Print Page Options
Previous Prev Day Next DayNext

Bible in 90 Days

An intensive Bible reading plan that walks through the entire Bible in 90 days.
Duration: 88 days
Thai New Testament: Easy-to-Read Version (ERV-TH)
Version
โยชูวา 1-14

พระยาห์เวห์เลือกโยชูวา

หลังจากที่โมเสส ผู้รับใช้ของพระเจ้าตายไป พระยาห์เวห์ได้พูดกับโยชูวา[a] ผู้เป็นลูกชายของนูน และเป็นผู้ช่วยของโมเสสว่า “โมเสสผู้รับใช้ของเราได้ตายไปแล้ว ตอนนี้ ให้เจ้าและคนพวกนี้ทั้งหมดลุกขึ้น และข้ามแม่น้ำจอร์แดนเข้าไปยังแผ่นดินที่เรากำลังยกให้กับพวกเขา คือชาวอิสราเอล ทุกๆที่ที่พวกเจ้าย่างก้าวเข้าไป เราได้ยกให้กับพวกเจ้าแล้ว ตามที่เราได้สัญญาไว้กับโมเสส ดินแดนทั้งหมดนี้จะเป็นของพวกเจ้า คือตั้งแต่ที่เปล่าเปลี่ยวแห้งแล้งและเลบานอนนี้ ไกลไปจนถึงแม่น้ำสายใหญ่ คือแม่น้ำยูเฟรติส รวมถึงดินแดนทั้งหมดของชาวฮิตไทต์ และต่อไปจนถึงทะเลเมดิเตอร์เรเนียนทางทิศตะวันตก ตลอดชีวิตของเจ้าจะไม่มีใครสามารถขัดขวางเจ้าได้ เราจะอยู่กับเจ้าเหมือนกับที่เราอยู่กับโมเสส เราจะไม่ละทิ้งเจ้าหรือจากเจ้าไป

โยชูวาให้เข้มแข็งและกล้าหาญไว้ เพราะเจ้าจะเป็นผู้นำคนพวกนี้ให้เข้าไปครอบครองแผ่นดินนั้น ที่เราได้สัญญาไว้กับบรรพบุรุษของพวกเขา ว่าจะยกให้กับพวกเขา ขอเพียงแต่ให้เจ้าเข้มแข็งและกล้าหาญไว้ และให้ทำตามคำสั่งสอนทั้งหมดอย่างเคร่งครัด คือคำสั่งที่โมเสสผู้รับใช้ของเราได้สั่งเจ้าไว้ เจ้าต้องไม่หันซ้ายหันขวาไปจากคำสอนนั้น เพื่อเจ้าจะได้ประสบความสำเร็จในทุกสิ่งที่เจ้าทำ เจ้าต้องไม่หยุดพูดถึงกฎในหนังสือเล่มนี้ และเจ้าต้องไตร่ตรองมันทั้งวันทั้งคืน เพื่อเจ้าจะได้ทำตามสิ่งที่ได้เขียนไว้ในกฎนั้นอย่างเคร่งครัด แล้วเจ้าจะได้เจริญรุ่งเรืองและประสบความสำเร็จ อย่าลืมว่าเราได้สั่งเจ้าให้เข้มแข็งและกล้าหาญไว้ อย่าได้หวาดกลัวหรือท้อถอย เพราะเรา ยาห์เวห์ พระเจ้าของเจ้า จะอยู่กับเจ้าในทุกที่ที่เจ้าไป”

โยชูวาสั่งการ

10 แล้วโยชูวาได้สั่งพวกผู้นำของประชาชนว่า 11 “ให้เข้าไปในค่ายและสั่งกับประชาชนว่า ‘เตรียมเสบียงอาหารสำหรับตัวเอง เพราะในอีกสามวัน พวกเราจะข้ามแม่น้ำจอร์แดน เพื่อเข้าไปยึดครองแผ่นดินที่พระยาห์เวห์พระเจ้าของพวกเรากำลังยกให้กับเรา’”

12 แล้วโยชูวาพูดกับคนเผ่ารูเบน คนเผ่ากาด และคนเผ่ามนัสเสห์ครึ่งหนึ่งว่า 13 “อย่าลืมสิ่งที่โมเสสผู้รับใช้พระยาห์เวห์ ได้พูดไว้กับพวกท่าน ที่ว่า ‘พระยาห์เวห์พระเจ้าของพวกท่าน จะยกแผ่นดินนี้ให้เป็นที่อยู่อันสงบปลอดภัยสำหรับพวกท่าน’ 14 พวกเมียๆและลูกๆของท่านรวมทั้งสัตว์เลี้ยงต่างๆจะอยู่ในดินแดนฝั่งนี้ของแม่น้ำจอร์แดนที่โมเสสได้ยกให้กับท่าน แต่พวกนักรบทั้งหมดของท่านจะถืออาวุธพร้อมมือ เป็นทัพหน้า นำพี่น้องข้ามไปฝั่งโน้น พวกท่านต้องช่วยพี่น้องของท่าน 15 จนกว่าพระยาห์เวห์จะให้ที่อยู่อันสงบปลอดภัยกับพวกเขา เหมือนกับที่พระองค์ให้กับท่าน และจนกว่าพวกเขาจะได้ครอบครองดินแดนที่พระยาห์เวห์พระเจ้าของท่านกำลังยกให้กับพวกเขา เมื่อนั้นท่านถึงจะกลับไปยังดินแดนที่ท่านได้ครอบครองไว้แล้ว คือดินแดนที่โมเสสผู้รับใช้ของพระยาห์เวห์ได้ยกให้กับท่าน เป็นดินแดนที่อยู่อีกฝั่งหนึ่งของแม่น้ำจอร์แดนทางทิศตะวันออก”

16 พวกเขาตอบโยชูวาว่า “พวกเราจะทำตามคำสั่งของท่านทุกอย่าง และไม่ว่าท่านจะให้เราไปที่ไหน เราก็จะไปที่นั่น 17 พวกเราเคยเชื่อฟังโมเสสยังไง ก็จะเชื่อฟังท่านอย่างนั้นด้วย ขอเพียงแต่ให้พระยาห์เวห์พระเจ้าของท่านอยู่กับท่านเหมือนกับที่พระองค์อยู่กับโมเสส 18 ใครก็ตามที่ขัดขืนคำสั่งท่าน และไม่ยอมเชื่อฟังทุกสิ่งที่ท่านสั่ง คนๆนั้นจะต้องถูกฆ่าตาย ขอเพียงแต่ให้ท่านเข้มแข็งและกล้าหาญไว้”

การสอดแนมเมืองเยริโค

ต่อมาโยชูวาลูกชายของนูน จึงแอบส่งชายสองคน ที่เป็นชาวเมืองชิทธิม[b] เข้าไปสอดแนม พร้อมกำชับว่า “เข้าไปสำรวจแผ่นดินนั้นให้ทั่ว โดยเฉพาะเมืองเยริโค”

แล้วสองคนนั้นก็ไป และได้เข้าไปในบ้านของหญิงโสเภณีชื่อราหับ และค้างคืนที่นั่น

มีคนไปแจ้งกับกษัตริย์เมืองเยริโคว่า “มีชายอิสราเอลบางคนได้เข้ามาในเมืองคืนนี้ เพื่อสอดแนมแผ่นดินนี้”

กษัตริย์เมืองเยริโคได้ส่งข้อความนี้ไปถึงราหับว่า “ให้ส่งชายพวกนั้นที่มาหาเจ้าที่อยู่บ้านเจ้าออกมา เพราะพวกมันมาสอดแนมแผ่นดินนี้”

แต่ราหับได้พาชายสองคนนั้นเข้าไปข้างใน และซ่อนพวกเขาไว้ นางพูดว่า “ใช่แล้วค่ะ ชายพวกนั้นได้มาหาฉันจริง แต่ฉันไม่รู้ว่าพวกเขามาจากไหน และในตอนกลางคืนเมื่อถึงเวลาปิดประตูเมือง พวกเขาก็ออกไป ฉันไม่รู้ว่าชายพวกนั้นไปไหนกัน รีบๆตามพวกเขาไปเถอะ อาจจะไปทันจับพวกเขาก็ได้” (นางได้พาชายทั้งสองขึ้นไปบนดาดฟ้า และให้ซ่อนอยู่ใต้ต้นป่าน[c] ที่นางได้ตัดเอามาตากเรียงกันไว้บนดาดฟ้านั้น)

ดังนั้น พวกคนของกษัตริย์แห่งเยริโคก็ได้ไปไล่ตามคนสอดแนมชาวอิสราเอลสองคนนั้นตามถนน จนไปถึงบริเวณที่ตื้นเขินของแม่น้ำจอร์แดนที่สามารถลุยข้ามไปอีกฝั่งหนึ่งได้ เมื่อพวกคนที่ไล่ล่าออกไป ประตูเมืองก็ปิดลงทันที

ก่อนที่ชายชาวอิสราเอลสองคนนั้นจะนอน นางราหับได้ขึ้นไปหาพวกเขาที่บนดาดฟ้า นางพูดกับพวกเขาว่า “ฉันรู้ว่าพระยาห์เวห์ได้ยกแผ่นดินนี้ให้กับพวกท่าน พวกเราต่างก็พากันหวาดกลัวท่าน และทุกคนที่อยู่ในแผ่นดินต่างก็อ่อนปวกเปียกไปเพราะพวกท่าน 10 เพราะพวกเราเคยได้ยินมาว่า ตอนที่พวกท่านออกมาจากประเทศอียิปต์นั้น พระยาห์เวห์ได้ทำให้น้ำในทะเลแดงเหือดแห้งไปต่อหน้าพวกท่าน[d] และได้ยินเรื่องที่พวกท่านได้ทำต่อกษัตริย์สององค์ของชาวอาโมไรต์คือ กษัตริย์สิโหนและกษัตริย์โอก[e] ที่พวกท่านได้ทำลายจนราบคาบ ที่ฟากตะวันออกของแม่น้ำจอร์แดนโน้น 11 เมื่อพวกเราได้ยินข่าวพวกนี้ พวกเราต่างก็ขวัญหนีดีฝ่อ ไม่มีความกล้าหลงเหลืออยู่ในพวกเราเลยสักคน เพราะพระยาห์เวห์พระเจ้าของพวกท่านองค์นี้นี่แหละที่เป็นพระเจ้าในสวรรค์เบื้องบนและบนแผ่นดินโลกเบื้องล่าง 12 ดังนั้นตอนนี้ให้สาบานกับฉันต่อหน้าพระยาห์เวห์ว่า พวกท่านจะมีน้ำใจต่อครอบครัวของฉันอย่างที่ฉันมีน้ำใจต่อพวกท่าน ขอให้ปฏิญาณกับฉันว่า 13 พวกท่านจะไว้ชีวิต พ่อแม่ พี่น้องทั้งหลายของฉัน รวมทั้งทุกคนที่เป็นของพวกเขา และช่วยพวกเราให้รอดพ้นจากความตายด้วย”

14 ชายทั้งสองนั้นได้ตอบนางว่า “ขอให้พระเจ้าฆ่าพวกเรา ถ้ามีคนหนึ่งในพวกท่านเป็นอะไรไป ถ้าท่านไม่บอกเรื่องนี้ให้ใครรู้ เราจะเมตตาและซื่อสัตย์กับท่านตอนที่พระเจ้ามอบแผ่นดินนี้ให้กับพวกเรา”

15 ดังนั้น นางจึงหย่อนทั้งสองลงทางหน้าต่าง เพราะบ้านของนางชิดกับกำแพงเมืองและตัวนางก็อาศัยอยู่ที่ตรงกำแพงเมืองนั้น 16 นางได้บอกกับพวกเขาว่า “ไปหลบอยู่ที่แถบเนินเขาก่อน เพื่อคนที่กษัตริย์ส่งมาค้นหาพวกท่านจะได้หาไม่เจอ ให้ซ่อนอยู่ที่นั่นสามวัน จนกว่าพวกที่ไล่ล่ากลับเข้ามาในเมือง หลังจากนั้น พวกท่านถึงค่อยเดินทางต่อ”

17 ชายทั้งสองนั้นได้พูดกับนางว่า “เราจะไม่รับผิดชอบต่อคำสาบานที่ท่านให้เราทำนี้ หากท่านไม่ทำตามนี้ คือ 18 เมื่อพวกเรายกเข้ามาในเมือง ให้ท่านเอาเชือกแดงนี้ผูกไว้ที่หน้าต่างที่ท่านหย่อนเราลงมา และให้ท่านรวบรวม พ่อแม่ พี่น้อง และครอบครัวทั้งหมดของท่านมาไว้ในบ้านท่าน 19 คนที่ออกจากประตูบ้านท่านไปอยู่ตามท้องถนน เขาต้องรับผิดชอบต่อการตายของเขาเอง พวกเราจะไม่มีความผิดด้วย แต่ถ้าใครถูกทำร้ายในบ้านหลังนี้ พวกเราจะเป็นผู้รับผิดชอบต่อความตายของคนๆนั้นเอง 20 แต่ถ้าท่านไปบอกเรื่องของเราให้คนอื่นรู้ เราก็ไม่ต้องรับผิดชอบต่อคำสาบานที่ท่านให้เราทำนี้”

21 นางราหับพูดตอบว่า “ตกลงตามที่ท่านพูด” แล้วนางก็ส่งพวกเขาจากไป และเอาเชือกแดงผูกไว้ที่หน้าต่าง

22 ส่วนชายทั้งสองนั้น เมื่อออกจากบ้านของนางราหับแล้ว ก็ตรงไปยังแถบเนินเขา พวกเขาได้หลบซ่อนอยู่ที่นั่นสามวัน ขณะที่พวกไล่ล่าของกษัตริย์ค้นหาพวกเขาตามถนนหนทาง แต่ก็ไม่พบ จนต้องกลับเข้าเมืองไป 23 ชายสองคนนั้นจึงกลับลงมาจากเนินเขา และข้ามแม่น้ำจอร์แดนกลับไปหาโยชูวาลูกชายของนูน และได้เล่าเหตุการณ์ทั้งหมดที่เกิดขึ้นกับพวกเขาให้โยชูวาฟัง 24 พวกเขาได้พูดกับโยชูวาว่า “พระยาห์เวห์ได้ยกแผ่นดินทั้งหมดนั้นให้กับพวกเราแน่ ยิ่งกว่านั้นผู้คนที่อาศัยอยู่บนแผ่นดินนี้ล้วนหวาดกลัวพวกเราเป็นอย่างมาก”

