Print Page Options
Previous Prev Day Next DayNext

Bible in 90 Days

An intensive Bible reading plan that walks through the entire Bible in 90 days.
Duration: 88 days
Thai New Testament: Easy-to-Read Version (ERV-TH)
Version
2 ซามูเอล 22:19 - 1 พงศ์กษัตริย์ 7:37

19 พวกเขาปะทะกับข้าพเจ้าตอนที่ข้าพเจ้าเจอกับภัยพิบัติ
    แต่พระยาห์เวห์ช่วยสนับสนุนค้ำจุนข้าพเจ้า
20 พระองค์นำข้าพเจ้าออกไปยังที่โล่งกว้าง
    พระองค์ช่วยชีวิตข้าพเจ้า เพราะพระองค์ชื่นชอบข้าพเจ้า

21 พระยาห์เวห์ให้รางวัลกับข้าพเจ้าเพราะข้าพเจ้าทำสิ่งที่ถูกต้อง
    พระองค์ตอบแทนข้าพเจ้าเพราะมือของข้าพเจ้าสะอาดบริสุทธิ์
22 ข้าพเจ้าได้ใช้ชีวิตอย่างระมัดระวังอย่างที่พระยาห์เวห์ต้องการให้ข้าพเจ้าเป็น
    ข้าพเจ้าไม่ได้หันเหไปจากพระเจ้าของข้าพเจ้าเพื่อจะได้ไปทำสิ่งที่ชั่วร้าย
23 เพราะข้าพเจ้าคิดถึงกฏเกณฑ์และข้อบังคับต่างๆของพระองค์อยู่เสมอ
    ข้าพเจ้าไม่ได้หันเหไปจากพวกกฎของพระองค์
24 ข้าพเจ้าไม่มีที่ติต่อหน้าพระองค์
    และข้าพเจ้าได้รักษาตัวเองให้พ้นจากบาป

25 พระยาห์เวห์ได้ตอบแทนข้าพเจ้า
    เพราะข้าพเจ้าได้ทำสิ่งที่ถูกต้อง
    เพราะพระองค์ได้เห็นว่าข้าพเจ้านั้นสะอาดบริสุทธิ์
26 พระองค์จะจงรักภักดีกับคนที่จงรักภักดีกับพระองค์
    และพระองค์จะไร้ที่ติกับคนที่ไร้ที่ติ
27 พระองค์จะบริสุทธิ์กับคนที่บริสุทธิ์กับพระองค์
    แต่กับคนที่เหลี่ยมจัด พระองค์จะรู้ทัน
    และลงโทษเขาอย่างที่เขาคาดไม่ถึง
28 พระองค์ช่วยกู้คนต่ำต้อย
    แต่พระองค์มองคนหยิ่งยโสเพื่อทำให้เขาตกต่ำลง
29 ข้าแต่พระยาห์เวห์ พระองค์เป็นตะเกียงของข้าพเจ้า
    พระเจ้าของข้าพเจ้า ตอนที่ข้าพเจ้าอยู่ในความมืด พระองค์นำความสว่างมาให้
30 พระองค์ช่วยให้ข้าพเจ้าสามารถลุยเข้าไปสู้กับกองทัพได้
    พระเจ้าของข้าพเจ้า ช่วยให้ข้าพเจ้าสามารถกระโดดข้ามกำแพงของศัตรูไปได้
31 ทางของพระเจ้าไม่มีที่ติ
    สัญญาของพระยาห์เวห์นั้นได้รับการพิสูจน์แล้วว่าเชื่อถือได้
    พระองค์เป็นโล่ให้กับทุกคนที่ลี้ภัยในพระองค์

32 ใครเป็นพระเจ้า นอกจากพระยาห์เวห์
    ใครเป็นหินกำบัง นอกจากพระเจ้าของพวกเรา
33 พระเจ้าองค์นี้เป็นที่ลี้ภัยอันเข้มแข็งของข้าพเจ้า
    พระองค์ทำให้ทางของข้าพเจ้าไม่มีอุปสรรคขัดขวาง
34 พระองค์ช่วยให้เท้าข้าพเจ้ามั่นคงเหมือนเท้ากวาง
    พระองค์ทำให้ข้าพเจ้าสามารถยืนหยัดมั่นคงได้แม้บนที่สูง
35 พระองค์ฝึกมือของข้าพเจ้าสำหรับสงคราม
    พระองค์ใส่พลังเข้าไปในแขนของข้าพเจ้า
    เพื่อจะง้างคันธนูที่แข็งแกร่งที่สุดได้
36 พระองค์ได้มอบโล่ของพระองค์ที่ช่วยปกป้องข้าพเจ้า
    ความช่วยเหลือของพระองค์ทำให้ข้าพเจ้ามีชัยชนะ
37 พระองค์ทำให้ทางของข้าพเจ้ากว้างขวาง
    เท้าของข้าพเจ้าจึงไม่พลาดล้ม
38 ข้าพเจ้าได้ไล่ตามจับศัตรูและทำลายพวกเขา
    และไม่ได้หันกลับจนได้ทำลายพวกเขาจนหมดสิ้น
39 ข้าพเจ้าได้ทำลายพวกเขาจนหมดสิ้น
    ข้าพเจ้าได้บดขยี้พวกเขา จนพวกเขาลุกขึ้นมาไม่ได้อีก
    พวกเขาล้มลงอยู่แทบเท้าของข้าพเจ้า
40 พระองค์ได้ทำให้ข้าพเจ้าแข็งแกร่งพร้อมออกรบ
    พระองค์ทำให้คนเหล่านั้นที่ลุกขึ้นมาต่อสู้กับข้าพเจ้าต้องยอมหมอบลงต่อข้าพเจ้า
41 พระองค์ทำให้ศัตรูของข้าพเจ้าหันหลังหนีไป
    ข้าพเจ้าก็โค่นคนพวกนั้นที่เกลียดชังข้าพเจ้าลง
42 พวกเขามองหาแต่ไม่มีใครช่วยให้รอด
    พวกเขาร้องต่อพระยาห์เวห์แต่พระองค์ไม่ตอบพวกเขา
43 ข้าพเจ้าทุบตีพวกเขาแหลกละเอียดเหมือนฝุ่นของแผ่นดินโลก
    ข้าพเจ้าบดขยี้พวกเขาและเหยียบย่ำพวกเขาเหมือนโคลนตามท้องถนน

44 พระองค์ช่วยให้ข้าพเจ้ารอดพ้นจากกองทัพศัตรูที่เข้ามาโจมตี
    พระองค์ยังคงให้ข้าพเจ้าเป็นหัวหน้าของชนชาติต่างๆเหล่านั้น
    แม้แต่คนที่ข้าพเจ้าไม่รู้จัก ก็รับใช้ข้าพเจ้า
45 พวกคนต่างชาติมาหมอบอยู่ต่อหน้าข้าพเจ้า
    ทันทีที่พวกเขาได้ยินเรื่องของข้าพเจ้า พวกเขาต่างยอมสยบต่อข้าพเจ้า
46 คนต่างชาติพวกนั้นขวัญหนีดีฝ่อ
    พากันออกมาจากที่ซ่อน ตัวสั่นงันงกด้วยความกลัว
47 ใช่แล้ว พระยาห์เวห์มีชีวิตอยู่ ให้สรรเสริญพระเจ้าผู้เป็นหินกำบังของข้าพเจ้า
    ให้ยกย่องพระเจ้าของข้าพเจ้า ผู้เป็นหินกำบังที่ช่วยให้ข้าพเจ้ารอดพ้น
48 พระองค์ เป็นพระเจ้าผู้ลงโทษศัตรูของข้าพเจ้า
    และนำให้ชนชาติต่างๆลงมาอยู่ใต้ข้าพเจ้า
49 พระองค์นำข้าพเจ้าออกมาจากพวกศัตรูของข้าพเจ้า
    พระองค์ยกข้าพเจ้าขึ้นเหนือคนเหล่านั้นที่ลุกขึ้นมาต่อสู้กับข้าพเจ้า
    พระองค์ช่วยให้ข้าพเจ้ารอดจากศัตรูที่โหดร้าย

50 ดังนั้น ข้าแต่พระยาห์เวห์ ข้าพเจ้าจะสรรเสริญพระองค์ท่ามกลางชนชาติทั้งหลาย
    ข้าพเจ้าจะร้องเพลงสรรเสริญชื่อของพระองค์
51 พระองค์ให้ชัยชนะอันยิ่งใหญ่กับกษัตริย์ของพระองค์
    พระองค์ให้ความรักอันมั่นคงกับกษัตริย์ที่พระองค์ได้เลือกไว้
    ซึ่งก็คือดาวิดและลูกหลานของเขาตลอดไป”

คำพูดสุดท้ายของดาวิด

23 นี่คือคำพูดสุดท้ายของดาวิด

“คำพูดนี้เป็นของดาวิดลูกชายเจสซี
    คำพูดนี้เป็นของชายที่พระเจ้ายกย่อง
ชายผู้ที่พระเจ้าของยาโคบได้เจิมให้เป็นกษัตริย์
    เป็นนักร้องคนโปรดของอิสราเอล[a]
พระวิญญาณของพระยาห์เวห์ พูดผ่านข้าพเจ้า
    คำพูดของพระองค์อยู่ที่ลิ้นของข้าพเจ้า
พระเจ้าของอิสราเอลพูดไว้
    หินกำบังของอิสราเอลพูดกับข้าพเจ้าว่า
‘คนที่ปกครองประชาชนอย่างเป็นธรรม
    คนที่ปกครองด้วยความยำเกรงพระเจ้า
เป็นเหมือนแสงอรุณ
    เป็นเหมือนดวงอาทิตย์ที่ขึ้นในเวลาเช้าที่ไม่มีเมฆ
    ที่สดใสหลังฝนตก ที่ทำให้ต้นหญ้างอกขึ้นจากดิน’

ครอบครัวของข้าพเจ้าได้ปกครองอย่างนั้น
    พระองค์ได้ทำสัญญากับข้าพเจ้าที่จะคงอยู่ตลอดไป
    และไม่เปลี่ยนแปลง
พระองค์จะทำให้ข้าพเจ้าประสบความสำเร็จ
    และให้สิ่งที่ข้าพเจ้าหวังไว้

แต่คนชั่วเป็นเหมือนหนามที่ต้องถูกขว้างทิ้งไปให้หมด
    หยิบมันด้วยมือไม่ได้
ต้องใช้เครื่องมือที่เป็นเหล็กหรือด้ามหอก
    เขี่ยกองมันไว้และเผามันตรงนั้นเลย”

นักรบผู้กล้าสามคน

(1 พศด. 11:10-47)

ต่อไปนี้เป็นชื่อนักรบผู้กล้าของดาวิด คือเยชบาอัลชาวฮัคโมนี[b] เขาเป็นหัวหน้าของกองทหารของกษัตริย์ที่แบ่งเป็นกลุ่มละสามคน[c] เขาใช้หอกของเขา[d] ฆ่าแปดร้อยในการรบครั้งเดียว

รองจากเขา คือเอเลอาซาร์ลูกชายโดโด[e] จากตระกูลอาโหไฮ เป็นหนึ่งในสามผู้กล้า เขาอยู่กับดาวิดตอนที่พวกเขาได้ท้าทายชาวฟีลิสเตียที่รวมตัวกันอยู่ที่ปัสดัมมิม[f] ให้ออกมาสู้รบ ทหารอิสราเอลต่างหลบหนีไปกันหมด 10 แต่เขากลับยืนหยัดอยู่กับที่และฆ่าชาวฟีลิสเตียจนมือของเขาเป็นเหน็บแข็งติดดาบ ในวันนั้นพระยาห์เวห์ได้นำชัยชนะอันยิ่งใหญ่มาให้เขา กองทัพอิสราเอลได้หวนกลับมาหาเอเลอาซาร์ เพื่อปลดข้าวของจากคนที่ถูกฆ่าตายเท่านั้น

11 รองจากเขาคือชัมมาห์ลูกชายอาเกชาวฮาราร์ เมื่อชาวฟีลิสเตียรวมตัวกันในที่ที่เป็นทุ่งนาที่เต็มไปด้วยถั่วแขก[g] กองทัพของอิสราเอลได้หลบหนีไป 12 แต่ชัมมาห์ยังคงยืนหยัดอยู่ที่กลางทุ่ง เขาต่อสู้และฆ่าชาวฟีลิสเตีย และพระยาห์เวห์ได้นำชัยชนะอันยิ่งใหญ่มาให้เขา

13 ครั้งหนึ่งในช่วงฤดูเก็บเกี่ยว นักรบผู้กล้าทั้งสามคนนี้ จากกองทหารของดาวิดที่แบ่งเป็นกลุ่มละสามคน[h] ได้ลงมาหาดาวิด[i] ที่ถ้ำอดุลลัม ขณะที่กองทัพฟีลิสเตียตั้งค่ายอยู่ในหุบเขาเรฟาอิม

14 ในเวลานั้นดาวิดอยู่ในที่กำบังแข็งแกร่ง[j] และกองทหารชาวฟีลิสเตียตั้งป้อมอยู่ที่เบธเลเฮม 15 ดาวิดหิวน้ำและเปรยๆขึ้นว่า “ใครหนอจะเอาน้ำจากบ่อน้ำใกล้ประตูเมืองเบธเลเฮมมาให้เราดื่มได้”

