Print Page Options
Previous Prev Day Next DayNext

Bible in 90 Days

An intensive Bible reading plan that walks through the entire Bible in 90 days.
Duration: 88 days
New Thai Version (NTV-BIBLE)
Version
1 ซามูเอล 2:30-15:35

30 ฉะนั้น พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของอิสราเอลประกาศว่า ‘เราสัญญาไว้ว่าพงศ์พันธุ์ของเจ้า และพงศ์พันธุ์ของบรรพบุรุษของเจ้าจะอยู่รับใช้ ณ เบื้องหน้าเราไปตลอดกาล’ แต่บัดนี้พระผู้เป็นเจ้าประกาศว่า ‘ลืมเสียเถิด เพราะว่าเราจะให้เกียรติแก่คนที่เทิดเกียรติเรา ส่วนคนที่ดูหมิ่นเราก็จะไม่เป็นที่นับถือ 31 ดูเถิด จะถึงวันที่เราจะตัดกำลังของเจ้าและของพงศ์พันธุ์ของบรรพบุรุษของเจ้า และไม่มีผู้ใดในพงศ์พันธุ์ของเจ้าจะมีชีวิตอยู่นานจนแก่เฒ่า 32 และเจ้าจะเป็นทุกข์เมื่อเห็นความรุ่งเรืองที่เราจะให้แก่อิสราเอล และจะไม่มีคนแก่คนเฒ่าในพงศ์พันธุ์ของเจ้าไปตลอดกาล 33 มีเพียงคนเดียวในหมู่เจ้าที่เราจะไม่ตัดขาดจากแท่นบูชาของเรา และเราจะไว้ชีวิตเขา เพื่อให้เขาร้องไห้จนตาบวมเพราะความเศร้าโศก และผู้สืบเชื้อสายในพงศ์พันธุ์ของเจ้าทั้งหมดจะตายในวัยฉกรรจ์ 34 และสิ่งที่จะเกิดขึ้นกับโฮฟนีและฟีเนหัสบุตรทั้งสองของเจ้า จะเป็นหมายสำคัญแก่เจ้า คือทั้งสองจะตายในวันเดียวกัน 35 และเราจะกำหนดปุโรหิตผู้ภักดีคนหนึ่งของเรา เขาจะปฏิบัติตามสิ่งที่อยู่ในใจและในความคิดของเรา เราจะสร้างพงศ์พันธุ์ที่มั่นคงให้แก่เขา และเขาจะรับใช้ผู้ที่ได้รับการเจิมของเราไปตลอดกาล[a] 36 และทุกคนที่อยู่ในพงศ์พันธุ์ของเจ้าจะมาก้มกราบเขาเพื่อเงินเหรียญหนึ่งหรือขนมปังก้อนเดียว และจะพูดว่า “โปรดให้ข้าพเจ้าได้รับหน้าที่ของตำแหน่งปุโรหิตด้วยเถิด เพื่อข้าพเจ้าจะได้มีอาหารรับประทาน”’”

พระผู้เป็นเจ้าเรียกซามูเอล

ชายหนุ่มซามูเอลรับใช้พระผู้เป็นเจ้าภายใต้การดูแลของเอลี ในสมัยนั้นพระผู้เป็นเจ้าไม่กล่าวกับผู้ใดบ่อยนัก และการเห็นภาพนิมิตก็มีน้อย

ในครั้งนั้นสายตาของเอลีเริ่มมัวจนมองไม่ค่อยเห็น เขากำลังนอนอยู่ในที่นอนของเขา ดวงประทีปของพระผู้เป็นเจ้ายังไม่ดับ และซามูเอลกำลังนอนอยู่ในพระวิหารของพระผู้เป็นเจ้า ที่ซึ่งหีบของพระเจ้าตั้งอยู่

แล้วพระผู้เป็นเจ้าเรียกซามูเอล เขาตอบว่า “ข้าพเจ้าอยู่นี่” และวิ่งไปหาเอลี และพูดว่า “ข้าพเจ้าอยู่นี่ ท่านเรียกข้าพเจ้า” แต่เขาตอบว่า “เราไม่ได้เรียก ไปนอนเถอะ” เขาจึงไป และนอน

และพระผู้เป็นเจ้าเรียกอีกว่า “ซามูเอล” ซามูเอลลุกขึ้นไปหาเอลี และพูดว่า “ข้าพเจ้าอยู่นี่ ท่านเรียกข้าพเจ้า” แต่เขาตอบว่า “เราไม่ได้เรียก ลูกเอ๋ย ไปนอนเถอะ” ในเวลานั้นซามูเอลยังไม่รู้จักพระผู้เป็นเจ้า และพระผู้เป็นเจ้ายังไม่เคยเผยคำกล่าวของพระองค์ให้เขาทราบ

พระผู้เป็นเจ้าเรียกซามูเอลอีกเป็นครั้งที่สาม เขาลุกขึ้นไปหาเอลี และพูดว่า “ข้าพเจ้าอยู่นี่ ท่านเรียกข้าพเจ้า” เอลีจึงเข้าใจว่าพระผู้เป็นเจ้ากำลังเรียกชายหนุ่มนั้น ดังนั้นเอลีจึงบอกซามูเอลว่า “ไปเถิด ไปนอน และถ้าพระองค์เรียกเจ้า เจ้าจงพูดว่า ‘พระผู้เป็นเจ้า ขอโปรดพูดเถิด เพราะผู้รับใช้ของพระองค์ได้ยิน’” ดังนั้นซามูเอลจึงไปนอนในที่ของตน

10 พระผู้เป็นเจ้ามายืนอยู่ และเรียกเหมือนกับครั้งก่อนๆ ว่า “ซามูเอล ซามูเอล” และซามูเอลตอบว่า “พูดเถิด เพราะผู้รับใช้ของพระองค์ได้ยินเสียง” 11 พระผู้เป็นเจ้ากล่าวกับซามูเอลว่า “ดูเถิด เรากำลังจะกระทำสิ่งหนึ่งในอิสราเอล ซึ่งทำให้ทุกคนที่ได้ยินจะต้องหูดับ 12 ในวันนั้น เราจะทำให้ทุกสิ่งเป็นไปตามที่เราได้พูดต่อต้านเอลีกับพงศ์พันธุ์ของเขา ตั้งแต่ต้นจนจบ 13 และเราประกาศแก่เขาว่า เรากำลังจะลงโทษพงศ์พันธุ์ของเขาไปตลอดกาล เนื่องจากความผิดบาปที่เขาเองก็รู้อยู่แก่ใจ บุตรทั้งสองของเขาพูดหมิ่นประมาทพระเจ้า และเขาก็ไม่ได้ยับยั้งบุตรของเขา 14 ฉะนั้นเราปฏิญาณกับพงศ์พันธุ์ของเอลีว่า ความผิดของพงศ์พันธุ์เอลีจะไถ่ด้วยเครื่องสักการะหรือของถวายไม่ได้ไปตลอดกาล”

15 ซามูเอลนอนจนถึงรุ่งเช้า แล้วเขาก็เปิดประตูพระตำหนักของพระผู้เป็นเจ้า และซามูเอลไม่กล้าบอกเอลีเรื่องภาพนิมิตนั้น 16 แต่เอลีเรียกซามูเอลมาถามว่า “ซามูเอล บุตรของเรา” เขาตอบว่า “ข้าพเจ้าอยู่นี่” 17 และเอลีถามว่า “พระองค์บอกอะไรเจ้า อย่าปิดบังเรา ขอให้พระเจ้ากระทำต่อเจ้าเช่นนั้น หรือมากกว่านั้น ถ้าหากว่าเจ้าปิดบังไม่ว่าเรื่องใดที่พระองค์ได้บอกเจ้า” 18 ดังนั้นซามูเอลจึงบอกเขาทุกเรื่อง และไม่ได้ปิดบังสิ่งใดจากเขา และเอลีพูดว่า “พระองค์เป็นพระผู้เป็นเจ้า ขอให้พระองค์กระทำสิ่งที่พระองค์เห็นชอบ”

19 ซามูเอลเติบโตขึ้น และพระผู้เป็นเจ้าสถิตกับท่าน และไม่มีสิ่งใดที่ซามูเอลพูด แล้วไม่เกิดขึ้นตามนั้น 20 ชาวอิสราเอลทั้งปวง นับตั้งแต่ดานจนถึงเบเออร์เช-บาทราบว่าซามูเอลได้ถูกกำหนดให้เป็นผู้เผยคำกล่าวของพระผู้เป็นเจ้า 21 และพระผู้เป็นเจ้าปรากฏอีกที่ชิโลห์ เพราะว่าพระผู้เป็นเจ้าเผยให้ซามูเอลทราบที่ชิโลห์ด้วยคำกล่าวของพระองค์

แล้วซามูเอลก็กล่าวคำของพระเจ้าแก่ชาวอิสราเอลทั้งปวง

ชาวฟีลิสเตียยึดหีบ

ในครั้งนั้นชาวอิสราเอลออกไปสู้รบกับชาวฟีลิสเตีย โดยตั้งค่ายอยู่ที่เอเบนเอเซอร์ ฝ่ายชาวฟีลิสเตียตั้งค่ายอยู่ที่อาเฟก ชาวฟีลิสเตียเตรียมการศึกโดยเข้าประจำตำแหน่งต่อสู้กับชาวอิสราเอล เมื่อการต่อสู้ขยายวงกว้างออกไป อิสราเอลก็พ่ายแพ้แก่ชาวฟีลิสเตีย และเสียชีวิตในสนามรบ 4,000 คน เมื่อเหล่าทหารกลับมาที่ค่าย บรรดาหัวหน้าชั้นผู้ใหญ่ของอิสราเอลพูดว่า “ทำไมวันนี้พระผู้เป็นเจ้าจึงให้เราพ่ายแพ้พวกฟีลิสเตีย เราไปนำหีบพันธสัญญาของพระผู้เป็นเจ้าจากชิโลห์มาไว้ที่นี่กันเถิด เพื่อหีบ[b]จะได้มาอยู่ท่ามกลางพวกเรา และช่วยเราให้รอดจากกำลังของพวกศัตรู” ดังนั้นประชาชนจึงให้คนไปยังชิโลห์ เพื่อนำหีบพันธสัญญาของพระผู้เป็นเจ้าจอมโยธา องค์ผู้สถิตบนบัลลังก์เหนือตัวเครูบ[c]มาจากที่นั่น โฮฟนีและฟีเนหัสบุตร 2 คนของเอลีอยู่กับหีบพันธสัญญาของพระเจ้าที่นั่น

ทันทีที่หีบพันธสัญญาของพระผู้เป็นเจ้ามาถึงค่าย ชาวอิสราเอลทั้งปวงก็ตะโกนร้องเสียงดังจนพื้นดินสะท้าน เมื่อชาวฟีลิสเตียได้ยินเสียงตะโกน พวกเขาพูดว่า “เสียงดังสนั่นเช่นนี้ที่ค่ายของชาวฮีบรูหมายความว่าอย่างไร” และเมื่อพวกเขาทราบว่าหีบของพระผู้เป็นเจ้าได้มาถึงค่ายแล้ว ชาวฟีลิสเตียจึงหวาดกลัว เพราะพวกเขาพูดว่า “เทพเจ้าได้เข้ามาในค่ายแล้ว” และพูดอีกว่า “วิบัติเกิดกับเรา เพราะว่าไม่เคยมีอะไรเช่นนี้เกิดขึ้นมาก่อน วิบัติเกิดกับเรา ใครจะช่วยพวกเราให้รอดจากอำนาจของเทพเจ้าผู้มีอานุภาพเหล่านี้ได้ เทพเจ้าเหล่านี้แหละที่ฆ่าชาวอียิปต์ด้วยภัยพิบัติทุกชนิดในถิ่นทุรกันดาร โอ ชาวฟีลิสเตียเอ๋ย จงกล้าหาญ และทำตัวเป็นลูกผู้ชายเถิด มิฉะนั้นเจ้าจะต้องอยู่ภายใต้การควบคุมของชาวฮีบรู เหมือนกับที่พวกเขาอยู่ภายใต้การควบคุมของเจ้า จงทำตัวเป็นลูกผู้ชายและสู้พวกเขา”

10 ดังนั้นชาวฟีลิสเตียจึงต่อสู้ และชาวอิสราเอลก็พ่ายแพ้ ทุกคนจึงได้หนีกลับกระโจมไป นับว่าเป็นการฆ่าฟันที่รุนแรงมาก เพราะทหารราบ 30,000 คนล้มตายที่นั่น 11 หีบของพระเจ้าถูกยึดไป โฮฟนีและฟีเนหัสบุตรทั้งสองคนของเอลีก็เสียชีวิต

