Previous Prev Day Next DayNext

Bible in 90 Days

An intensive Bible reading plan that walks through the entire Bible in 90 days.
Duration: 88 days
Thai New Contemporary Bible (TNCV)
Version
เฉลยธรรมบัญญัติ 23:12-34

12 จงกำหนดที่ปลดทุกข์ไว้นอกค่ายพัก 13 ทุกคนจะมีพลั่ว จงใช้พลั่วขุดหลุมและกลบสิ่งปฏิกูลหลังจากปลดทุกข์แล้ว 14 เพราะพระยาห์เวห์พระเจ้าของท่านทรงดำเนินอยู่ในค่ายของท่าน เพื่อปกป้องคุ้มครองท่านและมอบศัตรูไว้ในมือของท่าน ค่ายพักจะต้องบริสุทธิ์เพื่อพระองค์จะได้ไม่เห็นสิ่งที่ไม่บังควรและเมินพระพักตร์ไปจากท่าน

กฎอื่นๆ

15 ทาสคนใดหนีนายมาพึ่งท่าน อย่าจับเขาส่งคืนนาย 16 จงยอมให้เขาอาศัยอยู่กับท่านในเมืองใดก็ได้ตามที่เขาเลือก อย่าข่มเหงรังแกเขา

17 อย่าให้มีชายหญิงชาวอิสราเอลคนใดเป็นโสเภณีในเทวสถาน 18 อย่านำรายได้จากหญิงโสเภณีหรือชายโสเภณี[a]มาแก้บนในพระนิเวศของพระยาห์เวห์พระเจ้าของท่าน เพราะทั้งสองเป็นที่รังเกียจสำหรับพระยาห์เวห์พระเจ้าของท่าน

19 เมื่อท่านให้พี่น้องร่วมชาติยืมเงิน อาหาร หรือสิ่งอื่นใดก็ตาม อย่าเรียกดอกเบี้ย 20 ท่านอาจเก็บดอกเบี้ยจากคนต่างชาติได้ แต่ไม่ใช่เก็บจากพี่น้องอิสราเอลด้วยกัน เพื่อพระยาห์เวห์พระเจ้าของท่านจะได้อวยพรท่านในทุกสิ่งที่ท่านทำในดินแดนซึ่งท่านกำลังจะเข้าไปครอบครอง

21 เมื่อท่านถวายสัตย์ปฏิญาณต่อพระยาห์เวห์พระเจ้าของท่าน อย่าผัดผ่อนที่จะทำตามที่ปฏิญาณไว้ เพราะพระยาห์เวห์พระเจ้าของท่านจะทรงเรียกร้องให้ทำตามคำปฏิญาณนั้นแน่นอน มิฉะนั้นท่านจะมีความผิดบาป 22 หากท่านไม่ปฏิญาณ ท่านก็จะไม่มีความผิด 23 เมื่อท่านกล่าวปฏิญาณ ท่านจะต้องทำตามที่พูดไว้ทุกอย่าง เพราะท่านปฏิญาณต่อพระยาห์เวห์พระเจ้าของท่านตามความสมัครใจของท่านเอง

24 ถ้าท่านเข้าไปในสวนองุ่นของเพื่อนบ้าน ท่านอาจเก็บองุ่นรับประทานได้ตามที่ต้องการ แต่อย่าใส่ภาชนะนำออกไป 25 ถ้าท่านเข้าไปในนาของเพื่อนบ้าน ท่านเก็บเมล็ดข้าวด้วยมือของท่านได้ แต่อย่าใช้เคียวเกี่ยวรวงข้าวจากต้น

24 ชายใดไม่พึงพอใจภรรยาเพราะข้อบกพร่องต่างๆ ให้เขียนหนังสือหย่ามอบแก่นางและส่งตัวนางออกไปจากบ้านของเขา หลังจากนั้นหากนางแต่งงานใหม่ และสามีใหม่ก็ไม่พึงพอใจนาง แล้วเขียนหนังสือหย่ามอบให้แล้วส่งตัวนางออกไปจากบ้านของเขา หรือหากสามีใหม่ตายไป สามีคนแรกที่หย่ากันแล้ว ห้ามกลับไปแต่งงานกับนางอีกเพราะนางเป็นมลทินแล้ว เพราะเป็นที่น่ารังเกียจในสายพระเนตรขององค์พระผู้เป็นเจ้าอย่านำบาปมาเหนือดินแดนซึ่งพระยาห์เวห์พระเจ้าของท่านประทานแก่ท่านเป็นกรรมสิทธิ์

อย่าเกณฑ์ชายที่เพิ่งแต่งงานให้ออกรบหรือมอบหมายหน้าที่ใดๆ แก่เขา ตลอดปีแรกให้เขามีความสุขอยู่กับภรรยาที่บ้าน

อย่ายึดหินโม่เป็นของค้ำประกันการกู้ยืม เพราะเป็นเครื่องมือที่เจ้าของใช้ประทังชีวิต

ผู้ใดลักพาตัวพี่น้องชาวอิสราเอลและปฏิบัติต่อเขาเยี่ยงทาสหรือขายเขาไป ผู้ลักพาตัวจะต้องตาย ท่านต้องขจัดความชั่วร้ายออกไปจากหมู่พวกท่าน

ในกรณีของโรคเรื้อน[b] จงใส่ใจปฏิบัติตามคำสั่งของปุโรหิตชาวเลวีอย่างเคร่งครัด ท่านต้องใส่ใจปฏิบัติตามสิ่งที่ข้าพเจ้าได้บัญชาพวกเขาไว้ จงจดจำสิ่งที่พระยาห์เวห์พระเจ้าของท่านทรงทำต่อมิเรียมระหว่างทางหลังจากที่ท่านออกจากอียิปต์

10 เมื่อท่านให้เพื่อนบ้านยืมสิ่งใด อย่าเข้าไปเอาของค้ำประกันในบ้านของเขา 11 จงคอยอยู่ข้างนอก ให้ผู้ขอกู้นำของค้ำประกันออกมาให้ท่านเอง 12 หากคนนั้นยากจน ท่านอย่าเก็บของค้ำประกันไว้ข้ามคืน 13 จงคืนเสื้อคลุมให้เขาก่อนดวงอาทิตย์ตกดิน เพื่อเขาจะใช้ห่มนอน แล้วเขาจะขอบคุณท่าน และจะถือว่าเป็นการกระทำที่ชอบธรรมในสายพระเนตรของพระยาห์เวห์พระเจ้าของท่าน

14 อย่าเอารัดเอาเปรียบลูกจ้างที่ยากไร้และขัดสน ไม่ว่าจะเป็นพี่น้องชาวอิสราเอลหรือคนต่างด้าวซึ่งอาศัยอยู่ในเมืองของท่าน 15 จงจ่ายค่าแรงแก่เขาทุกวันก่อนดวงอาทิตย์ลับฟ้า เนื่องจากเขายากจนและใจจดใจจ่ออยู่ที่ค่าจ้าง มิฉะนั้นเขาอาจจะร้องกล่าวโทษท่านต่อองค์พระผู้เป็นเจ้าและท่านจะมีความผิดบาป

16 อย่าประหารบิดาเพราะบาปของบุตร หรือประหารบุตรเพราะบาปของบิดา แต่ละคนจะต้องตายเพราะบาปของตนเอง

17 จงให้ความยุติธรรมแก่คนต่างด้าวและลูกกำพร้าพ่อ อย่าเอาเสื้อคลุมของหญิงม่ายเป็นของค้ำประกันหนี้สิน 18 จงระลึกว่าท่านเคยเป็นทาสในอียิปต์และพระยาห์เวห์พระเจ้าของท่านทรงไถ่ท่านออกมา ด้วยเหตุนี้ข้าพเจ้าจึงบัญชาท่านให้ทำเช่นนี้

19 เมื่อท่านเก็บเกี่ยวพืชผล หากท่านลืมฟ่อนข้าวมัดหนึ่งไว้ในท้องนา อย่ากลับไปเอา จงปล่อยไว้สำหรับคนต่างด้าว ลูกกำพร้าพ่อ และหญิงม่าย เพื่อพระยาห์เวห์พระเจ้าของท่านจะทรงอวยพรการงานทุกอย่างที่ท่านทำ 20 เมื่อท่านฟาดผลมะกอกจากต้น ไม่ต้องเก็บซ้ำที่กิ่งเดิม จงปล่อยส่วนที่เหลือไว้เป็นของคนต่างด้าว ลูกกำพร้าพ่อ และหญิงม่าย 21 เมื่อท่านเก็บเกี่ยวองุ่นในสวนของท่าน อย่าเก็บซ้ำจนเกลี้ยง จงปล่อยส่วนที่เหลือไว้เป็นของคนต่างด้าว ลูกกำพร้าพ่อ และหญิงม่าย 22 จงระลึกว่าท่านเคยเป็นทาสในอียิปต์ ด้วยเหตุนี้ข้าพเจ้าจึงบัญชาท่านให้ทำเช่นนี้

25 เมื่อผู้ใดเป็นความกันให้นำเรื่องมาถึงศาล ตุลาการจะตัดสินคดี ปล่อยตัวผู้บริสุทธิ์ และลงโทษผู้กระทำผิด หากผู้กระทำผิดสมควรถูกโบย ตุลาการจะสั่งให้เขานอนลงและให้โบยต่อหน้า มากน้อยตามแต่โทษหนักเบา แต่อย่าโบยเขาเกินสี่สิบที มิฉะนั้นโทษทัณฑ์จะรุนแรงเกินเหตุและพี่น้องของท่านจะต้องเสื่อมเสียเกียรติต่อหน้าท่าน

อย่าเอาตะกร้อครอบปากวัวซึ่งนวดข้าวอยู่

ถ้าพี่น้องอาศัยอยู่ด้วยกันและมีคนหนึ่งตายไปโดยปราศจากบุตรชาย อย่าให้ภรรยาม่ายของเขาแต่งงานกับคนนอกครอบครัวสามี พี่น้องสามีจงรับนางเป็นภรรยาและทำหน้าที่พี่น้องสามีแก่นาง ลูกคนแรกที่เกิดมาจะสืบชื่อของผู้ล่วงลับไปแล้วเพื่อชื่อของเขาจะไม่ถูกลบไปจากอิสราเอล

แต่หากพี่น้องของผู้ตายไม่ยอมแต่งงานกับหญิงม่ายผู้นั้น นางจะไปหาบรรดาผู้อาวุโสที่ประตูเมืองและกล่าวว่า “พี่น้องสามีของดิฉันไม่ยอมสืบชื่อของผู้ตายในอิสราเอล เขาไม่ยอมทำหน้าที่พี่น้องสามีต่อดิฉัน” แล้วบรรดาผู้อาวุโสของเมืองนั้นจะเรียกตัวญาติคนนั้นมาเจรจา หากเขายังยืนกรานปฏิเสธว่า “ข้าพเจ้าไม่ต้องการแต่งงานกับนาง” หญิงม่ายจะเดินเข้าไปหาชายคนนั้นต่อหน้าบรรดาผู้อาวุโส ถอดรองเท้าของเขาออกมาข้างหนึ่ง ถ่มน้ำลายรดหน้าเขาและกล่าวว่า “นี่แหละผลที่จะเกิดกับคนที่ไม่ยอมสืบสายตระกูลให้พี่น้องของเขา” 10 หลังจากนั้นคนอิสราเอลจะเรียกเชื้อสายของชายผู้นั้นว่า ‘ครอบครัวของคนที่ถูกดึงรองเท้าออก’

11 หากชายสองคนสู้รบตบมือกัน และภรรยาของฝ่ายหนึ่งตรงเข้ามาช่วยสามีโดยบีบของลับของฝ่ายตรงข้าม 12 ท่านจะต้องตัดมือของนางทิ้ง อย่าสงสารนางเลย

13 อย่ามีตุ้มน้ำหนักที่ต่างกันไว้ในถุงของท่าน อันหนึ่งหนัก อันหนึ่งเบา 14 อย่ามีเครื่องตวงวัดที่ต่างกันในบ้านของท่าน อันหนึ่งใหญ่ อันหนึ่งเล็ก 15 จงใช้มาตราชั่ง ตวง วัด ที่ถูกต้องแม่นยำและเที่ยงตรง เพื่อท่านจะมีชีวิตยืนยาวในดินแดนที่พระยาห์เวห์พระเจ้าของท่านประทานแก่ท่าน 16 เพราะพระยาห์เวห์พระเจ้าของท่านทรงรังเกียจผู้คดโกง

17 อย่าลืมสิ่งที่ชาวอามาเลขทำแก่ท่านเมื่อท่านออกมาจากอียิปต์ 18 พวกเขาพบท่านระหว่างทาง เมื่อท่านอ่อนระโหยโรยแรงและโจมตีคนที่อยู่รั้งท้าย โดยไม่มีความเกรงกลัวพระเจ้าเลย 19 ฉะนั้นเมื่อพระยาห์เวห์พระเจ้าของท่านทรงโปรดให้ท่านพักสงบจากศัตรูทั้งปวงในดินแดนที่จะทรงยกให้เป็นกรรมสิทธิ์ จงทำลายอามาเลขให้สูญสิ้นไปจากความทรงจำภายใต้ฟ้าสวรรค์ อย่าลืมข้อนี้!