สิ่งมหัศจรรย์ที่แม่น้ำจอร์แดน

เช้าตรู่วันต่อมา โยชูวา กับชาวอิสราเอลทั้งหมดก็ลุกขึ้น และเคลื่อนย้ายออกจากเมืองชิทธิม[f] มาที่แม่น้ำจอร์แดน พวกเขาได้ตั้งค่ายอยู่ที่นั่นก่อนที่จะข้ามไปอีกฝั่งของแม่น้ำ หลังจากผ่านไปสามวัน พวกผู้นำก็ไปทั่วค่าย และสั่งประชาชนทั้งหมดว่า “เมื่อพวกท่านเห็นพวกนักบวชชาวเลวี แบกหีบที่เก็บข้อตกลงของพระยาห์เวห์พระเจ้าของพวกท่าน ก็ให้พวกท่านเคลื่อนย้ายออกจากที่นี่และติดตามไป โดยให้ทิ้งระยะห่างของท่านกับหีบประมาณสองพันศอก อย่าเข้าใกล้หีบของพระเจ้ามากไปกว่านี้ แต่ให้คอยติดตามไปเพื่อจะได้รู้ว่าจะไปทางไหน เพราะพวกท่านไม่เคยใช้เส้นทางนี้มาก่อน”

โยชูวาพูดกับประชาชนทั้งหลายว่า “ชำระตัวของพวกท่านให้บริสุทธิ์ เพราะพรุ่งนี้พระยาห์เวห์จะทำสิ่งมหัศจรรย์ต่างๆท่ามกลางพวกท่าน”

โยชูวาสั่งพวกนักบวชว่า “ให้ยกหีบที่เก็บข้อตกลง และเดินนำประชาชนข้ามแม่น้ำไป” พวกนักบวชจึงได้ยกหีบที่เก็บข้อตกลงนั้น และเดินนำหน้าประชาชนไป

พระยาห์เวห์พูดกับโยชูวาว่า “วันนี้ เราจะเริ่มยกย่องเจ้าต่อหน้าสายตาของชาวอิสราเอล เพื่อพวกเขาจะได้รู้ว่า เราอยู่กับเจ้าเหมือนกับที่เราอยู่กับโมเสส ให้เจ้าสั่งพวกนักบวชที่แบกหีบที่เก็บข้อตกลงนั้นว่า ‘เมื่อพวกท่านมาถึงริมฝั่งแม่น้ำจอร์แดน ให้หยุดยืนอยู่ในน้ำที่ริมฝั่งนั้น’”

โยชูวาพูดกับพวกชาวอิสราเอลว่า “ท่านทั้งหลาย เข้ามาฟังคำพูดของพระยาห์เวห์พระเจ้าของพวกท่าน” 10 แล้วโยชูวาพูดต่อไปอีกว่า “เรื่องนี้จะทำให้ท่านทั้งหลายรู้ว่า พระเจ้าที่มีชีวิตได้อยู่ท่ามกลางพวกท่าน และพระองค์จะขับไล่ชาวคานาอัน ชาวฮิตไทต์ ชาวฮีไวต์ ชาวเปริสซี ชาวเกอร์กาชี ชาวอาโมไรต์ และชาวเยบุส ออกไปอย่างแน่นอน 11 บัดนี้ หีบที่เก็บข้อตกลงขององค์เจ้าชีวิตแห่งสากลโลก จะข้ามแม่น้ำจอร์แดนไปข้างหน้าพวกท่าน 12 ตอนนี้ ให้คัดเลือกชาวอิสราเอลมาสิบสองคนจากเผ่าต่างๆของอิสราเอล เผ่าละหนึ่งคน 13 เมื่อพวกนักบวช ผู้ทำหน้าที่แบกหีบที่เก็บข้อตกลงของพระยาห์เวห์ผู้เป็นเจ้าของโลกทั้งหมด ก้าวเท้าลงไปในแม่น้ำจอร์แดน น้ำในแม่น้ำที่กำลังไหลลงมานั้นจะถูกตัดขาดเหมือนกับมีเขื่อนกั้นน้ำไว้”

14 เมื่อประชาชนเคลื่อนย้ายออกจากค่ายเพื่อข้ามแม่น้ำจอร์แดน พวกนักบวชที่เป็นผู้แบกหีบที่เก็บข้อตกลงก็เดินนำหน้าพวกเขาไป 15 (น้ำในแม่น้ำจอร์แดนล้นตลิ่งเสมอในฤดูเก็บเกี่ยว) แต่ทันทีที่พวกนักบวชผู้ทำหน้าที่แบกหีบนั้นมาถึงแม่น้ำจอร์แดน พวกเขาได้ก้าวลงไปในน้ำ 16 น้ำที่ไหลลงมาจากข้างบนก็หยุดไหลและกองสูงขึ้นราวกับน้ำที่อยู่หลังเขื่อนตรงเมืองอาดัมที่ตั้งอยู่ข้างๆเมืองศาเรธาน ส่วนน้ำที่ไหลลงสู่ทะเลอาราบาห์ (ทะเลตาย) นั้นก็ถูกตัดขาดจนเกลี้ยง แล้วประชาชนก็ข้ามแม่น้ำจอร์แดนที่อยู่ตรงข้ามกับเมืองเยริโคไป 17 พวกนักบวชที่ถือหีบที่เก็บข้อตกลงของพระยาห์เวห์ ต่างก็ยืนอยู่บนพื้นแห้งกลางแม่น้ำจอร์แดน จนชาวอิสราเอลข้ามแม่น้ำจอร์แดนไปจนหมดสิ้น

หินที่ระลึกจากแม่น้ำจอร์แดน

เมื่อประชาชนทั้งหมดข้ามแม่น้ำจอร์แดนเรียบร้อยแล้ว พระยาห์เวห์ได้พูดกับโยชูวาว่า “ให้เลือกผู้ชายมาสิบสองคน เผ่าละคน สั่งพวกเขาว่า ‘ให้พวกเจ้าไปแบกก้อนหินมาคนละก้อนจากกลางแม่น้ำจอร์แดน ที่พวกนักบวชยืนอยู่นั้น ให้เอาขึ้นมาวางไว้ในที่ที่พวกเจ้าจะตั้งค่ายพักคืนนี้’”

โยชูวาจึงเรียกชายสิบสองคน ที่เขาได้เลือกมาจากชาวอิสราเอลทั้งหลาย เผ่าละคน โยชูวาสั่งพวกเขาว่า “ให้พวกท่านไปที่ด้านหน้าของหีบของพระยาห์เวห์พระเจ้าของพวกท่าน ที่อยู่กลางแม่น้ำจอร์แดนนั้น และให้แต่ละคนแบกหินมาคนละก้อน ตามจำนวนเผ่าของอิสราเอล เพื่อสิ่งนี้จะได้เป็นเครื่องเตือนใจในหมู่พวกท่าน ในอนาคตเมื่อลูกๆของพวกท่านถามว่า ‘ก้อนหินเหล่านี้ มีความหมายว่าอะไร’ พวกท่านจะได้ตอบว่า ‘น้ำในแม่น้ำจอร์แดนถูกตัดขาดไปต่อหน้าหีบที่เก็บข้อตกลงของพระยาห์เวห์ เมื่อหีบใบนี้ข้ามแม่น้ำจอร์แดน น้ำในแม่น้ำจอร์แดนก็หยุดไหล ดังนั้นก้อนหินเหล่านี้จึงเป็นเครื่องย้ำเตือนถึงเหตุการณ์นี้สำหรับชาวอิสราเอลตลอดไป’”

คนเหล่านั้นก็ทำตามที่โยชูวาสั่ง พวกเขาได้ไปแบกก้อนหินจากกลางแม่น้ำจอร์แดนมาจำนวนสิบสองก้อน เท่ากับจำนวนเผ่าของอิสราเอล ตามที่พระยาห์เวห์ได้สั่งโยชูวา พวกเขาแบกหินเหล่านั้นข้ามแม่น้ำมากับพวกเขาไปถึงที่ตั้งค่ายและได้วางพวกมันไว้ที่นั่น (โยชูวายังได้ตั้งก้อนหินสิบสองก้อนไว้ที่กลางแม่น้ำจอร์แดน ตรงที่พวกนักบวชผู้แบกหีบที่เก็บข้อตกลงยืนอยู่อีกด้วย ก้อนหินทั้งหมดนั้นยังอยู่ที่นั่นจนถึงทุกวันนี้)

10 พวกนักบวชผู้แบกหีบนั้นยังคงยืนอยู่ที่กลางแม่น้ำจอร์แดน จนกระทั่งทุกสิ่งทุกอย่างเสร็จสิ้นลงตามคำสั่งที่พระยาห์เวห์ได้สั่งโยชูวาให้บอกกับประชาชน เหมือนกับที่โมเสสเคยสั่งโยชูวาไว้ ประชาชนข้ามแม่น้ำกันอย่างเร่งรีบ 11 เมื่อประชาชนข้ามแม่น้ำกันหมดแล้ว หีบของพระยาห์เวห์และพวกนักบวชก็ข้ามมา และมานำอยู่ด้านหน้าของประชาชน

12 ชนเผ่ารูเบน ชนเผ่ากาด และชนเผ่ามนัสเสห์ครึ่งหนึ่งถืออาวุธพร้อมมือ นำหน้าชาวอิสราเอลคนอื่นๆข้ามไปตามที่โมเสสได้สั่งไว้ 13 มีประมาณสี่หมื่นคนที่มีอาวุธพร้อมมือได้ข้ามไปต่อหน้าพระยาห์เวห์ ไปสู่ที่ราบทั้งหลายของเมืองเยริโค

14 ในวันนั้นพระยาห์เวห์ได้ยกย่องโยชูวาต่อหน้าชาวอิสราเอลทั้งหลาย พวกเขายำเกรงโยชูวาไปจนชั่วชีวิตของท่าน เหมือนกับที่พวกเขาเคยยำเกรงโมเสส

15 พระยาห์เวห์ได้พูดกับโยชูวาว่า 16 “ให้สั่งพวกนักบวชผู้แบกหีบที่เก็บข้อตกลงนั้น ขึ้นมาจากแม่น้ำจอร์แดนได้แล้ว”

17 โยชูวาจึงสั่งพวกนักบวชทั้งหลายว่า “พวกท่านทั้งหลาย ขึ้นจากแม่น้ำจอร์แดนได้แล้ว”

18 และเมื่อพวกนักบวชผู้แบกหีบที่เก็บข้อตกลงของพระยาห์เวห์ ขึ้นมาจากกลางแม่น้ำจอร์แดน และก้าวขึ้นมาบนฝั่ง น้ำในแม่น้ำจอร์แดนก็ไหลกลับมาท่วมตลิ่งเหมือนเดิม

19 ประชาชนได้ขึ้นมาจากแม่น้ำจอร์แดนในวันที่สิบของเดือนที่หนึ่ง และได้ตั้งค่ายอยู่ที่เมืองกิลกาลทางชายแดนด้านตะวันออกของเมืองเยริโค 20 และโยชูวาได้ตั้งก้อนหินทั้งสิบสองก้อนที่พวกเขาได้นำมาจากแม่น้ำจอร์แดนไว้ที่กิลกาล 21 โยชูวาพูดกับประชาชนชาวอิสราเอลว่า “ในอนาคตเมื่อลูกหลานของพวกท่านถามพวกพ่อของพวกเขาว่า ‘หินพวกนี้หมายถึงอะไร’ 22 ให้ท่านตอบกับลูกหลานของท่านว่า ‘ชาวอิสราเอลได้ข้ามแม่น้ำจอร์แดนบนพื้นแห้ง’ 23 เพราะพระยาห์เวห์พระเจ้าของพวกท่านได้ทำให้แม่น้ำจอร์แดนแห้งลงต่อหน้าพวกท่าน จนพวกท่านข้ามไปได้เหมือนที่พระยาห์เวห์พระเจ้าของพวกท่านเคยทำกับทะเลแดง พระองค์ทำให้ทะเลแดงนั้นแห้งลงต่อหน้าพวกเรา จนพวกเราข้ามไปได้ 24 เพื่อประชาชนทั้งหมดบนแผ่นดินจะได้รู้ว่ามือของพระยาห์เวห์นั้นทรงพลัง และเพื่อพวกท่านจะได้ยำเกรงพระยาห์เวห์พระเจ้าของพวกท่านตลอดไป”

เมื่อพวกกษัตริย์แห่งอาโมไรต์ทางทิศตะวันตกของแม่น้ำจอร์แดน และกษัตริย์ทั้งหลายของชาวคานาอันที่อยู่แถบทะเลเมดิเตอร์เรเนียน ได้ยินว่าพระยาห์เวห์ได้ทำให้น้ำในแม่น้ำจอร์แดนแห้งลงต่อหน้าประชาชนชาวอิสราเอล จนพวกเขาได้ข้ามฟากไปจนหมด เพราะอิสราเอลนี้ทำให้ใจของกษัตริย์เหล่านั้นฝ่อไปและหมดกำลังใจ

ชาวอิสราเอลทำพิธีขลิบ

เวลานั้นพระยาห์เวห์ได้พูดกับโยชูวาว่า “ให้เอาหินเหล็กไฟมาทำพวกมีดและทำพิธีขลิบให้กับชาวอิสราเอลอีกเป็นครั้งที่สอง[g]

ดังนั้นโยชูวาจึงทำมีดขึ้นหลายเล่มจากหินเหล็กไฟ และทำพิธีขลิบให้ชาวอิสราเอลที่กิเบอัธหะอาราโลท[h]

