Bible in 90 Days
ถ้าประชาชนของเราอธิษฐาน
11 เมื่อซาโลมอนสร้างพระตำหนักของพระผู้เป็นเจ้า และวังของกษัตริย์เสร็จสิ้น ท่านกระทำทุกสิ่งที่ได้วางแผนจะกระทำสำหรับพระตำหนักของพระผู้เป็นเจ้า และสำหรับวังของท่านเองด้วยความสำเร็จทุกประการ 12 ครั้นแล้วพระผู้เป็นเจ้าก็ปรากฏแก่ซาโลมอนในเวลากลางคืน และกล่าวกับท่านว่า “เราได้ยินคำอธิษฐานของเจ้า และเราได้เลือกสถานที่นี้สำหรับเรา เพื่อเป็นตำหนักสำหรับเครื่องสักการะบูชา 13 เมื่อเราปิดท้องฟ้า ไม่เอื้อฝน หรือสั่งให้ตั๊กแตนมากินพืชจนเกลี้ยงแผ่นดิน หรือให้ประชาชนประสบกับโรคระบาด 14 ถ้าประชาชนของเรา ซึ่งได้รับเรียกว่าเป็นคนของเรา จะถ่อมตัว อธิษฐาน แสวงหาเรา และหันไปจากหนทางที่ชั่วร้าย เราก็จะฟังจากสวรรค์ และจะให้อภัยบาปของพวกเขา และรักษาทั่วทั้งแผ่นดินให้ดีดังเดิม 15 บัดนี้ เราจะเฝ้าดู และจะตั้งใจฟังคำอธิษฐานที่กล่าวในที่นี้ 16 เพราะว่าบัดนี้เราได้เลือกและทำให้ตำหนักนี้บริสุทธิ์ เพื่อนามของเราจะเป็นที่ยกย่องที่นั่นตลอดกาล เราจะเฝ้าดูและระลึกถึงอยู่ที่นั่นตลอดไป 17 ส่วนตัวเจ้าเอง ถ้าหากว่าเจ้าดำเนินตามแบบอย่างของดาวิดบิดาของเจ้า ณ เบื้องหน้าเรา กระทำตามทุกสิ่งที่เราได้บัญชาเจ้าแล้ว โดยรักษากฎเกณฑ์และคำบัญชาของเรา 18 แล้วเราจะสถาปนาบัลลังก์ของเจ้า ดังที่เราได้มีพันธสัญญากับดาวิดบิดาของเจ้าว่า ‘เจ้าจะไม่ขาดคนที่จะปกครองอิสราเอล’[a]
19 แต่ถ้าเจ้าหันเหไป และไม่ปฏิบัติตามกฎเกณฑ์และคำบัญญัติของเรา ที่เราได้ตั้งไว้ให้เจ้า เจ้าไปบูชาบรรดาเทพเจ้า และนมัสการสิ่งเหล่านั้น 20 เราก็จะถอนเจ้าออกไปจากแผ่นดินของเราที่เราได้มอบให้แก่พวกเขา และตำหนักที่เราได้ทำให้บริสุทธิ์เพื่อเป็นที่ยกย่องนามของเรานั้น เราจะทำให้พ้นไปจากสายตาของเรา และเราจะทำให้อิสราเอลเป็นดั่งคำเปรียบเปรยในสุภาษิต และเป็นที่หัวเราะเยาะของชนชาติทั้งปวง 21 ตำหนักนี้ที่เคยเป็นที่ยกย่อง จะกลับทำให้ทุกคนที่ผ่านมาตกตะลึง และจะพูดว่า ‘ทำไมพระผู้เป็นเจ้าจึงได้กระทำอย่างนี้ต่อแผ่นดินนี้และต่อพระตำหนักนี้’ 22 แล้วพวกเขาก็จะพูดว่า ‘เพราะว่าพวกเขาทอดทิ้งพระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของบรรพบุรุษของพวกเขา ผู้นำพวกเขาออกจากแผ่นดินอียิปต์ แล้วพวกเขาก็หันไปเชื่อบรรดาเทพเจ้า จนถึงกับนมัสการและบูชาสิ่งเหล่านั้น ฉะนั้นพระผู้เป็นเจ้าจึงให้ความวิบัติเกิดขึ้นกับพวกเขา’”
กิจกรรมอื่นๆ ของซาโลมอน