พืชผลรุ่นแรกและสิบลด

26 เมื่อท่านเข้ายึดครองและตั้งถิ่นฐานอยู่ในดินแดนซึ่งพระยาห์เวห์พระเจ้าของท่านกำลังจะประทานแก่ท่านเป็นกรรมสิทธิ์ จงนำพืชผลรุ่นแรกบางส่วนที่ท่านเก็บเกี่ยวจากผืนแผ่นดินที่พระยาห์เวห์พระเจ้าของท่านประทานให้ใส่ตะกร้ามายังสถานที่ซึ่งพระยาห์เวห์พระเจ้าของท่านจะทรงเลือกเป็นที่สถาปนาพระนามของพระองค์ และกล่าวแก่ปุโรหิตซึ่งประจำการในขณะนั้นว่า “ข้าพเจ้าขอประกาศในวันนี้ต่อพระยาห์เวห์พระเจ้าของท่านว่า ข้าพเจ้าได้มายังดินแดนที่องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงปฏิญาณไว้กับบรรพบุรุษของเราว่าจะประทานแก่เรา” ปุโรหิตจะรับตะกร้าจากมือของท่านไปวางไว้หน้าแท่นบูชาของพระยาห์เวห์พระเจ้าของท่าน จากนั้นท่านจะประกาศต่อหน้าพระยาห์เวห์พระเจ้าของท่านว่า “บรรพบุรุษของข้าพระองค์คือชาวอารัมผู้ระเหเร่ร่อน และเขาได้ไปอาศัยอยู่ที่อียิปต์พร้อมกับคนเพียงหยิบมือเดียว แต่เมื่ออยู่ที่นั่นก็กลายเป็นชาติใหญ่ มีอำนาจ และมีคนมาก แต่ชาวอียิปต์ปฏิบัติต่อเราอย่างไม่เป็นธรรม เคี่ยวเข็ญให้เราตรากตรำทำงานหนัก แล้วเราร้องทูลพระยาห์เวห์พระเจ้าของบรรพบุรุษของเรา และองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงได้ยินเสียงของเราและทอดพระเนตรเห็นความยากแค้นลำเค็ญ ความเหนื่อยยาก และการกดขี่ข่มเหงที่เราได้รับ ดังนั้นองค์พระผู้เป็นเจ้าจึงทรงนำเราออกจากอียิปต์ด้วยพระหัตถ์อันทรงฤทธิ์และพระกรที่เหยียดออก ด้วยความครั่นคร้ามใหญ่หลวง ด้วยหมายสำคัญและปาฏิหาริย์ พระองค์ทรงนำเรามายังสถานที่นี้ ประทานดินแดนอันอุดมสมบูรณ์ด้วยน้ำนมและน้ำผึ้งแก่เรา 10 ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้าบัดนี้ข้าพระองค์ได้นำพืชผลรุ่นแรกจากที่ดินที่ประทานมาถวาย” แล้วจงวางตะกร้านั้นต่อหน้าพระยาห์เวห์พระเจ้าของท่าน และก้มกราบต่อหน้าพระองค์ 11 แล้วท่านกับชาวเลวีและคนต่างด้าวที่อาศัยอยู่ในหมู่พวกท่านจะฉลองสิ่งดีงามทั้งปวงที่พระยาห์เวห์พระเจ้าของท่านได้ประทานแก่ท่านและครัวเรือนของท่าน

12 ทุกปีที่สามเป็นปีแห่งสิบลด ในปีนั้นจงมอบหนึ่งในสิบของผลิตผลทั้งปวงของท่านแก่ชาวเลวี คนต่างด้าว ลูกกำพร้าพ่อ และหญิงม่าย เพื่อพวกเขาจะได้รับประทานอิ่มหนำในเมืองของท่าน 13 จากนั้นท่านจงทูลพระยาห์เวห์พระเจ้าของท่านว่า “ข้าพระองค์ได้นำส่วนศักดิ์สิทธิ์จากบ้านของข้าพระองค์มามอบให้ชาวเลวี คนต่างด้าว ลูกกำพร้าพ่อ และหญิงม่ายตามที่ทรงบัญชาไว้ ข้าพระองค์ไม่ได้หันเหหรือลืมพระบัญชาทั้งปวงของพระองค์ 14 ข้าพระองค์ไม่ได้รับประทานส่วนศักดิ์สิทธิ์ขณะไว้ทุกข์ หรือยกส่วนใดออกไปขณะที่เป็นมลทิน หรืออุทิศส่วนใดแก่ผู้ตาย ข้าพระองค์เชื่อฟังพระยาห์เวห์พระเจ้าของข้าพระองค์และทำทุกสิ่งตามพระบัญชา 15 ขอโปรดทอดพระเนตรลงมาจากสวรรค์ที่ประทับอันบริสุทธิ์ และทรงอวยพรอิสราเอลประชากรของพระองค์ และอวยพรดินแดนซึ่งพระองค์ได้ประทานแก่ข้าพระองค์ทั้งหลาย อันเป็นดินแดนที่อุดมด้วยน้ำนมและน้ำผึ้งตามที่ทรงสัญญาด้วยคำปฏิญาณไว้กับบรรพบุรุษของข้าพระองค์ทั้งหลาย”

ทำตามพระบัญชาขององค์พระผู้เป็นเจ้า

16 พระยาห์เวห์พระเจ้าของท่านทรงบัญชาพวกท่านในวันนี้ให้ปฏิบัติตามกฎหมายและบทบัญญัติต่างๆ เหล่านี้ จงถือปฏิบัติอย่างถี่ถ้วนด้วยสุดจิตสุดใจของท่าน 17 วันนี้ท่านได้ประกาศแล้วว่าพระยาห์เวห์ทรงเป็นพระเจ้าของท่าน และท่านจะดำเนินในทางของพระองค์ จะรักษากฎหมาย พระบัญชา และบทบัญญัติของพระองค์ และจะเชื่อฟังพระองค์ 18 ในวันนี้องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงประกาศว่าท่านเป็นประชากรของพระองค์ เป็นกรรมสิทธิ์ล้ำค่าของพระองค์ตามที่ทรงสัญญาไว้ และท่านจะต้องปฏิบัติตามพระบัญชาทั้งสิ้นของพระองค์ 19 พระองค์ทรงประกาศไว้ว่าจะทรงตั้งให้ท่านเป็นที่ยกย่อง มีเกียรติยศ และชื่อเสียงเหนือกว่าชนชาติอื่นๆ ทั้งปวงที่ทรงสร้าง ท่านจะเป็นชนชาติบริสุทธิ์ สำหรับพระยาห์เวห์พระเจ้าของท่านตามที่ทรงสัญญาไว้

แท่นบูชาที่ภูเขาเอบาล

27 โมเสสและผู้อาวุโสของอิสราเอลสั่งประชากรว่า “จงปฏิบัติตามพระบัญชาทั้งปวงซึ่งข้าพเจ้าแจ้งท่านในวันนี้ เมื่อท่านข้ามแม่น้ำจอร์แดนเข้าสู่ดินแดนซึ่งพระยาห์เวห์พระเจ้าของท่านประทานให้ จงตั้งหินใหญ่จำนวนหนึ่งขึ้นและฉาบปูน จารึกเนื้อความบทบัญญัตินี้ไว้บนหินเหล่านั้น เมื่อท่านข้ามไปสู่ดินแดนซึ่งพระยาห์เวห์พระเจ้าของท่านประทานแก่ท่าน ซึ่งเป็นดินแดนที่อุดมด้วยน้ำนมและน้ำผึ้งตามที่พระยาห์เวห์พระเจ้าของบรรพบุรุษของท่านทรงสัญญาไว้กับท่าน และเมื่อท่านข้ามแม่น้ำจอร์แดนไป จงตั้งหินเหล่านี้ขึ้นบนภูเขาเอบาลตามที่ข้าพเจ้าสั่งท่านวันนี้ และฉาบด้วยปูน จงสร้างแท่นบูชาหินขึ้นที่นั่นถวายแด่พระยาห์เวห์พระเจ้าของท่าน อย่าใช้เครื่องมือเหล็กสกัดหินเหล่านั้น จงสร้างแท่นบูชาของพระยาห์เวห์พระเจ้าของท่านด้วยหินที่พบในท้องทุ่ง และถวายเครื่องเผาบูชาแด่พระยาห์เวห์พระเจ้าของท่านบนแท่นนั้น จงถวายเครื่องสันติบูชาบนแท่นนั้นเช่นกัน และเลี้ยงฉลองรื่นเริงต่อหน้าพระยาห์เวห์พระเจ้าของท่าน จงจารึกบทบัญญัติทั้งปวงนี้ลงไปให้ชัดเจนบนก้อนหินที่ท่านตั้งขึ้น”

คำสาปแช่งจากภูเขาเอบาล

แล้วโมเสสและปุโรหิตชาวเลวีกล่าวแก่ชนอิสราเอลว่า “อิสราเอลเอ๋ย จงสงบเงียบและฟังเถิด บัดนี้ท่านได้เป็นประชากรของพระยาห์เวห์พระเจ้าของท่านแล้ว 10 จงเชื่อฟังพระยาห์เวห์พระเจ้าของท่านและปฏิบัติตามพระบัญชาและกฎหมายทั้งปวงซึ่งข้าพเจ้าแจ้งท่านในวันนี้”

11 ในวันเดียวกันนั้นโมเสสสั่งประชากรดังนี้ว่า

12 เมื่อท่านข้ามแม่น้ำจอร์แดนแล้ว เผ่าสิเมโอน เลวี ยูดาห์ อิสสาคาร์ โยเซฟ และเบนยามิน จะยืนอยู่บนภูเขาเกริซิมเพื่ออวยพรประชากร 13 ส่วนเผ่ารูเบน กาด อาเชอร์ เศบูลุน ดาน และนัฟทาลี จะยืนอยู่บนภูเขาเอบาล เพื่อกล่าวคำสาปแช่ง

14 คนเลวีจะป่าวร้องแก่ชนอิสราเอลด้วยเสียงอันดังว่า

15 “ขอแช่งคนที่แกะสลักหรือหล่อรูปเคารพซึ่งองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงรังเกียจ เป็นผลงานจากน้ำมือของช่างและตั้งไว้อย่างลับๆ”

แล้วประชากรทั้งปวงจะขานรับว่า

“อาเมน!”

16 “ขอแช่งคนที่ไม่ให้เกียรติบิดามารดา”

แล้วประชากรทั้งปวงจะขานรับว่า

“อาเมน!”