เหตุผลที่โยชูวาได้ทำพิธีขลิบให้กับพวกเขา เป็นเพราะพวกผู้ชายทั้งหมดในหมู่ประชาชนที่ออกมาจากประเทศอียิปต์ คือทุกคนที่เป็นทหารได้นั้น ได้ตายไปหมดแล้วในช่วงที่พวกเขาเดินทางอยู่ในทะเลทราย หลังจากที่ออกมาจากประเทศอียิปต์ ถึงแม้ว่าผู้ชายทั้งหมดที่ออกมาจากประเทศอียิปต์ได้ทำพิธีขลิบกันหมดแล้ว แต่คนที่เกิดในทะเลทรายในระหว่างการเดินทาง หลังจากออกมาจากอียิปต์แล้วนั้น ยังไม่ได้ทำพิธีขลิบกันเลย ชาวอิสราเอลได้เดินทางไปในทะเลทรายเป็นเวลาสี่สิบปี จนชนชาติทั้งหมด คือพวกทหารที่ได้ออกมาจากอียิปต์เสียชีวิตกันไปหมด เพราะพวกเขาไม่ยอมเชื่อฟังพระยาห์เวห์ พระองค์ได้สาบานกับพวกเขาว่า พระองค์จะไม่ยอมให้พวกเขาได้เห็นแผ่นดินที่พระองค์เคยสาบานกับบรรพบุรุษ[i] ของพวกเขาว่าจะยกให้กับพวกเรา ซึ่งเป็นแผ่นดินที่อุดมสมบูรณ์มาก[j] ดังนั้น พระองค์จึงได้ยกพวกลูกชายของพวกเขาขึ้นมาแทนที่ และคนพวกนี้นี่แหละที่โยชูวาทำพิธีขลิบให้ เพราะพวกเขายังไม่เคยเข้าพิธีขลิบมาก่อนในระหว่างการเดินทาง เมื่อพวกเขาทั้งหมดได้รับการขลิบเรียบร้อยแล้ว ก็กลับไปที่พักของตนในค่ายจนกว่าจะหายดี

เทศกาลปลดปล่อยครั้งแรก

พระยาห์เวห์ได้พูดกลับโยชูวาว่า “วันนี้เราได้กลิ้งความอดสูที่เกิดในอียิปต์พ้นไปจากพวกเจ้าแล้ว” ดังนั้น สถานที่นี้จึงมีชื่อว่า กิลกาล[k] มาจนถึงทุกวันนี้

10 ขณะที่ชาวอิสราเอลตั้งค่ายอยู่ที่กิลกาล พวกเขาได้ฉลองเทศกาลวันปลดปล่อย ในเย็นวันที่สิบสี่ของเดือน ตรงที่ราบของเมืองเยริโค 11 วันรุ่งขึ้นหลังจากเทศกาลวันปลดปล่อย พวกเขาได้กินผลผลิตที่เกิดจากแผ่นดิน คือ ขนมปังไร้เชื้อและข้าวคั่ว 12 ในวันนั้นที่พวกเขาได้กินผลผลิตจากแผ่นดิน มานาก็หยุดตก ต่อจากนั้นมาชาวอิสราเอลก็ไม่ได้กินมานาอีกเลย ในปีนั้นพวกเขาได้กินพืชผลที่เก็บเกี่ยวจากแผ่นดินคานาอัน

บุรุษผู้ถือดาบในนิมิตของโยชูวา

13 มีอยู่ครั้งหนึ่ง เมื่อโยชูวาอยู่แถวชานเมืองเยริโค เขาได้เงยหน้าขึ้นเห็นชายคนหนึ่งที่มีดาบที่ชักออกมาแล้วอยู่ในมือ ยืนอยู่ต่อหน้าท่าน โยชูวาเข้าไปหาชายคนนั้นและถามว่า “ท่านอยู่ฝ่ายเราหรือฝ่ายศัตรู”

14 ชายคนนั้นตอบว่า “ไม่ใช่ทั้งนั้น แต่เรามาที่นี่ในฐานะแม่ทัพของกองทัพแห่งพระยาห์เวห์” ดังนั้น โยชูวาจึงก้มหน้ากับพื้นกราบไหว้ชายคนนั้น และพูดว่า “เจ้านาย[l]ของข้าพเจ้า ท่านจะสั่งให้ผู้รับใช้ของท่านทำอะไรครับ”

15 แม่ทัพของกองทัพแห่งพระยาห์เวห์พูดกับโยชูวาว่า “ถอดรองเท้าของเจ้าออก เพราะที่ที่เจ้ายืนอยู่นี้เป็นที่ศักดิ์สิทธิ์” โยชูวาก็ทำตามนั้น

การยึดเมืองเยริโค

เป็นเพราะชาวอิสราเอล ประตูเมืองเยริโคจึงถูกปิดลงและมีการป้องกันอย่างแน่นหนา ไม่มีใครเข้าหรือออกจากเมืองเลย

พระยาห์เวห์พูดกับโยชูวาว่า “ดูเถิด เราได้ยกเมืองเยริโคให้กับเจ้าแล้ว ทั้งกษัตริย์และเหล่าทหารกล้าของมันด้วย พวกเจ้า คือกองทหารทั้งหมดต้องเดินขบวนไปรอบๆเมืองหนึ่งรอบ เจ้าต้องทำอย่างนี้หกวัน ให้นักบวชเจ็ดคนถือแตรเขาแกะคนละอัน เดินนำหน้าหีบศักดิ์สิทธิ์ ในวันที่เจ็ดให้พวกเจ้าเดินรอบเมืองเจ็ดรอบ และให้พวกนักบวชเป่าแตรเขาแกะไปด้วย เมื่อเขาเป่าแตรเสียงยาว เมื่อพวกเจ้าทั้งหลายได้ยินเสียงแตรนั้น ก็ให้ประชาชนทั้งหมดโห่ร้องเสียงดัง และกำแพงก็จะพังราบลงมา แล้วทุกคนก็จะบุกเข้าไปตรงหน้า”

โยชูวาลูกชายของนูนจึงได้เรียกพวกนักบวชมาสั่งว่า “ให้ยกหีบที่เก็บข้อตกลงขึ้น และให้นักบวชเจ็ดคนถือแตรเขาแกะคนละอัน นำหน้าหีบของพระยาห์เวห์ไป”

โยชูวาได้สั่งกับประชาชนว่า “ให้เคลื่อนขบวนไปข้างหน้าและเดินแถวไปรอบๆเมือง ให้ทหารที่ติดอาวุธเดินนำหน้าหีบแห่งพระยาห์เวห์”

ทุกอย่างเป็นไปตามที่โยชูวาได้สั่งกับประชาชนคือ นักบวชเจ็ดคนที่ถือแตรเขาแกะคนละอัน เดินนำหน้าหีบของพระยาห์เวห์ และเป่าแตรไป และหีบที่เก็บข้อตกลงของพระยาห์เวห์ได้เคลื่อนตามพวกเขาไป พวกทหารเดินนำหน้าพวกนักบวชที่กำลังเป่าแตรอยู่ และมีกองระวังหลังเดินรั้งท้ายหีบนั้น และเขาแกะก็เป่าต่อไปเรื่อยๆ 10 โยชูวาได้สั่งประชาชนว่า “อย่าได้โห่ร้อง หรือให้ใครได้ยินเสียงของท่าน และอย่าให้คำพูดหลุดออกมาจากปากท่าน จนกว่าจะถึงวันที่เราจะบอกให้พวกท่านโห่ร้อง เมื่อนั้นพวกท่านถึงค่อยโห่ร้องออกมา”

11 ดังนั้น โยชูวาให้นำหีบของพระยาห์เวห์ออกไปวนรอบเมืองหนึ่งรอบ แล้วพวกเขาก็กลับเข้ามาในค่าย และค้างคืนอยู่ในค่ายนั้น

12 โยชูวาตื่นขึ้นแต่เช้าตรู่ และพวกนักบวชก็ยกหีบของพระยาห์เวห์ขึ้นแบก 13 นักบวชเจ็ดคนที่ถือแตรเขาแกะคนละอัน เดินนำหน้าหีบของพระยาห์เวห์ไป และเป่าแตรไปเรื่อยๆมีทหารเดินอยู่ข้างหน้าพวกเขา และมีกองระวังหลังเดินรั้งท้ายอยู่หลังหีบของพระยาห์เวห์ เขาแกะก็ถูกเป่าไปเรื่อยๆ 14 ในวันที่สองนั้น พวกเขาเดินรอบเมืองหนึ่งรอบ แล้วก็กลับเข้าค่าย พวกเขาทำอย่างนี้จนครบหกวัน

15 ในวันที่เจ็ด พวกเขาลุกขึ้นเมื่อท้องฟ้าเริ่มทอแสง และได้เดินขบวนไปรอบๆเมืองอย่างเคย แต่วันนี้เดินเจ็ดรอบ เฉพาะวันนี้วันเดียวพวกเขาเดินไปรอบเมืองเจ็ดรอบ 16 เมื่อถึงรอบที่เจ็ด พวกนักบวชก็เป่าแตรเขาแกะขึ้น โยชูวาได้พูดกับประชาชนว่า “โห่ร้องเถิด เพราะพระยาห์เวห์ได้ยกเมืองนี้ให้กับพวกท่านแล้ว 17 เมืองทั้งเมืองและทุกสิ่งทุกอย่างภายในเมืองนี้จะต้องถูกทำลายให้หมดสิ้นเพื่อเป็นของถวายแด่พระยาห์เวห์ เว้นแต่โสเภณีที่ชื่อราหับและคนทั้งหมดที่อยู่กับนางในบ้านของนางเท่านั้นที่จะรอดชีวิต เพราะนางได้ให้ที่หลบซ่อนแก่พวกผู้สอดแนมที่เราได้ส่งไป 18 อย่าไปแตะต้องสิ่งที่จะต้องทำลายเพื่อถวายให้กับพระยาห์เวห์นั้น เพื่อท่านจะได้ไม่เกิดความโลภ แล้วเก็บส่วนหนึ่งของสิ่งที่จะต้องทำลายให้หมดสิ้นนั้นกลับมา ซึ่งจะทำให้ค่ายของชาวอิสราเอลต้องถูกทำลายไป และพวกท่านก็จะเป็นต้นเหตุของความทุกข์ยากนั้น 19 แต่บรรดาเงิน ทอง และสิ่งของที่ทำจากทองสัมฤทธิ์และเหล็ก เป็นของศักดิ์สิทธิ์ของพระยาห์เวห์ ให้นำพวกมันไปเก็บไว้ในคลังสมบัติของพระยาห์เวห์”

20 ดังนั้นประชาชนจึงโห่ร้อง และพวกนักบวชก็ได้เป่าแตรขึ้น ทันทีที่ประชาชนได้ยินเสียงแตร พวกเขาก็โห่ร้องเสียงดัง กำแพงก็พังทลายลง ทหารก็บุกตรงเข้าไปในเมืองและยึดเมืองไว้ได้ 21 พวกเขาทำลายทุกสิ่งทุกอย่างในเมืองด้วยคมดาบ ไม่ว่าจะเป็นชายหรือหญิง เด็กหรือแก่ รวมทั้งวัว แกะและลา

22 โยชูวาได้สั่งชายสองคนที่เขาเคยส่งเข้ามาสอดแนมว่า “ให้เข้าไปในบ้านของหญิงโสเภณีคนนั้น และนำตัวนางรวมทั้งคนอื่นๆที่อยู่กับนางออกมา ดังที่พวกท่านได้เคยสัญญาไว้กับนาง”

23 ดังนั้น ชายหนุ่มทั้งสองที่เคยเป็นผู้สอดแนมจึงได้เข้าไปในบ้านของราหับ และได้นำตัวราหับ พ่อแม่ พี่น้อง และทุกคนที่อยู่ที่นั่นกับนางออกมา พวกเขาได้พาญาติๆทั้งหมดของนางไปไว้ที่นอกค่ายของอิสราเอล

24 พวกเขาจึงได้จุดไฟเผาเมือง และทุกสิ่งทุกอย่างในเมืองนั้น ส่วนเงิน ทอง เครื่องใช้ที่ทำจากทองสัมฤทธิ์และเหล็ก พวกเขาได้นำมาไว้ในคลังสมบัติในบ้านของพระยาห์เวห์ 25 แต่โยชูวาได้ไว้ชีวิตราหับที่เป็นโสเภณีและครอบครัวทั้งหมดของนาง รวมทั้งทุกคนที่อยู่กับนาง และพวกลูกหลานของนาง[m] ก็ได้อาศัยอยู่ท่ามกลางชาวอิสราเอลมาจนถึงทุกวันนี้[n] เพราะนางได้ซ่อนตัวพวกคนส่งข่าวที่โยชูวาได้ส่งเข้าไปสอดแนมในเมืองเยริโค

26 แล้วโยชูวาได้สาบานไว้ว่า

“ขอให้ใครก็ตามที่พยายามสร้างเมืองเยริโคนี้ขึ้นมาใหม่
    ถูกสาปแช่งต่อหน้าพระยาห์เวห์
ถ้าเขาวางรากฐานของเมืองนี้
    ก็ขอให้ลูกชายคนแรกของเขาตาย
ถ้าเขาตั้งประตูเมืองขึ้น
    ก็ขอให้ลูกชายคนเล็กของเขาตาย”[o]

27 ดังนั้นพระยาห์เวห์ได้อยู่กับโยชูวา และชื่อเสียงของท่านก็ได้เลื่องลือไปทั่วแผ่นดิน

บาปของอาคาน

แต่ชาวอิสราเอลไม่เชื่อฟังคำสั่งในเรื่องสิ่งของที่ต้องถูกทำลาย อาคานลูกชายของคารมีที่เป็นลูกชายของศับดีที่เป็นลูกชายของเศราห์จากเผ่ายูดาห์ ได้แอบเอาของบางส่วนมาจากสิ่งต่างๆที่ต้องถูกทำลาย ดังนั้นความโกรธของพระยาห์เวห์ได้พลุ่งขึ้นต่อคนอิสราเอล

ฝ่ายโยชูวาได้ส่งคนกลุ่มหนึ่งออกจากเมืองเยริโคไปยังเมืองอัย[p] ซึ่งอยู่ใกล้ๆกับเมืองเบธาเวน ทางด้านตะวันออกของเมืองเบธเอล โยชูวาบอกพวกเขาว่า “ขึ้นไปสอดแนมแผ่นดินนั้นมา” ดังนั้นพวกเขาจึงขึ้นไปสอดแนมเมืองอัย

แล้วพวกเขาได้กลับมารายงานโยชูวาว่า “ไม่จำเป็นต้องให้ประชาชนทั้งหมดขึ้นไปต่อสู้กับเมืองอัย ให้ใช้คนแค่สองสามพันคนขึ้นไปตีเมืองอัยก็พอ อย่าให้ประชาชนทั้งหมดต้องเสียแรงขึ้นไปถึงที่นั่นเลย เพราะเมืองอัยมีประชาชนน้อย”