8 ซาโลมอนใช้เวลา 20 ปีในการสร้างพระตำหนักของพระผู้เป็นเจ้า และวังของท่านเอง 2 ซาโลมอนเสริมสร้างเมืองต่างๆ ที่ฮีรามได้มอบแก่ท่าน และให้ประชาชนชาวอิสราเอลตั้งหลักแหล่งในเมืองเหล่านั้น
3 ซาโลมอนไปยังฮามัทโศบาห์ และโจมตีเมืองนั้นได้ 4 ท่านสร้างเมืองทัดโมร์ไว้ในถิ่นทุรกันดาร รวมทั้งเมืองคลังหลวงในฮามัททั้งหมด 5 ท่านสร้างเมืองเบธโฮโรนบนและเบธโฮโรนล่าง เมืองต่างๆ ที่มีกำแพง ประตูเมือง และดาลประตูคุ้มกันอย่างแข็งแกร่ง 6 รวมทั้งเมืองบาอาลัท และเมืองคลังหลวงทั้งหมด เมืองต่างๆ สำหรับเก็บรถศึก และเมืองสำหรับทหารม้าของท่าน และสร้างทุกอย่างตามที่ซาโลมอนต้องการในเยรูซาเล็ม เลบานอน และทั่วทั้งราชอาณาจักรของท่าน 7 กลุ่มชนที่ไม่ใช่ชนชาติอิสราเอลซึ่งยังมีชีวิตอยู่ ได้แก่ชาวฮิต ชาวอาโมร์ ชาวเปริส ชาวฮีว และชาวเยบุส 8 ผู้สืบเชื้อสายของคนเหล่านี้ที่ยังมีชีวิตอยู่ในแผ่นดิน ซึ่งชาวอิสราเอลไม่ได้กำจัดไปให้หมด ซาโลมอนจึงได้เกณฑ์พวกเขามาทำงานหนักมาจนถึงทุกวันนี้ 9 แต่ว่าซาโลมอนไม่ได้ให้ชาวอิสราเอลมาเป็นทาสรับใช้งานของท่าน แต่ให้พวกเขาเป็นทหาร เจ้าหน้าที่ประจำของท่าน ผู้บัญชา นายทหาร ผู้บัญชาการรถศึกและสารถีของท่าน 10 มีเจ้าหน้าที่ชั้นสูง 250 คนที่คอยควบคุมประชาชน
11 ซาโลมอนให้ธิดาของฟาโรห์ขึ้นมาจากเมืองของดาวิด ไปอยู่ที่ตำหนักที่ท่านสร้างให้นาง ท่านกล่าวว่า “ภรรยาของเราจะไม่อยู่ในวังของดาวิดกษัตริย์แห่งอิสราเอล เพราะสถานที่ซึ่งหีบของพระผู้เป็นเจ้าอยู่นับว่าบริสุทธิ์”
12 ซาโลมอนมอบสัตว์ที่เผาเป็นของถวายบนแท่นบูชาของพระผู้เป็นเจ้าที่ท่านสร้างให้ ที่เบื้องหน้ามุขแด่พระผู้เป็นเจ้า 13 ท่านปฏิบัติตามหน้าที่เป็นประจำ ถวายตามกฎบัญญัติของโมเสส ในวันสะบาโต ในเทศกาลข้างขึ้น เทศกาลประจำปี 3 เทศกาลคือ เทศกาลขนมปังไร้เชื้อ เทศกาลครบ 7 สัปดาห์ และเทศกาลอยู่เพิง 14 ท่านกำหนดกองเวรของบรรดาปุโรหิตในการปฏิบัติหน้าที่ ตามคำบัญชาของดาวิดบิดาของท่าน ให้ชาวเลวีนำนมัสการและช่วยบรรดาปุโรหิตเป็นประจำในแต่ละวัน และบรรดาผู้เฝ้าประตูในกองเวรก็ประจำอยู่ที่ประตู ด้วยว่าดาวิดคนของพระเจ้าได้บัญชาไว้ตามนั้น 15 พวกเขาไม่ได้ละเลยสิ่งที่กษัตริย์ได้บัญชาไว้แก่บรรดาปุโรหิตและชาวเลวีไม่ว่าเรื่องใด ทั้งเรื่องการคลังด้วย
16 ภารกิจทั้งสิ้นของซาโลมอนดำเนินไป ตั้งแต่วันที่วางฐานรากพระตำหนักของพระผู้เป็นเจ้า จนถึงวันที่สร้างเสร็จ ดังนั้นพระตำหนักของพระผู้เป็นเจ้าจึงเสร็จอย่างบริบูรณ์
