Print Page Options
Previous Prev Day Next DayNext

Bible in 90 Days

An intensive Bible reading plan that walks through the entire Bible in 90 days.
Duration: 88 days
New Thai Version (NTV-BIBLE)
Version
โยชูวา 1-14

พระเจ้าบัญชาโยชูวา

หลังจากโมเสสผู้รับใช้ของพระผู้เป็นเจ้าสิ้นชีวิตไป พระผู้เป็นเจ้ากล่าวกับโยชูวาบุตรของนูนซึ่งเป็นผู้ช่วยของโมเสสว่า “โมเสสผู้รับใช้ของเราสิ้นชีวิตแล้ว บัดนี้เจ้าจงลุกขึ้น ทั้งเจ้าและประชาชนทั้งหมดจงข้ามแม่น้ำจอร์แดน และเข้าไปในแผ่นดินที่เรากำลังจะมอบให้แก่พวกเขา คือชาวอิสราเอล เราได้มอบทุกแห่งที่ฝ่าเท้าของเจ้าจะก้าวเหยียบไป ตามที่เราได้สัญญาไว้กับโมเสสแล้ว[a] อาณาเขตของเจ้านั้นเริ่มต้นจากถิ่นทุรกันดารไปจรดภูเขาเลบานอน และจากแม่น้ำใหญ่ยูเฟรติสจรดทั่วดินแดนของชาวฮิตจรดทะเลใหญ่[b]ทางทิศตะวันตก ตลอดชีวิตของเจ้า จะไม่มีผู้ใดยืนต่อต้านเจ้าได้ เราจะอยู่กับเจ้าเหมือนกับที่ได้อยู่กับโมเสส ไม่มีวันที่เราจะจากหรือทอดทิ้งเจ้าไป จงเข้มแข็งและกล้าหาญเถิด เพราะว่าเจ้าจะเป็นผู้นำประชาชนเหล่านี้ เพื่อยึดครองดินแดนที่เราปฏิญาณต่อบรรพบุรุษของพวกเขาว่าจะมอบให้แก่เขา เพียงแต่จงเข้มแข็งและกล้าหาญให้มากเถิด จงระมัดระวังปฏิบัติตามกฎทุกข้อที่โมเสสผู้รับใช้ของเราบัญชาเจ้าไว้ อย่าหันเหไปจากการปฏิบัติตามกฎบัญญัติ เพื่อเจ้าจะประสบความสำเร็จ ไม่ว่าจะไปที่ไหนก็ตาม จงกล่าวเรื่องหนังสือกฎบัญญัติฉบับนี้เป็นประจำ จงใคร่ครวญถึงทุกเช้าค่ำ เพื่อเจ้าจะระมัดระวังปฏิบัติตามทุกข้อที่บันทึกไว้ในนั้น เพราะเมื่อเป็นเช่นนั้น เจ้าจะบรรลุถึงวิถีทางที่เจริญสู่ความสำเร็จ เราบัญชาเจ้าแล้วมิใช่หรือ จงเข้มแข็งและกล้าหาญเถิด อย่าหวาดหวั่นและอย่าท้อใจ เพราะว่าพระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของเจ้าจะอยู่กับเจ้า ไม่ว่าเจ้าจะไปที่ไหนก็ตาม”

10 และโยชูวาบัญชาพวกเจ้าหน้าที่ของประชาชนว่า 11 “จงไปบอกประชาชนในค่ายให้ทั่วว่า ‘จงเตรียมเสบียงอาหารของพวกท่านให้พร้อม เพราะภายใน 3 วันท่านจะต้องข้ามแม่น้ำจอร์แดนนี้ไป เพื่อยึดครองแผ่นดินที่พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของท่านกำลังมอบให้พวกท่านเป็นเจ้าของ’”

12 แต่โยชูวาพูดกับชาวรูเบน ชาวกาด และครึ่งหนึ่งของเผ่ามนัสเสห์ว่า 13 “จงจำคำที่โมเสสผู้รับใช้ของพระผู้เป็นเจ้าบัญชาพวกท่านไว้ ‘พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของท่านกำลังเตรียมที่ให้พวกท่านได้พักพิง และจะมอบดินแดนนี้ให้แก่พวกท่าน’ 14 ภรรยาของพวกท่าน เด็กเล็ก และฝูงปศุสัตว์ของพวกท่านจะอยู่ในดินแดนทางด้านตะวันออกของแม่น้ำจอร์แดนที่โมเสสมอบให้ แต่นักรบผู้เก่งกล้าพร้อมอาวุธทุกคนต้องข้ามไปล่วงหน้าพี่น้องของท่านเพื่อช่วยพวกเขา 15 จนกว่าพระผู้เป็นเจ้าจะให้พวกพี่น้องของท่านได้หยุดพักเหมือนที่พระองค์ให้แก่ท่าน และพวกเขาจะยึดครองแผ่นดินที่พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของท่านมอบให้แก่พวกเขาเสียก่อน แล้วพวกท่านจึงจะกลับมายังแผ่นดินที่โมเสสผู้รับใช้ของพระผู้เป็นเจ้าได้มอบให้แก่ท่าน ที่โพ้นแม่น้ำจอร์แดน ในทิศทางที่ดวงอาทิตย์ขึ้น”

16 และพวกเขาตอบโยชูวาว่า “เราจะทำทุกสิ่งตามที่ท่านบัญชา และเราจะไปยังที่ที่ท่านให้เราไป 17 พวกเราจะเชื่อฟังท่านเหมือนกับที่เราได้เชื่อฟังโมเสสทุกประการ ขอแต่เพียงพระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของท่านอยู่กับท่านเหมือนกับที่พระองค์ได้อยู่กับโมเสส 18 ผู้ใดขัดขืนต่อคำบัญชาของท่าน และไม่เชื่อฟังคำพูดที่ท่านบัญชาจะถูกประหาร ขอเพียงให้ท่านเข้มแข็งและกล้าหาญเถิด”

ราหับและสายสืบ

โยชูวาบุตรของนูนได้ส่งชาย 2 คนจากค่ายชิทธีมไปเป็นสายสืบอย่างลับๆ โดยกล่าวว่า “จงไปสืบความในแผ่นดินโน้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่เมืองเยรีโค” เขาทั้งสองก็ไป เมื่อมาถึงบ้านของหญิงแพศยาคนหนึ่งชื่อราหับ เขาก็ค้างแรมที่นั่น มีคนไปบอกให้กษัตริย์แห่งเยรีโคทราบว่า “ดูเถิด คืนนี้มีชาวอิสราเอลเข้ามาถึงที่นี่เพื่อสืบความลับในแผ่นดิน” แล้วกษัตริย์เมืองเยรีโคให้คนไปบอกราหับว่า “จงพาตัวชายที่มาหาเจ้า และก็ได้เข้าไปในบ้านเจ้าออกมา เพราะพวกเขามาเพื่อสอดแนมทั่วทั้งแผ่นดิน” แต่หญิงผู้นั้นซ่อนตัวชายทั้งสองไว้ และนางตอบว่า “เป็นความจริงที่ชายทั้งสองมาหาข้าพเจ้า แต่ข้าพเจ้าไม่ทราบว่าเขามาจากไหน เมื่อใกล้เวลาปิดประตูเมืองตอนพลบค่ำ พวกเขาก็จากไปแล้ว ข้าพเจ้าไม่ทราบว่าเขาไปไหน รีบตามไปเถิด ท่านอาจจะตามตัวพวกเขาทัน” แต่นางพาพวกเขาขึ้นไปที่หลังคาก่อนหน้านั้นแล้ว และซ่อนตัวพวกเขาไว้ใต้ป่านกลีบที่นางวางเรียงบนหลังคา ดังนั้นชายพวกนั้นจึงรีบไล่ตามสายสืบไป ตามทางไปแม่น้ำจอร์แดน ไกลถึงลำน้ำที่ลุยข้ามได้ ทันทีที่ผู้ไล่ตามออกไป ประตูเมืองก็ปิด

ก่อนที่ชายทั้งสองจะเอนกายลง นางก็ขึ้นไปที่หลังคา และพูดกับเขาว่า “เราทราบแล้วว่า พระผู้เป็นเจ้าได้มอบแผ่นดินนี้ให้แก่พวกท่าน ซึ่งทำให้พวกเราหวาดกลัวท่านนัก และทำให้ผู้อยู่อาศัยทุกคนในแผ่นดินตกใจกลัวต่อหน้าท่าน 10 พวกเราได้ยินมาว่าพระผู้เป็นเจ้าทำให้น้ำในทะเลแดงแห้งเหือดต่อหน้าท่านอย่างไรเมื่อท่านออกจากประเทศอียิปต์ และสิ่งที่ท่านกระทำต่อสิโหนและโอกกษัตริย์ทั้งสองของชาวอาโมร์ที่โพ้นแม่น้ำจอร์แดน คือท่านได้ตั้งใจอย่างแน่วแน่ที่จะทำลายล้างทุกชีวิตของพวกเขา 11 ทันทีที่พวกเราได้ยินเรื่องราวเหล่านั้น เราก็ตกใจกลัว และเป็นเพราะท่าน ความกล้าของพวกเราทุกคนจึงหายไปสิ้น เพราะว่า พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของท่าน พระองค์เป็นพระเจ้าของฟ้าสวรรค์เบื้องบนและบนโลกเบื้องล่าง 12 ฉะนั้นบัดนี้ โปรดสาบานต่อข้าพเจ้าในพระนามพระผู้เป็นเจ้าว่า ท่านจะแสดงความกรุณาต่อตระกูลของข้าพเจ้า อย่างที่ข้าพเจ้าได้แสดงความกรุณาต่อท่าน และข้าพเจ้าขอหลักประกันที่แน่ชัดว่า 13 พวกท่านจะไว้ชีวิตบิดามารดา พี่น้องชายหญิงของข้าพเจ้า และทุกคนที่เกี่ยวดองกับพวกเขา และพวกท่านจะช่วยเราทั้งหลายให้พ้นจากความตาย” 14 และชายทั้งสองพูดกับนางว่า “ชีวิตของเราเพื่อชีวิตของเจ้า แม้จะถึงแก่ความตาย ถ้าเจ้าไม่บอกเรื่องของเราให้ใครฟัง เมื่อพระผู้เป็นเจ้ามอบแผ่นดินนี้ให้แก่พวกเรา เราจะแสดงความกรุณาและความสัตย์ต่อเจ้า”

15 ดังนั้น นางจึงเอาเชือกหย่อนเขาทั้งสองลงทางหน้าต่าง ด้วยว่า บ้านที่นางอาศัยอยู่นั้นเป็นส่วนหนึ่งของกำแพงเมือง ฉะนั้นนางอาศัยอยู่ในกำแพง 16 นางบอกชาย 2 คนว่า “ไปที่แถบภูเขา เพื่อผู้ไล่ตามจะหาท่านไม่พบ ซ่อนตัวอยู่ที่นั่น 3 วัน จนกว่าพวกเขาจะกลับ แล้วท่านจึงจะเดินทางต่อไปได้” 17 ชายทั้งสองพูดกับนางว่า “คำสาบานที่เจ้าให้เราสาบานไว้ จะผูกมัดเราไม่ได้ 18 นอกจากว่า เจ้าจะทำตามนี้คือเวลาพวกเราเข้ามาในดินแดนนี้ เจ้าจะต้องมีเชือกสีแดงสดผูกไว้ที่หน้าต่างบานเดียวกับที่เจ้าให้เราปีนลงไป และเจ้าต้องพาพ่อแม่ พี่น้องชายหญิง และทุกคนในตระกูลของเจ้ามาอยู่รวมกันในบ้านเจ้า 19 ถ้าผู้ใดออกจากบ้านไปที่ถนน เขาจะต้องรับผิดชอบการตายของเขาเอง เราไม่รับผิดชอบ แต่ถ้าผู้ที่แม้จะอยู่กับเจ้าในบ้านแต่ยังได้รับอันตราย พวกเราก็จะรับผิดชอบการตายของเขา 20 แต่ถ้าเจ้าบอกเรื่องของเรากับผู้ใด เราก็จะพ้นจากคำสาบานที่เจ้าให้เราสาบานไว้” 21 นางตอบว่า “ตกลง ขอให้เป็นไปตามนั้น” แล้วนางให้เขาทั้งสองไป เขาก็จากไป และนางผูกเชือกสีแดงสดไว้ที่หน้าต่าง

22 ชาย 2 คนจากไปและขึ้นเขาไป เขาอยู่ที่นั่น 3 วันจนกระทั่งผู้ตามล่ากลับไปแล้ว บรรดาผู้ตามล่าค้นหาตลอดทางก็ไม่พบสิ่งใด 23 ชาย 2 คนจึงกลับไป เขาลงมาจากเขาและข้ามน้ำกลับไปหาโยชูวาบุตรของนูน และเล่าเรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้นให้ท่านฟัง 24 เขาทั้งสองพูดกับโยชูวาว่า “พระผู้เป็นเจ้าได้มอบแผ่นดินทั้งหมดไว้ในมือพวกเราอย่างแน่นอน นอกจากนั้นผู้อยู่อาศัยทั้งปวงก็กำลังใจเสียเพราะเรา”

