Print Page Options
Previous Prev Day Next DayNext

Bible in 90 Days

An intensive Bible reading plan that walks through the entire Bible in 90 days.
Duration: 88 days
New Thai Version (NTV-BIBLE)
Version
1 ซามูเอล 16:1-28:19

ดาวิดกษัตริย์ที่ได้รับการเจิม

16 พระผู้เป็นเจ้ากล่าวกับซามูเอลว่า “เจ้าจะเศร้าใจเพราะซาอูลไปนานแค่ไหน เราไม่รับเขาเป็นกษัตริย์ปกครองอิสราเอลแล้ว จงเติมน้ำมันให้เต็มเขาสัตว์ แล้วไปเถิด เราจะให้เจ้าไปหาเจสซีชาวเบธเลเฮม เพราะเราได้เตรียมกษัตริย์ผู้หนึ่งจากบรรดาบุตรของเขาไว้แล้วสำหรับเรา” ซามูเอลพูดว่า “ข้าพเจ้าจะไปได้อย่างไร ถ้าซาอูลทราบเรื่อง ท่านก็จะฆ่าข้าพเจ้าตาย” และพระผู้เป็นเจ้ากล่าวว่า “จงเอาลูกโคตัวเมียตัวหนึ่งไปกับเจ้า และบอกว่า ‘เรามาเพื่อถวายเครื่องสักการะแด่พระผู้เป็นเจ้า และจงเชิญเจสซีมาที่ถวายเครื่องสักการะ และเราจะบอกเจ้าว่าควรจะทำอะไร และเจ้าจะเจิมคนที่เราบอกให้เจ้ารู้” ซามูเอลกระทำตามที่พระผู้เป็นเจ้าสั่ง ท่านจึงไปยังเบธเลเฮม บรรดาหัวหน้าชั้นผู้ใหญ่ของเมืองก็ออกมาพบกับท่าน ตัวสั่นเทาและพูดกับท่านว่า “ท่านมาอย่างสันติหรือ” ท่านตอบว่า “มาอย่างสันติสิ เรามาเพื่อถวายเครื่องสักการะแด่พระผู้เป็นเจ้า พวกท่านจงชำระตัวให้บริสุทธิ์ และไปยังที่ถวายเครื่องสักการะกับเรา” ท่านก็ชำระตัวเจสซีและบรรดาบุตรให้บริสุทธิ์ และเชิญพวกเขาไปยังที่ถวายเครื่องสักการะ

เมื่อเขาเหล่านั้นมาถึง ซามูเอลก็มองเอลีอับพร้อมกับคิดว่า “คนที่พระผู้เป็นเจ้าจะเจิมอยู่เบื้องหน้าพระองค์แล้วอย่างแน่นอน” แต่พระผู้เป็นเจ้ากล่าวกับซามูเอลว่า “อย่ามองแต่เพียงร่างที่ปรากฏให้เห็น หรือดูความสูงของเขา เพราะเราไม่รับเขา พระผู้เป็นเจ้าไม่ได้เห็นเหมือนกับมนุษย์เห็น มนุษย์มองสิ่งที่ปรากฏให้เห็นแต่ภายนอก แต่พระผู้เป็นเจ้ามองที่จิตใจ” และเจสซีเรียกอาบีนาดับมา และให้เขาเดินผ่านหน้าซามูเอล และซามูเอลพูดว่า “พระผู้เป็นเจ้าไม่ได้เลือกคนนี้เช่นกัน” เจสซีจึงเรียกชัมมาห์ให้มาเดินผ่านหน้า และซามูเอลพูดว่า “พระผู้เป็นเจ้าไม่ได้เลือกคนนี้เช่นกัน” 10 เจสซีให้บุตรทั้งเจ็ดของเขามาเดินผ่านหน้าซามูเอล ซามูเอลพูดกับเจสซีว่า “พระผู้เป็นเจ้าไม่ได้เลือกบุตรทั้งหมดนี้” 11 ครั้นแล้วซามูเอลพูดกับเจสซีว่า “บุตรของท่านทุกคนอยู่ที่นี่หรือ” เขาตอบว่า “ยังเหลือคนที่เล็กสุด แต่เขากำลังเฝ้าฝูงแกะอยู่” ซามูเอลพูดกับเจสซีว่า “ให้คนไปพาตัวเขามาที่นี่ เพราะพวกเราจะไม่นั่งลงจนกว่าเขาจะมาที่นี่” 12 เขาจึงให้คนไปตามตัวเข้ามา เขาเป็นคนผิวออกแดงๆ ดวงตาเป็นประกายและรูปงาม และพระผู้เป็นเจ้ากล่าวว่า “ลุกขึ้น และเจิมเขาเถิด คนนี้แหละ” 13 ครั้นแล้วซามูเอลจึงเจิมเขาด้วยน้ำมันจากเขาสัตว์ในท่ามกลางบรรดาพี่ๆ และดาวิดก็เปี่ยมด้วยอานุภาพแห่งพระวิญญาณพระผู้เป็นเจ้าตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นไป แล้วซามูเอลลุกขึ้นและกลับไปยังรามาห์

ดาวิดรับใช้ซาอูล

14 ครั้งนั้น พระวิญญาณพระผู้เป็นเจ้าได้จากซาอูลไปแล้ว และวิญญาณอันชั่วร้ายที่พระผู้เป็นเจ้าส่งมาก็ทรมานท่าน 15 บรรดาผู้รับใช้ของซาอูลพูดกับท่านว่า “ดูเถิด วิญญาณอันชั่วร้ายที่พระเจ้าส่งมาก็กำลังทรมานท่านอยู่ 16 ขอให้นายท่านบัญชาผู้รับใช้ทั้งปวงในที่นี้ ไปหาชายคนหนึ่งที่เล่นพิณเล็กด้วยความชำนาญมา เผื่อเวลาวิญญาณอันชั่วร้ายที่พระเจ้าส่งมาเข้าตัวท่าน เขาจะได้เล่นพิณ และท่านจะได้หายดี” 17 ซาอูลจึงพูดกับบรรดาผู้รับใช้ว่า “ไปเสาะหาชายคนหนึ่งที่สามารถเล่นพิณเก่ง พาเขามาหาเรา” 18 คนหนึ่งในพวกชายหนุ่มตอบว่า “ดูเถิด ข้าพเจ้าเคยเห็นบุตรคนหนึ่งของเจสซีชาวเบธเลเฮม เขาเล่นพิณเก่ง กล้าหาญ เป็นนักรบ มีโวหารดี และลักษณะก็ดี และพระผู้เป็นเจ้าสถิตกับเขา” 19 ดังนั้นซาอูลให้ผู้ส่งข่าวไปบอกเจสซีว่า “จงให้ดาวิดบุตรของท่าน ที่เฝ้าฝูงแกะอยู่มาหาเรา” 20 เจสซีจึงบรรทุกลาตัวหนึ่งด้วยขนมปัง ถุงหนังใส่เหล้าองุ่น 1 ถุง และแพะหนุ่ม 1 ตัว ให้ดาวิดบุตรของตนนำไปให้ซาอูล 21 ดาวิดไปเข้าเฝ้าซาอูล และคอยรับใช้ท่าน ซาอูลรักดาวิดมาก และเขาได้เป็นคนถืออาวุธของท่าน 22 และซาอูลให้คนไปบอกเจสซีว่า “ให้ดาวิดอยู่รับใช้เราต่อไปเถิด เพราะเขาเป็นที่โปรดปรานของเรามาก” 23 และเมื่อใดที่วิญญาณอันชั่วร้ายที่พระเจ้าส่งมาเข้าตัวท่าน ดาวิดก็เอาพิณเล็กมาเล่นด้วยตนเอง ซาอูลจึงรู้สึกสดชื่นและหายดี และวิญญาณชั่วร้ายก็จากท่านไป

ดาวิดกับโกลิอัท

17 ชาวฟีลิสเตียได้รวบรวมกองทหารเพื่อทำสงคราม และประชุมกันที่โสโคห์ซึ่งอยู่ในเขตยูดาห์ ตั้งค่ายอยู่ระหว่างโสโคห์และอาเซคาห์ที่เอเฟสดัมมิม ซาอูลและบรรดาชายชาวอิสราเอลประชุมกัน และตั้งค่ายอยู่ในหุบเขาเอลาห์ และยืนแถวในแนวรบกับชาวฟีลิสเตีย ชาวฟีลิสเตียยืนอยู่ทางฟากหนึ่งของภูเขา และชาวอิสราเอลยืนอยู่อีกฟากหนึ่ง มีหุบเขากั้นระหว่าง 2 ฝ่าย ผู้ต่อสู้ตัวเอกแห่งเมืองกัทคนหนึ่งสูง 6 ศอก ชื่อโกลิอัท ออกมาจากค่ายของชาวฟีลิสเตีย เขามีหมวกทองสัมฤทธิ์สวมศีรษะ สวมเสื้อเกราะป้องกันตัว เสื้อเป็นทองสัมฤทธิ์หนัก 5,000 เชเขล[a] และมีเกราะทองสัมฤทธิ์ป้องกันขา และมีหอกซัดทองสัมฤทธิ์ผูกไว้บนหลังของเขา ด้ามแหลนของเขาเหมือนไม้กระพั่นของคนทอผ้า ปลายแหลนเป็นเหล็กหนัก 600 เชเขล และคนแบกโล่เดินล่วงหน้าเขาไป โกลิอัทยืนตะโกนบอกชาวอิสราเอลที่ยืนแถวในแนวรบว่า “ทำไมพวกเจ้าออกมายืนแถวเตรียมรบเล่า ข้าไม่ใช่ชาวฟีลิสเตียหรือ และเจ้าเป็นคนรับใช้ของซาอูลมิใช่หรือ จงเลือกชายคนใดคนหนึ่งออกมา ให้เขาลงมาหาข้า ถ้าเขาสามารถสู้และฆ่าข้าได้ พวกเราก็จะเป็นคนรับใช้ของพวกเจ้า แต่ถ้าข้าสู้ชนะและฆ่าเขาตาย พวกเจ้าก็จะเป็นคนรับใช้ของพวกเรา และรับใช้พวกเรา” 10 ชาวฟีลิสเตียคนนั้นพูดว่า “วันนี้เราขอท้าแนวรบของอิสราเอล ส่งชายคนใดคนหนึ่งให้ออกมาสู้กับเราตัวต่อตัว” 11 ครั้นซาอูลและชาวอิสราเอลได้ยินชาวฟีลิสเตียพูดเช่นนั้น ก็ตกใจและหวาดกลัวมาก

12 ดาวิดเป็นบุตรคนหนึ่งของเจสซีชาวเอฟราธาห์แห่งเบธเลเฮมในยูดาห์ เจสซีมีบุตร 8 คน และในช่วงเวลาของซาอูล เจสซีก็ชราและมีอายุมากแล้ว 13 บุตร 3 คนแรกของเจสซีได้ติดตามซาอูลไปสู้รบบ้างแล้ว บุตรทั้งสามที่ได้ไปสู้รบชื่อ เอลีอับบุตรหัวปี อาบีนาดับคนถัดไป และชัมมาห์คนที่สาม 14 ดาวิดเป็นคนสุดท้อง 3 คนแรกติดตามซาอูลไป 15 แต่ดาวิดไปๆ มาๆ ระหว่างซาอูลและกลับไปเลี้ยงดูฝูงแกะของบิดาที่เบธเลเฮม 16 ชาวฟีลิสเตียคนนั้นได้ออกมาท้าทายอย่างไม่หยุดยั้ง ทั้งเช้าทั้งเย็นเป็นเวลา 40 วัน

17 เจสซีพูดกับดาวิดบุตรของตนว่า “เจ้าเอาข้าวคั่ว 1 เอฟาห์[b] กับขนมปัง 10 ก้อนไป เอาไปให้พี่ๆ ของเจ้าที่ค่ายโดยเร็ว 18 เอาเนยแข็ง 10 ก้อนไปให้ผู้บังคับกองพันด้วย ไปดูซิว่าพวกพี่ชายของเจ้าเป็นอย่างไรบ้าง และเอาอะไรจากพวกเขากลับมาพิสูจน์ให้เห็นด้วย”

19 ขณะนั้นซาอูล พวกพี่ชายของดาวิด และชายอิสราเอลคนอื่นๆ กำลังสู้รบกับพวกชาวฟีลิสเตียในหุบเขาเอลาห์ 20 ดาวิดลุกขึ้นแต่เช้าตรู่ ปล่อยให้คนเฝ้าแกะดูแลฝูงแกะ และหอบของที่เจสซีสั่งให้เอาไป เขาเดินทางถึงค่ายขณะที่กองทัพกำลังออกไปเผชิญหน้ากันด้วยเสียงโห่ร้องของสนามรบ 21 ชาวอิสราเอลและชาวฟีลิสเตียยืนแถวในแนวรบ กองทัพปะทะกับกองทัพ 22 ดาวิดจึงให้ของที่หอบมาไว้กับคนดูแลสัมภาระ และวิ่งไปยังกองรบที่ยืนแถวอยู่ และไปทักทายพวกพี่ๆ 23 ขณะที่เขากำลังพูดกับพวกพี่ๆ ดูเถิด ผู้ต่อสู้ตัวเอกชื่อโกลิอัทชาวฟีลิสเตียแห่งเมืองกัท ก็ก้าวออกมาจากแนวรบของพวกฟีลิสเตีย และพูดเหมือนกับที่เคยพูดมาแล้ว และดาวิดได้ยินเขาพูด