เอลีเสียชีวิต

12 ชายชาวเบนยามินวิ่งออกจากสนามรบไปที่ชิโลห์ในวันเดียวกัน เสื้อผ้าของเขาฉีกขาดและหัวเปื้อนดิน 13 เมื่อเขามาถึง เอลีก็กำลังนั่งเฝ้าอยู่ที่ริมถนน เนื่องจากว่าใจของเขาหวาดหวั่นถึงหีบของพระเจ้า เมื่อชายคนนั้นเข้าไปส่งข่าวในเมือง คนทั้งเมืองก็ส่งเสียงร้อง 14 ครั้นเอลีได้ยินเสียงร้อง เขาพูดว่า “นั่นเสียงอลหม่านเรื่องอะไรกัน” ชายคนนั้นจึงรีบมาบอกเอลี 15 ขณะนั้นเอลีมีอายุ 98 ปี ตาของเขามัวจนมองไม่เห็น 16 และชายคนนั้นพูดกับเอลีว่า “ข้าพเจ้าเป็นคนที่มาจากสนามรบ วันนี้ข้าพเจ้าหนีสงครามมา” เขาถามว่า “ลูกเอ๋ย สงครามเป็นอย่างไรบ้าง” 17 คนที่นำข่าวมาตอบว่า “ชาวอิสราเอลได้หนีเตลิดไปต่อหน้าชาวฟีลิสเตีย มีการฆ่าฟันครั้งใหญ่ในหมู่ชน โฮฟนีและฟีเนหัสบุตร 2 คนของท่านก็ตาย และหีบของพระเจ้าถูกยึดไป” 18 ทันทีที่เขาพูดถึงหีบของพระเจ้า เอลีก็หงายหลังตกเก้าอี้ที่ข้างประตูเมืองลงมาคอหักตาย เพราะว่าเขาชรามากและตัวก็หนัก เขาได้วินิจฉัยอิสราเอลเป็นเวลา 40 ปี

19 ขณะนั้นบุตรสะใภ้ของเขา คือภรรยาของฟีเนหัสกำลังตั้งครรภ์จวนใกล้คลอด เมื่อนางได้ยินข่าวว่าหีบของพระเจ้าถูกยึด อีกทั้งบิดาของสามีและสามีของนางเองก็เสียชีวิตแล้ว นางจึงก้มตัวลงและคลอดบุตร เพราะนางเจ็บครรภ์ขึ้นทันที 20 เมื่อใกล้เวลาที่นางจะตาย หญิงรับใช้นางพูดกับนางว่า “อย่ากลัวเลย เพราะท่านได้บุตรชาย” แต่นางไม่ตอบและไม่ได้ใส่ใจฟัง 21 และนางตั้งชื่อเด็กว่า อีคาโบด และพูดว่า “พระบารมีได้ไปจากอิสราเอลแล้ว” เพราะหีบของพระเจ้าถูกยึด และเป็นเพราะความตายของบิดาของสามีและสามีของนางด้วย 22 และนางพูดว่า “พระบารมีได้จากอิสราเอลไปแล้ว เพราะหีบของพระเจ้าถูกยึด”

ชาวฟีลิสเตียและหีบ

เมื่อชาวฟีลิสเตียยึดหีบของพระเจ้าไป พวกเขานำหีบจากเมืองเอเบนเอเซอร์ไปยังเมืองอัชโดด แล้วชาวฟีลิสเตียเอาหีบของพระเจ้าไปไว้ในวิหารเทพเจ้าดาโกน[d] และวางไว้ข้างเทวรูปดาโกน เมื่อชาวเมืองอัชโดดลุกขึ้นในเช้าวันรุ่งขึ้น ดูเถิด รูปปั้นเทวรูปดาโกนล้มหน้าคะมำอยู่กับพื้นที่เบื้องหน้าหีบของพระผู้เป็นเจ้า พวกเขาจึงตั้งเทวรูปขึ้นไว้ที่เดิม แต่เมื่อพวกเขาลุกขึ้นรุ่งเช้าวันต่อไป ดูเถิด เทวรูปดาโกนล้มหน้าคะมำอยู่กับพื้นที่เบื้องหน้าหีบของพระผู้เป็นเจ้า หัวและมือทั้งสองของเทวรูปดาโกนหักตกอยู่ที่ธรณีประตู เหลืออยู่ก็แต่เพียงลำตัวของดาโกน เนื่องด้วยเหตุนี้พวกปุโรหิตของเทพเจ้าดาโกน และทุกคนที่เข้าไปในวิหารของดาโกนจึงไม่เหยียบธรณีประตูของดาโกนที่เมืองอัชโดดมาจนถึงทุกวันนี้

พระผู้เป็นเจ้าลงโทษชาวเมืองอัชโดดอย่างหนัก พระองค์ทำให้ชาวเมืองพินาศและรับความทุกข์ทรมานด้วยโรคเนื้องอก ทั้งในเมืองอัชโดดและบริเวณใกล้เคียง เมื่อคนในเมืองอัชโดดเห็นถึงสิ่งที่เกิดขึ้น พวกเขาจึงพูดกันว่า “หีบของพระเจ้าของอิสราเอลจะต้องไม่อยู่กับพวกเรา เพราะพระองค์กำลังลงโทษพวกเราและเทพเจ้าดาโกนของเราอย่างหนัก” พวกเขาจึงให้คนไปเรียกประชุมบรรดาเจ้าครองเมืองของชาวฟีลิสเตีย และถามว่า “พวกเราจะทำอย่างไรกับหีบของพระเจ้าของอิสราเอล” พวกเขาตอบว่า “ให้คนย้ายหีบของพระเจ้าของอิสราเอลไปไว้ที่เมืองกัท” ดังนั้นพวกเขาจึงนำหีบของพระเจ้าของอิสราเอลไปไว้ที่นั่น แต่หลังจากที่พวกเขาได้ย้ายหีบไป พระผู้เป็นเจ้าก็ลงโทษเมืองนั้น ทำให้ผู้คนสับสนอลหม่านมาก และพระองค์ทำให้ผู้คนในเมือง ทั้งผู้น้อยและผู้ใหญ่จำนวนมากเป็นโรคเนื้องอก 10 ดังนั้นพวกเขาจึงส่งหีบของพระเจ้าไปยังเมืองเอโครน และทันทีที่หีบของพระเจ้ามาถึงเอโครน ชาวเอโครนร้องขึ้นว่า “พวกเขาเอาหีบของพระเจ้าของอิสราเอลมา เพื่อฆ่าเราและคนของเราด้วย” 11 ฉะนั้นพวกเขาจึงให้คนไปเรียกประชุมบรรดาเจ้าครองเมืองของชาวฟีลิสเตีย และพูดว่า “ส่งหีบของพระเจ้าของอิสราเอลไปให้พ้น ให้หีบกลับไปที่เดิม เพื่อหีบนั้นจะได้ไม่มาฆ่าเราและผู้คนของเรา” เพราะคนทั่วทั้งเมืองตื่นตระหนกจากความตายมาก พระเจ้าลงโทษที่นั่นอย่างหนัก 12 ส่วนคนที่ไม่ตายก็ถูกรังควานด้วยโรคเนื้องอก และเสียงร้องของเมืองนั้นขึ้นไปถึงฟ้าสวรรค์

หีบกลับไปยังอิสราเอล

หีบของพระผู้เป็นเจ้าอยู่ในดินแดนของชาวฟีลิสเตียเป็นเวลา 7 เดือน และชาวฟีลิสเตียเรียกให้บรรดาปุโรหิตและผู้ทำนายมา และกล่าวว่า “พวกเราจะทำอย่างไรกับหีบของพระผู้เป็นเจ้า บอกเราด้วยว่า เราควรจะส่งคืนไปที่เดิมพร้อมกับอะไร” พวกเขาตอบว่า “ถ้าท่านส่งหีบของพระเจ้าของอิสราเอลกลับไป ก็อย่าส่งไปเปล่าๆ แต่ให้ส่งคืนไปพร้อมกับของถวายเพื่อไถ่โทษ แล้วพวกท่านจะหายจากโรค และท่านจะได้เห็นว่าเพราะเหตุใดพระองค์จึงไม่หยุดลงโทษพวกท่าน” พวกเขาพูดว่า “เราจะส่งอะไรให้พระองค์ เพื่อเป็นของถวายเพื่อไถ่โทษ” พวกเขาตอบว่า “เนื้องอกทองคำ 5 ก้อนกับหนูทองคำ 5 ตัว อย่างละหนึ่งสำหรับเจ้าครองเมืองของฟีลิสเตียแต่ละคน เพราะภัยพิบัติเดียวกันเกิดขึ้นกับท่านทุกคนและกับเจ้าครองเมืองของท่านด้วย ฉะนั้นท่านต้องทำรูปจำลองเนื้องอกและรูปหนูที่ทำความหายนะให้กับแผ่นดิน และจงถวายพระบารมีแด่พระเจ้าของอิสราเอล บางทีพระองค์จะเพลามือจากการลงโทษพวกท่าน เทพเจ้าของท่าน และแผ่นดินของท่านลงบ้าง ทำไมท่านจึงทำใจแข็งกระด้างเหมือนที่ชาวอียิปต์และฟาโรห์กระทำ หลังจากที่พระองค์กระทำต่อพวกเขาอย่างสาหัสแล้ว พวกเขาไม่ได้ปล่อยให้ประชาชนออกไป และพวกเขาก็ได้จากไปมิใช่หรือ ฉะนั้นแล้ว จงเตรียมเกวียนใหม่เล่มหนึ่งให้พร้อม เอาแม่โค 2 ตัว ที่ยังไม่เคยเทียมแอกมาก่อน เอาโค 2 ตัวนี้เทียมเข้ากับเกวียน ส่วนลูกของมันก็แยกให้กลับเข้าคอกไป จงวางหีบของพระผู้เป็นเจ้าไว้บนเกวียน และในหีบอีกใบ ก็วางไว้ข้างๆ กัน ในหีบใบนั้นจงใส่ของที่ทำจากทองคำที่จะส่งไปมอบแด่พระองค์เป็นของถวายเพื่อไถ่โทษ เสร็จแล้วส่งเกวียนไป ให้เคลื่อนไปเอง แต่จงคอยดู ถ้าหากว่าเกวียนขึ้นไปตามทิศทางแผ่นดินของมันเอง คือไปยังเบธเชเมช แล้วก็จะรู้ว่าเป็นพระองค์ ที่ทำให้พวกเรารับอันตรายครั้งนี้ แต่ถ้าไม่ เราก็จะรู้ว่าไม่ใช่พระองค์ที่ลงโทษพวกเรา แต่เพราะเกิดขึ้นโดยบังเอิญ”

10 พวกผู้ชายก็กระทำตามนั้น คือเอาแม่โค 2 ตัวเทียมเกวียน และขังลูกโคไว้ที่คอก 11 วางหีบพันธสัญญาของพระผู้เป็นเจ้าไว้บนเกวียน และอีกหีบบรรจุด้วยหนูทองคำกับรูปจำลองเนื้องอก 12 ฝ่ายแม่โคก็เดินตรงไปทางเบธเชเมช เดินไปตามทางถนน ขณะที่ไปก็ได้ส่งเสียงร้องไปด้วย ไม่เลี้ยวซ้ายหรือเลี้ยวขวา ส่วนพวกเจ้าครองเมืองของชาวฟีลิสเตียก็เดินตามไปดู ไกลจนถึงชายแดนของเบธเชเมช 13 ขณะนั้นชาวเมืองเบธเชเมชกำลังเก็บเกี่ยวสาลีอยู่ในหุบเขา เมื่อพวกเขาเงยหน้าขึ้นดู ก็เห็นหีบของพระเจ้า และยินดีที่เห็น 14 เกวียนเข้าไปในทุ่งนาของโยชูวาชาวเบธเชเมช และหยุดอยู่ใกล้หินก้อนใหญ่ก้อนหนึ่งที่นั่น คนแถวนั้นจึงผ่าไม้เกวียน และมอบแม่โคเป็นสัตว์ที่เผาเป็นของถวายแด่พระผู้เป็นเจ้า 15 และชาวเลวีก็ยกหีบของพระผู้เป็นเจ้า และหีบอีกใบบรรจุด้วยรูปจำลองทองคำที่อยู่ข้างๆ วางไว้บนหินก้อนใหญ่ก้อนนั้น และชาวเบธเชเมชมอบสัตว์ที่เผาเป็นของถวาย และถวายเครื่องสักการะแด่พระผู้เป็นเจ้าในวันนั้น 16 เมื่อเจ้าครองเมืองทั้งห้าของฟีลิสเตียเห็นทุกอย่างแล้ว พวกเขาก็กลับไปเอโครนในวันนั้น