ชาวอิสราเอลข้ามแม่น้ำจอร์แดน

โยชูวาตื่นขึ้นแต่เช้าตรู่ เขาทั้งหลายออกเดินทางจากชิทธีมถึงแม่น้ำจอร์แดน ท่านและชาวอิสราเอลทั้งปวงพักแรมอยู่ที่นั่นก่อนจะข้ามไป เมื่อสิ้นสุดวันที่สาม บรรดาเจ้าหน้าที่ก็เดินไปรอบค่าย และบัญชาประชาชนว่า “ทันทีที่พวกท่านเห็นชาวเลวีซึ่งเป็นปุโรหิตผู้หามหีบพันธสัญญาของพระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของท่าน พวกท่านจงออกเดินทางจากที่ของท่านตามไป แต่จงทิ้งระยะให้ห่างจากหีบประมาณ 2,000 ศอก อย่าเดินจนชิด[c] ท่านจะได้ทราบว่าต้องเดินไปทางไหน เนื่องจากท่านไม่เคยผ่านทางนี้มาก่อน” แล้วโยชูวาพูดกับประชาชนว่า “จงชำระตัวให้บริสุทธิ์ เพราะว่าพรุ่งนี้พระผู้เป็นเจ้าจะกระทำสิ่งมหัศจรรย์ท่ามกลางพวกท่าน” แล้วโยชูวาพูดกับบรรดาปุโรหิตว่า “จงยกหีบพันธสัญญาเดินล่วงหน้าประชาชนไป” พวกเขาจึงยกหีบพันธสัญญาขึ้นและเดินล่วงหน้าประชาชนไป

พระผู้เป็นเจ้ากล่าวกับโยชูวาว่า “วันนี้เราจะยกย่องเจ้าต่อหน้าคนอิสราเอลทุกคน เพื่อพวกเขาจะรู้ว่าเราจะอยู่กับเจ้าเหมือนกับที่เราอยู่กับโมเสส ฝ่ายเจ้าเอง เจ้าจงบัญชาบรรดาปุโรหิตผู้หามหีบพันธสัญญาว่า ‘เมื่อมาถึงริมฝั่งแม่น้ำจอร์แดน จงยืนนิ่งอยู่ในแม่น้ำจอร์แดน’” โยชูวาพูดกับชาวอิสราเอลว่า “มานี่เถิด มาฟังคำกล่าวของพระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของท่าน” 10 และโยชูวาพูดว่า “ท่านจะทราบว่า พระเจ้าผู้ดำรงอยู่อยู่ท่ามกลางพวกท่าน และจงแน่ใจได้ว่า พระองค์จะขับไล่ชาวคานาอัน ชาวฮิต ชาวฮีว ชาวเปริส ชาวเกอร์กาช ชาวอาโมร์ และชาวเยบุสไปต่อหน้าพวกท่าน 11 ดูเถิด หีบพันธสัญญาของพระผู้เป็นเจ้าแห่งโลกทั้งโลกกำลังไปล่วงหน้าท่านสู่แม่น้ำจอร์แดน 12 บัดนี้ จงเลือกชาย 12 คนจากเผ่าของอิสราเอล เผ่าละ 1 คน 13 ทันทีที่บรรดาปุโรหิตที่หามหีบของพระผู้เป็นเจ้า พระผู้เป็นเจ้าแห่งโลกทั้งโลก ได้ย่างเท้าลงแม่น้ำจอร์แดน กระแสน้ำจอร์แดนจะถูกตัดขาด และกระแสน้ำที่ไหลลงมาจากตอนบนจะถูกกักรวมกันจนสูงทะมึน”

14 ดังนั้น เมื่อประชาชนออกเดินทางจากค่ายข้ามแม่น้ำจอร์แดน ไปกับบรรดาปุโรหิตที่กำลังหามหีบพันธสัญญาล่วงหน้าประชาชนไป 15 และทันทีที่คนหามหีบไปไกลถึงแม่น้ำจอร์แดน และเท้าของปุโรหิตซึ่งกำลังหามหีบจุ่มลงที่ริมฝั่งน้ำ (ด้วยว่าแม่น้ำจอร์แดนไหลท่วมทุกฝั่งตลอดฤดูเก็บเกี่ยวตามสภาวการณ์) 16 กระแสน้ำที่ไหลลงมาจากตอนบนก็ถูกกักรวมกันจนเอ่อสูงทะมึน ซึ่งอยู่ไกลออกไปคือที่เมืองอาดัมซึ่งอยู่ข้างเมืองศาเรธาน และกระแสน้ำที่ไหลลงสู่ทะเลอาราบาห์ คือทะเลเกลือ ก็ถูกตัดขาดจากกันทั้งหมด แล้วประชาชนจึงข้ามไปยังฝั่งตรงข้ามใกล้เยรีโค 17 บรรดาปุโรหิตที่หามหีบพันธสัญญาของพระผู้เป็นเจ้ายืนบนดินแห้งที่อยู่กลางแม่น้ำจอร์แดน และชาวอิสราเอลทั้งปวงก็ข้ามไปบนดินแห้ง จนกระทั่งประชาชาติทั้งปวงข้ามแม่น้ำจอร์แดนไปหมด

ก้อนหินจากแม่น้ำจอร์แดน

เมื่อประชาชาติทั้งปวงข้ามแม่น้ำจอร์แดนไปหมดแล้ว พระผู้เป็นเจ้ากล่าวกับโยชูวาว่า “จงเลือกชาย 12 คนจากชนชาติ เผ่าละ 1 คน และบัญชาพวกเขาว่า ‘จงไปเอาหิน 12 ก้อนมาจากกลางแม่น้ำนี้ จากบริเวณที่ปุโรหิตยืนเหยียบ และนำมาวางไว้ที่ที่พวกเจ้าค้างแรมกันคืนนี้’” โยชูวาจึงเรียกชายชาวอิสราเอล 12 คนมา เผ่าละ 1 คน โยชูวาพูดกับเขาทั้งหลายว่า “จงเดินผ่านหีบของพระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของท่าน เดินลงไปในแม่น้ำจอร์แดน จงแบกหินใส่บ่าคนละก้อนตามจำนวนเผ่าของชาวอิสราเอล เพื่อจะได้เป็นหมายสำคัญในหมู่ท่าน เวลาลูกหลานของท่านถามในภายภาคหน้าว่า ‘หินเหล่านี้มีความหมายอะไรสำหรับท่าน’ แล้วท่านจะบอกพวกเขาว่ากระแสน้ำในแม่น้ำจอร์แดนถูกตัดขาดจากกันที่ตรงหน้าหีบพันธสัญญาของพระผู้เป็นเจ้า เมื่อหีบข้ามแม่น้ำจอร์แดน กระแสน้ำในแม่น้ำจอร์แดนถูกตัดขาดจากกัน หินพวกนี้ก็จะเป็นอนุสรณ์แก่ชาวอิสราเอลไปตลอดกาล”

ชาวอิสราเอลจึงกระทำตามที่โยชูวาบัญชา คือเก็บหิน 12 ก้อนขึ้นจากกลางแม่น้ำจอร์แดน ตามจำนวนเผ่าของชาวอิสราเอล ตามที่พระผู้เป็นเจ้ากล่าวกับโยชูวา พวกเขาแบกหินไปยังที่ที่พวกเขาค้างแรม และวางไว้ที่นั่น แล้วโยชูวาจัดวางหิน 12 ก้อนไว้ใจกลางแม่น้ำจอร์แดน ตรงบริเวณที่ปุโรหิตหามหีบพันธสัญญายืนอยู่ หินเหล่านี้ก็ยังอยู่ที่นั่นมาจนถึงทุกวันนี้

10 บรรดาปุโรหิตที่หามหีบยังยืนอยู่ที่กลางแม่น้ำจอร์แดนจนกว่าทุกสิ่งที่พระผู้เป็นเจ้าได้บัญชาโยชูวาให้ประชาชนกระทำเสร็จสิ้น ดังที่โมเสสบัญชาโยชูวา แล้วประชาชนก็รีบข้ามไป 11 ครั้นประชาชนข้ามไปหมดแล้ว หีบของพระผู้เป็นเจ้าและบรรดาปุโรหิตจึงข้ามไปต่อหน้าประชาชน 12 บรรดาบุตรของรูเบน บุตรของกาด และครึ่งหนึ่งของเผ่าของมนัสเสห์ถืออาวุธข้ามไปล่วงหน้าชาวอิสราเอล ดังที่โมเสสบอกพวกเขาไว้ 13 มีผู้คนประมาณ 40,000 คนพร้อมรบข้ามไปต่อหน้าพระผู้เป็นเจ้า ไปยังที่ราบของเมืองเยรีโคเพื่อทำศึกสงคราม 14 ในวันนั้นพระผู้เป็นเจ้ายกย่องโยชูวาต่อหน้าคนอิสราเอลทุกคน และพวกเขายำเกรงโยชูวาเหมือนที่ได้ยำเกรงโมเสสตลอดชีวิตของท่าน

15 แล้วพระผู้เป็นเจ้ากล่าวกับโยชูวาว่า 16 “จงบัญชาบรรดาปุโรหิตที่หามหีบพันธสัญญาให้ขึ้นมาจากแม่น้ำจอร์แดน” 17 โยชูวาจึงบัญชาบรรดาปุโรหิตว่า “ขึ้นจากแม่น้ำจอร์แดนเถิด” 18 ครั้นปุโรหิตที่หามหีบพันธสัญญาของพระผู้เป็นเจ้าขึ้นจากกลางแม่น้ำจอร์แดน และเท้าของปุโรหิตก้าวขึ้นเหยียบดินแห้งแล้ว กระแสน้ำในแม่น้ำจอร์แดนก็ไหลกลับเข้าที่และไหลท่วมฝั่งทั้งหมดดังเดิม

19 ในวันที่สิบของเดือนที่หนึ่ง ประชาชนขึ้นจากแม่น้ำจอร์แดน และตั้งค่ายที่กิลกาล ทางชายแดนด้านตะวันออกของเยรีโค 20 โยชูวาจัดวางหิน 12 ก้อนที่พวกเขาเอามาจากแม่น้ำจอร์แดนไว้ที่กิลกาล 21 และท่านพูดกับชาวอิสราเอลว่า “เวลาลูกหลานของท่านถามในภายภาคหน้าว่า ‘หินเหล่านี้มีความหมายอะไร’ 22 ท่านก็จะบอกลูกหลานของท่านได้ว่า ‘อิสราเอลข้ามแม่น้ำจอร์แดนได้บนดินแห้ง’ 23 เพราะพระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของพวกท่านทำให้กระแสน้ำในแม่น้ำจอร์แดนแห้งเพื่อท่าน จนกระทั่งท่านข้ามไปได้ เหมือนกับที่พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของพวกท่านกระทำกับทะเลแดง ซึ่งพระองค์ได้ทำให้แห้งต่อหน้าพวกเรา จนกระทั่งเราข้ามไปได้ 24 เพื่อชนชาติทั้งปวงในโลกจะได้ทราบว่าอานุภาพของพระผู้เป็นเจ้ายิ่งใหญ่นัก และท่านจะยำเกรงพระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของท่านไปตลอดชีวิต”

การเข้าสุหนัตที่กิลกาล

เมื่อบรรดากษัตริย์ทั้งปวงของชาวอาโมร์ที่อยู่ทางฝั่งตะวันตกของแม่น้ำจอร์แดน และกษัตริย์ทั้งปวงของชาวคานาอันที่อยู่ตามชายฝั่งทะเลได้ยินว่า พระผู้เป็นเจ้าได้ทำให้กระแสน้ำในแม่น้ำจอร์แดนแห้งไปเพื่อชาวอิสราเอล จนพวกเขาข้ามไปได้ กษัตริย์เหล่านั้นจึงหมดกำลังใจและความเก่งกล้าก็หดหายไปเพราะชาวอิสราเอล

