ตรงหน้าเอเลอาซาร์ปุโรหิตผู้ให้คำปรึกษาแก่เขาด้วยการใช้อูริม[j]เป็นการตัดสินใจ ณ เบื้องหน้าพระผู้เป็นเจ้า โยชูวาและชาวอิสราเอลทุกคน คือมวลชนทั้งปวงจะออกไปตามคำสั่งของเขา และจะกลับเข้ามาตามคำสั่งของเขา” 22 โมเสสปฏิบัติตามที่พระผู้เป็นเจ้าบัญชา ท่านนำโยชูวาไป และให้เขายืนที่ตรงหน้าเอเลอาซาร์ปุโรหิตและมวลชนทั้งปวง 23 ท่านวางมือบนตัวโยชูวาและมอบหมายหน้าที่ให้แก่เขา ตามที่พระผู้เป็นเจ้ากล่าวผ่านโมเสส

ของถวายประจำวัน

28 พระผู้เป็นเจ้ากล่าวกับโมเสสว่า “จงบัญชาชาวอิสราเอลโดยบอกพวกเขาว่า ‘เจ้าจงจัดการของถวายสำหรับเรา อาหารสำหรับของถวายด้วยไฟจะส่งกลิ่นหอมเป็นที่พอใจ จงถวายให้เราตามกำหนดเวลา’ และเจ้าจงบอกพวกเขาว่า ‘นี่คือของถวายด้วยไฟที่เจ้าจะถวายแด่พระผู้เป็นเจ้า ลูกแกะตัวผู้อายุ 1 ปีปราศจากตำหนิ 2 ตัว เป็นสัตว์ที่ใช้เผาเป็นของถวายประจำทุกวัน เจ้าจงถวายแกะ 1 ตัวในเวลาเช้า และอีก 1 ตัวในเวลาโพล้เพล้ แป้งสาลีชั้นเยี่ยมหนึ่งส่วนสิบเอฟาห์ผสมกับน้ำมันหนึ่งส่วนสี่ฮินเป็นเครื่องธัญญบูชา นี่คือสัตว์ที่ใช้เผาเป็นของถวายประจำที่จัดตั้งขึ้นที่ภูเขาซีนาย เป็นของถวายด้วยไฟจะส่งกลิ่นหอมเป็นที่พอใจสำหรับพระผู้เป็นเจ้า เครื่องดื่มบูชาจงเป็นสุราหนึ่งในสี่ฮินสำหรับลูกแกะแต่ละตัว เจ้าจงเทเครื่องดื่มบูชาแด่พระผู้เป็นเจ้าในสถานที่บริสุทธิ์ เจ้าจงถวายลูกแกะอีกตัวในเวลาโพล้เพล้ เช่นเดียวกับเครื่องธัญญบูชาและเครื่องดื่มบูชาที่ถวายในเวลาเช้า เจ้าจงมอบให้ดั่งของถวายด้วยไฟซึ่งจะส่งกลิ่นหอมเป็นที่พอใจสำหรับพระผู้เป็นเจ้า

ของถวายในวันสะบาโต

ในวันสะบาโตจงถวายลูกแกะตัวผู้อายุ 1 ปีปราศจากตำหนิ 2 ตัว แป้งสาลีชั้นเยี่ยมหนึ่งส่วนห้าเอฟาห์ผสมน้ำมันเป็นเครื่องธัญญบูชา พร้อมด้วยเครื่องดื่มบูชา 10 นี่คือสัตว์ที่เผาเป็นของถวายทุกวันสะบาโต นอกเหนือจากสัตว์ที่เผาเป็นของถวายกับเครื่องดื่มบูชาที่ถวายเป็นประจำ

ของถวายแต่ละเดือน

11 ทุกๆ วันแรกของเดือน จงมอบสัตว์ที่เผาเป็นของถวายแด่พระผู้เป็นเจ้า คือโคหนุ่ม 2 ตัว แกะตัวผู้ 1 ตัว และลูกแกะตัวผู้อายุ 1 ปี 7 ตัว ซึ่งปราศจากตำหนิ 12 จงถวายแป้งสาลีชั้นเยี่ยมสามส่วนสิบเอฟาห์ผสมน้ำมันเป็นเครื่องธัญญบูชาด้วยกันกับโคหนุ่มแต่ละตัว และจงถวายแป้งสาลีชั้นเยี่ยมหนึ่งส่วนห้าเอฟาห์ผสมน้ำมันเป็นเครื่องธัญญบูชาด้วยกันกับแกะตัวผู้ 13 และจงถวายแป้งสาลีชั้นเยี่ยมหนึ่งในสิบผสมน้ำมันเป็นเครื่องดื่มธัญญบูชาด้วยกันกับลูกแกะตัวผู้แต่ละตัว เป็นสัตว์ที่เผาเป็นของถวายด้วยไฟจะส่งกลิ่นหอมเป็นที่พอใจสำหรับพระผู้เป็นเจ้า 14 ส่วนเครื่องดื่มบูชาจะเป็นเหล้าองุ่นครึ่งฮินสำหรับโคหนุ่มแต่ละตัว หนึ่งในสามฮินสำหรับแกะตัวผู้ และหนึ่งในสี่ฮินสำหรับลูกแกะตัวผู้ นี่คือสัตว์ที่เผาเป็นของถวายสำหรับวันข้างขึ้นในแต่ละเดือนตลอดทั้งปี 15 นอกจากสัตว์ที่เผาเป็นของถวายกับเครื่องดื่มบูชาที่ถวายเป็นประจำแล้ว เจ้าจงถวายแพะตัวผู้เป็นเครื่องสักการะเพื่อลบล้างบาปแด่พระผู้เป็นเจ้าด้วย

