Bible in 90 Days
อมรีครองราชย์ในอิสราเอล
21 แล้วชาวอิสราเอลก็แบ่งออกเป็นสองฝ่าย ครึ่งหนึ่งของประชาชนติดตามทิบนีบุตรของกีนัท หวังว่าจะแต่งตั้งท่านให้เป็นกษัตริย์ อีกครึ่งหนึ่งติดตามอมรี 22 แต่ประชาชนที่ติดตามอมรีแข็งแกร่งกว่าประชาชนที่ติดตามทิบนีบุตรของกีนัท ทิบนีจึงสิ้นชีวิต และอมรีจึงขึ้นเป็นกษัตริย์ 23 ในปีที่สามสิบเอ็ดของอาสาผู้เป็นกษัตริย์แห่งยูดาห์ อมรีก็เริ่มเป็นกษัตริย์แห่งอิสราเอล ท่านครองราชย์เป็นเวลา 12 ปี ท่านครองราชย์ที่เมืองทีรซาห์ 6 ปี 24 ท่านซื้อภูเขาสะมาเรียจากเชเมอร์เป็นเงินจำนวน 2 ตะลันต์[a] และท่านก็ได้สร้างเมืองบนภูเขานั้น เรียกชื่อเมืองว่า สะมาเรีย ตามชื่อเชเมอร์เจ้าของภูเขาคนก่อน
25 อมรีกระทำสิ่งที่ชั่วร้ายในสายตาของพระผู้เป็นเจ้า และทำสิ่งชั่วร้ายยิ่งกว่าทุกท่านก่อนหน้านั้น 26 เพราะว่าท่านดำเนินชีวิตตามแบบอย่างเยโรโบอัมบุตรของเนบัท และในบาปที่ท่านทำ และเป็นเหตุให้อิสราเอลทำบาป ท่านยั่วโทสะพระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของอิสราเอลด้วยรูปเคารพซึ่งไร้ค่าของพวกเขา 27 กิจอื่นๆ ทั้งสิ้นของอมรี และความสำเร็จด้านยุทธการ ก็ได้มีบันทึกไว้แล้วในหนังสือแห่งพงศาวดารของบรรดากษัตริย์แห่งอิสราเอลมิใช่หรือ 28 และอมรีสิ้นชีวิตและถูกนำไปวางรวมกับบรรพบุรุษของท่าน ศพถูกบรรจุไว้ในสะมาเรีย และอาหับบุตรของท่านครองราชย์แทนท่าน
อาหับครองราชย์ในอิสราเอล
29 ในปีที่สามสิบแปดของอาสาผู้เป็นกษัตริย์แห่งยูดาห์ อาหับบุตรของอมรีเริ่มเป็นกษัตริย์แห่งอิสราเอล และปกครองอิสราเอลในเมืองสะมาเรียเป็นเวลา 22 ปี 30 อาหับบุตรของอมรีกระทำสิ่งที่ชั่วร้ายในสายตาของพระผู้เป็นเจ้า ยิ่งกว่าทุกท่านก่อนหน้านั้น 31 ถ้าหากว่าท่านดำเนินชีวิตในการทำบาปตามแบบอย่างเยโรโบอัมบุตรของเนบัทก็ยังนับว่าเบามาก แต่ท่านรับเอาเยเซเบลบุตรหญิงของเอ็ทบาอัลกษัตริย์ของชาวไซดอนมาเป็นภรรยา ทั้งยังบูชาและนมัสการเทพเจ้าบาอัล 32 ท่านให้สร้างแท่นบูชาเทพเจ้าบาอัลสำหรับวิหารเทพเจ้าบาอัลที่ท่านสร้างไว้ในสะมาเรีย 33 และอาหับสร้างเทวรูปอาเชราห์ ท่านกระทำสิ่งต่างๆ มากมายที่ยั่วโทสะพระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของอิสราเอล ยิ่งกว่าบรรดากษัตริย์ทั้งปวงของอิสราเอลก่อนหน้านั้น 34 ในสมัยของท่าน ฮีเอลแห่งเบธเอลสร้างเมืองเยรีโค ฐานรากของเยรีโคถูกสร้างขึ้นโดยที่เขาต้องเสียอะบีรามบุตรชายหัวปี และสร้างประตูเมืองโดยที่เขาต้องเสียเสกุบบุตรชายคนสุดท้องของเขา ซึ่งเป็นไปตามคำกล่าวของพระผู้เป็นเจ้า โดยผ่านโยชูวาบุตรของนูน[b]
เอลียาห์พยากรณ์ถึงวันข้าวยากหมากแพง
17 เอลียาห์ชาวทิชบี จากเมืองทิชบีในแว่นแคว้นกิเลอาด พูดกับอาหับว่า “ตราบที่พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของอิสราเอลผู้ที่ข้าพเจ้ารับใช้มีชีวิตอยู่ฉันใด จะไม่มีน้ำค้างหรือน้ำฝนในสองสามปีข้างหน้านี้ จนกว่าข้าพเจ้าจะเป็นผู้สั่งให้มี”[c] 2 และพระผู้เป็นเจ้ากล่าวกับท่านว่า 3 “จงไปจากที่นี่ และไปทางทิศตะวันออก จงซ่อนตัวอยู่ที่ข้างลำธารเครีท ซึ่งอยู่ทางตะวันออกของแม่น้ำจอร์แดน 4 เจ้าจงดื่มน้ำจากลำธาร และเราได้สั่งให้พวกอีกานำอาหารมาให้เจ้าที่นั่น” 5 ท่านจึงไปทำตามคำของพระผู้เป็นเจ้า ท่านไปอาศัยอยู่ที่ข้างลำธารเครีททางทิศตะวันออกของแม่น้ำจอร์แดน 6 และอีกาก็นำขนมปังกับเนื้อมาให้ในเวลาเช้า และนำขนมปังกับเนื้อมาให้ในเวลาเย็น และท่านดื่มน้ำจากลำธาร 7 ไม่นานหลังจากนั้น ลำธารก็เหือดแห้งไป เพราะฝนไม่ตกในแผ่นดิน
หญิงม่ายแห่งศาเรฟัท
8 และพระผู้เป็นเจ้ากล่าวกับท่านว่า 9 “จงลุกขึ้น ไปอาศัยอยู่ที่ศาเรฟัท ในแว่นแคว้นของไซดอน ดูเถิด เราได้สั่งให้หญิงม่ายคนหนึ่งที่นั่นนำอาหารมาให้เจ้า” 10 ดังนั้น ท่านลุกขึ้น และไปยังศาเรฟัท เมื่อท่านมาถึงประตูเมือง ดูเถิด หญิงม่ายผู้หนึ่งกำลังเก็บฟืนอยู่ที่นั่น ท่านเรียกนาง และพูดว่า “ช่วยเอาน้ำใส่ภาชนะมาให้เราดื่มสักนิด” 11 ขณะที่นางกำลังไปเอาน้ำมา ท่านเรียกนาง และพูดว่า “เอาขนมปังติดมือมาให้เราสักชิ้น” 12 นางพูดว่า “ตราบที่พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของท่านมีชีวิตอยู่ฉันใด ฉันไม่มีอาหารที่อบแล้ว มีแต่แป้งกำมือเดียวในโถ และน้ำมันนิดหน่อยในไห ฉันก็กำลังเก็บฟืนสองสามท่อน เพื่อเข้าไปทำอาหารให้ฉันกับลูกชายรับประทาน พอเสร็จแล้วเราก็จะตายกันทั้งแม่และลูก” 13 เอลียาห์พูดตอบนางว่า “อย่ากลัวเลย จงไปทำตามที่เจ้าพูด แต่ก่อนอื่น จงทำขนมให้เราก้อนหนึ่ง และเอามาให้เรา หลังจากนั้นจึงทำให้ตัวเจ้าเองกับลูก 14 เพราะว่าพระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของอิสราเอลกล่าวดังนี้ว่า ‘แป้งในโถจะใช้ไม่หมด และไหน้ำมันจะไม่มีวันหมดเช่นกัน จนกว่าวันที่พระผู้เป็นเจ้าจะโปรดให้ฝนตกลงบนแผ่นดิน’” 15 นางจึงไปทำตามที่เอลียาห์บอก ทั้งตัวนาง เอลียาห์ และคนในบ้านรับประทานกันได้หลายวัน 16 แป้งในโถไม่หมด น้ำมันในไหก็ไม่หมดเช่นกัน ซึ่งเป็นไปตามคำของพระผู้เป็นเจ้า ที่กล่าวผ่านเอลียาห์
เอลียาห์อธิษฐานเพื่อชีวิตบุตรของหญิงม่าย
17 หลังจากนั้น บุตรของหญิงเจ้าของบ้านก็ล้มป่วย เขาเจ็บหนักจนสิ้นใจ 18 นางพูดกับเอลียาห์ว่า “โอ คนของพระเจ้า เรื่องของท่านกับเรื่องของฉันมีอะไรเกี่ยวข้องกันด้วยหรือ ท่านได้มาหาฉัน ทำให้พระองค์ระลึกถึงบาปของฉัน และทำให้ลูกของฉันตาย” 19 ท่านบอกนางว่า “เอาลูกชายของเจ้ามาให้เรา” และท่านก็รับตัวเด็กจากอ้อมแขนของนาง และอุ้มเขาขึ้นไปที่ห้องบนดาดฟ้าที่ท่านพักอยู่ และวางเขาบนที่นอนของท่าน 20 แล้วท่านก็ร้องต่อพระผู้เป็นเจ้าว่า “โอ พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของข้าพเจ้า พระองค์ให้ความวิบัติเกิดขึ้นกับหญิงม่ายที่ข้าพเจ้าพักอยู่ด้วย ด้วยการพรากชีวิตบุตรของนางไปหรือ” 21 แล้วท่านก็เหยียดตัวบนเด็กคนนั้น 3 ครั้ง และร้องขอพระผู้เป็นเจ้าว่า “โอ พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของข้าพเจ้า โปรดให้ชีวิตของเด็กผู้นี้กลับมายังร่างของเขา” 22 พระผู้เป็นเจ้าฟังเสียงร้องขอของเอลียาห์ และชีวิตของเด็กก็กลับคืนสู่ร่างของเขาอีก เขาจึงฟื้นขึ้น 23 และเอลียาห์พาตัวเด็กลงจากห้องบนดาดฟ้า เข้าไปในบ้าน คืนเขาให้กับแม่ของเขา และเอลียาห์พูดว่า “เห็นไหม บุตรของเจ้ามีชีวิตอยู่” 24 หญิงม่ายพูดกับเอลียาห์ว่า “บัดนี้ฉันทราบแล้วว่า ท่านเป็นคนของพระเจ้า และพระผู้เป็นเจ้ากล่าวผ่านท่านจริงๆ”[d]
เอลียาห์เผชิญหน้าอาหับ
18 หลายวันต่อมา พระผู้เป็นเจ้ากล่าวผ่านเอลียาห์ในปีที่สามว่า “จงไปแสดงตัวกับอาหับ และเราจะให้ฝนตกบนแผ่นดินโลก” 2 เอลียาห์จึงไปแสดงตัวกับอาหับ ในเวลานั้น เกิดความอดอยากร้ายแรงมากในสะมาเรีย 3 อาหับเรียกโอบาดีห์ซึ่งเป็นผู้ควบคุมครัวเรือนของท่าน (โอบาดีห์เป็นคนที่เกรงกลัวพระผู้เป็นเจ้ามาก 4 เมื่อเยเซเบลสั่งสังหารบรรดาผู้เผยคำกล่าวของพระเจ้า โอบาดีห์พาผู้เผยคำกล่าวของพระเจ้าจำนวน 100 คนไปหลบซ่อนในถ้ำๆ ละ 50 คน และจัดหาขนมปังและน้ำให้) 5 อาหับพูดกับโอบาดีห์ว่า “จงไปให้ทั่วแผ่นดิน สำรวจหาน้ำพุและหุบเขาทุกแห่ง เราอาจจะพบหญ้า จะได้ช่วยม้าและล่อให้มีชีวิตต่อไปได้ จะได้ไม่สูญเสียสัตว์บางส่วนไป” 6 ดังนั้น ทั้งสองจึงแบ่งเส้นทางกันออกเสาะหา อาหับไปทางหนึ่งตามลำพัง และโอบาดีห์ไปอีกทางตามลำพัง