16 นักรบผู้กล้าทั้งสามคนจึงได้ฝ่าแนวทหารชาวฟีลิสเตีย ไปตักน้ำจากบ่อน้ำใกล้ประตูเมืองเบธเลเฮมและนำกลับมาให้ดาวิด แต่ดาวิดไม่ยอมดื่ม เขากลับเทมันทิ้งต่อหน้าพระยาห์เวห์ แล้วดาวิดก็พูดว่า 17 “ข้าแต่พระยาห์เวห์ ข้าพเจ้าไม่ได้คิดจะทำอย่างนี้เลย ข้าพเจ้าจะดื่มเข้าไปได้ยังไง นี่มันเป็นเหมือนเลือดของคนที่ต้องเสี่ยงชีวิตเพื่อไปเอามันมา ไม่ใช่หรือ” แล้วดาวิดก็ไม่ยอมดื่มมัน

สิ่งเหล่านี้คือการกระทำของนักรบผู้กล้าทั้งสามนั้น

นักรบผู้กล้าสามสิบคน

18 อาบีชัยน้องชายโยอาบลูกนางเศรุยาห์เป็นหัวหน้าของกองทหารของดาวิดที่แบ่งเป็นกลุ่มละสามคน[k] เขาใช้หอกของเขาต่อสู้คนสามร้อยคนและฆ่าพวกนั้นจนหมด แต่เขาไม่ได้กลายเป็นคนหนึ่งในนักรบผู้กล้าสามคนนั้น[l] 19 เขามีชื่อเสียงเท่ากับนักรบผู้กล้าสามคนนั้นไม่ใช่หรือ เขาได้กลายเป็นผู้นำของสามคนนั้น แม้ว่าเขาจะไม่ได้เป็นหนึ่งในสามคนนั้นก็ตาม

20 เบไนยาห์ลูกชายเยโฮยาดาเป็นนักรบผู้กล้าจากเมืองขับเซเอล เขาทำสิ่งที่ยิ่งใหญ่ทั้งหลาย เขาฆ่าคนใจสิงห์[m] สองคนของโมอับ วันหนึ่งเมื่อหิมะตก เขาได้ลงไปในหลุมและฆ่าสิงโตตายไปตัวหนึ่ง 21 และเขาได้ฆ่าทหารอียิปต์ตัวใหญ่คนหนึ่ง ทั้งๆที่ทหารอียิปต์นั้นถือหอกอยู่ในมือ เบไนยาห์ต่อสู้กับทหารนั้นด้วยไม้กระบองท่อนหนึ่ง เขาแย่งหอกจากมือของทหารอียิปต์นั้นมาได้ และฆ่าทหารนั้นด้วยหอกของเขาเอง 22 นั่นคือการกระทำที่กล้าหาญทั้งหลายของเบไนยาห์ลูกชายเยโฮยาดา แต่เขาไม่ได้กลายเป็นคนหนึ่งในนักรบผู้กล้าสามคนนั้น 23 เขามีเกียรติที่สุดในกองทหารของกษัตริย์ที่แบ่งเป็นกลุ่มละสามคน[n] แต่เขาไม่ได้กลายเป็นคนหนึ่งในผู้กล้าสามคนนั้น ดาวิดได้แต่งตั้งให้เขาเป็นหัวหน้าทหารประจำตัวพระองค์

24 คนต่อไปนี้เป็นส่วนหนึ่งของนักรบผู้กล้าสามสิบคน[o]

คือ อาสาเฮลน้องชายโยอาบ เอลฮานันลูกชายโดโดจากเบธเลเฮม

25 ชัมมาห์ชาวฮาโรด เอลีคาชาวฮาโรด

26 เฮเลสชาวเปเลท อิราลูกชายอิกเขชชาวเมืองเทโคอา

27 อาบีเยเซอร์ชาวเมืองอานาโธท เมบุนนัย[p] ชาวหุชาห์

28 ศัลโมนชาวอาโหไฮ มาหะรัยชาวเนโทฟาห์

29 เฮเลด[q] ลูกชายบาอานาห์ชาวเนโทฟาห์ อิททัยลูกชายรีบัยจากกิเบอาห์ชาวเบนยามิน

30 เบไนยาห์ชาวปิราโธน ฮิดดัย[r] จากลำธารกาอัช

31 อาบีอัลโบนชาวอารบา อัสมาเวทชาวบาฮูริม

32 เอลียาบาชาอัลโบน บรรดาลูกชายของยาเชน โยนาธาน

33 ลูกชาย[s] ของชัมมาห์ชาวฮาราร์ อาหิอัมลูกชายชาราร์ชาวฮาราร์

34 เอลีเฟเลทลูกชายอาหัสบัยชาวมาอาคาห์ เอลีอัมลูกชายอาหิโธเฟลชาวกิโลห์

35 เฮสโรชาวคารเมล ปารัยชาวอาราบ

36 อิกาลลูกชายนาธันชาวเมืองโศบาห์ ลูกชายของฮากรี[t]

37 เศเลกชาวอัมโมน นาหะรัยชาวเบเอโรท คนถืออาวุธให้โยอาบลูกชายนางเศรุยาห์

38 อิราชาวอิทไรต์ กาเรบชาวอิทไรต์

39 อุรียาห์ชาวฮิตไทต์ รวมทั้งหมดสามสิบเจ็ดคน

ดาวิดตัดสินใจนับกองทัพของเขา

(1 พศด. 21:1-6)

24 ความโกรธของพระยาห์เวห์ลุกขึ้นต่อต้านชาวอิสราเอลอีกครั้ง พระองค์ยุให้ดาวิดไปต่อต้านคนอิสราเอล พระยาห์เวห์บอกดาวิดว่า “ไปนับชาวอิสราเอลและยูดาห์”

กษัตริย์ดาวิดจึงพูดกับโยอาบและพวกแม่ทัพ[u] ที่อยู่กับเขาว่า “ไปหาชาวอิสราเอลทุกเผ่าตั้งแต่ดานจนถึงเบเออร์เชบา[v] และลงทะเบียนนักรบเหล่านั้นเพื่อเราจะได้รู้ว่าพวกเขามีจำนวนเท่าใด”

แต่โยอาบตอบกษัตริย์ว่า “ขอให้พระยาห์เวห์พระเจ้าของท่าน เพิ่มจำนวนกองทัพขึ้นอีกหนึ่งร้อยเท่า และขอให้ดวงตาของกษัตริย์เจ้านายของข้าพเจ้าได้มองเห็นเรื่องนี้ แต่กษัตริย์เจ้านายของข้าพเจ้าต้องการนับพลอย่างนี้ไปทำไมกัน”

แต่อย่างไรก็ตาม คำพูดของกษัตริย์ก็มีอำนาจเหนือโยอาบและบรรดาแม่ทัพเหล่านั้น พวกเขาจึงออกไปเพื่อไปลงทะเบียนนักรบของอิสราเอล หลังจากข้ามแม่น้ำจอร์แดนมา พวกเขาตั้งค่ายอยู่ใกล้อาโรเออร์ในช่องแคบทางใต้ของเมือง จากนั้นก็ผ่านไปยังกาดและต่อไปที่ยาเซอร์

พวกเขาไปที่กิเลอาดและแคว้นตะทิมโหดฉิ และได้ไปถึงดานยาอันและอ้อมไปยังไซดอน แล้วพวกเขาตรงไปที่ป้อมของไทระและเมืองทั้งหมดของชาวฮีไวต์และชาวคานาอัน ในที่สุด พวกเขาก็ไปถึงเบเออร์เชบาในเนเกบของยูดาห์ หลังจากที่พวกเขาไปทั่วแผ่นดินแล้ว พวกเขากลับเยรูซาเล็มโดยใช้เวลาทั้งหมดเก้าเดือนกับอีกยี่สิบวัน

โยอาบรายงานจำนวนนักรบให้กษัตริย์ ในอิสราเอลมีคนที่ร่างกายสมบูรณ์ที่สามารถถือดาบได้ทั้งหมดแปดแสนคน และในยูดาห์มีห้าแสนคน

พระยาห์เวห์ลงโทษดาวิด

(1 พศด. 21:7-17)

10 ดาวิดรู้สึกสำนึกผิดขึ้นหลังจากที่เขาได้นับนักรบ และเขาพูดกับพระยาห์เวห์ว่า “ข้าพเจ้าได้ทำบาปอย่างใหญ่หลวงในสิ่งที่ข้าพเจ้าทำไป ตอนนี้ ข้าแต่พระยาห์เวห์ ข้าพเจ้าขอให้พระองค์เอาความผิดของข้าพเจ้าผู้รับใช้ไปด้วยเถิด ข้าพเจ้าได้ทำในสิ่งที่โง่เขลามาก” 11 ในวันรุ่งขึ้นตอนดาวิดตื่น พระยาห์เวห์ส่งคำพูดมาถึงกาดผู้พูดแทนพระเจ้าผู้ที่เห็นนิมิตของดาวิด ให้ไปพูดกับดาวิดว่า 12 “ไปบอกดาวิดว่า ‘นี่คือสิ่งที่พระยาห์เวห์ พูด เราจะให้ทางเลือกแก่เจ้าสามทาง เลือกมาหนึ่งทางที่เจ้าจะให้เราทำกับเจ้า’”

13 กาดจึงไปพบดาวิดและพูดกับเขาว่า “จะให้สิ่งใดเกิดขึ้นกับท่านบ้างในสามสิ่งนี้ คือ

ความอดอยากหิวโหยสามปี[w] บนแผ่นดินของท่าน

หรือการหลบหนีจากศัตรูของท่านสามเดือนในขณะที่พวกเขาตามล่าท่าน

หรือโรคระบาดบนแผ่นดินของท่านสามวัน

ตอนนี้ คิดให้ดีและตัดสินใจว่า ข้าพเจ้าควรจะตอบผู้ที่ส่งข้าพเจ้ามาว่าอย่างไรดี”

14 ดาวิดพูดกับกาดว่า “เรากำลังทุกข์ทรมานอย่างหนัก ปล่อยให้พวกเราอยู่ในกำมือของพระยาห์เวห์เถิด เพราะความเมตตาของพระองค์ยิ่งใหญ่ แต่อย่าให้เราตกอยู่ในกำมือมนุษย์เลย”

15 พระยาห์เวห์จึงส่งโรคระบาดให้อิสราเอลตั้งแต่เช้าจนกระทั่งสิ้นสุดวันตามที่กำหนดไว้ และมีประชาชนตั้งแต่ดานจนถึงเบเออร์เชบา ล้มตายไปเจ็ดหมื่นคน 16 เมื่อทูตสวรรค์ยื่นมือของตนออกเพื่อทำลายเยรูซาเล็ม พระยาห์เวห์เปลี่ยนใจเรื่องการทำลายนั้น และพูดกับทูตสวรรค์ผู้ที่กำลังทำให้ประชาชนเจ็บป่วยอยู่นั้นว่า “พอแล้ว เก็บมือท่านกลับคืนได้แล้ว” ทูตสวรรค์ของพระยาห์เวห์จึงอยู่ที่ลานนวดข้าวของอาราวนาห์[x] ชาวเยบุส

ดาวิดถวายเครื่องบูชาที่ลานนวดข้าว

(1 พศด. 21:18-27)

17 เมื่อดาวิดเห็นทูตสวรรค์ผู้ทำลายประชาชน เขาพูดกับพระยาห์เวห์ว่า “ข้าพเจ้าคือคนที่ทำบาปและทำผิดคนนั้น พวกนั้นเป็นเพียงแกะเท่านั้น พวกเขาได้ทำอะไรลงไปเล่า ขอให้มือพระองค์ตกลงมาที่ข้าพเจ้าและครอบครัวของข้าพเจ้าเถิด”

18 ในวันนั้น กาดไปหาดาวิดและพูดกับเขาว่า “ให้ขึ้นไปสร้างแท่นบูชาให้พระยาห์เวห์ ที่บนลานนวดข้าวของ อาราวนาห์ชาวเยบุสนั้น” 19 ดาวิดจึงขึ้นไปตามที่พระยาห์เวห์ได้สั่งผ่านมาทางกาดถึงเขา 20 เมื่ออาราวนาห์มองเห็นกษัตริย์และคนของเขากำลังตรงมา เขาออกไปและก้มหน้ากราบลงถึงพื้นต่อหน้ากษัตริย์ 21 อาราวนาห์พูดว่า “กษัตริย์เจ้านายของข้าพเจ้ามาหาผู้รับใช้ของพระองค์ทำไมหรือ”

ดาวิดตอบว่า “เพื่อที่จะซื้อลานนวดข้าวของเจ้า เราจะได้สร้างแท่นบูชาให้พระยาห์เวห์ โรคระบาดของประชาชนจะได้หายไป”

22 อาราวนาห์พูดกับดาวิดว่า “กษัตริย์เจ้านายของข้าพเจ้าจะเอาอะไรก็ได้ตามที่พระองค์พอใจ และไปถวายเครื่องบูชาตามที่ท่านเห็นสมควร นี่คือพวกวัวตัวผู้เอาไว้ใช้เป็นเครื่องเผาบูชา และนี่คือเลื่อนนวดข้าวและแอก เอาไว้ใช้เป็นฟืน 23 ข้าแต่กษัตริย์ ข้าพเจ้าขอยกของทั้งหมดนี้ให้กับกษัตริย์” อาราวนาห์พูดกับกษัตริย์ด้วยว่า “ขอให้พระยาห์เวห์ พระเจ้าของท่าน ยอมฟังคำอธิษฐานของท่านเถิด”