17 ซาโลมอนจึงไปยังเอซีโอนเกเบอร์และเอโลท ที่อยู่บนฝั่งทะเลในดินแดนของเอโดม 18 ฮีรามใช้เจ้าหน้าที่ส่งกองเรือและบรรดาผู้ชำนาญการเดินเรือไปให้ท่าน และพวกเขาไปยังเมืองโอฟีร์กับบรรดาผู้รับใช้ของซาโลมอน และได้นำทองคำจากที่นั่นมา 450 ตะลันต์เพื่อมอบแก่กษัตริย์ซาโลมอน
ราชินีแห่งเช-บา
9 เมื่อราชินีแห่งเช-บาได้ยินกิตติศัพท์ของซาโลมอน นางจึงมายังเมืองเยรูซาเล็มเพื่อทดสอบท่านด้วยคำถามปริศนาลึกล้ำ โดยมาพร้อมกับข้าราชบริพารมากมาย ขบวนอูฐแบกทั้งเครื่องเทศ ทองคำ และเพชรนิลจินดามาเป็นจำนวนมาก เมื่อนางมาพบกับซาโลมอน นางก็บอกสิ่งที่อยู่ในใจแก่ท่านจนหมดสิ้น 2 และซาโลมอนก็ไขข้อข้องใจทุกประการ ไม่มีสิ่งใดลึกล้ำเกินกว่าที่ซาโลมอนจะอธิบายแก่นาง 3 ครั้นราชินีแห่งเช-บาได้เห็นว่าคำพูดของซาโลมอนกอปรด้วยสติปัญญา อีกทั้งวังที่ท่านสร้าง 4 อาหารที่โต๊ะของท่าน เจ้าหน้าที่ชั้นสูงนั่งประจำที่ และการมีต้นห้องคอยรับใช้ เครื่องแต่งกายของพวกเขา พนักงานถวายเหล้าองุ่นและเครื่องแต่งกาย และสัตว์ที่ท่านมอบเป็นของถวายที่พระตำหนักของพระผู้เป็นเจ้า ทำให้นางถึงกับตกตะลึง
5 นางจึงกล่าวกับกษัตริย์ว่า “เรื่องราวที่ข้าพเจ้าได้ยินในแผ่นดินของข้าพเจ้าเอง ความสำเร็จของท่านและสติปัญญาของท่านก็เป็นความจริง 6 แต่ข้าพเจ้าไม่เชื่อสิ่งที่ได้ยิน จนกระทั่งได้มาถึงที่นี่และได้เห็นด้วยตาของข้าพเจ้าเอง ดูสิ ข้าพเจ้าได้ยินมาเพียงครึ่งเดียว สติปัญญาของท่านมากยิ่งกว่าคำบอกเล่าที่ข้าพเจ้าได้ยินมา 7 คนของท่านก็เป็นสุข บรรดาผู้รับใช้ของท่านก็เป็นสุข ที่มีโอกาสได้ฟังคำพูดอันกอปรด้วยสติปัญญาของท่านเรื่อยไป 8 ขอพระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของท่านได้รับพระพรเถิด พระองค์ชื่นชอบในตัวท่าน และให้ท่านเป็นกษัตริย์ครองบัลลังก์ของพระองค์ เพื่อพระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของท่าน เพราะว่าพระผู้เป็นเจ้ารักอิสราเอล และจะสถาปนาพวกเขาเป็นนิตย์ พระองค์กำหนดให้ท่านเป็นกษัตริย์ เพื่อให้ท่านตัดสินด้วยความยุติธรรมและความชอบธรรม” 9 แล้วนางก็มอบทองคำ 120 ตะลันต์แก่กษัตริย์ และเครื่องเทศมากมาย อีกทั้งเพชรนิลจินดาด้วย ไม่มีเครื่องเทศอื่นใดที่เหมือนกับเครื่องเทศที่ราชินีมอบให้แก่กษัตริย์ซาโลมอนเลย
10 นอกเหนือจากนั้นแล้ว บรรดาผู้รับใช้ของกษัตริย์ฮีรามและผู้รับใช้ของซาโลมอนที่นำทองคำมาจากโอฟีร์ ก็ได้นำไม้จันทน์และเพชรนิลจินดาจำนวนมากมายมาด้วย 11 และกษัตริย์ให้ใช้ไม้จันทน์ทำราวบันไดในพระตำหนักของพระผู้เป็นเจ้า และในวังของกษัตริย์ และให้ใช้ทำพิณเล็กและพิณสิบสายสำหรับบรรดานักร้อง ในดินแดนของยูดาห์ ไม่เคยมีใครเห็นไม้จันทน์มากมายเช่นนี้มาก่อนเลย