24 เมื่อชายชาวอิสราเอลทุกคนเห็นโกลิอัท พวกเขาก็ถอยหนีไปด้วยความกลัวยิ่งนัก 25 ชายชาวอิสราเอลจึงพูดขึ้นว่า “เจ้าเคยเห็นคนที่ขึ้นมาแล้วหรือยัง เขาขึ้นมาเพื่อท้าทายอิสราเอลอย่างแน่นอน กษัตริย์ของเราจะมอบรางวัลอย่างมั่งคั่งให้แก่คนที่ฆ่าเขาได้ และจะมอบบุตรสาวของท่านให้ด้วย อีกทั้งครอบครัวของเขาจะมีอิสระทุกอย่างในประเทศอิสราเอล” 26 ดาวิดพูดกับบรรดาชายที่ยืนอยู่ใกล้ๆ ว่า “จะเกิดอะไรขึ้นกับคนที่ฆ่าชาวฟีลิสเตียคนนี้ และช่วยอิสราเอลให้พ้นจากคำดูหมิ่นได้ ชาวฟีลิสเตียที่ไม่ได้เข้าสุหนัตผู้นี้เป็นใคร เขาจึงท้าทายกองทัพของพระเจ้าผู้ดำรงชีวิต” 27 และประชาชนก็ตอบเหมือนกันว่า “คนที่ฆ่าเขาตายจะได้รับสิ่งดังกล่าวนั้นแหละ”

28 ฝ่ายเอลีอับพี่ชายคนหัวปีของเขาได้ยินดาวิดพูดกับพวกผู้ชาย เอลีอับจึงโกรธดาวิดมาก และถามว่า “เจ้าลงมาทำไม และเจ้าปล่อยแกะไม่กี่ตัวไว้กับใครในถิ่นทุรกันดาร ข้ารู้ความหยิ่งผยองของเจ้า และเจ้าคิดในสิ่งชั่วร้าย เป็นเพราะเจ้าอยากลงมาดูการสู้รบนั่นเอง” 29 ดาวิดจึงตอบว่า “เราไม่ได้ทำอะไรผิด เพียงแต่พูดไม่กี่คำเท่านั้น” 30 แล้วเขาก็หันไปทางคนอื่น และพูดเหมือนเดิมอีก และประชาชนก็ตอบเขาเหมือนเดิมอีกเช่นกัน

31 เมื่อคนได้ยินสิ่งที่ดาวิดพูด เขาก็ไปพูดให้ซาอูลฟัง ท่านจึงให้คนไปตามตัวมา 32 ดาวิดพูดกับซาอูลว่า “อย่าให้ใครใจเสียเพราะชายคนนั้น ผู้รับใช้ของท่านจะไปต่อสู้กับชาวฟีลิสเตียคนนั้นเอง” 33 ซาอูลพูดกับดาวิดว่า “เจ้าไม่สามารถไปต่อสู้กับชาวฟีลิสเตียคนนั้นได้หรอก เพราะเจ้ายังมีอายุน้อยอยู่ แต่เขาเป็นนักรบมาตั้งแต่เยาว์วัยแล้ว” 34 แต่ดาวิดพูดกับซาอูลว่า “ผู้รับใช้ของท่านเคยเฝ้าดูฝูงแกะให้พ่อ และเมื่อใดที่มีสิงโตหรือหมีมาตะครุบลูกแกะไปจากฝูง 35 ข้าพเจ้าก็ไล่ตามไปสู้ และช่วยลูกแกะรอดจากปากสิงโต แต่ถ้ามันกระโจนใส่ข้าพเจ้า ข้าพเจ้าก็คว้าขนที่คอ และทุบตีมันจนตาย 36 ผู้รับใช้ของท่านได้ต่อสู้ชนะสิงโตและหมีมาแล้ว และชาวฟีลิสเตียที่ไม่ได้เข้าสุหนัตผู้นี้ก็จะเป็นเหมือนสัตว์เหล่านั้น เพราะเขาท้ากองทัพของพระเจ้าผู้ดำรงอยู่” 37 และดาวิดพูดว่า “พระผู้เป็นเจ้าผู้ช่วยข้าพเจ้าให้รอดจากอุ้งเท้าสิงโตและหมี ก็จะช่วยข้าพเจ้าให้รอดจากเงื้อมมือของชาวฟีลิสเตียผู้นี้” ซาอูลจึงพูดกับดาวิดว่า “ไปเถิด และขอให้พระผู้เป็นเจ้าสถิตกับเจ้า”

38 ครั้นแล้วซาอูลก็ให้ดาวิดสวมชุดออกศึกของท่าน ท่านสวมหมวกทองสัมฤทธิ์บนศีรษะ และให้สวมเสื้อเกราะป้องกันตัวให้เขา 39 ดาวิดสะพายดาบของท่านทับชุดออกศึก แล้วพยายามเดินไป แต่เดินไม่ได้ เพราะไม่เคยสวมมาก่อน ดาวิดจึงพูดกับซาอูลว่า “ข้าพเจ้าสวมชุดแบบนี้ไปต่อสู้ไม่ได้หรอก เพราะไม่เคยใช้” ดาวิดจึงปลดออก 40 แล้วเขาก็ถือไม้เท้าของเขา และเลือกก้อนหิน 5 ก้อนจากธารน้ำ เก็บใส่ถุงที่คนเลี้ยงแกะใช้กัน มือถือสลิง[c] แล้วเขาก็เดินไปหาชาวฟีลิสเตียผู้นั้น

41 ชาวฟีลิสเตียเดินหน้าเข้าหาดาวิด พร้อมกับมีคนถือโล่เดินนำหน้าเขา 42 เมื่อชาวฟีลิสเตียมองเห็นดาวิดก็ดูถูกเขา เพราะเป็นเพียงเด็ก ผิวออกแดงๆ และรูปงาม 43 ชาวฟีลิสเตียพูดกับดาวิดว่า “ข้าเป็นหมาหรือไง เจ้าจึงถือไม้มาด้วย” และชาวฟีลิสเตียผู้นั้นก็แช่งด่าดาวิดในนามเทพเจ้าของเขา 44 ชาวฟีลิสเตียพูดกับดาวิดว่า “มาหาข้าสิ ข้าจะได้เอาเนื้อเจ้าให้นกในอากาศกับสัตว์ป่าในทุ่งกิน” 45 แล้วดาวิดพูดกับชาวฟีลิสเตียว่า “ท่านมีดาบ แหลน และหอกซัดมาหาเรา แต่เรามาหาท่านด้วยพระนามของพระผู้เป็นเจ้าจอมโยธา พระเจ้าของกองทัพของอิสราเอลที่ท่านท้าทาย 46 วันนี้พระผู้เป็นเจ้าจะมอบท่านไว้ในมือของเรา และเราจะปราบท่าน และตัดหัวท่าน และเราจะเอาศพทหารของชาวฟีลิสเตียให้นกในอากาศกับสัตว์ป่าในโลกกิน เพื่อทั่วทั้งโลกจะได้รู้ว่ามีพระเจ้าในอิสราเอล 47 และทุกคนที่อยู่ที่นี่จะได้รู้ว่าพระผู้เป็นเจ้าไม่ได้ช่วยให้รอดด้วยดาบและแหลน เพราะการสู้รบเป็นของพระผู้เป็นเจ้า และพระองค์จะมอบท่านไว้ในมือของพวกเรา”

48 เมื่อชาวฟีลิสเตียผู้นั้นก้าวเข้าไปหาดาวิดใกล้ยิ่งขึ้น ดาวิดจึงรีบวิ่งสู่สนามรบเพื่อปะทะกับชาวฟีลิสเตียผู้นั้น 49 ดาวิดหยิบก้อนหินที่อยู่ในถุงออกมาก้อนหนึ่ง และเหวี่ยงถูกหน้าผากของชาวฟีลิสเตีย หินก้อนนั้นฝังเข้าไปในหน้าผาก และเขาก็ทรุดตัวลงบนพื้นดิน

50 ดังนั้นดาวิดชนะชาวฟีลิสเตียด้วยสลิงและก้อนหินก้อนเดียว ปราบชาวฟีลิสเตียและฆ่าเขาได้ ดาวิดไม่มีแม้แต่ดาบติดตัว 51 ดาวิดวิ่งไปและก้มดูชาวฟีลิสเตียคนนั้น ควักดาบออกจากฝัก ฆ่าเขาให้ตายและตัดหัวด้วย เมื่อชาวฟีลิสเตียทั้งปวงเห็นว่าผู้ต่อสู้ตัวเอกของพวกเขาตายเสียแล้ว จึงพากันหนีเตลิดไป 52 ฝ่ายชาวอิสราเอลและยูดาห์ก็วิ่งไปข้างหน้าพร้อมกับเสียงโห่ร้องไล่ตามชาวฟีลิสเตียไปจนถึงเมืองกัทและประตูเมืองเอโครน ชาวฟีลิสเตียที่บาดเจ็บจึงล้มลงตามทางตั้งแต่ชาอาราอิม ไปจนถึงเมืองกัทและเอโครน 53 ชาวอิสราเอลไล่ล่าชาวฟีลิสเตียไปแล้วก็กลับมา เพื่อริบข้าวของไปจากค่าย 54 ฝ่ายดาวิดก็เอาหัวของชาวฟีลิสเตียคนนั้นไปที่เมืองเยรูซาเล็ม และเก็บเสื้อเกราะของโกลิอัทไว้ในกระโจมของตน

55 ทันทีที่ซาอูลเห็นดาวิดออกไปต่อสู้กับชาวฟีลิสเตียคนนั้น ท่านถามอับเนอร์ผู้บังคับกองพันทหารว่า “อับเนอร์ เจ้าหนุ่มน้อยคนนี้เป็นบุตรของใคร” อับเนอร์ตอบว่า “ข้าแต่กษัตริย์ ข้าพเจ้าพูดตามตรงว่า ข้าพเจ้าไม่ทราบ” 56 และกษัตริย์กล่าวว่า “ไปไถ่ถามดูสิว่าเด็กหนุ่มคนนั้นเป็นบุตรของใคร” 57 ขณะที่ดาวิดกลับมาจากการฆ่าฟันชาวฟีลิสเตีย อับเนอร์ก็พาไปหาซาอูลพร้อมกับหัวของชาวฟีลิสเตียยังอยู่ในมือ 58 ซาอูลจึงกล่าวกับเขาว่า “เจ้าหนุ่มน้อย เจ้าเป็นบุตรของใคร” ดาวิดตอบว่า “ข้าพเจ้าเป็นบุตรของเจสซีชาวเบธเลเฮมผู้รับใช้ของท่าน”

มิตรภาพระหว่างดาวิดและโยนาธาน

18 ทันทีที่ซาอูลพูดกับดาวิดจบแล้ว จิตใจของโยนาธานก็ผูกพันกับจิตใจของดาวิด และโยนาธานรักดาวิดเท่าชีวิตของตน ซาอูลรับดาวิดในวันนั้น โดยไม่ปล่อยให้เขากลับไปบ้านของบิดาอีก ครั้นแล้วโยนาธานจึงสาบานตนกับดาวิด เพราะเขารักดาวิดเท่าชีวิตของตน และโยนาธานปลดเสื้อคลุมที่ตนสวมอยู่มอบให้แก่ดาวิด รวมถึงชุดออกศึก ดาบ ชุดธนู และเข็มขัดด้วย ที่ใดก็ตามที่ซาอูลใช้ให้ดาวิดไป เขาประสบความสำเร็จเสมอ ดังนั้นซาอูลจึงแต่งตั้งเขาให้เป็นแม่ทัพ ซึ่งเป็นที่พึงพอใจของคนทั้งปวงและของบริวารของท่านเช่นกัน

ซาอูลอิจฉาดาวิด

ขณะที่กองทัพกลับมา และดาวิดกลับจากการฆ่าฟันชาวฟีลิสเตีย พวกผู้หญิงออกมาจากทุกเมืองของอิสราเอลร้องรำทำเพลง เพื่อรับการกลับมาของกษัตริย์ซาอูล เขย่ารำมะนา ร้องเพลงแสดงความยินดี และดีดเครื่องดนตรีสาย พวกผู้หญิงฉลองด้วยการร้องเพลงตอบกันและกันว่า

“ซาอูลได้ฆ่าคนนับพันคน
    และดาวิดฆ่าคนนับหมื่น”

ซาอูลไม่พอใจที่ได้ยินดังนั้น จึงโกรธมากและกล่าวว่า “พวกเขาให้เกียรติแก่ดาวิดนับหมื่น แต่พวกเขาให้เกียรติเราเพียงนับพัน แล้วเขาจะได้รับอะไรต่อไปอีก นอกจากว่าจะเป็นตำแหน่งกษัตริย์” และซาอูลก็เขม่นดาวิดนับจากวันนั้น

10 ในวันรุ่งขึ้น ซาอูลก็ถูกวิญญาณอันชั่วร้ายจากพระเจ้าควบคุมโดยสิ้นเชิง และท่านก็พูดด้วยความเดือดดาลอยู่ภายในวัง ขณะที่ดาวิดกำลังเล่นพิณเล็กอย่างที่เล่นอยู่เป็นประจำทุกวัน ซาอูลถือหอกของท่านอยู่ 11 และซาอูลพุ่งหอกด้วยนึกอยู่ว่า “เราจะเสียบดาวิดให้ติดกับกำแพง” แต่ดาวิดหลบได้ทั้งสองครั้ง

12 ซาอูลกลัวดาวิด เพราะพระผู้เป็นเจ้าสถิตกับเขา และพระองค์ไปจากซาอูลแล้ว 13 ซาอูลจึงปลดเขาไปให้พ้นหน้าท่าน และให้เขาไปเป็นผู้บังคับกองพันทหาร เขานำกองทหารออกรบและกลับมาอย่างมีชัย 14 ดาวิดประสบความสำเร็จในทุกสิ่งที่ได้รับมอบหมาย เพราะว่าพระผู้เป็นเจ้าสถิตกับเขา 15 เมื่อซาอูลเห็นว่าเขาประสบความสำเร็จมาก ท่านจึงกลัวและยำเกรงเขามาก 16 แต่ชาวอิสราเอลและยูดาห์ทุกคนรักดาวิด เพราะเขาเป็นผู้นำทัพออกไปแล้วกลับมาอย่างมีชัย