17 เนื้องอกทองคำที่ชาวฟีลิสเตียส่งให้เป็นของถวายแด่พระผู้เป็นเจ้าเพื่อไถ่โทษ สำหรับเมืองละ 1 ก้อนตามรายชื่อเมืองคือ อัชโดด กาซา อัชเคโลน กัท และเอโครน 18 และมีหนูทองคำตามจำนวนเมืองของชาวฟีลิสเตียที่เป็นของเจ้าครองเมืองทั้งห้า เป็นทั้งเมืองที่มีการคุ้มกันอย่างแข็งแกร่ง และหมู่บ้านที่ไม่มีกำแพงกั้น หินก้อนใหญ่ที่ตั้งอยู่ข้างหีบของพระผู้เป็นเจ้า ในทุ่งนาของโยชูวาชาวเบธเชเมช ก็เป็นพยานมาจนถึงทุกวันนี้

19 พระเจ้าประหารชาวเบธเชเมชบางคน เพราะพวกเขามองหีบของพระผู้เป็นเจ้า พระองค์ประหาร 70 คน ประชาชนก็ร้องคร่ำครวญ เพราะพระผู้เป็นเจ้าได้ประหารคนจำนวนมาก 20 แล้วชาวเบธเชเมชพูดว่า “ใครจะสามารถยืน ณ เบื้องหน้าพระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าผู้บริสุทธิ์องค์นี้ได้ และหีบจากพวกเราจะขึ้นไปอยู่กับผู้ใด” 21 ดังนั้นพวกเขาจึงให้พวกผู้ส่งข่าวไปยังชาวเมืองคีริยาทเยอาริม กล่าวว่า “ชาวฟีลิสเตียได้คืนหีบของพระผู้เป็นเจ้าแล้ว ลงมาเอาหีบขึ้นไปอยู่กับพวกท่านเถิด”

ชาวคีริยาทเยอาริมก็ลงมารับเอาหีบของพระผู้เป็นเจ้าขึ้นไปยังเรือนของอาบีนาดับบนเนินเขา และทำพิธีให้เอเลอาซาร์บุตรของเขาบริสุทธิ์ เพื่อมีหน้าที่รับผิดชอบหีบของพระผู้เป็นเจ้า นับจากวันที่หีบพำนักอยู่ที่คีริยาทเยอาริม เวลาล่วงไปนานประมาณได้ 20 ปี และพงศ์พันธุ์อิสราเอลทั้งปวงก็ร้องคร่ำครวญถึงพระผู้เป็นเจ้า

ซามูเอลวินิจฉัยอิสราเอล

ซามูเอลพูดกับพงศ์พันธุ์อิสราเอลทั้งปวงว่า “ถ้าหากว่าพวกท่านหันกลับมาหาพระผู้เป็นเจ้าอย่างสุดจิตสุดใจ ก็จงกำจัดเทพเจ้าต่างชาติทั้งหลายและเทพเจ้าอัชโทเรทไปเสียจากพวกท่าน และหันจิตใจของท่านเข้าหาพระผู้เป็นเจ้า และรับใช้พระองค์เท่านั้น แล้วพระองค์จะช่วยท่านให้รอดปลอดภัยจากชาวฟีลิสเตีย” ดังนั้นชาวอิสราเอลจึงกำจัดเทพเจ้าบาอัลและเทพเจ้าอัชโทเรท และรับใช้แต่เพียงพระผู้เป็นเจ้า

ซามูเอลกล่าวว่า “จงเรียกประชุมอิสราเอลทั้งปวงที่เมืองมิสปาห์ และเราจะอธิษฐานต่อพระผู้เป็นเจ้าให้พวกท่าน” เขาทั้งหลายจึงประชุมกันที่เมืองมิสปาห์ และตักน้ำมาเทออกถวายแด่พระผู้เป็นเจ้า ในวันนั้นพวกเขาอดอาหารและพูดที่นั่นว่า “พวกเราได้กระทำบาปต่อพระผู้เป็นเจ้า” และซามูเอลวินิจฉัยอิสราเอลที่เมืองมิสปาห์ ครั้นชาวฟีลิสเตียทราบว่าชาวอิสราเอลประชุมกันที่เมืองมิสปาห์ บรรดาเจ้าครองเมืองของชาวฟีลิสเตียจึงขึ้นมาโจมตีอิสราเอล เมื่อชาวอิสราเอลทราบดังนั้น พวกเขาจึงตกใจกลัวพวกฟีลิสเตีย พวกเขาจึงพูดกับซามูเอลว่า “โปรดวิงวอนขอพระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของเราให้พวกเราต่อไปด้วยเถิด พระองค์จะได้ช่วยพวกเราให้พ้นจากเงื้อมมือของชาวฟีลิสเตีย” ซามูเอลจึงถวายลูกแกะที่ยังไม่หย่านมเพื่อเป็นสัตว์ที่เผาเป็นของถวายทั้งตัวแด่พระผู้เป็นเจ้า ซามูเอลวิงวอนขอพระผู้เป็นเจ้าเพื่ออิสราเอล และพระผู้เป็นเจ้าก็ตอบท่าน 10 ในขณะที่ซามูเอลกำลังมอบสัตว์ที่เผาเป็นของถวาย พวกฟีลิสเตียก็เข้าประชิดตัวอิสราเอลเพื่อจะทำสงคราม แต่ในวันนั้นพระผู้เป็นเจ้าบันดาลให้ฟ้าร้องสนั่นครั่นครืนใส่พวกฟีลิสเตีย ทำให้พวกเขาหวาดกลัวและเตลิดหนีไปต่อหน้าอิสราเอล 11 พวกผู้ชายของอิสราเอลรีบออกไปจากเมืองมิสปาห์ และไล่ตามฆ่าฟันพวกชาวฟีลิสเตียไปตลอดทาง ไกลจนถึงเมืองเบธคาร์

12 แล้วซามูเอลก็เอาศิลาก้อนหนึ่งมาตั้งไว้ระหว่างเมืองมิสปาห์และเมืองเชน และตั้งชื่อศิลาว่า เอเบนเอเซอร์ พลางพูดว่า “พระผู้เป็นเจ้าได้ช่วยพวกเราจนบัดนี้” 13 ดังนั้นชาวฟีลิสเตียจึงพ่ายแพ้และไม่ได้บุกรุกพรมแดนอิสราเอลอีก มือของพระผู้เป็นเจ้าต่อต้านชาวฟีลิสเตียตลอดทั้งชีวิตของซามูเอล 14 เมืองต่างๆ จากเมืองเอโครนจนถึงเมืองกัท ที่ชาวฟีลิสเตียได้ยึดไปจากอิสราเอลก็กลับคืนมาเป็นของอิสราเอล และอิสราเอลได้ช่วยพรมแดนใกล้เมืองเหล่านั้นให้พ้นจากอำนาจของชาวฟีลิสเตีย ดังนั้นจึงมีความสงบสุขระหว่างอิสราเอลและชาวอาโมร์[e]

15 ซามูเอลเป็นผู้วินิจฉัยให้แก่อิสราเอลต่อไปจนชั่วชีวิตของท่าน 16 ท่านจะไปวินิจฉัยอิสราเอลตั้งแต่เมืองเบธเอลถึงเมืองกิลกาลและมิสปาห์ จนครบวงจรทุกๆ ปี 17 และท่านจะกลับไปยังเมืองรามาห์เสมอ เพราะเป็นบ้านเกิดของท่าน และก็ได้วินิจฉัยอิสราเอลที่นั่นด้วย และท่านได้สร้างแท่นบูชามอบแด่พระผู้เป็นเจ้าไว้ที่นั่น

อิสราเอลขอให้มีกษัตริย์

เมื่อซามูเอลชราลง ท่านก็แต่งตั้งบรรดาบุตรของตนให้เป็นผู้วินิจฉัยของอิสราเอล บุตรคนแรกชื่อ โยเอล คนที่สองชื่ออาบียาห์ ทั้งสองคนวินิจฉัยอยู่ที่เบเออร์เช-บา บุตรของท่านไม่ได้ดำเนินชีวิตแบบเดียวกับท่าน แต่หันเหไปรับผลประโยชน์ พวกเขารับสินบนและบิดเบือนความเป็นธรรม

ดังนั้นบรรดาหัวหน้าชั้นผู้ใหญ่ของอิสราเอลจึงเรียกประชุมและไปหาซามูเอลที่รามาห์ พวกเขาพูดกับท่านว่า “ท่านชราแล้ว และบุตรของท่านก็ไม่ดำเนินชีวิตแบบเดียวกับท่าน บัดนี้ขอให้ท่านแต่งตั้งกษัตริย์เพื่อเป็นผู้นำของพวกเรา เหมือนอย่างประชาชาติทั้งปวง” เมื่อพวกเขาพูดว่า “ขอให้พวกเรามีกษัตริย์เป็นผู้นำของพวกเรา” ซามูเอลจึงไม่พอใจ ท่านจึงอธิษฐานต่อพระผู้เป็นเจ้า พระผู้เป็นเจ้าจึงกล่าวกับท่านว่า “จงฟังทุกสิ่งที่ประชาชนพูดกับเจ้า พวกเขาไม่ได้ปฏิเสธเจ้า แต่ปฏิเสธเราว่า เราไม่ใช่กษัตริย์ของพวกเขา พวกเขากำลังกระทำต่อเจ้าเหมือนอย่างที่พวกเขาได้กระทำมาแล้ว นับจากวันที่เรานำพวกเขาออกมาจากประเทศอียิปต์จนกระทั่งวันนี้ เขาทอดทิ้งเรา และไปบูชาบรรดาเทพเจ้า เจ้าจงฟังพวกเขา แต่ก็เตือนพวกเขาให้รู้อย่างจริงจังว่า กษัตริย์ที่จะปกครองพวกเขาจะทำอะไรต่อพวกเขาบ้าง”

ซามูเอลเตือนเรื่องการมีกษัตริย์

10 ซามูเอลจึงบอกประชาชนที่ขอให้พวกเขามีกษัตริย์ทราบถึงทุกสิ่งที่พระผู้เป็นเจ้ากล่าว 11 ท่านพูดว่า “กษัตริย์ที่จะปกครองพวกท่านจะกระทำดังนี้คือ เขาจะทำให้บุตรทั้งหลายของท่านเป็นผู้รับใช้ประจำรถศึกและทหารม้า พวกเขาจะต้องวิ่งนำหน้ารถม้าของเขาไป 12 เขาจะเกณฑ์บางคนให้ไปเป็นผู้บังคับการดูแลคนนับร้อยนับพัน และบ้างก็ให้ไปไถนาและเก็บเกี่ยวพืชผล บ้างก็จะให้ทำอาวุธยุทธภัณฑ์และอุปกรณ์สำหรับรถศึก 13 เขาจะเกณฑ์บุตรสาวทั้งหลายให้ไปเป็นผู้ปรุงเครื่องหอม ทำครัว และอบขนม 14 เขาจะยกไร่นา สวนองุ่น และไร่มะกอกที่ดีที่สุดของพวกท่านให้แก่บริวารของเขา 15 เขาจะเก็บหนึ่งในสิบของธัญพืชและสวนองุ่น เพื่อให้แก่พวกบริวารในวัง 16 เขาจะนำบรรดาผู้รับใช้ชายและหญิงของท่าน ฝูงโคและลาที่ดีที่สุดของท่านไปรับใช้เขา 17 เขาจะยึดหนึ่งในสิบของฝูงแพะแกะของท่าน และพวกท่านเองจะต้องไปเป็นทาสของเขา 18 เมื่อถึงวันนั้น พวกท่านจะวิงวอนขอร้องกษัตริย์ที่ท่านเลือก และในวันนั้นพระผู้เป็นเจ้าจะไม่ตอบท่าน”

พระผู้เป็นเจ้าตอบชาวอิสราเอล

19 แต่ประชาชนก็ยังไม่ยอมฟังซามูเอล พวกเขาพูดว่า “ไม่ยอม เราต้องการกษัตริย์ปกครองพวกเรา 20 แล้วเราก็จะเป็นอย่างชาติอื่นๆ โดยมีกษัตริย์เป็นผู้นำ ออกนำหน้าเราไป และช่วยเราสู้รบในสงคราม” 21 เมื่อซามูเอลได้ยินทุกสิ่งที่ประชาชนพูด ท่านก็นำไปบอกกับพระผู้เป็นเจ้า 22 พระผู้เป็นเจ้าตอบว่า “จงฟังพวกเขา และให้กษัตริย์แก่พวกเขาไป” แล้วซามูเอลพูดกับพวกผู้ชายของอิสราเอลว่า “ทุกคนจงกลับไปยังเมืองของตน”