12 กษัตริย์ซาโลมอนมอบทุกสิ่งที่ราชินีแห่งเช-บาต้องการ ไม่ว่านางจะขอสิ่งใด ท่านให้มากเกินกว่าที่นางนำมามอบให้ จากนั้นนางก็กลับไปยังแผ่นดินพร้อมกับบรรดาผู้รับใช้ของนาง
ความมั่งคั่งของซาโลมอน
13 ในแต่ละปี ซาโลมอนได้รับทองคำหนัก 666 ตะลันต์ 14 นอกเหนือจากทองที่พ่อค้าระหว่างประเทศและพ่อค้าภายในอาณาจักรนำมา และจากบรรดากษัตริย์แห่งอาระเบียและเจ้าเมืองทั้งปวงของแผ่นดินก็นำทองคำและเงินมามอบให้แก่ซาโลมอนด้วย 15 กษัตริย์ซาโลมอนให้คนทำโล่ใหญ่ 200 อันจากทองคำตีด้วยค้อน โล่แต่ละอันใช้ทองคำหนัก 600 เชเขล[b]ตีด้วยค้อน 16 และท่านให้ทำโล่เล็ก 300 อัน จากทองคำตีด้วยค้อน โล่แต่ละอันใช้ทองคำหนัก 300 เชเขล และกษัตริย์เก็บโล่ไว้ในตำหนักวนาลัยแห่งเลบานอน 17 กษัตริย์ให้ใช้งาช้างสร้างบัลลังก์ใหญ่หุ้มด้วยทองคำบริสุทธิ์ 18 บัลลังก์มีบันได 6 ขั้น และที่วางเท้าทองคำซึ่งติดอยู่กับบัลลังก์ แต่ละข้างของที่นั่งมีเท้าแขน รูปสิงโต 2 ตัวยืนอยู่ข้างๆ เท้าแขนทั้งสอง 19 แต่ละข้างของขั้นบันได 6 ขั้น มีรูปสิงโตยืนอยู่ที่แต่ละขั้น ไม่เคยมีอาณาจักรอื่นใดที่สร้างบัลลังก์ได้เหมือนอย่างนี้ 20 ภาชนะทุกชิ้นสำหรับเครื่องดื่มทำด้วยทองคำ และภาชนะทุกชิ้นของตำหนักวนาลัยแห่งเลบานอนทำด้วยทองคำบริสุทธิ์ เงินในสมัยของซาโลมอนนับว่าไม่มีค่าอะไร 21 ด้วยว่ากษัตริย์มีกองเรือเดินทะเลไปยังเมืองทาร์ชิช โดยล่องไปกับบรรดาผู้รับใช้ของฮีราม กองเรือเดินทะเลมักจะขนทองคำ เงิน งาช้าง ลิง และนกยูงมา ทุกๆ 3 ปี
22 ฉะนั้น กษัตริย์ซาโลมอนมั่งคั่งและเปี่ยมด้วยสติปัญญามากกว่ากษัตริย์อื่นๆ ในแผ่นดินโลก 23 และกษัตริย์ทั้งปวงของแผ่นดินโลกปรารถนาที่จะได้เห็นและได้ฟังคำพูดอันกอปรด้วยสติปัญญา ซึ่งพระเจ้าเป็นผู้ปลูกฝังไว้ในจิตใจของท่าน 24 ทุกคนต่างก็นำของบรรณาการอันได้แก่ เครื่องเงินและทองคำ เครื่องแต่งกาย เครื่องอาวุธ เครื่องเทศ ม้า และล่อ มามอบให้จำนวนมากเป็นประจำทุกปี 25 ซาโลมอนมีคอกม้า 4,000 คอก รถศึก และทหารม้า 12,000 คน ซึ่งท่านให้ประจำอยู่ที่เมืองเก็บรถศึกทั้งหลาย และประจำอยู่กับท่านในเมืองเยรูซาเล็มด้วย 26 ซาโลมอนปกครองกษัตริย์ทั้งปวง ตั้งแต่แม่น้ำยูเฟรติสไปจนถึงแผ่นดินของชาวฟีลิสเตีย และถึงเขตแดนอียิปต์ 27 กษัตริย์ทำให้มีเงินใช้อยู่ทั่วไปในเยรูซาเล็มราวกับใช้ก้อนหิน และท่านมีไม้ซีดาร์มากมายราวกับต้นมะเดื่อในที่ลุ่ม 28 ม้าที่นำเข้ามามอบให้ซาโลมอน มาจากอียิปต์และจากประเทศอื่นๆ