ดาวิดแต่งงานกับมีคาล

17 จากนั้นซาอูลจึงกล่าวกับดาวิดว่า “นี่คือเมราบบุตรสาวคนโตของเรา เราจะยกเธอให้เป็นภรรยาของเจ้า ขอให้เจ้ากล้าหาญเพื่อเรา และสู้รบสงครามของพระผู้เป็นเจ้าเท่านั้น” เพราะซาอูลคิดในใจว่า “เราอย่าลงมือกับเขา แต่ปล่อยให้ชาวฟีลิสเตียเป็นฝ่ายลงมือกับเขาเอง” 18 ดาวิดพูดกับซาอูลว่า “ข้าพเจ้าเป็นใคร และญาติพี่น้องของข้าพเจ้าเป็นใคร ตระกูลของบรรพบุรุษข้าพเจ้าอยู่ในอิสราเอล สมควรหรือที่ข้าพเจ้าจะมาเป็นบุตรเขยของกษัตริย์” 19 ในเวลานั้น ดาวิดควรจะได้เมราบบุตรหญิงของซาอูลเป็นภรรยา แต่นางกลับถูกยกให้เป็นภรรยาของอาดรีเอลชาวเมโฮลาห์แทน

20 ส่วนมีคาลบุตรหญิงอีกคนของซาอูลรักดาวิด เมื่อมีคนบอกให้ซาอูลทราบ ท่านก็พอใจ 21 ซาอูลคิดในใจว่า “เราจะยกเธอให้ดาวิด เธออาจจะนำความลำบากมาให้เขาได้ แล้วชาวฟีลิสเตียจะได้เป็นฝ่ายลงมือกับเขา” ดังนั้นซาอูลจึงกล่าวกับดาวิดเป็นครั้งที่สองว่า “บัดนี้เจ้าจงมาเป็นบุตรเขยของเราเถอะ” 22 ซาอูลจึงสั่งพวกข้ารับใช้ว่า “ไปบอกดาวิดเป็นส่วนตัวว่า ‘ดูเถิด กษัตริย์ชื่นชอบในตัวท่าน และข้ารับใช้ทุกคนก็รักท่าน บัดนี้ท่านมาเป็นบุตรเขยของกษัตริย์เถอะ’” 23 พวกข้ารับใช้ของซาอูลจึงไปบอกให้ดาวิดทราบ และดาวิดตอบว่า “ท่านคิดว่าการที่จะมาเป็นบุตรเขยของกษัตริย์น่ะ เป็นเรื่องเล็กน้อยหรือ ในเมื่อเราเป็นเพียงคนยากจนคนหนึ่ง และไม่ใช่คนสำคัญเลย” 24 พวกข้ารับใช้ของซาอูลจึงไปบอกท่านว่า “ดาวิดตอบมาเช่นนี้” 25 ซาอูลจึงกล่าวว่า “เจ้าจงไปบอกดาวิดตามนี้ว่า ‘กษัตริย์ไม่ปรารถนาจะรับค่าสินสอด นอกจากหนังปลายองคชาตของชาวฟีลิสเตียสักร้อยเป็นการแก้แค้นศัตรูของกษัตริย์’” ซาอูลคิดจะให้ดาวิดตกอยู่ในมือของชาวฟีลิสเตีย 26 เมื่อพวกข้ารับใช้บอกเรื่องดังกล่าวกับดาวิด ดาวิดก็ยินดีที่จะเป็นบุตรเขยของกษัตริย์ แต่ก่อนจะถึงกำหนดเวลา 27 ดาวิดก็ออกไปกับพรรคพวก และฆ่าชาวฟีลิสเตีย 200 คน ดาวิดเอาหนังปลายองคชาตของคนเหล่านั้นเต็มจำนวนมาถวายแก่กษัตริย์ เพื่อจะได้เป็นบุตรเขยของกษัตริย์ และซาอูลได้ยกมีคาลบุตรหญิงของตนให้เป็นภรรยาของดาวิด 28 แต่เมื่อซาอูลเห็นและทราบว่าพระผู้เป็นเจ้าสถิตกับดาวิด และมีคาลบุตรหญิงของท่านรักดาวิด 29 ซาอูลยิ่งกลัวดาวิดมากขึ้น ดังนั้นซาอูลจึงเป็นศัตรูของดาวิดเสมอมา

30 บรรดาผู้บังคับการของชาวฟีลิสเตียออกไปสู้รบบ่อยเพียงไรก็ตาม ดาวิดรบชนะมากครั้งกว่าพวกบริวารของซาอูล ชื่อของเขาจึงเป็นที่ยกย่องอย่างสูง

ซาอูลพยายามจะฆ่าดาวิด

19 ซาอูลพูดกับโยนาธานบุตรของท่าน และกับบริวารทุกคนว่า พวกเขาควรจะฆ่าดาวิด แต่โยนาธานบุตรซาอูลชื่นชอบในตัวดาวิดมาก โยนาธานบอกดาวิดว่า “ซาอูลบิดาของเรากำลังหาโอกาสที่จะฆ่าท่าน ฉะนั้นขอให้ระวังตัวในวันพรุ่งนี้ ควรซ่อนตัวให้ดี และเราจะออกไปยืนอยู่ข้างๆ บิดาของเราในทุ่งกว้างที่ท่านอยู่ และเราจะพูดกับบิดาของเราเกี่ยวกับตัวท่าน ถ้าเรารู้อะไรคืบหน้า เราก็จะบอกท่าน” และโยนาธานพูดชมดาวิดให้ซาอูลผู้เป็นบิดาฟัง และพูดด้วยว่า “ขอกษัตริย์อย่ากระทำบาปต่อดาวิดผู้รับใช้เลย เพราะว่าเขาไม่ได้กระทำบาปต่อท่าน และเพราะว่าสิ่งที่เขากระทำก็เป็นผลดีต่อท่าน เพราะเขาเสี่ยงชีวิตของตนเองที่ไปฆ่าชาวฟีลิสเตีย และพระผู้เป็นเจ้าให้ชาวอิสราเอลทุกคนได้รับชัยชนะที่ยิ่งใหญ่ ท่านก็เห็นและยินดี แล้วทำไมท่านจึงจะกระทำบาปต่อคนไม่มีความผิด ด้วยการฆ่าดาวิดโดยไร้เหตุผล” ซาอูลก็ฟังเสียงโยนาธาน ซาอูลสาบานว่า “ตราบที่พระผู้เป็นเจ้ามีชีวิตอยู่ฉันใด เขาจะไม่ถูกฆ่า” และโยนาธานก็ร้องเรียกหาดาวิด และเล่าเรื่องทุกอย่างให้เขาฟัง และโยนาธานพาดาวิดมาหาซาอูล ดาวิดก็อยู่รับใช้ท่านดังเดิม

ต่อมาเกิดสงครามขึ้นอีก ดาวิดออกไปสู้รบกับชาวฟีลิสเตีย และฆ่าฟันพวกเขาอย่างรุนแรงจนหนีเตลิดไปต่อหน้าดาวิด แล้วซาอูลก็ถูกวิญญาณอันชั่วร้ายที่มาจากพระผู้เป็นเจ้าควบคุม ขณะที่ท่านนั่งอยู่ในวัง มือถือหอก ดาวิดกำลังเล่นพิณเล็กอยู่ 10 ซาอูลหาโอกาสจะพุ่งหอกเสียบดาวิดให้ติดกับกำแพง แต่ดาวิดหลบไปจากซาอูลได้ หอกของท่านจึงพุ่งไปติดอยู่ที่กำแพง และดาวิดหลบหนีไปได้ในคืนนั้น

11 ซาอูลใช้ผู้ส่งสาสน์ของท่านไปที่บ้านดาวิดเพื่อจับตาเฝ้าเขาไว้ เพื่อจะฆ่าเขาในตอนเช้า แต่มีคาลภรรยาดาวิดบอกเขาว่า “ถ้าท่านไม่หลบหนีให้รอดไปได้ในคืนนี้ ท่านก็จะถูกฆ่าในวันพรุ่งนี้” 12 ดังนั้นมีคาลจึงให้ดาวิดลงไปทางหน้าต่าง เขาก็หนีรอดไปได้ 13 มีคาลเอารูปเคารพรูปหนึ่งมาวางไว้บนเตียงนอน วางหมอนขนแพะไว้ด้านศีรษะ และคลุมด้วยเสื้อ 14 เมื่อซาอูลใช้ผู้ส่งสาสน์ไปเอาตัวดาวิด นางบอกว่า “เขาไม่สบาย” 15 ซาอูลจึงให้ผู้ส่งสาสน์ของท่านไปพบกับดาวิด โดยกล่าวว่า “พาตัวเขามาหาเรา หามมาทั้งเตียง เราจะได้ฆ่าเขาเอง” 16 เมื่อคนส่งสาสน์เข้าไป ก็เห็นว่ารูปเคารพอยู่บนเตียงนอน มีหมอนขนแพะอยู่ที่ด้านศีรษะ 17 ซาอูลพูดกับมีคาลว่า “ทำไมเจ้าจึงหลอกลวงฉันอย่างนี้ และปล่อยให้ศัตรูของฉันไป เขาจึงหนีไปแล้ว” มีคาลตอบซาอูลว่า “เขาบอกลูกว่า ‘ปล่อยให้ฉันไปเถอะ ฉันจะได้ไม่ต้องฆ่าเจ้า’”

18 ฝ่ายดาวิดก็หนีรอดไปได้ และเมื่อมาหาซามูเอลที่เมืองรามาห์ เขาก็เล่าเรื่องทั้งหมดที่ซาอูลได้กระทำกับเขา ทั้งสองไปอาศัยอยู่ที่นาโยท[d] 19 มีคนบอกซาอูลว่า “ดูเถอะ ดาวิดอยู่ที่นาโยทในรามาห์” 20 ซาอูลจึงให้ผู้ส่งสาสน์ไปจับตัวดาวิด แต่เมื่อพวกเขาเห็นกลุ่มผู้เผยคำกล่าวของพระเจ้ากำลังเผยคำกล่าวอยู่ และซามูเอลกำลังยืนนำกลุ่ม พระวิญญาณพระเจ้าสถิตกับพวกผู้ส่งสาสน์ของซาอูล และร่วมเผยคำกล่าวด้วย 21 เมื่อมีคนบอกซาอูล ท่านก็ให้ผู้ส่งสาสน์คนอื่นๆ ไป พวกเขาก็เผยคำกล่าวเช่นกัน ซาอูลให้ผู้ส่งสาสน์ไปอีกเป็นครั้งที่สาม และพวกเขาก็เผยคำกล่าวเช่นกัน 22 ท่านจึงไปยังรามาห์ด้วยตัวท่านเอง เมื่อมาถึงบ่อน้ำใหญ่ที่เมืองเสคู ท่านถามว่า “ซามูเอลและดาวิดอยู่ที่ไหน” คนหนึ่งบอกว่า “ท่านทั้งสองอยู่ที่นาโยทในรามาห์” 23 ท่านไปที่นั่น ที่นาโยทในรามาห์ และท่านเปี่ยมด้วยพระวิญญาณพระเจ้าเช่นกัน ท่านเริ่มเผยคำกล่าวจนกระทั่งถึงนาโยทที่รามาห์ 24 ท่านปลดเสื้อผ้าออกด้วยเช่นกัน และท่านเผยคำกล่าวต่อหน้าซามูเอลด้วย และนอนเปลือยกายตลอดวันและคืนของวันนั้น จึงได้มีคำที่กล่าวกันว่า “ซาอูลเป็นผู้หนึ่งในบรรดาผู้เผยคำกล่าวของพระเจ้าด้วยหรือ”

โยนาธานเตือนดาวิด

20 ดาวิดก็หนีจากนาโยทในรามาห์ ไปหาโยนาธานและพูดว่า “ข้าพเจ้าได้กระทำอะไรหรือ ข้าพเจ้าทำผิดอะไร และข้าพเจ้าทำอะไรที่เป็นบาปในสายตาของบิดาของท่าน ท่านจึงจะเอาชีวิตของข้าพเจ้า” โยนาธานตอบว่า “ไม่มีวัน ท่านจะไม่ตาย ดูเถิด บิดาของเราไม่กระทำสิ่งใดโดยไม่เปิดเผยให้เรารู้ ไม่ว่าเรื่องเล็กหรือเรื่องใหญ่ บิดาจะปกปิดเรื่องนี้กับเราไปทำไม ไม่เป็นเช่นนั้นแน่” แต่ดาวิดสาบาน และพูดอีกว่า “บิดาของท่านทราบดีว่า ข้าพเจ้าเป็นที่โปรดปรานของท่าน ซ้ำยังคิดด้วยว่า ‘อย่าให้โยนาธานทราบเรื่องนี้ เพราะกลัวว่าเขาจะเศร้าใจ’ แต่เป็นความจริง ตราบที่พระผู้เป็นเจ้ามีชีวิตอยู่ฉันใด และตราบที่ท่านมีชีวิตอยู่ ความตายอยู่ใกล้ตัวข้าพเจ้าเพียงก้าวเดียว” โยนาธานจึงบอกดาวิดว่า “อะไรที่ท่านต้องการ เราจะทำให้” ดาวิดพูดกับโยนาธานว่า “ดูเถิด พรุ่งนี้เป็นวันเทศกาลข้างขึ้น และข้าพเจ้าควรจะต้องไปนั่งร่วมโต๊ะกับกษัตริย์ แต่ปล่อยให้ข้าพเจ้าไปเถิด จะได้ซ่อนตัวอยู่ในทุ่งนาจนกระทั่ง 3 วันนับจากนี้ในตอนเย็น ถ้าหากว่าบิดาของท่านสังเกตเห็นว่าข้าพเจ้าไม่ได้อยู่ด้วย ก็ช่วยบอกว่า ‘ดาวิดขออนุญาตลาข้าพเจ้า เพื่อรีบไปเบธเลเฮมเมืองของเขา เพราะว่าทั้งตระกูลมีงานถวายเครื่องสักการะประจำปีที่นั่น’ ถ้าท่านตอบว่า ‘ดีแล้ว’ ผู้รับใช้ของท่านก็จะปลอดภัย แต่ถ้าท่านโกรธกริ้ว ก็ขอทราบไว้เถิดว่าท่านประสงค์จะทำร้าย ฉะนั้นขอให้ท่านมีความกรุณาต่อผู้รับใช้ของท่าน เพราะท่านให้ผู้รับใช้ของท่านร่วมสาบานตนกับท่าน ณ เบื้องหน้าพระผู้เป็นเจ้า[e] แต่ถ้าหากว่าข้าพเจ้ามีความผิด ท่านก็ประหารข้าพเจ้าด้วยตัวท่านเอง ทำไมจึงจะนำตัวข้าพเจ้าไปมอบให้แก่บิดาของท่าน” โยนาธานพูดว่า “ไม่มีวันจะเป็นอย่างนั้น ถ้าหากเราทราบว่า บิดาประสงค์จะทำร้ายท่าน แล้วเราจะไม่บอกท่านหรือ” 10 ดาวิดจึงพูดกับโยนาธานว่า “ถ้าบิดาของท่านตอบอย่างแข็งกร้าว แล้วใครจะบอกข้าพเจ้า” 11 โยนาธานตอบดาวิดว่า “มาเถิด ออกไปที่ทุ่งนากัน” ทั้งสองจึงออกไปที่ทุ่งนา