ในเวลานั้นพระผู้เป็นเจ้ากล่าวกับโยชูวาว่า “จงทำมีดด้วยหินคม และทำพิธีเข้าสุหนัตให้ชาวอิสราเอลเป็นครั้งที่สอง” โยชูวาจึงทำมีดด้วยหินคม และให้ชาวอิสราเอลเข้าสุหนัตที่กิเบอัธหะอาราโลท เหตุผลที่โยชูวาทำพิธีเข้าสุหนัตให้พวกเขาก็คือ ประชาชนชายทุกคนที่ออกมาจากประเทศอียิปต์ ซึ่งเป็นชายนักรบทุกคนได้เสียชีวิตระหว่างทางในถิ่นทุรกันดาร หลังจากที่ได้ออกมาจากอียิปต์ แม้ว่าพวกเขาเหล่านั้นที่ออกมาได้เข้าสุหนัตแล้ว แต่ประชาชนที่เกิดมาระหว่างการเดินทางขณะอยู่ในถิ่นทุรกันดารหลังจากที่ได้ออกไปจากอียิปต์ ยังไม่ได้เข้าสุหนัต ด้วยว่า ชาวอิสราเอลเดินทางมาอยู่ในถิ่นทุรกันดารเป็นเวลา 40 ปี จนกระทั่งชนทั้งชาติ ซึ่งเป็นชายนักรบที่ออกมาจากอียิปต์เสียชีวิตไป เพราะพวกเขาไม่ได้เชื่อฟังพระผู้เป็นเจ้า พระผู้เป็นเจ้าปฏิญาณไว้กับพวกเขาว่า พระองค์จะไม่ปล่อยให้พวกเขาเห็นดินแดนอันอุดมด้วยน้ำนมและน้ำผึ้งที่พระผู้เป็นเจ้าได้ปฏิญาณไว้กับบรรพบุรุษของพวกเขาว่า จะมอบให้แก่พวกเรา[d] ฉะนั้นโยชูวาทำพิธีเข้าสุหนัตให้แก่ลูกหลานชาวอิสราเอล คือบรรดาผู้ที่พระองค์กำหนดให้ขึ้นมาแทน และยังไม่ได้เข้าสุหนัต เพราะไม่มีพิธีเข้าสุหนัตในระหว่างการเดินทาง

เมื่อชนทั้งชาติเข้าสุหนัตครบแล้ว ทุกคนก็อยู่ประจำที่ของตนในค่ายจนกระทั่งหายดี พระผู้เป็นเจ้ากล่าวกับโยชูวาว่า “วันนี้เราได้ทำให้พวกเจ้าพ้นจากความอัปยศที่ประสบมาในอียิปต์” สถานที่นั้นจึงได้ชื่อว่า กิลกาล[e] มาจนถึงทุกวันนี้

ปัสกาแรกที่คานาอัน

10 ขณะที่ชาวอิสราเอลพักอยู่ในค่ายที่กิลกาล เขาฉลองวันปัสกาในเวลาเย็นของวันที่สิบสี่เดือนเดียวกันนั้น ณ ที่ราบของเยรีโค[f] 11 และวันรุ่งขึ้นหลังจากวันปัสกา ในวันนั้นเอง พวกเขารับประทานพืชผลที่ได้จากแผ่นดินนั้น ทั้งขนมปังไร้เชื้อ และข้าวคั่ว 12 หลังจากพวกเขารับประทานพืชผลที่ได้จากแผ่นดินนั้นแล้ว มานาก็หยุด คือไม่มีมานาสำหรับชาวอิสราเอลอีกต่อไป แต่ในปีนั้นพวกเขารับประทานพืชผลที่ได้จากแผ่นดินคานาอัน

ผู้บัญชากองทัพของพระผู้เป็นเจ้า

13 เมื่อโยชูวาอยู่ใกล้เยรีโค ท่านเงยหน้าและมองดู ดูเถิด ชายผู้หนึ่งมือถือดาบยืนอยู่ตรงหน้าท่าน โยชูวาก้าวเข้าไปใกล้และพูดกับท่านด้วยว่า “ท่านเป็นฝ่ายเราหรือฝ่ายศัตรูของเรา” 14 ผู้นั้นตอบว่า “ไม่ใช่ แต่เราเป็นผู้บัญชากองทัพของพระผู้เป็นเจ้า บัดนี้เรามาแล้ว” และโยชูวาก้มหน้าลงซบดิน กราบนมัสการและพูดว่า “นายท่านมีรับสั่งอะไรกับผู้รับใช้หรือ” 15 ผู้บัญชากองทัพของพระผู้เป็นเจ้าพูดกับโยชูวาว่า “จงถอดรองเท้าออกจากเท้าเสียเถิด เพราะว่าที่ที่เจ้ายืนอยู่นี้เป็นที่บริสุทธิ์” โยชูวาก็กระทำตาม

เมืองเยรีโคพังพินาศ

ในเวลานั้น เป็นเพราะชาวอิสราเอล เยรีโคจึงถูกปิดอย่างแน่นหนา ไม่มีใครเข้านอกออกในได้เลย พระผู้เป็นเจ้ากล่าวกับโยชูวาว่า “เห็นไหมว่าเราให้เมืองเยรีโคอยู่ในมือของเจ้าแล้ว รวมถึงกษัตริย์และนักรบผู้เก่งกล้า เจ้าจงเดินทัพรอบเมือง ให้บรรดาทหารศึกเดินรอบเมืองหนึ่งครั้ง ทำอย่างนี้อยู่ 6 วัน ให้ปุโรหิต 7 คนถือแตรงอน[g] 7 คันอยู่ที่หน้าหีบ ในวันที่เจ็ด พวกเจ้าจงเดินทัพรอบเมือง 7 ครั้ง และปุโรหิตจะเป่าแตรงอน เมื่อพวกเขาเป่าแตรงอนยาวๆ และเมื่อเจ้าได้ยินเสียงแตร ทุกคนจงตะโกนร้องเสียงดังพร้อมๆ กัน แล้วกำแพงเมืองก็จะพังราบลง ประชาชนจะขึ้นไป ทุกคนจะเดินตรงเข้าไปได้” ดังนั้นโยชูวาบุตรของนูนเรียกบรรดาปุโรหิต และพูดกับพวกเขาว่า “จงหามหีบพันธสัญญาขึ้น และให้ปุโรหิต 7 คนถือแตรงอน 7 คันอยู่ที่หน้าหีบของพระผู้เป็นเจ้า และท่านพูดกับประชาชนว่า “จงมุ่งหน้าเดินทัพรอบเมืองต่อไป และให้ชายที่ถืออาวุธเดินไปข้างหน้าหีบของพระผู้เป็นเจ้า

ทันทีที่โยชูวาบัญชาประชาชนแล้ว ปุโรหิต 7 คนถือแตรงอน ณ เบื้องหน้าพระผู้เป็นเจ้าก็เดินหน้าเป่าแตรงอน มีหีบพันธสัญญาของพระผู้เป็นเจ้าตามหลังไป ชายที่ถืออาวุธเดินนำหน้าปุโรหิตที่กำลังเป่าแตรงอน ทหารเดินตามหลังหีบ ขณะที่แตรก็เป่าต่อไปเรื่อยๆ 10 แต่โยชูวาบัญชาประชาชนว่า “ท่านอย่าตะโกนหรือให้ใครได้ยินเสียงของท่าน หรือหลุดปากพูดอะไรออกไปเลย จนกว่าจะถึงวันที่เราบอกให้ท่านตะโกน แล้วท่านจึงจะตะโกน” 11 ดังนั้นโยชูวาให้หีบของพระผู้เป็นเจ้าวนไปรอบเมืองนั้น 1 ครั้ง แล้วกลับเข้าค่าย พักแรมอยู่ที่นั่น

12 โยชูวาตื่นขึ้นแต่เช้าตรู่ และบรรดาปุโรหิตหามหีบของพระผู้เป็นเจ้าขึ้น 13 ปุโรหิต 7 คนเดินถือแตรงอน 7 คันที่หน้าหีบของพระผู้เป็นเจ้าไป และเป่าแตรงอนต่อไปเรื่อยๆ และบรรดาชายที่ถืออาวุธก็เดินนำหน้าปุโรหิตทั้งเจ็ด ทหารเดินตามหลังหีบของพระผู้เป็นเจ้า ขณะที่แตรก็เป่าต่อไปเรื่อยๆ 14 ในวันที่สองพวกเขาเดินทัพรอบเมือง 1 ครั้ง แล้วกลับเข้าค่าย ทำอยู่อย่างนั้นเป็นเวลา 6 วัน

15 ในวันที่เจ็ดเขาทั้งหลายตื่นขึ้นแต่เช้าตรู่ จวนใกล้รุ่ง และเดินทัพรอบเมืองแบบเดิม 7 ครั้ง เป็นวันนั้นวันเดียวที่เดินรอบเมือง 7 ครั้ง 16 และครั้งที่เจ็ดนั้นเองเมื่อปุโรหิตเป่าแตรงอน โยชูวาก็บอกประชาชนว่า “จงตะโกนร้องเถิด เพราะพระผู้เป็นเจ้าได้มอบเมืองนี้ให้แก่พวกท่านแล้ว 17 ทั้งตัวเมืองและทุกสิ่งในเมืองจะถูกถวายแด่พระผู้เป็นเจ้า ยกเว้นราหับหญิงแพศยาและทุกคนที่อยู่ในบ้านกับนางเท่านั้นที่จะรอดชีวิต เพราะนางช่วยซ่อนตัวผู้ส่งข่าวที่เราส่งไป 18 แต่พวกท่านจงอย่าเกี่ยวข้องกับสิ่งที่ถูกถวายแล้ว หากท่านถวาย และกลับรับเอาสิ่งเหล่านั้นกลับมา ท่านจะทำให้ค่ายของอิสราเอลพินาศ และนำปัญหามาให้อิสราเอล 19 ส่วนเงินและทองคำ ภาชนะทองสัมฤทธิ์และเหล็กทุกชิ้นเป็นของบริสุทธิ์สำหรับพระผู้เป็นเจ้า จงยกให้แก่คลังของพระผู้เป็นเจ้า 20 ดังนั้น ประชาชนจึงตะโกนร้อง และแตรงอนก็ดังลั่นขึ้น ทันทีที่ประชาชนได้ยินเสียงแตรงอน พวกเขาตะโกนร้องเสียงดังพร้อมกัน กำแพงจึงพังราบลง ทุกคนต่างพากันเดินหน้าออกไปยึดเมืองไว้ได้ 21 แล้วเขาทั้งหลายถวายเมืองนั้นให้แด่พระผู้เป็นเจ้า และใช้ดาบทำลายทุกสิ่งที่มีชีวิตในเมืองคือ ชายและหญิง เด็กเล็กและคนชรา โค แกะ และลา

22 แต่โยชูวาพูดกับชาย 2 คนที่เคยไปเป็นสายสืบในแผ่นดินว่า “จงเข้าไปในบ้านหญิงแพศยา และพาหญิงคนนั้นมาพร้อมกับทุกคนที่เกี่ยวดองกับนางตามที่ท่านสัญญากับนางไว้” 23 ดังนั้นชายหนุ่มที่เป็นสายสืบจึงเข้าไปพาราหับกับบิดามารดา พี่น้องและทุกคนที่เกี่ยวดองกับนาง และพาญาติทุกคนของนางไปอยู่ที่นอกค่ายของอิสราเอล 24 จากนั้นพวกเขาก็เผาเมืองรวมทั้งทุกสิ่งในเมืองด้วย ยกเว้นเงินและทองคำ ภาชนะทองสัมฤทธิ์และเหล็กที่เขาเก็บไว้ในคลังพระตำหนักของพระผู้เป็นเจ้า 25 แต่โยชูวาไว้ชีวิตหญิงแพศยาและตระกูลของนางและทุกคนที่เกี่ยวดองกับนาง และนางอาศัยอยู่ในอิสราเอลมาจนถึงทุกวันนี้[h] เพราะนางซ่อนตัวผู้ส่งข่าว 2 คนที่โยชูวาให้ไปสืบความในเยรีโค

26 ในครั้งนั้น โยชูวาสาบานว่า “ผู้ใดลุกขึ้นมาสร้างเมืองเยรีโคนี้ขึ้นใหม่ ขอให้ถูกสาปแช่งต่อหน้าพระผู้เป็นเจ้า

ใครก็ตามที่วางฐานราก
    จะเสียบุตรชายหัวปี
ใครก็ตามที่สร้างประตูเมือง
    จะเสียบุตรคนสุดท้อง”

27 ดังนั้นพระผู้เป็นเจ้าสถิตกับโยชูวา และกิตติศัพท์ของท่านเลื่องลือไปทั่วแผ่นดิน

บาปของอาคาน

แต่ชาวอิสราเอลไม่ซื่อตรงเรื่องสิ่งที่ถวายแล้ว เนื่องจากอาคานบุตรคาร์มี ผู้เป็นบุตรศับดี ผู้เป็นบุตรเศรัคจากเผ่ายูดาห์ ได้ยักยอกสิ่งที่ถวายแล้ว พระผู้เป็นเจ้าจึงกริ้วชาวอิสราเอลมาก

โยชูวาให้ชายบางคนไปเมืองอัย ซึ่งอยู่ใกล้เบธอาเวน ทางด้านตะวันออกของเบธเอล โดยสั่งว่า “ขึ้นไปสืบความในแผ่นดินที่นั่น” ชายเหล่านั้นก็ขึ้นไปสืบความในเมืองอัย เมื่อกลับมาก็บอกโยชูวาว่า “ไม่ต้องให้ทุกคนขึ้นไปที่นั่น แค่ให้ชายสองหรือสามพันคนขึ้นไปโจมตีเมืองอัย อย่าให้ทุกคนต้องไปลำบาก เพราะที่เมืองนั้นมีคนไม่มาก” ดังนั้นชายประมาณ 3,000 คนได้ขึ้นไป และกลับต้องเตลิดหนีไปต่อหน้าต่อตาพวกผู้ชายชาวเมืองอัย ผู้ชายชาวเมืองอัยได้วิ่งไล่ชายอิสราเอลไปจากประตูเมืองจนถึงเหมืองหิน และได้ฆ่าชายประมาณ 36 คน โดยฟันพวกเขาจนถึงแก่ความตายที่บริเวณทางลาด และประชาชนต่างพากันขวัญเสียจนตั้งตัวไม่ติด