ซาโลมอนสิ้นชีวิต
29 กิจอื่นๆ ทั้งสิ้นของซาโลมอน ตั้งแต่ต้นจนจบ ก็ได้มีบันทึกไว้แล้วในประวัติของนาธานผู้เผยคำกล่าวของพระเจ้า และถึงการเผยความของอาหิยาห์ชาวชิโลห์ และภาพนิมิตของอิดโดซึ่งเป็นผู้รู้ในเรื่องเกี่ยวกับเยโรโบอัมบุตรเนบัท มิใช่หรือ 30 ซาโลมอนครองราชย์ในเยรูซาเล็ม ปกครองอิสราเอลทั้งหมดรวมเป็นเวลา 40 ปี 31 และซาโลมอนสิ้นชีวิตและถูกนำไปวางรวมกับบรรพบุรุษของท่าน ศพถูกบรรจุไว้ในเมืองของดาวิดบิดาของท่าน และเรโหโบอัมครองราชย์แทนท่าน
อิสราเอลกบฏต่อเรโหโบอัม
10 เรโหโบอัมไปยังเมืองเชเคม เพราะชาวอิสราเอลทั้งปวงได้ไปยังเชเคมเพื่อแต่งตั้งท่านให้เป็นกษัตริย์ 2 ทันทีที่เยโรโบอัมบุตรเนบัททราบเรื่อง (เขาหนีกษัตริย์ซาโลมอนไปอยู่ในประเทศอียิปต์) เขาจึงกลับมาจากอียิปต์ 3 ชาวอิสราเอลที่มาจากทิศเหนือให้คนไปตามเยโรโบอัมกลับไป และพวกเขาพูดกับเรโหโบอัมว่า 4 “บิดาของท่านทำให้พวกเราแบกแอกเหมือนกับแบกภาระหนัก ฉะนั้นในเวลานี้ โปรดช่วยให้งานและการแบกแอกหนักผ่อนลงให้เบาเถิด แล้วพวกเราจะคอยรับใช้ท่าน” 5 ท่านตอบว่า “กลับมาหาเราภายใน 3 วัน” ประชาชนจึงจากไป
6 กษัตริย์เรโหโบอัมปรึกษากับบรรดาผู้สูงอายุที่เคยรับใช้ซาโลมอนบิดาของท่านเมื่อครั้งที่ท่านยังมีชีวิตอยู่ ท่านถามว่า “พวกท่านจะแนะนำให้เราตอบประชาชนเหล่านี้อย่างไร” 7 เขาเหล่านั้นตอบว่า “ถ้าท่านจะกระทำดีต่อประชาชนเหล่านี้ และทำให้พวกเขาพอใจ และพูดจาดีกับพวกเขา พวกเขาก็จะเป็นผู้รับใช้ของท่านตลอดไป” 8 แต่ว่าท่านกลับไม่ใส่ใจในคำปรึกษาที่บรรดาผู้สูงอายุแนะนำ แต่กลับไปรับคำปรึกษาของบรรดาชายหนุ่มที่เป็นผู้รับใช้ซึ่งเติบโตมาด้วยกัน 9 ท่านพูดกับพวกเขาว่า “ท่านจะแนะนำเราอย่างไร เราควรจะตอบประชาชนเหล่านี้อย่างไรดี พวกเขาพูดกับเราว่า ‘ขอให้ท่านช่วยผ่อนแอกที่บิดาของท่านให้พวกเราหามเบาลง’” 10 บรรดาชายหนุ่มที่ได้เติบโตมากับท่านตอบว่า “สำหรับประชาชนที่มาพูดกับท่านว่า ‘บิดาของท่านทำให้พวกเราต้องแบกแอกหนัก แต่ขอให้ท่านผ่อนหนักให้เบาลงเพื่อพวกเรา’ นั้น ท่านน่าจะพูดกับพวกเขาว่า ‘นิ้วก้อยของเราใหญ่กว่าต้นขาของบิดาของเรา 11 และบัดนี้ เมื่อบิดาของเราได้วางแอกหนักไว้กับท่าน เราจะทำให้แอกของท่านหนักยิ่งขึ้น บิดาของเราสั่งสอนท่านด้วยไม้เรียว แต่เราจะสั่งสอนท่านด้วยแมงป่อง’”