24 แต่กษัตริย์ตอบอาราวนาห์ว่า “ไม่ได้หรอก เรายืนกรานที่จะจ่ายเงินให้เจ้า เราจะไม่ถวายเครื่องเผาบูชาที่เราได้มาฟรีๆให้กับพระยาห์เวห์ พระเจ้าของเรา”

ดาวิดจึงซื้อลานนวดข้าว และซื้อพวกวัวตัวผู้ เป็นเงินมากกว่าครึ่งกิโลกรัม 25 ดาวิดสร้างแท่นบูชาให้พระยาห์เวห์ขึ้นที่นั่นและถวายเครื่องเผาบูชาและเครื่องบูชาอื่นๆเพื่อคืนดีกับพระเจ้า แล้วพระยาห์เวห์ก็ตอบรับคำอธิษฐานของเขาสำหรับคนในแผ่นดิน และโรคระบาดในอิสราเอลก็หยุดลง

อาโดนียาห์พยายามตั้งตัวเป็นกษัตริย์

เมื่อกษัตริย์ดาวิดแก่ตัวมากแล้ว แม้จะห่มผ้าให้หลายผืนก็ยังไม่หายหนาว พวกคนรับใช้ของท่านจึงพูดกับท่านว่า “ให้พวกข้าพเจ้าไปหาหญิงสาวบริสุทธิ์สักคนมาอยู่ดูแลท่านผู้เป็นกษัตริย์เถิด นางจะได้นอนอยู่ข้างๆท่านเพื่อคอยทำให้ท่าน กษัตริย์ผู้เป็นเจ้านายของข้าพเจ้าอบอุ่น” แล้วพวกเขาก็ไปเสาะหาหญิงงามจากทั่วทั้งอิสราเอล และได้พบนางอาบีชาก ชาวชูเนม พวกเขาพานางมาเฝ้ากษัตริย์ หญิงสาวคนนั้นสวยงามมาก นางดูแลกษัตริย์และอยู่กับเขาตลอดเวลา แต่กษัตริย์ไม่เคยมีเพศสัมพันธ์กับนาง

ในเวลานั้นอาโดนียาห์ลูกของนางฮักกีทยกตัวเองขึ้นและพูดว่า “เราจะเป็นกษัตริย์” เขาก็เลยเตรียมรถรบไว้หลายคันและม้า[y] อีกหลายตัว พร้อมกับชายห้าสิบคน เอาไว้วิ่งนำหน้าเขา (ดาวิดพ่อของเขาไม่เคยต่อว่าเขา หรือแม้แต่จะถามว่า “ทำไมลูกถึงทำเรื่องอย่างนี้” อาโดนียาห์เป็นผู้ชายที่รูปหล่อมากและเกิดถัดจากอับซาโลม)

อาโดนียาห์ได้ปรึกษาหารือกับโยอาบลูกชายนางเศรุยาห์และนักบวชอาบียาธาร์ และพวกนั้นก็ให้การสนับสนุนเขา แต่นักบวชศาโดก รวมทั้งเบไนยาห์ลูกชายเยโฮยาดา นาธันผู้พูดแทนพระเจ้า ชิเมอี เรอี และพวกองครักษ์ของดาวิด[z] ไม่ยอมเข้าร่วมกับอาโดนียาห์

วันหนึ่ง อาโดนียาห์ถวาย แกะ วัวและลูกวัวอ้วนหลายตัวที่ศิลาโศเฮเลทใกล้เอนโรเกล[aa] เขาเชิญพวกน้องชายของเขา คือพวกลูกชายคนอื่นๆของกษัตริย์ดาวิด และเชิญข้าราชการชั้นสูงทุกคนจากเผ่ายูดาห์มาด้วย 10 แต่เขาไม่ได้เชิญนาธันผู้พูดแทนพระเจ้า หรือเบไนยาห์หรือทหารองครักษ์หรือซาโลมอนน้องชายของเขา

11 นาธันถามนางบัทเชบา แม่ของซาโลมอนว่า “ท่านได้ข่าวแล้วหรือยังว่า อาโดนียาห์ลูกชายนางฮักกีท ตั้งตัวขึ้นเป็นกษัตริย์แล้ว โดยที่ดาวิดเจ้านายของพวกเราไม่รู้เรื่องด้วยเลย 12 ตอนนี้ เพื่อรักษาชีวิตของท่านและซาโลมอนลูกชายท่าน ข้าพเจ้าขอแนะนำให้ท่านทำอย่างนี้ คือ 13 ให้ท่านไปหากษัตริย์เดี๋ยวนี้เลย และพูดกับกษัตริย์ว่า ‘กษัตริย์เจ้านายของข้าพเจ้า ท่านเคยสาบานกับข้าพเจ้าผู้รับใช้ท่านไว้ไม่ใช่หรือ ที่ว่า “ซาโลมอนลูกชายของเจ้า จะได้ขึ้นเป็นกษัตริย์ต่อจากเราอย่างแน่นอน และเขาจะได้นั่งบนบัลลังก์ของเรา” แล้วทำไมอาโดนียาห์จึงได้ขึ้นเป็นกษัตริย์เล่า’ 14 ในระหว่างที่ท่านกำลังคุยอยู่กับกษัตริย์นั้น ข้าพเจ้าจะเข้าไปหาและยืนยันถึงสิ่งที่ท่านได้พูดไป”

15 แล้วนางบัทเชบาจึงไปเข้าเฝ้ากษัตริย์ดาวิด ที่แก่มากแล้ว ในห้องนอนของพระองค์ ที่มีนางอาบีชากชาวชูเนมคอยดูแลรับใช้อยู่ 16 นางบัทเชบาก้มกราบลงต่อหน้ากษัตริย์ กษัตริย์จึงถามว่า “ท่านต้องการอะไรหรือ”

17 นางพูดกับกษัตริย์ว่า “เจ้านายของข้าพเจ้า ตัวท่านเองเคยสาบานไว้กับข้าพเจ้าผู้รับใช้ของท่าน ต่อหน้าพระยาห์เวห์ พระเจ้าของท่านว่า

‘ซาโลมอนลูกชายของเจ้าจะได้ขึ้นเป็นกษัตริย์สืบต่อจากเราและเขาจะได้นั่งบนบัลลังก์ของเรา’ 18 แต่อยู่ๆอาโดนียาห์ก็ได้ขึ้นเป็นกษัตริย์ และตัวท่านเอง กษัตริย์เจ้านายของข้าพเจ้าก็ไม่รู้เรื่อง 19 อาโดนียาห์ได้ถวาย พวกวัว ลูกวัวตัวอ้วนพีและแกะเป็นจำนวนมาก และยังได้เชิญลูกชายทั้งหมดของท่าน รวมทั้งนักบวชอาบียาธาร์และแม่ทัพโยอาบไปด้วย แต่เขาไม่ได้เชิญซาโลมอนผู้รับใช้ท่านไป 20 กษัตริย์เจ้านายของข้าพเจ้า สายตาทั้งหลายของอิสราเอลกำลังจับจ้องอยู่ที่ท่าน เพื่อจะดูว่าท่านจะให้ใครขึ้นนั่งบนบัลลังก์ต่อจากท่านกษัตริย์เจ้านายของข้าพเจ้า 21 ถ้าท่านไม่ทำอะไรลงไป ทันทีที่ท่าน กษัตริย์เจ้านายของข้าพเจ้า ตายอย่างสงบ และไปอยู่กับบรรพบุรุษของท่านแล้ว อาโดนียาห์คงจะทำกับข้าพเจ้าและซาโลมอนลูกชายของข้าพเจ้าอย่างกับว่าพวกเราเป็นคนร้าย”

22 ขณะที่นางกำลังพูดกับกษัตริย์อยู่นั้น นาธันผู้พูดแทนพระเจ้าก็เข้ามา 23 พวกผู้รับใช้ได้บอกกับกษัตริย์ว่า “นาธันผู้พูดแทนพระเจ้าอยู่ที่นี่” นาธันจึงไปอยู่ต่อหน้ากษัตริย์และก้มหน้ากราบลงถึงพื้น 24 นาธันพูดว่า “กษัตริย์นายของข้าพเจ้า ท่านได้ประกาศหรือว่า ‘อาโดนียาห์จะได้เป็นกษัตริย์ต่อจากเรา และจะนั่งบนบัลลังก์ของเรา’ 25 วันนี้ เขาได้ลงไปถวายพวกวัว ลูกวัวอ้วนพีและแกะเป็นจำนวนมากเป็นเครื่องบูชาเฉลิมฉลอง เขาได้เชิญพวกลูกชายทั้งหมดของท่าน พวกแม่ทัพและนักบวชอาบียาธาร์ไปด้วย ขณะนี้ พวกเขากำลังเลี้ยงฉลองอยู่กับอาโดนียาห์ และพูดว่า ‘กษัตริย์อาโดนียาห์จงเจริญ’ 26 แต่เขาไม่ได้เชิญข้าพเจ้าผู้รับใช้ท่านและนักบวชศาโดกและเบไนยาห์ลูกชายเยโฮยาดา รวมทั้งซาโลมอนผู้รับใช้ของท่านไปด้วย 27 กษัตริย์เจ้านายของข้าพเจ้า นี่คือสิ่งที่ท่านได้ทำลงไป โดยไม่ยอมบอกให้พวกผู้รับใช้ของท่านได้รับรู้หรือ ช่วยบอกด้วยว่าใครจะได้นั่งบนบัลลังก์ต่อจากท่าน กษัตริย์เจ้านายของข้าพเจ้า”

28 กษัตริย์ดาวิดตอบว่า “เรียกตัวนางบัทเชบาเข้ามา” นางบัทเชบาจึงเข้ามายืนอยู่ต่อหน้ากษัตริย์

29 แล้วกษัตริย์ได้สาบานว่า “พระยาห์เวห์ ผู้ที่ได้ช่วยเหลือเราให้พ้นจากความยากลำบากทุกอย่าง มีชีวิตอยู่แน่ขนาดไหน 30 ก็ให้แน่ใจขนาดนั้นเลยว่า ในวันนี้ เราจะทำตามสิ่งที่เราได้สาบานไว้กับเจ้าต่อหน้าพระยาห์เวห์ พระเจ้าของอิสราเอล ที่ว่า ‘ซาโลมอนลูกชายเจ้าจะได้ขึ้นเป็นกษัตริย์สืบต่อจากเรา และเขาจะได้นั่งบนบัลลังก์ของเราแทนที่เรา’”

31 นางบัทเชบาจึงก้มกราบลงถึงพื้นต่อหน้ากษัตริย์ และพูดว่า “ขอให้กษัตริย์ดาวิดเจ้านายของข้าพเจ้ามีชีวิตยืนยาวตลอดไป”

ดาวิดตั้งซาโลมอนเป็นกษัตริย์

32 กษัตริย์ดาวิดพูดว่า “ให้เรียกนักบวชศาโดก นาธันผู้พูดแทนพระเจ้า และเบไนยาห์ลูกชายเยโฮยาดาเข้ามาที่นี่” เมื่อพวกเขามาอยู่ต่อหน้ากษัตริย์แล้ว 33 กษัตริย์จึงพูดกับพวกเขาว่า “เอาพวกคนรับใช้ของเราผู้เป็นเจ้านายพวกเจ้า ไปกับพวกเจ้า และนำตัวซาโลมอนลูกชายของเราขึ้นขี่ล่อของเราและพาเขาลงไปที่ตาน้ำกิโฮน[ab] 34 ให้นักบวชศาโดกและนาธันผู้พูดแทนพระเจ้าแต่งตั้งเขาขึ้นเป็นกษัตริย์เหนืออิสราเอลที่นั่น ให้พวกเจ้าเป่าแตรเขาสัตว์ และโห่ร้องว่า ‘กษัตริย์ซาโลมอนจงเจริญ’ 35 แล้วให้พวกเจ้าตามเขาขึ้นมา และเขาจะขึ้นนั่งบนบัลลังก์ของเราและปกครองแทนเรา เราได้แต่งตั้งเขาให้เป็นผู้ครอบครองเหนืออิสราเอลและยูดาห์แล้ว”

36 เบไนยาห์ลูกชายเยโฮยาดาตอบกษัตริย์ว่า “อาเมน ขอให้พระยาห์เวห์ ผู้เป็นพระเจ้าของกษัตริย์เจ้านายข้าพเจ้า สั่งให้เป็นอย่างนั้นเถิด 37 กษัตริย์เจ้านายของข้าพเจ้า พระยาห์เวห์เคยอยู่กับท่านมาแล้วยังไง ก็ขอให้พระองค์อยู่กับซาโลมอนอย่างนั้นด้วย และทำให้บัลลังก์ของเขายิ่งใหญ่กว่าบัลลังก์ของท่านกษัตริย์ดาวิดเจ้านายของข้าพเจ้าด้วยเถิด”