17 “ขอแช่งคนที่ย้ายหลักเขตที่ดินของเพื่อนบ้าน”

แล้วประชากรทั้งปวงจะขานรับว่า

“อาเมน!”

18 “ขอแช่งคนที่นำคนตาบอดให้หลงทาง”

แล้วประชากรทั้งปวงจะขานรับว่า

“อาเมน!”

19 “ขอแช่งคนที่ไม่ให้ความยุติธรรมแก่คนต่างด้าว ลูกกำพร้าพ่อ หรือหญิงม่าย”

แล้วประชากรทั้งปวงจะขานรับว่า

“อาเมน!”

20 “ขอแช่งคนที่หลับนอนกับภรรยาของบิดา เพราะเขาหยามเกียรติบิดาของเขา”

แล้วประชากรทั้งปวงจะขานรับว่า

“อาเมน!”

21 “ขอแช่งคนที่สมสู่กับสัตว์”

แล้วประชากรทั้งปวงจะขานรับว่า

“อาเมน!”

22 “ขอแช่งคนที่หลับนอนกับพี่สาวน้องสาวของตน ไม่ว่าจะเป็นบุตรสาวของบิดาหรือบุตรสาวของมารดาก็ตาม”

แล้วประชากรทั้งปวงจะขานรับว่า

“อาเมน!”

23 “ขอแช่งคนที่หลับนอนกับแม่ยายของตน”

แล้วประชากรทั้งปวงจะขานรับว่า

“อาเมน!”

24 “ขอแช่งคนที่ลอบสังหารเพื่อนบ้านของเขา”

แล้วประชากรทั้งปวงจะขานรับว่า

“อาเมน!”

25 “ขอแช่งคนที่รับสินบนเพื่อฆ่าผู้บริสุทธิ์”

แล้วประชากรทั้งปวงจะขานรับว่า

“อาเมน!”

26 “ขอแช่งคนที่ไม่ยึดมั่นปฏิบัติตามบทบัญญัตินี้”

แล้วประชากรทั้งปวงจะขานรับว่า

“อาเมน!”

พระพรสำหรับการเชื่อฟัง

28 หากท่านเชื่อฟังพระยาห์เวห์พระเจ้าของท่านอย่างครบถ้วน และหมั่นปฏิบัติตามพระบัญชาทั้งปวงซึ่งข้าพเจ้าแจ้งท่านในวันนี้ พระยาห์เวห์พระเจ้าของท่านจะทรงเชิดชูท่านเหนือประชาชาติทั้งปวงในโลก พรทั้งหมดนี้จะมีมาถึงท่านและดำรงอยู่กับท่าน หากท่านเชื่อฟังพระยาห์เวห์พระเจ้าของท่าน

ท่านจะได้รับพรทั้งในเมืองและในทุ่งนา
ท่านจะได้รับพรให้มีบุตรหลานมากมาย ให้ท้องทุ่งของท่านเกิดผลมาก และให้ฝูงสัตว์และฝูงแพะแกะของท่านมีลูกดก
ท่านจะได้รับพรให้ตะกร้ามีพืชผลล้นหลาม และรางนวดแป้งเต็มไปด้วยขนมปัง
ท่านจะได้รับพรไม่ว่าจะไปทางไหน

องค์พระผู้เป็นเจ้าจะทรงปราบศัตรูทั้งหลายต่อหน้าท่าน พวกเขาจะเดินทัพมาสู้ท่านทางเดียว แต่แตกฉานซ่านเซ็นไปเจ็ดทาง

องค์พระผู้เป็นเจ้าจะทรงอวยพรยุ้งฉางของท่านและทุกสิ่งที่ท่านลงมือทำ พระยาห์เวห์พระเจ้าของท่านจะทรงอวยพรท่านในดินแดนซึ่งพระองค์ประทานแก่ท่าน

หากท่านถือรักษาพระบัญชาของพระยาห์เวห์พระเจ้าของท่านและดำเนินตามทางของพระองค์ องค์พระผู้เป็นเจ้าก็จะทรงตั้งท่านให้มั่นคงในฐานะชนชาติบริสุทธิ์ของพระองค์ตามที่ทรงสัญญาไว้กับท่านด้วยคำปฏิญาณ 10 แล้วประชาชาติทั้งปวงในโลกจะเห็นว่าท่านได้รับการขนานนามตามพระนามของพระยาห์เวห์ และพวกเขาจะเกรงกลัวท่าน 11 องค์พระผู้เป็นเจ้าจะประทานความเจริญรุ่งเรืองอย่างล้นเหลือแก่ท่าน ในเรื่องบุตรหลาน ลูกอ่อนของฝูงสัตว์ และพืชผลจากแผ่นดิน ในดินแดนที่ทรงปฏิญาณไว้กับบรรพบุรุษของท่านว่าจะยกให้ท่าน

12 องค์พระผู้เป็นเจ้าจะทรงเปิดฟ้าสวรรค์ซึ่งเป็นคลังอันอุดมสมบูรณ์ของพระองค์ ให้ฝนตกในแผ่นดินของท่านตามฤดูกาล และจะทรงอวยพรงานทุกอย่างที่ท่านทำ ท่านจะให้หลายชาติกู้ยืม แต่ไม่ยืมจากใครเลย 13 องค์พระผู้เป็นเจ้าจะทรงกระทำให้ท่านเป็นหัวไม่ใช่หาง ถ้าเพียงแต่ท่านใส่ใจพระบัญชาของพระยาห์เวห์พระเจ้าของท่านซึ่งข้าพเจ้าแจ้งท่านในวันนี้ และปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด ท่านจะอยู่เบื้องบนสุดเสมอ ไม่เคยอยู่เบื้องล่างเลย 14 อย่าหันเหจากพระบัญชาซึ่งข้าพเจ้าแจ้งท่านในวันนี้ไปทางขวาหรือทางซ้าย อย่าไปติดตามและปรนนิบัติพระอื่นใด

คำสาปแช่งสำหรับการไม่เชื่อฟัง

15 แต่หากท่านไม่เชื่อฟังพระยาห์เวห์พระเจ้าของท่านและไม่ใส่ใจปฏิบัติตามพระบัญชาและกฎหมายทั้งปวงซึ่งข้าพเจ้ากำลังแจ้งท่านในวันนี้ คำสาปแช่งทั้งปวงนี้ก็จะตกมาถึงท่าน

16 ท่านจะถูกสาปแช่งทั้งในเมืองและในทุ่งนา
17 ท่านจะถูกสาปแช่งโดยให้ตะกร้าของท่านปราศจากพืชผลและรางนวดแป้งไม่มีขนมปัง
18 ท่านจะถูกสาปแช่งโดยให้มีลูกหลานน้อย และให้ท้องทุ่งของท่านไม่เกิดผล และฝูงวัวฝูงแพะแกะก็ไม่มีลูก
19 ท่านจะถูกสาปแช่งไม่ว่าท่านจะไปทางไหน

20 องค์พระผู้เป็นเจ้าจะทรงให้คำสาปแช่งตกอยู่แก่ท่าน ท่านจะเดือดร้อนวุ่นวายและล้มเหลวในกิจการทุกอย่างที่ท่านทำจนกว่าท่านจะถูกทำลายล้าง และถึงแก่หายนะอย่างรวดเร็ว เพราะความชั่วร้ายของท่านที่ได้ละทิ้งพระองค์[c] 21 องค์พระผู้เป็นเจ้าจะลงโทษท่านด้วยโรคภัยไข้เจ็บต่างๆ จนกว่าพระองค์จะทำลายท่านให้หมดไปจากดินแดนที่ท่านจะเข้ายึดครอง 22 องค์พระผู้เป็นเจ้าจะทรงบันดาลโรคภัยกัดกร่อนชีวิต ด้วยความเจ็บไข้และการอักเสบ ด้วยความร้อนระอุและความแห้งแล้ง ด้วยเชื้อราและแมลงทำลายต้นไม้ ซึ่งจะเล่นงานท่านจนท่านพินาศไป 23 ท้องฟ้าเหนือศีรษะของท่านจะเป็นเหมือนทองสัมฤทธิ์ และแผ่นดินเบื้องล่างจะเป็นเหมือนเหล็ก 24 องค์พระผู้เป็นเจ้าจะบันดาลให้ฝนกลายเป็นฝุ่นผงลงมาจากท้องฟ้าจนกว่าท่านจะถูกทำลายล้างไป

25 องค์พระผู้เป็นเจ้าจะทรงทำให้ท่านพ่ายแพ้ศัตรู ท่านจะออกไปประจันหน้ากับพวกเขาทางเดียว แต่เตลิดหนีจากเขาเจ็ดทาง และท่านจะกลายเป็นสิ่งที่น่าสยดสยองแก่อาณาจักรทั้งปวงในโลก 26 ซากศพของพวกท่านจะตกเป็นเหยื่อของนกในอากาศและสัตว์ป่าในแผ่นดินโลก และจะไม่มีผู้ใดขับไล่พวกมันไป 27 องค์พระผู้เป็นเจ้าจะทรงใช้ฝีอย่างที่เคยเกิดกับอียิปต์ เนื้องอก แผล เนื้อร้าย และโรคคันซึ่งรักษาไม่หายทรมานท่าน 28 องค์พระผู้เป็นเจ้าจะใช้ความคลุ้มคลั่ง ความมืดบอด และความวุ่นวายใจทรมานท่าน 29 เวลากลางวันแสกๆ ท่านจะคลำสะเปะสะปะเหมือนคนตาบอดอยู่ในความมืด ท่านจะไม่ประสบความสำเร็จในกิจการใดๆ ที่ท่านทำเลย ท่านจะถูกกดขี่ข่มเหงและถูกปล้นชิงวันแล้ววันเล่าโดยไม่มีใครช่วยท่าน

30 ท่านจะหมั้นหมายหญิงสาวไว้เป็นภรรยาแต่ชายอื่นจะข่มขืนนาง ท่านจะสร้างบ้านแต่ไม่ได้อาศัยในบ้านนั้น ท่านจะลงแรงปลูกสวนองุ่นแต่ไม่มีวันได้กินผลของมัน 31 วัวของท่านจะถูกเชือดต่อหน้าต่อตาท่านแต่ท่านจะไม่ได้ลิ้มรสมันเลย ลาของท่านจะถูกไล่ต้อนไปต่อหน้าท่านและไม่ได้กลับคืนมา แกะของท่านจะถูกยกให้แก่ศัตรูและจะไม่มีใครช่วยปกป้องมัน 32 บุตรชายบุตรสาวของท่านจะถูกยกให้เป็นทาสของชาติอื่น ท่านจะตั้งตาคอยลูกวันแล้ววันเล่าแต่ไม่อาจช่วยอะไรเขาได้ 33 คนต่างชาติซึ่งท่านไม่เคยรู้จักจะมากินผลผลิตซึ่งท่านลงแรงเพาะปลูก ตลอดวันคืนแห่งชีวิตของท่านจะมีแต่การกดขี่ข่มเหงอันโหดร้ายทารุณ 34 ท่านจะคลุ้มคลั่งไปเพราะเหตุการณ์โศกสลดที่เห็น 35 องค์พระผู้เป็นเจ้าจะทรงทรมานกายของท่านด้วยฝีที่เจ็บปวดซึ่งรักษาไม่หาย เป็นแผลลามตั้งแต่ส้นเท้าขึ้นไปถึงกลางกระหม่อม

36 องค์พระผู้เป็นเจ้าจะทรงเนรเทศท่านและกษัตริย์ซึ่งท่านเลือกให้ปกครองท่านนั้นไปยังชนชาติซึ่งท่านหรือบรรพบุรุษไม่เคยรู้จัก ท่านจะนมัสการพระอื่นๆ ซึ่งสร้างขึ้นจากไม้และหินที่นั่น 37 ท่านจะกลายเป็นสิ่งที่น่าสยดสยอง เป็นขี้ปากและคำถากถางในหมู่ชาติต่างๆ ที่องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงขับไล่ไสส่งท่านไป