โยชูวาจึงฉีกเสื้อผ้าของตนและซบหน้าลงกับพื้น ณ เบื้องหน้าหีบของพระผู้เป็นเจ้าจนกระทั่งตกเย็น บรรดาหัวหน้าชั้นผู้ใหญ่ของอิสราเอลกระทำเช่นเดียวกัน และต่างก็ซัดฝุ่นผงลงบนหัวของตน โยชูวาพูดว่า “โอ พระผู้เป็นเจ้าผู้ยิ่งใหญ่ ทำไมพระองค์จึงต้องนำชนชาตินี้ข้ามแม่น้ำจอร์แดนมา เพื่อให้พวกเราตกอยู่ในมือของชาวอาโมร์เพื่อทำลายพวกเราอย่างนั้นหรือ ถ้าพวกเราพอใจจะอยู่ต่อที่อีกฟากของแม่น้ำจอร์แดนได้ก็คงดีไปแล้ว โอ พระผู้เป็นเจ้า ข้าพเจ้าจะว่าอย่างไรได้เล่า เมื่ออิสราเอลหันหลังให้เหล่าศัตรูเสียแล้ว ชาวคานาอันและผู้อาศัยทุกคนในแผ่นดินจะได้ยินเรื่องนี้ แล้วพวกเขาก็จะล้อมพวกเรา และลบชื่อของเราไปเสียจากโลกนี้ แล้วพระองค์จะทำอะไรเพื่อพระนามอันยิ่งใหญ่ของพระองค์”

10 พระผู้เป็นเจ้ากล่าวกับโยชูวาว่า “ลุกขึ้นเถิด ทำไมเจ้าจึงซบหน้าลงกับพื้นอย่างนี้ 11 อิสราเอลกระทำบาป พวกเขาละเมิดพันธสัญญาของเราที่เราบัญชาไว้ พวกเขาได้ยักยอกบางสิ่งที่ถวายแล้ว เขาทั้งขโมยและโกหก และเก็บรวบรวมไว้กับของส่วนตัวของเขา 12 ฉะนั้นชาวอิสราเอลจึงไม่สามารถยืนต่อต้านศัตรูได้ พวกเขาหันหลังให้เหล่าศัตรูของเขาเอง เพราะพวกเขาถูกกำหนดให้พินาศแล้ว เราจะไม่อยู่กับพวกเจ้าอีกต่อไป เว้นเสียแต่ว่าพวกเจ้าจะทำลายสิ่งที่ถูกกำหนดให้พินาศไปเสียจากท่ามกลางพวกเจ้า 13 จงลุกขึ้น จงชำระตัวประชาชนให้บริสุทธิ์ และจงพูดว่า ‘จงชำระตัวให้บริสุทธิ์สำหรับพรุ่งนี้ เพราะพระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของอิสราเอลกล่าวว่า “มีสิ่งที่ถูกถวายแล้วอยู่ท่ามกลางพวกเจ้า โอ อิสราเอลเอ๋ย เจ้าไม่สามารถยืนต่อต้านศัตรูของเจ้าได้ จนกว่าจะเอาสิ่งที่ถูกถวายที่อยู่ท่ามกลางพวกเจ้าออกไปเสีย” 14 ฉะนั้นตอนเช้าพวกท่านจงมาแสดงตัวตามเผ่าของท่าน และพระผู้เป็นเจ้าชี้ด้วยการจับฉลากว่าเป็นเผ่าใด ก็ให้เผ่านั้นเข้ามาใกล้ๆ ทีละครอบครัว และครอบครัวที่พระผู้เป็นเจ้าชี้จะเข้ามาใกล้ๆ ทีละครัวเรือน และครัวเรือนที่พระผู้เป็นเจ้าชี้จะเข้ามาใกล้ๆ ทีละคน 15 เมื่อพบคนที่มีสิ่งที่ถวายแล้วอยู่กับเขา เขาก็จะถูกเผาด้วยไฟ ทั้งตัวเขาและทุกสิ่งที่เขามี เพราะเขาได้ละเมิดพันธสัญญาของพระผู้เป็นเจ้า และเป็นเพราะเขาได้กระทำสิ่งที่น่าอับอายในอิสราเอล’”

16 ดังนั้น โยชูวาตื่นขึ้นแต่เช้าตรู่และนำอิสราเอลเข้ามาใกล้ๆ ทีละเผ่า และเผ่ายูดาห์ก็ถูกชี้ตัว 17 ท่านจึงนำครอบครัวทั้งหลายของเผ่ายูดาห์เข้ามาใกล้ๆ และครอบครัวชาวเศรัคก็ถูกชี้ตัว ท่านจึงนำตัวชายแต่ละคนจากครอบครัวของชาวเศรัคเข้ามาใกล้ๆ และศับดีก็ถูกชี้ตัว 18 ท่านจึงนำตัวชายแต่ละคนจากครัวเรือนของศับดีเข้ามาใกล้ๆ และอาคานบุตรคาร์มี ผู้เป็นบุตรศับดี ผู้เป็นบุตรเศรัคจากเผ่ายูดาห์จึงถูกชี้ตัว 19 โยชูวาจึงพูดกับอาคานว่า “ลูกเอ๋ย จงถวายเกียรติแด่พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของอิสราเอล และจงสรรเสริญพระองค์เถิด และจงบอกเราเดี๋ยวนี้ว่าเจ้าได้กระทำสิ่งใด อย่าปกปิดเราเลย” 20 อาคานตอบโยชูวาว่า “เป็นความจริง ข้าพเจ้าได้กระทำบาปต่อพระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของอิสราเอล สิ่งที่ข้าพเจ้ากระทำก็คือ 21 ในจำนวนของที่ยึดมาได้นั้น ข้าพเจ้าเห็นเสื้อคลุมสวย 1 ตัวจากบาบิโลน เงิน 200 เชเขล[i] ทองคำแท่งหนัก 50 เชเขล ข้าพเจ้าจึงอยากได้และยักยอกไว้ ของซ่อนไว้ใต้ดินในกระโจมข้าพเจ้า เงินก็อยู่ข้างใต้ด้วย”

22 โยชูวาให้ผู้ส่งข่าวไป พวกเขาวิ่งไปที่กระโจม ดูเถิด ทุกสิ่งถูกซ่อนไว้ในกระโจมของเขาพร้อมกับเงินที่อยู่ข้างใต้ 23 พวกเขาจึงเอาออกมาจากกระโจม นำไปให้โยชูวาและชาวอิสราเอลทั้งปวง และเขาวางไว้ ณ เบื้องหน้าพระผู้เป็นเจ้า 24 โยชูวาและชาวอิสราเอลทั้งปวงนำอาคานบุตรเศรัคกับเงิน เสื้อคลุมและทองคำแท่ง บรรดาบุตรชายบุตรหญิง โค ลา แกะ กระโจม และทุกสิ่งที่เขามี ขึ้นไปยังหุบเขาอาโคร์ 25 และโยชูวาพูดว่า “ทำไมเจ้าจึงนำความเดือดร้อนมาสู่พวกเรา วันนี้พระผู้เป็นเจ้านำความเดือดร้อนมาสู่เจ้า” และอิสราเอลทุกคนใช้ก้อนหินขว้างอาคาน ใช้ไฟเผา และใช้ก้อนหินขว้างพวกเขา 26 ชาวอิสราเอลใช้ก้อนหินสุมทับตัวเขาเป็นกองพะเนินซึ่งยังอยู่มาจนถึงทุกวันนี้ แล้วพระผู้เป็นเจ้าก็หายจากความโกรธอันร้อนแรง ฉะนั้นสถานที่นั้นเรียกว่า หุบเขาอาโคร์[j]มาจนถึงทุกวันนี้

เมืองอัยพินาศ

พระผู้เป็นเจ้ากล่าวกับโยชูวาว่า “อย่ากลัวและอย่าท้อใจเลย จงลุกขึ้นและพานักรบทั้งหมดขึ้นไปยังเมืองอัยกับเจ้า ดูนะ เราได้มอบกษัตริย์แห่งอัยไว้ในมือของเจ้าแล้ว รวมถึงประชาชนของเขา ทั้งเมืองและแผ่นดินของเขา และเจ้าจงกระทำต่อเมืองอัยและกษัตริย์อย่างที่ได้กระทำต่อเยรีโคและกษัตริย์ แต่ข้าวของที่ยึดได้และสัตว์เลี้ยงนั้น เจ้าจงเก็บไว้สำหรับพวกเจ้าเอง จงวางแผนดักซุ่มเพื่อโจมตีที่ข้างหลังเมือง”

ดังนั้น โยชูวาและนักรบทั้งหมดจึงลุกขึ้นเพื่อไปยังเมืองอัย โยชูวาเลือกนักรบผู้เก่งกล้าจำนวน 30,000 คนให้ออกไปในเวลากลางคืน ท่านบัญชาเขาเหล่านั้นว่า “ดูเถิด พวกท่านจงดักซุ่มเพื่อโจมตีที่ข้างหลังเมือง อย่าไปไกลจากเมืองมากนัก แต่ท่านทุกคนจงเตรียมพร้อมไว้เสมอ เรากับประชาชนทั้งหมดที่อยู่กับเราก็จะเข้าไปใกล้เมือง เมื่อพวกเขาออกมาต่อสู้พวกเราเหมือนครั้งก่อน พวกเราก็จะวิ่งหนีไปต่อหน้าพวกเขา เขาจะออกไล่ตามหลังพวกเราจนกระทั่งเราล่อพวกเขาออกไปให้ไกลเมือง พวกเขาก็จะพูดว่า ‘พวกเขากำลังวิ่งหนีพวกเราไปเหมือนครั้งก่อน’ ดังนั้นพวกเราจะวิ่งหนีไปต่อหน้าพวกเขา แล้วพวกท่านจะลุกขึ้นจากที่ซุ่มและยึดเมืองไว้ ด้วยว่า พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของท่านจะทำให้เมืองตกอยู่ในเงื้อมมือของท่าน ทันทีที่พวกท่านยึดเมืองได้แล้ว ท่านก็เผาเมืองได้เลย จงดูว่าท่านกระทำตามคำของพระผู้เป็นเจ้า เราบัญชาพวกท่านแล้ว” แล้วโยชูวาก็ให้พวกเขาไป พวกเขาไปยังที่ดักซุ่ม รออยู่ระหว่างเบธเอลกับทางตะวันตกของเมืองอัย ส่วนโยชูวาค้างแรมอยู่กับประชาชน

10 โยชูวาตื่นขึ้นแต่เช้าตรู่เพื่อตรวจพล และขึ้นไปยังเมืองอัยกับบรรดาหัวหน้าชั้นผู้ใหญ่ของอิสราเอล ล่วงหน้าประชาชนไป 11 นักรบทั้งปวงที่ไปกับท่านก็เข้าไปใกล้ตัวเมือง และตั้งค่ายทางทิศเหนือของเมืองอัยโดยมีหุบเขากั้นระหว่างพวกเขากับเมืองอัย 12 โยชูวาจัดชายประมาณ 5,000 คนให้ซุ่มอยู่ระหว่างเบธเอลและทางตะวันตกของเมืองอัย 13 ดังนั้นต่างก็เตรียมกำลังศึกประจำตำแหน่งของตน ค่ายใหญ่ทางทิศเหนือของเมือง และกองซุ่มทางทิศตะวันตกของเมือง ส่วนโยชูวาค้างแรมในหุบเขา 14 ทันทีที่กษัตริย์แห่งอัยเห็นเหตุการณ์ ท่านกับประชาชนทั้งหมดของท่านจึงรีบออกไปยังที่นัดหมายแต่เช้าตรู่ ไปในทิศทางอาราบาห์ เพื่อเผชิญหน้ากับอิสราเอล โดยไม่ทราบว่ามีกองซุ่มเพื่อจะโจมตีท่านด้านหลังเมือง 15 โยชูวาและชาวอิสราเอลทุกคนเสแสร้งว่าถูกพวกเขาโจมตี และได้หนีไปในทิศทางเข้าถิ่นทุรกันดาร 16 ดังนั้นประชาชนทุกคนที่อยู่ในเมืองจึงถูกเรียกให้ร่วมกันไล่ตามชาวอิสราเอล ขณะที่ไล่ตามโยชูวาไป พวกเขาก็ออกไปไกลจากเมืองยิ่งขึ้นทุกที 17 ผู้ชายทุกคนที่อยู่ในเมืองอัยและเบธเอลได้ตามล่าชาวอิสราเอลไป ประตูเมืองก็เปิดไว้ จึงไม่มีคนที่อยู่ป้องกันเมืองนั้นเลย