7 ขณะที่โอบาดีห์เดินทางไป ดูเถิด เอลียาห์พบกับเขา และโอบาดีห์จำท่านได้ จึงก้มตัวลงและพูดว่า “ท่านคือเอลียาห์ เจ้านายของข้าพเจ้าใช่ไหม” 8 ท่านตอบว่า “เราเอง ท่านช่วยไปบอกเจ้านายของท่านว่า ‘ดูเถิด เอลียาห์อยู่ที่นี่’” 9 เขาพูดว่า “ข้าพเจ้าทำอะไรผิดหรือ ท่านจึงจะทำให้ข้าพเจ้าตกอยู่ในมือของอาหับ และฆ่าข้าพเจ้าเสีย 10 ตราบที่พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของท่านมีชีวิตอยู่ฉันใด ไม่มีประชาชาติหรืออาณาจักรใดที่เจ้านายของข้าพเจ้าไม่ได้ส่งคนไปค้นหาท่าน และเวลาพวกเขาตอบว่า ‘ท่านไม่อยู่ที่นี่’ อาหับก็จะต้องให้เขาสาบานกับอาณาจักรหรือประชาชาตินั้นว่า พวกเขาหาท่านไม่พบ 11 และบัดนี้ท่านพูดว่า ‘ไปบอกเจ้านายของท่านว่า “ดูเถิด เอลียาห์อยู่ที่นี่”’ 12 และทันทีที่ข้าพเจ้าจากท่านไป พระวิญญาณของพระผู้เป็นเจ้าจะหอบพาท่านไปที่ไหนข้าพเจ้าไม่ทราบ ฉะนั้นเวลาข้าพเจ้าไปแจ้งอาหับ และอาหับกลับไม่พบท่าน อาหับก็จะฆ่าข้าพเจ้า แม้ว่าข้าพเจ้าซึ่งเป็นผู้รับใช้ของท่าน จะเกรงกลัวพระผู้เป็นเจ้านับแต่ยังเยาว์ 13 ไม่มีใครเคยบอกให้เจ้านายของข้าพเจ้าทราบหรือว่า ข้าพเจ้าทำอะไร เมื่อเยเซเบลสังหารบรรดาผู้เผยคำกล่าวของพระผู้เป็นเจ้า ข้าพเจ้าได้ซ่อนตัวผู้เผยคำกล่าวของพระผู้เป็นเจ้า 100 คน ในถ้ำๆ ละ 50 คน และจัดหาขนมปังและน้ำให้ 14 และบัดนี้ท่านพูดว่า ‘ไปบอกเจ้านายของท่านว่า “ดูเถิด เอลียาห์อยู่ที่นี่”’ อาหับก็จะฆ่าข้าพเจ้า” 15 เอลียาห์พูดว่า “ตราบที่พระผู้เป็นเจ้าจอมโยธา พระองค์ผู้ที่เรารับใช้มีชีวิตอยู่ฉันใด เราจะแสดงตัวให้ท่านเห็นในวันนี้อย่างแน่นอน” 16 ดังนั้น โอบาดีห์ไปพบกับอาหับ และแจ้งให้ท่านทราบ อาหับจึงไปพบกับเอลียาห์
17 ครั้นอาหับเห็นเอลียาห์ อาหับกล่าวกับท่านว่า “เจ้าหรือนั่น ผู้ก่อความลำบากแก่อิสราเอล” 18 ท่านตอบว่า “ข้าพเจ้าไม่ได้ก่อความลำบากแก่อิสราเอล แต่เป็นท่านและครอบครัวของบิดาของท่านต่างหาก เพราะท่านไม่ได้ปฏิบัติตามพระบัญญัติของพระผู้เป็นเจ้า แต่กลับไปติดตามบรรดาเทพเจ้าบาอัล 19 บัดนี้ ขอให้ท่านออกคำสั่งเรียกประชุมอิสราเอลทั้งปวงให้มาพบกับข้าพเจ้าที่ภูเขาคาร์เมล รวมทั้งผู้เผยคำกล่าวของเทพเจ้าบาอัล 450 คน และผู้เผยคำกล่าวของเทพเจ้าอาเชราห์ 400 คนที่ร่วมรับประทานกับเยเซเบล”
ปุโรหิตของเทพเจ้าบาอัลพ่ายแพ้
20 ดังนั้น อาหับออกคำสั่งให้ชาวอิสราเอลทั้งปวง และเรียกบรรดาผู้เผยคำกล่าวมาร่วมประชุมที่ภูเขาคาร์เมล 21 เอลียาห์ก็เข้ามาใกล้ประชาชนทั้งปวง และพูดว่า “ท่านทั้งหลายจะเหยียบเรือสองแคมไปนานแค่ไหน ถ้าหากว่าพระผู้เป็นเจ้าเป็นพระเจ้า ก็จงติดตามพระองค์ แต่ถ้าเป็นเทพเจ้าบาอัล ก็จงติดตามบาอัลไป” ฝ่ายประชาชนก็ไม่ตอบสักคำเดียว 22 เอลียาห์จึงพูดกับประชาชนว่า “เหลือแต่ข้าพเจ้าเพียงคนเดียวที่เป็นผู้เผยคำกล่าวของพระผู้เป็นเจ้า แต่ผู้เผยคำกล่าวของเทพเจ้าบาอัลมี 450 คน 23 ขอให้นำโคหนุ่ม 2 ตัวมาให้พวกเรา และให้คนของเทพเจ้าบาอัลเลือกโคไว้ตัวหนึ่ง จงตัดโคเป็นท่อนๆ และวางไว้บนฟืน แต่อย่าติดไฟ และข้าพเจ้าจะเตรียมโคอีกตัว และวางไว้บนฟืนที่ยังไม่ติดไฟเช่นกัน 24 จากนั้น ท่านก็ร้องเรียกหาเทพเจ้าของท่าน และข้าพเจ้าจะร้องเรียกพระนามของพระผู้เป็นเจ้า และพระเจ้าที่ตอบด้วยไฟ พระองค์คือพระเจ้า” ประชาชนทั้งปวงตอบว่า “เป็นคำพูดที่ดี” 25 และเอลียาห์พูดกับผู้เผยคำกล่าวของเทพเจ้าบาอัลว่า “เชิญเลือกโคหนุ่มตัวหนึ่งสำหรับพวกท่าน และเตรียมให้พร้อมก่อน เพราะว่าพวกท่านมีหลายคน แล้วก็ร้องเรียกหาเทพเจ้าของท่าน แต่อย่าติดไฟ” 26 เขาทั้งหลายจึงเอาโคที่นำมาให้ และเตรียมให้พร้อม และร้องเรียกหาเทพเจ้าบาอัลตั้งแต่เช้าจนถึงเที่ยงวัน พูดว่า “โอ บาอัล ตอบพวกเราด้วย” แต่ไม่มีเสียงตอบกลับ และพวกเขาเต้นขึ้นเต้นลงรอบๆ แท่นบูชาที่ได้สร้างขึ้น 27 พอเที่ยงวันเอลียาห์พูดเยาะเย้ยว่า “ร้องดังๆ สิ เพราะเขาเป็นเทพเจ้า เขากำลังคิดเพ้อฝันอยู่ หรือก็ไม่ว่าง หรือเดินทางไปไหนๆ แล้ว หรือไม่ก็นอนหลับอยู่ คงต้องปลุกให้ตื่นกระมัง” 28 พวกเขาจึงร้องเสียงดัง พร้อมกับใช้ดาบและมีดเชือดตัวตามพิธีกรรม จนเลือดไหลเต็มตัว 29 ครั้นถึงเวลาบ่าย พวกเขาก็พูดพร่ำต่อไป จนกระทั่งถึงเวลามอบเครื่องสักการะ แต่ก็ยังไม่มีเสียงใดๆ ไม่มีใครตอบหรือแสดงความสนใจ
30 เอลียาห์จึงพูดกับประชาชนทั้งปวงว่า “ช่วยมาใกล้ๆ” และประชาชนทั้งปวงก็เข้ามาใกล้ท่าน ท่านซ่อมแท่นบูชาของพระผู้เป็นเจ้าที่พังลง 31 เอลียาห์ใช้หิน 12 ก้อน ตามจำนวน 12 เผ่าของบรรดาบุตรของยาโคบ ผู้ที่พระผู้เป็นเจ้ากล่าวสั่งว่า “อิสราเอลจะเป็นชื่อของเจ้า”[e] 32 และท่านสร้างแท่นบูชาด้วยหินเหล่านั้นในพระนามของพระผู้เป็นเจ้า และท่านขุดร่องที่รอบแท่นใหญ่พอบรรจุเมล็ดพืชได้ 2 สอาห์[f] 33 ท่านวางฟืนอย่างเป็นระเบียบ และตัดโคเป็นท่อนๆ และวางบนฟืน และท่านพูดว่า “จงใส่น้ำให้เต็ม 4 ไห และเทลงบนสัตว์ที่ใช้เผาเป็นของถวายและบนฟืน” 34 และท่านพูดว่า “ทำเหมือนเดิมเป็นครั้งที่สอง” พวกเขาก็ทำตามเป็นครั้งที่สอง และท่านพูดว่า “ทำเหมือนเดิมเป็นครั้งที่สาม” พวกเขาก็ทำตามเป็นครั้งที่สาม 35 และน้ำก็ไหลที่รอบแท่นบูชาและร่องที่ขุดไว้ก็มีน้ำปริ่ม
36 เมื่อถึงเวลามอบเครื่องสักการะ เอลียาห์ผู้เผยคำกล่าวของพระเจ้าเข้ามาใกล้ และพูดว่า “โอ พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของอับราฮัม อิสอัค และอิสราเอล ขอให้เป็นที่ทราบกันในวันนี้ว่า พระองค์เป็นพระเจ้าในอิสราเอล และข้าพเจ้าเป็นผู้รับใช้ของพระองค์ และข้าพเจ้าได้ปฏิบัติตามคำของพระองค์ 37 โปรดตอบรับข้าพเจ้า โอ พระผู้เป็นเจ้า โปรดตอบรับข้าพเจ้า เพื่อผู้คนเหล่านี้จะทราบว่าพระองค์คือพระเจ้า โอ พระผู้เป็นเจ้า และขอพระองค์ทำให้พวกเขากลับใจเข้าหาพระองค์อีกครั้ง” 38 ครั้นแล้ว ไฟของพระผู้เป็นเจ้าก็ตกลงมาเผาสัตว์ที่ใช้เป็นของถวาย ตกลงที่ฟืน หิน และผงคลี และทำให้น้ำในร่องแห้งเหือดไป 39 เมื่อประชาชนทั้งปวงเห็นเหตุการณ์ ก็ก้มตัวลงและพูดว่า “พระผู้เป็นเจ้า พระองค์คือพระเจ้า พระผู้เป็นเจ้า พระองค์คือพระเจ้า” 40 เอลียาห์พูดกับพวกเขาว่า “จงจับกุมบรรดาผู้เผยคำกล่าวของเทพเจ้าบาอัล อย่าให้ผู้ใดหนีรอดไปได้เลย” พวกเขาจึงจับกุมตัวไว้ เอลียาห์จึงนำตัวคนเหล่านั้นลงมาที่ลำธารคีโชน และสังหารเขาทุกคนที่นั่น
พระผู้เป็นเจ้าโปรดให้ฝนตก
41 เอลียาห์พูดกับอาหับว่า “จงขึ้นไป รับประทานและดื่ม เพราะว่ามีเสียงฝนเทกระหน่ำลงมา” 42 อาหับจึงขึ้นไปรับประทานและดื่ม เอลียาห์ขึ้นไปที่ยอดภูเขาคาร์เมล และก้มตัวลงที่พื้น ก้มหน้าอยู่ระหว่างหัวเข่าของท่าน 43 และท่านพูดกับผู้รับใช้ของท่านว่า “ไปเถิด จงมองไปทางทะเล” เขาก็ไปและมองดู และพูดว่า “ไม่เห็นมีอะไร” ท่านพูด 7 ครั้งว่า “ไปดูอีก” 44 และในครั้งที่เจ็ด เขาพูดว่า “ดูเถิด เมฆเล็กๆ ก้อนหนึ่ง เท่าฝ่ามือคน กำลังขึ้นมาจากทะเล” และท่านพูดว่า “ไปเถิด ไปบอกอาหับดังนี้ ‘จงเตรียมรถศึกของท่าน และลงไป มิฉะนั้นท่านจะติดฝน’” 45 หลังจากนั้นไม่นาน ท้องฟ้าก็มืดครึ้มด้วยเมฆและลม แล้วฝนก็เทลงมา อาหับขึ้นรถศึกกลับไปยิสเรเอล 46 พระผู้เป็นเจ้าสถิตกับเอลียาห์ ท่านลุกขึ้นคาดเอว และวิ่งรุดหน้าถึงทางเข้าเมืองยิสเรเอลก่อนอาหับ
เอลียาห์หนีเยเซเบล
19 อาหับบอกเยเซเบลทุกอย่างที่เอลียาห์ได้กระทำ และบอกด้วยว่าท่านได้ใช้ดาบสังหารบรรดาผู้เผยคำกล่าวอย่างไร 2 เยเซเบลจึงให้ผู้ส่งข่าวคนหนึ่งไปหาเอลียาห์ว่า “ฉะนั้น พรุ่งนี้และเวลานี้ขอให้บรรดาเทพเจ้ากระทำต่อฉันยิ่งกว่านั้น ถ้าฉันไม่กำจัดชีวิตของท่านเหมือนที่ท่านกระทำต่อบรรดาผู้เผยคำกล่าวของบาอัล” 3 แล้วท่านก็กลัว และรีบหนีไปเพื่อความปลอดภัยของชีวิตท่าน จนมาถึงเบเออร์เช-บา ซึ่งอยู่ในอาณาเขตยูดาห์ โดยทิ้งให้คนรับใช้อยู่ต่อที่นั่น
