Print Page Options
Previous Prev Day Next DayNext

Bible in 90 Days

An intensive Bible reading plan that walks through the entire Bible in 90 days.
Duration: 88 days
New Thai Version (NTV-BIBLE)
Version
ผู้วินิจฉัย 3:28-15:12

28 เขากล่าวกับพวกเขาว่า “ติดตามเรามาเถิด เพราะพระผู้เป็นเจ้าได้มอบศัตรูของท่านคือชาวโมอับไว้ในมือท่านแล้ว” ดังนั้น พวกเขาจึงติดตามเขาลงไป และยึดเขตลำน้ำจอร์แดนตื้นๆ ที่สามารถลุยข้ามไปยังถิ่นโมอับ และไม่อนุญาตให้ใครข้ามไป 29 ครั้งนั้นพวกเขาได้ฆ่าชาวโมอับประมาณ 10,000 คน ซึ่งล้วนแต่เป็นชายฉกรรจ์ที่บึกบึน ไม่มีใครรอดชีวิตไปได้เลย 30 ดังนั้น โมอับจึงอยู่ภายใต้การควบคุมของชาวอิสราเอล แผ่นดินได้หยุดพักอย่างสงบได้ 80 ปี

ชัมการ์

31 ภายหลังเอฮูด ก็มีชัมการ์บุตรของอานาท เขาใช้ประตักฆ่าชาวฟีลิสเตีย 600 คน และช่วยชาวอิสราเอลให้รอดชีวิตได้

เดโบราห์และบาราค

หลังจากเอฮูดสิ้นชีวิต ชาวอิสราเอลก็กระทำสิ่งที่ชั่วร้ายในสายตาของพระผู้เป็นเจ้าอีก พระผู้เป็นเจ้าจึงมอบพวกเขาไว้ในมือของยาบินกษัตริย์แห่งคานาอันผู้ครองราชย์ที่ฮาโซร์ ผู้บังคับกองพันทหารของท่านคือสิเส-ราอาศัยอยู่ที่ฮาโรเชทฮาโกยิม เขามีรถศึกทำด้วยเหล็กจำนวน 900 คัน และบีบบังคับชาวอิสราเอลอย่างโหดร้ายเป็นเวลา 20 ปี ชาวอิสราเอลจึงได้ร้องทุกข์ขอความช่วยเหลือจากพระผู้เป็นเจ้า

เดโบราห์เป็นสตรีผู้เผยคำกล่าวของพระเจ้า ผู้เป็นภรรยาของลัปปีโดท และเป็นผู้วินิจฉัยของอิสราเอลในเวลานั้น นางมักจะนั่งอยู่ใต้ต้นอินทผลัมของเดโบราห์ที่อยู่ระหว่างรามาห์และเบธเอลในแถบภูเขาเอฟราอิม และชาวอิสราเอลมาหานางเพื่อขอให้พิพากษาคดีความ นางให้คนไปเรียกบาราคบุตรของอาบีโนอัมจากเคเดช-นัฟทาลี และกล่าวกับเขาว่า “พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของท่านไม่ได้บัญชาท่านอย่างนี้หรือว่า ‘จงไปรวบรวมพวกผู้ชายที่ภูเขาทาโบร์ แล้วเกณฑ์ชาวนัฟทาลีและชาวเศบูลุน 10,000 คน เราจะทำให้สิเส-ราผู้บังคับกองพันทหารของยาบินออกมาพบกับท่านที่ใกล้แม่น้ำคีโชนพร้อมกับรถศึกและกองทัพของเขา แล้วเราจะมอบเขาไว้ในมือท่าน’” บาราคตอบนางว่า “ถ้าท่านไปกับข้าพเจ้า ข้าพเจ้าก็จะไป แต่ถ้าท่านไม่ไปกับข้าพเจ้า ข้าพเจ้าก็จะไม่ไป” นางตอบว่า “เราจะไปกับท่านแน่ แต่หนทางที่ท่านเลือกจะไม่นำเกียรติมาให้ท่าน เพราะว่าพระผู้เป็นเจ้าจะมอบสิเส-ราไว้ในมือของผู้หญิง” ครั้นแล้วเดโบราห์ก็ลุกขึ้น นางไปยังเคเดชกับบาราค 10 บาราคเรียกเศบูลุนกับนัฟทาลีให้ไปที่เคเดช มีชายจำนวน 10,000 คนตามเขาขึ้นไปอย่างใกล้ชิด เดโบราห์ก็ไปกับเขาด้วย

11 มีชาวเคนผู้หนึ่งชื่อเฮเบอร์ เขาแยกไปอยู่ต่างหากจากกลุ่มชาวเคนที่สืบเชื้อสายมาจากโฮบับพ่อตาของโมเสส เฮเบอร์ไปตั้งกระโจมอยู่ไกลจนถึงต้นโอ๊กในศานันนิมใกล้เคเดช

12 เมื่อมีคนไปบอกสิเส-ราว่าบาราคบุตรของอาบีโนอัมได้ขึ้นไปยังภูเขาทาโบร์แล้ว 13 สิเส-ราจึงให้คนเตรียมรถศึกทำด้วยเหล็ก 900 คันรวมกับชายทั้งหมดที่มี ออกไปจากฮาโรเชทฮาโกยิมไปถึงแม่น้ำคีโชน 14 เดโบราห์กล่าวกับบาราคว่า “ไปเถิด วันนี้เป็นวันที่พระผู้เป็นเจ้าได้มอบสิเส-ราไว้ในมือของท่าน พระผู้เป็นเจ้าไม่นำหน้าท่านไปหรอกหรือ” ดังนั้นบาราคจึงลงไปจากภูเขาทาโบร์พร้อมกับชาย 10,000 คนตามไปด้วย 15 แล้วพระผู้เป็นเจ้าทำให้สิเส-รากับรถศึกและกองทัพทั้งหมดเตลิดเปิดเปิงไปต่อหน้าบาราคด้วยคมดาบ สิเส-ราจึงลงจากรถศึกวิ่งหนีไป 16 บาราคตามรถศึกและกองทัพได้ทันจนถึงฮาโรเชทฮาโกยิม และกองทัพทั้งหมดของสิเส-ราล้มตายด้วยคมดาบ ไม่มีใครรอดมาได้สักคนเดียว

17 ฝ่ายสิเส-ราก็วิ่งหนีไปยังกระโจมของยาเอลภรรยาของเฮเบอร์ชาวเคน ด้วยว่า ยาบินกษัตริย์แห่งฮาโซร์กับพงศ์พันธุ์ของเฮเบอร์ชาวเคนมีไมตรีต่อกัน 18 ยาเอลออกมาพบกับสิเส-ราและพูดกับเขาว่า “เข้ามาเถิด นายท่าน เข้ามาได้ ไม่ต้องกลัว” ดังนั้นเขาจึงเข้าไปในกระโจมของนาง และใช้พรมคลุมตัวเขา 19 เขาพูดกับนางว่า “ขอน้ำให้เราดื่มหน่อยเถิด เพราะเราหิวน้ำ” นางจึงเปิดถุงน้ำนมให้เขาดื่มและคลุมตัวเขาอีก 20 เขาพูดกับนางว่า “ไปยืนที่ทางเข้ากระโจม และถ้ามีใครมาถามเธอว่า ‘มีใครอยู่ที่นี่ไหม’ ก็จงบอกว่า ‘ไม่มี’” 21 แต่ยาเอลภรรยาของเฮเบอร์หยิบหมุดยึดกระโจมและมือถือค้อน นางย่องเข้าไปหาเขา แล้วตอกหมุดลงที่ขมับของเขาจนทะลุลงไปถึงพื้นขณะที่เขานอนหลับสนิทอยู่เนื่องจากอ่อนแรง เขาจึงสิ้นชีวิต 22 ดูเถิด ขณะที่บาราคกำลังไล่ตามล่าสิเส-ราอยู่ ยาเอลออกไปพบกับเขาและพูดว่า “มาเถิด และเราจะให้ท่านดูชายที่ท่านกำลังตามหา” ท่านจึงเข้าไปในกระโจมของนาง พบว่าสิเส-รานอนตายอยู่ มีหมุดกระโจมฝังอยู่ในขมับ

23 ในวันนั้น พระเจ้าทำให้ยาบินกษัตริย์แห่งคานาอันพ่ายแพ้ต่อหน้าชาวอิสราเอล 24 และชาวอิสราเอลมีกำลังเข้มแข็งมากขึ้น และต่อต้านยาบินกษัตริย์แห่งคานาอัน จนกำจัดยาบินกษัตริย์แห่งคานาอันได้

เพลงของเดโบราห์และบาราค

เดโบราห์และบาราคบุตรอาบีโนอัมจึงร้องเพลงในวันนั้นว่า

“บรรดาผู้นำทำหน้าที่บัญชาการในอิสราเอล
    ประชาชนถวายตัวด้วยความสมัครใจ
    สรรเสริญพระผู้เป็นเจ้า

ขอให้บรรดากษัตริย์ได้ยิน บรรดาผู้อยู่ในระดับปกครองจงเงี่ยหูเถิด
    ข้าพเจ้าจะร้องเพลงถวายแด่พระผู้เป็นเจ้า
    ข้าพเจ้าจะบรรเลงเพลงถวายแด่พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของอิสราเอล

โอ พระผู้เป็นเจ้า เมื่อพระองค์ออกไปจากเสอีร์
    เมื่อพระองค์ก้าวไปจากเขตแดนเอโดม
แผ่นดินก็สั่นสะเทือน และท้องฟ้าหลั่งไหล
    หมู่เมฆเทฝน
ภูเขาไหวสะท้าน ณ เบื้องหน้าพระผู้เป็นเจ้า
    แม้ภูเขาซีนายก็สั่นสะท้าน ณ เบื้องหน้าพระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของอิสราเอลเช่นกัน

ในสมัยชัมการ์บุตรอานาท
    สมัยยาเอล ถนนหนทางถูกทิ้งร้าง
    พวกนักเดินทางใช้ทางเคี้ยวคด
วิถีชีวิตของชาวบ้านต่างก็หยุดชะงักในอิสราเอล
    มันหยุดชะงักจนกระทั่งข้าพเจ้าลุกขึ้น
    ข้าพเจ้าเดโบราห์ลุกขึ้นประหนึ่งมารดาผู้หนึ่งในอิสราเอล
เมื่อพวกเขาเลือกบรรดาเทพเจ้าใหม่
    สงครามก็เกิดขึ้นที่ประตูเมือง
ไม่มีโล่และหอกสักเล่มหนึ่งให้เห็น
    ในหมู่คนสี่หมื่นในอิสราเอล
จิตใจข้าพเจ้าโน้มเอียงให้กับบรรดาผู้นำของอิสราเอล
    ผู้ถวายตัวด้วยความสมัครใจท่ามกลางประชาชน
    สรรเสริญพระผู้เป็นเจ้า

10 จงไตร่ตรองดูเถิด บรรดาท่านที่ขี่ลาขาว
    ท่านที่นั่งบนพรม
    และท่านที่เดินถนน
11 เป็นเสียงของบรรดานายขมังธนูท่ามกลางผู้ตักน้ำ
    ณ ที่นั้นพวกเขากล่าวสรรเสริญถึงการกระทำอันชอบธรรมของพระผู้เป็นเจ้า
    การกระทำอันชอบธรรมที่หมู่บ้านทั้งหลายของพระองค์ในอิสราเอล

ครั้นแล้ว ชนชาติของพระผู้เป็นเจ้า
    ก็พากันเดินไปยังประตูเมือง
12 ตื่นเถิด ตื่นเถิด เดโบราห์เอ๋ย
    ตื่นเถิด ตื่นเถิด แล้วจงบรรเลงเพลง
โอ บาราค บุตรอาบีโนอัมเอ๋ย จงตื่นเถิด
    นำพวกเชลยของท่านไป

13 แล้วบรรดาเจ้านายชั้นผู้ใหญ่ที่เหลือก็เดินทัพ
    ชนชาติของพระผู้เป็นเจ้าไปกับผู้มีกำลังเพื่อข้าพเจ้า
14 บางคนที่มีเทือกเถาเหล่ากออยู่ในอามาเลขได้ลงมาจากเอฟราอิม
    เบนยามินอยู่กับประชาชนที่ติดตามท่าน
บรรดาผู้นำลงมาจากมาคีร์
    ส่วนพวกที่เดินทัพมาจากเศบูลุนถือไม้เท้าของแม่ทัพ
15 บรรดาเจ้านายชั้นผู้ใหญ่ของอิสสาคาร์มากับเดโบราห์
    ทั้งอิสสาคาร์และบาราคด้วย
    ต่างก็รีบตามไปอย่างกระชั้นชิดลงสู่หุบเขา
มีการทดสอบจิตใจอย่างจริงจัง
    ที่ธารน้ำของรูเบน
16 ทำไมท่านจึงนั่งนิ่งอยู่ที่คอกแกะเล่า
    เพื่อฟังเสียงปี่ที่เป่าให้ฝูงแกะฟังอย่างนั้นหรือ
มีการทดสอบจิตใจอย่างจริงจัง
    ที่ธารน้ำของรูเบน
17 กิเลอาดอยู่โพ้นแม่น้ำจอร์แดน
    แต่ทำไมดานจึงแค่เฝ้าคอยอยู่ใกล้เรือ
อาเชอร์นั่งเฉยอยู่ที่ฝั่งทะเลต่อไป
    และอยู่นิ่งใกล้กับอ่าวทะเล
18 เศบูลุนเป็นพวกที่เสี่ยงแม้ชีวิตของตนเอง
    นัฟทาลีก็กระทำเช่นนั้นบนที่ราบสูง