วันปัสกา

16 วันที่สิบสี่ของเดือนแรก เป็นวันปัสกาของพระผู้เป็นเจ้า 17 และวันที่สิบห้าของเดือนนี้เป็นเทศกาล จงรับประทานขนมปังไร้เชื้อในระยะ 7 วัน 18 ในวันแรกจงจัดการให้มีการประชุมอันบริสุทธิ์ และจงอย่าลงแรงทำงาน 19 จงมอบของถวายด้วยไฟ ซึ่งเป็นสัตว์ที่เผาเป็นของถวายแด่พระผู้เป็นเจ้า ได้แก่โคหนุ่ม 2 ตัว แกะตัวผู้ 1 ตัว และลูกแกะตัวผู้อายุ 1 ปี 7 ตัว ทุกตัวปราศจากตำหนิ 20 จงถวายแป้งสาลีชั้นเยี่ยมสามส่วนสิบเอฟาห์ผสมน้ำมันเป็นเครื่องธัญญบูชาด้วยกันกับโคหนุ่มแต่ละตัว และหนึ่งในห้าถวายด้วยกันกับแกะตัวผู้ 21 จงถวายหนึ่งในสิบด้วยกันกับลูกแกะแต่ละตัว 22 จงถวายแพะตัวผู้เป็นเครื่องสักการะเพื่อลบล้างบาป เพื่อทำพิธีชดใช้บาปสำหรับพวกเจ้า 23 เจ้าจงถวายสิ่งเหล่านี้ นอกเหนือจากสัตว์ที่เผาเป็นของถวายในเวลาเช้า ซึ่งเป็นสัตว์ที่เผาเป็นของถวายประจำ 24 ทุกๆ วันเจ้าจงเตรียมของถวายด้วยไฟเป็นประจำเป็นเวลา 7 วัน เพื่อให้ส่งกลิ่นหอมเป็นที่พอใจสำหรับพระผู้เป็นเจ้า จงถวายเพิ่มจากสัตว์ที่เผาเป็นของถวายกับเครื่องดื่มบูชาที่ถวายเป็นประจำ 25 และในวันที่เจ็ด เจ้าจงจัดให้มีประชุมอันบริสุทธิ์ และจงอย่าลงแรงทำงาน

เทศกาลเก็บเกี่ยวธัญพืช

26 ในวันที่ได้ผลแรก เมื่อเจ้าถวายเครื่องธัญญบูชาที่เป็นผลรุ่นแรกแด่พระผู้เป็นเจ้าในเทศกาลครบ 7 สัปดาห์ จงจัดให้มีประชุมอันบริสุทธิ์ และจงอย่าลงแรงทำงาน 27 จงถวายสัตว์ที่ใช้เผาเป็นของถวายซึ่งจะส่งกลิ่นหอมเป็นที่พอใจสำหรับพระผู้เป็นเจ้า อันได้แก่ โคหนุ่ม 2 ตัว แกะตัวผู้ 1 ตัว ลูกแกะตัวผู้อายุ 1 ปี 7 ตัว 28 จงถวายแป้งสาลีชั้นเยี่ยมสามส่วนสิบเอฟาห์ผสมน้ำมันเป็นเครื่องธัญญบูชาด้วยกันกับโคหนุ่มแต่ละตัว และหนึ่งในห้าถวายด้วยกันกับแกะตัวผู้ 29 และหนึ่งในสิบด้วยกันกับลูกแกะแต่ละตัว 30 จงถวายแพะตัวผู้เป็นเครื่องสักการะเพื่อลบล้างบาปสำหรับพวกเจ้า 31 จงถวายสิ่งเหล่านี้พร้อมกับเครื่องดื่มบูชา นอกเหนือจากสัตว์ที่เผาเป็นของถวายกับเครื่องธัญญบูชาที่ถวายเป็นประจำ ทุกตัวปราศจากตำหนิ