4 ส่วนท่านก็เดินทางต่อไปเป็นระยะ 1 วัน เข้าไปในถิ่นทุรกันดาร และไปนั่งอยู่ใต้ต้นไม้ซาก[g] ท่านไม่อยากมีชีวิตอยู่อีกต่อไป และรำพึงรำพันว่า “โอ พระผู้เป็นเจ้า พอกันที เวลานี้โปรดรับเอาชีวิตข้าพเจ้าไปเถิด เพราะข้าพเจ้าไม่ดีไปกว่าบรรพบุรุษของข้าพเจ้า” 5 แล้วท่านก็นอนหลับที่ใต้ต้นไม้ซาก ดูเถิด ทูตสวรรค์องค์หนึ่งมาสัมผัสตัวท่าน และพูดว่า “ลุกขึ้นและรับประทานเถิด” 6 และท่านก็เปิดตา ดูเถิด ที่ศีรษะท่านมีขนมชิ้นหนึ่งปิ้งร้อนๆ อยู่บนก้อนหิน กับน้ำโถหนึ่ง ท่านจึงรับประทานและดื่มน้ำ แล้วก็นอนลงอีก 7 ทูตสวรรค์ของพระผู้เป็นเจ้ามาหาอีกเป็นครั้งที่สอง สัมผัสตัวท่าน และพูดว่า “ลุกขึ้นรับประทานเถิด เพราะว่าการเดินทางจะลำบากมากสำหรับท่าน” 8 ท่านจึงลุกขึ้นรับประทานและดื่มน้ำ อาหารนั้นช่วยให้ท่านมีกำลังและเดินทางเป็นเวลา 40 วัน 40 คืน[h] ไปยังโฮเรบภูเขาของพระเจ้า
พระผู้เป็นเจ้ากล่าวกับเอลียาห์
9 เอลียาห์มาถึงถ้ำและค้างแรมในนั้น และดูเถิด พระผู้เป็นเจ้ากล่าวกับท่านว่า “เอลียาห์ เจ้ามาทำอะไรที่นี่” 10 ท่านตอบว่า “ข้าพเจ้ารับใช้พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าจอมโยธาอย่างเอาจริงเอาจัง แต่ชาวอิสราเอลได้ทอดทิ้งพันธสัญญาของพระองค์ ทำลายแท่นบูชาของพระองค์ และฆ่าฟันบรรดาผู้เผยคำกล่าวของพระองค์ เหลือแต่ข้าพเจ้าเพียงคนเดียว และพวกเขาก็ได้ตามหาข้าพเจ้า เพื่อจะเอาชีวิตของข้าพเจ้าไปเสีย” 11 พระองค์กล่าวว่า “จงออกไป ไปยืนบนภูเขา เบื้องหน้าพระผู้เป็นเจ้า” และดูเถิด พระผู้เป็นเจ้าผ่านไป ลมอันแรงกล้าได้แยกภูเขาให้แตกออกเป็นเสี่ยงๆ ณ เบื้องหน้าพระผู้เป็นเจ้า แต่พระผู้เป็นเจ้าไม่ได้สถิตในลม และภายหลังลม ก็เกิดแผ่นดินไหว แต่พระผู้เป็นเจ้าไม่ได้สถิตในแผ่นดินไหว 12 ภายหลังแผ่นดินไหว ก็เกิดไฟ แต่พระผู้เป็นเจ้าไม่ได้สถิตในไฟ และภายหลังไฟ ก็เกิดเสียงแผ่วเบา 13 เมื่อเอลียาห์ได้ยินเสียง ท่านก็ใช้เสื้อคลุมของท่านปิดหน้า และออกไปยืนที่ปากถ้ำ และดูเถิด มีเสียงกล่าวกับท่านว่า “เอลียาห์ เจ้ามาทำอะไรที่นี่” 14 ท่านตอบว่า “ข้าพเจ้ารับใช้พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าจอมโยธาอย่างเอาจริงเอาจัง แต่ชาวอิสราเอลได้ทอดทิ้งพันธสัญญาของพระองค์ ทำลายแท่นบูชาของพระองค์ และฆ่าฟันบรรดาผู้เผยคำกล่าวของพระองค์ เหลือแต่ข้าพเจ้าเพียงคนเดียว และพวกเขาก็ได้ตามหาข้าพเจ้า เพื่อจะเอาชีวิตของข้าพเจ้าไปเสีย” 15 พระผู้เป็นเจ้ากล่าวกับท่านว่า “ไปเถิด จงกลับไปยังถิ่นทุรกันดารดามัสกัส และเมื่อเจ้าไปถึงแล้ว เจ้าจงเจิมฮาซาเอลให้เป็นกษัตริย์ปกครองอารัม 16 และจงเจิมเยฮูบุตรของนิมชีให้เป็นกษัตริย์ปกครองอิสราเอล จงเจิมเอลีชาบุตรของชาฟัทแห่งเมืองอาเบลเมโฮลาห์ ให้เป็นผู้เผยคำกล่าวของพระเจ้าแทนเจ้า 17 และผู้ที่หนีรอดจากดาบของฮาซาเอล ก็จงให้เยฮูฆ่าเสีย และผู้ที่หนีรอดจากดาบของเยฮูก็จงให้เอลีชาฆ่าเสีย 18 แต่เราจะยังไว้ชีวิต 7,000 คนในอิสราเอลที่ไม่ได้ก้มกราบเทพเจ้าบาอัล และทุกปากที่ไม่ได้จูบเทวรูปบาอัล”
พระเจ้าเรียกเอลีชา
19 ดังนั้น เอลียาห์จึงออกไปจากที่นั่น และพบกับเอลีชาบุตรของชาฟัท ผู้กำลังไถนาอยู่ มีโคทั้งหมด 12 คู่ที่เทียมแอกเดินอยู่ข้างหน้า เอลีชาอยู่กับโคคู่ท้ายสุด เอลียาห์เดินเคียงข้างผ่านไปพร้อมกับสวมเสื้อคลุมของท่านให้แก่เอลีชา 20 เอลีชาก็ทิ้งโคไว้ และวิ่งตามเอลียาห์ไป และบอกว่า “ให้ข้าพเจ้าจูบลาพ่อแม่ก่อน แล้วข้าพเจ้าจะตามท่านไป” “ไปเถิด และกลับมาอีก เราไม่ได้ฝืนใจท่าน” 21 เอลีชาจึงกลับไปปลดโคออกจากแอก ฆ่าโคทั้งคู่ ใช้แอกเป็นเชื้อเพลิง และต้มเนื้อโคแจกจ่ายให้แก่คนที่นั่นรับประทาน แล้วเอลีชาลุกขึ้นติดตามเอลียาห์เพื่อไปเป็นผู้ช่วยท่าน
อาหับทำสงครามกับอารัม
20 เบนฮาดัดกษัตริย์แห่งอารัมรวบรวมกองทัพทหารทั้งหมด มีกษัตริย์ 32 ท่านที่เป็นฝ่ายพันธมิตรร่วมไปกับท่านด้วย มีทั้งม้าและรถศึก ท่านยกทัพขึ้นไป และใช้กำลังล้อมสะมาเรีย และโจมตีเมือง 2 และท่านใช้พวกผู้ส่งข่าวเข้าไปในเมือง ถึงอาหับกษัตริย์แห่งอิสราเอล มีใจความว่า “เบนฮาดัดกล่าวดังนี้ว่า 3 ‘เงินและทองคำของท่านเป็นของเรา ภรรยาและลูกๆ คนที่ดีที่สุดก็เป็นของเราด้วย’” 4 กษัตริย์แห่งอิสราเอลตอบว่า “โอ เจ้านายผู้เป็นกษัตริย์ เป็นไปตามที่ท่านว่า คือทั้งข้าพเจ้าและทุกสิ่งที่ข้าพเจ้ามีเป็นของท่าน” 5 ผู้ส่งข่าวมาแจ้งอีกว่า “เบนฮาดัดกล่าวดังนี้ว่า ‘เราส่งคนมาเพื่อแจ้งท่านดังนี้ “จงส่งเงินและทองคำ ภรรยาและลูกๆ ของท่านมาให้เรา” 6 ขอให้ท่านแน่ใจได้ว่า วันพรุ่งนี้ เราจะส่งพวกผู้รับใช้ของเรามาหาท่านประมาณเวลานี้ พวกเขาจะมาค้นวังท่าน และบ้านของพวกผู้รับใช้ของท่าน เพื่อยึดทุกสิ่งที่มีค่าของท่าน’”
7 ดังนั้นกษัตริย์แห่งอิสราเอลเรียกประชุมบรรดาหัวหน้าชั้นผู้ใหญ่ของแผ่นดิน กล่าวว่า “ขอให้ท่านทราบและรับรู้ด้วยว่า ชายผู้นี้กำลังก่อความลำบาก เพราะเขาให้คนมารับภรรยาและลูกๆ ของเรา เงินและทองคำของเรา และเราไม่ได้ปฏิเสธเขา” 8 หัวหน้าชั้นผู้ใหญ่ทั้งปวงพูดกับท่านว่า “อย่าฟัง หรือยอมเขาอย่างเด็ดขาด” 9 ท่านจึงบอกพวกผู้ส่งข่าวของเบนฮาดัดว่า “จงไปบอกเจ้านายผู้เป็นกษัตริย์ดังนี้ ‘ทุกสิ่งที่ท่านต้องการในตอนแรกจากผู้รับใช้ของท่านนั้น ข้าพเจ้าจะกระทำ แต่คำสั่งครั้งที่สองนั้นข้าพเจ้าทำให้ไม่ได้’” พวกผู้ส่งข่าวก็จากไป และกลับมารายงานอีก 10 เบนฮาดัดใช้ไปบอกท่านว่า “ถ้าทหารทุกคนที่ติดตามเรามาได้เข้าไปทำลายเมืองของท่านจนสิ้นซาก และยังมีผงคลีติดกำมือไปได้ ก็ขอให้บรรดาเทพเจ้ากระทำต่อเราเช่นเดียวกันหรือยิ่งกว่านั้น” 11 กษัตริย์แห่งอิสราเอลจึงตอบว่า “ไปบอกท่านว่า ‘ทหารจะไม่โอ้อวดก่อนผจญศึก แต่จะคุยได้ก็หลังจากเสร็จสงครามแล้ว’” 12 เมื่อเบนฮาดัดได้ยินคำโต้ตอบกลับ ขณะที่กำลังดื่มกับบรรดากษัตริย์ฝ่ายพันธมิตรในกระโจม ท่านบอกคนของท่านว่า “จงเข้าประจำที่” และพวกเขาก็เข้าประจำที่เพื่อโจมตีเมือง
อาหับชนะเบนฮาดัด
13 ดูเถิด ผู้เผยคำกล่าวของพระเจ้าผู้หนึ่งเข้ามาใกล้อาหับกษัตริย์แห่งอิสราเอล และพูดว่า “พระผู้เป็นเจ้ากล่าวดังนี้ว่า ‘เจ้าเห็นกองทัพใหญ่นั้นแล้วหรือยัง ดูเถิด เราจะมอบพวกเขาไว้ในมือของเจ้าในวันนี้ และเจ้าจะรู้ว่าเราคือพระผู้เป็นเจ้า’” 14 อาหับถามว่า “ใครจะนำไป” เขาตอบว่า “พระผู้เป็นเจ้ากล่าวว่า กองทหารหนุ่มใต้บังคับการของบรรดาผู้บัญชาประจำเขตจะนำไป” กษัตริย์ถามว่า “ใครจะเริ่มรบ” เขาตอบว่า “ท่านจะเป็นคนเริ่ม” 15 ท่านจึงเรียกทหารหนุ่มที่อยู่ใต้บังคับของผู้บัญชาประจำเขต เข้าประจำกองทหารจำนวน 232 คน และท่านเรียกกองทัพอิสราเอลทั้งสิ้น รวมได้ 7,000 คน
16 กองทหารเริ่มบุกโจมตีตอนเที่ยงวัน ขณะที่เบนฮาดัดกำลังดื่มจนเมามายอยู่ในกระโจมกับกษัตริย์อีก 32 ท่านที่มาช่วยกันต่อสู้ 17 ทหารหนุ่มใต้บังคับการของบรรดาผู้บัญชาประจำเขตเป็นแนวหน้า ส่วนเบนฮาดัดก็ส่งคนไปสืบความคืบหน้า และมีรายงานกลับมาว่า “มีคนออกมาจากสะมาเรีย” 18 ท่านพูดว่า “ถ้าพวกเขาออกมาอย่างสันติ ให้จับเป็น หรือถ้าพวกเขามาทำสงคราม ก็ให้จับเป็นเช่นกัน”
19 พวกทหารหนุ่มใต้บังคับการของบรรดาผู้บัญชาประจำเขตนำหน้าออกไปจากเมือง กองทัพอิสราเอลที่เหลือก็ตามหลังไป 20 ต่างก็ฆ่าฟันคู่ต่อสู้ของตน ชาวอารัมพากันหนีไป และอิสราเอลไล่ล่าพวกเขาไป แต่เบนฮาดัดกษัตริย์แห่งอารัมขี่ม้าหนีรอดไปพร้อมกับทหารม้าได้ 21 กษัตริย์แห่งอิสราเอลโจมตีทั้งม้าและรถศึก และฆ่าชาวอารัมโดยไม่ยั้งมือ