38 ท่านจะหว่านมากแต่จะเก็บเกี่ยวได้น้อยเพราะตั๊กแตนมากัดกินพืชผล 39 ท่านจะปลูกสวนองุ่นและดูแลรักษา แต่ไม่ได้ดื่มเหล้าองุ่นหรือเก็บผลองุ่นเพราะมีหนอนมากัดกิน 40 ท่านจะมีต้นมะกอกทั่วแผ่นดิน แต่ไม่มีน้ำมันให้ใช้เพราะผลมะกอกจะร่วงหมด 41 ท่านจะมีบุตรชายบุตรสาว แต่ท่านจะรักษาเขาไว้ไม่ได้เพราะพวกเขาจะถูกฉุดคร่าไปเป็นเชลย 42 ฝูงตั๊กแตนจะทำลายต้นไม้และพืชผลในแผ่นดินของท่านจนหมดสิ้น

43 คนต่างด้าวซึ่งอาศัยอยู่ในหมู่พวกท่านจะรุ่งเรืองยิ่งขึ้นเรื่อยๆ แต่ท่านจะตกต่ำลงทุกที 44 เขาจะเป็นฝ่ายให้ท่านยืม ไม่ใช่ท่านเป็นฝ่ายให้เขายืม เขาจะเป็นหัว ส่วนท่านจะเป็นหาง

45 คำสาปแช่งทั้งหมดนี้จะตกแก่ท่าน และจะตามเล่นงานท่านจนย่อยยับไป เนื่องจากท่านไม่ได้เชื่อฟังพระยาห์เวห์พระเจ้าของท่านและไม่รักษาพระบัญชาและกฎหมายต่างๆ ที่ทรงให้ท่านไว้ 46 สิ่งเหล่านี้จะเป็นหมายสำคัญและการอัศจรรย์แก่ท่านและแก่วงศ์วานของท่านตลอดไป 47 เพราะท่านไม่ได้ปรนนิบัติพระยาห์เวห์พระเจ้าของท่านด้วยความชื่นชมยินดีและด้วยความเต็มใจในยามที่ท่านรุ่งเรือง 48 ฉะนั้นท่านจะต้องปรนนิบัติศัตรูซึ่งองค์พระผู้เป็นเจ้าส่งมาเล่นงานท่านอย่างหิวโหยและกระหาย อย่างเปลือยกายและสิ้นเนื้อประดาตัว พระองค์จะทรงวางแอกเหล็กบนคอของท่านจนกว่าพระองค์จะทรงทำลายท่านให้สิ้นไป

49 องค์พระผู้เป็นเจ้าจะทรงนำชนชาติหนึ่งจากแดนไกล จากสุดปลายแผ่นดินโลกซึ่งพูดภาษาที่ท่านไม่อาจเข้าใจมาต่อสู้กับท่านดั่งอินทรีโฉบ 50 เป็นชนชาติซึ่งหน้าตาดุร้าย ไม่เคารพนับถือคนชราหรือเวทนาเด็กเล็ก 51 พวกเขาจะกลืนกินลูกอ่อนจากฝูงสัตว์ของท่าน และพืชผลจากแผ่นดินของท่านจนท่านถูกทำลายสิ้น พวกเขาจะไม่เหลือเมล็ดข้าว เหล้าองุ่นใหม่ น้ำมัน ลูกวัว หรือลูกแกะจากฝูงสัตว์ของท่านจนกว่าท่านจะพินาศ 52 ชนชาตินี้จะล้อมเมืองต่างๆ ทั่วดินแดนของท่าน ตราบจนกำแพงสูงซึ่งท่านเชื่อมั่นจะพังลง พวกเขาจะล้อมเมืองทั้งสิ้นทั่วดินแดนซึ่งพระยาห์เวห์พระเจ้าของท่านกำลังจะประทานแก่ท่าน

53 ในช่วงถูกยึดเมืองซึ่งศัตรูทรมานท่านอย่างโหดร้ายทารุณนั้น ท่านถึงกับกินผลแห่งครรภ์ของท่าน คือกินเนื้อบุตรชายบุตรสาวที่พระยาห์เวห์พระเจ้าของท่านประทานแก่ท่าน 54 แม้แต่ชายที่อ่อนโยนและใจอ่อนที่สุดในพวกท่านก็ยังใจดำต่อพี่น้องของตนเอง ต่อภรรยาที่รักและบุตรของเขาที่ยังรอดชีวิตอยู่ 55 เขาจะไม่ยอมแบ่งเนื้อบุตรของตนที่เคี้ยวอยู่ให้คนเหล่านั้นสักคนเดียว นั่นเป็นทั้งหมดที่เขาเหลืออยู่ เพราะความทุกข์ยากที่ศัตรูก่อขึ้นขณะมาล้อมเมืองทั้งหมดของท่าน 56 หญิงที่อ่อนโยนและใจอ่อนที่สุดในพวกท่าน ผู้ซึ่งเท้าแทบจะไม่แตะดิน จะไม่ยอมแบ่งปันให้กับสามีที่รักหรือบุตรชายบุตรสาวของตน 57 นางจะซุกซ่อนทารกที่เพิ่งคลอดใหม่ของนางเพื่อเก็บไว้กินคนเดียวในช่วงยึดเมืองท่ามกลางความทุกข์ลำเค็ญด้วยน้ำมือของศัตรูในเมืองต่างๆ ของท่าน

58 หากท่านไม่ใส่ใจปฏิบัติตามถ้อยคำทั้งปวงในบทบัญญัติซึ่งบันทึกไว้ในหนังสือเล่มนี้ และไม่ยำเกรงพระนามอันทรงเกียรติสิริและน่าเกรงขามของพระยาห์เวห์พระเจ้าของท่านทั้งหลาย 59 องค์พระผู้เป็นเจ้าจะทรงส่งภัยพิบัติอันน่าสะพรึงกลัว ภัยพิบัติอันรุนแรงและเนิ่นนาน โรคภัยอันร้ายแรงและเรื้อรังมาเหนือท่านและวงศ์วานของท่าน 60 พระองค์จะทรงนำโรคร้ายทั้งปวงแห่งอียิปต์ซึ่งท่านขยาดกลัวยิ่งนักมายังท่าน โรคนั้นจะคงอยู่กับท่าน 61 องค์พระผู้เป็นเจ้าจะทรงนำโรคภัยและภัยพิบัติสารพัดแม้ไม่ได้บันทึกในหนังสือบทบัญญัตินี้มายังท่าน จนกว่าท่านจะถูกทำลายไป 62 แม้ว่าท่านเคยมีจำนวนมากมายเหมือนดวงดาวในท้องฟ้า ท่านก็จะเหลืออยู่เพียงน้อยนิด เพราะท่านไม่เชื่อฟังพระยาห์เวห์พระเจ้าของท่าน 63 เช่นเดียวกับที่องค์พระผู้เป็นเจ้าพอพระทัยจะให้ท่านเจริญและทวีจำนวนขึ้น พระองค์ก็จะพอพระทัยในการทำลายล้างท่าน ท่านจะถูกขุดรากถอนโคนจากแผ่นดินที่ท่านจะเข้าไปยึดครอง

64 แล้วองค์พระผู้เป็นเจ้าจะทรงทำให้ท่านกระจัดกระจายไปตามชนชาติต่างๆ จากสุดโลกด้านหนึ่งไปยังอีกด้านหนึ่ง ท่านจะกราบไหว้พระอื่นๆ ซึ่งทำจากไม้และหินที่นั่น เป็นพระที่ท่านหรือบรรพบุรุษของท่านไม่เคยรู้จักมาก่อน 65 ท่านจะไม่ได้อยู่อย่างสงบสุขเลยในหมู่ชนชาติเหล่านั้น ไม่มีแม้แต่ที่ให้วางเท้า องค์พระผู้เป็นเจ้าจะให้ท่านหวาดวิตก ทำให้ดวงตาอ่อนระโหยและดวงใจหดหู่สิ้นหวัง 66 ชีวิตของท่านจะแขวนอยู่ในความสงสัย ท่านจะวิตกว้าวุ่นทั้งกลางวันและกลางคืน ไม่มีความมั่นใจใดๆ ในชีวิต 67 ยามเช้าท่านจะพูดว่า “อยากให้เป็นเวลาเย็น!” และในยามเย็นท่านจะพูดว่า “อยากให้เป็นเวลาเช้า!” เพราะความอกสั่นขวัญแขวนที่จะเต็มล้นในใจของท่านและภาพต่างๆ ที่ตาของท่านจะเห็น 68 องค์พระผู้เป็นเจ้าจะทรงส่งท่านลงเรือกลับไปอียิปต์ซึ่งข้าพเจ้าได้เตือนไม่ให้ท่านกลับไปที่นั่นอีก ท่านจะเสนอขายตัวเองเป็นทาสชายหญิงให้แก่ศัตรูของท่านที่นั่นแต่จะไม่มีใครซื้อ

รื้อฟื้นพันธสัญญา

29 ทั้งหมดนี้คือเงื่อนไขของพันธสัญญาที่องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงบัญชาโมเสสให้ทำกับชนชาติอิสราเอลในดินแดนโมอับ เพิ่มเติมจากพันธสัญญาที่พระองค์ได้ทรงทำกับพวกเขาที่ภูเขาโฮเรบ

โมเสสได้เรียกชาวอิสราเอลทั้งปวงมาประชุมและกล่าวแก่พวกเขาว่า

ท่านได้เห็นทุกสิ่งกับตาแล้วว่าองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงทำอะไรบ้างในอียิปต์ ทั้งต่อฟาโรห์ ต่อข้าราชการทั้งปวง และต่อดินแดนทั้งสิ้นของเขา ท่านได้เห็นภัยพิบัติครั้งใหญ่ หมายสำคัญและปาฏิหาริย์อันยิ่งใหญ่เหล่านั้นด้วยตาของท่านเอง แต่จนทุกวันนี้องค์พระผู้เป็นเจ้าก็ยังไม่ได้ประทานจิตใจที่จะเข้าใจ หรือตาที่มองเห็น หรือหูที่ได้ยินแก่ท่าน เรานำเจ้าผ่านถิ่นกันดารมาตลอดสี่สิบปี เสื้อผ้าของเจ้าไม่ได้ขาดวิ่น รองเท้าไม่ได้สึกไป เจ้าไม่ได้รับประทานขนมปังและดื่มเหล้าองุ่นหรือสุรา เราทำเช่นนี้เพื่อเจ้าจะรู้ว่าเราคือพระยาห์เวห์พระเจ้าของเจ้า

เมื่อท่านมาถึงที่นี่ กษัตริย์สิโหนแห่งเฮชโบนและกษัตริย์โอกแห่งบาชานออกมารบกับพวกเรา แต่พวกเราชนะพวกเขา เรายึดครองดินแดนของพวกเขาและยกให้เป็นกรรมสิทธิ์ของเผ่ารูเบน เผ่ากาด และเผ่ามนัสเสห์ครึ่งเผ่า