เทศกาลเป่าแตร

29 วันแรกของเดือนเจ็ด เจ้าจงจัดให้มีประชุมอันบริสุทธิ์ อย่าลงแรงทำงาน ให้ถือเป็นวันที่เจ้าเป่าแตร เจ้าจงถวายสัตว์ที่เผาเป็นของถวายซึ่งจะส่งกลิ่นหอมเป็นที่พอใจสำหรับพระผู้เป็นเจ้า อันได้แก่ โคหนุ่ม 1 ตัว แกะตัวผู้ 1 ตัว ลูกแกะตัวผู้ปราศจากตำหนิอายุ 1 ปี 7 ตัว จงถวายแป้งสาลีชั้นเยี่ยมสามส่วนสิบเอฟาห์ผสมน้ำมันเป็นเครื่องธัญญบูชาด้วยกันกับโคหนุ่มแต่ละตัว และหนึ่งส่วนห้าถวายด้วยกันกับแกะตัวผู้ และหนึ่งส่วนสิบด้วยกันกับลูกแกะแต่ละตัว จงถวายแพะตัวผู้เป็นเครื่องสักการะเพื่อลบล้างบาป เพื่อทำพิธีชดใช้บาปสำหรับพวกเจ้า จงถวายสิ่งเหล่านี้ นอกเหนือจากสัตว์ที่เผาเป็นของถวายประจำทุกเดือนและทุกวัน พร้อมกับเครื่องธัญญบูชา และเครื่องดื่มบูชาตามกฎเกณฑ์ของถวาย เป็นของถวายด้วยไฟจะส่งกลิ่นหอมเป็นที่พอใจสำหรับพระผู้เป็นเจ้า

วันชดใช้บาป

วันที่สิบเดือนเจ็ด เจ้าจงจัดให้มีประชุมอันบริสุทธิ์ และให้งดอาหาร และงดการทำงาน เจ้าจงถวายสัตว์ที่เผาเป็นของถวายแด่พระผู้เป็นเจ้า ให้ส่งกลิ่นหอมเป็นที่พอใจ อันได้แก่ โคหนุ่ม 1 ตัว แกะตัวผู้ 1 ตัว ลูกแกะตัวผู้อายุ 1 ปี 7 ตัว ทุกตัวปราศจากตำหนิ และแป้งสาลีชั้นเยี่ยมผสมน้ำมันเป็นเครื่องธัญญบูชา ปริมาณสามส่วนสิบเอฟาห์สำหรับโคหนุ่ม หนึ่งส่วนห้าสำหรับแกะตัวผู้ 1 ตัว 10 หนึ่งส่วนสิบสำหรับลูกแกะแต่ละตัว 11 และแพะตัวผู้ 1 ตัวเป็นเครื่องสักการะเพื่อลบล้างบาป นอกเหนือจากเครื่องสักการะเพื่อลบล้างบาปในพิธีชดใช้บาป และสัตว์ที่เผาเป็นของถวายกับเครื่องธัญญบูชาและเครื่องดื่มบูชาที่ถวายเป็นประจำ

เทศกาลอยู่เพิง

12 วันที่สิบห้าเดือนเจ็ด เจ้าจงจัดให้มีประชุมอันบริสุทธิ์ อย่าลงแรงทำงาน และจงฉลองเทศกาลแด่พระผู้เป็นเจ้าเป็นเวลา 7 วัน 13 จงถวายสัตว์ที่เผาเป็นของถวาย ของถวายด้วยไฟซึ่งส่งกลิ่นหอมเป็นที่พอใจสำหรับพระผู้เป็นเจ้า อันได้แก่ โคหนุ่ม 13 ตัว แกะตัวผู้ 2 ตัว ลูกแกะตัวผู้อายุ 1 ปี 14 ตัว ทุกตัวปราศจากตำหนิ 14 และแป้งสาลีชั้นเยี่ยมผสมน้ำมันเป็นเครื่องธัญญบูชา ปริมาณสามส่วนสิบเอฟาห์สำหรับโคหนุ่มแต่ละตัว หนึ่งในห้าสำหรับแกะตัวผู้แต่ละตัว 15 และหนึ่งในสิบสำหรับลูกแกะแต่ละตัว 16 และแพะตัวผู้ 1 ตัวสำหรับเครื่องสักการะเพื่อลบล้างบาป นอกเหนือจากสัตว์ที่เผาเป็นของถวายกับเครื่องธัญญบูชาและเครื่องดื่มบูชาที่ถวายเป็นประจำ

17 ในวันที่สอง จงถวายโคหนุ่ม 12 ตัว แกะตัวผู้ 2 ตัว ลูกแกะตัวผู้อายุ 1 ปี 14 ตัว ทุกตัวปราศจากตำหนิ 18 ด้วยกันกับเครื่องธัญญบูชาและเครื่องดื่มบูชาสำหรับโคตัวผู้ แกะตัวผู้ และสำหรับลูกแกะ ตามจำนวนที่ระบุไว้แล้ว 19 และแพะตัวผู้ 1 ตัวสำหรับเครื่องสักการะเพื่อลบล้างบาป นอกเหนือจากสัตว์ที่เผาเป็นของถวายกับเครื่องธัญญบูชาและเครื่องดื่มบูชาที่ถวายเป็นประจำ

20 ในวันที่สาม จงถวายโคตัวผู้ 11 ตัว แกะตัวผู้ 2 ตัว ลูกแกะตัวผู้อายุ 1 ปี 14 ตัว ทุกตัวปราศจากตำหนิ 21 ด้วยกันกับเครื่องธัญญบูชาและเครื่องดื่มบูชาสำหรับโคตัวผู้ แกะตัวผู้ และสำหรับลูกแกะ ตามจำนวนที่ระบุไว้แล้ว 22 และแพะตัวผู้ 1 ตัวสำหรับเครื่องสักการะเพื่อลบล้างบาป นอกเหนือจากสัตว์ที่เผาเป็นของถวายกับเครื่องธัญญบูชาและเครื่องดื่มบูชาที่ถวายเป็นประจำ