19 บรรดากษัตริย์พากันมา และได้สู้รบกัน
    บรรดากษัตริย์แห่งคานาอัน
สู้รบที่ทาอานาคใกล้น้ำพุเมกิดโด
    แต่ท่านเหล่านั้นไม่ได้ริบสิ่งใดที่ทำด้วยเงินเลย
20 ดวงดาวสู้รบจากฟ้าสวรรค์
    และสู้รบกับสิเส-ราจากวิถีโคจรของมัน
21 แม่น้ำคีโชนพัดชาวสิเส-ราไป
    แม่น้ำโบราณ แม่น้ำคีโชน
จิตวิญญาณของข้าพเจ้าเอ๋ย
    เดินทัพต่อไปด้วยสุดกำลังเถิด
22 ครั้นแล้วก็มีเสียงกระทบของกีบม้าดังลั่น
    เหล่าม้าซึ่งมีพลังมากของเขาควบไป ควบไป
23 ทูตสวรรค์ของพระผู้เป็นเจ้ากล่าวว่า ‘จงสาปแช่งเมโรสเถิด
    สาปแช่งผู้อยู่อาศัยที่นั่นให้หนัก
เพราะพวกเขาไม่ได้มาเพื่อช่วยพระผู้เป็นเจ้า
    เพื่อช่วยพระผู้เป็นเจ้าสู้กับผู้มีพลานุภาพ’

24 หญิงที่น่าสรรเสริญมากที่สุดก็คือ ยาเอล
    ภรรยาของเฮเบอร์ชาวเคน
    เป็นหญิงที่น่าสรรเสริญมากที่สุดในบรรดาผู้หญิงที่อาศัยอยู่ในกระโจม
25 เขาขอน้ำดื่ม เธอก็ให้น้ำนม
    เธอเอานมข้นเปรี้ยวใส่ชามของผู้สูงศักดิ์มาให้
26 เธอยื่นมือหยิบหมุดยึดกระโจม
    มือขวาเอื้อมเอาค้อนของคนงาน
แล้วเธอก็ทำร้ายสิเส-รา เธอทุบหัวเขา
    เธอตอกขมับของเขาจนแหลกเละ
27 เขาทรุด เขาล้มลง นอนแน่นิ่ง
    อยู่ที่เท้าของเธอ
เขาทรุด เขาล้ม
    ลงที่เท้าของเธอ
เขาทรุดลงที่ไหน
    เขาก็ล้มลงและตายอยู่ที่นั่น

28 มารดาของสิเส-รามองดูทางหน้าต่าง
    นางร้องตะโกนที่หลังบานเกล็ดว่า
‘ทำไมรถศึกของเขาจึงมาถึงช้านัก
    ทำไมเสียงกีบม้ากระทบของรถศึกจึงล่าช้า’
29 บรรดาหญิงมีสติปัญญาที่สุดตอบนาง
    แท้จริงแล้วนางบอกกับตัวเองว่า
30 ‘พวกเขายังไม่พบและแบ่งปันสิ่งของที่ยึดได้หรอกหรือ
    ชายแต่ละคนจะได้ผู้หญิงสักคนสองคน
ผ้าย้อมสีที่ยึดได้สำหรับสิเส-รา
    ผ้าย้อมสีมีปักลวดลาย
สิ่งที่ย้อมสีมีปักลวดลาย 2 ชิ้นสำหรับพันคอ
    สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นสิ่งที่ยึดไว้ได้’

31 โอ พระผู้เป็นเจ้า ขอให้พวกศัตรูของพระองค์พินาศ
    ส่วนบรรดาผู้ที่รักพระองค์
    ก็ขอให้เป็นดั่งดวงตะวันขึ้นอย่างสุดพลัง”

และแผ่นดินจึงได้อยู่ในความสันติเป็นเวลา 40 ปี

ชาวมีเดียนบีบบังคับอิสราเอล

ชาวอิสราเอลกระทำสิ่งชั่วร้ายในสายตาของพระผู้เป็นเจ้า พระผู้เป็นเจ้าจึงมอบพวกเขาไว้ในมือของชาวมีเดียนเป็นเวลา 7 ปี ชาวมีเดียนมีอำนาจเหนือชาวอิสราเอล แล้วด้วยเหตุนี้ ชาวอิสราเอลจึงทำที่ซ่อนตัวไว้ตามภูเขา ถ้ำ และที่หลบภัย เมื่อใดก็ตามที่ชาวอิสราเอลเพาะปลูก ชาวมีเดียน ชาวอามาเลข และชาวตะวันออกจะเข้ามาบุกรุกพวกเขา เขาเหล่านั้นจะเข้ามาตั้งค่ายเพื่อรุกรานและกวาดเอาพืชผลของแผ่นดินไป ไปไกลจนถึงกาซา และจะไม่มีเครื่องยังชีพเหลือทิ้งไว้ในอิสราเอลแม้แต่แกะ โค หรือลา พวกเขาพากันขึ้นมาพร้อมทั้งฝูงปศุสัตว์และกระโจม มีจำนวนมากราวกับฝูงตั๊กแตน ไม่สามารถนับจำนวนคนและอูฐได้ ฉะนั้นเมื่อบุกรุกดินแดนแล้วก็ทำให้เกิดความเสียหายมาก ชาวอิสราเอลสิ้นเนื้อประดาตัวก็เพราะชาวมีเดียน ดังนั้นชาวอิสราเอลจึงร้องทุกข์ต่อพระผู้เป็นเจ้า

เมื่อชาวอิสราเอลร้องทุกข์ต่อพระผู้เป็นเจ้าเพราะชาวมีเดียน พระผู้เป็นเจ้าจึงให้ผู้เผยคำกล่าวของพระเจ้าท่านหนึ่งไปยังชาวอิสราเอล และท่านกล่าวแก่พวกเขาว่า “พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของท่านกล่าวว่า ‘เรานำพวกเจ้าออกมาจากประเทศอียิปต์ และนำเจ้าออกมาจากเรือนทาส และเราให้พวกเจ้าหลุดพ้นจากเงื้อมมือของชาวอียิปต์ และจากเงื้อมมือของทุกคนที่บีบบังคับเจ้า เราได้ขับไล่พวกเขาไปให้พ้นหน้าเจ้า และได้มอบแผ่นดินของพวกเขาแก่เจ้า 10 เราได้บอกพวกเจ้าแล้วว่า “เราคือพระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของเจ้า เจ้าจงอย่ากลัวบรรดาเทพเจ้าของชาวอาโมร์ซึ่งอยู่ในแผ่นดินที่เจ้าอาศัยอยู่” แต่เจ้าก็ไม่ได้เชื่อฟังเรา’”

เรียกกิเดโอน

11 ทูตสวรรค์ของพระผู้เป็นเจ้ามานั่งอยู่ที่ใต้ต้นโอ๊กที่เมืองโอฟราห์ ซึ่งเป็นของโยอาชชาวอาบีเอเซอร์ ฝ่ายกิเดโอนบุตรของเขาก็กำลังนวดข้าวสาลีอยู่ที่เครื่องสกัดเหล้าองุ่นเพื่อซ่อนให้พ้นสายตาชาวมีเดียน 12 เมื่อทูตสวรรค์ของพระผู้เป็นเจ้าปรากฏแก่กิเดโอนแล้วก็กล่าวว่า “พระผู้เป็นเจ้าสถิตกับท่าน โอ นักรบผู้เก่งกล้าเอ๋ย” 13 กิเดโอนจึงพูดกับท่านว่า “ได้โปรดเถิด นายท่าน ถ้าพระผู้เป็นเจ้าสถิตกับพวกเรา แล้วทำไมเหตุการณ์เหล่านี้จึงได้เกิดขึ้นกับเรา สิ่งมหัศจรรย์ของพระองค์ที่เหล่าบรรพบุรุษของเราเล่าให้พวกเราฟังนั้นอยู่ที่ไหน ที่เล่าๆ กันว่า ‘พระผู้เป็นเจ้าไม่ได้นำพวกเราขึ้นมาจากประเทศอียิปต์หรอกหรือ’ แต่เวลานี้พระผู้เป็นเจ้าทอดทิ้งเราเสียแล้ว และได้มอบพวกเราไว้ในมือของชาวมีเดียน” 14 แล้วพระผู้เป็นเจ้าหันไปหาเขาและกล่าวว่า “เจ้าจงไปช่วยอิสราเอลให้พ้นจากเงื้อมมือของชาวมีเดียนด้วยพละกำลังของเจ้า เราใช้เจ้าไปมิใช่หรือ” 15 เขาตอบว่า “พระผู้เป็นเจ้า ได้โปรดเถิด ข้าพเจ้าจะช่วยอิสราเอลได้อย่างไร ดูเถิด ตระกูลข้าพเจ้าอ่อนแอที่สุดในเผ่ามนัสเสห์ และข้าพเจ้าก็ด้อยที่สุดในครอบครัว” 16 พระผู้เป็นเจ้ากล่าวกับเขาว่า “แต่เราจะอยู่กับเจ้า เจ้าจะสู้รบกับชาวมีเดียนประหนึ่งว่าเจ้ารบกับคนเพียงคนเดียว” 17 เขาตอบว่า “บัดนี้ ถ้าหากว่าข้าพเจ้าเป็นที่โปรดปรานของพระองค์ โปรดแสดงหมายสำคัญแก่ข้าพเจ้าว่า เป็นพระองค์ที่กล่าวกับข้าพเจ้า 18 โปรดอย่าไปจากที่นี่ จนกว่าข้าพเจ้าจะกลับมาหาพระองค์พร้อมกับนำของถวายมาและมอบไว้ ณ เบื้องหน้าพระองค์” พระองค์กล่าวว่า “เราจะอยู่ที่นี่จนกว่าเจ้าจะกลับมา”

19 ดังนั้น กิเดโอนจึงเข้าไปในบ้านของตนเพื่อตระเตรียมแพะหนุ่ม 1 ตัวกับขนมปังไร้เชื้อทำจากแป้ง 1 เอฟาห์[a] เขาวางเนื้อแพะลงในตะกร้า ใส่น้ำแกงในหม้อ แล้วนำมาให้พระองค์ที่ใต้ต้นโอ๊ก และมอบให้แด่พระองค์ 20 ทูตสวรรค์ของพระเจ้ากล่าวกับเขาว่า “จงเอาเนื้อและขนมปังไร้เชื้อมาวางไว้บนหินก้อนนี้ แล้วก็ราดด้วยน้ำแกง” เขาก็กระทำตามนั้น 21 แล้วทูตสวรรค์ของพระผู้เป็นเจ้าก็ใช้ปลายไม้ที่อยู่ในมือแตะเนื้อและขนมปังไร้เชื้อ ไฟจึงลุกโชนขึ้นจากก้อนหิน ทำให้เนื้อและขนมปังไร้เชื้อไหม้หมด แล้วทูตสวรรค์ของพระผู้เป็นเจ้าก็หายร่างไปจากสายตาของเขา 22 กิเดโอนจึงเข้าใจว่า ผู้นั้นเป็นทูตสวรรค์ของพระผู้เป็นเจ้า เขาพูดว่า “โอ พระผู้เป็นเจ้าผู้ยิ่งใหญ่ บัดนี้ข้าพเจ้าได้เห็นทูตสวรรค์ของพระผู้เป็นเจ้าอยู่ต่อหน้า” 23 แต่พระผู้เป็นเจ้ากล่าวกับเขาว่า “สันติสุขจงอยู่กับเจ้า อย่ากลัวเลย เจ้าจะไม่ตายหรอก” 24 ครั้นแล้วกิเดโอนก็สร้างแท่นบูชาสำหรับพระผู้เป็นเจ้าไว้ที่นั่น และตั้งชื่อว่า พระผู้เป็นเจ้าเป็นสันติสุข ทุกวันนี้แท่นนั้นยังอยู่ที่โอฟราห์ที่เป็นของชาวอาบีเอเซอร์