ประชาชนประมาณสามพันคนจึงได้เดินทางขึ้นไปที่เมืองอัย แต่พวกเขาก็ต้องถูกชาวเมืองอัยตีจนแตกหนีกลับมา และถูกฆ่าตายประมาณสามสิบหกคน และชาวเมืองอัยยังไล่ล่าชาวอิสราเอลตั้งแต่ที่หน้าประตูเมืองไปจนถึงเหมืองหิน[q] และฆ่าพวกเขาที่ทางลาดแห่งนั้น

ดังนั้น ชาวอิสราเอลจึงกลัวจนจิตใจหลอมละลายไปอย่างน้ำ โยชูวาได้ฉีกเสื้อผ้าของเขาและซบหน้าลงบนพื้นดินต่อหน้าหีบของพระยาห์เวห์จนถึงเวลาเย็น พร้อมๆกับพวกผู้อาวุโสของชาวอิสราเอล พวกเขาต่างก็เอาฝุ่นโปรยลงบนหัวตัวเอง

โยชูวาพูดว่า “ข้าแต่พระยาห์เวห์ องค์เจ้าชีวิต พระองค์นำประชาชนทั้งหมดข้ามแม่น้ำจอร์แดนมาทำไมกัน เพื่อให้ชาวอาโมไรต์ทำลายล้างพวกเราอย่างนั้นหรือ เสียดายจริงๆพวกเราน่าจะพอใจที่จะอยู่อีกฝั่งหนึ่งของแม่น้ำจอร์แดนมากกว่า พระองค์เจ้าข้า ข้าพเจ้าไม่รู้จะพูดอะไรแล้ว ในเมื่อชาวอิสราเอลได้หันหลังหนีจากศัตรูเสียแล้ว ชาวคานาอัน และบรรดาประชาชนที่อาศัยอยู่ในแผ่นดินนี้ จะได้ยินเรื่องนี้และจะพากันมาปิดล้อมและลบล้างพวกเราไปจากแผ่นดินโลก เมื่อถึงขั้นนั้น พระองค์จะทำอะไรเพื่อกู้ชื่อเสียงอันยิ่งใหญ่ของพระองค์”

10 ดังนั้นพระยาห์เวห์จึงพูดกับโยชูวาว่า “ลุกขึ้น เจ้าจะซบหน้าอยู่อย่างนี้ทำไม 11 ชาวอิสราเอลได้ทำบาป พวกเขาได้ละเมิดข้อตกลงที่เราได้สั่งพวกเขาไว้ พวกเขาได้เอาของบางส่วนที่เราสั่งให้ทำลาย พวกเขาได้ขโมยพวกมันไปและโกหก พวกเขาได้เอาสิ่งเหล่านั้นไปรวมไว้กับของของพวกเขา 12 ชาวอิสราเอลก็เลยไม่สามารถยืนหยัดต่อสู้ศัตรูได้ พวกเขาวิ่งหนีจากศัตรู เพราะพวกเขาเองได้กลายเป็นสิ่งที่จะต้องถูกทำลายให้กับเรา เราจะไม่อยู่กับพวกเจ้าอีกต่อไป นอกจากว่าพวกเจ้าจะเอาของเหล่านั้นที่ต้องทำลาย ออกไปเสียจากพวกเจ้า

13 ให้ไปชำระประชาชนให้บริสุทธิ์และพูดว่า ‘ให้ชำระตัวของพวกท่านไว้สำหรับวันพรุ่งนี้ เพราะนี่คือสิ่งที่พระยาห์เวห์พระเจ้าของชาวอิสราเอลได้พูด “ชาวอิสราเอล ท่ามกลางพวกเจ้ายังมีสิ่งของที่เราได้สั่งให้ทำลายเก็บไว้อยู่ เจ้าจะไม่สามารถยืนหยัดต่อสู้ศัตรูได้ จนกว่าพวกเจ้าจะเอาสิ่งเหล่านั้นที่เราได้สั่งให้ทำลายออกไปเสียจากพวกเจ้า”

14 ในตอนเช้า ให้พวกเจ้าเข้ามาทีละเผ่า และเผ่าที่พระยาห์เวห์เลือก ก็ให้เข้ามาทีละตระกูล ตระกูลที่พระยาห์เวห์เลือก ก็ให้เข้ามาทีละครอบครัว ครอบครัวที่พระยาห์เวห์เลือก ก็ให้เข้ามาทีละคน 15 คนใดที่ถูกจับได้ว่ามีสิ่งเหล่านั้นที่ต้องถูกทำลาย จะต้องถูกเผาไปพร้อมๆกับทุกสิ่งที่เป็นของเขา เพราะเขาได้ละเมิดข้อตกลงของพระยาห์เวห์และได้ทำสิ่งที่น่าละอายในอิสราเอล’”

16 ดังนั้น โยชูวาจึงตื่นขึ้นแต่เช้าตรู่ และได้นำชาวอิสราเอลเข้ามาทีละเผ่า และพระยาห์เวห์ได้เลือกเผ่ายูดาห์ 17 เขาให้ตระกูลต่างๆในเผ่ายูดาห์เข้ามา และตระกูลของเศราห์ถูกเลือกออกมา เขาให้แต่ละครอบครัวในตระกูลเศราห์มา ครอบครัวของศับดีถูกเลือกออกมา 18 โยชูวาได้ให้คนในครอบครัวศับดีเข้ามาทีละคน และคนที่ถูกเลือกคืออาคานลูกชายของคารมีที่เป็นลูกชายของศับดีจากเผ่ายูดาห์

19 แล้วโยชูวาก็พูดกับอาคานว่า “ลูกเอ๋ย ให้เกียรติกับพระยาห์เวห์พระเจ้าของอิสราเอลและสารภาพกับพระองค์เถิด ให้บอกเรามาสิว่า เจ้าได้ทำอะไรลงไป อย่าได้ปิดบังอะไรจากเราเลย”

20 อาคานได้ตอบโยชูวาว่า “ถูกแล้ว ข้าพเจ้าได้ทำบาปต่อพระยาห์เวห์พระเจ้าของประชาชนอิสราเอล นี่คือสิ่งที่ข้าพเจ้าได้ทำไป 21 คือในพวกสิ่งของทั้งหมดที่พวกเรายึดมาได้นั้น ข้าพเจ้าได้เห็นเสื้อคลุมตัวงามจากบาบิโลน เงินกว่าสองกิโลกรัม และทองคำแท่งหนึ่งหนักประมาณหกร้อยกรัม ข้าพเจ้าอยากได้ของเหล่านั้นมาก จึงได้เอามันมาและซ่อนไว้ในพื้นดินใต้เต็นท์ของข้าพเจ้า โดยวางเงินอยู่ด้านล่าง”

22 โยชูวาจึงได้ส่งคนไป พวกเขาวิ่งไปที่เต็นท์หลังนั้น และได้พบของที่ถูกซ่อนไว้ในเต็นท์นั้น โดยมีเงินวางอยู่ด้านล่าง 23 พวกเขานำของเหล่านั้นออกมาจากเต็นท์ และนำไปที่โยชูวาและชาวอิสราเอลทั้งหมดอยู่ แล้ววางของเหล่านั้นไว้ต่อหน้าพระยาห์เวห์

24 แล้วโยชูวาและชาวอิสราเอลทั้งหมดก็ได้พาอาคานลูกชายของเศราห์ พร้อมกับเงิน เสื้อคลุม ทองแท่ง พวกลูกชายลูกสาวของเขา พวกวัว ลาและแกะทั้งหลาย รวมทั้งเต็นท์ของเขา และทุกสิ่งทุกอย่างที่เป็นของเขา ขึ้นไปที่หุบเขาอาโคร์ 25 โยชูวาพูดว่า “ทำไมเจ้าถึงได้นำความเดือดร้อนนี้มาให้กับพวกเรา วันนี้ พระยาห์เวห์จะนำความเดือดร้อนมาให้กับเจ้า” จากนั้นประชาชนชาวอิสราเอลก็พากันเอาหินขว้างใส่อาคานกับครอบครัวของเขาให้ตาย เผาครอบครัวของอาคานและทรัพย์สินทั้งหมดของเขา และขว้างก้อนหินใส่พวกเขา 26 แล้วชาวอิสราเอลก็เอาก้อนหินมากองทับร่างของเขาไว้และมันก็ยังอยู่จนถึงทุกวันนี้[r] นั่นเป็นเหตุที่เขาเรียกสถานที่แห่งนั้นว่าหุบเขาอาโคร์[s]

หลังจากนั้นพระยาห์เวห์ก็หายจากความโกรธที่แผดเผานั้น

การทำลายเมืองอัย

จากนั้นพระยาห์เวห์ได้พูดกับโยชูวาว่า “อย่าได้กลัวหรือท้อถอย ให้นำเหล่านักรบทั้งหมดไปกับเจ้า และขึ้นไปยังเมืองอัย[t] ดูเถิด เราได้มอบกษัตริย์เมืองอัย ประชาชนของเขา รวมทั้งเมืองและแผ่นดินของเขาไว้ในมือของเจ้าแล้ว เจ้าจะทำกับเมืองอัยและกษัตริย์ของเมืองนี้ อย่างกับที่เจ้าได้ทำกับเมืองเยริโคและกษัตริย์ของเขามาแล้ว แต่ครั้งนี้ เจ้าจะได้รับอนุญาตให้เก็บทรัพย์สมบัติในเมืองและสัตว์เลี้ยงไว้เป็นของพวกเจ้าได้ ให้จัดทหารไว้ซุ่มโจมตีจากทางด้านหลังของเมือง”

ดังนั้นโยชูวาจึงได้นำทหารทั้งหมดขึ้นไปเมืองอัย โยชูวาได้คัดทหารชั้นเยี่ยมออกมาสามหมื่นคน และส่งพวกเขาออกไปในตอนกลางคืน เขาได้สั่งพวกทหารกลุ่มนี้ว่า “ฟังให้ดี ให้พวกเจ้าคอยดักซุ่มอยู่ทางด้านหลังของเมือง อย่าไปไกลจากเมืองนัก ให้พวกเจ้าทั้งหมดตื่นตัวอยู่ตลอด เราและประชาชนของเราจะเข้าประชิดตัวเมือง เมื่อพวกเขาออกมาต่อสู้กับพวกเรา พวกเราก็จะแกล้งถอยหนีพวกเขาเหมือนครั้งก่อน พวกเขาจะได้ตามเราออกมา จนกว่าเราได้ล่อให้พวกเขาออกห่างจากตัวเมือง เพราะพวกเขาจะพูดว่า ‘พวกนั้นกำลังหนีพวกเราเหมือนครั้งก่อน’ ดังนั้น พอพวกเราหนีพวกเขาออกไปนั้น ถึงตอนนั้น ก็ให้พวกเจ้าลุกขึ้นจากที่ซ่อน และเข้ายึดเมืองไว้ พระยาห์เวห์พระเจ้าของพวกเจ้าก็จะมอบเมืองนี้ไว้ในมือของพวกเจ้า

เมื่อพวกเจ้ายึดเมืองได้ ให้จุดไฟเผาเมืองซะ พวกเจ้าต้องทำตามที่พระยาห์เวห์ได้สั่งไว้ นี่คือคำสั่งทั้งหลายสำหรับพวกเจ้า ไปลงมือได้เลย”

แล้วโยชูวาก็ได้ส่งพวกเขาออกไป พวกเขาได้ไปยังที่ซ่อนตัวของพวกเขา พวกเขาได้แอบซุ่มอยู่ระหว่างเมืองเบธเอลกับเมืองอัย ทางทิศตะวันตกของเมืองอัย แต่ในคืนนั้นโยชูวายังอยู่ในค่ายกับประชาชน

10 วันต่อมา โยชูวาตื่นแต่เช้าตรู่ และได้เรียกประชาชนให้มารวมตัวกัน แล้วเขากับพวกผู้อาวุโสของอิสราเอลก็ได้นำทัพประชาชนขึ้นไปที่เมืองอัย 11 พวกทหารทั้งหมดที่อยู่กับเขาก็ได้เดินทัพขึ้นไป และเข้าใกล้เมืองอัย จนกระทั่งพวกเขาได้มาถึงด้านหน้าของเมือง จึงได้ตั้งค่ายอยู่ทางทิศเหนือของเมืองอัย มีหุบเขาคั่นระหว่างพวกเขากับเมืองอัย

12 โยชูวา ได้จัดกำลังคนประมาณห้าพันให้แอบซุ่มอยู่ระหว่างเมืองเบธเอลกับเมืองอัย ทางทิศตะวันตกของเมือง 13 พวกเขาได้วางกองกำลังไว้ตามที่ของมัน ค่ายหลักอยู่ทางทิศเหนือของเมือง และพวกที่ดักซุ่มก็อยู่ทางทิศตะวันตกของเมือง ในคืนนั้นโยชูวาได้เข้าไปในหุบเขา

14 เมื่อกษัตริย์เมืองอัยเห็นอย่างนั้น เขาและประชาชนในเมืองก็รีบออกมาแต่เช้าตรู่ เพื่อต่อสู้กับชาวอิสราเอล ปะทะกันที่ด้านหน้าของหุบเขาจอร์แดน แต่กษัตริย์เมืองอัยไม่รู้ว่ายังมีกองทหารอีกหนึ่งกองแอบซุ่มอยู่ทางด้านหลังของเมือง

15 โยชูวาและพวกทหารแกล้งทำเป็นพ่ายแพ้และวิ่งหนีไปทางทะเลทราย 16 ชาวเมืองอัยทุกคนถูกสั่งให้ไล่ตามพวกนั้นไป เมื่อพวกเขาไล่ตามโยชูวาไป พวกเขาก็ถูกล่อให้ออกห่างจากเมือง 17 ไม่มีผู้ชายเหลือเลยสักคนเดียวในเมืองอัยหรือเมืองเบธเอล เพราะผู้ชายทุกคนได้ออกไปไล่ตามชาวอิสราเอลจนหมด พวกเขาทิ้งประตูเมืองให้เปิดอยู่และไปไล่ตามชาวอิสราเอล