22 แล้วผู้เผยคำกล่าวของพระเจ้าก็เข้ามาใกล้กษัตริย์แห่งอิสราเอล และกล่าวว่า “มาเถิด รวบรวมกำลังของท่านไว้ และพิจารณาให้ดีว่า ท่านต้องทำอะไรบ้าง เพราะว่าเมื่อถึงฤดูใบไม้ผลิ กษัตริย์แห่งอารัมจะมาโจมตีท่านอีก”
23 บรรดาเจ้าหน้าที่ของกษัตริย์อารัมพูดกับท่านว่า “บรรดาเทพเจ้าของพวกเขาเป็นเทพเจ้าแห่งภูเขา พวกเขาจึงแข็งแกร่งกว่าพวกเรา ให้เราไปต่อสู้กับเขาในที่ราบเถิด เราจะแข็งแกร่งกว่าพวกเขาเป็นแน่ 24 ขอให้ทำตามนี้คือ เปลี่ยนตำแหน่งบังคับการจากบรรดากษัตริย์พันธมิตร ให้ผู้บัญชาการทหารทำแทน 25 เกณฑ์กองทัพใหม่ให้เหมือนกับกองทัพที่เสียไป ม้าและรถศึกก็หามาทดแทนด้วย แล้วพวกเราจะต่อสู้กับพวกเขาในที่ราบ เราจะแข็งแกร่งกว่าพวกเขาเป็นแน่” ท่านก็ฟังเสียงพวกเขา และทำตาม
เบนฮาดัดถูกจับตัว
26 ในฤดูใบไม้ผลิ เบนฮาดัดเกณฑ์ชาวอารัม และขึ้นไปถึงเมืองอาเฟกเพื่อต่อสู้กับอิสราเอล 27 ชาวอิสราเอลถูกเรียกประจำการและเตรียมพร้อมเพื่อออกศึก ชาวอิสราเอลตั้งค่ายตรงหน้าชาวอารัมเหมือนกับฝูงแพะ 2 ฝูงเล็กๆ ส่วนชาวอารัมแผ่กระจายไปทั่วท้องทุ่ง 28 คนของพระเจ้าเข้ามาใกล้ และบอกกษัตริย์แห่งอิสราเอลว่า “พระเจ้ากล่าวดังนี้ ‘เพราะชาวอารัมได้พูดว่า “พระผู้เป็นเจ้าเป็นพระเจ้าแห่งภูเขา แต่ไม่ใช่พระเจ้าแห่งหุบเขา” ฉะนั้น เราจะมอบกองทัพใหญ่ขนาดนี้ไว้ในมือเจ้า และเจ้าจะรู้ว่าเราคือพระผู้เป็นเจ้า’” 29 กองทัพทั้งสองฝ่ายตั้งค่ายอยู่ตรงข้ามกันเป็นเวลา 7 วัน และในวันที่เจ็ด การต่อสู้ก็เริ่ม ชาวอิสราเอลฆ่าฟันทหารราบชาวอารัม 100,000 คนในวันเดียว 30 และที่เหลือก็หนีเข้าเมืองอาเฟก และกำแพงเมืองได้ล้มทับ 27,000 คนที่หนีมาจากการต่อสู้
เบนฮาดัดรับการปลดปล่อย
ฝ่ายเบนฮาดัดก็หนีไปเช่นกัน และเข้าไปในเมือง หลบอยู่ในห้องชั้นในแห่งหนึ่ง 31 พวกเจ้าหน้าที่พูดกับท่านว่า “ดูเถิด พวกเราทราบมาว่า บรรดากษัตริย์ของพงศ์พันธุ์อิสราเอลเป็นกษัตริย์ที่มีเมตตาคุณ เรามาคาดเอวด้วยผ้ากระสอบ และเอาเชือกพันศีรษะของเราเถิด และออกไปหากษัตริย์แห่งอิสราเอล ท่านอาจจะไว้ชีวิตท่าน” 32 ดังนั้นเขาเหล่านั้นจึงคาดเอวด้วยผ้ากระสอบ และเอาเชือกพันศีรษะ และไปหากษัตริย์แห่งอิสราเอล และพูดว่า “เบนฮาดัด ผู้รับใช้ของท่านกล่าวว่า ‘โปรดไว้ชีวิตเราเถิด’” ท่านถามว่า “เขายังมีชีวิตหรือ เขาเป็นเสมือนพี่น้องของเรา” 33 พวกเขากำลังดูทีท่าอยู่ จึงเดาความได้ และตอบว่า “ใช่ เบนฮาดัดพี่น้องของท่าน” ท่านกล่าวต่อไปว่า “ไป ไปพาตัวเขามา” เบนฮาดัดจึงออกมาหาท่าน และท่านก็ให้เบนฮาดัดขึ้นมาบนรถศึก 34 และเบนฮาดัดพูดกับท่านว่า “เมืองต่างๆ ที่บิดาของข้าพเจ้ายึดไปจากบิดาของท่าน ข้าพเจ้าจะคืนให้แก่ท่าน ท่านจะได้ตั้งศูนย์ค้าขายเป็นของท่านในเมืองดามัสกัส อย่างที่บิดาของข้าพเจ้าทำในสะมาเรีย” อาหับตอบว่า “เราจะปล่อยท่านไปตามข้อตกลงดังกล่าว” ดังนั้นท่านจึงทำสนธิสัญญากับเบนฮาดัด และปล่อยท่านไป
35 ชายผู้หนึ่งในกลุ่มผู้เผยคำกล่าวของพระเจ้าพูดกับเพื่อนร่วมกลุ่มตามคำบัญชาของพระผู้เป็นเจ้าว่า “โปรดชกเราที” แต่เพื่อนไม่ยอมชกเขา 36 ชายคนแรกพูดว่า “เป็นเพราะท่านไม่ทำตามคำของพระผู้เป็นเจ้า ดูเถิด ทันทีที่ท่านจากเราไป สิงโตตัวหนึ่งจะฆ่าท่าน” และทันทีที่ชายคนที่สองจากไป สิงโตตัวหนึ่งมาพบเขาและฆ่าเขาเสีย 37 ชายคนแรกพูดกับชายอีกคนหนึ่งที่เขาพบว่า “โปรดชกเราที” เขาก็ชกจนทำให้เขาบาดเจ็บ 38 แล้วผู้เผยคำกล่าวของพระเจ้าก็จากไป เขาเอาผ้าปิดตาปลอมตัวยืนรอกษัตริย์ซึ่งจะผ่านมาทางนั้น 39 และขณะที่กษัตริย์ผ่านมา เขาร้องบอกกษัตริย์ว่า “ผู้รับใช้ของท่านไปต่อสู้ในสนามรบ ดูเถิด ทหารคนหนึ่งนำชายผู้หนึ่งมา และพูดว่า ‘คุมตัวคนนี้ไว้ แต่ถ้าเขาหายไปด้วยเหตุใดก็ตาม ท่านจะต้องทดแทนชีวิตเขาด้วยชีวิตของท่านเอง มิฉะนั้น ท่านจะต้องจ่ายเป็นเงินจำนวน 1 ตะลันต์’ 40 และในขณะที่ผู้รับใช้ของท่านง่วนอยู่กับหลายสิ่ง เขาก็หายไป” กษัตริย์แห่งอิสราเอลกล่าวกับเขาว่า “คำตัดสินก็จะเป็นไปตามที่ท่านพูด ตัวท่านเองที่เป็นคนตัดสินใจ” 41 ครั้นแล้ว เขาก็รีบดึงผ้าปิดตาออก กษัตริย์จึงจำได้ว่าเขาเป็นหนึ่งในจำนวนผู้เผยคำกล่าวของพระเจ้า 42 เขากล่าวว่า “พระผู้เป็นเจ้ากล่าวดังนี้คือ ‘เป็นเพราะเจ้าปล่อยให้ชายคนที่เรากำหนดให้พินาศหลุดมือไป เจ้าจะต้องทดแทนชีวิตเขาด้วยชีวิตของเจ้าเอง และทดแทนกองทัพของเขาด้วยประชาชนของเจ้า’” 43 แล้วกษัตริย์ก็กลับวังของท่านที่สะมาเรีย รู้สึกไม่สบายใจและโกรธยิ่งนัก
สวนองุ่นของนาโบท
21 นาโบทชาวยิสเรเอลมีสวนองุ่นในยิสเรเอล ข้างวังของอาหับกษัตริย์แห่งสะมาเรีย 2 อยู่มาวันหนึ่งอาหับพูดกับนาโบทว่า “ยกสวนองุ่นของเจ้าให้เราเถอะ เราจะได้ใช้เป็นสวนผัก เพราะว่าอยู่ใกล้วังของเรา แล้วเราจะให้สวนองุ่นที่ดีกว่าแทน หรือถ้าเจ้าคิดว่าจะรับเป็นเงินดีกว่า เราก็จะให้เงินเจ้าตามราคา” 3 แต่นาโบทตอบอาหับว่า “พระผู้เป็นเจ้าไม่อนุญาตให้ข้าพเจ้ายกมรดกของบรรพบุรุษให้แก่ท่าน”[i] 4 อาหับเข้าไปในวังของท่าน ทั้งขุ่นเคืองใจและโกรธ เป็นเพราะคำที่นาโบทชาวยิสเรเอลพูดกับท่าน เขาได้พูดว่า “ข้าพเจ้าจะไม่ยกมรดกของบรรพบุรุษของข้าพเจ้าให้แก่ท่าน” ท่านนอนลงบนเตียง หันหน้าเข้ากำแพง และไม่ยอมรับประทานอาหาร
5 แต่เยเซเบลมาหาท่าน และพูดกับท่านว่า “ทำไมท่านจึงกลุ้มใจถึงกับไม่ยอมรับประทานอาหาร” 6 ท่านตอบนางว่า “เพราะว่าเราคุยกับนาโบทชาวยิสเรเอล และบอกเขาว่า ‘ยกสวนองุ่นของเจ้าให้เรา แลกเป็นเงิน ถ้าไม่เอา เราจะให้สวนองุ่นที่ดีกว่าแทน ถ้าเจ้าต้องการ’ และเขาตอบเราว่า ‘ข้าพเจ้าจะไม่ยกสวนองุ่นของข้าพเจ้าให้แก่ท่าน’” 7 เยเซเบลผู้เป็นภรรยาตอบว่า “ปัจจุบันนี้ท่านปกครองอิสราเอลหรือเปล่า ลุกขึ้นและรับประทานขนมปัง และทำใจให้เบิกบานได้แล้ว ข้าพเจ้าจะมอบสวนองุ่นของนาโบทให้ท่านเอง”
8 ดังนั้น นางจึงเขียนจดหมายในนามของอาหับ และผนึกด้วยตราประทับของกษัตริย์ และส่งจดหมายไปยังบรรดาหัวหน้าชั้นผู้ใหญ่และบรรดาผู้นำที่อาศัยอยู่ในยิสเรเอลเมืองเดียวกับนาโบท 9 นางเขียนในจดหมายว่า “จงประกาศเป็นทางการให้ร่วมกันอดอาหาร จัดการให้นาโบทนั่งเป็นประธานในที่ประชุม 10 ให้คนชั่วสองคนนั่งตรงข้ามกับเขา ให้เขาทั้งสองกล่าวหานาโบทว่า ‘ท่านพูดหมิ่นประมาทพระเจ้าและกษัตริย์’ แล้วก็เอาตัวเขาออกไป เอาก้อนหินขว้างเขาให้ตาย” 11 และบรรดาผู้ชายของเมือง คือบรรดาหัวหน้าชั้นผู้ใหญ่และบรรดาผู้นำที่อาศัยอยู่ในเมือง ก็กระทำตามที่เยเซเบลสั่ง ดังที่เขียนไว้ในจดหมายซึ่งนางส่งไปให้พวกเขา 12 เขาทั้งปวงประกาศเป็นทางการให้ร่วมกันอดอาหาร และจัดการให้นาโบทนั่งเป็นประธานในที่ประชุม 13 และคนชั่วทั้งสองกล่าวหานาโบทต่อหน้าสาธารณชนว่า “นาโบทสาปแช่งพระเจ้าและกษัตริย์” และพวกเขาก็เอาตัวเขาออกไปนอกเมือง และเอาหินขว้างเขาจนตาย 14 แล้วแจ้งให้เยเซเบลทราบว่า “นาโบทถูกหินขว้างตายแล้ว”
15 ทันทีที่เยเซเบลทราบว่านาโบทถูกหินขว้างตายแล้ว เยเซเบลบอกอาหับว่า “ลุกขึ้นเถิด เชิญท่านไปยึดสวนองุ่นของนาโบทชาวยิสเรเอลได้แล้ว ที่ดินซึ่งเขาปฏิเสธที่จะแลกกับเงิน นาโบทหามีชีวิตไม่ เพราะเขาตายเสียแล้ว” 16 ทันทีที่อาหับทราบว่านาโบทตายแล้ว อาหับก็ลุกขึ้น เพื่อลงไปยึดสวนองุ่นของนาโบทชาวยิสเรเอล
พระผู้เป็นเจ้ากล่าวโทษอาหับ