จงใส่ใจปฏิบัติตามข้อกำหนดของพันธสัญญานี้ทุกประการ เพื่อท่านจะเจริญรุ่งเรืองในทุกสิ่งที่ท่านทำ 10 ในวันนี้ท่านทุกคนมาพร้อมหน้ากันที่นี่ต่อหน้าพระยาห์เวห์พระเจ้าของท่าน ทั้งผู้นำ หัวหน้าประชากร ผู้อาวุโส เจ้าหน้าที่ และชายทั้งปวงของอิสราเอล 11 พร้อมทั้งลูกๆ และภรรยาของท่าน และคนต่างด้าวในค่ายของท่านซึ่งตัดฟืนและหาบน้ำให้ท่าน 12 ท่านยืนอยู่ที่นี่เพื่อเข้าร่วมในพันธสัญญากับพระยาห์เวห์พระเจ้าของท่าน เป็นพันธสัญญาซึ่งองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงทำกับท่านในวันนี้ และทรงประทับตราด้วยคำปฏิญาณ 13 เพื่อยืนยันกับท่านในวันนี้ในฐานะที่ท่านเป็นประชากรของพระองค์ว่า พระองค์จะทรงเป็นพระเจ้าของท่านตามที่พระองค์ทรงสัญญาไว้กับท่านและตามที่พระองค์ทรงปฏิญาณไว้กับบรรพบุรุษของท่านคืออับราฮัม อิสอัค และยาโคบ 14 ข้าพเจ้าทำพันธสัญญานี้ด้วยคำปฏิญาณไม่เฉพาะกับท่าน 15 ซึ่งยืนอยู่กับเราที่นี่ต่อหน้าพระยาห์เวห์พระเจ้าของเราในวันนี้เท่านั้น แต่ทำกับบรรดาผู้ที่ไม่ได้อยู่ที่นี่ในวันนี้ด้วย

16 ท่านเองย่อมรู้ว่าเราอยู่กันอย่างไรในอียิปต์และเราเดินทางผ่านดินแดนของชาติต่างๆ มาถึงที่นี่ได้อย่างไร 17 ท่านได้เห็นเทวรูปและรูปเคารพอันน่าชิงชังซึ่งทำจากไม้ หิน เงิน และทองในหมู่พวกเขา 18 ในวันนี้จงระวังอย่าให้มีคนใด ไม่ว่าชายหรือหญิง ตระกูลหรือเผ่าใดในพวกท่าน เอาใจออกห่างจากพระยาห์เวห์พระเจ้าของเราไปกราบไหว้นมัสการพระของชนชาติอื่นๆ จงระวังอย่าให้มีรากที่แพร่พิษร้ายขมขื่นในหมู่พวกท่าน

19 เมื่อคนเช่นนั้นได้ยินถ้อยคำปฏิญาณนี้ เขาอวยพรตนเองและคิดว่า “ฉันจะยังคงปลอดภัยแม้จะดึงดันดำเนินตามทางของฉันต่อไป” พวกเขาจะนำภัยพิบัติมายังดินแดนที่ชุ่มชื้นและที่แห้งแล้ง[d] 20 องค์พระผู้เป็นเจ้าจะไม่ทรงอภัยโทษเขา พระพิโรธและความหึงหวงของพระองค์จะเผาผลาญผู้นั้น คำสาปแช่งทั้งปวงที่บันทึกไว้ในหนังสือเล่มนี้จะตกอยู่แก่ผู้นั้น และองค์พระผู้เป็นเจ้าจะทรงลบชื่อเขาออกจากใต้ฟ้าสวรรค์ 21 องค์พระผู้เป็นเจ้าจะทรงแยกผู้นั้นออกจากเผ่าทั้งปวงของอิสราเอลเพื่อลงโทษด้วยภัยพิบัติตามคำสาปแช่งทั้งสิ้นของพันธสัญญาซึ่งบันทึกไว้ในหนังสือบทบัญญัตินี้

22 แล้วบุตรหลานของท่านในชั่วอายุต่อมา และคนต่างชาติจากแดนไกลจะเห็นหายนะในแผ่นดิน และโรคภัยซึ่งองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงใช้ทรมานพวกเขา 23 ดินแดนทั้งหมดจะถูกเผาผลาญกลายเป็นถิ่นร้าง มีแต่เกลือและกำมะถัน เพาะปลูกไม่ได้ ไม่มีพืชผลผักหญ้างอกขึ้น เช่นเดียวกับหายนะของเมืองโสโดม โกโมราห์ อัดมาห์ และเศโบยิม ซึ่งองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงล้มล้างด้วยพระพิโรธอันรุนแรง 24 ชนชาติทั้งหลายจะถามว่า “ทำไมองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงทำต่อดินแดนนี้ถึงเพียงนี้? เหตุใดพระองค์ทรงพระพิโรธรุนแรงขนาดนี้?”

25 คำตอบก็คือ “เพราะชนชาตินี้ละทิ้งพันธสัญญาของพระยาห์เวห์พระเจ้าของบรรพบุรุษของพวกเขา พันธสัญญาซึ่งพระองค์ทรงทำกับพวกเขาเมื่อครั้งพระองค์ทรงนำพวกเขาออกมาจากอียิปต์ 26 พวกเขาหลงเตลิดไปกราบไหว้นมัสการพระอื่นๆ พระที่พวกเขาไม่รู้จัก พระที่พระองค์ไม่ได้ประทานให้พวกเขา 27 ฉะนั้นพระพิโรธขององค์พระผู้เป็นเจ้าจึงเผาผลาญดินแดนนี้เพื่อพระองค์จะทรงนำคำสาปแช่งทั้งปวงที่บันทึกไว้ในหนังสือนี้ลงมาเหนือดินแดนของเขา 28 โดยพระพิโรธอันร้อนแรงและความเกรี้ยวกราดอันใหญ่หลวง องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงขุดรากถอนโคนเขาออกจากแผ่นดิน และเหวี่ยงทิ้งไปในดินแดนอื่นดังที่เป็นอยู่ขณะนี้”

29 สิ่งลี้ลับทั้งหลายเป็นของพระยาห์เวห์พระเจ้าของเรา แต่สิ่งต่างๆ ที่ทรงสำแดงเป็นของเรากับลูกหลานตลอดไป เพื่อเราจะปฏิบัติตามถ้อยคำทั้งสิ้นของบทบัญญัตินี้

ความรุ่งเรืองหลังจากหันกลับมาหาองค์พระผู้เป็นเจ้า

30 เมื่อพระพรและคำสาปแช่งทั้งปวงที่ข้าพเจ้าได้ประกาศไว้เกิดขึ้น ท่านก็จะคิดได้ในขณะที่ท่านอาศัยอยู่ในชาติต่างๆ ซึ่งพระยาห์เวห์พระเจ้าของท่านทรงกระจายท่านไป และเมื่อใดที่ท่านและบุตรหลานหันกลับมาหาพระยาห์เวห์พระเจ้าของท่าน และเชื่อฟังพระองค์อย่างสุดจิตสุดใจในทุกสิ่งที่ข้าพเจ้าแจ้งท่านในวันนี้ เมื่อนั้นพระยาห์เวห์พระเจ้าของท่านก็จะทรงให้ท่านกลับรุ่งเรืองขึ้นอีกครั้งหนึ่ง[e] พระองค์จะทรงเอ็นดูสงสารท่าน และรวบรวมท่านกลับคืนมาจากชนชาติต่างๆ ซึ่งพระองค์ทรงกระจายท่านไป แม้ท่านจะถูกเนรเทศไปไกลลิบโลก พระยาห์เวห์พระเจ้าของท่านก็จะรวบรวมท่านจากที่นั่นและนำท่านกลับมาอีก พระองค์จะทรงนำท่านมายังดินแดนที่เป็นของบรรพบุรุษของท่าน และท่านจะครอบครองดินแดนนี้ พระองค์จะทรงให้ท่านรุ่งเรืองและมีจำนวนมากยิ่งกว่าบรรพบุรุษของท่าน พระยาห์เวห์พระเจ้าของท่านจะทรงให้จิตใจของท่านและของวงศ์วานของท่านเข้าสุหนัต เพื่อท่านจะรักพระองค์สุดจิตสุดใจและมีชีวิตอยู่ พระยาห์เวห์พระเจ้าของท่านก็จะทรงให้คำสาปแช่งทั้งปวงนี้ตกแก่ศัตรูผู้เกลียดชังและข่มเหงรังแกท่าน ท่านจะหวนกลับมาเชื่อฟังพระยาห์เวห์และปฏิบัติตามพระบัญชาทั้งสิ้นที่ข้าพเจ้าแจ้งท่านในวันนี้ แล้วพระยาห์เวห์พระเจ้าของท่านจะทรงให้ท่านเจริญรุ่งเรืองในการงานทุกอย่างที่ท่านทำและให้บุตรหลานทวีขึ้น ให้ฝูงสัตว์มีลูกอ่อนมากมายและพืชผลของแผ่นดินงอกงาม พระยาห์เวห์จะทรงปีติยินดีในตัวท่านและทำให้ท่านเจริญรุ่งเรืองอีกครั้งหนึ่งเหมือนอย่างที่พระองค์ทรงปีติยินดีในบรรพบุรุษของท่าน 10 หากท่านเชื่อฟังพระยาห์เวห์พระเจ้าของท่าน และถือรักษาพระบัญชาและกฎหมายของพระองค์ซึ่งบันทึกไว้ในหนังสือบทบัญญัตินี้ และหันกลับมาหาพระยาห์เวห์พระเจ้าของท่านด้วยสุดจิตสุดใจ

ข้อเสนอจะให้ชีวิตหรือความตาย

11 สิ่งที่ข้าพเจ้ากำชับท่านในวันนี้ไม่ใช่สิ่งที่เหลือบ่ากว่าแรงหรือเกินเอื้อมสำหรับท่าน 12 ไม่ได้อยู่สูงในฟ้าสวรรค์จนท่านต้องถามว่า “ใครจะขึ้นไปบนสวรรค์แล้วนำมาประกาศแก่เราเพื่อเราจะได้ปฏิบัติตาม?” 13 และไม่ใช่อยู่โพ้นทะเลจนท่านต้องถามว่า “ใครจะข้ามทะเลเพื่อนำมาประกาศแก่เราเพื่อเราจะได้ปฏิบัติตาม?” 14 เปล่าเลย แต่ถ้อยคำนี้อยู่ใกล้ตัวท่านอย่างยิ่ง อยู่ในปากและอยู่ในใจของท่านเพื่อท่านจะปฏิบัติตาม

15 ดูเถิด วันนี้ข้าพเจ้าได้ตั้งชีวิตกับความรุ่งเรืองผาสุกและความตายกับหายนะไว้ตรงหน้าท่านแล้ว 16 เพราะข้าพเจ้าได้กำชับท่านแล้วในวันนี้ให้รักพระยาห์เวห์พระเจ้าของท่าน และดำเนินตามทางของพระองค์ ให้รักษาพระบัญชา กฎหมาย และบทบัญญัติของพระองค์ แล้วท่านจะมีชีวิตอยู่และทวีจำนวนขึ้น และพระยาห์เวห์พระเจ้าของท่าน จะทรงอวยพรท่านในดินแดนซึ่งท่านจะเข้าไปยึดครอง

17 แต่หากจิตใจของท่านหันเหไปและท่านไม่ยอมเชื่อฟัง หากท่านถูกชักจูงให้ไปกราบไหว้นมัสการพระอื่นๆ 18 ข้าพเจ้าประกาศแก่ท่านในวันนี้ว่าท่านจะถูกทำลายอย่างแน่นอน ท่านมีชีวิตอยู่ได้ไม่นานในดินแดนซึ่งท่านกำลังจะข้ามแม่น้ำจอร์แดนไปครอบครอง

19 ข้าพเจ้าอ้างฟ้าสวรรค์และแผ่นดินโลกมาเป็นพยานต่อสู้ท่านว่า ในวันนี้ข้าพเจ้าได้ตั้งชีวิตและความตาย พระพรและคำสาปแช่งไว้ต่อหน้าท่าน ขอให้ท่านเลือกเอาชีวิตเถิดเพื่อท่านกับลูกหลานจะมีชีวิตอยู่ 20 และเพื่อท่านจะรักพระยาห์เวห์พระเจ้าของท่าน เชื่อฟังพระสุรเสียงของพระองค์และยึดมั่นในพระองค์ เพราะองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงเป็นชีวิตของท่านและจะทรงให้ท่านมีชีวิตอยู่ยาวนานในดินแดนที่ทรงปฏิญาณว่าจะประทานแก่บรรพบุรุษของท่าน คือแก่อับราฮัม อิสอัค และยาโคบ