18 แล้วพระยาห์เวห์พูดกับโยชูวาว่า “ให้ยื่นหอกที่อยู่ในมือของเจ้าไปที่เมืองอัย เพราะเราจะมอบเมืองอัยให้อยู่ในกำมือของเจ้า” โยชูวาจึงยื่นหอกที่อยู่ในมือไปที่เมืองอัย 19 ทันใดนั้น ทหารที่แอบซุ่มอยู่ก็ออกมาจากที่ซ่อนของพวกเขาอย่างรวดเร็ว และรีบบุกไปข้างหน้าทันทีที่โยชูวายื่นมือของเขาออกไป พวกเขาได้เข้าไปในเมืองและยึดเมืองไว้ และรีบจุดไฟเผาเมือง

20 เมื่อชาวเมืองอัยเหลียวหลังมาดู ก็เห็นกลุ่มควันลอยออกมาจากเมืองพลุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้า แต่พวกเขาก็หมดทางหนี เพราะชาวอิสราเอลที่ก่อนหน้านี้ได้หนีไปทางทะเลทราย ได้หันกลับมาต่อสู้กับคนที่ไล่ล่าพวกเขา 21 คือ เมื่อโยชูวากับพวกชาวอิสราเอลเห็นว่าทหารที่แอบซุ่มอยู่ ได้เข้ายึดเมืองและได้เห็นควันจากในเมืองกำลังพลุ่งขึ้น พวกเขาก็ได้หันกลับมาโจมตีชาวเมืองอัย 22 พวกทหารอิสราเอลที่เคยแอบซุ่มอยู่ก็วิ่งออกมาจากเมืองเพื่อต่อสู้กับชาวเมืองอัย ดังนั้น ชาวเมืองอัยจึงถูกล้อมอยู่ในทุกๆด้าน ท่ามกลางชาวอิสราเอล และชาวอิสราเอลได้โจมตีพวกเขาจนไม่มีใครรอดชีวิตหรือหลบหนีไปได้ 23 แต่พวกเขาได้จับตัวกษัตริย์ของเมืองอัยไว้และได้นำตัวมาให้กับโยชูวา

การตรวจผลการสู้รบ

24 เมื่อชาวเมืองอิสราเอลได้ไล่ฆ่าชาวเมืองอัยที่วิ่งหนีไปในท้องทุ่ง และในทะเลทรายจนหมดเกลี้ยงทุกคนแล้ว กองทัพชาวอิสราเอลก็กลับเข้าสู่เมืองอัยและโจมตีคนในเมืองที่ยังหลงเหลืออยู่ 25 ในวันนั้น พวกเขาฆ่าชาวเมืองอัยทั้งชายและหญิง ตายไปทั้งหมดหนึ่งหมื่นสองพันคน 26 โยชูวาไม่ได้หดมือที่ถือหอกของเขากลับเข้ามา จนกระทั่งประชาชนของเมืองอัยถูกทำลายล้างจนหมดสิ้น 27 แต่คนอิสราเอลได้ริบเอาสัตว์เลี้ยงและของมีค่าของเมืองไป ตามที่พระยาห์เวห์ได้สั่งโยชูวาไว้

28 แล้วโยชูวาได้เผาเมืองอัย และทำให้มันกลายเป็นซากปรักหักพังจนถึงทุกวันนี้ 29 และได้เสียบศพของกษัตริย์เมืองอัยบนต้นไม้จนกระทั่งถึงตอนเย็น และเมื่อดวงอาทิตย์ลับขอบฟ้า โยชูวาจึงสั่งให้ปลดศพของกษัตริย์ลงมาจากต้นไม้และนำไปทิ้งไว้ที่ทางเข้าประตูเมือง แล้วพวกเขาได้ยกเอาก้อนหินมาทับไว้จนเป็นกองใหญ่และมันก็ยังอยู่จนถึงทุกวันนี้

การอ่านคำอวยพรและคำสาปแช่ง

30 แล้วโยชูวาได้สร้างแท่นบูชาให้แก่พระยาห์เวห์พระเจ้าของชาวอิสราเอล บนภูเขาเอบาล 31 ดังที่โมเสสผู้รับใช้ของพระยาห์เวห์ได้สั่งชาวอิสราเอลไว้ โยชูวาสร้างมันขึ้นมาตามที่มีเขียนไว้ในหนังสือกฎของโมเสส ที่ว่า “แท่นบูชาจะต้องทำจากพวกหินที่ไม่มีการตัดแต่ง ไม่มีการใช้เครื่องมือเหล็กใดๆบนแท่นบูชานี้” พวกเขาได้เผาเครื่องเผาบูชาให้แก่พระยาห์เวห์บนแท่นบูชานี้ และได้ถวายเครื่องสังสรรค์บูชาด้วย

32 ตรงนั้น โยชูวาได้คัดลอกกฎของโมเสสลงบนหินต่อหน้าชาวอิสราเอลทั้งหลาย 33 ชาวอิสราเอลทั้งหมด ชาวต่างชาติรวมทั้งคนที่เกิดในอิสราเอล พวกผู้นำอาวุโส พวกเจ้าหน้าที่ และพวกผู้พิพากษาทั้งหลาย ต่างยืนอยู่สองข้างของหีบเก็บข้อตกลงของพระยาห์เวห์ หันหน้าไปทางพวกนักบวชชาวเลวีที่แบกหีบนั้นอยู่ ประชาชนครึ่งหนึ่งก็ยืนอยู่ด้านหน้าภูเขาเกริซิม และประชาชนอีกครึ่งหนึ่งก็ยืนอยู่ด้านหน้าภูเขาเอบาล ดังที่โมเสสผู้รับใช้ของพระยาห์เวห์เคยสั่งเอาไว้ก่อนหน้านี้ ตอนที่ท่านให้คำสั่งเกี่ยวกับการอวยพรชาวอิสราเอล[u]

34 หลังจากนั้น โยชูวาจึงอ่านถ้อยคำทั้งหมดจากกฎข้อปฏิบัตินั้น รวมทั้งคำอวยพรและคำสาปแช่ง ตามที่ได้เขียนไว้ในหนังสือกฎปฏิบัตินั้น 35 โยชูวาได้อ่านทุกๆคำที่โมเสสได้สั่งไว้ ต่อหน้าที่ชุมนุมของชาวอิสราเอลทั้งหมด รวมทั้งผู้หญิง เด็กๆและคนต่างชาติที่อาศัยอยู่ท่ามกลางพวกเขา

ชาวกิเบโอนหลอกโยชูวา

เมื่อกษัตริย์ทั้งหลายที่อยู่ฝั่งตะวันตกของแม่น้ำจอร์แดน ได้ยินเรื่องนี้ พวกนี้เป็นกษัตริย์ของชาวฮิตไทต์ ชาวอาโมไรต์ ชาวคานาอัน ชาวเปริสซี ชาวฮีไวต์ และ ชาวเยบุส ซึ่งเป็นเผ่าต่างๆที่อาศัยอยู่ตามแถบเทือกเขา และที่ลุ่มเชิงเขาด้านตะวันตก[v] ตามชายฝั่งทะเลเมดิเตอร์เรเนียน ขึ้นไปจนถึงเทือกเขาเลบานอน พวกเขาจึงได้รวมตัวกันขึ้นและวางแผนที่จะต่อสู้กับโยชูวาและประชาชนชาวอิสราเอล

แต่เมื่อชาวกิเบโอนได้ยินเรื่องที่โยชูวาได้ทำกับเมืองเยริโคและเมืองอัยแล้ว พวกเขาก็ได้ออกกลอุบายขึ้นมา ส่งกลุ่มทูตออกไป ที่มีลาแบกกระสอบขาดๆและถุงหนังเหล้าองุ่นที่เก่าและปะไว้ พวกเขาสวมรองเท้าเก่ามีรอยปะ และใส่เสื้อผ้าเก่าๆขาดๆส่วนขนมปังที่เตรียมไว้ก็แห้งและมีราขึ้น

พวกเขาเดินทางไปหาโยชูวาที่ค่ายในเมืองกิลกาล และพูดกับโยชูวาและชาวอิสราเอลว่า “พวกเรามาจากแผ่นดินที่อยู่ห่างไกล ขอทำสัญญาเป็นพันธมิตรกับพวกเราด้วยเถิด”

แต่ชาวอิสราเอลพูดกับชาวฮีไวต์เหล่านั้นว่า “ไม่แน่พวกเจ้าอาจจะอาศัยอยู่แถวๆนี้ก็ได้ แล้วพวกเราจะทำสัญญาเป็นพันธมิตรกับพวกเจ้าได้ยังไง”

ชาวฮีไวต์จึงพูดกับโยชูวาว่า “พวกเราเป็นผู้รับใช้ของท่าน” โยชูวาจึงถามว่า “พวกเจ้าเป็นใคร และมาจากไหน”

พวกเขาตอบว่า “ชื่อเสียงของพระยาห์เวห์พระเจ้าของพวกท่าน ทำให้พวกเราผู้รับใช้ของท่าน เดินทางมาจากดินแดนอันไกลโพ้น พวกเราได้ยินเรื่องราวเกี่ยวกับพระองค์และทุกสิ่งทุกอย่างที่พระองค์ได้ทำในประเทศอียิปต์ 10 และได้ยินถึงสิ่งต่างๆที่พระองค์ได้ทำต่อกษัตริย์สององค์ของชาวอาโมไรต์ ที่อยู่ฝั่งตะวันออกของแม่น้ำจอร์แดน คือกษัตริย์สิโหนแห่งเมืองเฮชโบน และกษัตริย์โอกแห่งแคว้นบาชานที่ปกครองอยู่ที่เมืองอัชทาโรท 11 ดังนั้น พวกผู้นำอาวุโสกับชาวเมืองทั้งหลายของประเทศของเรา ได้พูดกับพวกเราว่า ‘ให้นำเสบียงอาหารติดตัวไป และเดินทางไปหาพวกเขา’ และให้พูดกับพวกเขาว่า ‘พวกเราคือคนรับใช้ของท่าน ขอช่วยทำข้อตกลงเป็นพันธมิตรกับพวกเราด้วยเถิด’

12 ขนมปังของพวกเรานี้ พวกเราห่อมันตอนที่มันยังอุ่นๆในวันที่พวกเราออกจากบ้านเดินทางมาหาท่าน และตอนนี้ ดูสิ มันแห้งและขึ้นราแล้ว 13 นี่คือถุงหนังใหม่ๆของพวกเรา ที่พวกเราได้เติมเหล้าองุ่นใหม่ลงไป และดูสิ พวกมันขาดเสียแล้ว และเสื้อผ้าเหล่านี้กับรองเท้าของพวกเราก็เก่าลงจากการเดินทางอันยาวนานของพวกเรา”

14 ชาวอิสราเอลจึงชิมเสบียงอาหารของพวกเขาดู แต่ไม่มีใครขอคำแนะนำจากพระยาห์เวห์ 15 และโยชูวาก็ได้ทำข้อตกลงเป็นพันธมิตรกับพวกเขาว่าจะไม่ฆ่าพวกเขา และพวกผู้นำของประชาชนได้รับรองข้อตกลงนั้นด้วยคำสาบาน

16 หลังจากได้ทำข้อตกลงกับชาวกิเบโอนแล้วสามวัน ชาวอิสราเอลได้ยินว่า พวกนั้นเป็นเพื่อนบ้านที่อาศัยอยู่ใกล้ๆพวกเขา 17 ดังนั้น ชาวอิสราเอลจึงออกเดินทางและในวันที่สามก็ได้มาถึงเมืองต่างๆของคนพวกนั้น คือ เมืองกิเบโอน เมืองเคฟีราห์ เบเอโรท และคิริยาทเยอาริม 18 แต่ชาวอิสราเอลไม่ได้โจมตีพวกนั้น เพราะพวกผู้นำของประชาชนได้สาบานกับพวกนั้นไว้แล้วต่อหน้าพระยาห์เวห์พระเจ้าของอิสราเอล

แต่ชาวอิสราเอลทั้งหมดต่างบ่นต่อว่าพวกผู้นำ 19 พวกผู้นำทั้งหลายจึงพูดกับประชาชนทั้งหมดว่า “เราได้สาบานกับพวกเขาโดยอ้างพระยาห์เวห์พระเจ้าของชาวอิสราเอลไปแล้ว ดังนั้น ตอนนี้พวกเราจึงไม่สามารถแตะต้องพวกเขาได้ 20 พวกเราจะปล่อยให้พวกเขามีชีวิตต่อไป ไม่อย่างนั้นความโกรธของพระเจ้าจะตกลงบนพวกเรา ที่ได้ผิดคำสาบานที่พวกเราได้ให้กับพวกเขา 21 ปล่อยให้พวกเขามีชีวิตต่อไป แต่ให้มาเป็นคนตัดฟืนและคนตักน้ำให้กับประชาชนชาวอิสราเอล” ดังนั้นพวกผู้นำก็ได้ทำตามที่ได้สาบานไว้

22 โยชูวาได้เรียกพวกชาวกิเบโอนเหล่านั้นมาและพูดกับพวกเขาว่า “ทำไมพวกเจ้าถึงได้มาหลอกเรา โดยพูดว่า ‘พวกเรามาจากที่ห่างไกลจากท่านมาก’ ในเมื่อความจริงแล้ว พวกเจ้าอาศัยอยู่ใกล้ๆพวกเรานี่เอง 23 ดังนั้น ตอนนี้ พวกเจ้าจะต้องถูกสาปแช่ง พวกเจ้าจะต้องเป็นทาส เป็นคนตัดฟืน และเป็นคนตักน้ำให้กับบ้านของพระเจ้า[w] ของข้าตลอดไป”

24 พวกเขาตอบโยชูวาว่า “มีคนบอกพวกเรา ผู้รับใช้ของท่านว่า ‘พระยาห์เวห์พระเจ้าของท่าน ได้สั่งโมเสสผู้รับใช้ของพระองค์ให้มอบแผ่นดินทั้งหมดนี้ให้กับท่าน และให้กวาดล้างประชาชนทั้งหมดที่อยู่ในแผ่นดินนี้ออกไปต่อหน้าท่าน’ พวกเรากลัวว่าท่านจะฆ่าพวกเรา พวกเราก็เลยทำอย่างนี้ 25 ตอนนี้ พวกเราก็อยู่ในกำมือของท่านแล้ว ทำกับพวกเราตามที่ท่านเห็นว่าดีและถูกต้องเถิด”