12 ดังนั้นเยโรโบอัมและประชาชนทั้งปวงจึงมาหาเรโหโบอัมในวันที่สาม ตามคำสั่งของกษัตริย์ที่ว่า “กลับมาหาเราภายใน 3 วัน” 13 และกษัตริย์ตอบพวกเขาอย่างแข็งกร้าว และไม่สนใจกับคำปรึกษาของบรรดาผู้สูงอายุ 14 กษัตริย์เรโหโบอัมพูดกับพวกเขา ตามคำปรึกษาของพวกชายหนุ่มว่า “บิดาของเราทำให้แอกของพวกท่านหนัก แต่เราจะทำให้แอกของท่านหนักยิ่งขึ้น บิดาของเราสั่งสอนท่านด้วยไม้เรียว แต่เราจะสั่งสอนท่านด้วยแมงป่อง” 15 ดังนั้นกษัตริย์ไม่ได้ฟังประชาชน เพราะว่าพระเจ้าประสงค์ให้เหตุการณ์เป็นไปอย่างนั้น เพื่อสิ่งที่พระผู้เป็นเจ้ากล่าวแก่เยโรโบอัมบุตรเนบัทโดยผ่านทางอาหิยาห์ชาวชิโลห์ จะเกิดขึ้นตามคำกล่าวของพระองค์
อาณาจักรแตกแยก
16 ครั้นชาวอิสราเอลทั้งปวงเห็นว่ากษัตริย์ไม่ได้ฟังพวกเขา ประชาชนจึงตอบกษัตริย์ว่า “พวกเรามีส่วนร่วมอะไรด้วยกับดาวิดหรือ เราไม่ได้รับอะไรที่ตกทอดมาจากบุตรของเจสซี โอ อิสราเอลเอ๋ย แต่ละคนจงกลับไปยังกระโจมของตนเถิด บัดนี้ โอ ดาวิดเอ๋ย ดูแลพงศ์พันธุ์ของท่านไปเถิด” ดังนั้นชาวอิสราเอลจึงกลับไปยังกระโจมของตน 17 แต่เรโหโบอัมก็ปกครองลูกหลานของอิสราเอลที่อาศัยอยู่ในเมืองต่างๆ ของยูดาห์ 18 และกษัตริย์เรโหโบอัมให้ฮาโดรัมควบคุมพวกที่ถูกเกณฑ์มาทำงานหนัก ชาวอิสราเอลทั้งปวงก็ใช้หินขว้างเขาจนตาย กษัตริย์เรโหโบอัมจึงรีบขึ้นรถศึกของท่านหนีกลับไปยังเมืองเยรูซาเล็ม 19 ดังนั้นอิสราเอลจึงได้แข็งข้อต่อพงศ์พันธุ์ของดาวิดเรื่อยมาจนถึงทุกวันนี้
เรโหโบอัมทำให้อาณาจักรมั่นคง
11 เมื่อเรโหโบอัมมายังเยรูซาเล็ม ท่านก็เรียกประชุมพงศ์พันธุ์ยูดาห์และเบนยามิน รวมนักรบที่คัดเลือกได้ 180,000 คน ไปต่อสู้กับอิสราเอล เพื่อรวมอาณาจักรเข้าด้วยกันอีกให้แก่เรโหโบอัม 2 แต่พระผู้เป็นเจ้ากล่าวผ่านเชไมยาห์คนของพระเจ้าดังนี้คือ 3 “จงบอกเรโหโบอัมบุตรซาโลมอนกษัตริย์แห่งยูดาห์ และชาวอิสราเอลทั้งปวงในยูดาห์และเบนยามินว่า 4 ‘พระผู้เป็นเจ้ากล่าวดังนี้ว่า เจ้าอย่าขึ้นไปต่อสู้กับญาติพี่น้องของเจ้า ทุกคนจงกลับบ้านไป เพราะว่าเราต้องการให้เป็นไปอย่างนั้น’” เขาเหล่านั้นจึงเชื่อฟังคำของพระผู้เป็นเจ้า และกลับไปจากการต่อสู้กับเยโรโบอัม