18 แล้วพระผู้เป็นเจ้ากล่าวกับโยชูวาว่า “จงยื่นหอกซัดที่เจ้าถืออยู่ในมือออกไปทางเมืองอัย เพราะเราจะทำให้เมืองตกอยู่ในเงื้อมมือเจ้า” โยชูวาก็ยื่นหอกซัดที่อยู่ในมือของท่านไปทางเมืองอัย 19 ทันทีที่ท่านยื่นมือออกไป พวกผู้ชายที่ซุ่มอยู่จึงลุกขึ้นออกมาจากที่ซ่อนอย่างรวดเร็ว วิ่งกรูกันเข้าไปในเมืองและยึดไว้ได้ และรีบเผาเมืองทันที 20 ครั้นพวกผู้ชายของเมืองอัยหันกลับไป ดูเถิด มีควันพลุ่งขึ้นจากเมืองสู่ท้องฟ้า แต่พวกเขาไม่มีทางหนีไปไหนได้เลย เพราะฝ่ายอิสราเอลที่หนีไปถิ่นทุรกันดารก็หันกลับมาปะทะกับพวกที่ไล่ตามล่าพวกตน 21 เมื่อโยชูวาและอิสราเอลทั้งปวงเห็นว่ากองซุ่มยึดเมืองได้แล้ว มีควันในเมืองพลุ่งขึ้นมา จึงกลับไปฆ่าพวกผู้ชายของเมืองอัย 22 กองทัพอีกกองก็ออกจากเมืองมาต่อสู้กับเขา ดังนั้นชาวเมืองอัยจึงถูกล้อมอยู่ในกลุ่มของอิสราเอล บ้างก็อยู่ฝั่งนี้ บ้างก็อยู่ฝั่งโน้น อิสราเอลฆ่าพวกเขาจนไม่มีใครรอดชีวิตหรือหนีไปได้เลย 23 แต่กษัตริย์แห่งอัยถูกจับเป็นและนำมาให้โยชูวา

24 เมื่อไล่ตามกันไปจนถึงทุ่งโล่งของถิ่นทุรกันดาร ชาวอิสราเอลก็ได้ฆ่าชาวเมืองอัยทั้งหมด และเมื่อทุกคนถูกฆ่าฟันหมด ชาวอิสราเอลทุกคนก็กลับไปยังเมืองอัยและฆ่าพวกที่เหลืออยู่ในเมืองด้วย 25 จำนวนประชาชนชายและหญิงชาวเมืองอัยที่ล้มตายในวันนั้นนับได้ 12,000 คน 26 โยชูวาไม่ได้ปล่อยมือที่ถือหอกซัดลงจนกระทั่งท่านได้ทำลายล้างทุกชีวิตในเมืองอัย 27 อิสราเอลเพียงแต่ริบเอาสัตว์เลี้ยงและข้าวของที่ยึดได้จากเมืองไป ตามคำที่พระผู้เป็นเจ้าบัญชาแก่โยชูวา 28 ดังนั้น โยชูวาจึงเผาเมืองอัย และทำให้เป็นกองซากปรักหักพังเป็นนิตย์ ดั่งที่เป็นอยู่มาจนถึงทุกวันนี้ 29 และท่านแขวนกษัตริย์แห่งอัยไว้บนต้นไม้จนถึงเวลาเย็น เมื่อดวงอาทิตย์ตก โยชูวาบัญชาให้เอาร่างของกษัตริย์ลงจากต้นไม้ และโยนทิ้งไว้ที่ทางเข้าประตูเมือง ใช้ก้อนหินกลบร่างเป็นกองใหญ่ซึ่งอยู่ที่นั่นมาจนถึงทุกวันนี้

โยชูวาทำพันธสัญญาขึ้นใหม่

30 ในครั้งนั้นโยชูวาสร้างแท่นบูชาที่ภูเขาเอบาลถวายแด่พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าแห่งอิสราเอล 31 ดังที่โมเสสผู้รับใช้ของพระผู้เป็นเจ้าได้บัญชาชาวอิสราเอล ตามที่เขียนในหนังสือกฎบัญญัติของโมเสสว่า “แท่นบูชาที่ทำจากหินซึ่งไม่ถูกสกัด และไม่ได้ใช้เครื่องมือเหล็กตัด”[k] และท่านถวายสัตว์ที่เผาเป็นของถวายแด่พระผู้เป็นเจ้า และมอบของถวายเพื่อสามัคคีธรรม 32 และ ณ ที่นั่นท่านคัดลอกกฎบัญญัติของโมเสสไว้บนหินต่อหน้าชาวอิสราเอล อันเป็นกฎที่โมเสสได้เขียนไว้ 33 คนอิสราเอลทุกคนไม่ว่าโดยชาติกำเนิดหรือต่างชาติที่อยู่ด้วย พร้อมกับบรรดาผู้อาวุโส เจ้าหน้าที่ และผู้ตัดสินความ ต่างก็ยืนที่ฝั่งตรงข้ามหีบ ที่ตรงหน้าบรรดาชาวเลวีที่เป็นปุโรหิตหามหีบพันธสัญญาของพระผู้เป็นเจ้า ครึ่งหนึ่งยืนที่ตรงหน้าภูเขาเกริซิม และอีกครึ่งหนึ่งที่ตรงหน้าภูเขาเอบาล ดังที่โมเสสผู้รับใช้ของพระผู้เป็นเจ้าได้บัญชาก่อนหน้านั้น ในเวลาที่ท่านให้พรชนชาติอิสราเอลเป็นครั้งแรก[l] 34 จากนั้นท่านจึงอ่านกฎบัญญัติที่เขียนไว้ทุกคำ ทั้งเป็นคำอวยพรและคำสาปแช่งตามที่มีในหนังสือกฎบัญญัติ 35 ไม่มีคำใดและเรื่องใดที่โมเสสบัญชาแล้วโยชูวาไม่ได้อ่านต่อหน้าที่ประชุมอิสราเอล ต่อหน้าพวกผู้หญิงและเด็กๆ อีกทั้งคนต่างด้าวที่อาศัยอยู่กับพวกเขาด้วย

กลลวงของชาวกิเบโอน

ทันทีที่บรรดากษัตริย์ที่อยู่โพ้นแม่น้ำจอร์แดนในแถบภูเขา ที่ลุ่ม และตลอดชายฝั่งของทะเลใหญ่[m] จนถึงเลบานอน คือบรรดากษัตริย์ของชาวฮิต ชาวอาโมร์ ชาวคานาอัน ชาวเปริส ชาวฮีว และของชาวเยบุสได้ยินถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ต่างก็ร่วมกันทำสงครามต่อสู้กับโยชูวาและคนอิสราเอล

เมื่อผู้อาศัยของเมืองกิเบโอนได้ยินว่าโยชูวากระทำสิ่งใดต่อเยรีโคและเมืองอัย พวกเขาจึงใช้เล่ห์เหลี่ยมทำทีว่าเป็นผู้แทนไป ให้ลาแบกถุงขาดๆ และถุงหนังเก่าที่บรรจุเหล้าองุ่นก็ขาดและมีรอยปะ รองเท้าที่สวมก็สึกและมีรอยซ่อม เสื้อผ้าเก่ามาก และเสบียงอาหารก็แห้งกรังและหักจนป่น และพวกเขาไปหาโยชูวาในค่ายที่กิลกาล พูดกับท่านและชายชาวอิสราเอลว่า “พวกเรามาจากแดนไกล ขอทำพันธสัญญากับพวกเราเถิด” แต่ชายชาวอิสราเอลพูดกับชาวฮีวว่า “ท่านอาจจะอาศัยอยู่ในหมู่พวกเรา แล้วเราจะทำพันธสัญญากับท่านได้อย่างไร” พวกเขาพูดกับโยชูวาว่า “พวกเราเป็นผู้รับใช้ของท่าน” โยชูวาพูดกับพวกเขาว่า “พวกท่านเป็นใคร มาจากไหน” พวกเขาตอบว่า “ผู้รับใช้ของท่านมาจากแดนไกล เนื่องจากพระกิตติคุณของพระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของท่าน และเราได้ยินรายงานเกี่ยวกับพระองค์และทุกสิ่งที่พระองค์กระทำในอียิปต์ 10 และทุกสิ่งที่พระองค์กระทำต่อกษัตริย์ทั้งสองของชาวอาโมร์ที่อยู่โพ้นแม่น้ำจอร์แดน คือสิโหนกษัตริย์แห่งเฮชโบน และโอกกษัตริย์แห่งบาชานผู้อาศัยอยู่ที่อัชทาโรท 11 ดังนั้นบรรดาผู้อาวุโสของเราและบรรดาผู้อาศัยของประเทศเราบอกเราว่า ‘จงเตรียมเสบียงอาหารติดตัวไปสำหรับการเดินทางเพื่อไปพบพวกเขา และกล่าวกับพวกเขาว่า “พวกเราเป็นผู้รับใช้ของท่าน บัดนี้ขอทำพันธสัญญากับพวกเราเถิด”’ 12 ดูซิ ขนมปังของเรา ตอนที่เราเอามาจากบ้านเพื่อเป็นอาหารระหว่างการเดินทางมาหาท่าน มันยังอุ่นอยู่เลย แต่ตอนนี้มันแห้งกรังและหักจนป่น 13 ดูซิ ถุงหนังใส่เหล้าองุ่น ตอนนั้นก็ยังใหม่ แต่ตอนนี้ขาดหมดแล้ว เสื้อผ้ากับรองเท้าหลุดลุ่ยเพราะเดินทางไกลมาก” 14 ดังนั้น พวกผู้ชายเอาเสบียงอาหารของพวกเขาไปบ้าง โดยไม่ได้ปรึกษาพระผู้เป็นเจ้าเลย 15 โยชูวามีสัมพันธไมตรีและทำพันธสัญญากับเขาเหล่านั้นเป็นการไว้ชีวิตพวกเขา และบรรดาหัวหน้าของมวลชนก็รับรองด้วยการสาบานกับพวกเขา

16 หลังจากทำพันธสัญญากันได้ 3 วัน ชาวอิสราเอลจึงทราบว่า เขาเหล่านั้นมาจากดินแดนใกล้เคียงและยังอาศัยอยู่ในหมู่พวกเขาเองด้วย 17 ชาวอิสราเอลจึงเดินทางออกไป และในวันที่สามก็ไปถึงเมืองของเขาเหล่านั้น คือกิเบโอน เคฟีราห์ เบเอโรท และคีริยาทเยอาริม 18 แต่ชาวอิสราเอลไม่ได้โจมตีพวกเขา เพราะบรรดาหัวหน้าของมวลชนได้สาบานกับพวกเขาแล้วในพระนามของพระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของอิสราเอล มวลชนทั้งปวงจึงบ่นต่อว่าบรรดาผู้นำ 19 แต่ผู้นำทุกคนพูดกับมวลชนทั้งปวงว่า “เราได้สาบานกับพวกเขาแล้วในพระนามของพระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของอิสราเอล และบัดนี้เราจะแตะต้องเขาไม่ได้ 20 สิ่งที่เราควรกระทำต่อพวกเขาคือ ให้พวกเขามีชีวิตอยู่ มิฉะนั้นโทษจะตกอยู่กับเราเอง เพราะคำสาบานที่เราให้พวกเขา” 21 และบรรดาหัวหน้าพูดกับเขาว่า “ให้พวกเขามีชีวิตอยู่” และเขาเหล่านั้นจึงเป็นคนตัดฟืนและคนตักน้ำสำหรับมวลชนทั้งปวง ตามที่บรรดาผู้นำบอกพวกเขา

22 โยชูวาถามพวกเขาว่า “ทำไมพวกท่านจึงหลอกลวงเราว่า ‘พวกเราอยู่ไกลจากพวกท่านมาก’ ทั้งๆ ที่พวกท่านอาศัยอยู่ในหมู่พวกเรา 23 ฉะนั้น บัดนี้พวกท่านถูกสาปแช่ง และพวกท่านบางคนจะเป็นแค่คนรับใช้ตัดฟืนและตักน้ำสำหรับพระตำหนักของพระเจ้าของเรา” 24 พวกเขาตอบโยชูวาว่า “เป็นเพราะผู้รับใช้ทั้งหลายของท่านทราบอย่างแน่นอนว่า พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของท่านได้บัญชาโมเสสผู้รับใช้ของพระองค์ให้มอบแผ่นดินทั้งหมดแก่พวกท่าน และให้ฆ่าผู้อยู่อาศัยทุกคนในแผ่นดินให้พ้นหน้าท่าน พวกเรากลัวตายมากก็เพราะท่าน จึงได้กระทำเช่นนั้น 25 ดูเถิด บัดนี้พวกเราอยู่ในกำมือของท่าน อะไรที่ท่านเห็นควรและถูกต้อง ก็กระทำต่อพวกเราเถิด” 26 ดังนั้น สิ่งที่โยชูวากระทำก็คือ ท่านปล่อยให้เขาเหล่านั้นไปพ้นจากเงื้อมมือของชาวอิสราเอล และไม่ได้ฆ่าพวกเขา 27 แต่โยชูวาให้พวกเขาเป็นคนตัดฟืนและคนตักน้ำสำหรับมวลชนและสำหรับแท่นบูชาของพระผู้เป็นเจ้าตามแต่สถานที่ที่พระองค์จะเลือก และก็เป็นมาจนถึงทุกวันนี้