26 โยชูวาได้ทำอย่างนี้กับพวกเขาคือ ช่วยชีวิตชาวกิเบโอนไว้จากชาวอิสราเอล และพวกชาวอิสราเอลก็ไม่ได้ฆ่าคนเหล่านั้น 27 แต่ในวันนั้น โยชูวาได้ทำให้พวกเขาเป็นคนตัดฟืนและคนตักน้ำสำหรับชาวอิสราเอล และสำหรับแท่นบูชาของพระยาห์เวห์ในสถานที่นั้นที่พระยาห์เวห์จะเลือก และพวกเขาก็ยังเป็นทาสอยู่จนถึงทุกวันนี้

วันที่ดวงอาทิตย์หยุดนิ่ง

10 เมื่อกษัตริย์อาโดนีเซเดกแห่งเมืองเยรูซาเล็มได้ข่าวว่า โยชูวาได้ยึดเมืองอัยและได้ทำลายถวายให้กับพระยาห์เวห์ และโยชูวาทำกับเมืองอัยและกษัตริย์ของเมืองอัยอย่างเดียวกับที่ได้ทำกับเมืองเยริโคและกษัตริย์ของมัน และเขายังรู้อีกว่าชาวเมืองกิเบโอน ได้ทำข้อตกลงเป็นพันธมิตรกับชาวอิสราเอล และได้อาศัยอยู่ใกล้ๆกับชาวอิสราเอล กษัตริย์อาโดนีเซเดกและประชาชนของท่านก็หวาดกลัวมาก เพราะกิเบโอนเป็นเมืองใหญ่เมืองหนึ่งเหมือนกับเมืองหลวง[x] ทั้งหลาย มีขนาดใหญ่กว่าเมืองอัย และผู้ชายของเมืองนั้นก็เป็นนักรบที่ดี ดังนั้นกษัตริย์อาโดนีเซเดกแห่งเมืองเยรูซาเล็ม จึงได้ขอความช่วยเหลือไปยังกษัตริย์โฮฮัมแห่งเมืองเฮโบรน กษัตริย์ปิรามแห่งเมืองยารมูท กษัตริย์ยาเฟียแห่งเมืองลาคีช และกษัตริย์เดบีร์แห่งเมืองเอกโลนว่า “ขึ้นมาช่วยข้าพเจ้าตีเมืองกิเบโอนด้วย เพราะเมืองนั้นได้เข้าเป็นพันธมิตรกับโยชูวาและชาวอิสราเอลแล้ว”

ดังนั้น กษัตริย์ของอาโมไรต์ทั้งห้าองค์คือ กษัตริย์เมืองเยรูซาเล็ม เมืองเฮโบรน เมืองยารมูท เมืองลาคีช และเมืองเอกโลน จึงได้รวบรวมกำลังพลและยกขึ้นไป และได้ตั้งค่ายอยู่ตรงข้ามกับเมืองกิเบโอนและโจมตีเมืองนั้น

ประชาชนเมืองกิเบโอนจึงส่งข่าวไปถึงโยชูวาที่ค่ายในกิลกาลว่า “อย่าได้ทอดทิ้งพวกเราเหล่าผู้รับใช้ของท่าน รีบขึ้นมากู้พวกเรา ช่วยพวกเราด้วย เพราะพวกกษัตริย์ชาวอาโมไรต์ ที่อาศัยอยู่ตามเทือกเขา ได้รวบรวมพลมาต่อสู้กับพวกเรา”

ดังนั้น โยชูวาจึงเดินทัพจากเมืองกิลกาล ด้วยกองทัพทั้งหมดของเขา นักรบชั้นเยี่ยมทุกคนก็อยู่กับเขา พระยาห์เวห์ได้สั่งโยชูวาว่า “อย่ากลัวพวกมัน เพราะเราได้มอบพวกมันไว้ในกำมือของเจ้าแล้ว จะไม่มีใครสักคนในพวกมันที่จะต่อต้านเจ้าได้”

หลังจากเดินทางตลอดทั้งคืนจากเมืองกิลกาล โยชูวาก็ได้เข้าโจมตีทันทีไม่ให้พวกนั้นรู้ตัว

10 พระยาห์เวห์ได้ทำให้พวกนั้นแตกตื่นตกใจ ต่อหน้าชาวอิสราเอล ทำให้ชาวอิสราเอลได้รับชัยชนะครั้งยิ่งใหญ่ที่เมืองกิเบโอน และพวกอิสราเอลได้ไล่ล่าพวกนั้นไปตามถนนที่ขึ้นไปเบธโฮโรน และฆ่าฟันพวกเขาไปตลอดทางจนถึงเมืองอาเซคาห์และมักเคดาห์ 11 ขณะที่พวกเขาหนีอยู่ข้างหน้าของชาวอิสราเอลไปตามเส้นทางสู่เมืองเบธโฮโรนนั้น พระเจ้าได้โยนลูกเห็บขนาดยักษ์ลงมาจากฟ้า ตลอดไปจนถึงเมืองอาเซคาห์ พวกเขาก็ตาย คนที่ตายด้วยลูกเห็บยังมีมากกว่าคนที่ถูกชาวอิสราเอลฆ่าด้วยดาบเสียอีก

12 ในวันนั้นที่พระยาห์เวห์ได้มอบชาวอาโมไรต์ให้กับชาวอิสราเอล โยชูวาได้พูดกับพระยาห์เวห์ต่อหน้าชาวอิสราเอลว่า

“ดวงอาทิตย์เอ๋ย หยุดนิ่งที่เมืองกิเบโอน
    และดวงจันทร์เอ๋ย หยุดอยู่ตรงหุบเขาอัยยาโลนเถิด”

13 และดวงอาทิตย์ก็หยุดอยู่กับที่ และดวงจันทร์ก็ไม่เคลื่อนไหว จนประชาชนอิสราเอลได้ชัยชนะเหนือศัตรูทั้งหลายของพวกเขา เรื่องนี้ได้บันทึกไว้ในหนังสือของยาชาร์ ดวงอาทิตย์หยุดนิ่งกลางท้องฟ้า และไม่ได้ตกไปเกือบหนึ่งวัน 14 ไม่เคยมีวันไหนเหมือนกับวันนั้น ไม่ว่าจะก่อนหน้านั้นหรือหลังจากนี้ เป็นวันที่พระยาห์เวห์ได้ฟังเสียงของมนุษย์คนหนึ่ง พระยาห์เวห์ได้ต่อสู้เพื่อชาวอิสราเอลแน่

15 แล้วโยชูวากับชาวอิสราเอลทั้งหมดก็กลับไปค่ายที่เมืองกิลกาล 16 กษัตริย์ทั้งห้าคนได้หลบหนีไปซ่อนตัวอยู่ในถ้ำที่มักเคดาห์ 17 มีคนมาบอกโยชูวาว่า “พวกเราได้พบกษัตริย์ทั้งห้าหลบซ่อนอยู่ในถ้ำที่ มักเคดาห์” 18 โยชูวาได้พูดว่า “กลิ้งพวกหินใหญ่ๆไปปิดปากถ้ำนั้นไว้ และจัดคนให้คอยเฝ้าพวกเขาไว้ 19 แต่พวกท่านไม่ต้องอยู่คอยที่นั่น ให้ไล่ตามศัตรูของพวกท่านไป ให้โจมตีพวกเขาจากข้างหลัง อย่ายอมให้พวกเขากลับเข้าเมืองทั้งหลายของพวกเขาได้อีก เพราะพระยาห์เวห์พระเจ้าของพวกท่านได้มอบพวกเขาไว้ในมือของพวกท่านแล้ว”

20 โยชูวาและชาวอิสราเอลได้ฆ่าทำลายพวกนั้นจนเกือบหมดเกลี้ยง มีไม่กี่คนที่หนีเข้าไปในเมืองของพวกเขาที่มีป้อมปราการ 21 ประชาชนชาวอิสราเอลทั้งหมดได้กลับมาหาโยชูวาที่ค่ายพักมักเคดาห์อย่างปลอดภัย และไม่มีใครกล้ากระดิกลิ้นต่อว่าชาวอิสราเอลอีกเลย

22 แล้วโยชูวาได้พูดว่า “เปิดปากถ้ำ และนำตัวกษัตริย์ทั้งห้าออกมาพบเรา” 23 พวกเขาจึงนำกษัตริย์ทั้งห้าออกมาจากถ้ำ คือกษัตริย์แห่งเยรูซาเล็ม แห่งเฮโบรน แห่งยารมูท แห่งลาคีช และแห่งเอกโลน 24 เมื่อพวกเขานำตัวกษัตริย์เหล่านั้นออกมายังโยชูวา โยชูวาจึงเรียกประชุมชาวอิสราเอลทั้งหมด และเขาได้พูดกับพวกแม่ทัพที่ได้ร่วมออกรบกับเขาว่า “มานี่สิ และเอาเท้าของพวกท่านเหยียบคอกษัตริย์เหล่านี้ไว้” พวกเขาจึงเข้ามาและเอาเท้าวางไว้บนคอของกษัตริย์ทั้งห้าคนนั้น

25 โยชูวาพูดกับพวกเขาว่า “อย่ากลัวหรือท้อแท้ ให้เข้มแข็งและกล้าหาญไว้ เพราะพระยาห์เวห์จะทำอย่างนี้กับศัตรูทั้งหลายที่ท่านกำลังจะสู้รบด้วย”

26 หลังจากนั้น โยชูวาได้ฆ่ากษัตริย์พวกนั้นและเสียบพวกเขาไว้บนเสาไม้ห้าต้น พวกเขาถูกเสียบอยู่อย่างนั้นจนถึงเย็น 27 เมื่อดวงอาทิตย์ตกดิน โยชูวาได้สั่งให้เอาศพทั้งห้าลงมา และนำไปโยนไว้ในถ้ำที่พวกเขาเคยหลบซ่อนตัว แล้วเอาหินใหญ่ๆปิดปากถ้ำไว้ หินพวกนั้นยังอยู่จนถึงทุกวันนี้

28 ในวันนั้น โยชูวาได้ยึดเมืองมักเคดาห์ และเขาได้ฆ่าประชาชนและกษัตริย์ของเมืองนั้น เขาได้ทำลายเมืองนั้นอย่างราบคาบ ไม่มีใครเหลือรอดชีวิตเลย เขาได้ทำกับกษัตริย์เมืองมักเคดาห์อย่างกับที่เขาเคยทำกับกษัตริย์เมืองเยริโค

การยึดเมืองทางใต้

29 โยชูวาและชาวอิสราเอลทั้งหมดได้ยกทัพออกจากเมืองมักเคดาห์ไปถึงเมืองลิบนาห์ และได้สู้รบกับเมืองลิบนาห์ 30 พระยาห์เวห์ได้มอบเมืองและกษัตริย์ของเมืองนี้ไว้ในกำมือของชาวอิสราเอล โยชูวาได้ฆ่าทุกคนที่อยู่ในเมือง ไม่มีใครรอดชีวิตในเมืองนั้นเลย และเขาได้จัดการกษัตริย์ของเมืองนี้อย่างกับที่เขาเคยทำกับกษัตริย์เมืองเยริโค

31 แล้วโยชูวาและชาวอิสราเอลทั้งหมดก็ได้เคลื่อนทัพต่อจากเมืองลิบนาห์ไปยังเมืองลาคีช แล้วตั้งค่ายล้อมเมืองไว้และเข้าโจมตีเมืองนั้น 32 พระยาห์เวห์ได้มอบเมืองลาคีชไว้ในกำมือของชาวอิสราเอล แล้วโยชูวายึดเมืองไว้ได้ในวันที่สอง เขาได้ฆ่าทุกคนที่อยู่ในเมืองอย่างกับที่เขาเคยทำกับเมืองลิบนาห์ 33 กษัตริย์โฮรามแห่งเมืองเกเซอร์ได้ขึ้นมาช่วยเมืองลาคีช แต่โยชูวาก็ได้เอาชนะเขากับกองทัพของเขา จนไม่มีใครเหลือรอดชีวิต

34 จากนั้น โยชูวากับชาวอิสราเอลก็ยกทัพต่อจากเมืองลาคีชไปยังเมืองเอกโลน พวกเขาได้ตั้งค่ายล้อมเมืองไว้และโจมตีเมืองนั้น 35 พวกเขายึดเมืองนั้นได้ ในวันนั้นพวกเขาได้ใช้ดาบฆ่าฟันทุกคนในเมือง โยชูวาได้ฆ่าทุกคนที่อยู่ในเมืองนั้น อย่างกับที่เขาเคยทำกับเมืองลาคีช

36 แล้วโยชูวากับชาวอิสราเอลทั้งหมดก็ยกทัพออกจากเมืองเอกโลนขึ้นไปยังเมืองเฮโบรน และโจมตีเมืองนั้น 37 พวกเขายึดเมืองนั้นไว้ได้ และได้ฆ่ากษัตริย์และทุกคนที่อยู่ในเมืองนั้น รวมทั้งผู้คนที่อยู่ในหมู่บ้านต่างๆของมัน โยชูวาไม่ปล่อยให้ใครรอดชีวิตไปได้ อย่างเดียวกับที่เขาเคยทำกับเมืองเอกโลน เขาได้ทำลายเมืองและทุกคนที่อาศัยอยู่ในเมืองนั้นลงอย่างราบคาบ

38 แล้วโยชูวากับชาวอิสราเอลทั้งหมดก็หันกลับไปทางเมืองเดบีร์ และเข้าโจมตีเมืองนั้น 39 โยชูวาได้เข้ายึดเมือง และจับตัวกษัตริย์ของเมืองนั้นไว้ รวมทั้งหมู่บ้านต่างๆของมัน พร้อมกับฆ่าทุกคนที่อาศัยอยู่ที่นั่น ไม่ปล่อยให้ใครรอดชีวิตไปได้เลย เขาจัดการกับชาวเมืองเดบีร์และกษัตริย์ของเมืองนี้ อย่างกับที่เขาเคยทำกับเมืองเฮโบรน และทำกับเมืองลิบนาห์กับกษัตริย์ของเมืองนั้น