แต่งตั้งโยชูวาแทนโมเสส

31 แล้วโมเสสออกไปกล่าวถ้อยคำเหล่านี้แก่ประชากรอิสราเอลทั้งปวงว่า “บัดนี้ข้าพเจ้าอายุถึง 120 ปีแล้ว ข้าพเจ้าไม่สามารถเป็นผู้นำของท่านได้อีกต่อไป องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสกับข้าพเจ้าว่า ‘เจ้าจะไม่ได้ข้ามแม่น้ำจอร์แดน’ พระยาห์เวห์พระเจ้าของท่านเองจะทรงนำท่านข้ามไป พระองค์จะทรงทำลายชนชาติต่างๆ ที่อยู่ตรงหน้าท่าน และท่านจะเข้าไปครอบครองดินแดนของพวกเขา โยชูวาจะนำท่านข้ามไปตามที่องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสไว้ และองค์พระผู้เป็นเจ้าจะทรงทำกับชนชาติเหล่านั้นเหมือนที่ทรงทำแก่กษัตริย์สิโหนและกษัตริย์โอกของชาวอาโมไรต์ ซึ่งทรงทำลายไปพร้อมกับดินแดนของเขา องค์พระผู้เป็นเจ้าจะทรงมอบพวกเขาไว้ในมือของท่าน ท่านต้องทำทุกอย่างกับพวกเขาตามที่ข้าพเจ้ากำชับไว้ จงเข้มแข็งและกล้าหาญเถิด อย่ากลัวหรือครั่นคร้ามพวกเขาเลย เพราะพระยาห์เวห์พระเจ้าของท่านเสด็จไปกับท่าน พระองค์จะไม่ทรงทอดทิ้งหรือละทิ้งท่านเลย”

แล้วโมเสสจึงเรียกโยชูวามาและกล่าวกับเขาต่อหน้าชนอิสราเอลทั้งปวงว่า “จงเข้มแข็งและกล้าหาญเถิด เพราะท่านต้องนำประชากรเหล่านี้เข้ายึดครองดินแดนซึ่งองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงปฏิญาณไว้กับบรรพบุรุษของพวกเขาว่าจะประทานแก่พวกเขา และท่านต้องแบ่งสรรดินแดนนั้นแก่พวกเขาเป็นกรรมสิทธิ์ อย่ากลัว อย่าท้อแท้เลย องค์พระผู้เป็นเจ้าเองจะทรงนำหน้าท่านและสถิตอยู่กับท่าน พระองค์จะไม่ทรงทอดทิ้งหรือละทิ้งท่านเลย”

การอ่านบทบัญญัติ

ดังนั้นโมเสสได้บันทึกบทบัญญัตินี้ และมอบให้แก่ปุโรหิตชาวเลวีผู้ทำหน้าที่หามหีบพันธสัญญาขององค์พระผู้เป็นเจ้าและแก่ผู้อาวุโสทั้งปวงของอิสราเอล 10 แล้วโมเสสกำชับพวกเขาว่า “ทุกปลายปีที่เจ็ดซึ่งเป็นปีแห่งการยกหนี้ ในช่วงเทศกาลอยู่เพิง 11 เมื่ออิสราเอลทั้งปวงมาชุมนุมกันต่อหน้าพระยาห์เวห์พระเจ้าของท่านในสถานที่ซึ่งพระองค์จะทรงเลือก จงอ่านบทบัญญัตินี้ให้พวกเขาฟังต่อหน้า 12 จงเรียกเหล่าประชากรมาชุมนุมทั้งผู้ชาย ผู้หญิง เด็ก และคนต่างด้าวที่อาศัยอยู่ในเมืองต่างๆ ของพวกท่าน เพื่อพวกเขาจะได้ฟังและเรียนรู้ที่จะยำเกรงพระยาห์เวห์พระเจ้าของท่านและปฏิบัติตามทุกถ้อยคำในบทบัญญัตินี้อย่างเคร่งครัด 13 ลูกหลานซึ่งไม่รู้จักบทบัญญัติเหล่านี้จะได้ยินและเรียนรู้ที่จะยำเกรงพระยาห์เวห์พระเจ้าของท่าน ตราบเท่าที่ท่านอาศัยอยู่ในดินแดนซึ่งท่านจะข้ามแม่น้ำจอร์แดนเข้าไปยึดครอง”

ทำนายว่าอิสราเอลจะกบฏ

14 องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสกับโมเสสว่า “ใกล้จะถึงเวลาตายของเจ้าแล้ว จงเรียกโยชูวาเข้ามาในเต็นท์นัดพบเพื่อเราจะมอบหมายภารกิจให้เขา” ดังนั้นโมเสสกับโยชูวาจึงมาที่เต็นท์นัดพบ

15 แล้วองค์พระผู้เป็นเจ้าเสด็จมาปรากฏในเสาเมฆที่ทางเข้าเต็นท์ 16 และองค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสกับโมเสสว่า “เจ้าจะล่วงลับไปอยู่กับบรรพบุรุษของเจ้า แล้วไม่นานประชากรเหล่านี้จะขายตัวให้พระของคนต่างชาติในดินแดนที่เขาจะเข้าไป เขาจะทิ้งเราและละเมิดพันธสัญญาที่เราทำไว้กับพวกเขา 17 ในวันนั้นเราจะโกรธพวกเขาและละทิ้งพวกเขา เราจะซ่อนหน้าจากพวกเขาและพวกเขาจะถูกทำลาย ภัยพิบัติและความยุ่งยากนานัปการจะเกิดกับพวกเขาจนพวกเขาพูดว่า ‘ภัยพิบัติเหล่านี้เกิดกับเราเพราะพระเจ้าของเราไม่ได้อยู่กับเราแล้วไม่ใช่หรือ?’ 18 และในวันนั้นเราจะซ่อนหน้าจากพวกเขาอย่างแน่นอน เพราะความชั่วช้าทั้งปวงของพวกเขาที่หันไปหาพระอื่นๆ

19 “บัดนี้เจ้าทั้งสองจงเขียนบทเพลงนี้และสอนประชากรอิสราเอลให้ขับร้อง เพื่อเป็นพยานฝ่ายเราต่อสู้พวกเขา 20 เมื่อเรานำพวกเขาเข้าสู่ดินแดนอันอุดมด้วยน้ำนมและน้ำผึ้งที่เราสัญญาด้วยคำปฏิญาณไว้กับบรรพบุรุษของพวกเขา เมื่อพวกเขาอิ่มหมีพีมันและรุ่งเรือง พวกเขาจะหันไปนมัสการพระอื่นแล้วละทิ้งเราและละเมิดพันธสัญญาของเรา 21 เมื่อภัยพิบัติและความยุ่งยากนานัปการเกิดกับพวกเขา บทเพลงนี้จะเป็นพยานต่อสู้พวกเขา เพราะลูกหลานของพวกเขาจะไม่ลืมบทเพลงนี้ เรารู้อยู่แล้วว่าพวกเขามีแนวโน้มจะทำอะไรตั้งแต่ก่อนที่เราจะนำพวกเขาเข้าไปในดินแดนซึ่งเราสัญญาด้วยคำปฏิญาณกับพวกเขา” 22 ดังนั้นโมเสสจึงเขียนเนื้อเพลงบทนี้ในวันนั้นและสอนชาวอิสราเอล

23 พระองค์ทรงบัญชาโยชูวาบุตรนูนว่า “จงเข้มแข็งและกล้าหาญเถิด เพราะเจ้าจะนำประชากรอิสราเอลเข้าสู่ดินแดนที่เราสัญญาด้วยคำปฏิญาณไว้กับพวกเขา และเราเองจะอยู่กับเจ้า”

24 เมื่อโมเสสเขียนบทบัญญัติทั้งปวงซึ่งบันทึกไว้ในหนังสือนี้ตั้งแต่ต้นจนจบแล้ว 25 ท่านกำชับคนเลวีซึ่งหามหีบพันธสัญญาขององค์พระผู้เป็นเจ้าว่า 26 “จงวางหนังสือบทบัญญัตินี้ไว้ข้างหีบพันธสัญญาของพระยาห์เวห์พระเจ้าของท่าน และมันจะอยู่ที่นั่นเป็นพยานต่อสู้พวกท่าน 27 เพราะข้าพเจ้ารู้อยู่ว่าพวกท่านชอบกบฏและดื้อรั้นหัวแข็งเพียงใด แม้ทุกวันนี้ซึ่งข้าพเจ้ายังอยู่กับท่าน ท่านยังกบฏต่อองค์พระผู้เป็นเจ้าถึงเพียงนี้ ท่านจะยิ่งกบฏมากขึ้นสักเพียงใดหลังจากที่ข้าพเจ้าตายไปแล้ว! 28 จงเรียกผู้อาวุโสประจำเผ่าทั้งปวงและเจ้าหน้าที่ทั้งหมดของท่านมาประชุมเพื่อข้าพเจ้าจะกล่าวถ้อยคำเหล่านี้ให้เขาฟัง และอ้างฟ้าสวรรค์และแผ่นดินโลกมาเป็นพยานต่อสู้พวกเขา 29 เพราะข้าพเจ้ารู้อยู่ว่าหลังจากข้าพเจ้าตายไปแล้ว ท่านจะเสื่อมทรามลงและหันเหจากทางที่ข้าพเจ้ากำชับท่านไว้ ในเวลาต่อมาภัยพิบัติย่อมเกิดแก่ท่าน เพราะท่านจะทำสิ่งที่ชั่วในสายพระเนตรขององค์พระผู้เป็นเจ้าและยั่วยุพระพิโรธของพระองค์ด้วยสิ่งที่มือของท่านได้ทำ”

บทเพลงของโมเสส

30 แล้วโมเสสจึงท่องบทเพลงตั้งแต่ต้นจนจบให้ชุมชนอิสราเอลฟังดังนี้

32 ฟ้าสวรรค์เอ๋ย ฟังเถิดที่ข้าพเจ้าจะกล่าว
แผ่นดินโลกเอ๋ย จงสดับวาจาจากปากของข้าพเจ้า
ขอให้คำสอนของข้าพเจ้าพรั่งพรูลงมาดั่งฝน
และให้ถ้อยคำของข้าพเจ้าหยาดหยดมาดุจน้ำค้าง
เหมือนสายฝนโปรยปรายลงบนหญ้าอ่อน
เหมือนฝนชุ่มรินรดพืชพันธุ์เขียวสด

ข้าพเจ้าจะประกาศพระนามของพระยาห์เวห์
ขอสดุดีความยิ่งใหญ่ของพระเจ้าของเรา!
พระองค์ทรงเป็นพระศิลา พระราชกิจของพระองค์สมบูรณ์พร้อม
และวิถีทางของพระองค์ล้วนยุติธรรม
ทรงเป็นพระเจ้าผู้ซื่อสัตย์ผู้ไม่ทำสิ่งที่ผิดใดๆ เลย
พระองค์ทรงชอบธรรมและยุติธรรม

พวกเขาทำตัวเสื่อมทรามต่อพระองค์
น่าอับอายขายหน้าเกินกว่าจะเป็นลูกของพระเจ้าต่อไป
พวกเขาเป็นคนรุ่นที่วิปริตและกลับกลอก[f]
ท่านตอบสนองต่อองค์พระผู้เป็นเจ้าเช่นนี้หรือ
ประชากรที่โง่เขลาเบาปัญญา?
พระเจ้าไม่ใช่พระบิดาพระผู้สร้างของท่าน[g]
ผู้ทรงก่อร่างสร้างท่านขึ้นมาหรือ?