ดวงอาทิตย์หยุดนิ่ง

10 ทันทีที่อาโดนีเซเดกกษัตริย์แห่งเยรูซาเล็มทราบว่าโยชูวาได้ยึดเมืองอัย และทำลายให้พินาศ และได้กระทำต่อเมืองอัยและกษัตริย์ของเมือง ดังที่กระทำต่อเมืองเยรีโคและกษัตริย์ของเมือง และทราบว่าบรรดาผู้อยู่อาศัยของเมืองกิเบโอนทำสัญญาสันติภาพกับอิสราเอลและอยู่ในหมู่พวกเขา ท่านจึงกลัวมาก เพราะว่าเมืองกิเบโอนเป็นเมืองใหญ่เทียบเท่าเมืองหลวง และเป็นเพราะว่าใหญ่กว่าเมืองอัย อีกทั้งชายทุกคนเป็นนักรบ ดังนั้นอาโดนีเซเดกกษัตริย์แห่งเยรูซาเล็มมีสาสน์ถึงโฮฮัมกษัตริย์แห่งเฮโบรน ถึงปิรามกษัตริย์แห่งยาร์มูท ถึงยาเฟียกษัตริย์แห่งลาคีช และเดบีร์กษัตริย์แห่งเอกโลนว่า “ช่วยขึ้นมาหาเราและช่วยเรา เราไปโจมตีเมืองกิเบโอนกันเถิด เพราะเมืองนั้นมีสันติภาพกับโยชูวาและชาวอิสราเอลแล้ว” ฉะนั้นกษัตริย์ทั้งห้าของชาวอาโมร์คือ กษัตริย์แห่งเยรูซาเล็ม กษัตริย์แห่งเฮโบรน กษัตริย์แห่งยาร์มูท กษัตริย์แห่งลาคีช และกษัตริย์เมืองเอกโลน จึงรวบรวมกำลังของตนขึ้นไปกับกองทัพ และตั้งค่ายทำสงครามต่อสู้กับเมืองกิเบโอน

ฝ่ายคนจากเมืองกิเบโอนก็ส่งข่าวไปให้โยชูวาทราบที่ค่ายในกิลกาลว่า “อย่าถอนกำลังไปจากผู้รับใช้ของท่าน ขึ้นมาช่วยชีวิตพวกเราโดยเร็ว เพราะว่ากษัตริย์ทั้งปวงของชาวอาโมร์ที่อาศัยอยู่ในแถบภูเขารวมกำลังต่อสู้กับเรา” โยชูวาจึงขึ้นไปจากกิลกาล พร้อมกับกองทัพทั้งหมดและนักรบผู้เก่งกล้าทุกคน พระผู้เป็นเจ้ากล่าวกับโยชูวาว่า “ไม่ต้องกลัวพวกเขา เพราะว่าเราทำให้พวกเขาตกอยู่ในเงื้อมมือของเจ้า ไม่มีผู้ใดในพวกเขาที่จะยืนต่อต้านเจ้าได้” หลังจากที่โยชูวาเดินทางตลอดทั้งคืนขึ้นไปจากกิลกาล ท่านก็เข้าโจมตีพวกนั้นทันที 10 พระผู้เป็นเจ้าทำให้เขาเหล่านั้นหวาดหวั่นพรั่นพรึงต่อหน้าคนอิสราเอล และอิสราเอลฆ่าคนจำนวนมากที่เมืองกิเบโอน คนอิสราเอลไล่ล่าพวกนั้นไปทางที่ขึ้นไปยังเบธโฮโรน และไล่ฆ่าพวกเขาจนถึงเมืองอาเซคาห์และมักเคดาห์ 11 และในขณะที่เขาเหล่านั้นกำลังวิ่งหนีลงไปต่อหน้าคนอิสราเอลจากเมืองเบธโฮโรน พระผู้เป็นเจ้าก็ทำให้ลูกเห็บตกลงมาจากฟ้า จนพวกเขาไปถึงเมืองอาเซคาห์ แล้วก็ตาย คนตายเพราะลูกเห็บมีจำนวนมากกว่าคนตายเพราะคมดาบของชาวอิสราเอล

12 ในวันที่พระผู้เป็นเจ้ามอบชาวอาโมร์ให้แก่ชาวอิสราเอล โยชูวาพูดกับพระผู้เป็นเจ้าต่อหน้าคนอิสราเอลในครั้งนั้นว่า

“ดวงอาทิตย์เอ๋ย จงหยุดนิ่งอยู่ที่กิเบโอน
    และดวงจันทร์เอ๋ย หยุดอยู่ที่หุบเขาอัยยาโลน”
13 ดวงอาทิตย์หยุดนิ่ง
    และดวงจันทร์ก็หยุดด้วย
    จนกระทั่งประชาชาตินั้นได้แก้แค้นพวกศัตรูก่อน

เรื่องนี้ไม่มีบันทึกอยู่ในหนังสือของยาชาร์หรือ ดวงอาทิตย์หยุดนิ่งอยู่กลางท้องฟ้า และไม่ได้รีบตกดินจนกว่าเวลาจะล่วงไปประมาณ 1 วัน 14 ไม่เคยมีวันใดที่เป็นเหมือนวันนั้น ทั้งก่อนหน้านี้หรือหลังจากวันนั้นมา เมื่อพระผู้เป็นเจ้าฟังเสียงมนุษย์ เพราะว่า พระผู้เป็นเจ้าต่อสู้เพื่ออิสราเอล

15 แล้วโยชูวากับคนอิสราเอลทั้งปวงก็กลับไปยังค่ายที่กิลกาล

กษัตริย์ทั้งห้าของชาวอาโมร์ถูกประหาร

16 กษัตริย์ทั้งห้าหนีไปซ่อนตัวอยู่ในถ้ำที่มักเคดาห์ 17 โยชูวาได้ยินมาว่า “มีคนพบกษัตริย์ทั้งห้าที่หลบซ่อนอยู่ในถ้ำที่มักเคดาห์” 18 โยชูวาพูดว่า “จงกลิ้งหินก้อนใหญ่ๆ ปิดปากถ้ำไว้ และให้คนเฝ้าอยู่ใกล้ๆ 19 แต่ตัวท่านเองอย่าอยู่ที่นั่น จงไล่ตามศัตรูของท่านไป โจมตีจากด้านหลัง อย่าปล่อยให้พวกเขาเข้าไปในเมือง ด้วยว่า พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของท่านทำให้เขาเหล่านั้นตกอยู่ในเงื้อมมือของท่านแล้ว” 20 เมื่อโยชูวาและชาวอิสราเอลฆ่าเขาเหล่านั้นตายหลายคนจนพินาศ ส่วนที่เหลืออยู่ไม่กี่คนก็หนีเข้าไปในเมืองซึ่งมีการคุ้มกันอย่างแข็งแกร่ง 21 แล้วประชาชนทั้งปวงกลับไปหาโยชูวาที่ค่ายที่มักเคดาห์โดยปลอดภัย ไม่มีผู้ใดปริปากต่อต้านชาวอิสราเอลอีก

22 โยชูวาพูดว่า “จงเปิดปากถ้ำ และพากษัตริย์ทั้งห้าออกมาหาเรา” 23 พวกเขาก็กระทำตาม โดยพากษัตริย์ทั้งห้านั้นออกจากถ้ำมาหาท่าน มีกษัตริย์แห่งเยรูซาเล็ม กษัตริย์แห่งเฮโบรน กษัตริย์แห่งยาร์มูท กษัตริย์แห่งลาคีช และกษัตริย์แห่งเอกโลน 24 เมื่อเขาพากษัตริย์เหล่านั้นออกมาหาโยชูวา โยชูวาจึงบัญชาชายชาวอิสราเอลทุกคน และพูดกับหัวหน้านักรบที่ออกไปต่อสู้ด้วยกันกับท่าน “เข้ามาใกล้ๆ เอาเท้าเหยียบคอกษัตริย์เหล่านี้” พวกเขาก็เข้าไปใกล้ๆ แล้วเอาเท้าเหยียบที่คอเหล่ากษัตริย์ 25 โยชูวาพูดกับพวกเขาว่า “อย่ากลัวหรือท้อใจเลย จงเข้มแข็งและกล้าหาญ พระผู้เป็นเจ้าจะกระทำเช่นนี้ต่อศัตรูทุกคนที่ท่านจะต้องต่อสู้ด้วย” 26 หลังจากนั้นโยชูวาก็ฆ่ากษัตริย์เหล่านั้น และแขวนคอท่านไว้บนต้นไม้ 5 ต้น แขวนค้างอยู่บนต้นไม้จนตกเย็น 27 แต่พอถึงเวลาตะวันตกดิน โยชูวาบัญชาให้เอาศพลงจากต้นไม้และโยนเข้าไปในถ้ำที่เคยซ่อนตัวกัน และพวกเขาก็วางหินก้อนใหญ่หลายก้อนปิดปากถ้ำไว้ ซึ่งยังอยู่ที่นั่นมาจนถึงทุกวันนี้

28 โยชูวาได้ยึดเมืองมักเคดาห์ไว้ในวันนั้น และฆ่ากษัตริย์ของเมืองด้วยคมดาบ ท่านทำลายล้างทุกชีวิตในเมืองโดยไม่เว้นแม้แต่คนเดียว และท่านทำต่อกษัตริย์แห่งมักเคดาห์เหมือนกับที่ได้ทำต่อกษัตริย์แห่งเยรีโค

ชัยชนะทางทิศใต้ของคานาอัน

29 ครั้นแล้วโยชูวากับคนอิสราเอลทั้งปวงก็เดินทัพต่อไปจากเมืองมักเคดาห์จนถึงเมืองลิบนาห์ และโจมตีลิบนาห์ 30 และพระผู้เป็นเจ้าทำให้ทั้งเมืองและกษัตริย์ตกอยู่ในเงื้อมมือของอิสราเอล ท่านยึดเมืองและทุกคนในเมืองด้วยคมดาบโดยไม่ไว้ชีวิตใครสักคน และท่านกระทำต่อกษัตริย์เหมือนกับที่กระทำต่อกษัตริย์แห่งเยรีโค

31 แล้วโยชูวากับคนอิสราเอลทั้งปวงเดินศึกต่อไปจากเมืองลิบนาห์จนถึงเมืองลาคีช ล้อมเมืองไว้และต่อสู้กับเมืองนั้น 32 และพระผู้เป็นเจ้าทำให้เมืองลาคีชตกอยู่ในเงื้อมมือของอิสราเอล ท่านยึดเมืองได้ในวันที่สอง ตีได้ทั้งเมืองและฆ่าทุกคนด้วยคมดาบ เหมือนกับที่กระทำต่อเมืองลิบนาห์

33 แล้วโฮรามกษัตริย์แห่งเกเซอร์ขึ้นมาช่วยเมืองลาคีช โยชูวาจึงฆ่าท่านและคนของท่านจนไม่มีใครเหลือ

34 แล้วโยชูวากับคนอิสราเอลทั้งปวงเดินศึกต่อไปจากเมืองลาคีชจนถึงเมืองเอกโลน ล้อมเมืองไว้และต่อสู้กับเมืองนั้น 35 พวกเขายึดเมืองได้ในวันนั้น ฆ่าคนในเมืองด้วยคมดาบ และในวันนั้นท่านทำลายล้างทุกชีวิตในเมือง เหมือนกับที่กระทำต่อเมืองลาคีช

36 แล้วโยชูวากับคนอิสราเอลขึ้นไปจากเมืองเอกโลนจนถึงเมืองเฮโบรน และโจมตีเมืองนั้น 37 และยึดเมืองได้ รวมทั้งกษัตริย์และตำบลโดยรอบ และฆ่าทุกคนในเมืองด้วยคมดาบ ท่านไม่ไว้ชีวิตแม้แต่คนเดียว เหมือนกับที่ได้กระทำต่อเมืองเอกโลน ทำลายเมืองและทำลายล้างทุกชีวิตด้วย

38 แล้วโยชูวากับคนอิสราเอลทั้งปวงก็กลับไปยังเมืองเดบีร์และต่อสู้กับเมืองนั้น 39 ท่านยึดเมืองกับกษัตริย์ และตำบลโดยรอบไว้ได้ทั้งหมด พวกเขาฆ่าคนในเมืองด้วยคมดาบ และทำลายล้างทุกชีวิตในเมือง ท่านไม่ไว้ชีวิตแม้แต่คนเดียว ท่านกระทำต่อเมืองเดบีร์และกษัตริย์ของเมืองนั้น เหมือนกับที่ได้กระทำต่อเมืองเฮโบรน และต่อลิบนาห์กับกษัตริย์ของเมือง