23 ในวันที่สี่ จงถวายโคตัวผู้ 10 ตัว แกะตัวผู้ 2 ตัว ลูกแกะตัวผู้อายุ 1 ปี 14 ตัว ทุกตัวปราศจากตำหนิ 24 ด้วยกันกับเครื่องธัญญบูชาและเครื่องดื่มบูชาสำหรับโคตัวผู้ แกะตัวผู้ และสำหรับลูกแกะ ตามจำนวนที่ระบุไว้แล้ว 25 และแพะตัวผู้ 1 ตัวสำหรับเครื่องสักการะเพื่อลบล้างบาป นอกเหนือจากสัตว์ที่เผาเป็นของถวายกับเครื่องธัญญบูชาและเครื่องดื่มบูชาที่ถวายเป็นประจำ

26 ในวันที่ห้า จงถวายโคตัวผู้ 9 ตัว แกะตัวผู้ 2 ตัว ลูกแกะตัวผู้อายุ 1 ปี 14 ตัว ทุกตัวปราศจากตำหนิ 27 ด้วยกันกับเครื่องธัญญบูชาและเครื่องดื่มบูชาสำหรับโคตัวผู้ แกะตัวผู้ และสำหรับลูกแกะ ตามจำนวนที่ระบุไว้แล้ว 28 และแพะตัวผู้ 1 ตัวสำหรับเครื่องสักการะเพื่อลบล้างบาป นอกเหนือจากสัตว์ที่เผาเป็นของถวายกับเครื่องธัญญบูชาและเครื่องดื่มบูชาที่ถวายเป็นประจำ

29 ในวันที่หก จงถวายโคตัวผู้ 8 ตัว แกะตัวผู้ 2 ตัว ลูกแกะตัวผู้อายุ 1 ปี 14 ตัว ทุกตัวปราศจากตำหนิ 30 ด้วยกันกับเครื่องธัญญบูชาและเครื่องดื่มบูชาสำหรับโคตัวผู้ แกะตัวผู้ และสำหรับลูกแกะ ตามจำนวนที่ระบุไว้แล้ว 31 และแพะตัวผู้ 1 ตัวสำหรับเครื่องสักการะเพื่อลบล้างบาป นอกเหนือจากสัตว์ที่เผาเป็นของถวายกับเครื่องธัญญบูชาและเครื่องดื่มบูชาที่ถวายเป็นประจำ

32 ในวันที่เจ็ด จงถวายโคตัวผู้ 7 ตัว แกะตัวผู้ 2 ตัว ลูกแกะตัวผู้อายุ 1 ปี 14 ตัว ทุกตัวปราศจากตำหนิ 33 ด้วยกันกับเครื่องธัญญบูชาและเครื่องดื่มบูชาสำหรับโคตัวผู้ แกะตัวผู้ และสำหรับลูกแกะ ตามจำนวนที่ระบุไว้แล้ว 34 และแพะตัวผู้ 1 ตัวสำหรับเครื่องสักการะเพื่อลบล้างบาป นอกเหนือจากสัตว์ที่เผาเป็นของถวายกับเครื่องธัญญบูชาและเครื่องดื่มบูชาที่ถวายเป็นประจำ

35 ในวันที่แปด จงจัดให้มีการประชุม อย่าลงแรงทำงาน 36 และจงถวายสัตว์ที่ใช้เผาเป็นของถวาย ซึ่งถวายด้วยไฟจะส่งกลิ่นหอมเป็นที่พอใจสำหรับพระผู้เป็นเจ้า อันได้แก่โคตัวผู้ 1 ตัว แกะตัวผู้ 1 ตัว ลูกแกะตัวผู้อายุ 1 ปี 7 ตัว ทุกตัวปราศจากตำหนิ 37 เครื่องธัญญบูชา และเครื่องดื่มบูชาสำหรับโคตัวผู้ แกะตัวผู้ และลูกแกะตัวผู้ตามจำนวนที่ระบุไว้แล้ว 38 และแพะตัวผู้ 1 ตัวสำหรับเครื่องสักการะเพื่อลบล้างบาป นอกเหนือจากสัตว์ที่เผาเป็นของถวายกับเครื่องธัญญบูชาและเครื่องดื่มบูชาที่ถวายเป็นประจำ

39 นอกเหนือจากสิ่งที่เจ้าถวายเนื่องมาจากคำสาบานหรือจากความสมัครใจ เจ้าจงถวายสัตว์ที่ใช้เผาเป็นของถวาย เครื่องธัญญบูชา เครื่องดื่มบูชา และของถวายเพื่อสามัคคีธรรมแด่พระผู้เป็นเจ้าในเทศกาลที่กำหนดไว้’”

40 โมเสสได้บอกชาวอิสราเอลทุกประการ ตามที่พระผู้เป็นเจ้าบัญชาท่านไว้

คำสัญญา

30 โมเสสพูดกับบรรดาหัวหน้าเผ่าต่างๆ ของชาวอิสราเอลว่า “สิ่งที่พระผู้เป็นเจ้าได้บัญชาไว้มีดังนี้คือ ถ้าชายใดให้คำสัญญาต่อพระผู้เป็นเจ้า หรือสาบานเป็นการผูกมัดตนเองด้วยคำสัญญา เขาจะต้องไม่เสียสัจจะที่ให้ไว้ และจะต้องกระทำทุกสิ่งตามคำที่เอ่ยจากปาก[k]