12 โยนาธานพูดกับดาวิดว่า “ให้พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของอิสราเอลเป็นพยาน ในวันพรุ่งนี้หรือมะรืนนี้ประมาณเวลานี้ เราจะหยั่งดูให้รู้แน่ว่าบิดาของเราประสงค์ดีต่อดาวิด แล้วเราจะส่งคนไปบอกให้ท่านรู้อย่างแน่นอน 13 แต่ถ้าบิดาของเราประสงค์จะทำร้ายท่าน ก็ให้พระผู้เป็นเจ้ากระทำต่อโยนาธานเช่นนั้น หรือมากกว่านั้นถ้าหากว่าเราไม่บอกให้ท่านรู้ เพื่อให้ท่านหนีไปและได้รับความปลอดภัย ขอให้พระผู้เป็นเจ้าสถิตกับท่าน เหมือนกับที่พระองค์สถิตกับบิดาของเรา 14 ถ้าหากว่าเรายังมีชีวิตอยู่ ก็ขอท่านแสดงความรักอันมั่นคงของพระผู้เป็นเจ้าต่อเรา เราจะได้ไม่ตาย 15 ถึงแม้พระผู้เป็นเจ้าตัดขาดทุกคนในหมู่ศัตรูของท่านให้พ้นไปเสียจากโลก ก็ขอท่านอย่าตัดขาดความรักอันมั่นคงของท่านจากพงศ์พันธุ์ของเราไปตลอดกาลเลย”[f] 16 โยนาธานสาบานกับพงศ์พันธุ์ของดาวิดว่า “ขอให้พระผู้เป็นเจ้าลงโทษศัตรูของดาวิด” 17 และโยนาธานให้ดาวิดสาบานด้วยความรักที่มีต่อท่านอีก เพราะว่าท่านรักดาวิดประหนึ่งชีวิตของตน

18 แล้วโยนาธานพูดกับดาวิดว่า “พรุ่งนี้เป็นวันเทศกาลข้างขึ้น และจะเป็นที่สังเกตได้ว่าท่านไม่อยู่ เพราะที่นั่งของท่านจะว่าง 19 วันมะรืนเวลาใกล้เย็น จงไปยังที่ที่ท่านเคยซ่อนตัวเมื่อตอนเริ่มเกิดเรื่อง และรออยู่ที่ข้างๆ กองหิน 20 เราจะยิงลูกธนู 3 ลูกไปที่ข้างกองหิน ทำทีว่าเรายิงไปที่เป้า 21 ดูเถิด เราจะสั่งให้เด็กหนุ่มไปโดยพูดว่า ‘จงไปหาลูกธนู’ ถ้าเราพูดกับเขาว่า ‘ดูนั่น ลูกธนูอยู่ที่ข้างนี้ของเจ้า เอามันมาที่นี่’ และท่านก็ออกมาได้ เพราะตราบที่พระผู้เป็นเจ้ามีชีวิตอยู่ฉันใด ท่านก็ปลอดภัยแน่ ไม่มีอันตรายใดๆ 22 แต่ถ้าเราพูดกับเด็กหนุ่มว่า ‘ดูนั่น ลูกธนูอยู่ข้างหน้าเจ้า’ ท่านก็จงไปเสีย เพราะว่าพระผู้เป็นเจ้าให้ท่านจากไป 23 และเรื่องที่ท่านกับเราคุยกันนั้น จำไว้ว่า พระผู้เป็นเจ้าเป็นพยานระหว่างท่านกับเราตลอดไป”

24 ดังนั้นดาวิดจึงซ่อนตัวอยู่ในทุ่งนา เมื่อถึงวันเทศกาลข้างขึ้น กษัตริย์นั่งลงรับประทานอาหาร 25 กษัตริย์นั่งบนที่นั่งของท่านที่ข้างผนังเหมือนเคย โยนาธานนั่งตรงที่ฝั่งตรงข้าม[g] และอับเนอร์นั่งที่ข้างๆ ซาอูล แต่ที่นั่งของดาวิดนั้นว่างอยู่

26 แต่ซาอูลยังไม่ได้กล่าวสิ่งใดในวันนั้น เพราะท่านนึกในใจว่า “ได้เกิดอะไรขึ้นกับดาวิด เขามีมลทิน เขาต้องมีมลทินแน่”[h] 27 แต่ในวันที่สอง คือรุ่งขึ้นจากวันเทศกาลข้างขึ้น ที่ของดาวิดก็ว่างอีก ซาอูลพูดกับโยนาธานบุตรของท่านว่า “ทำไมลูกชายของเจสซียังไม่มารับประทานอาหารเลย ทั้งเมื่อวานและวันนี้” 28 โยนาธานตอบซาอูลว่า “ดาวิดขออนุญาตลาข้าพเจ้า เพื่อไปยังเบธเลเฮม 29 เขาพูดว่า ‘ให้ข้าพเจ้าไปเถิด เพราะตระกูลของเราถวายเครื่องสักการะที่ในเมือง และพี่ข้าพเจ้าสั่งข้าพเจ้าให้ไปที่นั่น หากว่าข้าพเจ้าเป็นที่โปรดปรานในสายตาของท่าน ก็ให้ข้าพเจ้าไปหาพวกพี่ๆ เถิด’ ด้วยเหตุผลดังกล่าว เขาจึงไม่ได้มานั่งร่วมโต๊ะกับกษัตริย์”

30 ครั้นแล้วซาอูลก็โกรธกริ้วโยนาธาน ท่านจึงกล่าวว่า “เจ้าเป็นลูกไม่รักดีเหมือนกับแม่ของเจ้า เจ้าคิดว่าเราไม่รู้หรือยังไง ว่าเจ้าได้เข้าข้างลูกของเจสซีเพื่อนำความอับอายมาให้ตัวเจ้าเอง และให้แม่ของเจ้าด้วย 31 ตราบที่ลูกของเจสซีมีชีวิตอยู่บนโลกฉันใด ทั้งตัวเจ้าและอาณาจักรของเจ้าจะไม่มีวันตั้งอยู่ได้ ฉะนั้นจงให้คนไปตามตัวเขามาหาเรา เพราะเขาจะต้องตายอย่างแน่นอน” 32 โยนาธานตอบซาอูลบิดาของท่านว่า “ทำไมเขาจึงต้องถูกฆ่าตาย เขาทำอะไร” 33 แต่แล้วซาอูลก็พุ่งหอกไปที่โยนาธานเพื่อจะฆ่าท่าน ดังนั้นโยนาธานจึงทราบว่าบิดาของท่านได้ตั้งใจจะฆ่าดาวิด 34 โยนาธานโกรธมากและลุกขึ้นจากโต๊ะ ท่านไม่รับประทานอาหารในวันที่สองของเดือนนั้น เพราะท่านทุกข์ใจเรื่องดาวิดที่บิดากระทำต่อดาวิดอย่างน่าอับอาย

35 ในเวลาเช้า โยนาธานออกไปในทุ่งนาตามนัดที่ให้กับดาวิด และมีเด็กไปด้วยหนึ่งคน 36 ท่านบอกเด็กของท่านว่า “จงวิ่งไปค้นหาลูกธนูที่เรายิง” ขณะที่เด็กกำลังวิ่งไป ท่านยิงธนูลูกหนึ่งเลยเด็กไปอีก 37 เมื่อเด็กมาถึงจุดที่ลูกธนูที่โยนาธานยิง โยนาธานตะโกนถามเด็กว่า “ลูกธนูอยู่ข้างหน้าเจ้าไม่ใช่หรือ” 38 และโยนาธานตะโกนบอกเด็กว่า “รีบไปโดยเร็ว อย่าอยู่ที่นี่” เด็กของโยนาธานจึงเก็บลูกธนูแล้วกลับมาหาเจ้านายของตน 39 แต่เด็กไม่ทราบอะไรทั้งสิ้น โยนาธานและดาวิดเท่านั้นที่ทราบเรื่อง 40 และโยนาธานให้เด็กแบกอาวุธของท่านและบอกว่า “ไปได้แล้ว แบกอาวุธเข้าไปในเมือง” 41 ทันทีที่เด็กกลับไปแล้ว ดาวิดก็ลุกขึ้นจากข้างกองหิน ก้มหน้าลง และคำนับ 3 ครั้ง แล้วทั้งสองก็จูบแก้มและร้องไห้กัน ดาวิดร้องไห้มากยิ่งกว่า 42 ครั้นแล้วโยนาธานก็พูดกับดาวิดว่า “จงไปอย่างสันติสุขเถิด เพราะเราต่างก็ได้สาบานตนในพระนามของพระผู้เป็นเจ้าแล้วว่า ‘พระผู้เป็นเจ้าเป็นพยานระหว่างเราและท่าน และระหว่างผู้สืบเชื้อสายของเราและของท่านไปตลอดกาล’” แล้วดาวิดก็จากไป ส่วนโยนาธานก็เข้าไปในเมือง

ดาวิดกับขนมปังบริสุทธิ์

21 ดาวิดไปหาอาหิเมเลคปุโรหิตที่เมืองโนบ อาหิเมเลคตัวสั่นมาพบกับดาวิด และถามว่า “ทำไมท่านจึงมาคนเดียว ไม่มีใครมาด้วยหรือ” ดาวิดตอบอาหิเมเลคปุโรหิตว่า “กษัตริย์บัญชาให้ข้าพเจ้าทำสิ่งหนึ่งและสั่งด้วยว่า ‘อย่าให้ใครทราบเรื่องนี้ว่า เราสั่งให้เจ้าทำอะไร’ ข้าพเจ้านัดพบกับพวกทหารที่ที่แห่งหนึ่ง เอาล่ะ ท่านพอมีอาหารติดตัวมาบ้างไหม ขอขนมปังสัก 5 ก้อน หรืออะไรก็ได้ที่มีอยู่ที่นี่” ปุโรหิตตอบดาวิดว่า “เราไม่มีขนมปังธรรมดาติดตัวมา แต่มีขนมปังอันบริสุทธิ์[i] ถ้าหากว่าพวกทหารของท่านได้ละเว้นจากผู้หญิง” ดาวิดตอบปุโรหิตว่า “พวกเราอยู่ห่างจากผู้หญิงเสมอเวลาเราออกเดินทางปฏิบัติงาน กายของพวกทหารก็บริสุทธิ์แม้จะเป็นเวลาเดินทางตามปกติ แล้วในวันนี้กายพวกเขาจะบริสุทธิ์ยิ่งกว่าเพียงไร” ดังนั้นปุโรหิตจึงให้ขนมปังอันบริสุทธิ์แก่ดาวิด[j]เพราะไม่มีขนมปังชนิดอื่น นอกจากขนมปังอันบริสุทธิ์ที่หยิบมาจากเบื้องหน้าพระผู้เป็นเจ้า และจะมีขนมปังอบใหม่ๆ มาถวายแทนในวันเดียวกันนั้น

ในวันนั้นข้ารับใช้คนหนึ่งของซาอูลบังเอิญอยู่ที่นั่น เพราะถูกกักตัวไว้ ณ เบื้องหน้าพระผู้เป็นเจ้า เขาชื่อโดเอกชาวเอโดม เป็นหัวหน้าคนเลี้ยงดูฝูงแกะของซาอูล

ดาวิดถามอาหิเมเลคว่า “ท่านไม่มีดาบหรือหอกบ้างหรือ ข้าพเจ้าก็ไม่ได้เอาดาบหรืออาวุธติดตัวมาด้วย เพราะงานของกษัตริย์ที่บัญชาให้ทำเร่งด่วน” ปุโรหิตตอบว่า “ดาบของโกลิอัทชาวฟีลิสเตียที่ท่านฆ่าตายในหุบเขาเอลาห์นั้นยังอยู่ที่นี่ ห่อเก็บไว้ในผ้าอยู่ข้างหลังชุดคลุม ถ้าท่านจะเอาดาบเล่มนั้น ก็เอาไปได้ เพราะที่นี่ไม่มีอะไรอีกแล้วนอกจากดาบเล่มนั้น” ดาวิดตอบว่า “ไม่มีดาบไหนเหมือนดาบเล่มนั้น เอามาให้ข้าพเจ้าเถิด”