ซาอูลได้รับเลือกให้เป็นกษัตริย์

มีชายชาวเบนยามินมั่งมีคนหนึ่งชื่อ คีชบุตรของอาบีเอล ผู้เป็นบุตรของเศโรร์ บุตรเบโครัท ผู้เป็นบุตรของอะฟีอัคจากเผ่าเบนยามิน เขามีบุตรคนหนึ่งชื่อ ซาอูล เป็นชายหนุ่มหน้าตาดี ไม่มีชาวอิสราเอลคนใดสูงเกินระดับบ่าของเขา

อยู่มาครั้งหนึ่ง ลาของคีชผู้เป็นบิดาของซาอูลหายไป คีชจึงพูดกับซาอูลบุตรของตนว่า “เอาคนรับใช้คนหนึ่งไปกับเจ้า ตามหาลาที่หายไป” เขาจึงเดินทางผ่านไปทางแถบภูเขาแห่งเอฟราอิม และผ่านไปในบริเวณใกล้กับชาลิชาห์ แต่ก็หาไม่พบ เขาจึงเดินทางต่อไป และเข้าไปในอาณาเขตชาอาลิม แต่ลาก็ไม่ได้อยู่ที่นั่น จากนั้นก็ได้ผ่านพรมแดนของเบนยามิน แต่ก็ยังไม่พบลา

เมื่อทั้งสองไปถึงอาณาเขตศูฟ ซาอูลพูดกับผู้รับใช้ที่ไปด้วยว่า “เรากลับไปบ้านกันเถิด มิฉะนั้น บิดาจะเลิกคิดเรื่องลา และจะเริ่มกังวลเรื่องเรา” แต่ผู้รับใช้ตอบว่า “ดูเถิด ในเมืองนี้มีคนของพระเจ้าคนหนึ่ง ท่านเป็นที่นับถือมาก และทุกสิ่งเกิดขึ้นตามที่ท่านพูด เราไปที่นั่นกันเถิด บางทีท่านอาจจะบอกเราได้ว่าควรจะไปทางไหน” ซาอูลพูดกับผู้รับใช้ว่า “ถ้าเราไป เราจะมอบอะไรให้ท่าน อาหารในย่ามก็หมดแล้ว เราไม่มีของกำนัลไปให้คนของพระเจ้า เรามีอะไรบ้าง” ผู้รับใช้ตอบอีกว่า “ดูนี่ ข้าพเจ้ามีเสี้ยวเงินเชเขล[f] ข้าพเจ้าจะมอบให้คนของพระเจ้า ท่านจะได้บอกว่าเราควรไปทางไหน” (ในอิสราเอลสมัยของซาอูล ถ้ามีคนไปถามพระเจ้า เขามักจะพูดว่า “มาเถิด เราไปหาผู้รู้กันเถิด” เพราะ “ผู้รู้” เป็นคำที่เคยใช้เรียกผู้เผยคำกล่าวของพระเจ้าที่เราใช้ในเวลานี้) 10 ซาอูลพูดกับผู้รับใช้ว่า “ดีเลย มาเถิด เราไปกันเถิด” ดังนั้นเขาทั้งสองจึงออกเดินทางไปยังเมืองที่คนของพระเจ้าอยู่

11 ขณะที่เขาขึ้นเนินเขาไปทางเมืองนั้น ก็พบพวกหญิงสาวกำลังออกมาตักน้ำ จึงถามว่า “ผู้รู้อยู่ที่นี่หรือเปล่า” 12 พวกเธอตอบว่า “ท่านอยู่ที่นี่ ท่านอยู่ข้างหน้าโน้น รีบไปเถิด ท่านเพิ่งมาถึงเมืองเราวันนี้ เพราะประชาชนมีเครื่องสักการะจะถวายที่สถานบูชาบนภูเขาสูง 13 ทันทีที่ท่านเข้าเมือง ท่านจะพบผู้ทำนายก่อนที่ท่านจะขึ้นไปสถานบูชาบนภูเขาสูงเพื่อรับประทาน ประชาชนจะไม่เริ่มรับประทาน จนกว่าท่านจะมา เพราะท่านต้องกล่าวขอบคุณพระเจ้าก่อน แล้วพวกที่ได้รับเชิญก็จะรับประทานกัน ขึ้นไปตอนนี้เถิด ท่านน่าจะพบท่านประมาณเวลานี้” 14 เขาทั้งสองขึ้นไปยังเมืองนั้น และขณะที่กำลังเข้าไป ซามูเอลอยู่ที่นั่น ท่านกำลังเดินตรงมาทางเดียวกันพอดี และจะขึ้นไปสถานบูชาบนภูเขาสูง

15 ในวันก่อนวันที่ซาอูลจะมา พระผู้เป็นเจ้าได้เผยให้ซามูเอลทราบว่า 16 “ในวันพรุ่งนี้ประมาณเวลานี้ เราจะให้ชายผู้หนึ่งจากดินแดนของเบนยามินมาพบเจ้า จงเจิมเขาให้เป็นผู้นำอิสราเอลชนชาติของเรา เขาจะช่วยชนชาติของเราให้พ้นจากมือของชาวฟีลิสเตีย เราเห็นว่าชนชาติของเราเป็นทุกข์ เพราะเราได้ยินเสียงร้องของพวกเขา” 17 เมื่อซามูเอลแลเห็นซาอูล พระผู้เป็นเจ้ากล่าวกับท่านว่า “ชายผู้นี้เป็นคนที่เราบอกเจ้า เขาจะปกครองชนชาติของเรา” 18 ซาอูลเข้าไปใกล้ซามูเอลที่ทางประตูและถามว่า “ท่านจะกรุณาบอกข้าพเจ้าได้ไหมว่า บ้านของผู้รู้อยู่ที่ไหน” 19 ซามูเอลตอบว่า “เราเป็นผู้รู้ ท่านจงขึ้นไปล่วงหน้าเรา ไปสถานบูชาบนภูเขาสูง เพราะว่าวันนี้ท่านจะต้องรับประทานกับเรา และพอรุ่งเช้า เราก็จะให้ท่านไป และจะบอกท่านว่า ท่านมีความในใจอะไร 20 ไม่ต้องห่วงเรื่องลาที่หายไปเมื่อ 3 วันก่อน เพราะมีคนพบมันแล้ว สิ่งเดียวที่อิสราเอลต้องการนั้น คือใครเล่า ถ้าไม่ใช่ท่านและครอบครัวของบิดาของท่าน” 21 ซาอูลตอบว่า “ข้าพเจ้าเป็นชาวเบนยามินมิใช่หรือ มาจากเผ่าเล็กที่สุดของอิสราเอล และตระกูลของข้าพเจ้าก็สำคัญน้อยที่สุดในบรรดาทุกเผ่าของเบนยามินมิใช่หรือ ทำไมท่านจึงพูดกับข้าพเจ้าเช่นนั้น”

22 ครั้นแล้วซามูเอลก็พาซาอูลและผู้รับใช้เข้าไปในห้องโถง และให้ท่านนั่งที่หัวโต๊ะของผู้ได้รับเชิญประมาณ 30 คน 23 ซามูเอลพูดกับพ่อครัวว่า “ไปเอาเนื้อที่เราให้เจ้ามา ชิ้นที่เราบอกให้เจ้าแยกเก็บไว้” 24 ดังนั้นพ่อครัวจึงไปหยิบเนื้อท่อนขาพร้อมกับขาอ่อน มาวางไว้ที่ข้างหน้าซาอูล ซามูเอลพูดว่า “นี่เป็นสิ่งที่เก็บไว้ให้ท่าน จงรับประทาน เพราะเขาเก็บไว้ให้ท่านสำหรับโอกาสนี้ ท่านจะได้รับประทานกับแขกรับเชิญ”

วันนั้นซาอูลจึงรับประทานกับซามูเอล 25 เมื่อเขาทั้งหลายลงมาจากสถานบูชาบนภูเขาสูง และเข้าไปในเมือง ซามูเอลพูดกับซาอูลบนดาดฟ้า 26 เขาทั้งสองลุกขึ้นเมื่อฟ้าสาง ซามูเอลเรียกซาอูลที่อยู่บนดาดฟ้าว่า “เตรียมตัวให้พร้อม แล้วเราจะส่งให้ท่านออกเดินทางไป” เมื่อซาอูลพร้อมแล้ว เขากับซามูเอลก็ออกไปนอกบ้านพร้อมกัน

27 ขณะที่กำลังเดินไปถึงชานเมือง ซามูเอลพูดกับซาอูลว่า “บอกให้ผู้รับใช้ล่วงหน้าเราไปก่อน” ผู้รับใช้ก็ทำตามนั้น “แต่ท่านจงอยู่ที่นี่สักพักก่อน เราจะได้บอกให้ท่านทราบถึงสิ่งที่พระเจ้ากล่าวไว้”

ซาอูลได้รับการเจิมให้เป็นกษัตริย์

10 ซามูเอลหยิบผอบน้ำมันเทลงบนศีรษะของซาอูล จูบแก้มเขาและกล่าวว่า “พระผู้เป็นเจ้าได้เจิมท่านให้เป็นผู้นำ เพื่อปกครองผู้สืบมรดกของพระองค์แล้วมิใช่หรือ เมื่อท่านจากเราไปวันนี้ ท่านจะพบชาย 2 คนอยู่ใกล้ที่ฝังศพของราเชล[g] ที่เศลซาห์ตรงชายแดนของเบนยามิน เขาทั้งสองจะพูดกับท่านว่า ‘ลาที่ท่านออกตามหานั้นพบแล้ว เวลานี้บิดาของท่านเลิกคิดเรื่องลาแล้ว และกำลังกังวลเรื่องท่านอยู่ ท่านถามว่า “เราจะทำอย่างไรเรื่องบุตรของเรา”’ จากนั้น ท่านก็จะออกเดินทางจากที่นั่นต่อไป จนกระทั่งถึงต้นไม้ใหญ่ของทาโบร์ มีชาย 3 คนที่กำลังขึ้นไปนมัสการพระเจ้าที่เบธเอลจะพบท่านที่นั่น คนหนึ่งจะอุ้มแพะหนุ่ม 3 ตัว อีกคนจะถือขนมปัง 3 ก้อน ส่วนอีกคนจะถือเหล้าองุ่นถุงหนึ่ง พวกเขาจะทักทายท่าน และมอบขนมปัง 2 ก้อนแก่ท่าน และท่านจะรับไว้ หลังจากนั้น ท่านจะไปยังกิเบอัทเอโลฮิม ที่นั่นมีด่านทหารชั้นนอกของฟีลิสเตีย พอท่านจะถึงตัวเมือง ท่านจะพบขบวนผู้เผยคำกล่าวของพระเจ้ากำลังลงมาจากสถานบูชาบนภูเขาสูง มีพิณสิบสาย รำมะนา ขลุ่ย และพิณเล็ก เล่นเพลงอยู่เบื้องหน้า และท่านเหล่านั้นจะเผยคำกล่าวของพระเจ้า ท่านจะเปี่ยมด้วยอานุภาพแห่งพระวิญญาณของพระผู้เป็นเจ้า และท่านจะเผยคำกล่าวของพระเจ้าร่วมกับท่านเหล่านั้น และท่านจะเปลี่ยนเป็นคนละคน เมื่อหมายสำคัญเหล่านี้เกิดขึ้นแล้ว จงปฏิบัติตามแต่ท่านเห็นสมควร เพราะพระเจ้าสถิตกับท่าน จงลงไปล่วงหน้าเรายังกิลกาล เราจะลงมาหาท่านอย่างแน่นอน เพื่อมอบสัตว์ที่เผาเป็นของถวาย และมอบของถวายเพื่อสามัคคีธรรม แต่ท่านต้องรอ 7 วันจนกว่าเรามาหาท่าน และจะบอกท่านว่า ท่านควรจะทำอะไร”