ถ้าหญิงใดให้คำสัญญาต่อพระผู้เป็นเจ้าผูกมัดตัวเองด้วยคำสัญญา ขณะที่ยังอยู่ในวัยเด็กและอาศัยอยู่ที่บ้านของบิดา และหากบิดาของเธอทราบถึงคำสัญญาและคำผูกมัดของเธอ แต่ไม่ได้ทักท้วงสิ่งใด ก็นับว่าให้ถือตามคำสัญญาทั้งสิ้นนั้น และตามคำผูกมัดที่เธอสัญญาไว้ แต่ถ้าบิดาของเธอไม่เห็นด้วย เมื่อทราบเรื่องภายในวันนั้น คำสัญญาของเธอและคำผูกมัดที่เธอสัญญาไว้ถือว่าเป็นโมฆะ และพระผู้เป็นเจ้าจะให้อภัยเธอ เพราะบิดาของเธอไม่เห็นด้วย

ถ้าต่อมานางแต่งงานมีสามี และยังอยู่ใต้คำสัญญา หรือคำผูกมัดที่นางปริปากออกไปแล้วโดยไม่คิดให้รอบคอบ ถ้าสามีนางทราบถึงคำสัญญา และไม่ได้ทักท้วงสิ่งใดกับนางเมื่อทราบเรื่องภายในวันนั้น ให้นับว่าต้องถือตามคำสัญญาดังกล่าว และตามคำผูกมัดที่นางสัญญาไว้ แต่ถ้าสามีของนางได้ทราบถึงคำสัญญา แต่ไม่เห็นด้วย เขาก็จะทำให้คำสัญญาของนางและคำที่นางปริปากโดยไม่คิดให้รอบคอบซึ่งจะเป็นการผูกมัดตัวนางให้เป็นโมฆะไป และพระผู้เป็นเจ้าจะให้อภัยนาง แต่คำสัญญาใดๆ ของหญิงม่ายหรือหญิงที่หย่าร้างแล้ว ข้อผูกมัดใดๆ ที่นางก่อให้กับตัวเองก็จะฟ้องนาง 10 ถ้านางสัญญาในบ้านของสามี หรือผูกมัดตัวเองด้วยคำสาบาน 11 และถ้าสามีของนางทราบถึงคำสัญญา และไม่ได้ทักท้วงสิ่งใด ไม่ได้มีการปฏิเสธ ก็นับว่าต้องถือตามคำสัญญาทั้งหลายนั้น และข้อผูกมัดทุกอย่างที่นางสัญญาไว้มีผลเป็นไปตามนั้น 12 แต่ถ้าสามีของนางทำให้คำสัญญาไม่มีผลผูกมัดและทำให้เป็นโมฆะในวันที่เขาทราบเรื่อง ฉะนั้น อะไรก็ตามที่นางได้กล่าวเป็นคำสัญญาหรือข้อผูกมัดก็จะเป็นโมฆะ สามีของนางทำให้คำเหล่านั้นเป็นโมฆะ และพระผู้เป็นเจ้าจะให้อภัยนาง 13 คำสัญญาและคำสาบานใดๆ ที่ทำให้นางเดือดร้อน สามีของนางอาจยืนยันหรือทำให้เป็นโมฆะได้ 14 แต่ถ้าสามีของนางไม่ได้ทักท้วงสิ่งใดกับนางในวันที่เขาทราบเรื่อง เขาก็ยืนยันให้คำสัญญาและข้อผูกมัดทุกอย่างที่นางต้องรับผิดชอบ เขาได้ยืนยันคำสัญญาเพราะเขาไม่ได้ทักท้วงสิ่งใดกับนางในวันที่เขาทราบเรื่อง 15 แต่ถ้าเขาทำให้คำสัญญาไม่มีผลผูกมัดและเป็นโมฆะหลังจากที่เขาทราบเรื่องแล้ว เขาก็จะต้องรับผิดชอบความผิดของนาง”

16 สิ่งเหล่านี้คือกฎเกณฑ์ที่พระผู้เป็นเจ้าได้บัญชาโมเสสเกี่ยวกับผู้ชายกับภรรยาของเขา และเกี่ยวกับบิดากับบุตรหญิงที่ยังไม่ได้สมรสและยังอาศัยอยู่ที่บ้านบิดาของเธอ