25 ในคืนนั้น พระผู้เป็นเจ้ากล่าวกับเขาว่า “จงเอาโคหนุ่มของบิดาเจ้า กับโคตัวที่สองเป็นโคตัวผู้อายุ 7 ปีไป จงทำลายแท่นบูชาเทวรูปบาอัลที่เป็นของบิดาของเจ้า และโค่นเทวรูปอาเชราห์[b]ที่อยู่ข้างๆ แท่นลง 26 แล้วเจ้าจงสร้างแท่นบูชาแด่พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของเจ้าไว้บนที่สูงแห่งนี้อย่างเป็นระเบียบ แล้วจงถวายโคตัวที่สองเป็นสัตว์ที่เผาเป็นของถวายกับเทวรูปไม้อาเชราห์ที่เจ้าโค่นลง” 27 ดังนั้นกิเดโอนจึงให้ผู้รับใช้ชาย 10 คนไป เพื่อปฏิบัติตามที่พระผู้เป็นเจ้าได้บัญชา แต่เนื่องจากเขากลัวคนในครอบครัวและพวกผู้ชายในเมือง เขาจึงทำในเวลากลางคืนแทนกลางวัน

กิเดโอนทำลายแท่นบูชาเทวรูปบาอัล

28 เมื่อพวกผู้ชายในเมืองลุกขึ้นแต่เช้าตรู่ ดูเถิด แท่นบูชาเทวรูปบาอัลถูกโค่นลง และเทวรูปอาเชราห์ที่อยู่ข้างๆ ก็ถูกโค่นลง และโคตัวที่สองถูกถวายบนแท่นบูชาที่สร้างไว้ 29 เขาจึงพูดต่อกันและกันว่า “ใครเป็นคนกระทำ” หลังจากที่ได้ถามไถ่ได้ความแล้วก็กล่าวว่า “กิเดโอนบุตรของโยอาชเป็นผู้กระทำ” 30 พวกผู้ชายในเมืองจึงพูดกับโยอาชว่า “พาตัวบุตรชายของท่านออกมาเถิด จะได้ให้เขาตายไป เพราะเขาได้ทำลายแท่นบูชาเทวรูปบาอัลและโค่นเทวรูปอาเชราห์ที่อยู่ข้างๆ” 31 โยอาชพูดกับทุกคนที่ค้านเขาว่า “พวกท่านจะโต้แย้งแทนเทพเจ้าบาอัลหรือ หรือท่านจะช่วยให้รอดได้ ใครก็ตามที่โต้แย้งแทนเทพเจ้าบาอัลจะต้องตายภายในเวลาเช้า หากว่าเขาเป็นเทพเจ้าก็ปล่อยให้เขาโต้แย้งเอง เพราะแท่นบูชาของเขาถูกทำลายลง” 32 ดังนั้นในวันนั้นกิเดโอนได้ชื่อว่า เยรุบบาอัล ความหมายคือ “ปล่อยให้เทพเจ้าบาอัลโต้แย้งกับเขา” เพราะเขาทำลายแท่นบูชาลง

33 ครั้นแล้วพวกชาวมีเดียน ชาวอามาเลข และชาวตะวันออกก็ได้รวมกลุ่มมาด้วยกัน ข้ามแม่น้ำจอร์แดนและตั้งค่ายอยู่ในหุบเขายิสเรเอล 34 แต่พระวิญญาณพระผู้เป็นเจ้าสถิตกับกิเดโอน เขาเป่าแตรงอนเรียกชาวอาบีเอเซอร์ออกมาเพื่อติดตามเขาไป 35 และเขาให้ผู้ส่งข่าวทั้งหลายไปบอกทั่วมนัสเสห์เพื่อเรียกให้มาติดตามเขาไปด้วย เขาให้ผู้ส่งข่าวทั้งหลายไปยังอาเชอร์ เศบูลุน และนัฟทาลี ดังนั้นเขาเหล่านั้นจึงขึ้นไปโจมตีชาวมีเดียน

หมายสำคัญของขนแกะ

36 กิเดโอนพูดกับพระเจ้าว่า “ถ้าพระองค์จะช่วยอิสราเอลให้รอดปลอดภัยด้วยมือข้าพเจ้า ตามที่พระองค์กล่าวไว้แล้ว 37 ดูเถิด ข้าพเจ้าจะวางขนแกะไว้บนลานนวดข้าว ถ้ามีน้ำค้างเฉพาะที่ขนแกะเท่านั้น ขณะที่พื้นดินทั่วไปยังแห้ง ข้าพเจ้าก็จะได้ทราบว่าพระองค์จะช่วยอิสราเอลให้รอดปลอดภัยด้วยมือข้าพเจ้า ตามที่พระองค์กล่าวไว้” 38 แล้วก็เป็นไปตามนั้นคือ เมื่อเขาลุกขึ้นในยามเช้าวันรุ่งขึ้น และบีบขนแกะ เขาบีบได้น้ำค้างจากขนแกะเต็ม 1 ชาม 39 กิเดโอนพูดกับพระเจ้าว่า “พระองค์กรุณาอย่าโกรธข้าพเจ้า ให้ข้าพเจ้าพูดอีกเพียงครั้งเดียว โปรดให้ข้าพเจ้าทดสอบขนแกะดูอีกครั้งเถิด โปรดให้เฉพาะขนแกะเท่านั้นที่แห้ง ขณะที่พื้นดินทั่วไปมีน้ำค้างอยู่” 40 แล้วในคืนนั้นพระเจ้าก็กระทำไปตามนั้นคือ ขนแกะเท่านั้นที่แห้ง และมีน้ำค้างอยู่บนพื้นดินทั่วไปรอบๆ

ชาย 300 คนของกิเดโอน

เยรุบบาอัล (คือกิเดโอน) และทุกคนที่อยู่กับเขาลุกขึ้นแต่เช้าตรู่ และตั้งค่ายอยู่ใกล้น้ำพุฮาโรด และค่ายของชาวมีเดียนอยู่ขึ้นไปทางเหนือ ข้างภูเขาโมเรห์ในหุบเขา

พระผู้เป็นเจ้ากล่าวกับกิเดโอนว่า “จำนวนคนที่อยู่กับเจ้ามีมากเกินไปที่จะให้เรามอบชาวมีเดียนไว้ในมือของพวกเขา เพราะคาดว่าอิสราเอลจะคุยโตทับเราว่า ‘มือของเราเองที่ช่วยพวกเรา’ ฉะนั้นจงประกาศให้ผู้คนได้ยินว่า ‘ใครก็ตามที่กลัวจนตัวสั่นก็ให้กลับบ้านไป และรีบไปจากภูเขากิเลอาด’” ฉะนั้นคนจำนวน 22,000 คนจึงกลับไป เหลือ 10,000 คนที่อยู่ต่อ

พระผู้เป็นเจ้ากล่าวกับกิเดโอนว่า “จำนวนคนที่อยู่ก็ยังมากเกินไป จงพาพวกเขาลงไปในน้ำ และเราจะทดสอบพวกเขาให้เจ้าที่นั่น และคนใดที่เราจะบอกเจ้าว่า ‘คนนี้จะไปกับเจ้า’ เขาก็จะไปกับเจ้า และคนใดที่เราจะบอกเจ้าว่า ‘คนนี้จะไม่ไปกับเจ้า’ เขาก็จะไม่ไปกับเจ้า” ดังนั้นเขาจึงพาคนเหล่านั้นลงไปในน้ำ และพระผู้เป็นเจ้ากล่าวกับกิเดโอนว่า “จงแยกทุกคนที่ใช้ลิ้นเลียน้ำอย่างสุนัข และทุกคนที่คุกเข่าลงดื่มเป็นคนละพวก” มีชาย 300 คนที่วักน้ำขึ้นเลีย ส่วนที่เหลือคุกเข่าลงดื่ม พระผู้เป็นเจ้ากล่าวกับกิเดโอนว่า “เราจะช่วยเจ้าให้รอดปลอดภัยด้วยชาย 300 คนที่เลียน้ำ และมอบชาวมีเดียนไว้ในมือเจ้า แล้วให้ทุกคนที่เหลือกลับบ้านไป” กิเดโอนจึงให้ชาวอิสราเอลที่เหลือกลับไปยังกระโจมของพวกเขา ยกเว้นชาย 300 คน และพวกเขาก็ได้รับเสบียงกับแตรงอนไว้ใช้ และค่ายของชาวมีเดียนตั้งอยู่เบื้องล่างในหุบเขา

ในคืนเดียวกันนั้นเอง พระผู้เป็นเจ้ากล่าวกับเขาว่า “จงลุกขึ้น ลงไปโจมตีค่ายศัตรูได้แล้ว เพราะเราได้มอบพวกเขาไว้ในมือของเจ้าแล้ว 10 แต่ถ้าเจ้าไม่กล้าลงไป ก็จงลงไปที่ค่ายกับปูราห์คนรับใช้ของเจ้า 11 และเจ้าจะได้ยินว่าพวกเขาพูดอะไร หลังจากนั้นมือของเจ้าจะมีพละกำลังลงไปโจมตีค่าย” แล้วเขาก็ลงไปกับปูราห์คนรับใช้ ไปถึงกองทหารประจำด่านชั้นนอกในค่าย 12 ส่วนชาวมีเดียน ชาวอามาเลข และชาวตะวันออกทั้งหมดนอนอยู่ที่ตามหุบเขาราวกับตั๊กแตนฝูงใหญ่ มีอูฐหลายตัวจนนับไม่ถ้วนราวกับเม็ดทรายบนชายฝั่งทะเล 13 เมื่อกิเดโอนมาถึง ดูเถิด ชายผู้หนึ่งกำลังเล่าให้เพื่อนฟังว่าเขาฝันอะไร เขาเล่าว่า “ดูเถิด เราฝันว่า ดูสิ ขนมข้าวบาร์เลย์ก้อนหนึ่งกลิ้งลงมาในค่ายของชาวมีเดียน แล้วเข้าไปในกระโจม ชนและทำให้กระโจมล้มคว่ำลงราบไปกับพื้น” 14 เพื่อนของชายผู้นั้นตอบว่า “นี่ไม่ใช่ใครนอกจากดาบของกิเดโอนบุตรของโยอาช ชายชาวอิสราเอล พระเจ้าได้มอบชาวมีเดียนและค่ายทั้งหมดไว้ในมือของเขาแล้ว”

15 ทันทีที่กิเดโอนได้ยินเรื่องฝันและการตีความหมายแล้ว เขาก็นมัสการพระเจ้า แล้วกลับไปยังค่ายของอิสราเอล และพูดว่า “ลุกขึ้นเถิด เพราะพระผู้เป็นเจ้าได้มอบค่ายของชาวมีเดียนไว้ในมือของพวกท่านแล้ว” 16 แล้วเขาแบ่งชาย 300 คนออกเป็น 3 กอง และให้พวกเขาทุกคนถือแตรงอนและหม้อเปล่า มีคบไฟไว้ในหม้อ 17 เขาพูดกับทุกคนว่า “คอยดูเรา แล้วกระทำตาม เมื่อเราไปถึงเขตภายนอกค่าย จงกระทำตามที่เรากระทำ 18 เมื่อใดที่เราและทุกคนที่อยู่กับเราเป่าแตรงอน ทุกคนที่อยู่รอบค่ายก็จงเป่าแตรงอนพร้อมกัน และตะโกนว่า ‘เพื่อพระผู้เป็นเจ้าและกิเดโอน’”

กิเดโอนโจมตีชาวมีเดียนพ่ายไป

19 ดังนั้น กิเดโอนและชาย 100 คนที่อยู่กับเขาก็มาถึงเขตภายนอกค่ายราวเที่ยงคืนเศษๆ ซึ่งเป็นเวลาที่เพิ่งเปลี่ยนยาม พวกเขาจึงเป่าแตรงอน และทุบหม้อที่อยู่ในมือให้แตก 20 แล้วคนทั้ง 3 กองก็เป่าแตรงอนและทุบหม้อแตก พวกเขาถือคบไฟในมือซ้าย เป่าแตรงอนที่มือขวาถืออยู่ และพวกเขาร้องเสียงดังว่า “ดาบเพื่อพระผู้เป็นเจ้าและเพื่อกิเดโอน” 21 ทุกคนยืนอยู่กับที่รอบค่าย คนทั้งค่ายรีบวิ่ง และร้องตะโกนพลางวิ่งหนีไป 22 เมื่อคน 300 คนเป่าแตรงอน พระผู้เป็นเจ้าทำให้คนทั่วทั้งค่ายยกดาบต่อสู้กันเอง ทั้งกองทัพหนีไปยังเบธชิทธาห์ทางไปเมืองเศเรราห์ ไกลจนถึงเขตเมืองอาเบลเมโฮลาห์ใกล้ทับบาท 23 แล้วชายชาวอิสราเอลจากนัฟทาลี อาเชอร์ และทั่วทั้งมนัสเสห์ถูกเรียกตัวให้ออกไล่ตามล่าชาวมีเดียนไป