40 ฉะนั้น โยชูวาตีได้แผ่นดินทั้งหมดคือ รวมถึงแถบภูเขา ในเนเกบ ที่ลุ่ม และเนินสูง และกษัตริย์ทั้งปวง ท่านไม่ไว้ชีวิตสักคนเดียว คือทำลายล้างทุกชีวิต ตามที่พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของอิสราเอลบัญชาไว้ 41 และโยชูวาตีเมืองตั้งแต่คาเดชบาร์เนียไปจนถึงเมืองกาซา และดินแดนทั้งหมดของโกเชนจนถึงเมืองกิเบโอน 42 โยชูวาจับกุมกษัตริย์เหล่านี้พร้อมกับดินแดนของท่านไว้ได้ในคราวเดียวกัน เพราะว่า พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของอิสราเอลได้ต่อสู้เพื่ออิสราเอล 43 แล้วโยชูวากับคนอิสราเอลทั้งปวงก็กลับไปยังค่ายที่กิลกาล

ชัยชนะทางทิศเหนือของคานาอัน

11 เมื่อยาบินกษัตริย์แห่งฮาโซร์ได้ยินเรื่องนี้ จึงให้คนไปหาโยบับกษัตริย์แห่งมาโดน กษัตริย์แห่งชิมโรน และกษัตริย์แห่งอัคชาฟ และไปหาบรรดากษัตริย์ที่อยู่ในแถบภูเขาทางทิศเหนือ และในอาราบาห์ที่ใต้คินเนโรท ในที่ลุ่ม และนาฟาทโดร์ทางด้านตะวันตก ไปหาชาวคานาอันทางทิศตะวันออกและทิศตะวันตก ชาวอาโมร์ ชาวฮิต ชาวเปริส ชาวเยบุสที่แถบภูเขา และชาวฮีวที่อยู่ด้านล่างลงมาจากภูเขาเฮอร์โมนในดินแดนมิสปาห์ และท่านเหล่านั้นออกมาพร้อมกับกองทหาร มีกองทัพมากมายราวกับเม็ดทรายบนชายฝั่งทะเล มีม้าและรถศึกจำนวนมาก กษัตริย์เหล่านั้นรวมกำลังเข้าด้วยกัน และไปตั้งค่ายกันที่ธารน้ำเมโรม เพื่อต่อสู้กับอิสราเอล

พระผู้เป็นเจ้ากล่าวกับโยชูวาว่า “อย่ากลัวพวกนั้นเลย เพราะว่าในวันพรุ่งนี้เวลาประมาณนี้ เราจะมอบพวกเขาทุกคนไว้ในมือของอิสราเอล เจ้าจะทำให้ม้าของพวกเขาพิการ และเผารถศึกของเขา” ดังนั้น โยชูวากับกองทหารทั้งหมดก็เข้าโจมตีทันทีที่ใกล้ธารน้ำเมโรม และพระผู้เป็นเจ้ามอบเขาเหล่านั้นไว้ในมือของอิสราเอล พวกเขาตีได้และไล่ล่าไปจนถึงมหาไซดอนและมิสเรโฟทมาอิม และทางทิศตะวันออกก็ไปจนถึงหุบเขามิสเปห์ ฆ่าเขาเหล่านั้นจนกระทั่งไม่มีใครเหลือ และโยชูวากระทำต่อพวกเขาอย่างที่พระผู้เป็นเจ้ากล่าวกับท่านไว้ ท่านทำให้ม้าของพวกเขาพิการและเผารถศึกของเขา

10 ในเวลานั้น โยชูวากลับไปยึดเมืองฮาโซร์ และฆ่ากษัตริย์ด้วยคมดาบ เพราะว่าก่อนหน้านี้ฮาโซร์เป็นหัวหน้าของอาณาจักรเหล่านั้น 11 พวกเขาใช้ดาบทำลายล้างทุกชีวิตในเมือง ไม่มีใครที่หายใจได้หลงเหลืออยู่ และท่านเผาเมืองฮาโซร์ 12 โยชูวายึดทุกเมืองที่เป็นของกษัตริย์เหล่านั้นอีกทั้งกษัตริย์ทั้งหมด และทำลายล้างชีวิตของพวกเขาทุกคนด้วยคมดาบ ตามที่โมเสสผู้รับใช้ของพระผู้เป็นเจ้าบัญชาไว้ 13 แต่เมืองที่ตั้งอยู่บนเนินเขาไม่ถูกอิสราเอลเผา ยกเว้นฮาโซร์เท่านั้นที่โยชูวาเผา 14 ชาวอิสราเอลเอาของที่ริบได้จากเมืองเหล่านั้นกับสัตว์เลี้ยงไปใช้ แต่คนทุกคนถูกฆ่าตายด้วยคมดาบจนกระทั่งไม่มีใครที่หายใจได้หลงเหลืออยู่ 15 พระผู้เป็นเจ้าได้บัญชาโมเสสผู้รับใช้ของพระองค์อย่างไร โมเสสก็บัญชาโยชูวาอย่างนั้น และโยชูวาก็กระทำไปตามนั้น ท่านไม่ได้กระทำสิ่งใดอันขาดตกบกพร่องในเรื่องที่พระผู้เป็นเจ้าบัญชาโมเสส

16 ฉะนั้น โยชูวาเอาแผ่นดินทั้งหมดไป คือในแถบภูเขา เนเกบทั้งหมด แผ่นดินโกเชนทั้งหมด ที่ลุ่ม และอาราบาห์ แถบภูเขาและที่ลุ่มของอิสราเอล 17 ตั้งแต่ภูเขาฮาลักขึ้นไปจนถึงเสอีร์ ไกลไปจนถึงบาอัลกาดในหุบเขาเลบานอนที่อยู่ถัดลงมาจากภูเขาเฮอร์โมน และท่านจับกุมกษัตริย์ทั้งหมดของพวกเขาและปลิดชีวิตเสียสิ้น 18 โยชูวาทำสงครามอยู่กับกษัตริย์เหล่านั้นเป็นเวลานาน 19 ไม่มีเมืองใดที่มีสันติภาพกับชาวอิสราเอล ยกเว้นชาวฮีวผู้อยู่อาศัยของเมืองกิเบโอน เมืองอื่นๆ ถูกปราบในสงคราม 20 พระผู้เป็นเจ้าทำให้พวกเขาใจแข็งกระด้าง และทำให้พวกเขาเข้าโจมตีอิสราเอลในสงคราม เพื่อทำลายล้างชีวิตของพวกเขาทุกคน และไม่สมควรได้รับความเมตตา แต่เป็นความพินาศ ตามที่พระผู้เป็นเจ้าบัญชาโมเสส

21 ในเวลานั้นโยชูวาไปทำให้ชาวอานาคที่อยู่แถบภูเขา ที่เฮโบรน ที่เดบีร์ ที่อานาบ และที่แถบภูเขาทั้งหมดของอิสราเอลพินาศด้วย โยชูวาทำลายล้างทุกชีวิตของเขาเหล่านั้นพร้อมกับเมืองของเขาทุกเมือง 22 ไม่มีชาวอานาคเหลืออยู่ในแผ่นดินของชาวอิสราเอล จะมีเหลืออยู่บ้างก็ที่กาซา กัท และที่อัชโดด 23 ฉะนั้นโยชูวายึดเอาแผ่นดินไปทั้งหมด ตามที่พระผู้เป็นเจ้ากล่าวกับโมเสส และโยชูวาได้มอบให้แก่อิสราเอลเป็นมรดกตามส่วนแบ่งของแต่ละเผ่า และแผ่นดินก็สงบจากศึกสงคราม

กษัตริย์ที่พ่ายแพ้

12 บรรดากษัตริย์ของแผ่นดินที่ชาวอิสราเอลตีพ่ายและยึดเป็นเจ้าของดินแดนโพ้นแม่น้ำจอร์แดนไปทางทิศที่ดวงอาทิตย์ขึ้น ตั้งแต่ลุ่มน้ำอาร์โนนถึงภูเขาเฮอร์โมน รวมทั้งหมดที่ด้านตะวันออกของอาราบาห์ สิโหนกษัตริย์ของชาวอาโมร์ผู้อาศัยอยู่ที่เฮชโบนและปกครองจากอาโรเออร์ซึ่งอยู่ริมลุ่มน้ำอาร์โนน และจากกลางหุบเขาจนถึงแม่น้ำยับบอกซึ่งเป็นชายแดนของชาวอัมโมน คือครึ่งหนึ่งของกิเลอาด และแถบตะวันออกของอาราบาห์ จากทะเลสาบคินเนโรทจรดทะเลในแถบอาราบาห์คือทะเลเกลือ และทางไปยังเบธเยชิโมท ลงไปทางใต้จนถึงเชิงเนินเขาปิสกาห์ และโอกกษัตริย์แห่งบาชานผู้เป็นคนหนึ่งของชาวเรฟา[n]ที่เหลืออยู่ และอาศัยอยู่ที่อัชทาโรทและที่เอเดรอี และปกครองภูเขาเฮอร์โมนและสาเลคาห์ และทั่วบาชาน ไปจนถึงชายแดนของชาวเกชูร์และชาวมาอาคาห์ และมากกว่าครึ่งหนึ่งของกิเลอาด จนถึงชายแดนของสิโหนกษัตริย์แห่งเฮชโบน โมเสสผู้รับใช้ของพระผู้เป็นเจ้า และชาวอิสราเอลตีเขาเหล่านั้นพ่ายไป โมเสสผู้รับใช้ของพระผู้เป็นเจ้ามอบดินแดนให้แก่ชาวรูเบน ชาวกาด และครึ่งหนึ่งของเผ่ามนัสเสห์เป็นมรดก

บรรดากษัตริย์ของแผ่นดินที่โยชูวาและชาวอิสราเอลตีพ่ายทางทิศตะวันตกของแม่น้ำจอร์แดน ตั้งแต่บาอัลกาดในหุบเขาเลบานอนจนถึงภูเขาฮาลักขึ้นไปจนถึงเสอีร์ (และโยชูวามอบดินแดนของท่านเหล่านั้นให้แก่บรรดาเผ่าต่างๆ ของอิสราเอลเป็นมรดกตามส่วนแบ่งของพวกเขา ในแถบภูเขา ในที่ลุ่ม ในอาราบาห์ ที่เนินสูง ในถิ่นทุรกันดาร และในเนเกบซึ่งเป็นดินแดนของชาวฮิต ชาวอาโมร์ ชาวคานาอัน ชาวเปริส ชาวฮีว และชาวเยบุส) กษัตริย์ประจำเมืองต่างๆ มีดังต่อไปนี้ กษัตริย์แห่งเยรีโค กษัตริย์แห่งอัยใกล้เบธเอล 10 กษัตริย์แห่งเยรูซาเล็ม กษัตริย์แห่งเฮโบรน 11 กษัตริย์แห่งยาร์มูท กษัตริย์แห่งลาคีช 12 กษัตริย์แห่งเอกโลน กษัตริย์แห่งเกเซอร์ 13 กษัตริย์แห่งเดบีร์ กษัตริย์แห่งเกเดอร์ 14 กษัตริย์แห่งโฮร์มาห์ กษัตริย์แห่งอาราด 15 กษัตริย์แห่งลิบนาห์ กษัตริย์แห่งอดุลลาม 16 กษัตริย์แห่งมักเคดาห์ กษัตริย์แห่งเบธเอล 17 กษัตริย์แห่งทัปปูวาห์ กษัตริย์แห่งเฮเฟอร์ 18 กษัตริย์แห่งอาเฟก กษัตริย์แห่งลาชาโรน 19 กษัตริย์แห่งมาโดน กษัตริย์แห่งฮาโซร์ 20 กษัตริย์แห่งชิมโรนเมโรน กษัตริย์แห่งอัคชาฟ 21 กษัตริย์แห่งทาอานาค กษัตริย์แห่งเมกิดโด 22 กษัตริย์แห่งเคเดช กษัตริย์แห่งโยกเนอัมในคาร์เมล 23 กษัตริย์แห่งโดร์ที่อยู่ในนาฟาทโดร์ กษัตริย์แห่งโกยิมในกิลกาล 24 กษัตริย์แห่งทีรซาห์ รวมกษัตริย์ทั้งหมด 31 ท่าน