ดาวิดหนีไปยังเมืองกัท

10 วันนั้นดาวิดหนีไปจากซาอูล ไปหาอาคีชกษัตริย์แห่งกัท 11 พวกข้ารับใช้ของอาคีชพูดกับท่านว่า “นี่ดาวิดกษัตริย์ของแผ่นดินนั้นมิใช่หรือ ที่มีคนร้องรำทำเพลงถึงว่า

‘ซาอูลได้ฆ่าคนนับพันคน
    และดาวิดฆ่าคนนับหมื่น’”

12 ดาวิดขบคิดถึงคำพูดนั้นอยู่ในใจ และกลัวอาคีชกษัตริย์แห่งกัท 13 เขาจึงแสร้งเสียสติ[k]ต่อหน้าคนเหล่านั้น และขณะที่เขาถูกเหนี่ยวรั้งอยู่ในมือพวกเขา ดาวิดก็ทำทีว่าเป็นคนบ้า ขูดขีดที่ประตูเมือง ปล่อยให้น้ำลายไหลลงบนเครา 14 อาคีชจึงพูดกับพวกข้ารับใช้ว่า “ดูสิ พวกเจ้าก็เห็นว่าคนนั้นเป็นบ้า แล้วทำไมจึงพาเขามาหาเรา 15 เราขาดคนบ้าหรือ พวกเจ้าจึงได้พาเจ้าคนนี้มาทำตัวเหมือนคนบ้าขวางหน้าเรา จะต้องให้คนนี้เข้ามาในบ้านเราหรือ”

ดาวิดที่ถ้ำอดุลลาม

22 ดาวิดจากที่นั่นไป และหลบหนีไปอยู่ในถ้ำที่อดุลลาม[l] เมื่อพวกพี่ชายและพวกญาติๆ ทั้งหลายได้ข่าว จึงลงไปหาท่านที่นั่น ทุกคนที่ลำบาก ทุกคนที่มีหนี้สิน และทุกคนที่สิ้นหวัง ต่างก็มาหาดาวิด ท่านจึงเป็นหัวหน้าคนเหล่านั้น มีคนประมาณ 400 คนที่อยู่กับท่าน

จากที่นั่นดาวิดไปยังเมืองมิสปาห์ในดินแดนโมอับ ท่านพูดกับกษัตริย์แห่งโมอับว่า “โปรดให้บิดามารดาของข้าพเจ้าอยู่กับท่าน จนกว่าข้าพเจ้าจะทราบว่าพระเจ้าจะทำสิ่งใดเพื่อข้าพเจ้า” และดาวิดให้บิดามารดาอยู่กับกษัตริย์แห่งโมอับ ท่านทั้งสองจึงอาศัยอยู่กับกษัตริย์ตลอดช่วงเวลาที่ดาวิดอยู่ในที่หลบภัย กาดผู้เผยคำกล่าวของพระเจ้าพูดกับดาวิดว่า “อย่าอยู่ต่อไปในที่หลบภัย จงไปเสีย ไปยังแผ่นดินยูดาห์เถิด” ดาวิดจึงจากไป และเข้าไปในป่าเฮเรท

ซาอูลฆ่าบรรดาปุโรหิตที่เมืองโนบ

ซาอูลทราบว่าคนเสาะหาดาวิดเจอแล้ว และมีคนอยู่กับท่านด้วย ซาอูลกำลังนั่งอยู่บนเนินเขา มือถือหอกอยู่ที่ใต้ต้นแทมริสก์ที่กิเบอาห์ มีพวกบริวารยืนอยู่รอบข้าง ซาอูลกล่าวกับพวกข้ารับใช้ที่ยืนอยู่รอบข้างว่า “จงฟังเถิด ชาวเบนยามินเอ๋ย ลูกชายของเจสซีคนนั้นจะยกทุ่งนาและสวนองุ่นให้กับพวกเจ้าทุกคนหรือ เขาจะแต่งตั้งพวกเจ้าให้เป็นผู้บังคับกองพันและผู้บังคับกองร้อยหรือ พวกเจ้าทุกคนจึงได้คบคิดกบฏต่อเรา ไม่มีใครเปิดเผยให้เรารู้เวลาลูกชายของเราทำข้อตกลงกับลูกของเจสซี ไม่มีใครในพวกเจ้าที่สงสารเรา หรือเปิดเผยให้เรารู้ว่าลูกชายของเราได้ยุยงคนรับใช้ของเราให้แข็งข้อกับเรา รอที่จะฆ่าเราอย่างที่เป็นอยู่ในวันนี้” โดเอกชาวเอโดมที่ยืนอยู่ใกล้พวกข้ารับใช้ของซาอูลตอบว่า “ข้าพเจ้าเห็นบุตรของเจสซีมาที่เมืองโนบ ไปหาอาหิเมเลคบุตรของอาหิทูบ 10 เขาถามพระผู้เป็นเจ้าให้ดาวิด และจัดหาอาหารให้และมอบดาบของโกลิอัทชาวฟีลิสเตียให้แก่ท่าน”

11 แล้วกษัตริย์ก็ให้คนไปเรียกตัวอาหิเมเลคปุโรหิตผู้เป็นบุตรของอาหิทูบ และทั้งตระกูลที่เป็นบรรดาปุโรหิตที่อยู่ที่โนบมา และทุกคนก็มาหากษัตริย์ 12 ซาอูลกล่าวว่า “ฟังเถิด ลูกของอาหิทูบ” เขาตอบว่า “ข้าพเจ้าอยู่ที่นี่ นายท่าน” 13 ซาอูลกล่าวกับเขาว่า “ทำไมท่านจึงคิดกบฏต่อเรา ทั้งตัวท่านและลูกของเจสซี ท่านให้ขนมปังและดาบ และได้ถามพระเจ้าให้เขา เขาจึงแข็งข้อกับเรา รอที่จะฆ่าเราอย่างที่เป็นอยู่ในวันนี้” 14 อาหิเมเลคตอบกษัตริย์ว่า “แล้วใครในหมู่บริวารของท่านที่สัตย์ซื่อเหมือนดาวิดบุตรเขยของกษัตริย์ เขาเป็นหัวหน้าทหารรักษาพระองค์และมีเกียรติในวังของท่าน 15 วันนี้เป็นวันแรกหรือที่ข้าพเจ้าถามพระเจ้าให้ดาวิด เปล่าเลย อย่าให้กษัตริย์กล่าวหาข้ารับใช้หรือญาติผู้ใดในตระกูลของข้าพเจ้า เพราะว่าข้ารับใช้ของท่านไม่ทราบสิ่งใดเกี่ยวกับเรื่องนี้ ไม่ว่าจะมากหรือน้อยก็ตาม” 16 กษัตริย์กล่าวว่า “อาหิเมเลค ท่านจะต้องตายแน่ ทั้งตัวท่านและทั้งตระกูลของท่าน” 17 และกษัตริย์กล่าวกับทหารคุ้มกันที่ยืนอยู่ใกล้ท่านว่า “หันไปฆ่าพวกปุโรหิตของพระผู้เป็นเจ้าเสีย เพราะเขาร่วมมือกับดาวิด ทั้งๆ ที่รู้ว่าเขาหนีไป และไม่ยอมบอกให้เรารู้” แต่พวกบริวารของกษัตริย์ไม่ยอมยื่นมือประหารบรรดาปุโรหิตของพระผู้เป็นเจ้า 18 กษัตริย์จึงกล่าวกับโดเอกว่า “เจ้าจงหันไปฆ่าพวกปุโรหิต” แล้วโดเอกชาวเอโดมก็หันไปฆ่าบรรดาปุโรหิต และในวันนั้นเขาฆ่าคน 85 คนที่สวมชุดคลุมผ้าป่าน 19 ทั้งผู้ชายและผู้หญิง เด็กและทารก โค ลา และแกะถูกฆ่าตายหมดที่เมืองโนบ อันเป็นเมืองปุโรหิต

20 แต่อาบียาธาร์บุตรคนหนึ่งของอาหิเมเลคบุตรอาหิทูบหลบหนีตามดาวิดไปได้ 21 อาบียาธาร์บอกดาวิดว่าซาอูลได้ฆ่าบรรดาปุโรหิตของพระผู้เป็นเจ้า 22 ดาวิดบอกอาบียาธาร์ว่า “เรารู้ในวันนั้นเมื่อโดเอกชาวเอโดมอยู่ที่นั่น เขาจะต้องบอกซาอูลแน่นอน เรารับผิดชอบกับความตายของทุกคนในตระกูลของท่าน 23 อยู่กับเราเถิด อย่ากลัวเลย เพราะว่าคนที่ตามล่าชีวิตเราก็ตามล่าชีวิตท่านด้วย ท่านจะปลอดภัยในความดูแลของเรา”

ดาวิดช่วยเมืองเคอีลาห์

23 มีคนมาบอกดาวิดว่า “ดูเถิด ชาวฟีลิสเตียกำลังต่อสู้กับเมืองเคอีลาห์ และกำลังปล้นที่ลานนวดข้าวอยู่” ฉะนั้นดาวิดจึงถามพระผู้เป็นเจ้าว่า “ข้าพเจ้าควรจะไปโจมตีชาวฟีลิสเตียเหล่านี้หรือไม่” และพระผู้เป็นเจ้ากล่าวกับดาวิดว่า “ไปโจมตีพวกฟีลิสเตีย และช่วยเมืองเคอีลาห์ไว้” แต่คนของดาวิดพูดกับท่านว่า “ดูเถิด ที่นี่ในยูดาห์ พวกเราก็กลัวพอแล้ว ถ้าหากว่าพวกเราไปที่เมืองเคอีลาห์ต่อสู้กับกองทัพของพวกฟีลิสเตีย แล้วพวกเราจะกลัวยิ่งกว่านี้เพียงไร” ดาวิดจึงถามพระผู้เป็นเจ้าอีก และพระผู้เป็นเจ้าตอบท่านว่า “ลุกขึ้น แล้วลงไปที่เคอีลาห์ เพราะว่าเราจะให้พวกฟีลิสเตียอยู่ในมือของเจ้า” ดาวิดกับพรรคพวกจึงไปที่เคอีลาห์ต่อสู้กับพวกฟีลิสเตีย และฆ่าคนเป็นจำนวนมาก นำฝูงปศุสัตว์กลับมา ดังนั้นดาวิดช่วยชาวเมืองเคอีลาห์ไว้ได้

เมื่ออาบียาธาร์บุตรของอาหิเมเลคหนีไปหาดาวิดที่เคอีลาห์ เขาเอาชุดคลุมติดมือมาด้วย มีคนบอกซาอูลว่าดาวิดได้มาอยู่ที่เคอีลาห์ ซาอูลพูดว่า “พระเจ้าได้มอบเขาไว้ในมือของเราแล้ว เพราะว่าเขาขังตัวเองโดยเข้าไปในเมืองที่มีประตูและติดสลักดาลประตู” ครั้นแล้วซาอูลก็เรียกคนทั้งปวงมาเตรียมศึก เพื่อลงไปที่เมืองเคอีลาห์เพื่อล้อมดาวิดกับพรรคพวกไว้ ดาวิดทราบว่าซาอูลกำลังวางแผนทำร้ายตน ท่านพูดกับอาบียาธาร์ปุโรหิตว่า “นำเอาชุดคลุมมาที่นี่เถิด” 10 แล้วดาวิดพูดว่า “โอ พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของอิสราเอล ผู้รับใช้ของพระองค์ทราบแน่นอนว่า ซาอูลประสงค์จะมาที่เคอีลาห์ เพื่อทำลายเมืองนี้ก็เพราะข้าพเจ้า 11 คนในเมืองเคอีลาห์จะให้ข้าพเจ้ามอบตัวแก่ซาอูลหรือ ซาอูลจะลงมา ตามที่ผู้รับใช้ของพระองค์ได้ข่าวจริงหรือไม่ โอ พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของอิสราเอล โปรดบอกผู้รับใช้ของพระองค์เถิด” และพระผู้เป็นเจ้ากล่าวว่า “เขาจะลงมา” 12 ดาวิดจึงถามว่า “คนในเมืองเคอีลาห์จะให้ข้าพเจ้าและพรรคพวกมอบตัวแก่ซาอูลหรือ” พระผู้เป็นเจ้ากล่าวว่า “พวกเขาจะให้เจ้ามอบตัว” 13 แล้วดาวิดกับพรรคพวกประมาณ 600 คนจึงไปจากเคอีลาห์ เร่ร่อนไปตามที่จะไปได้ ครั้นซาอูลทราบว่าดาวิดได้หนีไปจากเคอีลาห์แล้ว ท่านจึงเลิกทัพ 14 ดาวิดอยู่ในที่หลบภัยในถิ่นทุรกันดารของเมืองศิฟ ซาอูลตามล่าดาวิดทุกวัน แต่พระเจ้าไม่ให้ท่านอยู่ในมือของซาอูล

ซาอูลตามล่าดาวิด

15 ขณะที่ดาวิดอยู่ในถิ่นทุรกันดารของเมืองศิฟที่โฮเรช ก็เห็นว่า ซาอูลได้ออกมาตามล่าท่าน 16 โยนาธานบุตรของซาอูลจึงไปหาดาวิดที่โฮเรช และทำให้ท่านเข้มแข็งในพระเจ้า 17 และพูดกับดาวิดว่า “อย่ากลัวเลย เพราะว่าซาอูลบิดาของเราจะทำร้ายท่านไม่ได้ ท่านจะเป็นกษัตริย์ปกครองอิสราเอล และเราจะเป็นที่สองรองจากท่าน ซาอูลบิดาของเราก็ทราบเรื่องนี้อยู่แล้ว” 18 แล้วทั้งสองก็สาบานตน ณ เบื้องหน้าพระผู้เป็นเจ้า ดาวิดอยู่ต่อที่โฮเรช และโยนาธานกลับบ้านไป