24 กิเดโอนให้พวกผู้ส่งข่าวออกไปทั่วหุบเขาเอฟราอิมและให้ประกาศว่า “ลงมาโจมตีพวกมีเดียน และยึดแม่น้ำก่อนพวกเขา ไปไกลถึงเบธบาราห์และแม่น้ำจอร์แดนด้วย” ดังนั้นชายทุกคนของเอฟราอิมถูกเรียกตัวให้ไปยึดแม่น้ำถึงเบธบาราห์และแม่น้ำจอร์แดนด้วย 25 นอกจากนั้นก็ได้จับตัวพวกผู้นำของชาวมีเดียนคือโอเรบและเศเอบ และได้ฆ่าโอเรบที่ศิลาโอเรบ และฆ่าเศเอบที่เครื่องสกัดเหล้าองุ่นที่เศเอบ พวกเขาไล่ล่าชาวมีเดียน และเอาศีรษะโอเรบและเศเอบมาให้กิเดโอนซึ่งยังอยู่ไม่ไกลจากแม่น้ำจอร์แดน

กิเดโอนโจมตีเศบาห์และศัลมุนนาพ่ายไป

ชายชาวเอฟราอิมพูดกับเขาว่า “ทำไมท่านจึงกระทำต่อพวกเราเช่นนี้ ท่านไม่บอกให้พวกเราทราบเวลาท่านไปต่อสู้กับชาวมีเดียน” แล้วพวกเขาตำหนิกิเดโอนอย่างรุนแรง เขากล่าวตอบว่า “เวลานี้เรากระทำสิ่งใดเมื่อเปรียบเทียบกับพวกท่าน ผลองุ่นที่ตกหล่นซึ่งชาวเอฟราอิมเก็บ ยังดีกว่าผลองุ่นซึ่งอาบีเอเซอร์เก็บได้ทั้งไร่มิใช่หรือ พระเจ้าได้มอบโอเรบและเศเอบผู้นำของชาวมีเดียนไว้ในมือพวกท่าน เราสามารถทำอะไรได้ล่ะเมื่อเปรียบเทียบกับท่าน” เมื่อเขากล่าวเช่นนั้นแล้ว ความโกรธของพวกเขาจึงค่อยคลายลง

กิเดโอนกับชาย 300 คนมาถึงแม่น้ำจอร์แดนแล้วก็ข้ามต่อไปอีก แม้จะอ่อนแรงแล้วแต่ก็ยังคงไล่ล่าศัตรูไปอย่างไม่หยุดยั้ง เขาจึงพูดกับชายชาวสุคคทว่า “ขอให้คนที่ติดตามเรามาได้รับขนมปังบ้าง เพราะพวกเขาอ่อนแรงเหลือเกิน เรากำลังไล่ล่าเศบาห์และศัลมุนนากษัตริย์แห่งมีเดียนอยู่” พวกเจ้านายชั้นผู้ใหญ่ของสุคคทพูดว่า “มือของเศบาห์และศัลมุนนาอยู่ในมือของท่านแล้วหรือ จึงจะให้พวกเราเอาขนมปังมาให้กองทัพของท่าน” ดังนั้น กิเดโอนพูดว่า “ถ้าฉะนั้นแล้ว เมื่อพระผู้เป็นเจ้ามอบเศบาห์และศัลมุนนาไว้ในมือของเราแล้ว เราจะใช้หนามและพุ่มไม้หนามในถิ่นทุรกันดารขูดเนื้อของท่าน” จากนั้นเขาก็ขึ้นไปยังเมืองเปนูเอล และพูดในทำนองเดียวกัน และชายชาวเปนูเอลก็ตอบเขาเหมือนกับที่ชายชาวสุคคทตอบ เขาพูดกับชายชาวเปนูเอลว่า “เมื่อเรากลับมาด้วยความมีชัย เราจะโค่นหอคอยนี้ลงเสีย”

10 ขณะนั้นเศบาห์และศัลมุนนาอยู่ที่คาร์โคร์กับกองทัพทหารประมาณ 15,000 คนซึ่งเหลือจากกองทัพของชาวตะวันออก พลดาบจำนวน 120,000 คนล้มตายไปแล้ว 11 กิเดโอนขึ้นไปทางที่พวกไม่มีหลักแหล่งอาศัยอยู่ทางตะวันออกของเมืองโนบาห์และเมืองโยกเบฮาห์ และโจมตีกองทัพอย่างไม่ทันรู้ตัว 12 เศบาห์และศัลมุนนาก็หนีไป เขาไล่ล่าและจับตัวเศบาห์และศัลมุนนากษัตริย์ทั้งสองแห่งมีเดียนไว้ได้ ทำให้ทั้งกองทัพหวาดหวั่น

13 แล้วกิเดโอนบุตรของโยอาชก็กลับจากศึกสงครามโดยไปทางข้ามที่เนินเขาเฮเรส 14 เขาจับตัวชายหนุ่มชาวสุคคทผู้หนึ่งและสอบถาม เขาเขียนชื่อของเจ้านายชั้นผู้ใหญ่และผู้อาวุโสของสุคคทให้ รวมได้ 77 คน 15 เขาไปหาชายชาวสุคคทและพูดว่า “ดูเถิด พวกท่านดูหมิ่นเราเรื่องเศบาห์และศัลมุนนาว่า ‘มือของเศบาห์กับศัลมุนนาอยู่ในมือของท่านแล้วหรือ จึงจะให้พวกเราเอาขนมปังมาให้คนของท่านที่อ่อนแรง’” 16 แล้วเขาเอาตัวพวกผู้อาวุโสของเมืองไป เอาหนามกับพุ่มไม้หนามในถิ่นทุรกันดารใช้สั่งสอนเป็นบทเรียนให้กับชายชาวสุคคท 17 และเขาได้โค่นหอคอยของเมืองเปนูเอล และฆ่าชายชาวเมืองนั้นด้วย

18 เขาพูดกับเศบาห์และศัลมุนนาว่า “พวกผู้ชายที่ท่านฆ่าที่ทาโบร์เป็นอย่างไร” ทั้งสองตอบว่า “ท่านเป็นอย่างไร พวกเขาก็เป็นอย่างนั้น ทุกคนเป็นเหมือนบุตรของกษัตริย์” 19 เขาตอบว่า “พวกเขาเป็นพี่น้องของเรา บรรดาบุตรของมารดาของเรา ตราบที่พระผู้เป็นเจ้ามีชีวิตอยู่ฉันใด หากว่าท่านไว้ชีวิตพวกเขา เราก็จะไม่ฆ่าท่านหรอก” 20 ดังนั้นเขาพูดกับเยเธอร์บุตรหัวปีของตนว่า “ลุกขึ้นฆ่าเขาทั้งสองเสีย” แต่ชายหนุ่มไม่กล้าชักดาบออกเพราะเขากลัว เนื่องจากยังเด็กอยู่ 21 เศบาห์และศัลมุนนาพูดว่า “ท่านลุกขึ้นจัดการเราเองสิ เป็นผู้ใหญ่เท่าใด พละกำลังก็เป็นตามนั้น” กิเดโอนจึงลุกขึ้นฆ่าเศบาห์และศัลมุนนา และเขาเอาเครื่องประดับรูปจันทร์เสี้ยวที่แขวนคออูฐของท่านทั้งสองไป

ชุดคลุมของกิเดโอน

22 ชายชาวอิสราเอลพูดกับกิเดโอนว่า “ปกครองพวกเราเถิด ทั้งตัวท่านและลูกหลานของท่านด้วย เพราะท่านได้ช่วยเราให้รอดปลอดภัยจากชาวมีเดียน” 23 กิเดโอนพูดกับพวกเขาว่า “เราจะไม่ปกครองพวกท่าน ลูกของเราจะไม่ปกครองท่านด้วยเช่นกัน พระผู้เป็นเจ้าจะปกครองท่าน” 24 และกิเดโอนพูดอีกว่า “เราขอร้องพวกท่านสิ่งหนึ่งคือ ขอพวกท่านทุกคนมอบตุ้มหูที่ริบมาได้” (เพราะพวกเขามีตุ้มหูทองคำเนื่องจากเป็นชาวอิชมาเอล) 25 พวกเขาตอบว่า “พวกเราจะมอบให้อย่างเต็มใจ” แล้วก็ได้ปูเสื้อคลุม 1 ตัวลง ชายทุกคนต่างก็วางตุ้มหูของตนที่ริบมาได้ 26 ตุ้มหูทองคำทั้งหมดที่เขาขอได้หนัก 1,700 เชเขล[c] ซึ่งนอกเหนือจากเครื่องประดับรูปจันทร์เสี้ยว เข็มกลัด เสื้อผ้าสีม่วงที่กษัตริย์ของชาวมีเดียนสวมใส่ และปลอกคอที่ห้อยคออูฐของพวกท่านด้วย 27 แล้วกิเดโอนใช้ทองคำตีเป็นชุดคลุมเก็บไว้ที่โอฟราห์เมืองของเขา ชาวอิสราเอลทั้งปวงก็ได้กระทำตนดั่งหญิงแพศยาที่ได้บูชาชุดคลุม ซึ่งนำความลำบากมาให้กิเดโอนและครอบครัวของเขา 28 ดังนั้นชาวมีเดียนอยู่ใต้บังคับของชาวอิสราเอลจนโงศีรษะขึ้นไม่ได้อีกเลย แผ่นดินจึงได้อยู่ในความสันติเป็นเวลา 40 ปีในสมัยของกิเดโอน

กิเดโอนเสียชีวิต

29 เยรุบบาอัลบุตรของโยอาชกลับไปอาศัยอยู่ที่บ้านของตน 30 ขณะนั้นกิเดโอนมีบุตรชาย 70 คนที่เป็นเชื้อสายของเขาเอง เนื่องจากเขามีภรรยาหลายคน 31 ภรรยาน้อยที่อยู่ในเมืองเชเคมมีบุตรกับเขาคนหนึ่ง เขาตั้งชื่อว่า อาบีเมเลค 32 กิเดโอนบุตรโยอาชสิ้นชีวิตเมื่อชรามาก และถูกฝังในอุโมงค์ฝังศพของโยอาชบิดาของเขาที่โอฟราห์ของชาวอาบีเอเซอร์

33 ทันทีที่กิเดโอนสิ้นชีวิต ชาวอิสราเอลก็กลับไปประพฤติตัวเช่นหญิงแพศยาอีก พวกเขาบูชาเทวรูปบาอัลทั้งหลาย ให้เทวรูปบาอัลเบรีทเป็นเทพเจ้าของพวกเขา 34 และชาวอิสราเอลไม่ระลึกถึงพระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของพวกเขา ผู้ช่วยพวกเขาให้รอดพ้นจากศัตรูรอบข้าง 35 และไม่ได้แสดงความรักอันมั่นคงต่อครอบครัวของเยรุบบาอัล (คือกิเดโอน) เพื่อเป็นการตอบแทนสิ่งดีๆ ทั้งหลายที่เขาได้กระทำเพื่ออิสราเอล

อาบีเมเลค

อาบีเมเลคบุตรของเยรุบบาอัลไปหาญาติฝ่ายมารดาของเขาที่เมืองเชเคม และพูดกับพวกเขาและทั้งตระกูลฝ่ายครอบครัวของมารดาว่า “พูดใส่หูบรรดาผู้นำของเมืองเชเคมทั้งปวงว่า ‘อะไรดีกว่าสำหรับท่าน จะให้บุตร 70 คนของเยรุบบาอัลปกครองพวกท่าน หรือให้เพียงคนเดียวปกครองท่าน’ จงจำไว้ว่า เราเป็นเลือดเนื้อเชื้อไขของท่านทั้งหลาย”

ญาติฝ่ายมารดาของเขาจึงเอาสิ่งที่เขาพูดไปบอกให้บรรดาผู้นำของเชเคมทราบ และใจของพวกเขาก็โน้มเอียงตามอาบีเมเลค เพราะพวกเขาพูดว่า “เขาเป็นพี่น้องของเราเอง” แล้วพวกเขาก็มอบ 70 เหรียญเงินจากวิหารเทพเจ้าบาอัลเบรีทให้เขา ซึ่งอาบีเมเลคใช้เป็นค่าจ้างพวกนักเลงใจคะนองที่ติดตามเขาไป และเขาไปยังบ้านของบิดาที่โอฟราห์ ฆ่าพี่น้องที่เป็นชายบุตรของเยรุบบาอัลทั้ง 70 คนบนศิลาแผ่นเดียว แต่โยธามบุตรคนสุดท้องของเยรุบบาอัลแอบซ่อนตัว จึงหนีรอดไปได้ ส่วนบรรดาผู้นำของเมืองเชเคมกับชาวเมืองเบธมิลโลก็มารวมตัวกันอยู่ที่ข้างต้นโอ๊กแห่งเสาอนุสรณ์ที่เมืองเชเคม และให้อาบีเมเลคเป็นกษัตริย์