ขณะที่ซาอูลหันหลังจะจากซามูเอลไป พระเจ้าเปลี่ยนความรู้สึกในใจของซาอูล และหมายสำคัญเหล่านั้นก็เกิดขึ้นในวันนั้น 10 เมื่อท่านทั้งสองมาถึงกิเบอาห์ ขบวนผู้เผยคำกล่าวของพระเจ้ามาพบกับท่าน แล้วท่านก็เปี่ยมด้วยอานุภาพแห่งพระวิญญาณของพระเจ้า ท่านจึงเผยคำกล่าวของพระเจ้าร่วมกับพวกเขา 11 เมื่อคนที่เคยรู้จักท่านมาก่อน เห็นท่านเผยคำกล่าวร่วมกับบรรดาผู้เผยคำกล่าวของพระเจ้า จึงถามกันและกันว่า “เกิดอะไรขึ้นกับบุตรของคีช ซาอูลเป็นคนหนึ่งในบรรดาผู้เผยคำกล่าวของพระเจ้าด้วยหรือ” 12 ชายชาวเมืองนั้นผู้หนึ่งตอบว่า “และบิดาของคนเหล่านี้เป็นใคร” ดังนั้นจึงเป็นภาษิตว่า “ซาอูลเป็นคนหนึ่งในบรรดาผู้เผยคำกล่าวของพระเจ้าด้วยหรือ” 13 หลังจากซาอูลหยุดเผยคำกล่าวของพระเจ้าแล้ว ท่านก็ไปยังสถานบูชาบนภูเขาสูง

14 ลุงของซาอูลถามท่านและผู้รับใช้ของท่านว่า “เจ้าไปไหนกันมา” ท่านตอบว่า “ไปตามหาลามา แต่เมื่อเราเห็นว่าจะตามหาไม่พบ เราจึงไปหาซามูเอล” 15 ลุงของซาอูลพูดว่า “บอกฉันซิว่า ซามูเอลพูดอะไรกับเจ้า” 16 ซาอูลตอบว่า “ท่านรับรองเราว่า พบลาแล้ว” แต่ท่านไม่ได้บอกลุงว่า ซามูเอลพูดอะไรบ้างเรื่องการเป็นกษัตริย์

ซาอูลได้รับแต่งตั้งเป็นกษัตริย์

17 ซามูเอลเรียกประชาชนให้มาอยู่ต่อหน้าพระผู้เป็นเจ้าที่มิสปาห์ 18 และพูดกับชาวอิสราเอลว่า “พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของอิสราเอลกล่าวว่า ‘เราได้พาอิสราเอลขึ้นมาจากประเทศอียิปต์ และเราช่วยพวกเจ้าให้พ้นจากเงื้อมมือของชาวอียิปต์ และจากอาณาจักรทั้งหลายที่บีบบังคับพวกเจ้า’ 19 แต่บัดนี้พวกท่านไม่เชื่อฟังพระเจ้าของท่าน พระองค์เป็นผู้ที่ช่วยพวกท่านให้พ้นจากความวิบัติและความทุกข์ทั้งปวง และท่านยังจะพูดอีกว่า ‘ไม่เอา แต่ขอแต่งตั้งกษัตริย์ให้ปกครองพวกเรา’ ฉะนั้นบัดนี้พวกท่านจงแสดงตัวต่อหน้าพระผู้เป็นเจ้า ตามเผ่าและตระกูลของพวกท่าน”

20 เมื่อซามูเอลให้ทุกเผ่าของอิสราเอลเข้ามาใกล้ และเผ่าเบนยามินได้รับเลือก 21 ท่านจึงให้เผ่าเบนยามินมาอยู่ข้างหน้าตามแต่ละตระกูล ตระกูลมัตรีได้รับเลือก ในที่สุดซาอูลบุตรของคีชได้รับเลือก แต่เมื่อมองหาท่านก็ไม่พบ 22 ดังนั้นเขาเหล่านั้นจึงถามพระผู้เป็นเจ้าอีกว่า “ชายคนนั้นมาที่นี่แล้วหรือยัง” พระผู้เป็นเจ้ากล่าวว่า “เขามาแล้ว เขาซ่อนตัวอยู่ที่กองยุทธภัณฑ์” 23 เขาทั้งหลายจึงวิ่งไปพาตัวท่านออกมา และขณะที่ท่านยืนอยู่ท่ามกลางประชาชน ท่านสูงกว่าใครเพื่อน เพราะไม่มีใครสูงเกินบ่าท่าน 24 ซามูเอลพูดกับประชาชนทั้งปวงว่า “พวกท่านเห็นชายที่พระผู้เป็นเจ้าเลือกแล้วไหม ไม่มีผู้ใดในหมู่ประชาชนทั้งหลายที่เป็นเหมือนท่าน” แล้วประชาชนตะโกนร้องว่า “ขอกษัตริย์มีอายุยืนนาน”

25 ซามูเอลอธิบายสิทธิและภาระของกษัตริย์ให้ประชาชนทราบ แล้วท่านก็เขียนลงบนหนังสือม้วน และวางไว้ ณ เบื้องหน้าพระผู้เป็นเจ้า หลังจากนั้นซามูเอลอนุญาตให้ประชาชนกลับบ้านไปได้ 26 ซาอูลกลับไปบ้านของท่านที่กิเบอาห์ด้วย มีบรรดาชายผู้กล้าหาญที่พระเจ้าดลใจให้ติดตามไปด้วย 27 แต่มีคนเลวร้ายบางคนพูดว่า “ชายคนนี้สามารถช่วยพวกเราให้รอดได้อย่างไร” พวกเขาดูหมิ่นท่าน และไม่ได้นำของกำนัลมาให้ท่าน แต่ซาอูลก็ไม่ตอบโต้แต่อย่างใด

ซาอูลรบชนะชาวอัมโมน

11 นาหาชชาวอัมโมนขึ้นไป และใช้กำลังล้อมเมืองยาเบชกิเลอาด บรรดาชายชาวยาเบชจึงพูดกับนาหาชว่า “ทำพันธสัญญากับพวกเรา และเราจะยอมรับใช้ท่าน” แต่นาหาชชาวอัมโมนตอบว่า “เราจะทำพันธสัญญากับพวกเจ้า ก็ต่อเมื่อเราได้ควักตาขวาของเจ้าทุกคนออกเสียก่อน จะได้เป็นที่น่าอับอายต่ออิสราเอลทั้งปวง” บรรดาหัวหน้าชั้นผู้ใหญ่ของยาเบชพูดกับนาหาชว่า “ให้เวลาพวกเรา 7 วัน เราจะได้ให้ผู้ส่งข่าวไปให้ทั่วอิสราเอล ถ้าไม่มีใครมาช่วยชีวิตพวกเรา เราก็จะยอมจำนนต่อท่าน” เมื่อบรรดาผู้ส่งข่าวมายังกิเบอาห์เมืองของซาอูล และรายงานข้อตกลงกับประชาชน ทุกคนจึงส่งเสียงร้องไห้

พอดีกับเวลาที่ซาอูลกำลังต้อนฝูงโคกลับมาจากทุ่ง ท่านถามว่า “ประชาชนเป็นอะไรไป ทำไมจึงร้องไห้กัน” พวกเขาจึงบอกให้ท่านฟังเรื่องพวกผู้ชายของยาเบช ครั้นซาอูลได้ยินเรื่อง ท่านก็เปี่ยมด้วยอานุภาพแห่งพระวิญญาณของพระเจ้า และท่านโกรธมาก ท่านเอาโคคู่หนึ่งมาตัดออกเป็นท่อนๆ และใช้ผู้ส่งข่าวส่งไปให้ทั่วอิสราเอล พร้อมกับประกาศว่า “จะเกิดเรื่องแบบนี้กับฝูงโคของทุกคนที่ไม่ติดตามซาอูลและซามูเอล” และประชาชนก็เกิดหวาดกลัวพระผู้เป็นเจ้า และต่างก็ร่วมใจกันออกมา เมื่อซาอูลตรวจพลที่เบเซก นับจำนวนชายชาวอิสราเอลได้ 300,000 คน และชายชาวยูดาห์ 30,000 คน พวกเขาบอกผู้ส่งข่าวที่มาว่า “จงไปบอกพวกผู้ชายของยาเบชกิเลอาดว่า ‘พรุ่งนี้ก่อนเที่ยงวัน จะมีคนมาช่วยชีวิตพวกท่าน’” เมื่อบรรดาผู้ส่งข่าวไปรายงานเรื่องนี้แก่พวกผู้ชายของยาเบช พวกเขาก็ยินดียิ่งนัก 10 พวกเขาบอกชาวอัมโมนว่า “พรุ่งนี้พวกเราจะยอมจำนนต่อท่าน และท่านจะทำอย่างไรกับเราก็ได้ตามที่ท่านเห็นว่าสมควร” 11 วันรุ่งขึ้นซาอูลแบ่งพลของท่านออกเป็น 3 กอง ช่วงเวลาก่อนฟ้าสาง พวกเขาบุกเข้าไปในค่ายของชาวอัมโมน และฆ่าฟันพวกเขาจนกระทั่งเที่ยงวัน พวกที่มีชีวิตรอดต่างหนีเตลิดเปิดเปิง ตัวใครตัวมัน

12 แล้วประชาชนพูดกับซามูเอลว่า “ใครเป็นคนที่พูดว่า ‘ซาอูลจะปกครองพวกเราอย่างนั้นหรือ’ นำชายพวกนั้นมาให้เรา และเราจะฆ่าให้ตาย” 13 แต่ซาอูลกล่าวว่า “วันนี้จะไม่มีการฆ่าใครตาย เพราะวันนี้พระผู้เป็นเจ้าได้ช่วยอิสราเอลให้รอดพ้นแล้ว” 14 และซามูเอลพูดกับประชาชนว่า “ไปกันเถิด ไปกิลกาลกัน และยืนยันความเป็นกษัตริย์ของซาอูล” 15 ดังนั้นประชาชนทั้งปวงจึงไปยังกิลกาล และยืนยัน ณ เบื้องหน้าพระผู้เป็นเจ้าว่าซาอูลเป็นกษัตริย์ พวกเขาได้มอบของถวายเพื่อสามัคคีธรรม ณ เบื้องหน้าพระผู้เป็นเจ้า ซาอูลและชาวอิสราเอลทั้งปวงจึงได้มีงานเฉลิมฉลองครั้งใหญ่

สุนทรพจน์ลาของซามูเอล

12 ซามูเอลกล่าวกับชาวอิสราเอลทั้งปวงว่า “เราได้ฟังเสียงของพวกท่าน ฟังทุกเรื่องที่ท่านพูด และได้แต่งตั้งกษัตริย์ปกครองพวกท่าน บัดนี้ท่านมีกษัตริย์เป็นผู้นำ และเราก็ชราและผมหงอกแล้ว บุตรของเราก็อยู่กับพวกท่าน เราเป็นผู้นำของท่านตั้งแต่หนุ่มมาจนถึงวันนี้ เรายืนอยู่ตรงนี้ หากว่าเรากระทำสิ่งใดผิด เชิญท่านยืนยัน ณ เบื้องหน้าพระผู้เป็นเจ้าและผู้ที่ได้รับการเจิมของพระองค์ได้เลย เราเอาโคของใครไปบ้าง เราเอาลาของใครไปบ้าง เราฉ้อโกงใครบ้าง เราบีบบังคับใครบ้าง เรารับสินบนจากมือใครอันเป็นเหตุทำให้เราตาบอดบ้าง ถ้าเรากระทำสิ่งใดดังกล่าว เราจะใช้คืน” พวกเขาพูดว่า “ท่านไม่ได้ฉ้อโกงหรือบีบบังคับพวกเรา ท่านไม่ได้เอาสิ่งใดไปจากมือของใคร” ซามูเอลกล่าวกับพวกเขาว่า “พระผู้เป็นเจ้าเป็นพยาน และผู้ได้รับการเจิมของพระองค์ก็เป็นพยานในวันนี้ว่า พวกท่านไม่พบสิ่งใดในมือของเรา” พวกเขาตอบว่า “พระองค์เป็นพยาน”