38 ดังนั้น นักบวชศาโดก นาธันผู้พูดแทนพระเจ้า เบไนยาห์ลูกชายเยโฮยาดา รวมทั้งชาวเคเรธีและชาวเปเลท ต่างก็ลงไปพาซาโลมอนขึ้นขี่ล่อของกษัตริย์ดาวิดและออกเดินทางไปพร้อมๆกับพวกเขาไปที่ตาน้ำกิโฮน 39 นักบวชศาโดกนำเขาสัตว์ที่ใส่น้ำมัน ออกมาจากเต็นท์ศักดิ์สิทธิ์ และเจิมให้กับซาโลมอนเป็นกษัตริย์ แล้วพวกเขาก็เป่าแตรขึ้นและประชาชนทั้งหมดต่างก็ร้องตะโกนว่า “กษัตริย์ซาโลมอนจงเจริญ” 40 และประชาชนทั้งหมดก็ได้ติดตามเขาขึ้นไป พวกเขาต่างเป่าขลุ่ย เฉลิมฉลองกันด้วยความชื่นชมยินดีเป็นอย่างมาก จนพื้นดินสั่นสะเทือนไปด้วยเสียงนั้น

41 อาโดนียาห์และแขกทั้งหมดที่อยู่กับเขาก็ได้ยินเสียงนั้นด้วย ในขณะที่งานเลี้ยงของพวกเขากำลังจะเลิก เมื่อโยอาบได้ยินเสียงแตรเขาสัตว์จึงถามว่า “เสียงอึกทึกครึกโครมในเมืองนั้น มันอะไรกัน”

42 ในขณะที่เขากำลังพูดอยู่ โยนาธานลูกชายนักบวชอาบียาธาร์ก็มาถึง อาโดนียาห์พูดว่า “เข้ามาเถิด คนสำคัญอย่างท่านจะต้องนำข่าวดีมาบอกแน่”

43 โยนาธานตอบว่า “ผิดแล้ว ดาวิดกษัตริย์นายของเราได้แต่งตั้งซาโลมอนขึ้นเป็นกษัตริย์แล้ว 44 กษัตริย์ดาวิดได้ส่งนักบวชศาโดก นาธันผู้พูดแทนพระเจ้า เบไนยาห์ลูกชายเยโฮยาดา พร้อมกับชาวเคเรธีและชาวเปเลทไปกับเขาด้วย และพวกเขาได้พาซาโลมอนขึ้นขี่ล่อของกษัตริย์ 45 และนักบวชศาโดกและนาธันผู้พูดแทนพระเจ้าก็ได้เจิมเขาเป็นกษัตริย์ ที่ตาน้ำกิโฮน จากที่นั่น พวกเขาได้เดินขึ้นไปพร้อมกับส่งเสียงโห่ร้องกันอย่างสนุกสนาน และเมืองทั้งเมืองก็ดังกึกก้องไปด้วยเสียงนี้ นั่นคือเสียงอึกทึกที่พวกท่านได้ยิน 46 และเดี๋ยวนี้ ซาโลมอนกำลังนั่งอยู่บนบัลลังก์ของกษัตริย์ 47 และพวกข้าราชการของกษัตริย์ได้มาแสดงความยินดีกับกษัตริย์ดาวิดเจ้านายของเราว่า ‘ขอให้พระเจ้าของท่านทำให้ชื่อเสียงของซาโลมอนโด่งดังยิ่งกว่าชื่อเสียงของท่านและทำให้บัลลังก์ของเขายิ่งใหญ่กว่าของท่านด้วยเถิด’

และกษัตริย์ดาวิดก็ก้มกราบนมัสการอยู่บนเตียงของเขา 48 และพูดว่า ‘ขอสรรเสริญพระยาห์เวห์พระเจ้าของอิสราเอล ผู้ที่ยินยอมให้ตาของข้าพเจ้าได้เห็นผู้สืบทอดบัลลังก์ของข้าพเจ้าในวันนี้’”

49 แล้วแขกทั้งหมดของอาโดนียาห์ต่างลุกขึ้นด้วยความตกใจกลัวและแตกฮือกันไป 50 ส่วนอาโดนียาห์นั้น เพราะกลัวซาโลมอน เขาจึงออกไปและไปจับที่เชิงงอนของแท่นบูชา[ac] ไว้ 51 แล้วมีคนมาบอกซาโลมอนว่า “อาโดนียาห์กลัวกษัตริย์ซาโลมอนและกำลังจับเชิงงอนของแท่นบูชาอยู่ เขาพูดว่า ‘ให้กษัตริย์ซาโลมอนสาบานกับข้าพเจ้าในวันนี้ก่อนว่าเขาจะไม่ให้ผู้รับใช้ของเขาต้องถูกฆ่าตายด้วยดาบ’”

52 ซาโลมอนตอบว่า “ถ้าเขาแสดงให้เห็นว่าตัวเขาเป็นคนดีจริง แม้แต่ผมสักเส้นของเขาก็จะไม่ตกลงถึงพื้น แต่ถ้าพบว่าเขาเป็นคนชั่ว เขาก็จะต้องตาย” 53 แล้วกษัตริย์ซาโลมอนก็ส่งคนไปที่นั่น พวกเขาได้นำตัวอาโดนียาห์ลงมาจากแท่นบูชา อาโดนียาห์ก็มาถึงและก้มกราบกษัตริย์ซาโลมอน ซาโลมอนก็พูดว่า “กลับไปบ้านท่านเถิด”

ดาวิดสั่งเสียกับซาโลมอน

เมื่อถึงเวลาที่ดาวิดใกล้จะตาย เขาได้สั่งเสียกับซาโลมอนลูกชายเขาว่า “พ่อกำลังจะไปตามทางที่คนทั้งโลกต้องไปกัน ดังนั้น ให้เข้มแข็งและกล้าหาญไว้เถิด และให้ทำตามสิ่งที่พระยาห์เวห์ พระเจ้าของเจ้าสั่งไว้ ให้เดินตามวิถีทางทั้งหลายของพระองค์ ให้รักษาข้อบังคับทั้งหลายของพระองค์ และพวกคำสั่งของพระองค์ รวมทั้งกฎต่างๆของพระองค์ และข้อตกลงทั้งหลายของพระองค์ ตามที่เขียนไว้ในกฎของโมเสส เพื่อเจ้าจะได้เจริญรุ่งเรืองในทุกสิ่งทุกอย่างที่เจ้าทำและในทุกๆแห่งที่เจ้าไป แล้วพระยาห์เวห์จะได้รักษาคำสัญญาของพระองค์ที่ให้กับพ่อว่า ‘ถ้าพวกลูกหลานของเจ้าให้ความสนใจกับเส้นทางชีวิตของเขา และใช้ชีวิตต่อหน้าเราด้วยความสัตย์ซื่ออย่างสุดจิตสุดใจ กษัตริย์ที่จะมานั่งอยู่บนบัลลังก์ของอิสราเอล ก็จะมาจากครอบครัวของเจ้า’”

ดาวิดพูดอีกว่า “ที่นี้ เจ้าก็รู้อยู่แล้วว่าโยอาบลูกชายนางเศรุยาห์ได้ทำยังไงกับพ่อ เขาได้ฆ่าแม่ทัพสองคนของกองทัพอิสราเอล คืออับเนอร์ลูกชายของเนอร์และอามาสาลูกชายเยเธอร์ เขาทำให้เลือดของสองคนนี้ไหลนองในช่วงเวลาที่สงบสุขราวกับว่าเป็นช่วงสงคราม และเลือดนั้นได้เปื้อนเข็มขัดที่พันรอบเอวของเขาและรองเท้าที่เท้าทั้งสองข้างของเขาด้วย ให้เจ้าใช้สมองของเจ้าคิดดูว่าจะจัดการกับเขายังไง แต่อย่าให้หัวหงอกของเขาลงไปสู่แดนคนตายอย่างสงบสุข

แต่ให้แสดงความเมตตากรุณากับพวกลูกชายของบารซิลลัย แห่งกิเลอาด และอนุญาตให้พวกเขาอยู่ในหมู่คนที่ได้นั่งกินอาหารร่วมโต๊ะกับเจ้า เพราะพวกเขาจงรักภักดีต่อพ่อตอนที่พ่อหลบหนีจากอับซาโลมพี่ชายของเจ้า

และให้จำไว้ว่า ชิเมอีลูกชายของเกรา ชาวเบนยามินจากเมืองบาฮูริมยังอยู่กับเจ้า เขาเคยตะโกนสาปแช่งพ่ออย่างหยาบคายในวันที่พ่อหนีไปเมืองมาหะนาอิม เมื่อเขาลงมาเพื่อพบพ่อที่แม่น้ำจอร์แดน พ่อเคยสาบานไว้กับเขาต่อพระยาห์เวห์ว่า ‘เราจะไม่ฆ่าเจ้าตายด้วยดาบ’ แต่ตอนนี้ อย่าถือว่าเขาเป็นผู้บริสุทธิ์อีกต่อไป เจ้าเป็นคนฉลาด เจ้าคงรู้ว่าต้องทำยังไงกับเขา เจ้าจะต้องนำหัวหงอกของเขาลงไปสู่แดนคนตายพร้อมกับเลือด”

ดาวิดตาย

(1 พศด. 29:26-28)

10 แล้วดาวิดก็ล่วงลับไปอยู่กับพวกบรรพบุรุษของเขาและศพของเขาได้ถูกฝังไว้ในเมืองของดาวิด 11 เขาได้ปกครองอิสราเอลอยู่เป็นเวลาสี่สิบปี คือได้ครอบครองในเฮโบรนอยู่เจ็ดปี และครอบครองในเยรูซาเล็มอยู่สามสิบสามปี

ซาโลมอนกุมอำนาจทั้งหมด

12 แล้วซาโลมอนได้ขึ้นนั่งบนบัลลังก์ของดาวิด ผู้เป็นพ่อของเขา และได้กุมอำนาจทั้งสิ้นในอาณาจักรของเขา

13 ในเวลานั้นอาโดนียาห์ลูกชายของนางฮักกีทได้ไปหานางบัทเชบาแม่ของซาโลมอน นางบัทเชบาถามเขาว่า “นี่เจ้ามาอย่างสันติหรือเปล่า”

เขาตอบว่า “ใช่แล้ว ข้าพเจ้ามาอย่างสันติ” 14 แล้วเขาก็พูดว่า “ข้าพเจ้ามีเรื่องบางอย่างจะพูดกับท่าน”

นางตอบว่า “พูดไปสิ”

15 เขาพูดว่า “อย่างที่ท่านรู้แล้วว่า อาณาจักรนี้เคยเป็นของข้าพเจ้ามาก่อน ตอนนั้นคนอิสราเอลทั้งหมดอยากให้ข้าพเจ้าเป็นกษัตริย์ของพวกเขา แต่แล้วสถานการณ์ได้เปลี่ยนไป และอาณาจักรนี้ก็ตกไปอยู่ในมือน้องชายของข้าพเจ้า เพราะพระยาห์เวห์ได้ยกมันให้กับเขา 16 ตอนนี้ ข้าพเจ้าอยากขอร้องท่านอย่างหนึ่ง ขออย่าได้ปฏิเสธข้าพเจ้าเลย”

นางพูดว่า “พูดไปสิ”

17 เขาจึงพูดว่า “โปรดช่วยขอกับกษัตริย์ซาโลมอนว่าให้ยกนางอาบีชากชาวชูเนมให้เป็นเมียข้าพเจ้าด้วย เขาจะไม่ปฏิเสธท่านหรอก”

18 นางบัทเชบาตอบว่า “ได้สิ เราจะพูดกับกษัตริย์ให้เจ้า”

19 เมื่อนางบัทเชบาไปพบกษัตริย์ซาโลมอน เพื่อจะไปพูดเรื่องของอาโดนียาห์ กษัตริย์ได้ลุกขึ้นเพื่อมาพบนางและก้มทำความเคารพนาง และนั่งลงบนบัลลังก์ของเขา เขามีบัลลังก์อยู่ที่หนึ่งสำหรับให้แม่กษัตริย์นั่ง และนางได้นั่งลงที่ข้างขวาของเขา

20 นางพูดว่า “แม่มีเรื่องเล็กๆอยากขอร้องเจ้าเรื่องหนึ่ง ขออย่าได้ปฏิเสธแม่เลย”

กษัตริย์ตอบว่า “ว่ามาเถิด แม่ ข้าพเจ้าจะไม่ปฏิเสธท่านหรอก”

21 นางจึงพูดว่า “ยกนางอาบีชากชาวชูเนมให้แต่งงานกับอาโดนียาห์พี่ชายของเจ้าเถิด”

22 กษัตริย์ซาโลมอนตอบแม่ของเขาว่า “ทำไมแม่ถึงได้ขอนางอาบีชากชาวชูเนมให้กับอาโดนียาห์เล่า อย่างนี้ก็เท่ากับขอให้ลูกยกอาณาจักรให้กับเขาไปด้วย อย่าลืมว่าเขาเป็นพี่ชายคนโตและนักบวชอาบียาธาร์และโยอาบลูกชายนางเศรุยาห์ก็อยู่ฝ่ายเขาด้วย”

23 แล้วกษัตริย์ซาโลมอนได้สาบานโดยอ้างพระยาห์เวห์ว่า “ถ้าอาโดนียาห์ไม่ได้ชดใช้การขอร้องครั้งนี้ด้วยชีวิตของเขา ก็ขอให้พระเจ้าลงโทษข้าพเจ้าอย่างรุนแรง 24 พระยาห์เวห์ผู้ที่ได้แต่งตั้งข้าพเจ้าให้นั่งอยู่บนบัลลังก์ของดาวิดพ่อของข้าพเจ้า และผู้ที่ได้สร้างราชวงศ์ของข้าพเจ้าขึ้นมาตามที่พระองค์ได้สัญญาไว้ พระองค์มีชีวิตอยู่แน่ขนาดไหน วันนี้อาโดนียาห์จะต้องตายอย่างแน่นอนขนาดนั้น”