เมื่อมีคนมาบอกโยธาม เขาจึงขึ้นไปยืนอยู่บนยอดภูเขาเกริซิม และตะโกนร้องบอกพวกเขาว่า “ผู้นำของเชเคมทั้งหลายจงฟังเรา เพื่อพระเจ้าจะได้ฟังพวกท่าน วันหนึ่งต้นไม้หลายต้นออกไปแต่งตั้งกษัตริย์ให้มาปกครองพวกตน และพูดกับต้นมะกอกว่า ‘มาปกครองพวกเราเถิด’ แต่ต้นมะกอกพูดกับต้นไม้อื่นๆ ว่า ‘เราควรจะทิ้งความอุดมสมบูรณ์ของเราไปอย่างนั้นหรือ ทั้งบรรดาเทพเจ้าและคนทั้งหลายก็ใช้เราในการถวายเกียรติ แล้วจะให้เราเอนไปเอนมาอยู่เหนือต้นไม้อื่นๆ งั้นหรือ’ 10 แล้วพวกต้นไม้ก็ไปพูดกับต้นมะเดื่อว่า ‘ท่านมาปกครองพวกเราเถิด’ 11 แต่ต้นมะเดื่อพูดตอบว่า ‘เราควรจะทิ้งความหวานของเรากับผลอันงามของเรา แล้วจะให้เราเอนไปเอนมาอยู่เหนือต้นไม้อื่นๆ งั้นหรือ’ 12 แล้วพวกต้นไม้ก็ไปพูดกับเถาองุ่นว่า ‘ท่านมาปกครองพวกเราเถิด’ 13 แต่เถาองุ่นพูดตอบว่า ‘เราควรจะทิ้งเหล้าองุ่นของเราที่ทำให้พระเจ้าและมนุษย์ยินดี แล้วให้เราเอนไปเอนมาอยู่เหนือต้นไม้อื่นๆ งั้นหรือ’ 14 แล้วพวกต้นไม้ก็ไปพูดกับพืชพันธุ์ไม้มีหนามว่า ‘ท่านมาปกครองพวกเราเถิด’ 15 พืชพันธุ์ไม้มีหนามพูดตอบว่า ‘ถ้าท่านต้องการเจิมเราให้เป็นกษัตริย์ปกครองพวกท่าน ก็จงมาพักพิงในที่ร่มของเราเถิด มิฉะนั้นก็ให้ไฟลุกขึ้นจากพืชพันธุ์ไม่มีหนาม และเผาผลาญต้นไม้ซีดาร์ในเลบานอนเถิด’

16 ฉะนั้น ถ้าท่านตั้งอาบีเมเลคให้เป็นกษัตริย์ด้วยความจริงใจอย่างแท้จริง และถ้าท่านได้กระทำต่อเยรุบบาอัลและครอบครัวของท่านดีแล้ว และกระทำต่อท่านตามที่ท่านควรได้รับ 17 ด้วยเหตุว่า บิดาของเราได้ต่อสู้เพื่อท่าน อีกทั้งเสี่ยงชีวิตและช่วยท่านให้รอดพ้นจากมือของชาวมีเดียน 18 และท่านได้ลุกขึ้นต่อต้านครอบครัวของบิดาของเราในวันนี้ และได้ฆ่าบรรดาบุตรของท่าน คือ 70 คนบนศิลาแผ่นเดียว และได้ตั้งอาบีเมเลคบุตรของหญิงผู้รับใช้ของท่านให้เป็นกษัตริย์เหนือบรรดาผู้นำของเชเคม เพราะว่าเขาเป็นญาติของพวกท่าน 19 ถ้าท่านกระทำด้วยความจริงใจอย่างแท้จริงต่อเยรุบบาอัลและครอบครัวของท่านในวันนี้ ก็จงยินดีในตัวอาบีเมเลคเถิด และให้เขายินดีในตัวท่านด้วย 20 แต่ถ้าท่านไม่ได้กระทำเช่นนั้น ก็ขอให้ไฟออกมาจากอาบีเมเลค และเผาผลาญบรรดาผู้นำของเชเคมและเบธมิลโล และให้ไฟออกมาจากบรรดาผู้นำของเชเคมและเบธมิลโลเผาผลาญอาบีเมเลคด้วย” 21 แล้วโยธามก็หลบหนีไปยังเบเออร์ และอาศัยอยู่ที่นั่น เพราะกลัวอาบีเมเลคพี่ชายของตน

22 อาบีเมเลคปกครองอิสราเอลได้ 3 ปี 23 พระเจ้าให้วิญญาณร้ายก่อปัญหาระหว่างอาบีเมเลคกับบรรดาผู้นำของเชเคม บรรดาผู้นำของเชเคมจึงทรยศต่ออาบีเมเลค 24 เพื่อว่าสิ่งเลวร้ายที่เกิดขึ้นกับบุตรชายของเยรุบบาอัล 70 คนจะสนองกลับคืน และโลหิตของพวกเขาจะตกอยู่กับอาบีเมเลคตัวฆาตกรผู้เป็นพี่น้องของเขาเอง และกับชาวเมืองเชเคมที่ช่วยอาบีเมเลคในการฆ่าพี่น้องของเขา 25 บรรดาผู้นำของเชเคมให้คนดักซุ่มบนยอดภูเขาเพื่อต่อต้านเขา และได้ปล้นคนที่เดินผ่านไปทางนั้น และมีคนเอาเรื่องนี้ไปบอกอาบีเมเลค

26 กาอัลบุตรของเอเบดกับญาติของเขาย้ายไปอยู่ในเมืองเชเคม บรรดาผู้นำของเมืองเชเคมก็เชื่อมั่นในตัวเขา 27 พวกเขาออกไปที่สวนองุ่น เก็บองุ่นมาย่ำ แล้วจัดงานฉลองในวิหารของเทพเจ้าของพวกเขา กินและดื่มกันไปพลางสาปแช่งอาบีเมเลคไป 28 แล้วกาอัลบุตรของเอเบดพูดขึ้นว่า “อาบีเมเลคเป็นใคร และพวกเราชาวเชเคมเป็นใครที่จะต้องอยู่ภายใต้การควบคุมของเขา เขาไม่ใช่บุตรของเยรุบบาอัลหรือ เศบุลเป็นผู้แทนของเขาไม่ใช่หรือ เราจงรับใช้คนของฮาโมร์บิดาของเชเคม ควรแล้วหรือที่เราจะรับใช้อาบีเมเลค 29 หากว่าคนเหล่านี้อยู่ใต้บังคับบัญชาของเรา เราก็จะกำจัดอาบีเมเลคเสียสิ้น เราจะพูดกับอาบีเมเลคว่า ‘เพิ่มกำลังทัพของท่าน และออกมาเถิด’”

30 เมื่อเศบุลผู้ปกครองเมืองได้ยินว่ากาอัลบุตรของเอเบดพูดดังนั้นก็โกรธ 31 เขาจึงให้บรรดาผู้ส่งข่าวไปยังอาบีเมเลคเป็นการลับ และบอกว่า “ดูเถิด กาอัลบุตรของเอเบดมาอยู่ที่เมืองเชเคมกับพวกญาติๆ ของเขาแล้ว พวกเขากำลังก่อกวนคนในเมืองให้ต่อต้านท่าน 32 ฉะนั้น บัดนี้ท่านกับคนของท่านที่อยู่กับท่านควรออกไปในเวลากลางคืน และดักซุ่มอยู่ในทุ่งนา 33 พอรุ่งเช้า ทันทีที่ดวงอาทิตย์ขึ้น ตื่นแต่เช้าตรู่รีบไปในเมือง และเวลากาอัลกับพรรคพวกออกมาต่อต้านท่าน ท่านก็ใช้กำลังต้านพวกเขากลับไปได้”

34 ดังนั้นอาบีเมเลคและทุกคนที่อยู่กับเขาจึงไปกันในเวลากลางคืน และแบ่งคนเป็น 4 กองดักซุ่มคอยโจมตีเชเคม 35 ฝ่ายกาอัลบุตรของเอเบดก็ออกไปยืนอยู่ที่ทางเข้าประตูเมือง ขณะที่อาบีเมเลคและพรรคพวกที่อยู่กับเขาออกมาจากที่ซ่อน 36 เมื่อกาอัลเห็นพวกเขา จึงพูดกับเศบุลว่า “ดูสิ มีคนกำลังลงมาจากยอดเขา” เศบุลพูดตอบเขาว่า “ท่านเข้าใจผิดว่าเงาภูเขาเป็นคน” 37 กาอัลพูดอีกว่า “ดูสิ มีคนกำลังลงมาจากใจกลางแผ่นดิน และคนจำนวนกองหนึ่งกำลังมาจากทางต้นโอ๊กของบรรดาผู้ทำนาย” 38 เศบุลพูดกับเขาว่า “เวลานี้ปากของท่านอยู่ที่ไหน ท่านเป็นคนพูดว่า ‘อาบีเมเลคเป็นใครกันที่เราควรจะอยู่ภายใต้การควบคุมของเขา’ เขาเหล่านี้ไม่ใช่คนที่ท่านหมิ่นประมาทหรอกหรือ ออกไปต่อสู้กับพวกเขาเดี๋ยวนี้” 39 ดังนั้นกาอัลจึงนำหน้าชาวเชเคมออกไป และต่อสู้กับอาบีเมเลค 40 อาบีเมเลคไล่ตามกาอัล จนเขาต้องหนีไป หลายคนบาดเจ็บขณะวิ่งหนีไปจนถึงทางเข้าประตูเมือง 41 อาบีเมเลคอาศัยอยู่ที่อารูมาห์ เศบุลขับไล่กาอัลและญาติพี่น้องของเขาไป และไม่ให้พวกเขาอยู่ที่เชเคม

42 วันรุ่งขึ้น ชาวเมืองเชเคมออกไปที่ทุ่งนา และมีคนไปบอกอาบีเมเลค 43 เขาแบ่งคนของเขาออกเป็น 3 พวกไปดักซุ่มที่ทุ่งนา เขาเห็นว่ามีคนกำลังออกมาจากเมือง เขาจึงลุกขึ้นโจมตีและฆ่าเสีย 44 อาบีเมเลคและพวกที่ติดตามเขาไปจำนวน 1 กองรีบรุดออกไปยืนที่ทางเข้าประตูเมือง ขณะที่พรรคพวกอีก 2 กองรุดโจมตีทุกคนที่อยู่ในทุ่งนาและฆ่าเสีย 45 อาบีเมเลคโจมตีเมืองนั้นตลอดทั้งวัน เขายึดเมืองและฆ่าคนที่อยู่ในเมือง ทำลายเมืองและหว่านเกลือทั่วเมือง

46 เมื่อชาวบ้านหอคอยเชเคมทราบเรื่อง จึงเข้าไปหลบอยู่ในที่หลบภัยของวิหารของเอลเบรีท 47 มีคนบอกอาบีเมเลคว่าชาวบ้านทุกคนของหอคอยเชเคมรวมอยู่ด้วยกัน 48 อาบีเมเลคกับพรรคพวกที่อยู่ด้วยกันจึงขึ้นไปยังภูเขาศัลโมน เขาใช้ขวานตัดกิ่งไม้และหามไว้บนบ่า พูดกับพวกที่อยู่ด้วยว่า “เจ้าเห็นเราทำอะไร ก็จงทำตามที่เราทำ” 49 ดังนั้นทุกคนจึงตัดกิ่งไม้ตามอาบีเมเลคไป และกองไว้ที่หลบภัย แล้วจุดไฟเผาที่หลบภัยให้ไหม้พวกชาวบ้าน ชายและหญิงประมาณ 1,000 คนที่หอคอยเชเคมนั้นตายสิ้นทุกคน

50 จากนั้นอาบีเมเลคไปยังเมืองเธเบศ ใช้กำลังล้อมเมืองและยึดไว้ได้ 51 แต่ภายในเมืองมีหอคอยที่มั่นคงอยู่แห่งหนึ่ง ซึ่งบรรดาชายหญิงและชาวเมืองทุกคนได้หลบหนีไปอยู่ โดยได้ใส่กุญแจประตู และปีนขึ้นไปอยู่บนหลังคาหอคอยนั้น 52 ฝ่ายอาบีเมเลคมาถึงหอคอย และโจมตีเข้าใกล้ประตูหอคอยเพื่อจะใช้ไฟเผา 53 หญิงคนหนึ่งทุ่มหินโม่ลงที่ศีรษะของอาบีเมเลคจนกะโหลกแตก 54 เขาจึงรีบร้องบอกให้ชายหนุ่มที่ถืออาวุธของเขาว่า “ชักดาบของเจ้า แล้วฆ่าเราเสีย มิฉะนั้นคนจะพูดถึงเราว่า ‘ผู้หญิงฆ่าเขา’” ชายหนุ่มของเขาก็แทงเขาทะลุจนสิ้นชีวิต 55 เมื่อชาวอิสราเอลเห็นว่าอาบีเมเลคสิ้นชีวิตแล้ว ต่างก็กลับบ้านไป 56 เช่นนั้นแหละพระเจ้าสนองกลับความชั่วร้ายของอาบีเมเลค ที่เขากระทำต่อบิดาของเขาด้วยการฆ่าพี่น้อง 70 คน 57 พระเจ้าทำให้ชายชาวเชเคมรับผลจากความชั่วที่กระทำด้วย คือคำสาปแช่งของโยธามบุตรของเยรุบบาอัลก็เป็นจริง