40 โยชูวาได้เอาชนะดินแดนทั้งหมด ได้แก่ แถบเนินเขา บริเวณเทือกเขาเนเกบ ที่ลุ่มเชิงเขาด้านตะวันตก และที่ลาดเขา รวมทั้งกษัตริย์ทั้งหมดของเมืองเหล่านั้น เขาไม่ปล่อยให้มีใครรอดชีวิตเลย เขาได้ทำลายทุกสิ่งที่มีลมหายใจ ตามที่พระยาห์เวห์พระเจ้าของชาวอิสราเอลได้สั่งไว้

41 โยชูวามีชัยเหนือพวกเขาตั้งแต่เมืองคาเดชบารเนียไปจนถึงเมืองกาซา และตั้งแต่แผ่นดินทั้งหมดของเมืองโกเชนไปจนถึงเมืองกิเบโอน 42 โยชูวาได้ปราบกษัตริย์ทั้งหมดของพวกเขาและยึดแผ่นดินของพวกเขาทั้งหมดไว้ในคราวเดียวกัน เพราะพระยาห์เวห์พระเจ้าของชาวอิสราเอล ได้ต่อสู้เพื่อชาวอิสราเอล 43 แล้วโยชูวากับชาวอิสราเอลทั้งหมดก็ยกทัพกลับมายังค่ายที่กิลกาล

พวกกษัตริย์ทางเหนือพ่ายแพ้

11 เมื่อกษัตริย์ยาบินแห่งเมืองฮาโซร์ได้ยินข่าวนี้ ก็ได้ส่งข่าวไปถึงกษัตริย์โยบับแห่งเมืองมาโดน กษัตริย์เมืองชิมโรน และกษัตริย์เมืองอัคชาฟ และยังส่งข่าวไปถึงพวกกษัตริย์ที่อยู่ในแถบเนินเขาทางตอนเหนือ ในหุบเขาจอร์แดนทางตอนใต้ของเมืองคินเนเรท[y] ในแถบที่ลุ่มเชิงเขาด้านตะวันตก และในที่ราบสูงโดร์ทางทิศตะวันตก และส่งข่าวไปถึงชาวคานาอันที่อยู่ทางทิศตะวันออกและตะวันตก ชาวอาโมไรต์ ชาวฮิตไทต์ ชาวเปริสซี และชาวเยบุสในแถบเนินเขา และชาวฮีไวต์ที่อาศัยอยู่ที่เชิงเขาเฮอร์โมนในแคว้นมิสปาห์ พวกกษัตริย์เหล่านี้ได้ยกทัพออกมา เป็นกองทัพขนาดมหึมา เหมือนเม็ดทรายที่ชายฝั่งทะเล พร้อมกับม้าและรถรบจำนวนมหาศาล

กษัตริย์ทั้งหมดมารวมทัพกัน และตั้งค่ายอยู่ที่ลำธารเมโรม เพื่อจะสู้รบกับชาวอิสราเอล

พระยาห์เวห์ได้พูดกับโยชูวาว่า “ไม่ต้องกลัวพวกเขา เพราะพรุ่งนี้ในเวลาเดียวกันนี้ เราจะมอบพวกเขาทั้งหมดให้ชาวอิสราเอลฆ่า เจ้าจะต้องตัดเอ็นที่ขาม้าของพวกเขา และเผาพวกรถรบของพวกเขา”

ดังนั้น โยชูวากับทหารอิสราเอลก็ยกทัพขึ้นมา และโจมตีพวกเขาที่ลำธารเมโรม โดยไม่ให้พวกนั้นได้ทันตั้งตัว พระยาห์เวห์ได้มอบพวกนั้นไว้ในกำมือของชาวอิสราเอล พวกอิสราเอลได้โจมตีและไล่ล่าพวกนั้นไปไกลถึงมหาไซดอนและมิสเรโฟทมาอิม และไปทางตะวันออกเลยไปถึงหุบเขามิสปาห์ จนไม่เหลือศัตรูสักคนรอดชีวิต โยชูวาได้ทำกับพวกเขาตามที่พระยาห์เวห์ได้สั่ง คือ ตัดเส้นเอ็นขาของม้าของพวกเขา และเผาพวกรถรบของพวกเขาทิ้ง

10 ในเวลานั้น โยชูวาได้กลับมายึดเมืองฮาโซร์ และได้ฆ่ากษัตริย์ของเมืองนั้นด้วยดาบ เพราะแต่ก่อนนั้น ฮาโซร์เคยเป็นหัวหน้าของอาณาจักรเหล่านี้ทั้งหมดที่ต่อต้านชาวอิสราเอล 11 พวกเขาได้ฆ่าทุกคนที่อาศัยอยู่ในเมืองฮาโซร์ และทำลายพวกเขาลงอย่างย่อยยับ ทุกสิ่งที่มีลมหายใจไม่เหลือรอดชีวิตเลย และโยชูวาได้เผาเมืองฮาโซร์ทิ้ง

12 โยชูวาได้ยึดเมืองของกษัตริย์เหล่านั้นทั้งหมด และได้จับตัวกษัตริย์ของเมืองต่างๆมาฆ่า เขาได้ทำลายพวกนั้นลงอย่างราบคาบถวายให้กับพระยาห์เวห์ ตามที่โมเสสผู้รับใช้ของพระยาห์เวห์ได้สั่งไว้ 13 แต่พวกทหารไม่ได้เผาพวกเมืองต่างๆที่อยู่บนเนิน ยกเว้นเมืองฮาโซร์ ที่ถูกโยชูวาเผาไป 14 ส่วนสิ่งของทั้งหมดในเมืองเหล่านี้และพวกสัตว์เลี้ยง ชาวอิสราเอลได้ยึดไว้เป็นของพวกเขา แต่ประชาชนในเมืองถูกฆ่าหมดไม่เหลือใครรอดชีวิตแม้แต่คนเดียว 15 พระยาห์เวห์ได้สั่งโมเสสผู้รับใช้พระองค์ยังไง โมเสสก็สั่งโยชูวาอย่างนั้น และโยชูวาก็ได้ทำตาม ไม่มีสักอย่างที่พระยาห์เวห์ได้สั่งโมเสสไว้ แล้วโยชูวาไม่ได้ทำตาม

16 โยชูวายึดดินแดนทั้งหมดนี้ไว้ คือ ดินแดนแถบเนินเขา เนเกบทั้งหมด แผ่นดินโกเชนทั้งหมด ที่ลุ่มเชิงเขาด้านตะวันตก หุบเขาจอร์แดน และดินแดนแถบเนินเขาของอิสราเอล รวมทั้งเชิงเขาของอิสราเอล 17 ตั้งแต่ภูเขาฮาลักขึ้นไปจนถึงเสอีร์ไกลไปจนถึงบาอัลกาดในหุบเขาเลบานอน ตอนล่างของเทือกเขาเฮอร์โมน และโยชูวาได้จับกษัตริย์ของเมืองเหล่านั้นทั้งหมดมาฆ่า 18 โยชูวาได้ทำสงครามกับกษัตริย์เหล่านั้นเป็นเวลานาน 19 ชาวอิสราเอลรบชนะพวกนั้นทั้งหมด ไม่มีสักเมืองได้ทำข้อตกลงเป็นพันธมิตรกับชาวอิสราเอล ยกเว้นชาวฮีไวต์ที่อาศัยอยู่ในเมืองกิเบโอน 20 เป็นเพราะพระยาห์เวห์เอง ที่ทำให้คนเหล่านั้นอยากจะสู้รบกับชาวอิสราเอล เพื่อพวกเขาจะได้ถูกทำลายลงอย่างสิ้นซาก ไม่ได้รับความเมตตา และถูกกวาดล้างจนหมดสิ้น ตามที่พระยาห์เวห์ได้สั่งโมเสสไว้

21 เวลานั้น โยชูวาไปทำลายล้างชาวอานาค[z] ที่อาศัยอยู่ตามดินแดนแถบเนินเขา ที่เฮโบรน ที่เดบีร์ ที่อานาบ พื้นที่ทั้งหมดแถบเนินเขาของยูดาห์ และพื้นที่ทั้งหมดแถบเนินเขาของอิสราเอล โยชูวาได้ทำลายชาวอานาคและเมืองต่างๆของพวกเขาทิ้งไป 22 ไม่มีชาวอานาคหลงเหลืออยู่ในแผ่นดินอิสราเอล มีเพียงบางส่วนที่หลงเหลืออยู่ในกาซา กัท และอัชโดด 23 ดังนั้น โยชูวาจึงได้ยึดเอาดินแดนทั้งหมดไว้ตามที่พระยาห์เวห์ได้สั่งไว้กับโมเสสทุกอย่าง และโยชูวาก็ได้มอบดินแดนแห่งนั้นให้เป็นมรดกกับชาวอิสราเอล ตามสัดส่วนของเผ่าต่างๆ แล้วแผ่นดินก็ได้หยุดพักจากสงคราม

รายชื่อพวกกษัตริย์ที่พ่ายแพ้

12 ต่อไปนี้คือพวกกษัตริย์ของแผ่นดินที่ชาวอิสราเอลได้เอาชนะ และชาวอิสราเอลได้ยึดครองแผ่นดินของกษัตริย์เหล่านั้นที่อยู่ทางฝั่งตะวันออกของแม่น้ำจอร์แดน จากหุบเขาลึกอารโนนไปถึงภูเขาเฮอร์โมน รวมทั้งแผ่นดินทั้งหมดที่อยู่ทางทิศตะวันออกของหุบเขาจอร์แดนด้วย

คือกษัตริย์สิโหนของชาวอาโมไรต์ ที่ปกครองอยู่เมืองเฮชโบน เขาปกครองตั้งแต่อาโรเออร์ซึ่งอยู่ริมหุบเขาลึกอารโนน เริ่มจากตรงกลางของหุบเขาและครึ่งหนึ่งของกิเลอาด ไปจนถึงแม่น้ำยับบอกซึ่งเป็นเขตแดนของชาวอัมโมน และเขาปกครองด้านตะวันออกของหุบเขาจอร์แดน จากทะเลสาบกาลิลีไปถึงทะเลตาย (ทะเลเกลือ) ถึงเบธเยชิโมทและไปถึงทางใต้จนถึงด้านล่างของที่ลาดเขาปิสกาห์

ชาวอิสราเอลได้ยึดครองเขตแดนของกษัตริย์โอกแห่งแคว้นบาชาน ที่เป็นคนเผ่าเรฟาอิมที่ยังหลงเหลืออยู่ไม่กี่คน เขาอาศัยอยู่แถบเมืองอัชทาโรท และเอเดรอี เขาปกครองพื้นที่ภูเขาเฮอร์โมน สาเลคาห์ และทั่วทั้งบาชานจนถึงเขตแดนเมืองเกชูร์ และเมืองมาอาคาห์ และมากกว่าครึ่งหนึ่งของกิเลอาดไปจนถึงเขตแดนของกษัตริย์สิโหนของเมืองเฮชโบน

โมเสสผู้รับใช้พระยาห์เวห์พร้อมด้วยชาวอิสราเอล ได้เอาชนะพวกเขา โมเสสผู้รับใช้พระยาห์เวห์ได้มอบแผ่นดินของกษัตริย์สิโหน และของกษัตริย์โอกให้เป็นสมบัติของชนเผ่ารูเบน ชนเผ่ากาด และชนเผ่ามนัสเสห์ครึ่งเผ่า

ต่อไปนี้คือกษัตริย์ของเมืองต่างๆที่โยชูวาและชาวอิสราเอลได้เอาชนะ บนฝั่งตะวันตกของแม่น้ำจอร์แดน ตั้งแต่บาอัลกาดในหุบเขาเลบานอนไปจนถึงภูเขาฮาลักที่ขึ้นไปถึงเสอีร์ (และโยชูวาได้ให้แผ่นดินส่วนนี้แก่ชาวอิสราเอลเป็นมรดกตามสัดส่วนของเผ่าต่างๆ คือดินแดนแถบเนินเขา ที่ลุ่มเชิงเขาด้านตะวันตก ในหุบเขาจอร์แดน ในที่ลาดเขาทางตะวันออก ในถิ่นทะเลทราย ในเนเกบ แผ่นดินของชาวฮิตไทต์ ชาวอาโมไรต์ ชาวคานาอัน ชาวเปริสซี ชาวฮีไวต์ และชาวเยบุส)

กษัตริย์เมืองเยริโค

กษัตริย์เมืองอัยซึ่งอยู่ใกล้เมืองเบธเอล

10 กษัตริย์เมืองเยรูซาเล็ม

กษัตริย์เมืองเฮโบรน

11 กษัตริย์เมืองยารมูท

กษัตริย์เมืองลาคีช

12 กษัตริย์เมืองเอกโลน

กษัตริย์เมืองเกเซอร์

13 กษัตริย์เมืองเดบีร์

กษัตริย์เมืองเกเดอร์

14 กษัตริย์เมืองโฮรมาห์

กษัตริย์เมืองอาราด

15 กษัตริย์เมืองลิบนาห์

กษัตริย์เมืองอดุลลัม

16 กษัตริย์เมืองมักเคดาห์

กษัตริย์เมืองเบธเอล

17 กษัตริย์เมืองทัปปูวาห์

กษัตริย์เมืองเฮเฟอร์

18 กษัตริย์เมืองอาเฟก

กษัตริย์เมืองลาชาโรน

19 กษัตริย์เมืองมาโดน

กษัตริย์เมืองฮาโซร์

20 กษัตริย์เมืองชิมโรนเมโรน

กษัตริย์เมืองอัคชาฟ

21 กษัตริย์เมืองทาอานาค

กษัตริย์เมืองเมกิดโด

22 กษัตริย์เมืองเคเดช

กษัตริย์เมืองโยกเนอัมในคารเมล

23 กษัตริย์เมืองโดร์ในที่ราบสูงของโดร์

กษัตริย์เมืองโกยิมในกิลกาล

24 กษัตริย์เมืองทีรซาห์

รวมจำนวนกษัตริย์ทั้งหมดสามสิบเอ็ดองค์ด้วยกัน

แผ่นดินที่ยังไม่ได้ยึดครอง

13 เมื่อโยชูวาแก่มากแล้ว พระยาห์เวห์ได้พูดกับเขาว่า “เจ้าแก่มากแล้วและยังเหลือแผ่นดินอีกมากที่ยังไม่ได้ยึดครอง แผ่นดินที่ยังไม่ถูกยึดครองคือ แคว้นฟีลิสเตียทั้งหมด และเขตแดนทั้งหมดของเกชูร์ ตั้งแต่แม่น้ำชิโหร์ที่อยู่ทางตะวันออกของประเทศอียิปต์ เหนือขึ้นไปจนถึงเขตแดนของเอโครน (ถือเป็นเขตแดนของชาวคานาอัน) เขตแดนของผู้ปกครองชาวฟีลิสเตียทั้งห้าคนในเมืองกาซาม เมืองอัชโดด เมืองอัชเคโลน เมืองกัทและเมืองเอโครน รวมทั้งเขตแดนของอัฟวิม ส่วนทางใต้ เจ้ายังต้องยึดแผ่นดินทั้งหมดของชาวคานาอัน จากเมอาราห์ซึ่งเป็นของชาวไซดอน ไปถึงเมืองอาเฟกตรงเขตแดนของชาวอาโมไรต์ และแผ่นดินของชาวเกบาล และเลบานอนทั้งหมด ไปทางทิศตะวันออกจากบาอัลกาด ที่อยู่เชิงเขาเฮอร์โมนถึงชายแดนของฮามัท