ซามูเอลจึงพูดกับประชาชนว่า “พระผู้เป็นเจ้าเป็นผู้ที่แต่งตั้งโมเสสและอาโรน และนำบรรพบุรุษของท่านขึ้นมาจากประเทศอียิปต์ บัดนี้ จงยืนฟังให้ดีเถิด เพราะเราจะบอกท่านซึ่งๆ หน้า ณ เบื้องหน้าพระผู้เป็นเจ้าว่า พระองค์กระทำสิ่งอันชอบธรรมทุกประการเพื่อพวกท่านและเหล่าบรรพบุรุษของท่าน เมื่อยาโคบเข้าไปในอียิปต์ และชาวอียิปต์บีบบังคับพวกเขา และบรรพบุรุษของท่านร้องเรียกถึงพระผู้เป็นเจ้า และพระผู้เป็นเจ้าให้โมเสสและอาโรนมา เพื่อนำบรรพบุรุษของท่านออกมาจากอียิปต์ และให้ตั้งรกรากอยู่ในที่แห่งนี้ แต่เขาทั้งหลายลืมพระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของเขา พระองค์จึงขายพวกเขาไปและให้ตกอยู่ในมือของสิเส-ราผู้บังคับกองพันทหารของฮาโซร์ และตกอยู่ในมือของชาวฟีลิสเตียและกษัตริย์แห่งโมอับ เขาเหล่านั้นต่อสู้กับบรรพบุรุษ 10 พวกเขาจึงร้องเรียกถึงพระผู้เป็นเจ้าและพูดว่า ‘เราได้กระทำบาป เราได้ทอดทิ้งพระผู้เป็นเจ้า และไปนมัสการพวกเทพเจ้าบาอัลและเทพเจ้าอัชโทเรท แต่บัดนี้โปรดช่วยพวกเราให้รอดจากเงื้อมมือของศัตรู และเราจะนมัสการพระองค์’ 11 แล้วพระผู้เป็นเจ้าให้เยรุบบาอัล เบดาน เยฟธาห์ และซามูเอล มาช่วยพวกท่านให้รอดจากเงื้อมมือของศัตรูทุกด้าน เพื่อให้ท่านอาศัยอยู่ได้อย่างปลอดภัย[h] 12 แต่เมื่อท่านเห็นว่านาหาชกษัตริย์ของชาวอัมโมนยกกองทัพมาโจมตีท่าน ท่านพูดกับเราว่า ‘ไม่ยอม เราต้องการกษัตริย์ปกครองพวกเรา’ ถึงแม้ว่าพระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของท่านเป็นกษัตริย์ของพวกท่าน 13 บัดนี้กษัตริย์ที่ท่านเลือกอยู่นี่แล้ว เป็นผู้ที่ท่านขอ ดูสิ พระผู้เป็นเจ้าโปรดให้มีกษัตริย์ปกครองท่าน 14 ถ้าท่านเกรงกลัวพระผู้เป็นเจ้า รับใช้และเชื่อฟังพระองค์ และไม่ขัดขืนต่อคำบัญชาของพระองค์ และถ้าทั้งพวกท่านและกษัตริย์ที่ปกครองท่านติดตามพระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของท่าน ก็นับว่าดี 15 แต่ถ้าพวกท่านไม่เชื่อฟังพระผู้เป็นเจ้า และถ้าท่านขัดขืนต่อคำบัญชาของพระองค์ พระองค์ก็จะลงโทษพวกท่าน เหมือนอย่างที่ได้ลงโทษบรรพบุรุษของท่าน 16 บัดนี้ จงยืนฟังให้ดีเถิด และดูสิ่งอันยิ่งใหญ่นี้ที่พระผู้เป็นเจ้าจะกระทำให้พวกท่านเห็น 17 เวลานี้ไม่ใช่ฤดูเก็บเกี่ยวข้าวสาลีหรือ เราจะร้องเรียกถึงพระผู้เป็นเจ้า เพื่อให้เกิดเสียงฟ้าร้องและฝนตก และพวกท่านจะรู้ว่าท่านกระทำสิ่งชั่วร้ายอันใดในสายตาของพระผู้เป็นเจ้า เมื่อท่านขอให้มีกษัตริย์” 18 แล้วซามูเอลก็ร้องเรียกถึงพระผู้เป็นเจ้า และในวันเดียวกันนั้น พระผู้เป็นเจ้าทำให้เกิดเสียงฟ้าร้องและฝนตก ดังนั้นคนทั้งปวงจึงเกรงกลัวพระผู้เป็นเจ้าและซามูเอล

19 ประชาชนทั้งปวงพูดกับซามูเอลว่า “ช่วยอธิษฐานต่อพระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของท่าน ให้แก่บรรดาผู้รับใช้ของท่านเถิด พวกเราจะได้ไม่ตาย เพราะว่าครั้งนี้เราได้เพิ่มความชั่วร้ายไปกับบาปทั้งปวงของพวกเรา เมื่อพวกเราขอให้มีกษัตริย์” 20 ซามูเอลตอบว่า “อย่ากลัวเลย ท่านได้กระทำความชั่วนี้ แต่ก็อย่าเลิกติดตามพระผู้เป็นเจ้า แต่จงรับใช้พระผู้เป็นเจ้าอย่างสุดจิตสุดใจของท่าน[i] 21 อย่าหันไปติดตามรูปเคารพทั้งหลายอันไร้ประโยชน์ สิ่งเหล่านั้นไม่ทำอะไรให้ท่านดีขึ้น และจะช่วยชีวิตพวกท่านก็ไม่ได้ เพราะว่าเป็นสิ่งไร้ประโยชน์ 22 พระผู้เป็นเจ้าจะไม่ทอดทิ้งชนชาติของพระองค์ เพื่อพระนามอันยิ่งใหญ่ของพระองค์ เพราะพระผู้เป็นเจ้ายินดีให้พวกท่านเป็นคนของพระองค์ 23 ส่วนเรา ไม่มีวันที่เราจะกระทำบาปต่อพระผู้เป็นเจ้าด้วยการหยุดอธิษฐานให้พวกท่าน และเราจะสอนท่านเรื่องวิถีทางที่ดีและถูกต้อง 24 แต่จงแน่ใจว่าจะเกรงกลัวพระผู้เป็นเจ้าและรับใช้พระองค์ด้วยความภักดีอย่างสุดจิตสุดใจ จงระลึกว่าพระองค์ได้กระทำการอันใหญ่ยิ่งเพื่อท่านเพียงไร 25 แต่ถ้าพวกท่านยังกระทำความชั่วต่อไปอีก ทั้งท่านและกษัตริย์ของท่านก็จะถูกกำจัดเสีย”

ซาอูลต่อสู้ชาวฟีลิสเตีย

13 เมื่อซาอูลเป็นกษัตริย์ ท่านมีอายุ 30 ปี[j] และท่านปกครองอิสราเอลเป็นเวลา 42 ปี[k]

ซาอูลเลือกชายอิสราเอล 3,000 คน 2,000 คนให้อยู่กับท่านที่มิคมาชและในแถบภูเขาเบธเอล 1,000 คนอยู่กับโยนาธานที่กิเบอาห์ของเบนยามิน ส่วนชายอื่นๆ ท่านก็ให้กลับบ้านของตนไป โยนาธานโจมตีด่านทหารชั้นนอกของฟีลิสเตียที่เก-บา และชาวฟีลิสเตียทราบเรื่อง ซาอูลให้คนเป่าแตรงอนทั่วแผ่นดิน[l] และกล่าวว่า “ให้ชาวฮีบรูได้ยิน” อิสราเอลทั้งปวงได้ยินมาว่า ซาอูลได้โจมตีด่านทหารชั้นนอกของฟีลิสเตีย และชื่ออิสราเอลก็เหม็นสำหรับชาวฟีลิสเตีย และประชาชนก็ถูกเรียกให้ไปสมทบกับซาอูลที่กิลกาล

ชาวฟีลิสเตียประชุมกันเพื่อต่อสู้กับอิสราเอล มีรถศึก 30,000 คัน สารถี 6,000 คน และกองทัพมีจำนวนมากราวกับเม็ดทรายบนชายฝั่งทะเล พวกเขาขึ้นไปตั้งค่ายที่มิคมาช ทางตะวันออกของเบธอาเวน เมื่อชายชาวอิสราเอลเห็นว่าตนอยู่ในสถานการณ์ไม่สู้ดี (เพราะประชาชนถูกโจมตีอย่างหนัก) จึงได้หลบซ่อนอยู่ในถ้ำและในรู ในซอกหิน ในอุโมงค์ และในบ่อ ชาวฮีบรูบางคนถึงกับข้ามแม่น้ำจอร์แดนไปยังดินแดนกาดและกิเลอาด ซาอูลยังอยู่ที่กิลกาล และทหารทั้งหมดที่อยู่ด้วยกับท่านก็กลัวจนตัวสั่น

เครื่องสักการะของซาอูลผิดกฎ

ซาอูลคอยอยู่ 7 วันตามเวลาที่ซามูเอลกำหนดไว้ แต่ซามูเอลไม่ได้มาที่กิลกาล และทหารของซาอูลเริ่มระส่ำระสาย ท่านจึงกล่าวว่า “เอาสัตว์ที่ใช้เผาเป็นของถวายและของถวายเพื่อสามัคคีธรรมมาให้เรา” และซาอูลก็มอบสัตว์ที่ใช้เผาเป็นของถวาย 10 ทันทีที่ท่านมอบของถวายเสร็จ ซามูเอลก็มาถึง ซาอูลจึงออกไปทักทาย 11 ซามูเอลถามว่า “ท่านกระทำอะไรลงไป” ซาอูลตอบว่า “เมื่อเราเห็นว่าทหารระส่ำระสาย และท่านก็ไม่ได้มาตามเวลาที่กำหนดไว้ และชาวฟีลิสเตียก็ประชุมกันที่มิคมาช 12 เราจึงคิดว่า ‘คราวนี้ชาวฟีลิสเตียจะลงมาโจมตีเราที่กิลกาล และเรายังไม่ได้ขอให้พระผู้เป็นเจ้าช่วย’ เรารู้สึกว่าควรจะมอบสัตว์ที่ใช้เผาเป็นของถวาย” 13 ซามูเอลพูดว่า “ท่านกระทำสิ่งที่โง่เขลา ท่านไม่ได้รักษาคำบัญชาที่พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของท่านให้ท่านไว้ หากว่าท่านรักษาคำบัญชา พระองค์ก็จะสถาปนาอาณาจักรของท่านให้ปกครองอิสราเอลไปตลอดกาล 14 แต่บัดนี้อาณาจักรของท่านจะไม่มั่นคง พระผู้เป็นเจ้าหาชายคนหนึ่งผู้เป็นที่โปรดปรานของพระองค์ยิ่งนัก และได้แต่งตั้งให้ท่านเป็นผู้นำของชนชาติของพระองค์ เพราะท่านไม่ได้รักษาคำบัญชาของพระผู้เป็นเจ้า 15 จากนั้นซามูเอลก็ไปจากกิลกาล และขึ้นไปยังกิเบอาห์ของเบนยามิน

และซาอูลนับจำนวนทหารที่อยู่กับท่าน มีประมาณ 600 คน 16 ซาอูลและโยนาธานบุตรของท่าน และทหารที่ติดตามก็อยู่ที่กิเบอาห์ของเบนยามิน ขณะเดียวกับที่ชาวฟีลิสเตียตั้งค่ายอยู่ที่มิคมาช 17 ทหารกองปล้นออกไปจากค่ายของฟีลิสเตียเป็น 3 กอง กองหนึ่งออกไปทางโอฟราห์บริเวณใกล้เคียงชูอัล 18 อีกกองไปทางเบธโฮโรน และกองที่สามไปทางชายแดนที่หันลงสู่หุบเขาเศโบอิมทางถิ่นทุรกันดาร

19 ในครั้งนั้นไม่มีช่างเหล็กทั่วแผ่นดินอิสราเอล เพราะชาวฟีลิสเตียพูดไว้ว่า “มิฉะนั้นพวกชาวฮีบรูจะตีดาบและหอกไว้ใช้” 20 ดังนั้นชาวอิสราเอลทุกคนจึงลงไปยังถิ่นของชาวฟีลิสเตียเพื่อให้คนลับใบมีดคันไถ จอบ ขวาน และเคียว 21 ค่าแรงสองส่วนสามเชเขลสำหรับลับใบมีดคันไถและจอบ และหนึ่งส่วนสามเชเขลสำหรับลับส้อมสามง่าม ขวาน และส้อมประตัก 22 ฉะนั้นในวันสู้รบ ทหารทุกคนที่อยู่กับซาอูลและโยนาธานไม่มีดาบหรือหอกติดมือ ซาอูลกับโยนาธานบุตรของท่านเท่านั้นที่มีอาวุธ 23 ส่วนทหารประจำด่านของฟีลิสเตียก็ออกไปยังทางข้ามที่เนินเขาที่มิคมาช

โยนาธานโจมตีชาวฟีลิสเตียพ่ายไป

14 วันหนึ่งโยนาธานบุตรของซาอูลพูดกับชายหนุ่มที่ถืออาวุธของท่านว่า “มาเถิด เราไปที่ด่านทหารชั้นนอกอีกฟากของชาวฟีลิสเตียกันเถิด” แต่ท่านไม่ได้บอกบิดาของท่านให้ทราบ ขณะนั้นซาอูลอยู่ที่ชายเมืองกิเบอาห์ ในถ้ำทับทิมที่มิโกรน มีทหารอยู่ด้วยประมาณ 600 คน คนที่อยู่ด้วยคืออาหิยาห์บุตรของอาหิทูบผู้เป็นพี่ชายของอีคาโบด อาหิทูบเป็นบุตรของฟีเนหัสบุตรของเอลีปุโรหิตของพระผู้เป็นเจ้าที่เมืองชิโลห์ อาหิยาห์สวมชุดคลุมด้วย และไม่มีใครทราบว่าโยนาธานไปแล้ว ทั้งสองฟากของทางข้ามที่เนินเขา ที่โยนาธานตั้งใจจะข้ามไปยังด่านทหารชั้นนอกของฟีลิสเตียเป็นหน้าผา ผาหนึ่งมีชื่อว่า โบเซส อีกผาหนึ่งชื่อ เสเนห์ ผาหนึ่งหันไปด้านเหนือทางไปมิคมาช และอีกผาหันไปด้านใต้ทางไปเก-บา