โทลาและยาอีร์

10 หลังจากที่อาบีเมเลคสิ้นชีวิตแล้ว มีชายผู้หนึ่งจากเผ่าอิสสาคาร์ลุกขึ้นมาช่วยอิสราเอลให้รอดปลอดภัย ชื่อโทลาบุตรของปูอาห์ผู้เป็นบุตรของโดโด อาศัยอยู่ที่เมืองชามีร์ในแถบภูเขาแห่งเอฟราอิม เขาวินิจฉัยอิสราเอลได้ 23 ปี สิ้นชีวิตและถูกฝังไว้ที่เมืองชามีร์

ต่อจากนั้นยาอีร์ชาวกิเลอาด ได้วินิจฉัยอิสราเอล 22 ปี เขามีบุตรชาย 30 คน ขี่ลา 30 ตัว มีเมือง 30 เมืองซึ่งอยู่ในดินแดนของกิเลอาด เรียกว่าฮาวโวทยาอีร์มาจนถึงทุกวันนี้ ยาอีร์สิ้นชีวิตและถูกฝังไว้ที่เมืองคาโมน

การไม่เชื่อฟังและการถูกบีบบังคับ

ชาวอิสราเอลกระทำสิ่งชั่วร้ายในสายตาของพระผู้เป็นเจ้า และบูชาพวกเทวรูปบาอัลและอัชโทเรท เทพเจ้าของอารัม เทพเจ้าของไซดอน เทพเจ้าของโมอับ เทพเจ้าของชาวอัมโมน และเทพเจ้าของชาวฟีลิสเตีย พวกเขาทอดทิ้งพระผู้เป็นเจ้า และไม่นมัสการพระองค์ ดังนั้นความโกรธของพระผู้เป็นเจ้าพลุ่งขึ้นตรงสู่อิสราเอล และพระองค์ให้พวกเขาตกอยู่ในมือของชาวฟีลิสเตียและชาวอัมโมน พวกเขาบีบคั้นและบีบบังคับชาวอิสราเอลในปีนั้น นับเวลาได้ 18 ปีที่พวกเขาได้บีบบังคับชาวอิสราเอลทุกคนที่อยู่โพ้นแม่น้ำจอร์แดนบนแผ่นดินของชาวอาโมร์ในกิเลอาด ชาวอาโมร์ข้ามแม่น้ำจอร์แดนไปต่อสู้กับยูดาห์ เบนยามิน และพงศ์พันธุ์ของเอฟราอิม จนทำให้อิสราเอลเป็นทุกข์ยิ่งนัก

10 ชาวอิสราเอลจึงร้องเรียกถึงพระผู้เป็นเจ้า พลางร้องว่า “พวกเรากระทำบาปต่อพระองค์ เพราะเราได้ทอดทิ้งพระเจ้าของเรา และบูชาพวกเทวรูปบาอัล” 11 พระผู้เป็นเจ้ากล่าวกับชาวอิสราเอลว่า “เราไม่ได้ช่วยให้เจ้ารอดจากชาวอียิปต์และชาวอาโมร์ ชาวอัมโมน และจากชาวฟีลิสเตียหรอกหรือ 12 ชาวไซดอน ชาวอามาเลข และชาวมาโอนก็ได้บีบบังคับพวกเจ้า เจ้าได้ร้องเรียกถึงเรา และเราก็ได้ช่วยเจ้าให้รอดพ้นจากเงื้อมมือของพวกเขา 13 เจ้าก็ยังทอดทิ้งเรา ไปบูชาบรรดาเทพเจ้า ฉะนั้นเราจะไม่ช่วยเจ้าให้รอดอีก 14 ไปร้องเรียกถึงบรรดาเทพเจ้าที่เจ้าเลือก ให้พวกเขาช่วยเจ้าให้รอดในยามทุกข์เถิด” 15 ชาวอิสราเอลพูดกับพระผู้เป็นเจ้าว่า “พวกเราได้กระทำบาป พระองค์โปรดกระทำต่อเราตามที่เห็นว่าดี ขอเพียงพระองค์ช่วยพวกเราให้พ้นในวันนี้เถิด” 16 แล้วพวกเขาก็กำจัดบรรดาเทพเจ้าต่างชาติไปเสีย และนมัสการพระผู้เป็นเจ้า และพระองค์ทนต่อความทุกข์ของอิสราเอลไม่ได้อีกแล้ว

17 ชาวอัมโมนถูกเรียกให้เตรียมทัพ และตั้งค่ายที่กิเลอาด ชาวอิสราเอลก็มารวมตัวกัน และตั้งค่ายที่มิสปาห์ 18 บรรดาผู้นำของชาวกิเลอาดพูดต่อกันและกันว่า “ใครก็ตามที่เป็นคนแรกที่ต่อสู้กับชาวอัมโมน ก็ให้คนนั้นเป็นหัวหน้าของทุกคนในกิเลอาด”

เยฟธาห์ช่วยอิสราเอล

11 เยฟธาห์ชาวกิเลอาดเป็นนักรบผู้เก่งกล้าผู้หนึ่ง แต่เป็นบุตรของหญิงแพศยา กิเลอาดเป็นบิดาของเยฟธาห์ ภรรยาของกิเลอาดได้ให้กำเนิดบุตรชายหลายคนด้วย เมื่อบุตรเหล่านั้นเติบโตขึ้น ก็ได้ขับไล่เยฟธาห์ไปและบอกเขาว่า “เจ้าจะไม่มีส่วนรับมรดกจากพงศ์พันธุ์ของบิดาของเรา เพราะเจ้าเป็นบุตรของหญิงคนอื่น” เยฟธาห์จึงหลบหนีไปจากพี่น้องและอาศัยอยู่ในดินแดนโทบ ซึ่งมีพวกนักเลงรวมกลุ่มกับเยฟธาห์และคอยติดตามเขาไป

จากนั้นต่อมาชาวอัมโมนทำสงครามกับอิสราเอล เมื่อชาวอัมโมนสู้รบกับอิสราเอล บรรดาหัวหน้าชั้นผู้ใหญ่ของกิเลอาดก็ไปพาเยฟธาห์มาจากดินแดนโทบ พูดกับเยฟธาห์ว่า “มาเป็นหัวหน้านำพวกเราเถิด เราจะได้สู้รบกับชาวอัมโมน” แต่เยฟธาห์พูดกับบรรดาหัวหน้าชั้นผู้ใหญ่ของกิเลอาดว่า “พวกท่านไม่ได้เกลียดชังเราและขับไล่เราออกมาจากพงศ์พันธุ์ของบิดาของเราหรอกหรือ ทำไมเดี๋ยวนี้เขาจึงมาหาเรายามมีทุกข์เล่า” บรรดาหัวหน้าชั้นผู้ใหญ่ของกิเลอาดพูดกับเยฟธาห์ว่า “นั่นแหละ เราจึงหันมาหาท่านในเวลานี้ ท่านจะได้ไปกับเราเพื่อต่อสู้กับชาวอัมโมน และเป็นหัวหน้าของทุกคนในกิเลอาด” เยฟธาห์พูดกับบรรดาหัวหน้าชั้นผู้ใหญ่ของกิเลอาดว่า “ถ้าพวกท่านพาเรากลับบ้านอีกเพื่อต่อสู้กับชาวอัมโมน และพระผู้เป็นเจ้ามอบพวกเขาให้แก่เรา เราจะเป็นหัวหน้าพวกท่าน” 10 บรรดาหัวหน้าชั้นผู้ใหญ่ของกิเลอาดพูดกับเยฟธาห์ว่า “พระผู้เป็นเจ้าจะเป็นพยานระหว่างเรา หากว่าพวกเราไม่ทำตามที่ท่านกล่าว” 11 ดังนั้นเยฟธาห์จึงไปกับบรรดาหัวหน้าชั้นผู้ใหญ่ของกิเลอาด ประชาชนตั้งเขาให้เป็นหัวหน้าและผู้นำของพวกเขา และเยฟธาห์ก็พูดกับพระผู้เป็นเจ้าที่มิสปาห์เหมือนที่ได้พูดกับบรรดาหัวหน้าชั้นผู้ใหญ่

12 ครั้นแล้วเยฟธาห์ก็ให้พวกผู้ส่งข่าวไปยังกษัตริย์ของชาวอัมโมน โดยกล่าวว่า “มีสิ่งใดที่ทำให้ท่านต่อต้านพวกเราจนถึงกับโจมตีประเทศเรา” 13 กษัตริย์ของชาวอัมโมนตอบพวกผู้ส่งข่าวของเยฟธาห์ว่า “เพราะเมื่ออิสราเอลแยกตัวออกมาจากประเทศอียิปต์ ก็ได้ยึดดินแดนของเราไป ตั้งแต่อาร์โนนถึงยับบอก และถึงแม่น้ำจอร์แดน บัดนี้จงคืนดินแดนนั้นมาโดยสันติเถิด” 14 เยฟธาห์จึงให้พวกผู้ส่งข่าวไปยังกษัตริย์ของชาวอัมโมน 15 และกล่าวกับท่านว่า “เยฟธาห์กล่าวดังนี้ว่า อิสราเอลไม่ได้ยึดดินแดนโมอับ หรือดินแดนของชาวอัมโมน 16 แต่เมื่อพวกเขาแยกตัวออกมาจากอียิปต์ อิสราเอลผ่านไปทางถิ่นทุรกันดารเพื่อไปยังทะเลแดง และมาถึงคาเดช 17 จากนั้นอิสราเอลจึงให้พวกผู้ส่งข่าวไปยังกษัตริย์แห่งเอโดม โดยกล่าวว่า ‘โปรดให้พวกเราผ่านทางดินแดนของท่าน’ แต่กษัตริย์แห่งเอโดมไม่ฟัง พวกเขาส่งคำขอไปยังกษัตริย์แห่งโมอับด้วย แต่ท่านก็ปฏิเสธ ฉะนั้นอิสราเอลจึงอยู่ที่คาเดช

18 แล้วพวกเขาเดินทางผ่านไปทางถิ่นทุรกันดาร และอ้อมดินแดนเอโดมและดินแดนโมอับ มาถึงด้านตะวันออกของดินแดนโมอับ และตั้งค่ายอยู่อีกฟากของอาร์โนน แต่พวกเขาก็ไม่ได้เข้าไปในอาณาเขตของโมอับ เพราะอาร์โนนเป็นพรมแดนโมอับ 19 อิสราเอลจึงให้พวกผู้ส่งข่าวไปยังสิโหนกษัตริย์ของชาวอาโมร์ กษัตริย์แห่งเฮชโบน และอิสราเอลพูดกับท่านว่า ‘โปรดให้พวกเราผ่านดินแดนของท่านเพื่อไปยังประเทศของเราเถิด’ 20 แต่สิโหนไม่ไว้ใจให้อิสราเอลผ่านทางอาณาเขตของท่าน ดังนั้นสิโหนจึงรวบรวมคนของท่านและตั้งค่ายอยู่ที่ยาฮาส และได้ต่อสู้กับอิสราเอล 21 พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของอิสราเอลจึงมอบสิโหนและคนของท่านทั้งหมดไว้ในมือของอิสราเอล อิสราเอลได้ชัยชนะ จึงได้ยึดดินแดนทั้งหมดที่ชาวอาโมร์อาศัยอยู่ไว้เป็นเจ้าของ 22 เขาได้ยึดอาณาเขตของชาวอาโมร์ทั้งหมด นับตั้งแต่อาร์โนนถึงแม่น้ำยับบอก และจากถิ่นทุรกันดารถึงแม่น้ำจอร์แดน 23 ฉะนั้น พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของอิสราเอลได้ขับไล่ชาวอาโมร์ไปต่อหน้าชาวอิสราเอลคนของพระองค์ แล้วพวกท่านจะมีสิทธิ์ยึดไว้อย่างนั้นหรือ 24 ท่านจะไม่ยึดสิ่งที่เคโมช ซึ่งเป็นเทพเจ้าของท่านมอบให้ท่านเป็นเจ้าของหรือ ส่วนทุกคนที่พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของเราได้ขับไล่ออกไปต่อหน้าเรา เราก็จะยึดที่ของเขาไว้เป็นกรรมสิทธิ์ 25 พวกท่านดีกว่าบาลาคบุตรศิปโปร์กษัตริย์แห่งโมอับหรือ ท่านเคยวิวาทกับชาวอิสราเอลหรือ หรือว่าพวกท่านเคยทำสงครามกับพวกเขา 26 เป็นเวลา 300 ปีที่ชาวอิสราเอลอาศัยอยู่ที่เมืองเฮชโบนและชานเมือง และที่เมืองอาโรเออร์และชานเมือง และที่เมืองต่างๆ ที่อยู่บนฝั่งแม่น้ำอาร์โนน ทำไมพวกท่านจึงไม่ยึดไว้ในช่วงเวลานั้นเล่า 27 ฉะนั้น เราไม่ได้กระทำผิดต่อท่าน แต่ท่านเป็นฝ่ายกระทำผิดต่อเราที่ทำสงครามกับเรา พระผู้เป็นเจ้า ผู้เป็นผู้พิพากษาจะตัดสินระหว่างชาวอิสราเอลและชาวอัมโมนในวันนี้” 28 แต่กษัตริย์ของชาวอัมโมนไม่ใส่ใจในคำของเยฟธาห์ที่ส่งไป