17 พระผู้เป็นเจ้ากล่าวผ่านเอลียาห์ชาวทิชบีว่า 18 “จงลุกขึ้น ลงไปพบกับอาหับกษัตริย์แห่งอิสราเอล ผู้อยู่ในสะมาเรีย ดูเถิด เขาอยู่ในสวนองุ่นของนาโบท ซึ่งเขาไปยึดเป็นเจ้าของ 19 เจ้าจงพูดกับเขาว่า ‘พระผู้เป็นเจ้ากล่าวดังนี้คือ “เจ้าได้ฆ่าคนและยึดที่ดินของเขาใช่ไหม”’ และเจ้าจงพูดกับเขาว่า ‘พระผู้เป็นเจ้ากล่าวดังนี้ “ที่ใดก็ตามที่สุนัขเลียเลือดของนาโบท มันก็จะเลียเลือดของเจ้าที่นั่น”’”
20 อาหับบอกเอลียาห์ว่า “ศัตรูของเราก็ได้พบเราแล้วหรือนี่” ท่านตอบว่า “ข้าพเจ้าได้พบท่านแล้ว เพราะว่าท่านมุ่งมั่นกระทำสิ่งที่ชั่วร้ายในสายตาของพระผู้เป็นเจ้า 21 ดังนั้น พระผู้เป็นเจ้าจะให้ภัยอันตรายเกิดขึ้นกับเจ้า และจะตัดขาดทุกคนในอิสราเอลที่เป็นชายออกจากอาหับ ไม่ว่าทาสหรือคนที่เป็นอิสระ 22 และเราจะทำให้พงศ์พันธุ์ของเจ้าเหมือนกับพงศ์พันธุ์ของเยโรโบอัมบุตรของเนบัท[j] และเหมือนกับพงศ์พันธุ์ของบาอาชาบุตรของอาหิยาห์[k] เพราะเจ้ายั่วโทสะเรา และเป็นเหตุให้อิสราเอลกระทำบาป 23 และพระผู้เป็นเจ้ากล่าวถึงเยเซเบลด้วยว่า ‘สุนัขจะกินร่างของเยเซเบลภายในกำแพงเมืองของยิสเรเอล’ 24 สุนัขจะกินร่างของคนในครอบครัวของอาหับที่ตายในเมือง และนกในอากาศจะกินร่างของคนตายในทุ่งโล่ง”
อาหับกลับใจ
25 (ไม่มีผู้ใดที่มุ่งมั่นกระทำสิ่งที่ชั่วร้ายในสายตาของพระผู้เป็นเจ้าเท่ากับอาหับ ด้วยการสนับสนุนยุยงจากเยเซเบลภรรยาของท่าน 26 ท่านกระทำสิ่งที่น่าชังยิ่งนัก ด้วยการหันไปติดตามรูปเคารพ เหมือนกับที่ชาวอาโมร์ได้กระทำ ซึ่งพระผู้เป็นเจ้าก็ได้ขับไล่ออกไปต่อหน้าชาวอิสราเอล)
27 ครั้นอาหับได้ยินคำพูดดังกล่าว ท่านก็ฉีกเสื้อให้ขาดวิ่น สวมผ้ากระสอบแทน อดอาหาร และสวมผ้ากระสอบนอน และก้าวเดินช้าๆ ด้วยใจหดหู่ 28 พระผู้เป็นเจ้ากล่าวผ่านเอลียาห์ชาวทิชบีว่า 29 “เจ้าเห็นไหมว่าอาหับถ่อมตัวต่อหน้าเราอย่างไร เป็นเพราะว่าเขาถ่อมตัวลงต่อหน้าเรา เราจะไม่ทำให้ภัยอันตรายเกิดขึ้นในชั่วชีวิตของเขา แต่เราจะทำให้ภัยอันตรายเกิดขึ้นกับพงศ์พันธุ์ของเขาในชั่วชีวิตของบุตรของเขา”
อาหับและผู้เผยคำกล่าวจอมปลอม
22 ไม่มีการสู้รบระหว่างอารัมและอิสราเอลเป็นเวลา 3 ปี 2 แต่ในปีที่สาม เยโฮชาฟัทกษัตริย์แห่งยูดาห์ลงมาเยี่ยมเยียนกษัตริย์แห่งอิสราเอล 3 กษัตริย์แห่งอิสราเอลบอกบรรดาเจ้าหน้าที่ว่า “พวกท่านทราบไหมว่า ราโมทกิเลอาดเป็นของเรา และเราก็นิ่งเงียบไว้ และไม่ได้เอามาจากมือของกษัตริย์แห่งอารัม” 4 และท่านถามเยโฮชาฟัทว่า “ท่านจะไปสู้รบที่ราโมทกิเลอาดด้วยกันกับเราไหม” เยโฮชาฟัทตอบกษัตริย์แห่งอิสราเอลว่า “เราพร้อมจะไปอย่างแน่นอน ทหารของเราก็เป็นเหมือนทหารของท่าน ม้าของเราก็เป็นเหมือนม้าของท่าน”
5 และเยโฮชาฟัทพูดกับกษัตริย์แห่งอิสราเอลว่า “ขอให้ท่านถามพระผู้เป็นเจ้าก่อน” 6 กษัตริย์แห่งอิสราเอลจึงเรียกประชุมบรรดาผู้เผยคำกล่าวประมาณ 400 คน และถามว่า “เราควรจะไปโจมตีราโมทกิเลอาด หรือว่าเราควรจะยั้งไว้ก่อน” เขาทั้งหลายตอบว่า “ขึ้นไปเถิด เพราะว่าพระผู้เป็นเจ้าจะมอบเมืองนั้นไว้ในมือของกษัตริย์” 7 แต่เยโฮชาฟัทถามว่า “ที่นี่ไม่มีผู้เผยคำกล่าวของพระผู้เป็นเจ้าที่พวกเราจะถามได้อีกหรือ” 8 กษัตริย์แห่งอิสราเอลพูดกับเยโฮชาฟัทว่า “ยังมีอีกคนที่พวกเราจะถามพระผู้เป็นเจ้าผ่านเขาได้ มิคายาห์บุตรของอิมลาห์ แต่เราเกลียดชังเขา เพราะเขาไม่เคยเผยความเกี่ยวกับเราในเรื่องดี มีแต่เรื่องร้าย” และเยโฮชาฟัทพูดว่า “ขอท่านอย่าพูดเช่นนั้นเลย” 9 แล้วกษัตริย์แห่งอิสราเอลก็เรียกขันทีคนหนึ่งมา และสั่งว่า “พามิคายาห์บุตรของอิมลาห์มาโดยด่วน” 10 กษัตริย์แห่งอิสราเอลและเยโฮชาฟัทกษัตริย์แห่งยูดาห์ก็กำลังนั่งบนบัลลังก์ ทรงเครื่องด้วยเสื้อคลุมของกษัตริย์ อยู่ที่ลานนวดข้าว ที่ทางเข้าของประตูเมืองสะมาเรีย และบรรดาผู้เผยคำกล่าวก็กำลังเผยความต่อหน้าท่านทั้งสอง 11 เศเดคียาห์บุตรเค-นาอะนาห์ ได้ทำเขาสัตว์ด้วยเหล็กกล้าคู่หนึ่ง เขาพูดว่า “พระผู้เป็นเจ้ากล่าวว่า ‘เจ้าจะโจมตีชาวอารัมจนกระทั่งพวกเขาพินาศไปด้วยเขาสัตว์นี้’” 12 และบรรดาผู้เผยคำกล่าวเห็นด้วย และพูดว่า “จงขึ้นไปโจมตีราโมทกิเลอาด และท่านจะชนะ พระผู้เป็นเจ้าจะมอบเมืองนั้นไว้ในมือของกษัตริย์”
มิคายาห์กล่าวคัดค้านอาหับ
13 ผู้ถือสาสน์เป็นคนที่ไปเรียกมิคายาห์ให้มา และบอกเขาว่า “ดูเถิด บรรดาผู้เผยคำกล่าวพูดกันเป็นเสียงเดียวถึงเรื่องของกษัตริย์ในทางที่ดีงาม” 14 แต่มิคายาห์พูดว่า “ตราบที่พระผู้เป็นเจ้ามีชีวิตอยู่ฉันใด พระผู้เป็นเจ้าบอกข้าพเจ้าอย่างไร ข้าพเจ้าก็จะพูดไปตามนั้น” 15 เมื่อเขามาเข้าเฝ้ากษัตริย์ กษัตริย์กล่าวกับเขาว่า “มิคายาห์ พวกเราควรจะไปโจมตีราโมทกิเลอาด หรือว่าเราควรจะยั้งไว้ก่อน” เขาตอบกษัตริย์ว่า “ขึ้นไปเถิด และท่านจะชนะ พระผู้เป็นเจ้าจะมอบเมืองนั้นไว้ในมือของกษัตริย์” 16 แต่กษัตริย์กล่าวกับเขาว่า “เราควรจะให้ท่านสาบานกี่ครั้งว่า ท่านพูดแต่ความจริงกับเราในพระนามของพระผู้เป็นเจ้า” 17 มิคายาห์จึงตอบว่า “ข้าพเจ้าเห็นทหารอิสราเอลทั้งปวงกระจัดกระจายอยู่บนภูเขา ประหนึ่งฝูงแกะที่ปราศจากผู้เลี้ยงดู และพระผู้เป็นเจ้ากล่าวว่า ‘คนเหล่านี้ขาดเจ้านาย ปล่อยให้ทุกคนกลับบ้านไปด้วยความปลอดภัยเถิด’” 18 และกษัตริย์แห่งอิสราเอลกล่าวกับเยโฮชาฟัทว่า “เราบอกท่านแล้วมิใช่หรือว่า เขาจะไม่ประกาศสิ่งดีใดๆ ที่พระเจ้าเปิดเผยให้ทราบ มีแต่เรื่องร้าย” 19 มิคายาห์กล่าวว่า “ฉะนั้นจงฟังคำของพระผู้เป็นเจ้าเถิด ข้าพเจ้าเห็นพระผู้เป็นเจ้าสถิตบนบัลลังก์ของพระองค์ และบรรดาชาวสวรรค์กำลังยืนอยู่ข้างพระองค์ ทั้งที่เบื้องขวาและเบื้องซ้าย 20 และพระผู้เป็นเจ้ากล่าวว่า ‘ใครจะหลอกล่ออาหับให้ไปยังราโมทกิเลอาด เขาจะได้จบชีวิตลงที่นั่น’ ทูตสวรรค์องค์หนึ่งพูดอย่างหนึ่ง และทูตสวรรค์อีกองค์ก็พูดอีกอย่าง 21 ครั้นแล้ว วิญญาณดวงหนึ่งก็มายืน ณ เบื้องหน้าพระผู้เป็นเจ้า และกล่าวว่า ‘ข้าพเจ้าจะไปหลอกล่ออาหับเอง’ 22 และพระผู้เป็นเจ้ากล่าวกับวิญญาณว่า ‘ด้วยวิธีไหน’ วิญญาณตอบว่า ‘ข้าพเจ้าจะไปทำให้บรรดาผู้เผยคำกล่าวของอาหับพูดเท็จ’ พระผู้เป็นเจ้ากล่าวว่า ‘เจ้าจะไปหลอกล่อเขาได้สำเร็จ ไปทำตามนั้นเถิด’ 23 ดังนั้น ดูเถิด พระผู้เป็นเจ้าได้ทำให้บรรดาผู้เผยคำกล่าวของท่านพูดเท็จ เพราะว่าพระผู้เป็นเจ้าบอกล่วงหน้าว่าสิ่งเลวร้ายจะเกิดขึ้นกับท่าน”
24 แล้วเศเดคียาห์บุตรของเค-นาอะนาห์เข้ามาใกล้ และตบหน้ามิคายาห์ และพูดว่า “พระวิญญาณพระผู้เป็นเจ้าจากเราไป และไปพูดกับเจ้าได้อย่างไร” 25 มิคายาห์พูดว่า “ดูเถิด ท่านจะเห็นในวันนั้น เวลาที่ท่านเข้าไปซ่อนตัวในห้องชั้นใน” 26 กษัตริย์แห่งอิสราเอลกล่าวว่า “จงจับตัวมิคายาห์ไว้ และพาตัวกลับไปให้อาโมน ผู้ว่าราชการเมือง และโยอาชบุตรของกษัตริย์ 27 และบอกว่า ‘กษัตริย์กล่าวดังนี้ “จำคุกชายคนนี้เสีย และประทังชีวิตเขาด้วยขนมปังและน้ำเท่านั้น จนกว่าเราจะมาอย่างปลอดภัย”’” 28 และมิคายาห์พูดว่า “ถ้าท่านกลับมาอย่างปลอดภัย พระผู้เป็นเจ้าก็ไม่ได้กล่าวผ่านข้าพเจ้า” และพูดต่ออีกว่า “ขอให้ท่านทุกคนฟังไว้เถิด”
อาหับถูกฆ่าในสนามรบ