การแก้แค้นชาวมีเดียน

31 พระผู้เป็นเจ้ากล่าวกับโมเสสว่า “จงแก้แค้นชาวมีเดียนเพื่อชาวอิสราเอลให้หนัก หลังจากนั้นเจ้าจะได้กลับไปอยู่รวมกับญาติพี่น้องที่ล่วงลับไปแล้ว” โมเสสพูดกับประชาชนว่า “จงให้พวกผู้ชายในหมู่เจ้าเตรียมตัวให้พร้อมสงครามรวมทั้งอาวุธด้วย ให้พวกเขาต่อสู้กับชาวมีเดียน เพื่อกระทำตามความแค้นของพระผู้เป็นเจ้าที่มีต่อชาวมีเดียน[l] เจ้าจงส่งคนจากทุกเผ่าของอิสราเอลจำนวน 1,000 คนจากแต่ละเผ่าออกไปทำสงคราม” ดังนั้นจะต้องมีการเตรียมพร้อมกำลังพลของอิสราเอลจำนวน 1,000 คนจากแต่ละเผ่า รวมได้ 12,000 คนถืออาวุธพร้อมสำหรับสงคราม โมเสสส่งคนจำนวน 1,000 คนจากแต่ละเผ่าออกไปทำสงคราม พร้อมกับฟีเนหัสบุตรของเอเลอาซาร์ปุโรหิต พร้อมกับภาชนะของสถานที่บริสุทธิ์ และในมือมีแตรยาวส่งสัญญาณ พวกเขาทำสงครามกับชาวมีเดียนตามที่พระผู้เป็นเจ้าได้บัญชาโมเสส เขาฆ่าชายทุกคน พวกเขาใช้ดาบฆ่าบาลาอัมบุตรของเบโอร์ อีกทั้งเอวี เรเคม ศูร์ ฮูร์ และเรบา คือกษัตริย์ทั้งห้าของชาวมีเดียน ที่ถูกฆ่าตายพร้อมกับคนอื่นๆ ด้วย ชาวอิสราเอลได้จับตัวพวกผู้หญิงและเด็กๆ ชาวมีเดียนไว้เป็นเชลย สัตว์เลี้ยง ฝูงแพะแกะ รวมทั้งสิ่งที่ปล้นมาได้ด้วย 10 พวกเขาจุดไฟเผาเมืองทุกเมืองที่เป็นที่อยู่อาศัยและค่ายทุกค่ายของชาวมีเดียน 11 เอาของที่ปล้นและริบมาได้ไปจนหมดสิ้น ทั้งที่เป็นของมนุษย์และสัตว์เลี้ยง 12 แล้วพวกเขาก็นำเชลยและสิ่งที่ปล้นหรือริบได้มาให้แก่โมเสส เอเลอาซาร์ปุโรหิต และแก่ชาวอิสราเอลทั้งมวล ณ ที่ราบโมอับ ริมฝั่งแม่น้ำจอร์แดนที่ฝั่งตรงข้ามกับเยรีโค

13 โมเสส เอเลอาซาร์ปุโรหิต และบรรดาหัวหน้าทั้งปวงของมวลชนออกไปพบกับพวกเขาที่นอกค่าย 14 และโมเสสโกรธพวกนายทหาร บรรดานายพันและนายร้อยที่กลับมาจากงานรับใช้ในสงคราม 15 โมเสสพูดกับเขาเหล่านั้นว่า “พวกท่านปล่อยให้ผู้หญิงทุกคนรอดชีวิตหรือ 16 ดูเถิด หญิงพวกนี้เป็นเหตุให้ชาวอิสราเอลไม่ภักดีต่อพระผู้เป็นเจ้าในเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นที่เกี่ยวกับคำแนะนำของบาลาอัมที่เปโอร์ ภัยพิบัติจึงได้เกิดขึ้นกับมวลชนของพระผู้เป็นเจ้า 17 ฉะนั้นบัดนี้จงฆ่าทุกคนที่เป็นชายในหมู่เด็กเล็ก และฆ่าหญิงทุกคนที่มีเพศสัมพันธ์กับชาย 18 แต่จงไว้ชีวิตเด็กผู้หญิงทุกคนที่ไม่ได้มีเพศสัมพันธ์กับชายไว้เป็นของพวกท่านเอง 19 และจงไปตั้งค่ายที่นอกค่าย 7 วัน คนใดในพวกท่านที่ได้ฆ่าคน และคนใดที่ได้แตะต้องซากศพ ก็จงชำระตัวให้สะอาดรวมทั้งพวกเชลยด้วย ในวันที่สามและวันที่เจ็ด 20 จงซักล้างเครื่องแต่งกายทุกชิ้น ทุกสิ่งทำด้วยหนังสัตว์ ขนแพะ และไม้”

21 แล้วเอเลอาซาร์ปุโรหิตพูดกับเหล่าทหารที่ได้ทำสงครามว่า “กฎเกณฑ์ของกฎบัญญัติที่พระผู้เป็นเจ้าได้บัญชาโมเสส 22 คือทองคำ เงิน ทองสัมฤทธิ์ เหล็ก ดีบุก และตะกั่ว 23 ทุกสิ่งที่ทนไฟได้ ท่านก็จงให้ผ่านการชำระด้วยไฟ แล้วจึงจะสะอาด แต่จะต้องใช้น้ำชำระให้สะอาดในพิธีชำระ และสิ่งใดที่ทนไฟไม่ได้ ท่านจงให้ผ่านการชำระด้วยน้ำ 24 และท่านจงซักเสื้อผ้าของท่านในวันที่เจ็ด แล้วท่านจึงจะสะอาด และหลังจากนั้นท่านจึงเข้าไปในค่ายได้”