25 กษัตริย์ซาโลมอนจึงออกคำสั่งกับเบไนยาห์ลูกชายของเยโฮยาดา และเขาก็ไปฆ่าอาโดนียาห์

26 กษัตริย์พูดกับนักบวชอาบียาธาร์ว่า “กลับไปยังที่นาของเจ้าในอานาโธท เจ้ามันสมควรตาย แต่เราจะไม่ฆ่าเจ้าในตอนนี้เพราะว่าเจ้าเคยเป็นผู้ถือหีบของพระยาห์เวห์ องค์เจ้าชีวิต[ad] ต่อหน้าดาวิดผู้เป็นพ่อของเราและเคยลำบากร่วมกับพ่อของเรามาก่อน” 27 ซาโลมอนจึงปลดอาบียาธาร์ออกจากตำแหน่งนักบวชของพระยาห์เวห์ ซึ่งเป็นไปตามคำพูดของพระยาห์เวห์ที่เคยพูดไว้เกี่ยวกับครอบครัวเอลีที่ชิโลห์

28 เมื่อข่าวรู้มาถึงหูโยอาบซึ่งเป็นผู้สมรู้ร่วมคิดกับอาโดนียาห์ แม้ว่าเขาจะไม่ได้ร่วมมือกับอับซาโลม เขาก็ได้หลบหนีเข้าไปที่เต็นท์ของพระยาห์เวห์ และไปจับที่เชิงงอนของแท่นบูชาไว้[ae] 29 เมื่อมีคนไปบอกกษัตริย์ซาโลมอนว่า โยอาบหลบหนีไปที่เต็นท์ของพระยาห์เวห์ และไปอยู่ที่ด้านข้างของแท่นบูชา ซาโลมอนจึงสั่งเบไนยาห์ลูกชายเยโฮยาดาว่า “ไปฆ่าเขาซะ”

30 เบไนยาห์จึงเข้าไปในเต็นท์ของพระยาห์เวห์ และพูดกับโยอาบว่า “กษัตริย์สั่งว่า ‘ออกมาเดี๋ยวนี้’”

แต่เขาตอบว่า “ไม่ เราจะตายอยู่ที่นี่”

เบไนยาห์จึงไปรายงานกับกษัตริย์ถึงสิ่งที่โยอาบตอบ 31 แล้วกษัตริย์ก็ได้สั่งเบไนยาห์ว่า “ไปทำตามที่เขาพูดได้เลย ให้ฆ่าเขาและฝังเขาเสีย เพื่อว่าครอบครัวของเราและตัวเราจะได้ไม่ต้องรับผิดด้วยกันกับโยอาบที่ไปฆ่าคนบริสุทธิ์ 32 พระยาห์เวห์จะทำให้การนองเลือดที่เขาได้ทำนั้นกลับมาตกลงบนหัวของเขาเอง เพราะเขาได้ทำร้ายคนสองคนที่ชอบธรรมและดีกว่าเขาด้วยดาบ โดยที่ดาวิดผู้เป็นพ่อของเราไม่รู้ คืออับเนอร์ลูกชายของเนอร์ซึ่งเป็นแม่ทัพของอิสราเอล และอามาสาลูกชายของเยเธอร์ผู้เป็นแม่ทัพของยูดาห์ 33 ขอให้ความผิดแห่งเลือดของพวกเขานี้ ตกอยู่บนหัวของโยอาบและลูกหลานของโยอาบตลอดไป แต่ขอให้ดาวิดและลูกหลานของเขา ครอบครัวและบัลลังก์ของเขา ได้รับสันติสุขจากพระยาห์เวห์ตลอดไป”

34 เบไนยาห์ลูกชายของเยโฮยาดาจึงขึ้นไปฆ่าโยอาบและฝังศพเขาไว้ในที่ดินของโยอาบเองในถิ่นแห้งแล้ง 35 กษัตริย์ซาโลมอนได้แต่งตั้งให้เบไนยาห์ลูกชายเยโฮยาดาขึ้นเป็นแม่ทัพแทนโยอาบและแต่งตั้งนักบวชศาโดกขึ้นแทนอาบียาธาร์ 36 แล้วกษัตริย์ก็ได้ส่งคนไปหาชิเมอีและบอกกับเขาว่า “ให้สร้างบ้านของตัวเจ้าเองขึ้นในเมืองเยรูซาเล็มและอาศัยอยู่ที่นั่น ห้ามออกไปที่อื่นอีก 37 วันใดที่เจ้าออกมาและข้ามลำธารแห้งขิดโรนไป เจ้าจะต้องตายอย่างแน่นอน เจ้าจะต้องรับผิดชอบต่อการตายของเจ้าเอง[af]

38 ชิเมอีตอบกษัตริย์ไปว่า “สิ่งที่ท่านพูดมานั้นก็ยุติธรรม ข้าพเจ้าผู้รับใช้ท่านจะทำตามที่กษัตริย์เจ้านายของข้าพเจ้าได้พูดไว้” และชิเมอีก็ได้อยู่ในเมืองเยรูซาเล็มเป็นเวลานาน 39 แต่อีกสามปีต่อมา ทาสสองคนของชิเมอีหลบหนีไปหากษัตริย์อาคีชแห่งเมืองกัทลูกชายของมาอาคาห์ และมีคนมาบอกชิเมอีว่า “ตอนนี้ ทาสทั้งสองคนของท่านอยู่ในเมืองกัท” 40 อย่างนั้น ชิเมอีจึงผูกอานบนลาของเขาและไปหากษัตริย์อาคีชที่เมืองกัท เพื่อตามหาทาสสองคนของเขา ชิเมอีก็ได้ออกไปและนำตัวทาสทั้งสองคนของเขากลับมาจากเมืองกัท

41 เมื่อซาโลมอนรู้เรื่องว่าชิเมอีได้ออกไปจากเยรูซาเล็มไปเมืองกัทและได้กลับมาแล้ว 42 กษัตริย์จึงเรียกตัวชิเมอีมาและพูดกับเขาว่า “เราเคยให้เจ้าสาบานไว้กับพระยาห์เวห์ และเตือนเจ้ามาก่อนแล้วไม่ใช่หรือว่า ‘ในวันที่เจ้าจากไปและไปที่ไหนก็ตาม ให้แน่ใจได้เลยว่ามันจะเป็นวันตายของเจ้า’ และในเวลานั้น เจ้าก็พูดกับเราว่า ‘สิ่งที่ท่านพูดนั้นยุติธรรม ข้าพเจ้าจะเชื่อฟังท่าน’ 43 แล้วทำไมเจ้าจึงไม่รักษาคำสาบานที่ให้ไว้กับพระยาห์เวห์ และไม่เชื่อฟังคำสั่งที่เราได้ให้เจ้าไว้เล่า” 44 กษัตริย์พูดกับชิเมอีด้วยว่า “เจ้าก็รู้อยู่เต็มอก ในเรื่องความผิดที่เจ้าเคยทำไว้กับดาวิดผู้เป็นพ่อของเรา ตอนนี้พระยาห์เวห์จะตอบแทนเจ้าสำหรับความผิดที่เจ้าได้ทำลงไป 45 แต่กษัตริย์ซาโลมอนจะได้รับการอวยพร และบัลลังก์ของดาวิดก็จะยังปลอดภัยอยู่ต่อหน้าพระยาห์เวห์ตลอดไป”

46 แล้วกษัตริย์ก็ออกคำสั่งให้เบไนยาห์ลูกชายเยโฮยาดานำตัวชิเมอีออกไปฆ่า อย่างนี้ อาณาจักรนี้ก็ได้ตั้งมั่นคงอยู่ภายใต้การปกครองของซาโลมอน

ซาโลมอนขอสติปัญญา

(2 พศด. 1:2-13)

ซาโลมอนได้ไปผูกมิตรกับกษัตริย์ฟาโรห์แห่งอียิปต์ ด้วยการแต่งงานกับลูกสาวของฟาโรห์ ซาโลมอนได้พานางไปอยู่ที่เมืองของดาวิด จนกว่าเขาจะสร้างวังของตัวเอง พร้อมกับวิหารของพระยาห์เวห์และกำแพงรอบๆเมืองเยรูซาเล็มเสร็จ ประชาชนก็ยังคงถวายเครื่องบูชาตามสถานที่สูงต่างๆ[ag] เพราะวิหารที่สร้างในนามของพระยาห์เวห์ยังไม่เสร็จ ซาโลมอนแสดงความรักที่เขามีต่อพระยาห์เวห์ ด้วยการใช้ชีวิตตามกฎต่างๆของดาวิดผู้เป็นพ่อของเขา เว้นแต่เขาได้ถวายเครื่องสัตวบูชาและเผาเครื่องหอม ตามสถานนมัสการ

กษัตริย์ซาโลมอนได้ไปที่กิเบโอนเพื่อถวายเครื่องสัตวบูชา เพราะที่นั่นเป็นสถานที่สูงที่สำคัญที่สุด และซาโลมอนได้ถวายเครื่องเผาบูชาหนึ่งพันตัวบนแท่นบูชาที่นั่น ที่กิเบโอนนั่นเอง พระยาห์เวห์ได้ปรากฏในความฝันของซาโลมอนตอนกลางคืน พระเจ้าพูดว่า “เจ้าอยากได้อะไรจากเรา ก็ขอมาได้เลย”

ซาโลมอนตอบว่า “พระองค์มีความรักมั่นคงอันยิ่งใหญ่ต่อผู้รับใช้ของพระองค์คือดาวิดพ่อของข้าพเจ้า ท่านเป็นคนดีและมีจิตใจซื่อตรง พระองค์ได้แสดงความรักมั่นคงอันยิ่งใหญ่นี้ต่อท่าน ด้วยการให้ลูกชายคนหนึ่งของท่านได้นั่งอยู่บนบัลลังก์ของท่านในวันนี้ ข้าแต่พระยาห์เวห์ พระเจ้าของข้าพเจ้า พระองค์ได้ทำให้ข้าพเจ้าผู้รับใช้พระองค์ ได้มาเป็นกษัตริย์แทนที่ดาวิดพ่อของข้าพเจ้า ทั้งๆที่ข้าพเจ้าเป็นเหมือนเด็กเล็กๆและยังไม่รู้อิโหน่อิเหน่ แล้วข้าพเจ้าผู้รับใช้ของพระองค์ได้มาอยู่ท่ามกลางชนชาติของพระองค์ ที่พระองค์ได้เลือกไว้ เป็นชนชาติใหญ่ ที่มีประชากรมากมายมหาศาลนับไม่ถ้วน อย่างนั้น ขอโปรดมอบสติปัญญาให้กับผู้รับใช้ของพระองค์ เพื่อจะได้ใช้ปกครองชนชาติของพระองค์ และเพื่อจะได้แยกแยะว่าอะไรดีอะไรชั่ว เพราะจะมีใครเล่าที่สามารถปกครองประชากรอันมหาศาลนี้ของพระองค์ได้”

10 องค์เจ้าชีวิตรู้สึกพอใจที่ซาโลมอนขอสิ่งนี้ 11 พระเจ้าจึงพูดกับเขาว่า “เป็นเพราะเจ้าขอสิ่งนี้ และไม่ได้ขอให้มีอายุยืนยาว หรือขอความร่ำรวย หรือขอให้ฆ่าพวกศัตรูของเจ้า แต่เจ้ากลับขอสติปัญญาสำหรับตัวเจ้าเอง เพื่อจะได้รู้จักปกครองอย่างยุติธรรม 12 อย่างนั้น เราจะให้สิ่งที่เจ้าขอ เราจะทำให้เจ้าเฉลียวฉลาดและมองทุกอย่างได้อย่างทะลุปรุโปร่ง จนไม่มีใครฉลาดเหมือนเจ้าทั้งในอดีตและในอนาคตด้วย 13 แล้วเราจะแถมสิ่งที่เจ้าไม่ได้ขอให้ด้วย นั่นคือความร่ำรวยและเกียรติยศตลอดชีวิตของเจ้า แล้วจะไม่มีกษัตริย์องค์ไหนมาเปรียบเทียบกับเจ้าได้เลย 14 ถ้าเจ้าเดินตามทางทั้งหลายของเรา เชื่อฟังกฎและคำสั่งต่างๆของเราเหมือนที่ดาวิดพ่อของเจ้าเคยทำมา เราก็จะให้เจ้ามีชีวิตที่ยืนยาวด้วย”

15 แล้วซาโลมอนก็ตื่นขึ้น และเขาก็รู้ว่าเขาได้ฝันไป เขากลับมาที่เมืองเยรูซาเล็ม ไปยืนอยู่ต่อหน้าหีบข้อตกลงของพระยาห์เวห์[ah] และได้ถวายเครื่องเผาบูชาและเครื่องสังสรรค์บูชา แล้วเขาก็จัดงานเลี้ยงให้กับข้าราชการทั้งหมดของเขา