5 เรโหโบอัมอาศัยอยู่ในเยรูซาเล็ม และท่านสร้างเมืองต่างๆ ขึ้นใหม่ ซึ่งใช้เป็นป้อมปราการในยูดาห์ 6 ท่านสร้างเบธเลเฮม เอตาม เทโคอา 7 เบธซูร์ โสโค อดุลลาม 8 กัท มาเรชาห์ และศิฟ 9 อาโดราอิม ลาคีช และอาเซคาห์ 10 โศราห์ อัยยาโลน และเฮโบรน เมืองเหล่านี้มีการคุ้มกันอย่างแข็งแกร่งที่อยู่ในยูดาห์และเบนยามิน 11 ท่านเสริมป้อมปราการให้แข็งแกร่งขึ้น และตั้งผู้บังคับบัญชาประจำป้อมเหล่านั้น อีกทั้งเก็บตุนอาหาร น้ำมัน และเหล้าองุ่นด้วย 12 ท่านเก็บโล่และหอกไว้ในทุกเมือง และทำให้เมืองแข็งแกร่งมาก ดังนั้นยูดาห์และเบนยามินอยู่ภายใต้การควบคุมของท่าน
ปุโรหิตและชาวเลวีมายังเยรูซาเล็ม
13 บรรดาปุโรหิตและชาวเลวีจากทุกแว่นแคว้นในอิสราเอลก็มาเข้าเป็นฝ่ายเดียวกับเรโหโบอัม 14 บรรดาชาวเลวีทอดทิ้งไร่นาและทุ่งหญ้าของตน เพื่อไปยังยูดาห์และเยรูซาเล็ม เพราะเยโรโบอัมและบุตรทั้งหลายของท่านไม่ให้ชาวเลวีปฏิบัติหน้าที่ปุโรหิตของพระผู้เป็นเจ้า 15 และท่านได้แต่งตั้งบรรดาปุโรหิตของท่านเอง ให้ประจำสถานบูชาบนภูเขาสูง บูชาแพะและลูกโคตัวผู้ซึ่งเป็นรูปเคารพที่ท่านสร้างไว้ 16 คนจากทุกเผ่าของอิสราเอลที่มุ่งมั่นแสวงหาพระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของอิสราเอล ก็ติดตามชาวเลวีไปยังเยรูซาเล็ม เพื่อถวายเครื่องสักการะแด่พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของบรรพบุรุษของพวกเขา 17 เขาทั้งหลายหนุนอาณาจักรแห่งยูดาห์ให้แข็งแกร่ง และช่วยให้เรโหโบอัมบุตรของซาโลมอนมั่นคงเป็นเวลา 3 ปี เพราะพวกเขาดำเนินชีวิตตามแบบอย่างดาวิดและซาโลมอน 3 ปี
ครอบครัวของเรโหโบอัม
18 เรโหโบอัมสมรสกับมาหะลัทบุตรหญิงของเยรีโมทซึ่งเป็นบุตรของดาวิด มารดาของเธอคืออาบีฮาอิลซึ่งเป็นบุตรหญิงของเอลีอับผู้เป็นบุตรของเจสซี 19 นางให้กำเนิดบุตรคือ เยอูช เช-มาริยาห์ และศาฮัม 20 หลังจากนั้นท่านรับนางมาอาคาห์บุตรหญิงของอับซาโลมไว้เป็นภรรยา นางให้กำเนิดอาบียาห์ อัททัย ศีศา และเชโลมิท 21 เรโหโบอัมรักนางมาอาคาห์บุตรหญิงของอับซาโลม[c] มากยิ่งกว่าภรรยาและภรรยาน้อยทั้งปวง (ท่านมีภรรยา 18 คน ภรรยาน้อย 60 คน และมีบุตรชาย 28 คน บุตรหญิง 60 คน) 22 เรโหโบอัมแต่งตั้งอาบียาห์บุตรของนางมาอาคาห์ให้เป็นเจ้าชายคนสำคัญที่สุดในหมู่พี่น้อง เพราะท่านตั้งใจจะแต่งตั้งบุตรคนนี้ให้เป็นกษัตริย์ 23 ท่านดำเนินการด้วยการไตร่ตรองจากสติปัญญา โดยให้บุตรของท่านบางคนไปประจำอยู่ในเมืองต่างๆ ที่มีการคุ้มกันอย่างแข็งแกร่งทั่วยูดาห์และเบนยามิน และท่านจัดหาทุกสิ่งให้แก่พวกเขา ท่านจัดหาภรรยาให้พวกเขาด้วย
อียิปต์ปล้นระดมเยรูซาเล็ม