29 ดังนั้น กษัตริย์แห่งอิสราเอลและเยโฮชาฟัทกษัตริย์แห่งยูดาห์ก็ไปโจมตีเมืองราโมทกิเลอาด 30 กษัตริย์แห่งอิสราเอลกล่าวกับเยโฮชาฟัทว่า “เราจะปลอมตัวเข้าไปในสนามรบ ส่วนท่านก็สวมเสื้อคลุมของกษัตริย์ไป” ดังนั้นกษัตริย์แห่งอิสราเอลจึงปลอมตัวเข้าไปในสนามรบ 31 ฝ่ายกษัตริย์แห่งอารัมได้สั่งผู้บัญชาการรถศึก 32 คนว่า “ไม่ต้องต่อสู้กับผู้ใดเลย นอกจากกษัตริย์แห่งอิสราเอลเท่านั้น” 32 เมื่อบรรดาผู้บัญชาการรถศึกเห็นเยโฮชาฟัท ก็พูดว่า “นั่นต้องเป็นกษัตริย์แห่งอิสราเอลแน่” และพวกเขาจึงหันไปโจมตีท่าน และเยโฮชาฟัทก็ส่งเสียงร้อง 33 ครั้นผู้บัญชาการรถศึกทราบว่า ท่านไม่ใช่กษัตริย์แห่งอิสราเอล จึงได้ถอยกลับ และหยุดตามไล่ฆ่าท่าน 34 แต่ชายผู้หนึ่งสุ่มยิงธนูออกไป ลูกธนูเจาะระหว่างเกราะป้องกันตัวกับเกราะหุ้มหน้าอกกษัตริย์แห่งอิสราเอล ดังนั้นท่านสั่งสารถีของท่านว่า “หันกลับไป พาเราออกจากสนามรบ เพราะเราบาดเจ็บ” 35 การสู้รบในวันนั้นก็ดำเนินต่อไป และกษัตริย์ถูกพยุงตัวขึ้นในรถศึกโดยหันหน้าไปทางชาวอารัม พอตกเย็นท่านก็เสียชีวิต เลือดจากบาดแผลไหลลงบนพื้นรถศึก 36 ประมาณเวลาตะวันตกดินก็มีเสียงร้องไปทั่วกองทัพว่า “ให้ต่างคนต่างกลับไปเมืองของตน และให้ต่างคนต่างกลับไปประเทศของตน”
37 ดังนั้นกษัตริย์สิ้นชีวิต และถูกนำร่างไปที่สะมาเรีย และศพถูกบรรจุไว้ในสะมาเรีย 38 เขาล้างรถศึกที่ข้างสระน้ำในสะมาเรีย มีพวกสุนัขมาเลียเลือดของท่าน พวกหญิงโสเภณีก็อาบน้ำในสระนั้น ซึ่งเป็นไปตามคำของพระผู้เป็นเจ้าที่ได้กล่าวไว้ 39 กิจอื่นๆ ทั้งสิ้นของอาหับ และทุกสิ่งที่ท่านกระทำ และวังที่ท่านสร้างซึ่งตกแต่งด้วยงาช้าง และทุกเมืองที่ท่านสร้าง ก็ได้มีบันทึกไว้แล้วในหนังสือแห่งพงศาวดารของบรรดากษัตริย์แห่งอิสราเอลมิใช่หรือ 40 อาหับจึงสิ้นชีวิตและถูกนำไปวางรวมกับบรรพบุรุษของท่าน และอาหัสยาห์บุตรของท่านครองราชย์แทนท่าน
เยโฮชาฟัทครองราชย์ในยูดาห์
41 เยโฮชาฟัทบุตรของอาสาเริ่มเป็นกษัตริย์แห่งยูดาห์ในปีที่สี่ของอาหับกษัตริย์แห่งอิสราเอล 42 เยโฮชาฟัทเริ่มเป็นกษัตริย์เมื่อมีอายุ 35 ปี และครองราชย์ในเยรูซาเล็ม 25 ปี มารดาของท่านชื่ออาซูบาห์บุตรหญิงของชิลฮิ 43 ท่านดำเนินชีวิตตามแบบอย่างอาสาบิดาของท่าน ท่านไม่ได้หันเหไปจากนั้น กระทำสิ่งที่ถูกต้องในสายตาของพระผู้เป็นเจ้า แต่สถานบูชาบนภูเขาสูงยังไม่ถูกกำจัดไป และประชาชนยังมอบเครื่องสักการะและเผาเครื่องหอมที่สถานบูชาบนภูเขาสูง 44 เยโฮชาฟัทยอมสงบศึกกับกษัตริย์แห่งอิสราเอลด้วย
45 กิจอื่นๆ ทั้งสิ้นของเยโฮชาฟัท และความสำเร็จด้านยุทธการที่แสดงให้เห็นว่าท่านสู้รบอย่างไร ก็มีเขียนไว้แล้วในหนังสือแห่งพงศาวดารของบรรดากษัตริย์แห่งยูดาห์มิใช่หรือ 46 และท่านกำจัดพวกโสเภณีชายประจำวิหารที่หลงเหลืออยู่ตั้งแต่สมัยของอาสาบิดาของท่าน ให้หมดสิ้นไปจากแผ่นดิน
47 ในแผ่นดินเอโดมไม่มีกษัตริย์ มีเพียงผู้สำเร็จราชการทำหน้าที่แทน 48 เยโฮชาฟัทต่อกองเรือเดินทะเลของเมืองทาร์ชิชหลายลำ เพื่อไปบรรทุกทองคำจากโอฟีร์ แต่ไปไม่ถึง เพราะเรือแตกที่เอซีโอนเกเบอร์ 49 แล้วอาหัสยาห์บุตรของอาหับพูดกับเยโฮชาฟัทว่า “ให้คนของเราออกเรือไปกับคนของท่านเถิด” แต่เยโฮชาฟัทปฏิเสธ 50 เยโฮชาฟัทสิ้นชีวิตและถูกนำไปวางรวมกับบรรพบุรุษของท่าน ศพถูกบรรจุไว้ในเมืองของดาวิดบรรพบุรุษของท่าน และเยโฮรัมบุตรของท่านครองราชย์แทนท่าน
อาหัสยาห์ครองราชย์ในอิสราเอล
51 อาหัสยาห์บุตรของอาหับเริ่มเป็นกษัตริย์แห่งอิสราเอลในสะมาเรีย ในปีที่สิบเจ็ดของเยโฮชาฟัทกษัตริย์แห่งยูดาห์ ท่านครองราชย์ได้ 2 ปีในอิสราเอล 52 ท่านกระทำสิ่งที่ชั่วร้ายในสายตาของพระผู้เป็นเจ้า และดำเนินชีวิตตามแบบอย่างบิดาของท่าน ตามอย่างมารดาของท่าน และตามอย่างเยโรโบอัมบุตรเนบัทผู้เป็นเหตุให้อิสราเอลกระทำบาป 53 ท่านบูชาและนมัสการเทพเจ้าบาอัล ซึ่งเป็นการยั่วโทสะพระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของอิสราเอล ในทุกวิถีทางที่บิดาของท่านได้ทำ
เอลียาห์ตำหนิอาหัสยาห์
1 หลังจากอาหับสิ้นชีวิตแล้ว โมอับก็แข็งข้อต่ออิสราเอล
2 อาหัสยาห์พลัดตกทะลุไม้บานเกล็ดในห้องดาดฟ้าของท่านที่เมืองสะมาเรีย จึงนอนเจ็บ ท่านสั่งบรรดาผู้ส่งข่าวว่า “จงไปถามบาอัลเซบูบ เทพเจ้าแห่งเอโครนว่า เราจะหายจากการล้มป่วยครั้งนี้หรือไม่” 3 แต่ทูตสวรรค์ของพระผู้เป็นเจ้าบอกเอลียาห์ชาวทิชบีว่า “ไปเถิด ไปพบกับบรรดาผู้ส่งข่าวของกษัตริย์แห่งสะมาเรีย และบอกเขาว่า ‘ไม่มีพระเจ้าในอิสราเอลหรือ ท่านจึงจะไปถามบาอัลเซบูบเทพเจ้าแห่งเอโครน’ 4 ฉะนั้น พระผู้เป็นเจ้ากล่าวดังนี้ว่า ‘เจ้าจะไม่ได้ลุกขึ้นจากเตียงที่เจ้านอนอยู่ แต่เจ้าจะสิ้นชีวิตอย่างแน่นอน’” เอลียาห์ก็จากไป
5 บรรดาผู้ส่งข่าวกลับมาหากษัตริย์ และท่านถามพวกเขาว่า “เจ้ากลับมาทำไม” 6 พวกเขาตอบท่านว่า “มีชายผู้หนึ่งมาพบกับพวกเรา และพูดว่า ‘จงกลับไปหากษัตริย์ที่ส่งเจ้ามา และบอกท่านว่า พระผู้เป็นเจ้ากล่าวดังนี้ ไม่มีพระเจ้าในอิสราเอลหรือ เจ้าจึงส่งให้คนมาถามบาอัลเซบูบเทพเจ้าแห่งเอโครน ฉะนั้นเจ้าจะไม่ได้ลุกขึ้นจากเตียงที่เจ้านอนอยู่ แต่เจ้าจะสิ้นชีวิตอย่างแน่นอน’” 7 ท่านถามพวกเขาว่า “คนที่มาพบพวกเจ้าและบอกเรื่องนี้กับเจ้า เป็นคนแบบไหน” 8 พวกเขาตอบท่านว่า “เขาสวมเสื้อขนสัตว์ คาดเอวด้วยหนังสัตว์” ท่านจึงพูดว่า “เขาคือเอลียาห์ชาวทิชบี”
9 และกษัตริย์ให้นายกองกับทหาร 50 คนของเขาไปหาเอลียาห์ นายทหารก็ขึ้นไปหาเอลียาห์ ซึ่งกำลังนั่งอยู่บนยอดเขา และพูดกับท่านว่า “โอ คนของพระเจ้า กษัตริย์กล่าวว่า ‘ลงมาเถิด’” 10 แต่เอลียาห์ตอบนายทหารว่า “ถ้าเราเป็นคนของพระเจ้า ก็ขอให้ไฟลงมาจากสวรรค์ และเผาผลาญเจ้าและคนทั้งห้าสิบของเจ้า” ครั้นแล้ว ไฟก็ลงมาจากสวรรค์ และเผาผลาญเขากับคนทั้งห้าสิบ
11 กษัตริย์ก็ให้นายกองอีกคนหนึ่งไปกับทหาร 50 คนของเขาไปหาเอลียาห์ เขาก็ตอบและพูดกับท่านว่า “โอ คนของพระเจ้า นี่เป็นคำสั่งของกษัตริย์ ‘ลงมาเร็วๆ เถิด’” 12 แต่เอลียาห์ตอบว่า “ถ้าเราเป็นคนของพระเจ้า ก็ให้ไฟลงมาจากสวรรค์ และเผาผลาญเจ้าและคนทั้งห้าสิบของเจ้า” ครั้นแล้ว ไฟก็ลงมาจากสวรรค์ และเผาผลาญเขากับคนทั้งห้าสิบ
13 กษัตริย์ก็ให้นายกองคนที่สามกับทหาร 50 คนของเขาไปหาเอลียาห์ และนายกองคนที่สามกับทหารทั้งห้าสิบของเขาก็ขึ้นไป และเมื่อมาถึงก็คุกเข่าลงที่เบื้องหน้าเอลียาห์ และขอร้องท่านว่า “โอ คนของพระเจ้า กรุณาเถิด ไว้ชีวิตข้าพเจ้าและชีวิตของผู้รับใช้ 50 คนของท่านเถิด 14 ดูเถิด ไฟได้ลงมาจากสวรรค์ และเผาผลาญนายทหาร 2 คนที่แล้วกับทหารของเขา แต่บัดนี้โปรดไว้ชีวิตข้าพเจ้า” 15 และทูตสวรรค์ของพระผู้เป็นเจ้าพูดกับเอลียาห์ว่า “จงลงไปกับเขา อย่ากลัวเขาเลย” ดังนั้นท่านจึงลงไปหากษัตริย์พร้อมกับเขา 16 ท่านทูลกษัตริย์ว่า “พระผู้เป็นเจ้ากล่าวดังนี้ว่า ‘เพราะว่าเจ้าได้ให้ผู้ส่งข่าวไปถามบาอัลเซบูบเทพเจ้าแห่งเอโครน ไม่มีพระเจ้าในอิสราเอลที่เจ้าจะขอคำปรึกษาหรือ ฉะนั้น เจ้าจะไม่ได้ลุกขึ้นจากเตียงที่เจ้านอน แต่เจ้าจะเสียชีวิตอย่างแน่นอน’”
17 ดังนั้นท่านจึงสิ้นชีวิต ตามคำของพระผู้เป็นเจ้า ที่เอลียาห์พูดไว้ โยรัมครองราชย์แทนท่านในปีที่สองของเยโฮรัมบุตรเยโฮชาฟัทกษัตริย์แห่งยูดาห์ 18 กิจอื่นๆ ทั้งสิ้นของอาหัสยาห์ ก็ได้มีบันทึกไว้แล้วในหนังสือแห่งพงศาวดารของบรรดากษัตริย์แห่งอิสราเอลมิใช่หรือ
พระเจ้ารับเอลียาห์ขึ้นสู่สวรรค์
2 เมื่อใกล้จะถึงเวลาที่พระผู้เป็นเจ้าให้พายุหมุนรับเอลียาห์ขึ้นสู่สวรรค์ เอลียาห์และเอลีชาก็กำลังเดินทางออกมาจากกิลกาล 2 เอลียาห์พูดกับเอลีชาว่า “ขอท่านอยู่ที่นี่ เพราะว่าพระผู้เป็นเจ้าได้ใช้ข้าพเจ้าไปไกลถึงเบธเอล” แต่เอลีชาพูดว่า “ตราบที่พระผู้เป็นเจ้ามีชีวิตอยู่ฉันใด และตราบที่ท่านมีชีวิตอยู่ฉันใด ข้าพเจ้าจะไม่ไปจากท่าน” ดังนั้นทั้งสองจึงเดินทางลงไปถึงเบธเอล 3 กลุ่มผู้เผยคำกล่าวของพระเจ้า ที่อยู่ในเบธเอลออกมาพบกับเอลีชา และพูดกับท่านว่า “ท่านทราบไหมว่า ในวันนี้พระผู้เป็นเจ้าจะรับผู้นำของท่านไปจากท่าน” ท่านตอบว่า “ข้าพเจ้าทราบแล้ว อย่าพูดถึงเรื่องนี้กันเลย”