ซาโลมอนตัดสินคดีอย่างเฉลียวฉลาด

16 ต่อมา มีโสเภณีสองคนมาหากษัตริย์และได้มายืนอยู่ต่อหน้าเขา 17 หญิงคนหนึ่งพูดว่า “เจ้านายของข้าพเจ้า หญิงคนนี้อาศัยอยู่ในบ้านหลังเดียวกับข้าพเจ้า ข้าพเจ้าได้คลอดลูกออกมาคนหนึ่ง ตอนนั้นนางก็อยู่ที่นั่นด้วย 18 หลังจากที่ลูกของข้าพเจ้าคลอดออกมาได้สามวัน หญิงคนนี้ก็คลอดลูกออกมาคนหนึ่งด้วย ในบ้านหลังนั้น มีเราอยู่กันแค่สองคน ไม่มีคนอื่นอีก 19 ในตอนกลางคืน ลูกชายของหญิงคนนี้ตายไป เพราะนางนอนทับเขา 20 แล้วนางก็ตื่นขึ้นมาตอนดึก และมาเอาลูกชายของข้าพเจ้าไปจากด้านข้างของข้าพเจ้า ในขณะที่ข้าพเจ้าผู้รับใช้ท่านยังหลับอยู่ นางเอาเด็กไปวางไว้ที่อกของนางและเอาตัวลูกชายของนางที่ตายแล้วมาไว้ที่อกของข้าพเจ้า 21 เช้าวันรุ่งขึ้น ข้าพเจ้าตื่นขึ้นมาเพื่อจะให้นมลูก แต่เขากลับตายเสียแล้ว แต่เมื่อข้าพเจ้ามองดูเขาใกล้ๆในตอนฟ้าสาง ข้าพเจ้าก็เห็นว่าเด็กคนนี้ไม่ใช่ลูกที่ข้าพเจ้าคลอดออกมา”

22 แต่หญิงอีกคนได้พูดว่า “ไม่จริง เด็กที่ยังมีชีวิตอยู่เป็นลูกชายของฉันเอง คนที่ตายไปเป็นลูกของเธอต่างหาก”

แต่หญิงคนแรกก็ยืนยันว่า “ไม่ใช่ คนที่ตายเป็นลูกของเธอ คนที่ยังอยู่เป็นลูกของฉัน” และพวกเขาก็โต้เถียงกันอยู่ต่อหน้ากษัตริย์

23 กษัตริย์จึงพูดว่า “คนนี้ก็บอกว่า ‘ลูกชายของฉันยังมีชีวิตอยู่ ลูกชายของเธอตายแล้ว’ ส่วนอีกคนก็พูดว่า ‘ไม่จริง ลูกชายของเธอตายแล้ว ลูกของฉันต่างหากที่ยังมีชีวิตอยู่’”

24 แล้วกษัตริย์ก็พูดว่า “เอาดาบมาให้เราเล่มหนึ่งสิ” พวกเขาจึงนำดาบเล่มหนึ่งมาให้กษัตริย์ 25 แล้วกษัตริย์ก็ออกคำสั่งว่า “ตัดเด็กที่มีชีวิตนี้ออกเป็นสองท่อนซะ และแบ่งให้พวกนางไปคนละครึ่ง”

26 หญิงคนที่ลูกชายยังมีชีวิตอยู่ ก็สงสารลูกของนางอย่างจับใจ จึงพูดกับกษัตริย์ว่า “ได้โปรดเถิด นายของข้าพเจ้า ให้เด็กที่ยังมีชีวิตกับนางไปเถิด อย่าฆ่าเขาเลย”

แต่หญิงอีกคนหนึ่งพูดว่า “แบ่งเลย ทั้งเธอและฉันจะได้ไม่มีใครได้ไป”

27 แล้วกษัตริย์ก็ตัดสินว่า “คืนเด็กที่ยังมีชีวิตให้กับหญิงคนแรกไป อย่าฆ่าเขาเลย เพราะนางคือแม่ที่แท้จริง”

28 เมื่อชนชาติอิสราเอลทั้งหมดได้ยินเรื่องการตัดสินครั้งนี้ พวกเขาต่างเคารพยำเกรงกษัตริย์ เพราะพวกเขาเห็นแล้วว่ากษัตริย์ได้รับความเฉลียวฉลาดมาจากพระเจ้า[ai] เพื่อปกครองบ้านเมืองอย่างยุติธรรม

อาณาจักรของซาโลมอน

กษัตริย์ซาโลมอนได้ปกครองชนชาติอิสราเอลทั้งหมด และต่อไปนี้คือข้าราชการระดับสูงทั้งหมดของเขา

อาซาริยาห์ลูกชายของศาโดกเป็นนักบวช

เอลีโฮเรฟและอาหิยาห์ลูกชายของชิชา เป็นเลขานุการ

เยโฮชาฟัทลูกชายของอาหิลูดเป็นผู้จดบันทึก

เบไนยาห์ลูกชายเยโฮยาดา เป็นแม่ทัพ

ศาโดกและอาบียาธาร์เป็นนักบวช

อาซาริยาห์ลูกชายของนาธัน เป็นหัวหน้าดูแลพวกผู้ว่าการเขตต่างๆ

ศบุดลูกชายของนาธันเป็นนักบวชและเป็นที่ปรึกษาของกษัตริย์

อาหิชาร์ทำหน้าที่ดูแลภายในวัง

อาโดนีรัมลูกชายของอับดาทำหน้าที่ควบคุมคนงานที่ถูกเกณฑ์มา

ซาโลมอนยังมีผู้ว่าการเขตต่างๆอีกสิบสองคน ทำหน้าที่ดูแลชนชาติอิสราเอลทั้งหมด ซึ่งพวกเขาจะช่วยเหลือในการจัดหาเสบียงอาหารให้กับกษัตริย์และครอบครัวกษัตริย์ทั้งหมด ผู้ว่าการแต่ละคนจะต้องจัดส่งเสบียงอาหารมาให้หนึ่งเดือนในหนึ่งปี และต่อไปนี้คือชื่อของพวกเขา

เบนเฮอร์ เป็นผู้ว่าอยู่ในแถบเนินเขาเอฟราอิม

เบนเดเคอร์ เป็นผู้ว่าสำหรับ มาคาส ชาอัลบิม เบธเชเมชและเอโลน-เบธฮานัน

10 เบนเฮเสด เป็นผู้ว่าใน อารุบโบท (โสโคห์และแผ่นดินเฮเฟอร์ทั้งหมดอยู่ใต้อำนาจเขา)

11 เบนอาบีนาดับ เป็นผู้ว่าใน นาฟาทโดร์ (เขาแต่งงานกับทาฟัทลูกสาวของซาโลมอน)

12 บาอานาลูกชายของอาหิลูด เป็นผู้ว่าในทาอานาคเมกิดโดและเบธชานทั้งหมดซึ่งอยู่ถัดจากศาเรธานและอยู่ทางด้านใต้ของยิสเรเอล และตั้งแต่เบธชานถึงอาเบลเมโฮลาห์เลยไปถึงอีกฝากหนึ่งของโยกเมอัม

13 เบนเกเบอร์ เป็นผู้ว่าใน ราโมทกิเลอาด (ยาอีร์ลูกชายของมนัสเสห์ที่ได้ตั้งรกรากอยู่ในกิเลอาดอยู่ภายใต้การควบคุมของเขา รวมทั้งเขตอารโกบในบาชานและเมืองอีกหกสิบเมืองในนั้นที่มีกำแพงสูงใหญ่และมีดานประตูที่ทำจากทองสัมฤทธิ์ด้วย)

14 อาหินาดับลูกชายของอิดโด เป็นผู้ว่าในมาหะนาอิม

15 อาหิมาอัส เป็นผู้ว่าในนัฟทาลี (เขาได้แต่งงานกับบาเสมัทลูกสาวของซาโลมอน)

16 บาอานาลูกชายของหุชัย เป็นผู้ว่าในอาเชอร์และเบอาโลท

17 เยโฮชาฟัทลูกชายของปารูอาห์ เป็นผู้ว่าในอิสสาคาร์

18 ชิเมอีลูกชายของเอลา เป็นผู้ว่าในเบนยามิน

19 เกเบอร์ลูกชายของอุรี เป็นผู้ว่าในแผ่นดินกิเลอาด (ซึ่งเคยเป็นของกษัตริย์สิโหนของชาวอาโมไรต์และกษัตริย์โอกของบาชาน) เขาเป็นผู้ว่าการเพียงคนเดียวที่ปกครองเขตนั้น

20 ชาวยูดาห์และชาวอิสราเอลมีจำนวนมากมายมหาศาลเหมือนเม็ดทรายบนหาดทราย พวกเขาอยู่กันอย่างมีความสุข และมีกินมีดื่มกันอย่างเหลือเฟือ

21 ซาโลมอนได้ปกครองเหนือพวกอาณาจักรทั้งสิ้น ตั้งแต่แม่น้ำยูเฟรติสไปจนถึงแผ่นดินของชาวฟีลิสเตียและไปจนสุดเขตแดนของประเทศอียิปต์ ประเทศเหล่านี้ได้ส่งส่วย[aj] และอยู่ภายใต้อำนาจของซาโลมอนตลอดชีวิตของซาโลมอน[ak]

22 เสบียงอาหารที่ซาโลมอนกับทุกคนในวังจะต้องใช้กินกันในแต่ละวัน คือ

แป้งอย่างดีสามสิบโคเร[al]

แป้งหยาบหกสิบโคเร[am]

23 วัวที่เลี้ยงในคอกสัตว์จนอ้วนพีสิบตัว

วัวที่เลี้ยงในทุ่งหญ้ายี่สิบตัว

แกะหนึ่งร้อยตัว

รวมทั้งกวาง เนื้อทรายและละมั่งตัวผู้[an] อีกหลายตัว และสัตว์ปีกที่ขุนไว้แล้ว

24 ซาโลมอนปกครองอยู่เหนือแผ่นดินทั้งหมดและเหนือกษัตริย์ทั้งหลายที่อยู่ฝั่งตะวันตกของแม่น้ำยูเฟรติส จากทิฟสาห์ไปจนถึงกาซา และมีสันติภาพอยู่รอบด้าน 25 ตลอดช่วงชีวิตของซาโลมอน ชาวยูดาห์และชาวอิสราเอลตั้งแต่ดานจนถึงเบเออร์เชบา ทุกคนต่างมีชีวิตอยู่อย่างปลอดภัย นั่งอยู่ใต้เถาองุ่นและต้นมะเดื่อของตน

26 ซาโลมอนมีคอกขังม้าแต่ละตัวอยู่สี่พัน[ao] คอก เป็นม้าสำหรับลากรถรบ และมีทหารบนรถม้าอยู่หนึ่งหมื่นสองพันคน 27 ผู้ว่าของแต่ละเขต เมื่อถึงเวลาที่จะต้องจัดส่งเสบียงอาหารให้กษัตริย์และคนทั้งหมดที่นั่งกินร่วมโต๊ะกับกษัตริย์ พวกเขาต่างก็ส่งเสบียงมาตามเดือนของตน และไม่ให้มีสิ่งใดขาดตกบกพร่องเลย 28 พวกเขายังได้นำข้าวบาร์เลย์และฟางสำหรับพวกม้าลากรถรบและพวกม้าอื่นๆไปเก็บไว้ตามสถานที่ของมัน

ความเฉลียวฉลาดของซาโลมอน

29 พระเจ้าได้ให้ซาโลมอนมีความเฉลียวฉลาดและการมองที่ทะลุปรุโปร่งและมีความเข้าใจมากมายเหมือนกับเม็ดทรายบนชายหาด 30 ความเฉลียวฉลาดของซาโลมอนนั้นเหนือกว่าความฉลาดของทุกคนในฝั่งตะวันออก และเหนือกว่าความเฉลียวฉลาดทั้งสิ้นของคนในประเทศอียิปต์ 31 เขาฉลาดกว่าใครๆทั้งหมด แม้แต่เอธานชาวเอสราห์ หรือพวกลูกชายของมาโฮล คือเฮมาน คาลโคล์ และดารดา ชื่อเสียงของซาโลมอนได้เลื่องลือไปทั่วทุกชาติที่อยู่ล้อมรอบ 32 เขาได้พูด คำสุภาษิต ไว้ถึงสามพันข้อ และบทเพลงต่างๆของเขาก็มีจำนวนถึงหนึ่งพันกับห้าเพลง

33 ซาโลมอนได้บรรยายถึงชีวิตของพืช ตั้งแต่ต้นสนซีดาร์ของเลบานอนไปจนถึงต้นหุสบที่งอกออกมาจากกำแพงต่างๆ เขายังสอนเกี่ยวกับพวกสัตว์และนก สัตว์เลื้อยคลาน[ap] และปลา 34 คนจากทุกชาติต่างก็มาฟังความเฉลียวฉลาดของซาโลมอน ซึ่งคนเหล่านี้ถูกส่งมาจากกษัตริย์ทั่วโลกที่ได้ข่าวเกี่ยวกับความเฉลียวฉลาดของเขา

ซาโลมอนเตรียมวัตถุสร้างวิหาร

(2 พศด. 2:1-18)

เมื่อฮีรามกษัตริย์ของเมืองไทระได้ยินว่าซาโลมอนได้รับการเจิมขึ้นเป็นกษัตริย์สืบต่อจากดาวิดพ่อของเขา กษัตริย์ฮีรามจึงได้ส่งทูตของเขาไปหาซาโลมอน เพราะเขาเป็นเพื่อนที่ดีของดาวิดตลอดมา ซาโลมอนจึงได้ส่งข้อความนี้มาถึงฮีรามว่า