19 ฝ่ายชาวศิฟขึ้นไปหาซาอูลที่กิเบอาห์ และถามว่า “ดาวิดกำลังซ่อนตัวอยู่ท่ามกลางพวกเราในที่หลบภัยที่โฮเรช บนเนินเขาฮาคีลาห์ซึ่งอยู่ใต้เยชิโมนมิใช่หรือ 20 โอ กษัตริย์ เชิญท่านลงมาตามใจปรารถนาของท่านเถิด พวกเราจะทำหน้าที่มอบตัวเขาไว้ในมือของกษัตริย์เอง” 21 ซาอูลตอบว่า “ขอให้พระผู้เป็นเจ้าอวยพรพวกท่าน เพราะท่านกรุณาต่อเรา 22 ขอให้ท่านไปดูให้แน่นอนอีกทีว่า เขาอยู่ที่ไหน และใครเป็นผู้ที่เห็นเขาอยู่ที่นั่น มีคนบอกเราว่าเขาเจ้าเล่ห์นัก 23 ฉะนั้นจงไปสืบดูให้ดีว่าเขาซ่อนตัวอยู่ที่แห่งใดบ้าง แล้วจึงกลับมาบอกเราด้วยข้อมูลที่ได้ และเราจึงจะไปกับท่าน ถ้าเขาอยู่ในเขตแดน เราจะค้นหาตัวเขาในหมู่คนนับพันของเผ่ายูดาห์จนพบ” 24 พวกเขาจึงออกเดินทางไปยังศิฟก่อนซาอูล

ฝ่ายดาวิดและพรรคพวกอยู่ในถิ่นทุรกันดารมาโอน ในอาราบาห์จรดใต้เยชิโมน 25 ซาอูลและคนของท่านไปค้นหาตัวดาวิด มีคนไปบอกดาวิด ท่านจึงลงไปอยู่ในบริเวณเนินหินในถิ่นทุรกันดารมาโอน เมื่อซาอูลทราบเรื่อง ท่านก็ตามล่าดาวิดในถิ่นทุรกันดารมาโอน 26 ซาอูลไปที่ภูเขาด้านหนึ่ง ดาวิดกับพรรคพวกไปอีกด้านหนึ่ง ดาวิดกำลังรีบหนีซาอูล ขณะที่ซาอูลและคนของท่านประชิดตัวดาวิดกับพรรคพวก และจวนจะจับกุมพวกท่านได้อยู่แล้ว 27 ก็มีผู้ส่งข่าวคนหนึ่งมาบอกซาอูลว่า “รีบมาเถิด เพราะว่าพวกฟีลิสเตียกำลังรุกรานแผ่นดิน” 28 ดังนั้นซาอูลจึงกลับจากการตามล่าดาวิด และกลับไปต่อสู้กับพวกฟีลิสเตีย ฉะนั้นสถานที่นั้นจึงได้ชื่อว่า ศิลาหลีกภัย 29 ดาวิดไปจากที่นั่น และไปอาศัยอยู่ในที่หลบภัยที่เอนเกดี

ดาวิดไว้ชีวิตซาอูล

24 เมื่อซาอูลกลับจากการตามรบพวกฟีลิสเตีย มีคนบอกท่านว่า “ดูเถิด ดาวิดอยู่ในถิ่นทุรกันดารที่เอนเกดี” ซาอูลจึงคัดเลือกคนของท่านจากชนชาวอิสราเอลทั้งหมดได้ 3,000 คน ให้ไปตามหาดาวิดและพรรคพวกของท่านที่ทางด้านตะวันออกของศิลาแพะป่า ท่านมาถึงคอกแกะที่ริมทางซึ่งมีถ้ำแห่งหนึ่ง และซาอูลเข้าไปในถ้ำเพื่อถ่ายทุกข์ ฝ่ายดาวิดกับพรรคพวกกำลังนั่งอยู่ที่ท้ายถ้ำ[m] พรรคพวกของดาวิดพูดกับท่านว่า “วันนี้เป็นวันที่พระผู้เป็นเจ้ากล่าวกับท่านว่า ‘ดูเถิด เราจะมอบศัตรูของเจ้าไว้ในมือเจ้า และเจ้าจะกระทำกับเขาตามที่เจ้าเห็นสมควร’” แล้วดาวิดก็ลุกขึ้น และแอบตัดชายเสื้อคลุมของซาอูล หลังจากนั้นดาวิดรู้สึกเสียใจที่ตัดชายเสื้อคลุมของซาอูล ท่านพูดกับพรรคพวกว่า “พระผู้เป็นเจ้าทราบว่าเราไม่ควรกระทำเช่นนั้นต่อนายของเรา ท่านเป็นผู้ที่พระผู้เป็นเจ้าเจิมไว้ ไม่ควรยื่นมือไปต่อสู้กับท่าน ทั้งที่รู้ว่าท่านเป็นผู้ที่พระผู้เป็นเจ้าเจิมไว้” ดาวิดได้จูงใจพรรคพวกตามถ้อยคำดังกล่าว และห้ามไม่ให้พวกเขาทำร้ายซาอูล และซาอูลก็ไปจากถ้ำ ไปตามทางของท่านต่อ

หลังจากนั้นดาวิดก็ออกไปจากถ้ำเช่นกัน และตะโกนตามหลังซาอูลว่า “เจ้านายผู้เป็นกษัตริย์” ครั้งซาอูลหันหลังไปมอง ดาวิดก็ก้มหน้าลงและคำนับ ดาวิดพูดกับซาอูลว่า “ทำไมท่านจึงฟังคำของคนที่พูดว่า ‘ดูเถิด ดาวิดมุ่งร้ายท่าน’ 10 ดูเถิด วันนี้ท่านเห็นด้วยตาของท่านแล้วว่า พระผู้เป็นเจ้าได้มอบท่านไว้ในมือของข้าพเจ้าในถ้ำ และมีบางคนบอกให้ข้าพเจ้าฆ่าท่าน แต่ข้าพเจ้าไว้ชีวิตท่านไว้ ข้าพเจ้าพูดว่า ‘เราจะไม่ยื่นมือไปต่อสู้กับนายท่าน เพราะท่านเป็นผู้ที่พระผู้เป็นเจ้าเจิมไว้’ 11 เจ้านายของข้าพเจ้า ดูนี่ ดูว่าชายเสื้อคลุมของท่านอยู่ในมือข้าพเจ้า ด้วยว่าข้าพเจ้าตัดชายเสื้อคลุมของท่านแต่ก็ไม่ได้ฆ่าท่าน ขอให้ท่านทราบและเข้าใจด้วยว่า ข้าพเจ้าไม่ได้กระทำผิดหรือเป็นกบฏ ข้าพเจ้าไม่ได้กระทำบาปต่อท่าน แม้ว่าท่านจะตามล่าเอาชีวิตข้าพเจ้าไป 12 ขอให้พระผู้เป็นเจ้าเป็นผู้ตัดสินระหว่างท่านและข้าพเจ้า ขอให้พระผู้เป็นเจ้าเป็นผู้ลงโทษตามสิ่งที่ท่านกระทำต่อข้าพเจ้า แต่ข้าพเจ้าจะไม่เป็นผู้สนองตอบท่าน 13 ตามสุภาษิตโบราณกล่าวว่า ‘ความชั่วมาจากคนชั่ว’ แต่ข้าพเจ้าจะไม่เป็นผู้สนองตอบท่าน 14 กษัตริย์แห่งอิสราเอลออกมาตามใคร ท่านไล่ล่าใคร ตามล่าสุนัขที่ตายแล้ว ตามล่าตัวหมัด 15 ฉะนั้นขอให้พระผู้เป็นเจ้าเป็นผู้ตัดสินและคาดโทษระหว่างท่านและข้าพเจ้า ขอพระองค์ดำเนินการช่วยปกป้องข้าพเจ้า และให้ข้าพเจ้ารอดจากมือท่านเถิด”

16 ทันทีที่ดาวิดพูดกับซาอูลจบ ซาอูลถามว่า “ดาวิดลูกเรา นี่เป็นเสียงของเจ้าหรือ” และซาอูลส่งเสียงร้องไห้ 17 ท่านกล่าวกับดาวิดว่า “เจ้ามีความชอบธรรมยิ่งกว่าเรา เพราะเจ้าตอบสนองเราด้วยความดี แต่เราได้สนองตอบเจ้าด้วยความเลวร้าย 18 และเจ้าได้แสดงให้เห็นในวันนี้ว่า เจ้าได้กระทำต่อเราเป็นอย่างดี เพราะเจ้าไม่ได้ฆ่าเราเมื่อพระผู้เป็นเจ้ามอบเราไว้ในมือของเจ้า 19 ถ้าชายใดพบศัตรูของเขา เขาจะปล่อยให้ไปอย่างปลอดภัยหรือ ดังนั้นขอให้พระผู้เป็นเจ้าอวยพรเจ้าด้วยรางวัลสำหรับสิ่งที่เจ้าปฏิบัติต่อเราในวันนี้ 20 บัดนี้เรารู้ว่าเจ้าจะเป็นกษัตริย์อย่างแน่แท้ และอาณาจักรของอิสราเอลจะยืนยงอยู่ในมือของเจ้า 21 ฉะนั้นขอให้เจ้าสาบานกับเราในพระนามของพระผู้เป็นเจ้าว่า เจ้าจะไม่ตัดขาดบรรดาผู้สืบทอดต่อจากเรา และเจ้าจะไม่ลบชื่อของเราออกไปจากตระกูล” 22 ดาวิดก็สาบานต่อซาอูลตามนั้น ซาอูลจึงกลับบ้านไป ส่วนดาวิดกับพรรคพวกขึ้นไปยังที่หลบภัย

ซามูเอลเสียชีวิต

25 ซามูเอลเสียชีวิต และชาวอิสราเอลทั้งปวงมาชุมนุมกันและร้องคร่ำครวญถึงท่าน และฝังท่านไว้ที่เมืองรามาห์ที่ท่านเคยอาศัยอยู่

ดาวิดและอาบีกายิล

ดาวิดก็ออกเดินทางลงไปยังถิ่นทุรกันดารปาราน มีชายผู้หนึ่งในเมืองมาโอนทำธุรกิจที่คาร์เมล ชายผู้นี้มั่งมีมาก มีแกะ 3,000 ตัว แพะ 1,000 ตัว เขาให้คนตัดขนแกะที่คาร์เมล เขาชื่อนาบาล มีภรรยาชื่ออาบีกายิล เป็นหญิงรูปงามและฉลาดรอบรู้ ส่วนสามีเป็นคนกระด้างและร้ายกาจ เป็นชาวคาเลบ[n] ดาวิดได้ข่าวในถิ่นทุรกันดารว่า นาบาลกำลังตัดขนแกะอยู่ ดาวิดจึงให้พรรคพวกชายหนุ่ม 10 คนไป และสั่งว่า “จงไปที่คาร์เมล ไปหานาบาล และทักทายเขาในนามของเรา พวกท่านจงทักทายเขาว่า ‘สันติสุขจงอยู่กับท่าน กับครอบครัวของท่าน และกับทุกสิ่งที่เป็นของท่าน ข้าพเจ้าได้ยินว่าท่านมีคนตัดขนแกะ คนเฝ้าฝูงแกะของท่านก็เคยคุ้นเคยกับพวกเรา และเราไม่เคยทำร้ายพวกเขา และพวกเขาก็ไม่เคยมีอะไรถูกขโมยตลอดระยะเวลาที่อยู่ในคาร์เมล ท่านถามชายหนุ่มของท่านได้ พวกเขาจะบอกท่านเอง ฉะนั้นขอให้ชายหนุ่มของข้าพเจ้าเป็นที่โปรดปรานในสายตาท่าน เพราะว่าพวกเรามาในวันฉลองเทศกาล โปรดให้สิ่งที่ท่านพอจะมีอยู่บ้างแก่พวกผู้รับใช้ และแก่ดาวิดบุตรของท่านด้วยเถิด’”

เมื่อพรรคพวกหนุ่มๆ ของดาวิดมา พวกเขาก็พูดกับนาบาลไปตามนั้นในนามของดาวิด แล้วก็คอยอยู่ 10 นาบาลจึงพูดกับพวกผู้รับใช้ของดาวิดว่า “ดาวิดคือผู้ใด บุตรของเจสซีคือผู้ใด สมัยนี้มีพวกผู้รับใช้มากมายที่หนีเจ้านายไป 11 จะให้เราเอาขนมปัง น้ำ และเนื้อที่เราฆ่าไว้สำหรับคนตัดขนแกะ มาให้แก่พวกคนที่เราไม่รู้ว่ามาจากไหนอย่างนั้นหรือ” 12 ดังนั้นพวกชายหนุ่มจึงกลับไปบอกทุกสิ่งให้ท่านทราบ 13 ดาวิดบอกพรรคพวกท่านว่า “ทุกคนจงคาดดาบ” ทุกคนจึงคาดดาบ ดาวิดก็คาดดาบของท่านเช่นกัน มีชายประมาณ 400 คนตามดาวิดขึ้นไป ขณะที่ 200 คนอยู่เฝ้ากองยุทธภัณฑ์และเสบียงไว้