4 เอลียาห์พูดกับท่านว่า “เอลีชา ขอท่านอยู่ที่นี่ เพราะว่าพระผู้เป็นเจ้าได้ใช้ข้าพเจ้าไปที่เยรีโค” แต่ท่านตอบว่า “ตราบที่พระผู้เป็นเจ้ามีชีวิตอยู่ฉันใด และตราบที่ท่านมีชีวิตอยู่ฉันใด ข้าพเจ้าจะไม่ไปจากท่าน” ดังนั้นทั้งสองจึงเดินทางไปยังเยรีโค 5 บรรดาผู้เผยคำกล่าวของพระเจ้า ที่อยู่ในเยรีโคออกมาพบกับเอลีชา และพูดกับท่านว่า “ท่านทราบไหมว่า ในวันนี้พระผู้เป็นเจ้าจะรับผู้นำของท่านไปจากท่าน” ท่านตอบว่า “ข้าพเจ้าทราบแล้ว อย่าพูดถึงเรื่องนี้กันเลย”
6 เอลียาห์พูดกับท่านว่า “ขอท่านอยู่ที่นี่ เพราะว่าพระผู้เป็นเจ้าได้ใช้ข้าพเจ้าไปที่แม่น้ำจอร์แดน” แต่ท่านตอบว่า “ตราบที่พระผู้เป็นเจ้ามีชีวิตอยู่ฉันใด และตราบที่ท่านมีชีวิตอยู่ฉันใด ข้าพเจ้าจะไม่ไปจากท่าน” ดังนั้นทั้งสองจึงเดินทางต่อไป 7 บรรดาผู้เผยคำกล่าวของพระเจ้า 50 คนก็ไปด้วย และยืนห่างออกไประยะหนึ่ง ขณะที่ทั้งสองท่านยืนอยู่ริมฝั่งแม่น้ำจอร์แดน 8 ครั้นแล้วเอลียาห์ก็ม้วนเสื้อคลุมของท่าน และฟาดลงไปในน้ำ น้ำก็แยกออกเป็นสองข้าง ทั้งสองจึงเดินบนดินแห้งผ่านไปได้
9 เมื่อทั้งสองข้ามไปแล้ว เอลียาห์พูดกับเอลีชาว่า “ท่านอยากให้ข้าพเจ้าทำอะไรให้ท่าน ก่อนที่ข้าพเจ้าจะถูกรับตัวไปจากท่าน” เอลีชาตอบว่า “ขอให้ข้าพเจ้าได้รับของประทานฝ่ายวิญญาณของท่านเป็นสองเท่าเถิด” 10 ท่านตอบว่า “ท่านขอสิ่งที่เป็นไปได้ยาก แต่ถึงกระนั้น ถ้าท่านเห็นข้าพเจ้าในเวลาที่ข้าพเจ้าถูกรับตัวไป ท่านก็จะได้รับตามคำขอ แต่ถ้าท่านไม่เห็นข้าพเจ้าในเวลานั้น ท่านก็จะไม่ได้รับตามคำขอ” 11 และขณะที่ทั้งสองเดินไปและสนทนากันไปนั้น ดูเถิด มีรถศึกกับม้าที่ลุกเป็นไฟมาคั่นกลางระหว่างท่านทั้งสอง และเอลียาห์ขึ้นสู่สวรรค์พร้อมกับพายุหมุน 12 เอลีชาเห็นทุกสิ่งที่เกิดขึ้นจึงร้องขึ้นว่า “ท่านพ่อของข้าพเจ้า ท่านพ่อของข้าพเจ้า รถศึกของอิสราเอลกับเหล่าทหารม้า” แล้วท่านก็มองไม่เห็นเอลียาห์อีกเลย
แล้วเอลีชาก็ฉีกเสื้อของตนออกเป็นสองท่อน 13 และหยิบเสื้อคลุมของเอลียาห์ที่หล่นลงมา และท่านกลับไปยืนอยู่ริมฝั่งแม่น้ำจอร์แดน 14 แล้วท่านใช้เสื้อคลุมของเอลียาห์ที่หล่นลงมา ฟาดลงไปในน้ำ และพูดว่า “พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของเอลียาห์อยู่ที่ไหน” เมื่อท่านฟาดน้ำ น้ำก็แยกออกเป็นสองข้าง เอลีชาจึงเดินผ่านไปได้
เอลีชาแทนเอลียาห์
15 บรรดาผู้เผยคำกล่าวของพระเจ้า ซึ่งอยู่ที่เยรีโคเห็นท่านอยู่ฝั่งตรงข้าม จึงพูดว่า “วิญญาณของเอลียาห์อยู่กับเอลีชา” พวกเขาพากันมาพบท่าน และก้มกราบเบื้องหน้าท่าน 16 เขาเหล่านั้นพูดกับเอลีชาว่า “ดูเถิด มีผู้รับใช้ที่เก่งกล้า 50 คนอยู่ที่นี่ โปรดให้พวกเขาไปเสาะหาเอลียาห์ อาจจะเป็นไปได้ที่พระวิญญาณของพระผู้เป็นเจ้าพาท่านไปทิ้งไว้ที่ใดที่หนึ่งบนภูเขาหรือหุบเขา” เอลีชาตอบว่า “พวกท่านอย่าไปเลย” 17 แต่เมื่อเขาเหล่านั้นเร่งเร้าจนท่านปฏิเสธไม่ได้ ท่านจึงพูดว่า “พวกท่านไปเถิด” เขาเหล่านั้นจึงส่งชาย 50 คนไป ซึ่งก็ได้เสาะหาเอลียาห์ 3 วัน แต่ก็ไม่พบท่าน 18 และกลับมาหาท่านขณะที่ท่านยังพักอยู่ที่เยรีโค ท่านพูดว่า “เราบอกท่านแล้วมิใช่หรือว่า อย่าไป”
19 ประชาชนในเมืองพูดกับเอลีชาว่า “ดูเถิด สถานการณ์ของเมืองนี้ก็ดีอยู่ เท่าที่นายท่านก็เห็น แต่ว่าน้ำเสีย และแผ่นดินก็ไม่อำนวยผล” 20 ท่านบอกว่า “เอาชามใหม่ๆ มาให้เราใบหนึ่ง ใส่เกลือมาด้วย” พวกเขาก็นำมาให้ท่าน 21 ท่านก็ไปที่น้ำพุ และโยนเกลือลงในนั้น และพูดว่า “พระผู้เป็นเจ้ากล่าวดังนี้ว่า ‘เราทำให้น้ำในนี้ดีแล้ว ตั้งแต่นี้ไปจะไม่มีใครตายหรือแท้งลูกเพราะน้ำจากที่นี่อีกต่อไป’” 22 ดังนั้น น้ำจากที่นั่นก็อยู่ในสภาพดีมาจนถึงทุกวันนี้ ตามคำที่เอลีชาพูด
23 จากนั้นท่านก็ขึ้นไปยังเบธเอล และขณะที่ท่านกำลังเดินทางขึ้นไป ก็มีเด็กผู้ชายกลุ่มหนึ่งออกมาจากเมืองนั้น และล้อเลียนท่านว่า “ขึ้นไปสิ ไอ้หัวล้าน ขึ้นไปสิ ไอ้หัวล้าน” 24 เมื่อท่านหันกลับมาเห็นเด็กพวกนั้น ท่านก็สาปแช่งพวกเขาในพระนามของพระผู้เป็นเจ้า แล้วก็มีหมีตัวเมีย 2 ตัวออกมาจากป่า ขย้ำเด็กทั้ง 42 คน 25 และท่านไปจากที่นั่น ไปยังภูเขาคาร์เมล และหลังจากนั้นจึงกลับไปยังสะมาเรีย
โมอับแข็งข้อต่ออิสราเอล
3 ในปีที่สิบแปดของเยโฮชาฟัทกษัตริย์แห่งยูดาห์ โยรัมบุตรอาหับเป็นกษัตริย์ปกครองอิสราเอลในสะมาเรีย ท่านครองราชย์ 12 ปี 2 ท่านกระทำสิ่งที่ชั่วร้ายในสายตาของพระผู้เป็นเจ้า แต่ก็ยังไม่เท่ากับที่บิดาและมารดาของท่านกระทำ เพราะว่าท่านกำจัดเสาหินเทวรูปบาอัลที่บิดาของท่านได้สร้างไว้ 3 แม้กระนั้น ท่านก็ยังทำบาปทำนองเดียวกับเยโรโบอัมบุตรเนบัท อันเป็นเหตุให้อิสราเอลทำบาป ท่านไม่ได้เลิกจากการทำบาป
4 ส่วนเม-ชากษัตริย์แห่งโมอับเป็นผู้เพาะพันธุ์แกะ ท่านต้องมอบลูกแกะ 100,000 ตัว และมอบขนจากแกะตัวผู้ 100,000 ตัว ให้แก่กษัตริย์แห่งอิสราเอล 5 แต่เมื่ออาหับสิ้นชีวิตแล้ว กษัตริย์แห่งโมอับจึงแข็งข้อต่อกษัตริย์แห่งอิสราเอล 6 ในครั้งนั้น กษัตริย์โยรัมจึงยกทัพจากสะมาเรีย โดยรวบรวมกำลังทหารอิสราเอลทั้งหมด 7 และท่านส่งข่าวไปยังเยโฮชาฟัทกษัตริย์แห่งยูดาห์ว่า “กษัตริย์แห่งโมอับได้แข็งข้อต่อเรา ท่านจะไปโจมตีโมอับร่วมกับเราไหม” ท่านตอบว่า “เราจะไปด้วย เราก็เป็นเหมือนท่าน ทหารของเราก็เป็นเหมือนทหารของท่าน ม้าของเราก็เป็นเหมือนม้าของท่าน” 8 ท่านถามว่า “แล้วเราจะเดินทัพกันไปทางไหน” โยรัมตอบว่า “ไปทางถิ่นทุรกันดารของเอโดม”
9 ดังนั้น กษัตริย์แห่งอิสราเอลจึงไปกับกษัตริย์แห่งยูดาห์และกษัตริย์แห่งเอโดม หลังจากที่ได้เดินจนรอบเป็นเวลา 7 วันแล้ว น้ำสำหรับกองทัพและสัตว์ที่ไปด้วยก็หมด 10 กษัตริย์แห่งอิสราเอลจึงพูดว่า “โอ พระผู้เป็นเจ้าได้เรียกกษัตริย์ทั้งสามนี้มา เพื่อมอบไว้ในมือของโมอับ” 11 เยโฮชาฟัทถามว่า “ที่นี่ไม่มีผู้เผยคำกล่าวของพระผู้เป็นเจ้าที่พวกเราจะได้ปรึกษาพระผู้เป็นเจ้าผ่านท่านหรือ” ผู้รับใช้คนหนึ่งของกษัตริย์แห่งอิสราเอลตอบว่า “เอลีชาบุตรชาฟัทอยู่ที่นี่ ท่านเคยเป็นผู้ติดตามใกล้ชิดของเอลียาห์” 12 เยโฮชาฟัทพูดว่า “พระผู้เป็นเจ้ากล่าวผ่านท่าน” ดังนั้นกษัตริย์แห่งอิสราเอล และเยโฮชาฟัท และกษัตริย์แห่งเอโดมจึงไปหาท่าน
13 เอลีชาพูดกับกษัตริย์แห่งอิสราเอลว่า “ข้าพเจ้าเกี่ยวข้องอย่างไรกับเรื่องของท่าน ท่านไปหาบรรดาผู้เผยคำกล่าวของบิดาของท่าน และของมารดาของท่านเถิด” แต่กษัตริย์แห่งอิสราเอลพูดกับท่านว่า “ไม่หรอก เพราะว่าพระผู้เป็นเจ้า ผู้ที่เรียกพวกเรากษัตริย์ทั้งสามมาเพื่อมอบไว้ในมือของโมอับ” 14 เอลีชาพูดว่า “ตราบที่พระผู้เป็นเจ้าจอมโยธามีชีวิตอยู่ฉันใด ข้าพเจ้ายืนอยู่ ณ เบื้องหน้าพระองค์ หากว่าข้าพเจ้าไม่ได้เคารพต่อเยโฮชาฟัทกษัตริย์แห่งยูดาห์แล้ว ข้าพเจ้าจะไม่มองท่าน หรือแม้แต่จะสังเกตเห็นท่านเลย 15 แต่บัดนี้ ขอท่านพาผู้เล่นเครื่องสายมาให้ข้าพเจ้าคนหนึ่ง” และเมื่อผู้เล่นเครื่องสายบรรเลง มือของพระผู้เป็นเจ้าก็สถิตกับเอลีชา 16 ท่านพูดว่า “พระผู้เป็นเจ้ากล่าวว่า ‘เราจะทำหุบเขาที่แห้งแห่งนี้เป็นแอ่งเก็บน้ำเต็มไปหมด’ 17 เพราะพระผู้เป็นเจ้ากล่าวว่า ‘เจ้าจะไม่เห็นลมหรือฝน แต่ว่าหุบเขาที่แห้งนั้นจะมีน้ำขังเต็มไปหมด เพื่อให้ท่านดื่ม ท่านและฝูงโค และพวกสัตว์เลี้ยงของท่าน’ 18 นี่เป็นเรื่องเล็กน้อยในสายตาของพระผู้เป็นเจ้า พระองค์ยังจะมอบชาวโมอับไว้ในมือของท่านด้วย 19 ท่านจะโจมตีเมืองที่ถูกคุ้มกันไว้อย่างแข็งแกร่งได้ทุกเมือง และทุกเมืองที่ท่านพึงปรารถนา ท่านจะโค่นต้นไม้ดีทุกต้น ถมบ่อน้ำพุทุกแห่ง และเอาหินไปโยนทิ้งในไร่นาที่อุดมสมบูรณ์ทุกแห่งจนเสียหาย” 20 วันรุ่งขึ้น เมื่อถึงเวลาถวายเครื่องบูชา ดูเถิด มีน้ำไหลมาจากทางเขตแดนเอโดม จนทั่วอาณาเขตมีน้ำขังเต็มไปหมด