การแบ่งสิ่งที่ริบมาได้

25 พระผู้เป็นเจ้ากล่าวกับโมเสสว่า 26 “เจ้าและเอเลอาซาร์ปุโรหิต และบรรดาหัวหน้าครอบครัวของมวลชนจงนับจำนวนคนและสัตว์เลี้ยงที่ปล้นมาได้ 27 และแบ่งออกเป็นสองส่วนคือ ส่วนที่เป็นของนักรบที่สู้ในสงคราม และของมวลชนทุกคน 28 และเก็บภาษีร้อยละ 0.2 จากนักรบที่ไปสงครามเพื่อถวายแด่พระผู้เป็นเจ้า ไม่ว่าจะเป็นคน โค ลา หรือฝูงแพะแกะ 29 จากนั้นจงมอบครึ่งหนึ่งให้แก่เอเลอาซาร์ปุโรหิตเสมือนของถวายแด่พระผู้เป็นเจ้า 30 และจงเก็บร้อยละสองจากชาวอิสราเอลไม่ว่าจะเป็นคน โค ลา ฝูงแพะแกะ หรือสัตว์เลี้ยง และมอบให้แก่ชาวเลวีที่ดูแลกระโจมที่พำนักของพระผู้เป็นเจ้า 31 โมเสสและเอเลอาซาร์ก็ทำตามที่พระผู้เป็นเจ้าบัญชาโมเสส

32 สิ่งที่นักรบปล้นและริบมาได้คือ แกะจำนวน 675,000 ตัว 33 โค 72,000 ตัว 34 ลา 61,000 ตัว 35 และหญิงพรหมจารีทั้งหมดอีก 32,000 คน 36 ฉะนั้นส่วนที่เป็นครึ่งหนึ่งที่เขาได้มาจากสงครามคือ แกะจำนวน 337,500 ตัว 37 ของถวายสำหรับพระผู้เป็นเจ้าคือ แกะ 675 ตัว 38 โค 36,000 ตัว มอบ 72 ตัว เป็นของถวายสำหรับพระผู้เป็นเจ้า 39 ลา 30,500 ตัว มอบ 61 ตัว เป็นของถวายสำหรับพระผู้เป็นเจ้า 40 คนจำนวน 16,000 คน มอบ 32 คน เป็นของถวายสำหรับพระผู้เป็นเจ้า 41 โมเสสมอบของถวายในส่วนที่เป็นของพระผู้เป็นเจ้า มอบให้แก่เอเลอาซาร์ปุโรหิต ตามที่พระผู้เป็นเจ้าบัญชาโมเสส

42 โมเสสแบ่งของที่นักรบริบได้จากสงครามเพื่อให้แก่ชาวอิสราเอลครึ่งหนึ่ง 43 ดังนั้นครึ่งหนึ่งที่มวลชนได้รับคือ แกะ 337,500 ตัว 44 โค 36,000 ตัว 45 และลา 30,500 ตัว 46 และคนจำนวน 16,000 คน 47 โมเสสรับร้อยละสอง ทั้งคนและสัตว์เลี้ยงจากส่วนที่เป็นครึ่งหนึ่งของชาวอิสราเอล เพื่อมอบให้แก่ชาวเลวีที่ดูแลกระโจมที่พำนักของพระผู้เป็นเจ้า ตามที่พระผู้เป็นเจ้าบัญชาโมเสส

48 บรรดานายทหารที่บังคับบัญชากองพันทหาร บรรดานายพันและนายร้อยก็มาหาโมเสส 49 และพูดกับโมเสสว่า “พวกเราผู้เป็นผู้รับใช้ของท่านได้นับจำนวนนักรบที่สู้ในสงครามภายใต้คำสั่งของพวกเรา และเห็นว่าอยู่ครบกันทุกคน 50 เรานำของถวายมามอบแด่พระผู้เป็นเจ้าตามที่ทุกคนเก็บได้คือ เครื่องทองคำ กำไลแขนและสร้อยข้อมือ แหวนตรา ต่างหู ลูกปัดเพื่อทำพิธีชดใช้บาปให้พวกเราเอง ณ เบื้องหน้าพระผู้เป็นเจ้า 51 โมเสสและเอเลอาซาร์ปุโรหิตรับเครื่องทองคำและเครื่องประดับทั้งหลายจากพวกเขา 52 นายพันและนายร้อยนำสิ่งบริจาคที่เป็นทองคำหนัก 16,750 เชเขลมาถวายแด่พระผู้เป็นเจ้า 53 ทหารแต่ละคนต่างก็เก็บสิ่งที่ปล้นมาได้ไว้เอง 54 โมเสสและเอเลอาซาร์ปุโรหิตรับทองจากบรรดานายพันและนายร้อย และนำเข้าไปในกระโจมที่นัดหมาย ณ เบื้องหน้าพระผู้เป็นเจ้าเพื่อเป็นเครื่องระลึกถึงชาวอิสราเอล