14 แต่ชายหนุ่มผู้หนึ่งบอกอาบีกายิลภรรยาของนาบาลว่า “ดูเถิด ดาวิดได้ให้ผู้ส่งสาสน์มาจากถิ่นทุรกันดาร เพื่อทักทายนายของเรา แต่นายกลับตวาดใส่พวกเขา 15 ถึงกระนั้นผู้ชายพวกนั้นก็ยังดีต่อเรามาก ตลอดเวลาที่เราอยู่กับพวกเขา เราไม่ได้ถูกทำร้าย ระยะเวลาเราอยู่ในทุ่งนา สิ่งที่เป็นของเราก็ไม่ได้หายไป 16 เขาเป็นเหมือนเกราะป้องกันพวกเราทั้งเวลากลางวันและกลางคืน ตลอดช่วงเวลาที่เราเฝ้าฝูงแกะอยู่กับพวกเขา 17 ฉะนั้นท่านรับทราบแล้ว ขอให้คำนึงว่าท่านควรจะกระทำสิ่งใด เพราะภัยอันตรายกำลังจะเกิดขึ้นกับนายของพวกเราและครอบครัวของท่าน นาบาลเป็นคนเลวร้ายจนไม่มีใครพูดกับท่านได้”

18 อาบีกายิลจึงรีบหาขนมปัง 200 ก้อน กับถุงเหล้าองุ่น 2 ถุง แกะที่ย่างแล้ว 5 ตัว และเมล็ดข้าวคั่ว 5 สอาห์[o] และองุ่นแห้ง 100 พวง และมะเดื่อแห้ง 200 ก้อน บรรทุกไว้บนหลังลา 19 และนางบอกผู้รับใช้หนุ่มว่า “จงไปล่วงหน้าเรา แล้วเราจะตามหลังเจ้าไป” แต่นางไม่ได้บอกนาบาลสามีของนาง 20 ขณะที่นางกำลังขี่ลาลงมาที่หุบเขา ดาวิดกับพรรคพวกของท่านก็ลงมาพบกับนาง นางพบกับพวกเขา 21 ดาวิดเพิ่งพูดว่า “ไร้ประโยชน์แท้ๆ ที่เราปกป้องทุกสิ่งที่เป็นของนายคนนั้นในถิ่นทุรกันดาร ไม่มีสิ่งใดที่เป็นของเขาถูกขโมย และเขาสนองตอบความดีของเราด้วยความเลวร้าย 22 ขอพระเจ้ากระทำต่อดาวิดอย่างสาหัสยิ่งกว่า หากว่าเราปล่อยแม้เพียงชายคนเดียวของนายคนนั้นให้มีชีวิตรอดอยู่ถึงรุ่งเช้า”

23 เมื่ออาบีกายิลเห็นดาวิด นางรีบลงจากหลังลา ก้มหน้าลงซบพื้นต่อหน้าดาวิด 24 นางซบที่เท้าของท่าน และพูดว่า “นายท่าน ถือว่าเป็นความผิดของฉันเพียงผู้เดียว กรุณาให้ผู้รับใช้ของท่านพูดเถิด ช่วยฟังคำของผู้รับใช้ของท่าน 25 นายท่านกรุณาอย่าไปสนใจนาบาลชายผู้ชั่วร้ายคนนั้นเลย ชื่อของเขามีความหมายอย่างไร เขาก็เป็นอย่างนั้น เขาชื่อนาบาล และความโง่เขลาก็อยู่กับเขา แต่ฉันผู้รับใช้ของท่านไม่ได้พบกับพวกชายหนุ่มของนายท่านที่ท่านได้ใช้ให้ไป 26 นายท่าน เป็นเพราะพระผู้เป็นเจ้าได้ยับยั้งท่านจากการกระทำบาปในการนองเลือด และจากการแก้แค้นด้วยมือของท่านเอง ตราบที่พระผู้เป็นเจ้ามีชีวิตอยู่ฉันใด และตราบที่ท่านมีชีวิตอยู่ บัดนี้ขอให้ศัตรูของท่านและบรรดาผู้ที่หมายจะปองร้ายนายท่านจงเป็นอย่างเช่นนาบาลเถิด 27 และขอให้พวกชายหนุ่มที่ตามนายท่านมารับของกำนัลที่ผู้รับใช้ของนายท่านนำมา 28 โปรดให้อภัยความผิดของผู้รับใช้ของท่านด้วย ด้วยว่าพระผู้เป็นเจ้าจะสร้างพงศ์พันธุ์ที่มั่นคงให้แก่นายท่าน และท่านจะไม่กระทำความชั่วตราบที่ท่านมีชีวิตอยู่ 29 ถ้าหากว่าชายใดไล่ล่าท่านและหมายจะเอาชีวิตท่าน ชีวิตของนายท่านจะปลอดภัยในความดูแลของพระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของท่าน ส่วนชีวิตของศัตรูของท่าน พระองค์จะเหวี่ยงพวกเขาออกไปเหมือนเหวี่ยงออกจากเชือกสลิง 30 และเมื่อนายท่านได้รับสิ่งที่ดีจากพระผู้เป็นเจ้าตามที่พระองค์กล่าวไว้เกี่ยวกับท่าน และได้แต่งตั้งให้ท่านเป็นผู้นำอิสราเอลแล้ว 31 จะไม่มีสาเหตุที่ทำให้นายท่านต้องเสียใจหรือปรักปรำตนเอง ที่ได้ฆ่าคนโดยไม่จำเป็น หรือแก้แค้นด้วยตนเอง และเมื่อพระผู้เป็นเจ้าได้ประทานพรท่านแล้ว ขอให้ระลึกถึงผู้รับใช้ของท่านด้วย”

32 ดาวิดพูดกับอาบีกายิลว่า “สรรเสริญพระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของอิสราเอล พระองค์ให้เจ้ามาพบเราในวันนี้ 33 ขอให้ความรอบคอบของเจ้าได้รับพร และตัวเจ้าได้รับพรเถิด วันนี้เจ้าช่วยเราให้พ้นจากบาปของการนองเลือด และจากการแก้แค้นด้วยมือของเราเอง 34 ตราบที่พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของอิสราเอลมีชีวิตอยู่ฉันใด พระองค์ได้ยับยั้งเราไม่ให้ทำร้ายเจ้า หากว่าเจ้าไม่ได้รีบมาพบกับเรา นาบาลก็คงจะไม่มีแม้แต่ชายคนเดียวที่รอดชีวิตอยู่จนถึงรุ่งเช้าแน่” 35 แล้วดาวิดก็รับสิ่งที่นางนำมาให้ท่านจากมือนาง และท่านพูดกับนางว่า “เจ้าขึ้นไปบ้านของเจ้าอย่างสันติเถิด เห็นไหมล่ะ เราฟังเสียงเจ้า และเราทำตามคำขอร้องของเจ้า”

36 อาบีกายิลไปหานาบาล เขากำลังมีงานเลี้ยงใหญ่ที่บ้านของเขา อย่างงานเลี้ยงของกษัตริย์ นาบาลร่าเริงอย่างเต็มหัวใจ เพราะว่าเขาเมามาก นางจึงไม่ได้เล่าสิ่งใดให้เขาฟังจนกว่าฟ้าสาง 37 ครั้นรุ่งเช้า เมื่อนาบาลสร่างจากเหล้าองุ่นแล้ว ภรรยาของเขาจึงเล่าเรื่องเหล่านั้นให้เขาฟัง เขาแน่นิ่ง และขยับตัวไม่ได้ 38 ประมาณ 10 วันหลังจากนั้นพระผู้เป็นเจ้าทำให้นาบาลถึงแก่ชีวิต

39 เมื่อดาวิดทราบว่านาบาลสิ้นชีวิตแล้ว ท่านพูดว่า “สรรเสริญพระผู้เป็นเจ้า พระองค์ได้แก้แค้นนาบาลที่ดูหมิ่นเรา และยับยั้งผู้รับใช้ของพระองค์ไม่ให้กระทำผิด และให้ความผิดของนาบาลลงโทษเขาเอง” แล้วดาวิดให้คนไปพูดกับอาบีกายิลเพื่อรับนางมาเป็นภรรยาของตน 40 ครั้นบรรดาผู้รับใช้ของดาวิดไปหาอาบีกายิลที่คาร์เมลแล้ว พวกเขาพูดกับนางว่า “ดาวิดให้พวกเรามาหาท่านเพื่อรับท่านไปเป็นภรรยาของดาวิด” 41 นางลุกขึ้นและก้มหน้าลงซบพื้นตอบว่า “ดูเถิด หญิงรับใช้ของท่านเป็นผู้รับใช้ที่ล้างเท้าของบรรดาผู้รับใช้ของนายท่าน” 42 และอาบีกายิลรีบลุกขึ้นขี่ลา และหญิงสาว 5 คนเดินตามนางไป นางตามบรรดาผู้ส่งข่าวของดาวิดไป และนางก็เป็นภรรยาของดาวิด

43 ดาวิดรับอาหิโนอัมชาวยิสเรเอลด้วย ทั้งสองจึงเป็นภรรยาของดาวิด 44 ส่วนซาอูลก็ได้ยกมีคาลบุตรหญิงของท่าน ผู้เป็นภรรยาของดาวิด ให้แก่ปัลทีบุตรของลาอิชแห่งเมืองกัลลิมแล้ว

ดาวิดไว้ชีวิตซาอูลอีก

26 ชาวศิฟมาหาซาอูลที่เมืองกิเบอาห์ และกล่าวว่า “ดาวิดกำลังหลบซ่อนตัวอยู่บนเนินเขาฮาคีลาห์ ซึ่งอยู่ทางตะวันออกของเยชิโมนมิใช่หรือ” ซาอูลจึงลงไปยังถิ่นทุรกันดารศิฟกับชายชาวอิสราเอลที่คัดเลือกแล้ว 3,000 คนทันที เพื่อเสาะหาดาวิดในถิ่นทุรกันดารศิฟ ซาอูลตั้งค่ายอยู่ที่เนินเขาฮาคีลาห์ ที่อยู่ข้างถนนทางตะวันออกของเยชิโมน ส่วนดาวิดยังคงอยู่ในถิ่นทุรกันดาร เมื่อท่านได้ยินว่าซาอูลมาตามหาท่านจนเกือบจะถึงถิ่นทุรกันดาร ดาวิดจึงให้บรรดาผู้สอดแนมไป และก็ทราบจริงว่าซาอูลมาแล้ว ดาวิดไปยังที่ซึ่งซาอูลตั้งค่ายอยู่ และเห็นว่าซาอูลนอนอยู่ที่ไหน กับอับเนอร์ผู้บังคับกองพันทหารผู้เป็นบุตรของเนอร์ก็อยู่ด้วย ซาอูลกำลังนอนหลับอยู่ในค่าย มีกองทหารตั้งค่ายอยู่โดยรอบ

ดาวิดพูดกับอาหิเมเลคชาวฮิต และกับพี่ชายโยอาบ คืออาบีชัยบุตรของนางเศรุยาห์ว่า “ใครจะลงไปหาซาอูลในค่ายกับเรา” อาบีชัยตอบว่า “ข้าพเจ้าจะลงไปกับท่าน” ดังนั้นดาวิดและอาบีชัยจึงเข้าไปในกองทหารในเวลากลางคืน ซาอูลกำลังนอนหลับอยู่ในค่ายที่นั่น มีหอกปักดินที่ใกล้ศีรษะ อับเนอร์และทหารก็นอนหลับอยู่รอบข้างท่าน อาบีชัยจึงพูดกับดาวิดว่า “วันนี้พระเจ้าได้มอบศัตรูของท่านไว้ในมือท่านแล้ว ได้โปรดให้ข้าพเจ้าใช้หอกแทงเขาให้ติดดินในครั้งเดียว ข้าพเจ้าจะไม่แทงเขาสองครั้ง” แต่ดาวิดพูดกับอาบีชัยว่า “อย่าทำร้ายท่าน ใครจะยื่นมือออกต่อสู้คนที่พระผู้เป็นเจ้าเจิมได้ แล้วจะไม่พ้นผิด” 10 และดาวิดพูดว่า “ตราบที่พระผู้เป็นเจ้ามีชีวิตอยู่ฉันใด พระผู้เป็นเจ้าจะเป็นผู้สังหารท่าน หรือไม่ท่านก็จะจบชีวิตเอง หรือไม่ท่านก็จะลงไปสู้รบในสงครามและตาย 11 พระผู้เป็นเจ้าห้ามไม่ให้เรายื่นมือต่อสู้คนที่พระผู้เป็นเจ้าเจิม แต่ตอนนี้ให้เอาหอกที่อยู่ใกล้ศีรษะท่านกับเหยือกน้ำไป และเราไปได้แล้ว” 12 ดาวิดจึงเอาหอกและเหยือกน้ำที่อยู่ใกล้ศีรษะของซาอูลไป และออกไปจากที่นั่น โดยที่ไม่มีใครเห็นหรือทราบเรื่อง และไม่มีผู้ใดตื่นขึ้น เพราะทุกคนนอนหลับกันหมด เนื่องจากพระผู้เป็นเจ้าบันดาลให้พวกเขาหลับสนิท

13 แล้วดาวิดไปที่อีกด้านหนึ่งของหุบเขา ยืนบนยอดเขา โดยสองฝ่ายได้เว้นระยะระหว่างกันไกลพอประมาณ 14 ดาวิดตะโกนเรียกพวกทหารและอับเนอร์บุตรของเนอร์ว่า “อับเนอร์ ท่านจะไม่ตอบหรือ” อับเนอร์ตอบว่า “นั่นใครที่มาร้องเรียกกษัตริย์” 15 ดาวิดบอกอับเนอร์ว่า “ท่านไม่ใช่ผู้ชายหรอกหรือ มีใครในอิสราเอลบ้างที่เป็นเหมือนอย่างท่าน แล้วทำไมท่านจึงไม่เฝ้าระวังเจ้านายผู้เป็นกษัตริย์ของท่าน เพราะว่ามีผู้หนึ่งเข้ามาทำร้ายเจ้านายผู้เป็นกษัตริย์ของท่าน 16 ท่านละเลยเช่นนี้ ใช้ไม่ได้ ตราบที่พระผู้เป็นเจ้ามีชีวิตอยู่ฉันใด ท่านสมควรตาย เพราะท่านไม่ได้เฝ้าระวังเจ้านายของท่าน ผู้ที่พระผู้เป็นเจ้าเจิม บัดนี้ท่านจงดูซิว่า หอกของกษัตริย์ และเวลานี้เหยือกน้ำที่อยู่ตรงศีรษะของกษัตริย์อยู่ที่ไหน”