คำสัญญาอันโศกเศร้าของเยฟธาห์

29 ครั้นแล้วพระวิญญาณของพระผู้เป็นเจ้าก็สถิตกับเยฟธาห์ และเขาจึงข้ามไปทางกิเลอาดและมนัสเสห์ แล้วผ่านต่อไปจนถึงมิสปาห์แห่งกิเลอาด จากมิสปาห์แห่งกิเลอาดเขาก็ได้ผ่านต่อไปจนถึงที่ของชาวอัมโมน 30 และเยฟธาห์ให้คำสัญญาต่อพระผู้เป็นเจ้าว่า “ถ้าหากว่าพระองค์จะมอบชาวอัมโมนไว้ในมือของข้าพเจ้า 31 แล้วผู้ใดก็ตามที่ออกมาจากประตูบ้านของข้าพเจ้า มาพบข้าพเจ้าเวลาที่ข้าพเจ้ากลับมาอย่างปลอดภัยจากชาวอัมโมน ผู้นั้นจะเป็นของพระผู้เป็นเจ้า และข้าพเจ้าจะมอบให้เป็นของถวาย” 32 แล้วเยฟธาห์ข้ามไปสู้รบกับชาวอัมโมน พระผู้เป็นเจ้ามอบพวกเขาไว้ในมือของเขา 33 และเขาก็ได้ฆ่าฟันชาวอัมโมนจนราบเป็นหน้ากลอง ตั้งแต่อาโรเออร์ไปจนถึงละแวกใกล้เคียงของมินนิท 20 เมือง และไปไกลจนถึงอาเบลครามิม ดังนั้นชาวอัมโมนจึงอยู่ใต้บังคับชาวอิสราเอล

34 จากนั้นเยฟธาห์ก็กลับไปบ้านที่มิสปาห์ ดูเถิด บุตรหญิงของเขาถือรำมะนาใบเล็กร่ายรำออกมาพบเขา เธอเป็นบุตรคนเดียวของเขา นอกจากเธอแล้ว เขาไม่มีบุตรชายหรือบุตรหญิงอื่นอีก 35 ทันทีที่เขาเห็นเธอ เขาก็ฉีกเสื้อผ้าของตนและกล่าวว่า “อนิจจา ลูกสาวของเรา เจ้าทำให้พ่อเศร้ายิ่งนัก ทำให้พ่อเป็นทุกข์ เพราะพ่อเปิดปากบอกพระผู้เป็นเจ้าแล้ว พ่อจะคืนคำสัญญาก็ไม่ได้” 36 เธอจึงพูดกับเขาว่า “พ่อของลูก พ่อเปิดปากบอกพระผู้เป็นเจ้าแล้ว โปรดทำไปตามสิ่งที่พ่อพูดเถิด ในเมื่อพระผู้เป็นเจ้าได้แก้แค้นชาวอัมโมนที่เป็นศัตรูของพ่อแล้ว” 37 เธอพูดกับบิดาของเธออีกว่า “ขอให้ลูกได้ทำสิ่งหนึ่งเถิด ปล่อยให้ลูกอยู่ตามลำพังสัก 2 เดือน ลูกจะขึ้นไปอยู่ตามแถบภูเขา ไปร้องไห้ถึงความเป็นพรหมจารีกับเพื่อนๆ” 38 เขากล่าวว่า “ไปเถิด” แล้วเขาก็ให้เธอจากไปเป็นเวลา 2 เดือน เธอเดินทางไปพร้อมกับเพื่อนของเธอ และได้ร้องไห้ถึงความเป็นพรหมจารีบนภูเขา 39 เมื่อใกล้เวลา 2 เดือนแล้ว เธอจึงกลับไปหาบิดา เขาก็ปฏิบัติตามคำสัญญาที่ได้ให้ไว้ เธอไม่เคยมีเพศสัมพันธ์กับชายใด และจากนั้นมาก็เป็นธรรมเนียมของอิสราเอล 40 คือหญิงสาวอิสราเอลจะร้องไห้แสดงความเศร้าให้บุตรสาวของเยฟธาห์ชาวกิเลอาดปีละ 4 วัน

เยฟธาห์ขัดแย้งกับชาวเอฟราอิม

12 ชายชาวเอฟราอิมรวมกำลังศึก แล้วข้ามไปยังศาโฟน พวกเขาพูดกับเยฟธาห์ว่า “ทำไมท่านจึงข้ามไปต่อสู้กับชาวอัมโมนโดยไม่เรียกพวกเราให้ไปด้วย พวกเราจะเผาบ้านของท่านพร้อมกับตัวท่านด้วย” เยฟธาห์พูดตอบว่า “เรากับพรรคพวกโต้แย้งกับชาวอัมโมนอย่างหนัก เมื่อเราเรียกพวกท่าน ท่านก็ไม่ได้ช่วยเราให้พ้นจากมือพวกเขาเลย ครั้นเราเห็นว่าพวกท่านจะไม่ช่วยเราให้รอดปลอดภัย เราจึงเสี่ยงชีวิตเราเอง และข้ามไปสู้รบกับชาวอัมโมน และพระผู้เป็นเจ้ามอบพวกเขาไว้ในมือเรา แล้วทำไมพวกท่านจึงขึ้นมาสู้รบกับเราถึงนี่ในวันนี้เล่า” เยฟธาห์ได้รวบรวมพวกผู้ชายชาวกิเลอาด และช่วยกันต่อสู้กับชาวเอฟราอิม ชายชาวกิเลอาดฆ่าชาวเอฟราอิมเพราะพวกเขาพูดว่า “พวกชาวกิเลอาด เจ้าเป็นพวกลี้ภัยของเอฟราอิม เจ้าอยู่ท่ามกลางชาวเอฟราอิมและมนัสเสห์” ชาวกิเลอาดยึดเขตลำน้ำจอร์แดนที่ลุยข้ามได้ เข้าไปถึงตัวชาวเอฟราอิมได้ และเมื่อใดที่พวกลี้ภัยของเอฟราอิมพูดว่า “ให้เราข้ามไปเถิด” พวกผู้ชายชาวกิเลอาดก็ถามเขาว่า “เจ้าเป็นชาวเอฟราอิมหรือ” เมื่อเขาตอบว่า “ไม่ใช่” พวกเขาก็บอกเขาว่า “จงพูดคำว่า ชิบโบเลท” เขาก็พูดคำว่า “สิบโบเลท” เพราะเขาออกเสียงไม่ชัด ดังนั้นพวกเขาจึงจับตัวและฆ่าชายคนนั้นที่เขตลำน้ำจอร์แดนที่ลุยข้ามได้ ในเวลานั้นชาวเอฟราอิมล้มตาย 42,000 คน

เยฟธาห์วินิจฉัยอิสราเอลได้ 6 ปี เยฟธาห์ชาวกิเลอาดเสียชีวิตและถูกฝังในเมืองที่กิเลอาด

อิบซาน เอโลน และอับโดน

ต่อจากเยฟธาห์ อิบซานแห่งเบธเลเฮมก็ได้วินิจฉัยอิสราเอล เขามีบุตรชาย 30 คนและบุตรหญิง 30 คน เขาให้บุตรหญิงแต่งงานกับคนนอกตระกูล และให้หญิงนอกตระกูลแต่งงานกับบุตรชายของเขา เขาวินิจฉัยอิสราเอลได้ 7 ปี 10 อิบซานเสียชีวิตและถูกฝังไว้ที่เบธเลเฮม

11 ต่อจากเขาก็เป็นเอโลนชาวเศบูลุน เขาวินิจฉัยอิสราเอลได้ 10 ปี 12 เอโลนชาวเศบูลุนเสียชีวิตและถูกฝังไว้ที่อัยยาโลนในดินแดนของเศบูลุน

13 ต่อจากเขาก็เป็นอับโดนบุตรของฮิลเลลชาวปิราโธน เขาวินิจฉัยอิสราเอล 14 เขามีบุตรชาย 40 คน และหลานชาย 30 คน พวกเขาขี่ลา 70 ตัว และเขาวินิจฉัยอิสราเอลได้ 8 ปี 15 แล้วอับโดนบุตรของฮิลเลลชาวปิราโธนก็เสียชีวิต และถูกฝังไว้ที่ปิราโธนในดินแดนของเอฟราอิม แถบภูเขาแห่งชาวอามาเลข

กำเนิดของแซมสัน

13 ชาวอิสราเอลกระทำสิ่งชั่วร้ายในสายตาของพระผู้เป็นเจ้าอีก ดังนั้น พระผู้เป็นเจ้าจึงมอบพวกเขาไว้ในมือของชาวฟีลิสเตียเป็นเวลา 40 ปี

มีชายชาวโศราห์คนหนึ่งจากเผ่าชาวดาน ชื่อมาโนอาห์ ภรรยาของเขาเป็นหมันไม่มีบุตร ทูตสวรรค์ของพระผู้เป็นเจ้ามาปรากฏแก่นาง และกล่าวว่า “ดูเถิด เจ้าเป็นหมันและยังไม่ได้ให้กำเนิดบุตรเลย แต่เจ้าจะตั้งครรภ์และได้บุตรชาย ฉะนั้นจงระวังว่าเจ้าไม่ดื่มเหล้าองุ่นหรือสุรา และอย่ารับประทานสิ่งใดที่มีมลทิน เพราะว่า ดูเถิด เจ้าจะตั้งครรภ์และคลอดบุตรชาย อย่าให้มีดโกนแตะศีรษะของเขา เพราะเด็กคนนั้นจะเป็นชาวนาศีร์ถวายตัวแด่พระเจ้าตั้งแต่เกิด และเขาจะเป็นผู้เริ่มต้นช่วยชาวอิสราเอลให้รอดปลอดภัยจากมือของชาวฟีลิสเตีย” เมื่อนางไปบอกสามีว่า “คนของพระเจ้ามาเยี่ยมฉัน ลักษณะของท่านที่ปรากฏเหมือนกับลักษณะของทูตสวรรค์ของพระเจ้า และน่าเกรงขามมาก ฉันไม่ได้ถามท่านว่าท่านมาจากไหน และท่านก็ไม่ได้บอกว่าท่านชื่ออะไร แต่ท่านกล่าวกับฉันว่า ‘ดูเถิด เจ้าจะตั้งครรภ์และคลอดบุตรเป็นชาย ดังนั้นอย่าดื่มเหล้าองุ่นหรือสุรา และอย่ารับประทานสิ่งใดที่มีมลทิน เพราะเด็กคนนั้นจะเป็นชาวนาศีร์ถวายตัวแด่พระเจ้า ตั้งแต่เกิดจนกระทั่งวันตาย’”

แล้วมาโนอาห์ก็อธิษฐานต่อพระผู้เป็นเจ้าว่า “โอ พระผู้เป็นเจ้า โปรดให้คนของพระเจ้า คนที่พระองค์ใช้มา มาปรากฏแก่เราทั้งสองอีก และสอนว่าเราควรจะทำอย่างไรกับเด็กที่จะมาเกิด” พระเจ้าฟังเสียงของมาโนอาห์ และทูตสวรรค์ของพระเจ้าก็มาเยี่ยมนางอีกขณะที่นางนั่งอยู่ในทุ่งนา แต่มาโนอาห์ผู้เป็นสามีไม่ได้อยู่ด้วย 10 ดังนั้นนางจึงรีบวิ่งไปบอกสามีว่า “ดูเถิด คนที่มาเยี่ยมฉันเมื่อวันก่อนได้มาปรากฏแก่ฉันอีก” 11 มาโนอาห์จึงลุกขึ้นตามภรรยาไป และเมื่อพบท่านผู้นั้นแล้วก็พูดว่า “ท่านเป็นคนที่พูดกับหญิงคนนี้หรือ” ท่านกล่าวว่า “เราเป็นผู้นั้น” 12 และมาโนอาห์พูดว่า “เมื่อสิ่งที่ท่านพูดเกิดขึ้นจริง ชีวิตของเด็กคนนี้จะเป็นเช่นไร และเขาได้รับมอบหมายให้ทำสิ่งใด” 13 ทูตสวรรค์ของพระผู้เป็นเจ้ากล่าวกับมาโนอาห์ว่า “ทุกสิ่งที่เราได้กล่าวกับหญิงคนนี้แล้ว นางจงระมัดระวังให้ดี 14 นางอย่ารับประทานสิ่งใดที่มาจากเถาองุ่น อย่าให้นางดื่มเหล้าองุ่นหรือสุรา หรือรับประทานสิ่งใดที่มีมลทิน ทุกสิ่งที่เราได้สั่งนางแล้ว ก็จงให้นางปฏิบัติตามเถิด”