“ท่านก็รู้ว่าดาวิดพ่อของข้าพเจ้าไม่สามารถที่จะสร้างวิหารเพื่อเป็นเกียรติให้กับชื่อของพระยาห์เวห์พระเจ้าของเขาได้ เพราะต้องคอยสู้รบกับพวกศัตรูที่อยู่ล้อมรอบเขา จนกระทั่งพระยาห์เวห์ได้ปราบพวกศัตรูให้อยู่ใต้เท้าของเขา แต่ตอนนี้พระยาห์เวห์ พระเจ้าของข้าพเจ้าได้ให้ข้าพเจ้าหยุดพักจากสงครามแล้วในทุกๆด้าน และไม่มีการต่อสู้หรือความหายนะใดๆอีก

ข้าพเจ้าจึงตั้งใจว่าจะสร้างวิหารขึ้นหลังหนึ่ง เพื่อเป็นเกียรติให้กับชื่อของพระยาห์เวห์พระเจ้าของข้าพเจ้า ตามที่พระยาห์เวห์ได้เคยบอกไว้กับดาวิดพ่อของข้าพเจ้า เมื่อพระองค์พูดว่า ‘ลูกชายของเจ้าคนที่เราจะให้ขึ้นนั่งบนบัลลังก์แทนเจ้านั้น จะเป็นผู้สร้างวิหารเพื่อเป็นเกียรติให้กับชื่อของเรา’ อย่างนั้น ช่วยสั่งคนให้ตัดต้นสนซีดาร์ของเลบานอนไว้ให้กับข้าพเจ้าด้วย คนของข้าพเจ้าจะทำงานร่วมกับคนของท่าน และข้าพเจ้าจะจ่ายเงินให้กับท่านสำหรับคนของท่าน ตามจำนวนค่าจ้างที่ท่านกำหนดมา ท่านก็รู้ว่าข้าพเจ้าไม่มีคนที่มีความชำนาญในการตัดไม้[aq] เหมือนกับชาวซีโดน”

เมื่อฮีรามได้ยินข้อความของซาโลมอน ก็รู้สึกพอใจอย่างมากและพูดว่า “วันนี้ เราขอสรรเสริญองค์พระยาห์เวห์ เพราะพระองค์ได้ให้ลูกชายที่เฉลียวฉลาดคนหนึ่งกับดาวิดเพื่อที่จะปกครองชนชาติที่ยิ่งใหญ่นี้” ฮีรามได้ส่งข้อความไปถึงซาโลมอนว่า

“เราได้รับข้อความที่ท่านส่งถึงเราแล้ว และจะทำตามทุกอย่างที่ท่านต้องการ เราจะจัดหาไม้สนซีดาร์และไม้สนสามใบให้กับท่าน บรรดาคนของเราจะชักลากไม้เหล่านี้ลงมาจากเลบานอนไปที่ทะเล และเราจะเอาไม้เหล่านี้ผูกรวมกันล่องเป็นแพไปตามทะเลจนถึงสถานที่ที่ท่านกำหนดไว้ และที่นั่นเราจะแยกพวกมันออก และท่านก็สามารถเอามันไปได้ ท่านสามารถตอบแทนเราได้ ด้วยการส่งเสบียงอาหารให้กับคนในวังของเรากินกัน”

10 ฮีรามจึงได้จัดส่งไม้สนซีดาร์และไม้สนสามใบให้กับซาโลมอนตามที่เขาต้องการทุกอย่าง 11 ซาโลมอนก็ได้ให้แป้งสาลีสี่ล้านสี่แสนลิตร[ar] เป็นอาหารให้กับคนในวังของฮีราม และน้ำมันมะกอกบริสุทธิ์สี่แสนสี่หมื่นลิตร[as] ซาโลมอนทำอย่างนี้ให้กับฮีรามปีแล้วปีเล่า

12 พระยาห์เวห์ให้ความเฉลียวฉลาดกับซาโลมอน ตามที่พระองค์ได้สัญญาไว้กับเขา ฮีรามและซาโลมอนก็ได้ทำสัญญาเป็นพันธมิตรต่อกันและอยู่กันอย่างสันติ

13 กษัตริย์ซาโลมอนได้เกณฑ์พวกแรงงานมาจากทั่วทั้งอิสราเอลรวมสามหมื่นคน 14 เขาได้ส่งคนเหล่านั้นออกไปที่เลบานอนโดยแบ่งเวรกันไป เวรละหนึ่งหมื่นคนต่อเดือน เพื่อพวกเขาจะได้อยู่ในเลบานอนหนึ่งเดือนและได้อยู่ที่บ้านของพวกเขาสองเดือน อาโดนีรัมทำหน้าที่เป็นผู้ควบคุมคนงาน 15 ซาโลมอนมีคนแบกหามอยู่เจ็ดหมื่นคนและมีคนตัดหินแปดหมื่นคนที่ทำงานอยู่ในแถบเนินเขา 16 มีหัวหน้าคนงานอีกสามพันสามร้อยคนที่ทำหน้าที่ดูแลงานในโครงการและคอยสั่งงานคนงาน 17 กษัตริย์ซาโลมอนได้สั่งให้พวกเขาตัดหินก้อนใหญ่ๆที่มีราคาแพงออกมาจากเหมืองหิน เพื่อใช้หินที่ตกแต่งแล้วนี้วางเป็นฐานรากของวิหาร 18 ช่างแกะสลักของซาโลมอนและฮีรามและคนจากเกบาล[at] ต่างตัดแต่งไม้และหินเพื่อนำมาสร้างเป็นวิหาร

ซาโลมอนสร้างวิหาร

(2 พศด. 3:1-14; 4:1-10, 19-22; 5:1)

เป็นเวลาสี่ร้อยแปดสิบปี[au] หลังจากที่ชาวอิสราเอลได้อพยพออกมาจากประเทศอียิปต์ ในเดือนศิฟ ซึ่งเป็นเดือนที่สองของปี ตรงกับปีที่สี่ที่ซาโลมอนเป็นกษัตริย์ของอิสราเอล ซาโลมอนได้เริ่มสร้างวิหารของพระยาห์เวห์ขึ้น วิหารที่กษัตริย์ซาโลมอนได้สร้างขึ้นให้พระยาห์เวห์นั้นมีขนาดยาวหกสิบศอก[av] กว้างยี่สิบศอก[aw] และสูงสามสิบศอก[ax] ด้านหน้าของห้องโถงใหญ่ของวิหาร มีระเบียงที่ยื่นออกมาสิบศอก และมีความกว้างยี่สิบศอกซึ่งเท่ากับความกว้างของวิหารพอดี พระองค์ได้สร้างช่องหน้าต่างแคบๆหลายบานไว้ด้านบนของผนังวิหาร[ay] ช่องหน้าต่างนี้ด้านในเล็กกว่าด้านนอก ซาโลมอนได้สร้างห้องโดยรอบ ติดกับผนังรอบห้องโถงใหญ่และห้องศักดิ์สิทธิ์ที่สุด ห้องพวกนี้มีสามชั้น ฝาผนังด้านนอกของห้องโถงใหญ่นั้น ด้านล่างหนากว่าด้านบนเป็นหยักบ่าเข้าไป เพื่อจะได้วางไม้คาน ไม้คานจะได้ไม่ทะลุฝาผนังเข้าไป จึงทำให้พวกห้องด้านบนกว้างกว่าพวกห้องด้านล่าง พวกห้องชั้นล่างสุดกว้างห้าศอก[az] ชั้นที่สองกว้างหกศอก[ba] และชั้นที่สามกว้างเจ็ดศอก[bb] ในการก่อสร้างวิหารนี้ จะใช้แต่หินที่ได้รับการตัดแต่งเรียบร้อยแล้วจากเหมืองหินเท่านั้น ก็เลยไม่มีเสียงค้อน หรืออีเต้อ หรือเครื่องมืออื่นๆที่ทำจากเหล็ก

ทางเข้าห้องพวกนี้ อยู่ที่ชั้นหนึ่ง ตรงด้านทิศใต้ของวิหาร ข้างในมีบันไดขึ้นจากชั้นหนึ่งไปชั้นสอง และจากชั้นสองไปชั้นสาม

ซาโลมอนก็ได้สร้างวิหารนั้นจนเสร็จสมบูรณ์ พระองค์ได้สร้างหลังคาวิหาร โดยมีขื่อและแผ่นกระดานที่ทำจากไม้สนซีดาร์ 10 แล้วพระองค์ได้สร้างพวกห้องที่ล้อมรอบวิหารจนเสร็จ แต่ละห้องสูงห้าศอก และมีพวกไม้คานที่ทำจากสนซีดาร์วางพาดอยู่บนหยักบ่าของฝาผนังวิหาร

11 คำพูดของพระยาห์เวห์มาถึงซาโลมอนว่า 12-13 “ถ้าหากเจ้าทำตามกฎต่างๆของเรา ทำตามข้อบังคับทุกข้อและรักษาคำสั่งทุกอย่างของเรา และใช้ชีวิตตามนั้น เราก็จะทำตามคำสัญญาที่เราได้ให้ไว้กับดาวิดพ่อของเจ้า เราจะอาศัยอยู่ในท่ามกลางชาวอิสราเอลในวิหารนี้ที่เจ้ากำลังสร้างขึ้น และเราจะไม่ละทิ้งประชาชนชาวอิสราเอลของเรา”

14 ซาโลมอนจึงได้สร้างวิหารหลังนั้นจนเสร็จสมบูรณ์

15 พระองค์ใช้แผ่นกระดานที่ทำจากไม้สนซีดาร์ กรุผนังด้านในที่ทำจากหินโดยรอบ ตั้งแต่พื้นไปจนถึงเพดาน และปูทับพื้นหินทั้งหมดในวิหารด้วยแผ่นกระดานที่ทำจากไม้สนสามใบ 16 ที่ด้านในสุดของวิหาร พระองค์ใช้แผ่นกระดานที่ทำจากไม้สนซีดาร์กั้นห้องขึ้นมาตั้งแต่พื้นจนถึงเพดาน มีขนาดยาวยี่สิบศอก เพื่อให้เป็นห้องศักดิ์สิทธิ์ที่สุด 17 ห้องโถงใหญ่ด้านหน้ามีขนาดยาวสี่สิบศอก[bc] 18 ภายในวิหารใช้ไม้สนซีดาร์ที่แกะสลักลายน้ำเต้า[bd] และลายดอกไม้บานกรุไว้จนหมด ไม่เห็นส่วนที่เป็นหินเลย

19 ซาโลมอนได้สร้างห้องศักดิ์สิทธิ์ที่อยู่ด้านในสุดของวิหารจนเสร็จ เพื่อใช้เป็นที่วางหีบแห่งข้อตกลงของพระยาห์เวห์ 20 ห้องศักดิ์สิทธิ์ที่สุดนี้มีขนาดยาวยี่สิบศอก[be] กว้างยี่สิบศอกและสูงยี่สิบศอก เขาใช้ทองคำบริสุทธิ์บุทับไว้ที่ด้านในของห้อง และเขาได้สร้างแท่นเผาเครื่องหอมที่ทำจากไม้สนซีดาร์ตั้งไว้ตรงหน้าห้องนี้ และเอาทองบุแท่นเผาเครื่องหอมนี้ 21 ซาโลมอนบุทองคำบริสุทธิ์ไว้ที่ด้านในของวิหาร และใช้โซ่ทองคำกั้นไว้ที่หน้าห้องศักดิ์สิทธิ์ที่สุดที่ได้บุทองคำไว้แล้ว 22 แล้วด้านในของวิหารก็บุทองคำไว้ทั้งหมด แท่นเผาเครื่องหอมที่ตั้งอยู่หน้าห้องศักดิ์สิทธิ์ที่สุด ก็บุทองคำด้วย

23 ภายในห้องศักดิ์สิทธิ์ที่สุด เขาได้ใช้ไม้มะกอกสร้างเป็นทูตสวรรค์มีปีก ไว้สององค์ แต่ละองค์มีความสูงสิบศอก 24 ปีกข้างหนึ่งของทูตองค์แรก มีความยาวห้าศอก ปีกอีกข้างหนึ่งยาวห้าศอก วัดจากปลายปีกข้างหนึ่งไปถึงปลายปีกอีกข้างหนึ่งยาวสิบศอก 25 ทูตสวรรค์มีปีกองค์ที่สองก็วัดได้สิบศอกด้วย ทั้งสององค์มีขนาดและรูปร่างเหมือนกัน 26 ทูตสวรรค์มีปีกทั้งสององค์นั้นสูงสิบศอกเท่ากัน 27 ซาโลมอนได้วางทูตสวรรค์มีปีกทั้งสององค์ไว้ภายในห้องศักดิ์สิทธิ์ที่สุด ปีกข้างหนึ่งของทูตสวรรค์ทั้งสองนั้นแตะกันอยู่ตรงกลางห้อง ส่วนปีกอีกข้างของทูตทั้งสองนั้นก็ไปติดกับฝาผนังแต่ละด้าน 28 และทูตสวรรค์มีปีกทั้งสององค์นั้นก็มีทองคำบุอยู่