ส่วนพวกชาวไซดอนที่อาศัยอยู่ในแถบเนินเขาจากเลบานอนไปจนถึงมิสเรโฟทมาอิมนั้น เราเองจะขับไล่พวกเขาออกไปต่อหน้าชาวอิสราเอล อย่าลืมที่จะแบ่งที่ดินเหล่านี้ให้เป็นมรดกของชาวอิสราเอล ตามที่เราได้สั่งเจ้าไว้ และตอนนี้ให้แบ่งแผ่นดินนั้นออกให้กับคนเก้าเผ่าและชาวมนัสเสห์ครึ่งเผ่าด้วย”

แผ่นดินฝั่งตะวันออกของแม่น้ำจอร์แดน

ส่วนมนัสเสห์อีกครึ่งเผ่า ชนเผ่ารูเบนและชนเผ่ากาด ได้รับส่วนแบ่งของพวกเขา ซึ่งโมเสสได้มอบให้ทางฟากตะวันออกของแม่น้ำจอร์แดน ส่วนที่โมเสสผู้รับใช้พระยาห์เวห์ได้มอบให้พวกเขาคือ ตั้งแต่อาโรเออร์ที่อยู่ริมหุบเขาลึกอารโนน และเมืองที่อยู่กลางหุบเขาลึกนั้น และที่ราบสูงเมเดบาทั้งหมดไปจนถึงดีโบน 10 และเมืองต่างๆของกษัตริย์สิโหนชาวอาโมไรต์ผู้เคยปกครองอยู่ในเมืองเฮชโบน ไกลออกไปจนถึงเขตแดนของชาวอัมโมน 11 และกิเลอาดกับพื้นที่ของชาวเกชูร์กับชาวมาอาคาห์ พื้นที่ทั้งหมดของภูเขาเฮอร์โมน และทั้งหมดของบาชานถึงเมืองสาเลคาห์ 12 แผ่นดินทั้งหมดของกษัตริย์โอกในบาชานผู้เคยปกครองอยู่ในเมืองอัชทาโรทและในเอเดรอี (เขาเป็นคนเผ่าเรฟาอิมที่หลงเหลืออยู่ไม่กี่คน) โมเสสรบชนะเมืองเหล่านี้ และขับไล่พวกเขาออกไป 13 แต่ชาวอิสราเอลไม่ได้ขับไล่ชาวเกชูร์และชาวมาอาคาห์ ทั้งสองเผ่ายังอาศัยอยู่กับชาวอิสราเอลถึงทุกวันนี้

14 แต่ส่วนเผ่าเลวี โมเสสไม่ได้แบ่งมรดกให้ พวกของขวัญที่ถวายให้กับพระยาห์เวห์พระเจ้าของชาวอิสราเอลก็เป็นมรดกของพวกเขา อย่างที่พระองค์ได้สัญญาไว้กับพวกเขาแล้ว

15 โมเสสได้มอบที่ดินนี้ให้เป็นมรดกกับเผ่ารูเบน แบ่งตามตระกูลต่างๆของพวกเขา 16 เขตแดนของพวกเขาเริ่มจากอาโรเออร์ที่อยู่ริมหุบเขาลึกอารโนน และเมืองที่อยู่กลางหุบเขาลึกนั้น และที่ราบสูงเมเดบาทั้งหมด 17 เมืองเฮชโบนกับเมืองต่างๆของมันบนที่ราบสูง ดีโบน บาโมทบาอัล เบธบาอัลเมโอน 18 ยาฮาส เคเดโมท เมฟาอาท 19 คิริยาธาอิม สิบมาห์ เศเรทชาหาร์ ที่อยู่บนเนินเขากลางหุบเขาลึกนั้น 20 เบธเปโอร์ เชิงเขาปิสกาห์ และเมืองเบธเยชิโมท 21 นั่นคือเมืองทั้งหมดบนที่ราบสูง และอาณาจักรทั้งหมดของกษัตริย์สิโหน ของชาวอาโมไรต์ ผู้เคยปกครองอยู่ในเมืองเฮชโบน โมเสสได้เอาชนะเขากับพวกผู้นำของมีเดียน ที่มีชื่อว่า เอวี เรเคม ศูร์ เฮอร์ และเรบา พวกเขาเป็นเจ้าชายที่เป็นพันธมิตรกับกษัตริย์สิโหนและเคยอาศัยอยู่แผ่นดินนั้นมาก่อน 22 นอกจากคนทั้งหลายที่ถูกชาวอิสราเอลฆ่าตาย ยังมีผู้ทำนายอนาคตที่ชื่อบาลาอัมลูกชายเบโอร์รวมอยู่ด้วย 23 เส้นเขตแดนของชนเผ่ารูเบนคือแม่น้ำจอร์แดนและชายฝั่งของมัน เมืองเหล่านี้และหมู่บ้านต่างๆของมันเป็นมรดกของชนเผ่ารูเบนตามตระกูลต่างๆของเขา

24 โมเสสยังได้มอบที่ดินนี้ให้เป็นมรดกกับชนเผ่ากาด แบ่งตามตระกูลต่างๆของพวกเขา

25 อาณาเขตของเขาคือ ยาเซอร์และเมืองต่างๆทั้งหมดของกิเลอาดและครึ่งหนึ่งของแผ่นดินของชาวอัมโมนไปจนถึงอาโรเออร์ ซึ่งอยู่ใกล้กับรับบาห์ 26 และตั้งแต่เมืองเฮชโบน ถึงรามัทมิสเปห์ และเบโทนิม และจากมาหะนาอิมถึงเขตแดนเดบีร์ 27 และในหุบเขาเบธฮารัม เบธนิมราห์ สุคคท และศาโฟน อาณาจักรส่วนที่เหลือของกษัตริย์สิโหนแห่งเมืองเฮชโบน แม่น้ำจอร์แดน และชายฝั่งของมัน ไปจนสุดทะเลสาบกาลิลีทางตะวันออกของแม่น้ำจอร์แดน 28 เมืองเหล่านี้และหมู่บ้านของมันเป็นมรดกของชนเผ่ากาดตามตระกูลของพวกเขา

29 โมเสสได้มอบที่ดินนี้ให้เป็นมรดกกับชนเผ่ามนัสเสห์ครึ่งเผ่า แบ่งตามตระกูลต่างๆของพวกเขา

30 เขตแดนของพวกเขาเริ่มจากมาหะนาอิม ไปตลอดทั่วทั้งบาชาน อาณาจักรทั้งหมดของกษัตริย์โอกแห่งเมืองบาชาน และชุมชนยาอีร์ทั้งหมดหกสิบเมืองที่อยู่ในบาชาน 31 และครึ่งหนึ่งของแคว้นกิเลอาด เมืองอัชทาโรท และเมืองเอเดรอี ซึ่งสองเมืองนี้เป็นเมืองหลวงของกษัตริย์โอกแห่งบาชาน นั่นคือส่วนแบ่งสำหรับลูกหลานของมาคีร์ลูกชายของมนัสเสห์ คือครึ่งหนึ่งของพวกลูกหลานของมาคีร์ ซึ่งแบ่งตามตระกูลต่างๆของพวกเขา

32 ทั้งหมดนั้นคือเขตแดนต่างๆที่โมเสสได้แบ่งออกไป อยู่ในที่ราบโมอับ ซึ่งอยู่อีกฟากหนึ่งของแม่น้ำจอร์แดน ทางทิศตะวันออกของเมืองเยริโค 33 แต่โมเสสไม่ได้มอบมรดกให้กับชนเผ่าเลวี พระยาห์เวห์พระเจ้าของชาวอิสราเอลก็คือมรดกของพวกเขา อย่างที่พระองค์ได้สัญญาไว้กับพวกเขา

14 ต่อไปนี้ เป็นแผ่นดินในคานาอัน ที่นักบวชเอเลอาซาร์กับโยชูวาลูกชายของนูน และพวกหัวหน้าตระกูลของชนเผ่าต่างๆของอิสราเอล ได้แจกจ่ายให้กับชาวอิสราเอลเป็นมรดก พวกเขาได้จับสลากแจกจ่ายที่ดินให้กับชนเผ่าทั้งเก้าเผ่าและครึ่งเผ่าของมนัสเสห์ ตามที่พระยาห์เวห์ได้สั่งไว้ผ่านทางโมเสส เพราะโมเสสได้ให้มรดกแก่เผ่ารูเบนและเผ่ากาด รวมทั้งเผ่ามนัสเสห์ครึ่งเผ่าไปแล้วบนอีกฟากหนึ่งของแม่น้ำจอร์แดน แต่เขาไม่ได้แบ่งมรดกให้กับชนเผ่าเลวีเหมือนที่ให้กับเผ่าอื่นๆ ลูกหลานของโยเซฟได้แบ่งออกเป็นสองเผ่า คือเผ่ามนัสเสห์ และเผ่าเอฟราอิม เผ่าเลวีไม่มีส่วนแบ่งในแผ่นดินนี้ นอกจากเมืองต่างๆที่ใช้อาศัยอยู่ กับทุ่งหญ้าสำหรับเลี้ยงฝูงแกะและวัวของพวกเขา อย่างนี้ ชาวอิสราเอลได้แบ่งที่ดินกันตามที่พระยาห์เวห์ได้สั่งโมเสสไว้

คาเลบได้รับเฮโบรน

ชนเผ่ายูดาห์ ได้มาหาโยชูวาที่กิลกาล คาเลบลูกชายเยฟุนเนห์จากตระกูลเคนัสได้พูดกับโยชูวาว่า “ท่านก็รู้ว่าพระยาห์เวห์ได้พูดอะไรกับโมเสสคนของพระเจ้า[aa] เกี่ยวกับตัวท่านและตัวข้าพเจ้า ที่คาเดชบารเนีย ข้าพเจ้ามีอายุสี่สิบปี ตอนที่โมเสสผู้รับใช้ของพระยาห์เวห์ได้ส่งข้าพเจ้าจากคาเดชบารเนียมาสอดแนมแผ่นดินนี้ และข้าพเจ้าก็ได้กลับมารายงานท่านตามความคิดเห็นของข้าพเจ้า แต่พี่น้องคนอื่น ซึ่งไปด้วยกันกับข้าพเจ้านั้น ได้ทำให้ใจของประชาชนอ่อนปวกเปียกไปด้วยความกลัว แต่ข้าพเจ้ายังคงติดตามพระยาห์เวห์พระเจ้าของข้าพเจ้าอย่างสุดใจ แล้วในวันนั้น โมเสสได้สาบานกับข้าพเจ้าว่า ‘แผ่นดินที่ท่านได้เข้าไปเหยียบมานั้นจะเป็นมรดกของท่านและลูกหลานของท่านตลอดไปอย่างแน่นอน เพราะท่านได้ติดตามพระยาห์เวห์พระเจ้าของข้าอย่างสุดใจ’

10 เดี๋ยวนี้ ดูสิ มันเป็นไปตามที่พระยาห์เวห์ได้สัญญาไว้ พระองค์ได้ให้ข้าพเจ้ามีชีวิตอยู่ต่อมาอีกสี่สิบห้าปี ตั้งแต่เวลานั้นที่พระองค์ได้พูดเรื่องนี้กับโมเสสตอนที่อิสราเอลเดินทางอยู่ในทะเลทราย เดี๋ยวนี้ ข้าพเจ้าก็มีอายุแปดสิบห้าปีแล้ว 11 ข้าพเจ้ายังคงแข็งแรงเหมือนวันที่โมเสสได้ส่งข้าพเจ้าออกไป ตอนนี้ ข้าพเจ้าก็ยังแข็งแรงพอที่จะออกไปสู้รบได้ และยังไปทำโน่นทำนี่ได้เหมือนเมื่อก่อน 12 ดังนั้น ตอนนี้ ให้มอบพื้นที่แถบเนินเขานี้ ที่พระยาห์เวห์ได้สัญญาไว้กับข้าพเจ้าในวันนั้น เพราะในวันนั้น ตัวท่านเองก็ได้ยินแล้วว่า มีคนอานาค[ab] อยู่ที่นั่น และเมืองทั้งหลายของพวกมันนั้นทั้งใหญ่และมีการป้องกันอย่างแน่นหนา แต่พระยาห์เวห์อยู่กับข้าพเจ้า ข้าพเจ้าจะขับไล่พวกมันออกไป อย่างที่พระองค์ได้พูดไว้”

13 ดังนั้น โยชูวาจึงอวยพรคาเลบลูกชายเยฟุนเนห์ และยกเมืองเฮโบรนให้เป็นมรดกของเขา 14 ดังนั้น เฮโบรนจึงกลายเป็นมรดกของคาเลบลูกชายของเยฟุนเนห์ชาวเคนัสกับลูกหลานของเขามาจนถึงทุกวันนี้ เพราะเขาได้ติดตามพระยาห์เวห์พระเจ้าของชาวอิสราเอลอย่างสิ้นสุดใจ 15 (ก่อนหน้านั้น เมืองเฮโบรนมีชื่อว่า คิริยาทอารบา อารบาคนนี้เป็นคนที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในคนอานาค)

แล้วแผ่นดินก็หยุดพักจากสงคราม

Thai New Testament: Easy-to-Read Version (ERV-TH)

พระคริสตธรรมคัมภีร์: ฉบับอ่านเข้าใจง่าย ภาคคำสัญญาใหม่ © 2015 Bible League International