รูเบนและกาดตั้งหลักแหล่ง

32 บรรดาบุตรของรูเบนและกาดมีฝูงปศุสัตว์ที่ใหญ่มาก พวกเขาเห็นว่าแผ่นดินของยาเซอร์และของกิเลอาดเหมาะสำหรับการเลี้ยงฝูงปศุสัตว์ ดังนั้นบุตรของกาดและของรูเบนจึงมาพูดกับโมเสสและเอเลอาซาร์ปุโรหิต และบรรดาหัวหน้าของมวลชนว่า “อาทาโรท ดีโบน ยาเซอร์ นิมราห์ เฮชโบน เอเลอาเลห์ เสบาม เนโบ และเบโอน แผ่นดินที่พระผู้เป็นเจ้าทำให้พ่ายแพ้ต่อหน้ามวลชนอิสราเอลเป็นแผ่นดินสำหรับฝูงปศุสัตว์ และผู้รับใช้ของท่านก็มีฝูงปศุสัตว์” เขาพูดต่อไปอีกว่า “ถ้าเราเป็นที่โปรดปรานของท่าน ขอให้พวกเราผู้เป็นผู้รับใช้ของท่านได้ครอบครองแผ่นดินดังกล่าว อย่าพาพวกเราข้ามแม่น้ำจอร์แดนไปเลย”

โมเสสพูดกับบรรดาบุตรของกาดและของรูเบนว่า “จะให้พี่น้องของท่านไปสงครามขณะที่พวกท่านนั่งอยู่ที่นี่อย่างนั้นหรือ ทำไมท่านจึงทำให้ชาวอิสราเอลท้อใจที่จะย่างก้าวเข้าไปในแผ่นดินที่พระผู้เป็นเจ้าได้มอบให้แก่พวกเขาแล้ว เหล่าบรรพบุรุษของท่านกระทำเช่นเดียวกัน เมื่อเราให้พวกเขาไปยังคาเดชบาร์เนียเพื่อตรวจดูแผ่นดิน ครั้นพวกเขาขึ้นไปยังลุ่มน้ำเอชโคล์และมองเห็นแผ่นดิน พวกเขาจึงทำให้ชาวอิสราเอลท้อใจที่จะย่างก้าวเข้าไปในแผ่นดินที่พระผู้เป็นเจ้าได้มอบให้แก่พวกเขาแล้ว 10 ความกริ้วของพระผู้เป็นเจ้าพลุ่งขึ้นในวันนั้น และพระองค์ปฏิญาณว่า 11 ‘แน่นอนทีเดียว จะไม่มีชายที่มีอายุนับตั้งแต่ 20 ปีขึ้นไปคนไหนที่ออกมาจากอียิปต์แล้ว จะได้เห็นแผ่นดินที่เราได้ปฏิญาณว่าจะมอบให้แก่อับราฮัม อิสอัค และยาโคบ เพราะพวกเขาไม่ได้ตามเรามาด้วยความเต็มใจ 12 ไม่มีใครนอกจากคาเลบบุตรเยฟุนเนห์ชาวเคนัส และโยชูวาบุตรของนูน เพราะเขาทั้งสองได้ตามพระผู้เป็นเจ้าด้วยความเต็มใจ’ 13 พระผู้เป็นเจ้ากริ้วอิสราเอลมาก และพระองค์ทำให้พวกเขาต้องพเนจรไปในถิ่นทุรกันดารเป็นเวลา 40 ปี จนกระทั่งทุกคนในยุคที่ทำความชั่วในสายตาของพระผู้เป็นเจ้าพากันวอดวายหมดแล้ว[m] 14 และดูเถิด พวกท่านลุกขึ้นมาแทนที่บรรพบุรุษของท่านแล้ว พวกชาติมนุษย์ผู้บาปหนา เพื่อกระตุ้นความโกรธมหันต์ของพระผู้เป็นเจ้าต่ออิสราเอล 15 ด้วยว่า ถ้าท่านหันเหไปจากการติดตามพระองค์ พระองค์จะทอดทิ้งพวกเขาในถิ่นทุรกันดารอีก และพวกท่านจะทำลายประชาชนทั้งหมดนี้”

16 แล้วเขาทั้งหลายก็เข้ามาใกล้ท่านและพูดว่า “พวกเราจะกั้นคอกให้ฝูงปศุสัตว์ของเราที่นี่ และสร้างเมืองให้พวกเด็กๆ อยู่ 17 แต่เราจะหยิบอาวุธ พร้อมจะไปล่วงหน้าชาวอิสราเอล จนกระทั่งเราพาพวกเขาไปยังที่ของเขา และพวกเด็กๆ ของเราจะอยู่ในเมืองที่มีการคุ้มกันอย่างแข็งแกร่ง ปลอดภัยจากผู้อยู่อาศัยของแผ่นดินนี้ 18 เราจะไม่กลับมายังบ้านของเราจนกว่าชาวอิสราเอลแต่ละคนได้เป็นเจ้าของแผ่นดินของตนเสียก่อน 19 เราจะไม่รับมรดกร่วมกับพวกเขาที่ฝั่งตะวันตกของแม่น้ำจอร์แดนและที่ไกลออกไป เพราะมรดกของพวกเราได้ตกถึงเราแล้วที่ฝั่งตะวันออกของแม่น้ำจอร์แดน”

New Thai Version (NTV-BIBLE)

Copyright © 1998, 2012, 2020 by New Thai Version Foundation