17 ซาอูลจำเสียงของดาวิดได้จึงพูดว่า “ดาวิด ลูกเอ๋ย นี่เป็นเสียงของเจ้าใช่ไหม” ดาวิดตอบว่า “โอ เจ้านายผู้เป็นกษัตริย์ เสียงของข้าพเจ้าเอง” 18 และดาวิดพูดต่อว่า “เหตุใดเจ้านายของข้าพเจ้าจึงไล่ตามผู้รับใช้ของท่าน ข้าพเจ้ากระทำสิ่งใดหรือ ข้าพเจ้ากระทำผิดเรื่องอะไร 19 ฉะนั้นขอให้เจ้านายผู้เป็นกษัตริย์ฟังสิ่งที่ผู้รับใช้พูดเถิด ถ้าหากว่าพระผู้เป็นเจ้าเป็นผู้ดลใจให้ท่านมาทำร้ายข้าพเจ้า ขอให้พระองค์รับของถวายจากข้าพเจ้า แต่ถ้าเป็นมนุษย์ก็ขอให้พวกเขาถูกสาปแช่งต่อหน้าพระผู้เป็นเจ้า เพราะพวกเขาได้ขับไล่ข้าพเจ้าออกมาในวันนี้ว่า ข้าพเจ้าไม่ควรได้รับส่วนแบ่งจากแผ่นดินของพระผู้เป็นเจ้าเป็นมรดก โดยพูดว่า ‘ไปบูชาบรรดาเทพเจ้าเถิด’ 20 ฉะนั้น บัดนี้อย่าให้ข้าพเจ้าถูกฆ่าตายในที่ห่างไกลจากเบื้องหน้าพระผู้เป็นเจ้า เนื่องจากกษัตริย์แห่งอิสราเอลได้ออกมาตามหาตัวหมัด ประหนึ่งผู้ไล่ล่านกกระทาบนภูเขา”

21 ซาอูลจึงกล่าวว่า “เราได้กระทำผิดแล้ว ดาวิด ลูกเอ๋ย เจ้ากลับมาเถิด เราจะไม่ทำร้ายเจ้าอีกแล้ว เพราะในวันนี้ชีวิตของเรามีค่าในสายตาของเจ้า ดูเถิด เราประพฤติตนอย่างโง่เขลา และได้กระทำผิดมาก” 22 ดาวิดตอบว่า “โอ กษัตริย์ หอกอยู่นี่ ให้คนหนึ่งในกลุ่มชายหนุ่มมารับเอาไปเถิด 23 พระผู้เป็นเจ้าประทานรางวัลแก่ทุกคนที่มีความชอบธรรมและความสัตย์จริง ด้วยว่าวันนี้พระผู้เป็นเจ้าได้มอบท่านไว้ในมือข้าพเจ้า และข้าพเจ้าจะไม่ยื่นมือต่อสู้คนที่พระผู้เป็นเจ้าเจิม 24 ดูเถิด ตราบที่ชีวิตของท่านมีค่าในสายตาของข้าพเจ้าในวันนี้เช่นไร ก็ขอให้ชีวิตข้าพเจ้ามีค่าในสายตาของพระผู้เป็นเจ้า และขอให้พระองค์ช่วยข้าพเจ้าให้รอดจากความวิบัติทั้งปวง” 25 ครั้นแล้วซาอูลกล่าวกับดาวิดว่า “ดาวิด ลูกเอ๋ย ขอให้เจ้าได้รับพรเถิด เจ้าจะกระทำหลายสิ่ง และจะกระทำทุกอย่างสำเร็จได้” ดังนั้นดาวิดจึงไปตามทางของท่าน และซาอูลกลับไปยังที่ของตน

ดาวิดหลบหนีไปอยู่กับชาวฟีลิสเตีย

27 ดาวิดคิดในใจว่า “ตัวข้าจะต้องถูกซาอูลฆ่าตายสักวันหนึ่ง ควรจะหลบหนีไปยังดินแดนของชาวฟีลิสเตียดีกว่า ซาอูลจะได้สิ้นหวังและไม่ตามหาข้าในเขตแดนอิสราเอลอีกต่อไป ข้าจะได้หนีพ้นจากมือของท่านได้” ดาวิดกับชาย 600 คนจึงออกเดินทางไปที่นั่น ไปหาอาคีชบุตรมาโอค กษัตริย์แห่งกัท ดาวิดและพรรคพวกได้อาศัยอยู่กับอาคีชที่เมืองกัท ชายทุกคนกับครอบครัวของตน ดาวิดกับภรรยา 2 คน คืออาหิโนอัมชาวยิสเรเอล และอาบีกายิลชาวคาร์เมลแม่ม่ายของนาบาล เมื่อมีคนบอกซาอูลว่าดาวิดได้หนีไปที่เมืองกัท ท่านจึงไม่ตามหาดาวิดอีก

ดาวิดพูดกับอาคีชว่า “ถ้าหากว่าข้าพเจ้าเป็นที่โปรดปรานในสายตาของท่าน โปรดยกที่สักแห่งที่นอกเมืองออกไปให้ข้าพเจ้าอาศัยอยู่ที่นั่น ผู้รับใช้ของท่านไม่ควรจะอาศัยอยู่ในเมืองหลวงกับท่าน” ในวันนั้นอาคีชยกเมืองศิกลากให้ท่านไปอยู่ ฉะนั้นศิกลากจึงเป็นของบรรดากษัตริย์แห่งยูดาห์มาจนถึงทุกวันนี้ นับจำนวนวันที่ดาวิดอาศัยอยู่ที่นอกเมืองของชาวฟีลิสเตียได้ 1 ปี กับ 4 เดือน

ขณะนั้นดาวิดกับพรรคพวกขึ้นไปโจมตีชาวเกชูร์ ชาวเกอร์ซี และชาวอามาเลข คนเหล่านี้อาศัยอยู่ในอาณาเขตมาตั้งแต่ครั้งโบราณกาล ท่านได้โจมตีตั้งแต่เมืองชูร์ไปจนถึงแผ่นดินอียิปต์ ดาวิดโจมตีดินแดนโดยไม่ไว้ชีวิตทั้งชายและหญิง และริบเอาแกะ โค ลา อูฐ และเสื้อผ้า และกลับมาหาอาคีช 10 เมื่ออาคีชถามว่า “วันนี้เจ้าไปโจมตีที่ไหนมา” ดาวิดจะตอบว่า “ไปโจมตีในแถบเนเกบของยูดาห์” หรือ “ไปโจมตีในแถบเนเกบที่เป็นของชาวเยราเมเอล” หรือ “ไปโจมตีในแถบเนเกบที่เป็นของชาวเคน” 11 ดาวิดจะไม่ไว้ชีวิตทั้งชายและหญิง จะได้ไม่ต้องพาตัวมาที่เมืองกัท เพราะเกรงว่าพวกเขาจะเล่าว่า ดาวิดและพรรคพวกได้กระทำอะไรบ้าง นี่เป็นสิ่งที่ท่านกระทำเสมอตลอดระยะเวลาที่อาศัยอยู่ที่นอกเมืองของชาวฟีลิสเตีย 12 อาคีชก็ไว้วางใจดาวิดโดยคิดในใจว่า “เขาเป็นที่รังเกียจในหมู่ชาวอิสราเอล เขาจะเป็นผู้รับใช้ของเราไปตลอดกาล”

ซาอูลและคนทรงที่เมืองเอนโดร์

28 ในคราวนั้นชาวฟีลิสเตียรวบรวมกำลังพร้อมรบ เพื่อต่อสู้กับอิสราเอล อาคีชกล่าวกับดาวิดว่า “จงเข้าใจเถิดว่า เจ้าและพรรคพวกของเจ้าต้องออกทัพไปกับเรา” ดาวิดพูดกับอาคีชว่า “แล้วท่านก็จะทราบเองว่าผู้รับใช้ของท่านจะทำอะไรได้บ้าง” อาคีชกล่าวกับดาวิดว่า “ดีแล้ว เราจะให้เจ้าเป็นองครักษ์ของเราไปตลอดชีวิต”

เมื่อซามูเอลได้สิ้นชีวิตแล้ว และชาวอิสราเอลทั้งปวงก็ร้องคร่ำครวญถึงท่าน และฝังท่านไว้ที่เมืองรามาห์ที่ท่านเคยอาศัยอยู่ ซาอูลได้กำจัดพวกคนทรงและพ่อมดหมอผีให้ออกไปจากแผ่นดินแล้ว ชาวฟีลิสเตียมาชุมนุมกันและตั้งค่ายอยู่ที่ชูเนม ซาอูลรวบรวมอิสราเอลทั้งหมด และตั้งค่ายกันอยู่ที่กิลโบอา เมื่อซาอูลเห็นกองทัพของชาวฟีลิสเตียก็ตกใจกลัว และอกสั่นพรั่นพรึง เมื่อซาอูลถามพระผู้เป็นเจ้า พระผู้เป็นเจ้าก็ไม่ตอบท่าน ไม่ว่าด้วยความฝัน หรือด้วยอูริม[p] หรือด้วยบรรดาผู้เผยคำกล่าวของพระเจ้า ซาอูลจึงบอกบรรดาผู้รับใช้ว่า “จงไปเสาะหาหญิงที่เป็นคนทรงให้เรา เราจะได้ไปหานาง และถามนาง” บรรดาผู้รับใช้พูดว่า “ดูเถิด มีคนทรงคนหนึ่งที่เอนโดร์”

ซาอูลจึงเปลี่ยนเสื้อผ้าเพื่อปลอมตัว ไปกับชายสองคน และมาพบหญิงคนนั้นเมื่อตกค่ำ ซาอูลกล่าวว่า “ช่วยปรึกษากับวิญญาณให้เรา เราจะให้ชื่อคนที่เจ้าจะเรียกขึ้นมาให้เรา” หญิงคนนั้นพูดกับท่านว่า “ท่านต้องรู้แน่เลยว่า ซาอูลได้ทำอะไร ท่านได้ห้ามไม่ให้มีคนทรงและพ่อมดหมอผีอยู่ในแผ่นดิน แล้วทำไมท่านจึงจะให้ชีวิตของเราตกในกับดักจนถึงกับเสียชีวิตได้” 10 แต่ซาอูลสาบานกับนางในพระนามของพระผู้เป็นเจ้าว่า “ตราบที่พระผู้เป็นเจ้ามีชีวิตอยู่ฉันใด เจ้าจะไม่ต้องโทษในเรื่องนี้” 11 หญิงคนนั้นจึงถามว่า “ท่านจะให้เราเรียกใครขึ้นมา” ท่านกล่าวว่า “เรียกซามูเอลขึ้นมาให้เรา” 12 เมื่อหญิงคนนั้นเห็นซามูเอล นางร้องเสียงดังและพูดกับซาอูลว่า “ทำไมท่านจึงหลอกลวงข้าพเจ้า ท่านคือซาอูล” 13 กษัตริย์กล่าวกับนางว่า “ไม่ต้องกลัว เจ้ามองเห็นอะไร” นางตอบว่า “ข้าพเจ้าเห็นเทพเจ้ากำลังผุดขึ้นมาจากพื้นโลก” 14 ท่านกล่าวกับนางว่า “รูปร่างของเขาเป็นอย่างไร” นางตอบว่า “ชายชราผู้หนึ่งกำลังขึ้นมา นุ่งห่มด้วยเสื้อคลุม” ซาอูลทราบว่าเป็นซามูเอล ซาอูลจึงก้มหน้าลงและคำนับ

15 ซามูเอลพูดกับซาอูลว่า “ท่านรบกวนเราให้เราขึ้นมาทำไม” ซาอูลตอบว่า “ข้าพเจ้ามีความทุกข์ยิ่งนัก เพราะชาวฟีลิสเตียกำลังทำสงครามกับเรา และพระเจ้าทอดทิ้งข้าพเจ้า ไม่ยอมตอบข้าพเจ้าอีกเลย ไม่ว่าจะด้วยผู้เผยคำกล่าวของพระเจ้า หรือด้วยความฝันก็ตาม ฉะนั้นข้าพเจ้าจึงต้องปรึกษาท่าน ให้ท่านบอกว่าข้าพเจ้าควรจะทำอย่างไร” 16 ซามูเอลกล่าวว่า “ทำไมท่านจึงถามเรา ในเมื่อพระผู้เป็นเจ้าได้ทอดทิ้งท่าน และเป็นศัตรูของท่านแล้ว 17 พระผู้เป็นเจ้าได้กระทำต่อท่านดังที่พระองค์กล่าวผ่านเราแล้ว เพราะว่าพระผู้เป็นเจ้าได้ฉีกอาณาจักรออกจากมือของท่าน และมอบให้แก่ดาวิดคนร่วมชาติของท่าน 18 เพราะท่านไม่ได้เชื่อฟังพระผู้เป็นเจ้า และไม่ได้กระทำตามความกริ้วอันร้อนแรงของพระองค์ที่มีต่ออามาเลข[q] ฉะนั้นพระผู้เป็นเจ้าได้กระทำสิ่งนี้ต่อท่านในวันนี้ 19 ยิ่งกว่านั้นอีก พระผู้เป็นเจ้าจะมอบอิสราเอลพร้อมกับตัวท่านไว้ในมือของชาวฟีลิสเตีย พรุ่งนี้ท่านและบุตรของท่านก็จะอยู่กับเรา พระผู้เป็นเจ้าจะมอบกองทัพของอิสราเอลไว้ในมือของชาวฟีลิสเตียด้วย”

New Thai Version (NTV-BIBLE)

Copyright © 1998, 2012, 2020 by New Thai Version Foundation