โยนาธานพูดกับชายหนุ่มที่ถืออาวุธของท่านว่า “มาเถิด เราไปที่ด่านทหารชั้นนอกของคนที่ไม่ได้เข้าสุหนัตพวกนั้นกันเถิด พระผู้เป็นเจ้าอาจจะกระทำบางสิ่งเพื่อเราก็ได้ ไม่มีสิ่งใดที่จะขวางกั้นพระผู้เป็นเจ้าไม่ให้ช่วยเรา ไม่ว่าจะเป็นคนจำนวนมากหรือน้อยก็ตาม” คนถืออาวุธของท่านพูดว่า “ท่านประสงค์สิ่งใด ท่านก็ดำเนินการไป ข้าพเจ้าขออยู่ติดตามท่านจนชีวิตจะหาไม่” โยนาธานพูดว่า “ถ้าฉะนั้นก็ตามมา เราจะข้ามไปทางที่พวกทหารอยู่ ให้เขาเห็นพวกเรา ถ้าพวกเขาพูดกับเราว่า ‘รออยู่ที่นั่นจนกว่าพวกเราจะมาหาเจ้า’ เราก็จะอยู่กับที่ และไม่ขึ้นไปถึงตัวพวกเขา 10 แต่ถ้าพวกเขาพูดว่า ‘ขึ้นมาหาเราได้’ เราก็จะปีนขึ้นไป เพราะเป็นสัญลักษณ์ให้เรารู้ว่าพระผู้เป็นเจ้าได้มอบพวกเขาไว้ในมือของพวกเราแล้ว” 11 ดังนั้นทั้งสองคนจึงไปแสดงตนให้ชาวฟีลิสเตียเห็นที่ด่านทหารชั้นนอก พวกฟีลิสเตียพูดว่า “ดูสิ ชาวฮีบรูกำลังคลานออกมาจากรูที่ซ่อนตัว” 12 พวกทหารที่ด่านชั้นนอกตะโกนบอกโยนาธานและคนถืออาวุธว่า “ขึ้นมายังที่ของเราสิ แล้วเราจะสอนบทเรียนให้กับเจ้า” โยนาธานจึงพูดกับคนถืออาวุธว่า “ปีนตามเราขึ้นมา พระผู้เป็นเจ้าได้มอบพวกเขาไว้ในมือของอิสราเอลแล้ว” 13 โยนาธานใช้เท้าและมือปีนขึ้นไป คนถืออาวุธก็ตามหลังท่านอย่างใกล้ชิด พวกฟีลิสเตียถูกฆ่าและล้มตายอยู่เบื้องหน้าโยนาธาน และคนถืออาวุธของท่านตามอยู่ข้างหลังก็ได้ฆ่าทหารไปด้วย 14 การโจมตีครั้งแรกนั้น โยนาธานและคนถืออาวุธของท่านฆ่าทหารได้ประมาณ 20 คนที่อยู่ในเขตเนื้อที่ประมาณหนึ่งไร่เศษ 15 เป็นเหตุให้ทหารทั้งกองที่อยู่ทั้งในค่ายและในทุ่งนากลัว ด่านทหารชั้นนอกและแม้แต่ทหารกองปล้นก็ยังกลัวจนตัวสั่น เกิดแผ่นดินไหว ทำให้สถานการณ์เป็นที่น่าตกใจยิ่งนัก

16 ทหารยามของซาอูลที่กิเบอาห์ของเบนยามินมองเห็นคนจำนวนมากกำลังกระจัดกระจายไปคนละทิศละทาง 17 ซาอูลจึงพูดกับทหารที่อยู่กับท่านว่า “นับจำนวนคน ว่ามีใครไปจากเราบ้าง” เมื่อนับแล้ว ดูเถิด โยนาธานกับคนถืออาวุธของท่านไม่อยู่ที่นั่น 18 ซาอูลพูดกับอาหิยาห์ว่า “จงนำหีบของพระเจ้ามา” (ในเวลานั้นหีบของพระเจ้าอยู่กับชาวอิสราเอล) 19 ขณะที่ซาอูลกำลังพูดกับปุโรหิตอยู่ เสียงชุลมุนที่ค่ายชาวฟีลิสเตียก็ดังมากยิ่งขึ้น ดังนั้นซาอูลจึงพูดกับปุโรหิตว่า “ยั้งมือไว้ก่อน” 20 แล้วซาอูลกับพวกทหารของท่านก็ไปสู้รบ และพบว่าพวกฟีลิสเตียฟันดาบสู้กันเองด้วยความสับสนอลหม่าน 21 บรรดาชาวฮีบรูที่ก่อนหน้านั้นได้ไปร่วมพรรคกับพวกฟีลิสเตีย และขึ้นไปที่ค่ายของพวกเขาด้วย กลับมาสมทบกับชาวอิสราเอลที่อยู่กับซาอูลและโยนาธาน 22 ครั้นชาวอิสราเอลทั้งหมดที่ได้หลบซ่อนอยู่ในแถบภูเขาเอฟราอิมทราบว่าพวกฟีลิสเตียหนีเตลิดไป จึงรีบไล่ตามไปต่อสู้ด้วย 23 ฉะนั้นพระผู้เป็นเจ้าได้ช่วยอิสราเอลให้รอดพ้นในวันนั้น และการต่อสู้ครั้งนั้นไปไกลจนเลยเมืองเบธอาเวน

ซาอูลผลุนผลันสาบาน

24 ในวันนั้นชาวอิสราเอลสู้รบอย่างหนัก ซาอูลจึงทำให้ประชาชนถือคำสาบานว่า “ใครก็ตามรับประทานอาหารก่อนจะถึงเย็น และก่อนเราแก้แค้นพวกศัตรูของเรา ก็ขอให้ถูกสาปแช่ง” ดังนั้นจึงไม่มีทหารคนใดลิ้มรสอาหาร 25 ทหารทั้งกองไปถึงบริเวณป่า ที่นั่นมีน้ำผึ้งเรียงรายอยู่บนพื้นดิน 26 เมื่อพวกเขาเข้าไปในป่า ก็เห็นน้ำผึ้งกำลังไหลย้อย แต่ก็ไม่มีผู้ใดแตะเข้าปาก เพราะพวกเขากลัวคำสาบาน 27 แต่โยนาธานไม่ได้ยินว่าบิดาของท่านให้คำสาบานผูกมัดประชาชน ดังนั้นท่านจึงยื่นปลายไม้ที่อยู่ในมือท่านแหย่รวงผึ้ง แล้วมือก็แตะปาก และท่านก็รู้สึกกระชุ่มกระชวย 28 แล้วทหารคนหนึ่งบอกท่านว่า “บิดาของท่านให้คำสาบานผูกมัดกองทหารอย่างจริงจังว่า ‘ใครก็ตามรับประทานอาหารในวันนี้ ขอให้ถูกสาปแช่ง’” เหล่าทหารจึงได้อ่อนล้ากัน 29 โยนาธานพูดว่า “บิดาของเราได้ทำให้คนในแผ่นดินลำบาก เห็นไหมว่า เรากระชุ่มกระชวยปานใดหลังจากได้ชิมน้ำผึ้งเพียงนิดเดียว 30 ถ้าหากว่าวันนี้เหล่าทหารได้รับประทานสิ่งที่ริบมาจากพวกศัตรูแล้ว เขาจะรู้สึกดีกว่านี้เพียงไร และจะได้ฆ่าฟันชาวฟีลิสเตียมากกว่านี้ด้วย”

31 ในวันนั้น หลังจากที่ชาวอิสราเอลได้ฆ่าชาวฟีลิสเตียตั้งแต่มิคมาชจนถึงอัยยาโลนแล้ว พวกเขาจึงอ่อนล้ามาก 32 พวกเขาจึงตะครุบสิ่งที่ริบมาได้ และเอาแกะ โคและลูกโคมาฆ่าตรงพื้นดินและรับประทานเนื้อทั้งที่ยังมีเลือดติดอยู่[m] 33 คนหนึ่งพูดกับซาอูลว่า “ดูสิ พวกทหารกำลังกระทำบาปต่อพระผู้เป็นเจ้าด้วยการรับประทานเนื้อทั้งที่ยังมีเลือดติดอยู่” ซาอูลกล่าวว่า “พวกเจ้าฝืนกฎ จงกลิ้งหินก้อนใหญ่มานี่เดี๋ยวนี้” 34 และท่านกล่าวว่า “ออกไปบอกพวกทหารให้ทั่วหน้ากันว่า ให้แต่ละคนนำโคและแกะมาให้เรา ฆ่าสัตว์ที่นี่แล้วจึงรับประทานได้ อย่ากระทำบาปต่อพระผู้เป็นเจ้าด้วยการรับประทานเนื้อที่ยังมีเลือดติดอยู่” ดังนั้นทุกคนจึงนำโคของตนมาในเย็นวันนั้นและฆ่าสัตว์ที่นั่น[n] 35 แล้วซาอูลก็สร้างแท่นบูชาถวายแด่พระผู้เป็นเจ้า นับว่าเป็นครั้งแรกที่ท่านทำเช่นนั้น

36 ซาอูลกล่าวว่า “เราลงไปตามล่าพวกฟีลิสเตียเวลากลางคืน และจัดการทุกอย่างจนฟ้าสางกันเถิด อย่าปล่อยให้มีใครรอดสักคน” พวกทหารตอบว่า “กระทำตามที่ท่านเห็นว่าดีที่สุดเถิด” แต่ปุโรหิตพูดว่า “ให้พวกเราถามพระเจ้าที่นี่ก่อนเถิด” 37 ซาอูลจึงถามพระเจ้าว่า “ข้าพเจ้าควรจะลงไปตามล่าพวกฟีลิสเตียหรือไม่ พระองค์จะมอบไว้ในมือของอิสราเอลหรือไม่” แต่วันนั้นพระเจ้าไม่ได้ตอบท่าน 38 ซาอูลจึงพูดว่า “ท่านทุกคนที่เป็นผู้นำของประชาชนจงมาที่นี่เถิด เรามาดูกันว่า วันนี้ได้กระทำบาปอะไรบ้าง 39 ตราบที่พระผู้เป็นเจ้ามีชีวิตอยู่ฉันใด พระองค์เป็นผู้ช่วยชีวิตของชาวอิสราเอล และถึงแม้ว่าจะเป็นโยนาธานบุตรของเรา เขาก็จะต้องตาย” แต่ไม่มีใครตอบท่านแม้แต่คนเดียว 40 ดังนั้นซาอูลจึงกล่าวแก่ชาวอิสราเอลทั้งปวงว่า “พวกท่านยืนอยู่ที่โน่น โยนาธานกับเราจะยืนอยู่ที่นี่” ประชาชนตอบว่า “กระทำตามที่ท่านเห็นว่าดีที่สุดเถิด” 41 ซาอูลจึงอธิษฐานต่อพระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของอิสราเอลว่า “โปรดให้คำตอบที่ถูกต้องแก่ข้าพเจ้าเถิด” เมื่อฉลากตกอยู่ที่โยนาธานและซาอูล และประชาชนรอดตัวไป 42 ซาอูลกล่าวว่า “จงใช้วิธีจับฉลากระหว่างเรากับโยนาธานบุตรของเรา” และฉลากตกอยู่ที่โยนาธาน

43 ซาอูลกล่าวกับโยนาธานว่า “บอกเรามาว่า เจ้ากระทำอะไรลงไป” โยนาธานจึงบอกท่านว่า “ข้าพเจ้าชิมน้ำผึ้งที่ปลายไม้นิดเดียวเท่านั้น ข้าพเจ้าต้องตายแล้วหรือ” 44 ซาอูลกล่าวว่า “โยนาธานเอ๋ย ถ้าเจ้าไม่ตาย ก็ขอให้พระเจ้ากระทำต่อเรายิ่งกว่านั้นเสียอีก” 45 แต่ประชาชนพูดกับซาอูลว่า “โยนาธานควรจะตายหรือ ท่านเป็นคนที่ช่วยอิสราเอลให้มีชัยอันใหญ่ยิ่งเช่นนี้ เป็นไปไม่ได้ ตราบที่พระผู้เป็นเจ้ามีชีวิตอยู่ ผมสักเส้นบนศีรษะของท่านก็จะไม่ร่วงลงพื้นหรอก เพราะวันนี้ท่านกระทำไปก็ด้วยความช่วยเหลือของพระเจ้า” ฉะนั้นประชาชนช่วยโยนาธานให้รอดตัวได้ และท่านไม่ตาย 46 และซาอูลหยุดตามล่าพวกฟีลิสเตีย พวกเขาจึงถอยกลับไปยังดินแดนของตน