จงระลึกถึงวันคืนเก่าก่อน
คิดถึงชั่วอายุตั้งแต่อดีตนานมา
ถามบิดาของท่านดูเถิด เขาจะบอกท่านได้
ถามบรรดาผู้อาวุโสเถิด พวกเขาจะอธิบายให้ฟัง
เมื่อองค์ผู้สูงสุดประทานกรรมสิทธิ์แก่ชนชาติต่างๆ
เมื่อทรงแยกมวลมนุษยชาติ
พระองค์ทรงกำหนดเขตชนชาติทั้งหลาย
ตามจำนวนบุตรของอิสราเอล[h]
ส่วนขององค์พระผู้เป็นเจ้าคือประชากรของพระองค์
ยาโคบคือส่วนกรรมสิทธิ์ของพระองค์

10 พระองค์ทรงพบเขาในถิ่นกันดารอันเริศร้าง
และเต็มไปด้วยเสียงโหยหวน
พระองค์ทรงปกป้องและดูแลเขา
พระองค์ทรงพิทักษ์เขาดั่งแก้วพระเนตรของพระองค์
11 เหมือนนกอินทรีตะกุยรังของมัน
และบินร่อนอยู่เหนือลูกอ่อน
กางปีกออกรองรับ
ประคับประคองพาลูกบินไป
12 องค์พระผู้เป็นเจ้าผู้เดียวทรงนำเขาไป
ไม่มีพระต่างด้าวอยู่กับเขา

13 พระองค์ทรงทำให้เขาทะยานไปตามเบื้องสูงแห่งแผ่นดิน
และทรงเลี้ยงดูเขาด้วยผลผลิตจากท้องทุ่ง
ทรงบำรุงเลี้ยงเขาด้วยน้ำผึ้งจากศิลา
และด้วยน้ำมันจากหินผา
14 ด้วยน้ำนมและนมข้นจากฝูงสัตว์
และด้วยแพะแกะอ้วนพี
กับแกะผู้ชั้นเยี่ยมแห่งบาชาน
และข้าวสาลีที่ดีที่สุด
เขาดื่มน้ำองุ่นสีแดงก่ำที่มีฟอง

15 เยชูรุน[i] อ้วนพีขึ้นก็พยศ
ครั้นอิ่มหนำก็อ้วนใหญ่ ขนเป็นมันปลาบ
เขาทอดทิ้งพระเจ้าผู้ทรงสร้างเขา
ปฏิเสธพระศิลาพระผู้ช่วยให้รอดของตน
16 พวกเขายั่วยุให้พระองค์อิจฉาด้วยพระต่างด้าวทั้งปวงของเขา
และยั่วยุพระพิโรธของพระองค์ด้วยรูปเคารพอันน่าชิงชังทั้งหลาย
17 พวกเขาเซ่นสังเวยแก่ภูตผีปีศาจซึ่งไม่ใช่พระเจ้า
เป็นพระซึ่งเขาไม่เคยรู้จัก
พระซึ่งเพิ่งปรากฏ
พระซึ่งบรรพบุรุษของท่านไม่เกรงกลัว
18 ท่านได้ทอดทิ้งพระศิลาผู้ให้กำเนิดท่าน
ท่านลืมพระเจ้าผู้ทรงให้ท่านเกิดมา

19 องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงเห็นเช่นนี้และทรงละทิ้งเขา
เพราะว่าบุตรชายบุตรสาวของพระองค์ทำให้พระองค์ทรงพระพิโรธ
20 พระองค์ตรัสว่า “เราจะซ่อนหน้าจากพวกเขา
และดูว่าบั้นปลายของเขาจะเป็นเช่นใด
เพราะเขาเป็นคนรุ่นที่นอกลู่นอกรอย
ลูกหลานผู้ไม่ซื่อสัตย์
21 เขาทำให้เราอิจฉาสิ่งที่ไม่ใช่พระ
และยั่วโทสะเราด้วยรูปเคารพอันไร้ค่า
เราจะทำให้เขาอิจฉาผู้ที่ไม่ใช่ชนชาติ
เราจะยั่วโทสะเขาด้วยประชาชาติที่ไม่มีความเข้าใจ
22 เพราะโทสะของเราจุดเปลวไฟ
ซึ่งเผาถึงก้นบึ้งของแดนมรณา
ไฟนั้นจะเผาผลาญโลกและพืชผลทั้งปวง
และบันดาลให้ภูเขาทั้งหลายลุกเป็นไฟ

23 “เราจะสุมหายนะลงเหนือพวกเขา
และยิงธนูเข้าใส่พวกเขา
24 เราจะส่งการกันดารอาหารมาต่อสู้พวกเขา
ส่งโรคระบาดอันล้างผลาญและภัยพิบัติร้ายแรงมาเล่นงานพวกเขา
เราจะส่งเขี้ยวเล็บของสัตว์ป่ามาทำร้ายพวกเขา
ส่งพิษของงูร้ายซึ่งเลื้อยมาในผงคลี
25 ตามท้องถนนมีคมดาบปลิดชีวิตลูกหลานของพวกเขา
ภายในบ้านมีความหวาดหวั่นพรั่นพรึง
ชายหนุ่มและหญิงสาวจะพินาศ
ทั้งทารกและคนสูงอายุ
26 เราพูดแล้วว่าเราจะกระจายพวกเขาออกไป
และลบพวกเขาให้เลือนหายไปจากความทรงจำของมนุษยชาติ
27 แต่เราหวั่นคำถากถางของศัตรู
เกรงว่าปฏิปักษ์จะเข้าใจผิด
และพูดว่า ‘มือของเราพิชิตชัยชนะ
องค์พระผู้เป็นเจ้าไม่ได้ทรงทำอะไรเลย’ ”

28 พวกเขาเป็นชนชาติที่ไร้ความคิด
ขาดความฉลาดหลักแหลม
29 ถ้าเพียงแต่พวกเขาฉลาดและเข้าใจ
และมองออกว่าบั้นปลายของตนจะเป็นเช่นใด!
30 คนคนเดียวจะไล่คนเป็นพันได้อย่างไร?
หรือสองคนทำให้คนเป็นหมื่นหนีเตลิดได้อย่างไร?
ถ้าไม่ใช่เพราะพระศิลาของพวกเขาได้ขายพวกเขาเสียแล้ว
ถ้าไม่ใช่เพราะองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงมอบพวกเขาไว้แล้ว
31 เพราะศิลาของชนชาติอื่นๆ ไม่เหมือนพระศิลาของเรา
แม้ศัตรูของเราก็ยอมรับเช่นนั้น
32 เทือกเถาของพวกเขามาจากเทือกเถาแห่งโสโดม
และจากท้องทุ่งแห่งโกโมราห์
ผลองุ่นของพวกเขาเต็มไปด้วยยาพิษ
พวงองุ่นของพวกเขามีแต่ความขมขื่น
33 เหล้าองุ่นของพวกเขาคือพิษงูร้าย
เป็นพิษร้ายของงูเห่า

34 “เราเก็บงำเรื่องนี้
และประทับตราเก็บไว้ในคลังของเราไม่ใช่หรือ?
35 การแก้แค้นเป็นหน้าที่ของเราเอง เราจะคืนสนอง
เมื่อถึงเวลาเท้าของพวกเขาจะลื่นไถล
วันแห่งหายนะของพวกเขาใกล้เข้ามาแล้ว
และความย่อยยับจะถาโถมเข้าใส่พวกเขา”

36 องค์พระผู้เป็นเจ้าจะทรงพิพากษาประชากรของพระองค์
และทรงสงสารเอ็นดูผู้รับใช้ของพระองค์
เมื่อพระองค์ทอดพระเนตรเห็นพละกำลังของพวกเขาเสื่อมลง
และไม่มีใครหลงเหลืออยู่ ไม่ว่าทาสหรือไท
37 พระองค์จะตรัสว่า “พระทั้งหลายของพวกเขาไปไหนเสียเล่า
ศิลาที่พวกเขาลี้ภัยไปไหนเสียแล้ว
38 ไหนล่ะพระที่กินไขมันของเครื่องบูชา
และดื่มเหล้าองุ่นของเครื่องดื่มบูชาของพวกเขา?
ให้พระเหล่านั้นลุกขึ้นมาช่วยพวกเจ้าสิ!
ให้พระเหล่านั้นมาให้ที่พักพิงแก่พวกเจ้าสิ!

39 “จงดูเถิด เราเองนี่แหละคือผู้นั้น!
ไม่มีพระอื่นใดนอกจากเรา
เราทำให้ตายและเราให้ชีวิต
เราทำให้บาดเจ็บและเราจะรักษาให้หาย
และไม่มีผู้ใดช่วยให้พ้นมือของเราไปได้
40 เราชูมือขึ้นฟ้าและประกาศว่า
เราดำรงอยู่นิรันดร์ฉันใด
41 เมื่อเราลับดาบอันวาววับของเรา
และเมื่อเรากุมการพิพากษาไว้ในมือ
เราจะแก้แค้นศัตรูของเรา
และตอบแทนผู้ที่เกลียดชังเราฉันนั้น
42 เราจะทำให้ลูกศรของเราดื่มเลือดจนเมามาย
ส่วนดาบของเราจะกินเนื้อ
คือเลือดเนื้อของผู้ถูกสังหารและเชลย
ศีรษะของบรรดาผู้นำของศัตรู”

43 ประชาชาติทั้งหลายเอ๋ย จงชื่นชมยินดีร่วมกับประชากรของพระองค์เถิด[j][k]
เพราะพระองค์จะทรงแก้แค้นให้แก่โลหิตของผู้รับใช้ของพระองค์
พระองค์จะล้างแค้นศัตรูของพระองค์
และลบมลทินบาปให้แก่ดินแดนและประชากรของพระองค์

44 โมเสสมากับโยชูวา[l]บุตรนูน กล่าวเนื้อเพลงทั้งบทนี้ให้ประชาชนฟัง 45 เมื่อโมเสสท่องข้อความให้อิสราเอลทั้งปวงฟังจบแล้ว 46 ก็กล่าวแก่พวกเขาว่า “จงจำใส่ใจทุกถ้อยคำที่ข้าพเจ้าได้ประกาศแก่ท่านอย่างหนักแน่นในวันนี้ เพื่อท่านจะกำชับบุตรหลานให้ใส่ใจปฏิบัติตามทุกถ้อยคำในบทบัญญัตินี้ 47 บทบัญญัตินี้ไม่ได้เป็นเพียงถ้อยคำที่พูดไปเปล่าๆ แต่เป็นชีวิตของท่าน โดยบทบัญญัตินี้ท่านจะมีชีวิตอยู่ยาวนานในดินแดนซึ่งท่านกำลังจะข้ามแม่น้ำจอร์แดนไปครอบครอง”

โมเสสจะสิ้นชีวิตบนภูเขาเนโบ

48 ในวันเดียวกันนั้นองค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสกับโมเสสว่า 49 “จงขึ้นไปบนภูเขาเนโบในเทือกเขาอาบาริม ในโมอับตรงข้ามเมืองเยรีโค และมองดูคานาอัน ดินแดนซึ่งเรายกให้เป็นกรรมสิทธิ์แก่ชนอิสราเอล 50 บนภูเขาที่เจ้าขึ้นไปนั้น เจ้าจะตายไปอยู่ร่วมกับญาติพี่น้องของเจ้า เช่นเดียวกับอาโรนพี่ชายของเจ้าซึ่งตายที่ภูเขาโฮร์และถูกรวบไปอยู่กับญาติพี่น้องของเขา 51 เพราะเจ้าทั้งสองไม่ได้ให้เกียรติเราต่อหน้าชนอิสราเอลที่สายน้ำแห่งเมรีบาห์คาเดชในถิ่นกันดารศิน และไม่ได้เชิดชูความบริสุทธิ์ของเราในหมู่ชนอิสราเอล 52 ฉะนั้นเจ้าจะเห็นดินแดนนั้นแต่ไกล เจ้าจะไม่ได้เข้าไปในดินแดนซึ่งเราจะยกให้ประชากรอิสราเอล”

โมเสสอวยพรเผ่าต่างๆ(A)

33 ก่อนสิ้นชีวิต โมเสสคนของพระเจ้าได้อวยพรประชากรอิสราเอล เขากล่าวว่า

องค์พระผู้เป็นเจ้าเสด็จจากซีนาย
ทรงฉายแสงอรุณเหนือพวกเขาจากเสอีร์
ทรงเปล่งรังสีจากภูเขาปาราน
พระองค์เสด็จมากับ[m]ผู้บริสุทธิ์นับหมื่นแสน
จากทิศใต้ จากลาดเขา[n]ของพระองค์
แน่นอน พระองค์ทรงรักเหล่าประชากร
วิสุทธิชนทั้งปวงอยู่ในพระหัตถ์
พวกเขากราบลงแทบพระบาท
และรับการสั่งสอนจากพระองค์
คือบทบัญญัติที่โมเสสให้แก่เราไว้
เป็นกรรมสิทธิ์ของชุมชนยาโคบ
พระองค์ทรงเป็นกษัตริย์เหนือเยชูรุน[o]
เมื่อบรรดาผู้นำมาชุมนุมกัน
ร่วมกับเผ่าต่างๆ ของอิสราเอล

“ขอให้รูเบนดำรงอยู่เป็นอมตะ
อย่าให้[p] คนของเขามีน้อย”

และเขากล่าวถึงยูดาห์ว่า

“ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้าขอทรงฟังเสียงร่ำร้องของยูดาห์
ประสานเขาเข้ากับชนชาติของเขา
เขาต่อสู้ฟันฝ่าด้วยมือของเขาเอง
ขอทรงช่วยยูดาห์ต่อกรกับศัตรู!”