29 บนฝาผนังด้านในของห้องโถงใหญ่และห้องศักดิ์สิทธิ์ที่สุดนั้น มีทั้งรูปทูตสวรรค์มีปีก รูปต้นอินทผลัม และดอกไม้บาน สลักอยู่มากมาย 30 พื้นของห้องศักดิ์สิทธิ์ที่สุด และห้องโถงใหญ่ของวิหาร บุด้วยทองคำ 31 ตรงทางเข้าของห้องศักดิ์สิทธิ์ที่สุด คนงานได้เอาไม้มะกอกมาสร้างเป็นประตูขึ้นสองบาน และทำกรอบประตูเป็นรูปห้าเหลี่ยม[bf] 32 ซาโลมอนให้พวกช่างทำบานประตูทั้งสองนั้นจากไม้มะกอก และแกะสลักรูปทูตสวรรค์มีปีก ต้นปาล์มและดอกไม้บานไว้มากมาย และบุด้วยทองคำ

33 ตรงทางเข้าห้องโถงใหญ่ พวกเขาได้ใช้ไม้มะกอกมาทำกรอบประตูเป็นรูปสี่เหลี่ยม 34 พวกเขาได้เอาไม้สนสามใบมาสร้างเป็นสองประตู แต่ละประตูก็มีบานประตูสองบานที่พับได้ 35 พวกช่างได้แกะสลักลายทูตสวรรค์มีปีก ต้นปาล์มและดอกไม้ไว้บนบานประตูเหล่านั้น และบุด้วยทองคำ

36 แล้วพวกช่างก็ได้เอาหินที่ตัดแต่งแล้วมาสร้างเป็นกำแพงล้อมรอบลานด้านในไว้ กำแพงแต่ละด้านสร้างขึ้นด้วยหินที่ตัดแต่งแล้วสามชั้น กับไม้สนซีดาร์อีกหนึ่งชั้น

37 พวกเขาเริ่มก่อสร้างวิหารของพระยาห์เวห์ขึ้นในเดือนศิฟ (เป็นเดือนที่สองของปี) ซึ่งตรงกับปีที่สี่ที่กษัตริย์ซาโลมอนเป็นกษัตริย์ของอิสราเอล 38 วิหารสร้างเสร็จในปีที่สิบเอ็ดที่ซาโลมอนเป็นกษัตริย์ ในเดือนบูล (ซึ่งเป็นเดือนที่แปดของปี) วิหารก็สร้างเสร็จตามรายละเอียดที่ได้กำหนดไว้ทุกอย่าง ซาโลมอนได้ใช้เวลาในการสร้างวิหารทั้งหมดเจ็ดปี

วังของซาโลมอน

ซาโลมอนได้ใช้เวลาถึงสิบสามปีในการสร้างวังของเขา เขายังได้สร้างตึกที่มีชื่อเรียกว่า “ป่าของเลบานอน” ขึ้นมา ตึกแห่งนี้มีความยาวหนึ่งร้อยศอก[bg] กว้างห้าสิบศอก[bh] และสูงสามสิบศอก[bi] โดยมีเสา[bj] ที่ทำจากไม้สนซีดาร์สี่แถว ที่ปลายเสาแต่ละต้น จะมียอดเสาที่ทำจากไม้สนซีดาร์รองรับเพดานอยู่ มีคานที่ทำจากไม้สนซีดาร์พาดขวางอยู่ เสาแต่ละแถวมีคานพาดอยู่สิบห้าต้น รวมทั้งหมดสี่สิบห้าต้น บนคานพวกนี้ มีกระดานไม้สนซีดาร์มุงเป็นหลังคาอยู่ ที่ผนังด้านข้างของทั้งสองด้าน มีหน้าต่างเรียงกันอยู่สามแถว ตั้งอยู่ตรงข้ามกันพอดี ทั้งด้านหน้าและด้านหลัง ต่างก็มีสามประตู และมีกรอบประตูเป็นรูปสี่เหลี่ยมด้านเท่า

ซาโลมอนได้สร้างระเบียงที่เรียกว่า “ระเบียงเสา” มีความยาวห้าสิบศอก กว้างสามสิบศอก ที่ด้านหน้าของระเบียงมีหลังคาปิด ซึ่งมีพวกเสารองรับอยู่

พระองค์ได้สร้างห้องบัลลังก์ที่พระองค์จะใช้ในการตัดสินคดี ห้องนั้นเรียกว่า “หอพิพากษา” ห้องนั้นบุไปด้วยไม้สนซีดาร์ตั้งแต่พื้นจนถึงเพดาน

หลังหอพิพากษานี้ก็มีลาน วังที่ซาโลมอนพักอยู่สร้างล้อมรอบลานนั้น ลักษณะของวังนั้นจะเหมือนกับหอพิพากษา เขายังสร้างวังอย่างเดียวกันนี้ให้กับภรรยาของเขาที่เป็นลูกสาวของกษัตริย์ฟาโรห์แห่งอียิปต์ด้วย

ตึกทั้งหมดเหล่านี้สร้างด้วยหินราคาแพง หินเหล่านี้ถูกตัดตามขนาดที่ต้องการด้วยเลื่อยและทำให้เรียบทั้งด้านหน้าและด้านหลัง หินราคาแพงเหล่านี้ใช้ทำตั้งแต่ฐานรากขึ้นไปจนถึงยอดของกำแพง สิ่งก่อสร้างทั้งหมดเหล่านี้ จากข้างนอกเข้าไปจนถึงลานใหญ่และจากฐานขึ้นไปจนถึงหลังคา แม้แต่กำแพงรอบๆลานก็สร้างขึ้นด้วยหินราคาแพงเหล่านี้ 10 พวกฐานรากทั้งหลายถูกสร้างขึ้นด้วยก้อนหินขนาดใหญ่ราคาแพง บางก้อนมีขนาดยาวถึงสิบศอก[bk] และบางก้อนก็มีขนาดยาวถึงแปดศอก[bl] 11 แล้วบนหินเหล่านั้นก็ยังมีหินอื่นๆที่มีราคาแพงและไม้คานที่ทำจากไม้สนซีดาร์ด้วย 12 มีพวกกำแพงล้อมรอบลานของวัง ของวิหารและระเบียงของวิหาร กำแพงเหล่านี้ สร้างด้วยหินสองชั้น และท่อนไม้สนซีดาร์อีกหนึ่งชั้น

13 กษัตริย์ซาโลมอนได้ส่งคนไปที่เมืองไทระ เพื่อไปนำตัวชายคนหนึ่งที่ชื่อว่าฮูราม[bm] มาที่เมืองเยรูซาเล็ม 14 แม่ของฮูราม เป็นชาวอิสราเอลจากเผ่านัฟทาลี พ่อของเขาที่ตายไปแล้วมาจากเมืองไทระ ฮูรามเป็นช่างทองสัมฤทธิ์ ฮูรามมีความเชี่ยวชาญมากและมีประสบการณ์ในงานที่เกี่ยวกับทองสัมฤทธิ์ทุกประเภท เขาได้มาหากษัตริย์ซาโลมอนและได้ทำงานทั้งหมดตามที่ได้รับมอบหมายมา

15 เขาหล่อเสาทองสัมฤทธิ์ขึ้นสองต้นสำหรับระเบียง แต่ละต้นสูงสิบแปดศอก[bn] และมีขนาดโดยรอบสิบสองศอก[bo] เสานี้กลวง และมีเนื้อเหล็กหนาหนึ่งฝ่ามือ[bp] 16 เขายังได้ทำหัวเสาทองสัมฤทธิ์สองอัน เพื่อไปวางไว้บนยอดเสาสองต้นนั้น หัวเสาแต่ละอันสูงห้าศอก[bq] 17 มีตาข่ายที่ทำขึ้นจากโซ่ผูกห้อยบนหัวเสาทั้งสองต้น 18 เขาได้หล่อลูกทับทิมขึ้นเป็นแถวสองแถวล้อมรอบหัวเสานั้น เขาเอาลูกทับทิมทองสัมฤทธิ์เหล่านั้นทับตาข่ายแต่ละอัน เพื่อปิดหัวเสาที่อยู่บนยอดเสาแต่ละต้น 19 หัวเสาที่อยู่บนยอดเสาทำขึ้นเป็นรูปดอกไม้ 20 หัวเสาที่อยู่บนยอดเสาเหนือตาข่ายที่ห้อยลงมาเป็นรูปชาม ลูกทับทิมสองร้อยลูกห้อยอยู่เป็นแถวล้อมรอบหัวเสา 21 ฮูรามตั้งเสาทองสัมฤทธิ์คู่นั้นไว้ที่หน้าระเบียงของวิหาร เขาตั้งชื่อเสาที่ตั้งอยู่ทางด้านซ้าย[br] ว่ายาคีนและตั้งชื่อเสาที่ตั้งอยู่ทางด้านขวา[bs] ว่าโบอาส 22 หัวเสาที่อยู่บนยอดของเสาเหล่านั้นมีรูปร่างเหมือนดอกไม้ แล้วงานก่อสร้างเสาเหล่านั้นก็ได้เสร็จสิ้นลง

23 ฮูรามได้หล่อขันทะเล[bt] ขึ้นจากเหล็กหล่อ มีรูปร่างเป็นวงกลมวัดความกว้างจากขอบด้านหนึ่งไปถึงอีกด้านหนึ่งได้สิบศอก และสูงห้าศอก มีความยาวโดยรอบสามสิบศอก 24 ที่ใต้ขอบของขันทะเลนั้น ฮูรามได้หล่อน้ำเต้าขึ้นสองแถวล้อมรอบขันทะเลนั้น หล่อเป็นเนื้อเดียวกันกับขันทะเลนั้น 25 ขันทะเลนั้นตั้งอยู่บนวัวตัวผู้สิบสองตัว มีสามตัวหันหน้าไปทางทิศเหนือ สามตัวหันหน้าไปทางทิศตะวันตก อีกสามตัวหันไปทางทิศใต้และสามตัวที่เหลือหันไปทางทิศตะวันออก ขันทะเลนั้นวางอยู่บนตัวพวกมัน ส่วนหางของพวกมันหันเข้าหากันอยู่ด้านใน 26 ขันทะเลนี้มีความหนาหนึ่งฝ่ามือ[bu] และที่ขอบของมันมีลักษณะเหมือนขอบของถ้วยน้ำคือเป็นเหมือนดอกลิลลี่ที่บานออก ขันนี้สามารถเก็บน้ำได้สี่หมื่นสี่พันลิตร[bv]

27 เขายังได้สร้างรถเข็นสิบคันจากทองสัมฤทธิ์ แต่ละคันยาวสี่ศอก กว้างสี่ศอกและสูงสามศอก[bw] 28 ต่อไปนี้คือวิธีสร้างรถเข็นเหล่านั้น พวกมันมีแผงสี่เหลี่ยมด้านเท่าฝังอยู่ในโครง 29 บนแผงและโครงเหล่านั้นมีพวกรูปสิงห์ พวกรูปวัวตัวผู้ และรูปทูตสวรรค์มีปีก แกะสลักอยู่ ทั้งด้านบนและด้านล่างของบรรดารูปสิงห์และรูปวัวตัวผู้เหล่านั้นมีลายมาลัยดอกไม้ที่ใช้ค้อนทำขึ้น 30 รถเข็นแต่ละคันมีล้อสี่ล้อ ทั้งล้อและเพลาทำขึ้นจากทองสัมฤทธิ์ และบนรถเข็นจะมีอ่างน้ำหนึ่งใบวางอยู่บนที่รองรับตรงมุมทั้งสี่ ที่รองรับแต่ละอันทำจากทองสัมฤทธิ์ และมีลวดลายมาลัยดอกไม้ตอกอยู่ 31 มีโครงด้านบน ซึ่งมีช่องสำหรับชามใหญ่ โครงนั้นสูงหนึ่งศอก[bx] ช่องเปิดนี้มีลักษณะกลม วัดขนาดที่ฐานได้กว้างหนึ่งศอกครึ่ง[by] และมีการแกะสลักลวดลายไว้โดยรอบช่องเปิดนั้น โครงนั้นสี่เหลี่ยมไม่กลม 32 มีล้อสี่ล้ออยู่ใต้โครงนั้น และเพลาของล้อเหล่านั้นเชื่อมติดเข้ากับแท่น ล้อแต่ละล้อมีเส้นผ่าศูนย์กลางหนึ่งศอกครึ่ง 33 ลักษณะของล้อเหมือนกับล้อของรถรบ ทั้งเพลา วงล้อ ซี่ล้อและดุมล้อ ล้วนหล่อขึ้นจากเหล็กสัมฤทธิ์

34 รถเข็นแต่ละคันมีที่รองรับอยู่ตรงมุมทั้งสี่ ที่รองรับนี้เป็นเนื้อเดียวกันกับรถเข็นนั้น 35 ด้านบนของรถเข็นมีขอบทองสัมฤทธิ์สูงครึ่งศอกล้อมรอบเป็นเนื้อเดียวกันกับรถเข็น 36 ฮูรามได้แกะสลักลายพวกทูตสวรรค์มีปีก พวกสิงห์และพวกต้นปาล์มมากมายลงบนพื้นผิวของที่รองรับและบนแผงเหล่านั้น ที่ไหนมีช่องว่างเขาก็จะแกะลายพวงมาลัยไว้จนทั่ว 37 นี่คือวิธีที่เขาสร้างรถเข็นทั้งสิบคัน รถเข็นเหล่านี้หล่อขึ้นจากแม่พิมพ์อันเดียวกันจึงมีรูปร่างและขนาดเหมือนกันหมด

Thai New Testament: Easy-to-Read Version (ERV-TH)

พระคริสตธรรมคัมภีร์: ฉบับอ่านเข้าใจง่าย ภาคคำสัญญาใหม่ © 2015 Bible League International