ดินแดนอื่นที่ต้องยึดครอง

13 เมื่อโยชูวาชราลง ท่านมีอายุยืนทีเดียว พระผู้เป็นเจ้ากล่าวกับท่านว่า “เจ้าชราและอายุยืน แต่ก็ยังมีดินแดนมากมายที่จะต้องยึดเป็นเจ้าของ ดินแดนที่เหลืออยู่คือ อาณาเขตทั้งหมดของฟีลิสเตียและทั้งหมดของชาวเกชูร์ (ตั้งแต่ชิโหร์ซึ่งอยู่ทางทิศตะวันออกของอียิปต์ ทิศเหนือไกลจนถึงเขตพรมแดนเอโครนซึ่งนับว่าเป็นของคานาอัน ผู้ปกครอง 5 คนของฟีลิสเตียที่เมืองกาซา เมืองอัชโดด เมืองอัชเคโลน เมืองกัท และเมืองเอโครน) อีกทั้งเมืองต่างๆ ของชาวอัฟวาด้วย จากทิศใต้ ดินแดนทั้งหมดของชาวคานาอัน และเมอาราห์ซึ่งเป็นของชาวไซดอน ถึงเมืองอาเฟก ถึงอาณาเขตของชาวอาโมร์ และดินแดนของชาวเกบาลและเลบานอนทั้งหมด ไปทางที่ดวงอาทิตย์ขึ้น จากบาอัลกาดที่อยู่เบื้องล่างภูเขาเฮอร์โมนจนถึงเลโบฮามัท ผู้อยู่อาศัยทั้งหมดในแถบภูเขาตั้งแต่เลบานอนจนถึงมิสเรโฟทมาอิมคือชาวไซดอนทั้งหมด เราเองที่จะขับไล่คนเหล่านี้ไปต่อหน้าชาวอิสราเอล เจ้าเพียงแบ่งดินแดนให้แก่อิสราเอลเป็นมรดก ตามที่เราบัญชาเจ้าแล้ว บัดนี้จงแบ่งดินแดนนี้ให้เป็นมรดกแก่ 9 เผ่ากับอีกครึ่งเผ่าของมนัสเสห์”

ส่วนแบ่งทางทิศตะวันออกของแม่น้ำจอร์แดน

ส่วนอีกครึ่งเผ่าของมนัสเสห์ ชาวรูเบน และชาวกาดได้รับมรดกของพวกเขาที่โมเสสมอบให้แล้วที่โพ้นแม่น้ำจอร์แดนทางด้านตะวันออก ตามที่โมเสสผู้รับใช้ของพระผู้เป็นเจ้ามอบให้พวกเขา ตั้งแต่อาโรเออร์ซึ่งอยู่ริมลุ่มน้ำอาร์โนน และเมืองที่อยู่กลางลุ่มน้ำ และที่ราบสูงทั้งหมดของเมเดบาไปไกลถึงดีโบน 10 และเมืองทั้งหมดของสิโหนกษัตริย์ของชาวอาโมร์ ผู้ปกครองในเฮชโบน ไกลไปจนถึงชายแดนของชาวอัมโมน 11 กิเลอาดและอาณาเขตของชาวเกชูร์และชาวมาอาคาห์ และภูเขาเฮอร์โมนทั้งหมด บาชานทั้งหมดจนถึงสาเลคาห์ 12 อาณาจักรทั้งหมดของโอกในบาชานผู้ปกครองในอัชทาโรทและในเอเดรอี (ท่านเป็นผู้เดียวจากเผ่าพันธุ์เรฟาที่ยังมีชีวิตอยู่) โมเสสต่อสู้ชนะคนเหล่านี้และขับไล่พวกเขาออกไป 13 อย่างไรก็ตามชาวอิสราเอลไม่ได้ขับไล่ชาวเกชูร์และชาวมาอาคาห์ออกไป แต่เกชูร์และมาอาคาห์อาศัยอยู่ท่ามกลางอิสราเอลมาจนถึงทุกวันนี้

14 เผ่าเลวีเท่านั้นที่โมเสสไม่ได้มอบมรดกให้ มีแต่ของถวายด้วยไฟที่ถวายแด่พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของอิสราเอลเป็นมรดกของพวกเขา ตามที่พระองค์กล่าวกับท่าน

15 และโมเสสมอบมรดกแก่เผ่าชาวรูเบนตามแต่ละตระกูลของพวกเขา 16 ดังนั้น อาณาเขตของพวกเขาเริ่มจากอาโรเออร์ซึ่งอยู่ที่ริมลุ่มน้ำอาร์โนน และเมืองที่อยู่กลางหุบเขา และที่ราบสูงทั้งหมดรวมถึงเมเดบา 17 กับเมืองเฮชโบน และเมืองทุกเมืองที่อยู่บนที่ราบสูง ได้แก่ดีโบน บาโมทบาอัล และเบธบาอัลเมโอน 18 และยาฮาส เคเดโมท และเมฟาอาท 19 คีริยาทาอิม สิบมาห์ และเศเรทซาหาร์ซึ่งอยู่บนเนินเขาในหุบเขา 20 และเบธเปโอร์ เชิงเนินเขาปิสกาห์ และเบธเยชิโมท 21 นี่แหละเมืองทั้งหมดของที่ราบสูง และอาณาจักรทั้งหมดของสิโหนกษัตริย์ของชาวอาโมร์ ผู้ปกครองในเฮชโบน ที่โมเสสต่อสู้ชนะสิโหนและบรรดาผู้นำของมีเดียนที่อาศัยอยู่ในดินแดนนั้นคือ เอวี เรเคม ศูร์ ฮูร์ และเรบา 22 บาลาอัมบุตรของเบโอร์เป็นนักทำนาย[o] และถูกฆ่าด้วยดาบของชาวอิสราเอลพร้อมกับคนอื่นๆ ที่ถูกฆ่าตาย 23 เขตแดนของชาวรูเบนคือที่ฝั่งแม่น้ำจอร์แดน ทั้งตัวเมืองและหมู่บ้านเป็นมรดกของชาวรูเบน ตามแต่ละครอบครัวของพวกเขา

24 โมเสสได้มอบแก่เผ่ากาด แก่ชาวกาดตามแต่ละครอบครัวของพวกเขาคือ 25 อาณาเขตยาเซอร์และทุกเมืองของกิเลอาด และครึ่งหนึ่งของดินแดนของชาวอัมโมนจนถึงอาโรเออร์ซึ่งอยู่ทางทิศตะวันออกของเมืองรับบาห์ 26 และตั้งแต่เฮชโบนจนถึงเมืองรามัทมิสเปห์และเบโทนิม และตั้งแต่มาหะนาอิมจนถึงเขตแดนเดบีร์ 27 และในหุบเขาเบธฮารัม เบธนิมราห์ สุคคท และศาโฟน อาณาจักรที่เหลือของสิโหนกษัตริย์แห่งเฮชโบน มีแม่น้ำจอร์แดนเป็นเขตแดน ไปจนถึงปลายล่างสุดของทะเลสาบคินเนเรท ทางทิศตะวันออกโพ้นแม่น้ำจอร์แดน 28 ทั้งตัวเมืองและหมู่บ้านเป็นมรดกของชาวกาด ตามแต่ละครอบครัวของพวกเขา

29 โมเสสมอบมรดกให้แก่ครึ่งเผ่าของมนัสเสห์ เป็นส่วนแบ่งที่ยกให้แก่ครึ่งเผ่าของชาวมนัสเสห์ ตามแต่ละครอบครัวของพวกเขา 30 อาณาเขตของพวกเขาขยายออกไปตั้งแต่มาหะนาอิม ไปทั่วบาชาน อาณาจักรทั้งหมดของโอกกษัตริย์แห่งบาชาน และทุกเมืองของยาอีร์ซึ่งอยู่ในบาชานมี 60 เมือง 31 และครึ่งกิเลอาด เมืองอัชทาโรทและเอเดรอี (สองเมืองนี้เป็นเมืองหลวงในอาณาจักรของโอกที่บาชาน) เมืองเหล่านี้เป็นส่วนแบ่งสำหรับชาวมาคีร์บุตรมนัสเสห์ซึ่งเป็นครึ่งหนึ่งของชาวมาคีร์ ตามแต่ละครอบครัวของพวกเขา

32 ที่กล่าวมานี้เป็นมรดกที่โมเสสได้แบ่งให้ในที่ราบโมอับโพ้นแม่น้ำจอร์แดนทางทิศตะวันออกของเยรีโค 33 แต่โมเสสไม่ได้มอบมรดกให้แก่เผ่าเลวี พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของอิสราเอลเป็นมรดกของพวกเขา ตามที่พระองค์กล่าวกับพวกเขา

ส่วนแบ่งทางทิศตะวันตกของแม่น้ำจอร์แดน

14 ชาวอิสราเอลได้รับมรดกต่อไปนี้ในดินแดนคานาอันจากเอเลอาซาร์ปุโรหิตและโยชูวาบุตรของนูนและบรรดาหัวหน้าตระกูลประจำเผ่าของชาวอิสราเอล มรดกของพวกเขาแบ่งกันได้โดยการจับฉลาก ตามที่พระผู้เป็นเจ้าได้บัญชาผ่านทางโมเสสให้แก่เก้าเผ่าครึ่ง เพราะว่าโมเสสได้มอบมรดกแก่สองเผ่าครึ่งที่โพ้นแม่น้ำจอร์แดนแล้ว แต่ท่านไม่ได้มอบมรดกให้แก่ชาวเลวี เพราะว่าลูกหลานของโยเซฟมี 2 เผ่าคือ มนัสเสห์ และเอฟราอิม และชาวเลวีไม่ได้รับส่วนแบ่งในแผ่นดิน เพียงแต่มีเมืองเป็นที่อยู่อาศัย พร้อมทั้งทุ่งหญ้าสำหรับฝูงปศุสัตว์และสมบัติของเขา ชาวอิสราเอลกระทำตามที่พระผู้เป็นเจ้าบัญชาโมเสส คือพวกเขาได้แบ่งดินแดนกัน

มรดกของคาเลบ

ชาวยูดาห์มาหาโยชูวาที่กิลกาล และคาเลบบุตรเยฟุนเนห์ชาวเคนัสพูดกับท่านว่า “ท่านทราบแล้วว่า พระผู้เป็นเจ้าได้กล่าวอย่างไรกับโมเสสคนของพระเจ้าที่คาเดชบาร์เนียเกี่ยวกับท่านและข้าพเจ้า[p] ข้าพเจ้าอายุ 40 ปีในครั้งที่โมเสสผู้รับใช้ของพระผู้เป็นเจ้าให้ข้าพเจ้าไปจากคาเดชบาร์เนียเพื่อสอดแนมแผ่นดิน และข้าพเจ้าก็นำข่าวกลับมาให้ท่านตามความในใจของข้าพเจ้า แต่พวกพี่น้องที่ขึ้นไปกับข้าพเจ้าทำให้ประชาชนระทดท้อใจ ข้าพเจ้าก็ยังกระทำตามพระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของข้าพเจ้าด้วยใจจริง และโมเสสสาบานในวันนั้นว่า ‘ดินแดนที่เท้าของท่านเหยียบย่างไปจะเป็นมรดกสำหรับท่านและลูกหลานของท่านไปตลอดกาลอย่างแน่นอน เพราะว่าท่านได้กระทำตามพระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของข้าพเจ้าด้วยใจจริง’ 10 จนบัดนี้ ดูเถิด พระผู้เป็นเจ้าให้ข้าพเจ้ามีชีวิตอยู่ ตามที่พระองค์กล่าวไว้ 45 ปีนับจากเวลาที่พระผู้เป็นเจ้ากล่าวเช่นนี้กับโมเสส ขณะที่อิสราเอลเดินทางอยู่ในถิ่นทุรกันดาร ดูเถิด เวลานี้ข้าพเจ้าอายุ 85 ปี 11 วันนี้ข้าพเจ้ายังแข็งแรงเท่าๆ กับวันที่โมเสสให้ข้าพเจ้าไป พละกำลังของข้าพเจ้าในวันนี้ก็เท่ากับพละกำลังในครั้งนั้น ไม่ว่าจะใช้ในการทำศึกหรือไปไหนมาไหนก็ตาม 12 ฉะนั้นขอให้ท่านมอบดินแดนแถบภูเขานี้ที่พระผู้เป็นเจ้ากล่าวถึงในวันนั้นแก่ข้าพเจ้าเถิด เพราะท่านทราบในเวลานั้นว่าชาวอานาคอยู่ที่นั่นมีเมืองขนาดใหญ่และมีการคุ้มกันอย่างแข็งแกร่ง เป็นไปได้ที่พระผู้เป็นเจ้าจะอยู่กับข้าพเจ้า และข้าพเจ้าจะขับไล่พวกเขาออกไป อย่างที่พระผู้เป็นเจ้ากล่าวไว้”

13 ครั้นแล้ว โยชูวาก็อวยพรท่าน และมอบเฮโบรนเป็นมรดกให้แก่คาเลบบุตรเยฟุนเนห์ 14 ดังนั้นเฮโบรนจึงเป็นมรดกของคาเลบบุตรเยฟุนเนห์ชาวเคนัสมาจนถึงทุกวันนี้ เพราะว่าท่านกระทำตามพระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของอิสราเอลด้วยใจจริง 15 ก่อนหน้านั้นเฮโบรนชื่อ คีริยาทอาร์บา (อาร์บาเป็นชายที่เก่งกล้าที่สุดของชาวอานาค) และแผ่นดินก็สงบจากศึกสงคราม

New Thai Version (NTV-BIBLE)

Copyright © 1998, 2012, 2020 by New Thai Version Foundation