21 เมื่อชาวโมอับทุกคนได้ยินว่าบรรดากษัตริย์มาโจมตีพวกเขา ทุกคนที่รูปร่างใหญ่พอที่จะสวมเกราะต่อสู้ได้ตั้งแต่คนที่หนุ่มสุดจนชราสุด ก็ถูกเกณฑ์ไปประจำตำแหน่งที่พรมแดน 22 เมื่อเขาเหล่านั้นลุกขึ้นแต่เช้าตรู่ ดวงอาทิตย์ส่องแสงบนน้ำ ชาวโมอับเห็นน้ำที่อยู่ข้างหน้าพวกเขาเป็นสีแดงเลือด 23 พวกเขาพูดว่า “นั่นคือเลือด บรรดากษัตริย์คงได้ต่อสู้กัน และก็ฆ่ากันเองเป็นแน่ ฉะนั้นพวกเราชาวโมอับ ไปริบข้าวของกันเถอะ” 24 แต่เมื่อพวกเขามาถึงค่ายอิสราเอล ชาวอิสราเอลจึงได้เริ่มต่อสู้กับชาวโมอับ จนพวกเขาหนีไป และชาวอิสราเอลก็ยังรุกรานไล่ฆ่าชาวโมอับต่อไป 25 และพวกเขาได้ทำลายเมืองต่างๆ แต่ละคนโยนหินเข้าไปในไร่นาที่อุดมทุกแห่งจนเต็มพื้นที่ พวกเขาอุดน้ำพุทุกแห่งให้หยุดไหล โค่นต้นไม้ดีทุกต้น สิ่งที่ยังเหลืออยู่ก็มีเพียงกำแพงหินที่เมืองคีร์หะเรเซท แต่เหล่านักสลิงก็ล้อมและโจมตีเมืองนั้นได้ 26 เมื่อกษัตริย์แห่งโมอับเห็นว่าการต่อสู้ครั้งนี้เกินกำลังของท่าน ท่านจึงใช้พลดาบ 700 คน ออกไปตีฝ่าแนวหน้าของกษัตริย์แห่งเอโดม แต่ก็ตีฝ่าไปไม่สำเร็จ 27 ท่านจึงมอบตัวบุตรชายหัวปีผู้ที่จะครองราชย์แทนท่าน ให้เป็นเครื่องเผาบูชาบนกำแพงเมือง ความเกรี้ยวโกรธจึงพลุ่งขึ้นต่ออิสราเอล พวกเขาจึงถอยทัพ และกลับไปยังบ้านเมืองของตน
เอลีชาและน้ำมันของหญิงม่าย
4 ภรรยาของผู้หนึ่งที่อยู่ในกลุ่มผู้เผยคำกล่าวของพระเจ้าร้องต่อเอลีชาว่า “ผู้รับใช้ของท่าน คือสามีของฉันเสียชีวิต และท่านก็ทราบว่าผู้รับใช้ของท่านยำเกรงพระผู้เป็นเจ้า แต่เจ้าหนี้กำลังจะมายึดเอาลูกทั้งสองของฉันไปเป็นทาสของเขา” 2 เอลีชาถามนางว่า “จะให้ฉันทำอะไรให้เจ้าล่ะ บอกฉันมาว่า เจ้ามีอะไรในบ้านบ้าง” นางตอบว่า “ผู้รับใช้ของท่านไม่มีอะไรในบ้าน นอกจากน้ำมันเพียงเล็กน้อย” 3 ท่านบอกว่า “ออกไปหาเพื่อนบ้าน ไปขอยืมไหเปล่าจากทุกคนมาให้มากที่สุดเท่าที่จะหามาได้ 4 แล้วเจ้ากับลูกๆ ก็เข้าบ้านปิดประตูเสีย จงเทน้ำมันใส่ไหเหล่านั้น พอเทเต็มแล้วก็วางแยกไว้” 5 ดังนั้น นางก็ไปทำตามและปิดประตู อยู่ตามลำพังกับลูกของนาง เมื่อนางเทน้ำมัน ลูกๆ ก็จะเอาไหใบอื่นๆ มาให้นางเทใส่อีก 6 ครั้นไหเต็มหมดแล้ว นางบอกลูกว่า “เอาไหอีกใบมา” เขาก็ตอบนางว่า “ไม่มีเหลือแล้ว” และน้ำมันก็หยุดไหล 7 นางมาบอกคนของพระเจ้า และท่านพูดว่า “เอาน้ำมันไปขายใช้หนี้ของเจ้าเสีย ส่วนที่เหลือนั้น ตัวเจ้ากับลูกๆ ก็จะมีไว้เพื่อเลี้ยงชีวิตต่อไป”
เอลีชาและหญิงชาวชูเนม
8 วันหนึ่ง เอลีชาเดินทางต่อไปถึงเมืองชูเนม ซึ่งที่นั่นมีสตรีผู้เป็นที่นับหน้าถือตาคนหนึ่งอาศัยอยู่ นางชักชวนให้ท่านรับประทานอาหาร ดังนั้นเมื่อใดที่ท่านผ่านไปทางนั้น ท่านจะแวะรับประทานอาหารที่นั่น 9 นางพูดกับสามีของนางว่า “ดูเถิด ฉันทราบว่าท่านผู้นี้เป็นคนของพระเจ้า และท่านเดินทางผ่านมาทางบ้านเราเป็นประจำ 10 เรามากั้นห้องเล็กๆ บนดาดฟ้า พร้อมจัดที่นอน โต๊ะ เก้าอี้ กับตะเกียงดวงหนึ่งไว้ เพื่อว่าเวลาท่านมาหาเรา ท่านจะได้ขึ้นไปพักอยู่ที่นั่น”
11 วันหนึ่งท่านก็ไปที่นั่น ท่านเข้าไปในห้องที่เตรียมไว้ และพักผ่อนอยู่ที่นั่น 12 ท่านพูดกับเกหะซีคนรับใช้ของท่านว่า “ช่วยไปเรียกหญิงชาวชูเนมมา” เมื่อเขาไปเรียกนาง นางก็มา 13 ท่านบอกเกหะซีว่า “บอกนางว่า ‘ดูสิ ท่านลำบากเป็นธุระเพื่อพวกเรา ท่านมีสิ่งใดที่จะให้เราช่วยบ้างไหม ท่านมีอะไรที่จะให้เราพูดกับกษัตริย์หรือผู้บังคับกองพันทหารหรือไม่’” นางตอบว่า “ฉันอยู่กับคนรอบข้างของฉัน” 14 ท่านพูดกับคนรับใช้ว่า “แล้วมีอะไรที่เราจะทำให้เธอได้บ้าง” เกหะซีตอบว่า “เธอไม่มีลูกชาย และสามีนางก็ชราแล้ว” 15 ท่านพูดว่า “จงไปเรียกเธอมา” เมื่อเขาเรียกนางแล้ว นางก็ยืนที่หน้าประตู 16 ท่านพูดว่า “นับจากนี้ไปประมาณ 1 ปี ในฤดูนี้ ท่านจะได้โอบกอดลูกชายคนหนึ่ง” นางตอบว่า “อย่าเลย เจ้านายของฉัน โอ คนของพระเจ้า ขอท่านอย่าโกหกฉันเลย” 17 แต่หญิงคนนั้นได้ตั้งครรภ์ และนางคลอดบุตรเป็นชาย ตามเวลาประมาณนั้น คือช่วงฤดูใบไม้ผลิของปีต่อมา อย่างที่เอลีชาได้บอกนาง
เอลีชาทำให้บุตรของชาวชูเนมฟื้นขึ้นมา
18 เมื่อเด็กคนนั้นเติบโตขึ้น อยู่มาวันหนึ่งเขาออกไปหาบิดาของเขาซึ่งกำลังอยู่กับเหล่าคนเกี่ยวข้าว 19 เขาพูดกับบิดาว่า “โอ หัวของลูก หัวของลูก” บิดาบอกคนรับใช้ว่า “อุ้มไปหาแม่ของเขา” 20 เมื่อเขาอุ้มเด็กไปหามารดา เด็กก็นั่งบนตักของนางจนถึงเที่ยงวันแล้วก็สิ้นชีวิต 21 นางจึงอุ้มเด็กขึ้นไป และวางเขาลงบนเตียงของคนของพระเจ้า และปิดประตูทิ้งเขาไว้ แล้วนางก็ออกไป 22 และนางเรียกสามีมา พูดว่า “ขอท่านช่วยจัดการเรียกคนรับใช้ให้ฉันคนหนึ่ง และขอลาตัวหนึ่งด้วย ฉันจะไปหาคนของพระเจ้าโดยเร็ว แล้วฉันจะกลับมา” 23 เขาถามนางว่า “ทำไมเธอจึงจะไปหาท่านในวันนี้เล่า มันไม่ใช่วันข้างขึ้นหรือวันสะบาโตนี่นา” นางตอบว่า “ท่านไม่ต้องกังวลหรอก” 24 แล้วนางก็ผูกอานลา และสั่งคนรับใช้ของนางว่า “เจ้าเร่งลาออกไปเถิด ไม่ต้องรั้งให้ช้าลงเพราะฉัน นอกจากฉันจะบอก” 25 ดังนั้น นางจึงเดินทางไป และมาพบคนของพระเจ้าที่ภูเขาคาร์เมล
เมื่อคนของพระเจ้าเห็นนางเดินมา ท่านพูดกับเกหะซีคนรับใช้ว่า “ดูโน่น ชาวชูเนม 26 เจ้าจงรีบวิ่งไปหาเธอ และถามว่า ‘ท่านสบายดีหรือ สามีของท่านสบายดีหรือ ลูกของท่านสบายดีหรือ’” นางตอบเขาว่า “ทุกคนสบายดี” 27 เมื่อนางมาถึงภูเขา นางก็ไปหาคนของพระเจ้า และจับเท้าของท่านไว้ เกหะซีก็เข้ามาเพื่อผลักนางออกไป แต่คนของพระเจ้าพูดว่า “ปล่อยเธอ เพราะว่าเธอทุกข์ร้อนมาก และพระผู้เป็นเจ้าได้ซ่อนเรื่องนี้ไว้ และยังไม่ได้เผยให้เรารู้” 28 นางพูดว่า “ฉันขอบุตรจากเจ้านายของฉันมิใช่หรือ ฉันไม่ได้พูดหรือว่า ‘ขอท่านอย่าโกหกฉันเลย’” 29 ท่านบอกเกหะซีว่า “เจ้าจงเตรียมตัวให้พร้อม ถือไม้เท้าของเราไปด้วย ถ้าเจ้าพบใคร ก็ไม่ต้องทักทายกับเขา และถ้าใครทักทายเจ้า ก็ไม่ต้องตอบเขา และวางไม้เท้าของเราบนใบหน้าของเด็ก” 30 แล้วมารดาของเด็กพูดว่า “ตราบที่พระผู้เป็นเจ้ามีชีวิตอยู่ฉันใด และตราบที่ท่านมีชีวิตอยู่ฉันใด ฉันจะไม่ไปจากท่าน” ท่านจึงออกเดินทางตามนางไป 31 เกหะซีล่วงหน้าไปก่อน และวางไม้เท้าบนใบหน้าของเด็กชาย แต่ไม่มีเสียงหรือการเคลื่อนไหวที่แสดงให้เห็นว่าเขามีชีวิต เขาจึงกลับไปพบกับท่านและบอกท่านว่า “เด็กคนนั้นยังไม่ตื่น”
32 เมื่อเอลีชาเข้าไปในบ้าน ท่านก็เห็นว่าเด็กชายนอนหมดลมหายใจอยู่บนเตียง 33 ท่านจึงเข้าไปในบ้าน และปิดประตูอยู่ตามลำพังกับเขา และอธิษฐานต่อพระผู้เป็นเจ้า 34 แล้วท่านก็ขึ้นไปนอนทาบร่างของเด็กบนเตียง ปากท่านประกบปากของเขา ตาประกบตา และมือประกบมือ ขณะที่ท่านเหยียดตัวของท่านบนร่างเด็กชาย ร่างกายของเขาก็ค่อยๆ อุ่นขึ้น 35 จากนั้นท่านก็ลุกขึ้น เดินไปมาอยู่ในห้อง แล้วก็ขึ้นไปเหยียดตัวบนร่างของเขาบนเตียงอีก ต่อมาเด็กก็จาม 7 ครั้งและลืมตาขึ้น 36 ท่านเรียกเกหะซี และพูดว่า “ไปเรียกหญิงชาวชูเนมมานี่” เขาก็เรียกนาง เมื่อนางมาหา ท่านบอกว่า “มาพยุงตัวลูกของท่านขึ้นเถิด” 37 นางก้มตัวลงกราบแทบเท้าของท่าน แล้วนางก็พยุงลูกของนาง และออกจากห้องไป
Copyright © 1998, 2012, 2020 by New Thai Version Foundation