47 เมื่อซาอูลได้ครองราชย์เป็นกษัตริย์แห่งอิสราเอลแล้ว ท่านได้ต่อสู้ศัตรูที่อยู่รอบด้านเช่น โมอับ ชาวอัมโมน เอโดม บรรดากษัตริย์แห่งโศบาห์ และพวกชาวฟีลิสเตีย ไม่ว่าท่านจะหันไปที่ไหน ท่านก็ทำให้คนเหล่านั้นเป็นทุกข์ 48 ท่านต่อสู้อย่างกล้าหาญ และตีพวกอามาเลขให้พ่ายแพ้ไป และช่วยอิสราเอลให้พ้นจากมือของพวกที่เคยปล้นระดมพวกเขา

49 ต่อไปนี้เป็นรายชื่อบุตรของซาอูล โยนาธาน อิชวี มัลคีชูวา ธิดาหัวปีชื่อเมราบ และธิดาคนเล็กชื่อมีคาล 50 ภรรยาของท่านชื่ออาหิโนอัมบุตรีของอาหิมาอัส ผู้บังคับกองพันทหารของซาอูลชื่ออับเนอร์บุตรของเนอร์ และเนอร์เป็นลุงของซาอูล 51 คีชเป็นบิดาของซาอูล เนอร์เป็นบิดาของอับเนอร์ คีชและเนอร์เป็นบุตรของอาบีเอล

52 มีการต่อสู้อย่างรุนแรงกับชาวฟีลิสเตียตลอดทั้งชีวิตของซาอูล เมื่อใดที่ซาอูลเล็งเห็นชายผู้เก่งกล้าและกล้าหาญ ท่านก็จะเรียกให้เขาเข้าไปรับใช้อย่างใกล้ชิด

พระผู้เป็นเจ้าไม่ยอมรับซาอูล

15 ซามูเอลพูดกับซาอูลว่า “ข้าพเจ้าเป็นคนที่พระผู้เป็นเจ้าใช้ให้มาเจิมท่านเป็นกษัตริย์ปกครองคนของพระองค์ คือชาวอิสราเอล ฉะนั้นบัดนี้ขอท่านฟังคำพูดของพระผู้เป็นเจ้า พระผู้เป็นเจ้าจอมโยธากล่าวว่า ‘เราจะลงโทษพวกอามาเลข ตามที่เขาได้กระทำต่ออิสราเอล ต่อต้านพวกเขาในขณะที่กำลังออกไปจากประเทศอียิปต์[o] เวลานี้จงไปโจมตีพวกอามาเลข และทำลายทุกสิ่งที่เป็นของพวกเขา อย่าไว้ชีวิตใคร ฆ่าทั้งชายและหญิง เด็กๆ และทารก โคและแกะ อูฐและลา’”

ดังนั้นซาอูลจึงเกณฑ์พลและตรวจพลที่เทลาอิม มีทหารราบ 200,000 คน และชาย 10,000 คนจากเผ่ายูดาห์ ซาอูลไปยังเมืองของชาวอามาเลข และดักซุ่มที่ธารน้ำในหุบเขา แล้วท่านพูดกับชาวเคนว่า “ไปเถิด จงไปเสียจากชาวอามาเลข เพื่อเราจะไม่ต้องทำลายพวกท่านรวมไปกับพวกเขาด้วย เพราะว่าพวกท่านกรุณาต่อชาวอิสราเอลทั้งปวง ในเวลาที่เขาออกมาจากประเทศอียิปต์”[p] ดังนั้นชาวเคนจึงแยกย้ายออกไปจากชาวอามาเลข และซาอูลก็โจมตีชาวอามาเลข ตั้งแต่ฮาวิลาห์ไปจนถึงชูร์ซึ่งอยู่ทางตะวันออกของอียิปต์ ท่านจับอากักกษัตริย์ของชาวอามาเลขได้ทั้งเป็น ท่านทำลายล้างทุกชีวิตด้วยคมดาบ แต่ซาอูลและพวกทหารไว้ชีวิตอากักและแกะกับโคที่ดีที่สุด รวมทั้งลูกโคและลูกแกะอ้วนพี คือทุกสิ่งที่ดีๆ พวกเขาไม่ยอมทำลายให้เสียสิ้น แต่ทุกสิ่งที่ไม่มีค่าและอ่อนแอนั้น พวกเขาทำลายล้างจนหมดสิ้น

10 พระผู้เป็นเจ้าจึงกล่าวกับซามูเอลว่า 11 “เราเสียใจที่ได้แต่งตั้งซาอูลให้เป็นกษัตริย์ เพราะว่าเขาได้หันไปจากเรา และไม่ได้กระทำตามคำบัญชาของเรา” ซามูเอลไม่สบายใจ ท่านจึงได้ร้องเรียกถึงพระผู้เป็นเจ้าตลอดทั้งคืน 12 วันรุ่งขึ้นซามูเอลลุกขึ้นแต่เช้าตรู่ และไปพบกับซาอูล แต่มีคนบอกท่านว่า “ซาอูลไปที่ภูเขาคาร์เมลแล้ว ท่านไปตั้งสถานที่ระลึกที่นั่นเพื่อเป็นเกียรติแก่ตนเอง และลงไปยังกิลกาลต่ออีกด้วย” 13 เมื่อซามูเอลตามหาซาอูลพบแล้ว ซาอูลพูดว่า “พระผู้เป็นเจ้าอวยพรให้แก่ท่าน เราได้กระทำตามคำสั่งของพระผู้เป็นเจ้าแล้ว” 14 แต่ซามูเอลพูดว่า “แล้วเสียงร้องจากฝูงแพะแกะและฝูงโคล่ะ มันเรื่องอะไรกัน” 15 ซาอูลตอบว่า “พวกทหารเอาฝูงสัตว์มาจากพวกอามาเลข และไว้ชีวิตแพะแกะและโคที่ดีที่สุด เพื่อถวายเป็นเครื่องสักการะแด่พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของท่าน และที่เหลือ เราก็ได้ทำลายล้างจนหมดสิ้นแล้ว” 16 ซามูเอลพูดกับซาอูลว่า “หยุดได้แล้ว ให้เราบอกท่านเถิดว่าพระผู้เป็นเจ้ากล่าวอะไรกับเราเมื่อคืนนี้” ซาอูลตอบว่า “บอกเราเถิด”

17 ซามูเอลพูดว่า “แม้ว่าท่านเคยคิดว่า ท่านไม่ใช่คนสำคัญนัก แล้วท่านไม่ได้มาเป็นผู้นำของบรรดาเผ่าของอิสราเอลหรือ พระผู้เป็นเจ้าเจิมท่านให้เป็นกษัตริย์ปกครองอิสราเอล 18 และพระองค์มอบหมายให้ท่านออกไปปฏิบัติงาน โดยกล่าวว่า ‘จงไปทำลายล้างชาวอามาเลขซึ่งเป็นคนบาปให้หมดสิ้น ทำศึกสงครามกับพวกนั้นจนเจ้าปราบทุกคนให้สูญสิ้น’ 19 ทำไมท่านจึงไม่เชื่อฟังพระผู้เป็นเจ้า ทำไมท่านจึงได้ตะครุบเอาสิ่งที่ริบได้ และกระทำชั่วในสายตาของพระผู้เป็นเจ้า 20 ซาอูลพูดกับซามูเอลว่า “แต่เราเชื่อฟังพระผู้เป็นเจ้าแล้ว เราปฏิบัติไปตามที่พระผู้เป็นเจ้ามอบหมายให้เราทำ เราพาอากักกษัตริย์ของพวกเขากลับมา และเราทำลายล้างพวกอามาเลขจนหมดสิ้น 21 พวกทหารเอาฝูงแพะแกะและฝูงโคจากที่ริบมาได้ ซึ่งเป็นสิ่งที่ดีที่สุดที่ถูกกำหนดให้พินาศ เพื่อเป็นเครื่องสักการะแด่พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของท่านที่กิลกาล”

22 ซามูเอลพูดว่า

พระผู้เป็นเจ้ายินดีในสัตว์ที่เผาเป็นของถวาย
    และเครื่องสักการะ มากเท่ากับการเชื่อฟังพระผู้เป็นเจ้าหรือ
การเชื่อฟังดีกว่าเครื่องสักการะ
    และการฟังก็ดีกว่าไขมันจากแกะตัวผู้
23 เพราะว่าการขัดขืนเป็นดั่งบาปของการทำนายอนาคต
    และความยโสเป็นดั่งความชั่วของการบูชารูปเคารพ
เพราะท่านไม่ได้กระทำตามคำกล่าวของพระผู้เป็นเจ้า
    พระองค์ไม่ยอมรับท่านเป็นกษัตริย์แล้ว”

24 ซาอูลพูดกับซามูเอลว่า “เราได้กระทำบาปแล้ว เราได้ละเมิดคำบัญชาของพระผู้เป็นเจ้าและสิ่งที่ท่านแจ้ง เรากลัวผู้คน เราจึงยอมทำตามพวกเขา 25 เวลานี้เราขอร้องท่าน โปรดให้อภัยบาปของเรา และกลับไปกับเรา เราจะได้นมัสการพระผู้เป็นเจ้า 26 แต่ซามูเอลพูดกับท่านว่า “เราจะไม่กลับไปกับท่าน ท่านไม่ได้กระทำตามคำกล่าวของพระผู้เป็นเจ้า และพระผู้เป็นเจ้าไม่ยอมรับท่านเป็นกษัตริย์ปกครองอิสราเอลแล้ว” 27 ขณะที่ซามูเอลหันกลับเพื่อจะจากไป ซาอูลคว้าชายเสื้อท่านไว้ เสื้อก็ขาด 28 ซามูเอลพูดกับท่านว่า “พระผู้เป็นเจ้าได้ฉีกอาณาจักรของอิสราเอลไปจากท่านในวันนี้ และมอบให้แก่คนร่วมชาติของท่านอีกคนหนึ่งซึ่งดีกว่าท่าน 29 พระองค์ผู้เป็นพระบารมีของอิสราเอลไม่พูดปดหรือเปลี่ยนใจ เพราะพระองค์ไม่ใช่มนุษย์ที่จะเปลี่ยนใจ” 30 ซาอูลตอบว่า “เราได้กระทำบาปแล้ว แต่โปรดให้เกียรติเราต่อหน้าบรรดาหัวหน้าชั้นผู้ใหญ่ของประชาชน และต่อหน้าอิสราเอล ท่านกลับมากับเราเถิด เราจะได้นมัสการพระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของท่าน” 31 ดังนั้นซามูเอลจึงกลับไปกับซาอูล และซาอูลก็ได้นมัสการพระผู้เป็นเจ้า

32 ซามูเอลกล่าวว่า “พาอากักกษัตริย์ของชาวอามาเลขมาให้เรา” อากักก็มาหาท่านด้วยความมั่นใจและคิดว่า “จังหวะที่จะต้องตายคงผ่านพ้นไปแล้วเป็นแน่” 33 แต่ซามูเอลพูดว่า “เท่าที่คมดาบของท่านได้ทำให้ผู้หญิงบางคนไร้บุตรฉันใด มารดาของท่านก็จะไร้บุตรในบรรดาผู้หญิงฉันนั้น” และซามูเอลก็ประหารอากักต่อหน้าพระผู้เป็นเจ้าที่กิลกาล

34 จากนั้นซามูเอลก็ไปยังรามาห์ แต่ซาอูลขึ้นไปยังวังของท่านที่กิเบอาห์แห่งซาอูล 35 ซามูเอลไม่ได้ไปพบซาอูลอีกจนวันสิ้นชีวิต กระนั้นก็ตามซามูเอลยังร้องคร่ำครวญถึงซาอูล และพระผู้เป็นเจ้าเสียใจที่พระองค์แต่งตั้งซาอูลให้เป็นกษัตริย์ปกครองอิสราเอล

New Thai Version (NTV-BIBLE)

Copyright © 1998, 2012, 2020 by New Thai Version Foundation