15 มาโนอาห์พูดกับทูตสวรรค์ของพระผู้เป็นเจ้าว่า “ขอให้เราทั้งสองรั้งตัวท่านไว้ จะได้ไปเตรียมแพะหนุ่มตัวหนึ่งให้ท่าน” 16 ทูตสวรรค์ของพระผู้เป็นเจ้ากล่าวกับมาโนอาห์ “ถ้าท่านรั้งตัวเราไว้ เราก็จะไม่รับประทานอาหารของท่านหรอก แต่ถ้าจะเตรียมสัตว์ที่เผาเป็นของถวาย ก็จงถวายแด่พระผู้เป็นเจ้าเถิด” (ด้วยว่ามาโนอาห์ไม่ทราบว่าท่านเป็นทูตสวรรค์ของพระผู้เป็นเจ้า) 17 แล้วมาโนอาห์พูดกับทูตสวรรค์ของพระผู้เป็นเจ้าว่า “ท่านชื่ออะไร เราจะได้ให้เกียรติแก่ท่าน เวลาสิ่งที่ท่านพูดเกิดขึ้นจริง” 18 ทูตสวรรค์ของพระผู้เป็นเจ้ากล่าวว่า “ทำไมท่านจึงถามชื่อของเรา มันเกินกว่าที่ท่านจะเข้าใจ” 19 ดังนั้นมาโนอาห์จึงเอาแพะหนุ่มกับเครื่องธัญญบูชามาและถวายบนศิลาแด่พระผู้เป็นเจ้า และพระองค์กระทำสิ่งมหัศจรรย์ ขณะที่มาโนอาห์กับภรรยาเฝ้ามองอยู่ 20 เมื่อเปลวไฟจากแท่นบูชาพลุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้า ทูตสวรรค์ของพระผู้เป็นเจ้าก็กลับขึ้นไปพร้อมกับเปลวไฟของแท่นบูชา มาโนอาห์และภรรยากำลังมองดูอยู่ แล้วทั้งสองก็ได้ฟุบหน้าลงที่พื้น

21 เมื่อทูตสวรรค์ของพระผู้เป็นเจ้าไม่ได้ปรากฏแก่มาโนอาห์และภรรยาอีกเลย แล้วมาโนอาห์จึงทราบว่าท่านเป็นทูตสวรรค์ของพระผู้เป็นเจ้า 22 มาโนอาห์พูดกับภรรยาว่า “เราต้องตายแน่ เพราะเราได้เห็นพระเจ้า” 23 แต่ภรรยาของเขาพูดว่า “ถ้าพระผู้เป็นเจ้าตั้งใจจะเอาชีวิตเรา พระองค์คงไม่รับสัตว์ที่เผาเป็นของถวายกับเครื่องธัญญบูชาจากมือของเราหรอก หรือแสดงให้เราเห็นสิ่งเหล่านั้น หรือให้เรารับทราบอะไรหรอก” 24 แล้วหญิงนั้นให้กำเนิดบุตรชาย และตั้งชื่อเขาว่า แซมสัน เด็กนั้นเติบโตขึ้น และพระผู้เป็นเจ้าอวยพรเขา 25 และพระวิญญาณพระผู้เป็นเจ้าเริ่มดลใจเขาที่มาหะเนห์ดานซึ่งอยู่ระหว่างโศราห์กับเอชทาโอล

การสมรสของแซมสัน

14 แซมสันได้ลงไปยังเมืองทิมนาห์ และเขาเห็นผู้หญิงชาวฟีลิสเตียคนหนึ่ง เขาจึงขึ้นไปบอกบิดามารดาของเขาว่า “ลูกเห็นผู้หญิงชาวฟีลิสเตียคนหนึ่งที่ทิมนาห์ ช่วยไปขอเธอมาเป็นภรรยาให้ลูกในเวลานี้เถิด” แต่บิดามารดาพูดกับเขาว่า “ไม่มีหญิงใดในกลุ่มญาติของเจ้า หรือในหมู่คนของพวกเราเองหรืออย่างไร เจ้าถึงต้องไปหาภรรยาจากชาวฟีลิสเตียที่ไม่เข้าสุหนัต” แต่แซมสันพูดกับบิดาของตนว่า “ไปขอเธอมาให้ลูกเถิด เพราะเธอต้องตาต้องใจลูก”

บิดามารดาของเขาไม่ทราบว่าพระผู้เป็นเจ้าบันดาลให้เกิดเรื่องนี้ เพราะพระองค์ใช้โอกาสที่จะให้เขาต่อสู้ชาวฟีลิสเตีย ในเวลานั้นชาวฟีลิสเตียเป็นใหญ่เหนืออิสราเอล

จากนั้นแซมสันก็ลงไปยังทิมนาห์กับบิดามารดาของเขา เมื่อมาถึงสวนองุ่นในทิมนาห์ ดูเถิดสิงโตหนุ่มตัวหนึ่งเดินคำรามตรงมายังแซมสัน และพระวิญญาณของพระผู้เป็นเจ้าก็สถิตกับแซมสัน และแม้ว่าเขาไม่มีอะไรในมือ เขาก็ยังฉีกตัวสิงโตออกเป็นชิ้นๆ ได้ราวกับฉีกเนื้อแพะหนุ่ม แต่เขาไม่ได้บอกให้บิดามารดาฟังว่าเขาได้ทำอะไรไป แล้วเขาลงไปพูดกับหญิงคนนั้น และเธอก็ต้องตาต้องใจเขา

อยู่มาวันหนึ่งแซมสันกลับไปรับตัวเธอ ขณะที่ไป เขาหันไปดูซากสิงโต ดูเถิด มีฝูงผึ้งอยู่ในตัวสิงโต และมีน้ำผึ้งด้วย เขาใช้มือทั้งสองควักน้ำผึ้งกิน และเดินต่อไป ซ้ำยังเอาไปให้บิดามารดากินด้วย แต่เขาไม่ได้บอกว่าเขาควักน้ำผึ้งได้จากซากสิงโต

10 บิดาของเขาลงไปหาหญิงคนนั้น และแซมสันก็เตรียมงานเลี้ยงที่นั่นตามที่บรรดาเจ้าบ่าวนิยมทำกัน 11 ทันทีที่ประชาชนเห็นแซมสัน พวกเขาก็ให้คนมาเป็นเพื่อนด้วย 30 คน 12 แซมสันพูดกับเขาเหล่านั้นว่า “ให้เราทายปริศนากับท่านข้อหนึ่งเถิด ถ้าท่านไขได้ว่าคืออะไร ภายใน 7 วันที่มีงานเลี้ยง เราจะให้เสื้อป่าน 30 ตัวกับเสื้อใหม่อีก 30 ตัว 13 แต่ถ้าหากว่าท่านไขปริศนาไม่ได้ว่าคืออะไร ท่านก็จะต้องให้เสื้อป่าน 30 ตัวกับเสื้อใหม่ 30 ตัวแก่เรา” พวกเขาจึงตอบว่า “เปิดปริศนาเถิด พวกเราจะได้ฟังกัน”

14 เขาจึงกล่าวว่า

“มีของที่กินได้ที่ออกมาจากตัวที่กิน
    สิ่งที่หวานออกมาจากตัวที่แข็งแรง”

สามวันผ่านไป พวกเขายังไม่สามารถไขปริศนาได้

15 ในวันที่สี่ พวกเขาพูดกับภรรยาของแซมสันว่า “จงหว่านล้อมสามีของเจ้าเพื่อพวกเราจะได้รู้ว่าคำตอบของปริศนาคืออะไร มิฉะนั้นแล้ว พวกเราจะเผาตัวเจ้าและคนในครอบครัวของบิดาของเจ้าให้ตายหมด เจ้าเชิญเรามาเพื่อทำให้พวกเราหมดตัวหรือ” 16 ภรรยาของแซมสันจึงไปร้องไห้ใส่แซมสันว่า “ท่านเกลียดชังเรา ท่านไม่รักเรา ท่านตั้งปริศนาให้คนของเราทาย และท่านยังไม่ได้บอกเราเลยว่า คำตอบคืออะไร” เขาตอบนางว่า “ดูเถิด เราไม่ได้บอกพ่อแม่ของเราเอง จะให้เราบอกเจ้าหรือ” 17 นางร้องไห้ต่อหน้าแซมสันทั้ง 7 วันที่มีงานเลี้ยง และในวันที่เจ็ดเขาก็บอกนาง เพราะนางรบเร้าเขามาก แล้วนางก็ไปบอกคำตอบให้คนของนางทราบ

18 พวกผู้ชายของเมืองนั้นจึงบอกแซมสันในวันที่เจ็ดก่อนดวงอาทิตย์ตกว่า

“อะไรหวานกว่าน้ำผึ้ง
    อะไรแข็งแรงกว่าสิงโต”

เขาพูดกับคนพวกนั้นว่า

“ถ้าท่านไม่ได้ไถนากับโคสาวของเรา
    ท่านก็จะไขปริศนาของเราไม่ได้”

19 และพระวิญญาณของพระผู้เป็นเจ้าก็สถิตกับแซมสันด้วยอานุภาพ เขาก็ลงไปที่อัชเคโลน และฆ่าชาย 30 คน ยึดของที่ริบมาได้ และให้เสื้อใหม่แก่พวกที่ไขปริศนา เขากลับไปบ้านของบิดาด้วยความโกรธเป็นอย่างมาก 20 และภรรยาของแซมสันถูกยกให้เป็นของเพื่อนแซมสัน คือคนที่เป็นเพื่อนเจ้าบ่าว

แซมสันชนะพวกฟีลิสเตีย

15 หลายวันผ่านไป เป็นเวลาเก็บเกี่ยวข้าวสาลี แซมสันเอาลูกแพะตัวหนึ่งไปเยี่ยมภรรยา เขาพูดว่า “เราจะเข้าไปหาภรรยาที่ห้อง” แต่บิดาของนางไม่ยอมให้เขาเข้าไป บิดาของนางพูดว่า “เราคิดว่าเจ้าเกลียดชังนางเหลือเกิน เราก็เลยยกนางให้กับเพื่อนเจ้าไปแล้ว น้องสาวนางสวยกว่านางมิใช่หรือ รับตัวเธอไปแทนเถิด” แซมสันพูดกับพวกเขาว่า “ครั้งนี้เวลาที่เราทำร้ายพวกเขา เราจะไม่เป็นฝ่ายผิดในเรื่องที่เกี่ยวกับชาวฟีลิสเตีย” ดังนั้นแซมสันจึงไปจับสุนัขจิ้งจอก 300 ตัว และจับหางชนกันเป็นคู่ เอาคบเพลิงมามัดติดกับหางของแต่ละคู่ เวลาเขาจุดคบเพลิง เขาปล่อยสุนัขจิ้งจอกเข้าไปนาข้าวของชาวฟีลิสเตีย ทำให้กองฟางและนาข้าวลุกไหม้ สวนมะกอกก็เช่นกัน แล้วชาวฟีลิสเตียพูดว่า “ใครเป็นคนทำ” พวกเขาตอบว่า “แซมสันบุตรเขยของชาวทิมนาห์ เพราะภรรยาแซมสันถูกพรากไปและยกให้กับเพื่อนของเขา” ชาวฟีลิสเตียก็ขึ้นมาและเอาไฟเผาตัวนางกับบิดาของนาง แซมสันพูดกับพวกเขาว่า “ถ้าพวกเจ้าทำอย่างนี้ เราสาบานว่าเราจะแก้แค้นเจ้า หลังจากนั้นเราจึงจะเลิก” แล้วเขาก็ต่อสู้อย่างรุนแรงจนหลายคนเสียชีวิต และลงไปอาศัยอยู่ในถ้ำหินของเอตาม

แล้วชาวฟีลิสเตียก็ขึ้นมาและตั้งค่ายอยู่ในยูดาห์ และโจมตีเมืองเลฮี 10 ฝ่ายคนของยูดาห์ก็พูดว่า “พวกท่านขึ้นมาสู้รบกับเราทำไม” พวกเขาตอบว่า “เราได้ขึ้นมาเพื่อจับและมัดตัวแซมสัน จะกระทำกับเขาอย่างที่เขากระทำกับเรา” 11 แล้วชาย 3,000 คนของยูดาห์ก็ลงไปยังถ้ำหินของเอตาม และบอกแซมสันว่า “ท่านไม่ทราบหรือว่าชาวฟีลิสเตียเป็นใหญ่เหนือพวกเรา แล้วท่านทำอะไรกับเราเช่นนี้” เขาตอบว่า “พวกเขากระทำกับเราเช่นไร เราก็กระทำสนองพวกเขาไปเช่นนั้น” 12 พวกเขาพูดว่า “พวกเราลงมาเพื่อจะมัดตัวท่าน เอาตัวไปให้กับชาวฟีลิสเตีย” แซมสันพูดว่า “สาบานกับเราก่อนว่าพวกท่านเองจะไม่ฆ่าเรา”

New Thai Version (NTV-BIBLE)

Copyright © 1998, 2012, 2020 by New Thai Version Foundation