เขากล่าวถึงเผ่าเลวีว่า

“อูริมและทูมมิมของพระองค์
อยู่กับผู้ที่พระองค์ทรงโปรดปราน
พระองค์ทรงทดสอบเขาที่มัสสาห์
พระองค์ทรงต่อสู้กับเขาที่ห้วงน้ำเมรีบาห์
เขากล่าวถึงบิดามารดาของตนว่า
‘ข้าพเจ้าไม่เห็นแก่หน้าพวกเขา’
เขาไม่เห็นแก่พี่น้องของเขา
ไม่เห็นแก่บุตรของเขา
แต่เขาพิทักษ์รักษาพระดำรัสของพระองค์
และปกป้องพันธสัญญาของพระองค์
10 เขาจะสอนพระโอวาทของพระองค์แก่ยาโคบ
และสอนบทบัญญัติของพระองค์แก่อิสราเอล
เขาถวายเครื่องหอมต่อหน้าพระองค์
และถวายเครื่องเผาบูชาทั้งสิ้นบนแท่นของพระองค์
11 ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้าขอทรงอวยพรความชำนาญทั้งสิ้นของเขา
และพอพระทัยผลงานที่เขาทำ
ขอทรงบดขยี้ผู้ที่ต่อสู้เขา
ขอทรงฟาดฟันศัตรูของเขาจนลุกขึ้นไม่ได้อีกต่อไป”

12 เขากล่าวถึงเผ่าเบนยามินว่า

“ขอให้ผู้ที่องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงรักพักพิงในพระองค์อย่างมั่นคงปลอดภัย
เพราะพระองค์ทรงปกป้องเขาวันยังค่ำ
และให้ผู้ที่พระองค์ทรงรักพักอยู่แนบพระทรวงของพระองค์”

13 เขากล่าวถึงเผ่าโยเซฟว่า

“ขอองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงอวยพรดินแดนของเขา
ด้วยน้ำค้างล้ำเลิศจากฟ้าสวรรค์เบื้องบน
และด้วยห้วงน้ำลึกเบื้องล่าง
14 ด้วยผลผลิตยอดเยี่ยมจากดวงตะวัน
และด้วยผลผลิตที่ดีที่สุดตามฤดูกาล[q]
15 ด้วยของขวัญเลอเลิศจากภูเขาดึกดำบรรพ์
ด้วยความสมบูรณ์พูนผลจากภูเขาอันถาวรนิรันดร์
16 ด้วยของขวัญล้ำค่าจากผืนแผ่นดิน และความอุดมสมบูรณ์จากพื้นพสุธา
และด้วยความโปรดปรานจากพระองค์ผู้ประทับในพุ่มไม้ที่ลุกเป็นไฟ
ขอให้พรทั้งปวงนี้มาเหนือโยเซฟ
เหนือเจ้านายในหมู่พี่น้อง[r]
17 ผู้ทรงไว้ซึ่งศักดาดุจลูกวัวหนุ่มหัวปี
เขาสัตว์ของเขาคือเขาของวัวป่า
เขาจะขวิดประชาชาติทั้งหลายด้วยเขาสัตว์เหล่านั้น
แม้ประชาชาติที่อยู่สุดปลายแผ่นดินโลก
นี่แหละคือชนเอฟราอิมนับหมื่น
และชนมนัสเสห์นับพัน”

18 เขากล่าวถึงเผ่าเศบูลุนว่า

“จงร่าเริงยินดีเถิด เศบูลุนเอ๋ย เมื่อท่านออกไป
และท่านอิสสาคาร์เอ๋ย จงร่าเริงยินดีในเต็นท์ของท่าน
19 พวกเขาจะเรียกประชากรมาชุมนุมที่ภูเขา
และถวายเครื่องบูชาแห่งความชอบธรรมที่นั่น
เขาจะเฉลิมฉลองความอุดมสมบูรณ์แห่งท้องทะเล
เฉลิมฉลองทรัพย์สมบัติที่ซ่อนไว้ในหาดทราย”

20 เขากล่าวถึงเผ่ากาดว่า

“ขอถวายสรรเสริญแด่พระองค์ผู้ทรงขยายอาณาจักรของกาด!
กาดมีชีวิตอยู่เยี่ยงราชสีห์
ซึ่งฉีกทึ้งแขนหรือศีรษะ
21 เขาเลือกดินแดนดีเยี่ยมที่สุดไว้เป็นของตนเอง
ส่วนที่เป็นของผู้นำถูกสงวนไว้สำหรับเขา
เมื่อบรรดาหัวหน้าของประชาชนมาชุมนุมกัน
เขาทำให้ลุล่วงตามพระประสงค์อันชอบธรรมขององค์พระผู้เป็นเจ้า
และตามพระวินิจฉัยเกี่ยวกับอิสราเอล”

22 เขากล่าวถึงเผ่าดานว่า

“ดานเหมือนลูกสิงห์
โลดแล่นออกมาจากบาชาน”

23 เขากล่าวถึงเผ่านัฟทาลีว่า

“นัฟทาลีอิ่มเอิบด้วยความโปรดปรานจากองค์พระผู้เป็นเจ้า
และเต็มเปี่ยมด้วยพระพรของพระองค์
เขาจะครอบครองไปทางใต้ถึงทะเลสาบ”

24 เขากล่าวถึงเผ่าอาเชอร์ว่า

“อาเชอร์เป็นลูกที่ได้รับพรมากที่สุด
ขอให้เขาเป็นที่ชื่นชอบของพี่ๆ น้องๆ
และให้เขาล้างเท้าด้วยน้ำมัน
25 ดาลประตูของท่านจะเป็นเหล็กและทองสัมฤทธิ์
และพลังวังชาของท่านจะอยู่คู่คืนวันของท่าน

26 “ไม่มีผู้ใดเสมอเหมือนพระเจ้าแห่งเยชูรุน
ผู้ประทับอยู่บนฟ้าสวรรค์เพื่อช่วยท่าน
ผู้ประทับเหนือเมฆด้วยพระบารมีของพระองค์
27 พระเจ้าองค์นิรันดร์เป็นที่ลี้ภัยของท่าน
และเบื้องล่างคืออ้อมแขนอันนิรันดร์
พระองค์จะทรงขับไล่เหล่าศัตรูออกไปให้พ้นหน้าท่าน
ตรัสว่า ‘จงทำลายพวกเขาเสีย!’
28 ฉะนั้นอิสราเอลจะอาศัยอยู่โดยสวัสดิภาพ
ธารน้ำพุของยาโคบมั่นคง
ในดินแดนแห่งข้าวและเหล้าองุ่นใหม่
ที่ซึ่งฟ้าสวรรค์หยาดรินน้ำค้างลงมา
29 อิสราเอลเอ๋ย! พระพรนี้มีแก่ท่าน
ใครเล่าเสมอเหมือนท่าน?
ชนชาติซึ่งองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงช่วยให้รอด
พระองค์ทรงเป็นโล่และเป็นผู้ช่วยท่าน
และทรงเป็นดาบอันรุ่งโรจน์ของท่าน
ศัตรูของท่านจะก้มหัวให้ท่าน
และท่านจะย่ำบนที่สูง[s]ของเขา”

โมเสสสิ้นชีวิต

34 จากที่ราบโมอับ โมเสสขึ้นไปยังยอดเขาปิสกาห์บนภูเขาเนโบ ตรงข้ามเมืองเยรีโค ที่นั่นองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงแสดงดินแดนทั้งหมดให้เขาเห็น คือจากกิเลอาดจนจดดาน เขตทั้งหมดของนัฟทาลี เขตแดนของเอฟราอิมกับมนัสเสห์ เขตแดนทั้งหมดของยูดาห์จนจดทะเลเมดิเตอร์เรเนียน เนเกบและภูมิภาคทั้งหมด จากหุบเขาเยรีโคนครแห่งต้นอินทผลัมจนจดโศอาร์ แล้วองค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสกับเขาว่า “นี่คือดินแดนที่เราสัญญาด้วยคำปฏิญาณไว้กับอับราฮัม อิสอัค และยาโคบ เมื่อเรากล่าวว่า ‘เราจะยกดินแดนนี้ให้แก่วงศ์วานของเจ้า’ ตอนนี้เราให้เจ้าเห็นกับตาแล้ว แต่เจ้าจะไม่ได้ข้ามไป”

และโมเสสผู้รับใช้ขององค์พระผู้เป็นเจ้าก็สิ้นชีวิตลงที่นั่นในโมอับตามที่องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสไว้ พระองค์ทรงฝังเขา[t]ไว้ในหุบเขาตรงข้ามเบธเปโอร์ในโมอับ แต่ไม่มีผู้ใดทราบตำแหน่งที่แน่นอนตราบจนทุกวันนี้ โมเสสสิ้นชีวิตเมื่ออายุได้ 120 ปี สายตายังดีและเรี่ยวแรงไม่ได้ถดถอย ประชากรอิสราเอลไว้ทุกข์ให้โมเสสเป็นเวลาสามสิบวันในที่ราบโมอับนั้น จนกระทั่งช่วงเวลาแห่งการร้องไห้ไว้ทุกข์จบสิ้นลง

โยชูวาบุตรนูนประกอบด้วยพระวิญญาณแห่งสติปัญญาเพราะโมเสสได้วางมือบนเขา ประชากรอิสราเอลจึงเชื่อฟังเขาและทำสิ่งที่องค์พระผู้เป็นเจ้าได้ทรงบัญชาโมเสสไว้

10 ตั้งแต่นั้นมาไม่มีผู้เผยพระวจนะคนใดในอิสราเอลเสมอเหมือนโมเสสผู้ซึ่งองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงรู้จักหน้าต่อหน้า 11 ผู้ได้ทำหมายสำคัญและปาฏิหาริย์ทั้งปวงที่องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงใช้เขาไปทำในอียิปต์ต่อฟาโรห์ ข้าราชบริพาร และต่อดินแดนทั้งหมดของเขา 12 ไม่เคยมีผู้ใดสำแดงอานุภาพเกรียงไกรหรือทำสิ่งน่าครั่นคร้ามดังที่โมเสสทำในสายตาของอิสราเอลทั้งปวง

Thai New Contemporary Bible (TNCV)

Thai New Contemporary Bible Copyright © 1999, 2001, 2007 by Biblica, Inc.® Used by permission. All rights reserved worldwide.