12 เมื่อเรโหโบอัมสถาปนาการปกครองของท่าน และอาณาจักรแข็งแกร่งแล้ว ท่านก็ทอดทิ้งกฎบัญญัติของพระผู้เป็นเจ้า และอิสราเอลทั้งปวงก็กระทำเช่นนั้นด้วย 2 ในปีที่ห้าของกษัตริย์เรโหโบอัม ชิชักกษัตริย์แห่งอียิปต์ขึ้นมาโจมตีเยรูซาเล็ม เพราะเขาทั้งปวงไม่ภักดีต่อพระผู้เป็นเจ้า 3 โดยมีรถศึก 1,200 คัน ทหารม้า 60,000 คน นอกจากนั้นก็ยังมีทหารจำนวนนับไม่ถ้วนจากอียิปต์ที่เป็นชาวลิเบีย ชาวสุคีอิม และชาวคูช 4 ท่านยึดเมืองต่างๆ ของยูดาห์ที่มีการคุ้มกันอย่างแข็งแกร่ง และมาไกลจนถึงเมืองเยรูซาเล็ม 5 เป็นเพราะชิชัก เชไมยาห์ผู้เผยคำกล่าวของพระเจ้าจึงมาหาเรโหโบอัมและบรรดาผู้นำของยูดาห์ซึ่งกำลังประชุมกันอยู่ที่เยรูซาเล็ม เชไมยาห์พูดกับพวกเขาว่า “พระผู้เป็นเจ้ากล่าวดังนี้ ‘พวกเจ้าทอดทิ้งเรา ดังนั้นเราจึงได้ทอดทิ้งพวกเจ้าให้อยู่ในมือของชิชัก’” 6 บรรดาผู้นำของอิสราเอลและกษัตริย์จึงถ่อมตนลงและพูดว่า “พระผู้เป็นเจ้ามีความชอบธรรม” 7 เมื่อพระผู้เป็นเจ้าเห็นว่าพวกเขาถ่อมตนลง พระผู้เป็นเจ้าจึงกล่าวผ่านเชไมยาห์ว่า “พวกเขาได้ถ่อมตนลงแล้ว เราจะไม่ทำลายเขา และจะช่วยเหลือพวกเขา และเราจะไม่ลงโทษเยรูซาเล็มด้วยฝีมือของชิชัก 8 อย่างไรก็ตาม พวกเขาจะต้องรับใช้ชิชัก เพื่อจะได้รู้ถึงความแตกต่างระหว่างการรับใช้เราและการรับใช้อาณาจักรทั้งหลาย”
9 ดังนั้น ชิชักกษัตริย์แห่งอียิปต์ขึ้นมาโจมตีเยรูซาเล็ม และริบของล้ำค่าไปจากพระตำหนักของพระผู้เป็นเจ้า รวมทั้งของมีค่าจากวังกษัตริย์ ท่านริบทุกสิ่งไป พร้อมกับโล่ทองคำทั้งหมดที่ซาโลมอนทำไว้ 10 กษัตริย์เรโหโบอัมจึงตีโล่ทองสัมฤทธิ์ขึ้นแทน และมอบให้พวกเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยที่เฝ้าประตูวังของกษัตริย์ดูแล 11 ทุกครั้งที่กษัตริย์ไปยังพระตำหนักของพระผู้เป็นเจ้า พวกเจ้าหน้าที่ก็จะเป็นผู้แบกโล่ออกมา และหลังจากนั้นก็นำกลับไปยังห้องเก็บอาวุธของเจ้าหน้าที่ 12 เมื่อท่านถ่อมตนลง พระผู้เป็นเจ้าก็หยุดลงโทษท่าน ท่านจึงไม่ถูกทำลายอย่างสิ้นเชิง และยิ่งกว่านั้น สถานการณ์ในยูดาห์ก็ยังดีอยู่บ้าง
13 ดังนั้น กษัตริย์เรโหโบอัมมีความมั่นคงในเยรูซาเล็ม และปกครองต่อไป เรโหโบอัมมีอายุ 41 ปีเมื่อเริ่มเป็นกษัตริย์ และท่านครองราชย์ 17 ปีในเยรูซาเล็มเมืองที่พระผู้เป็นเจ้าได้เลือกมาจากทุกเผ่าของอิสราเอล เพื่อให้เป็นที่นมัสการที่นั่น มารดาของท่านชื่อนาอามาห์ชาวอัมโมน 14 ที่ท่านกระทำสิ่งชั่วร้าย เพราะท่านไม่ได้มุ่งมั่นที่จะแสวงหาพระผู้เป็นเจ้า
15 กิจอื่นๆ ทั้งสิ้นของเรโหโบอัม ตั้งแต่ต้นจนจบ ก็ได้มีบันทึกไว้แล้วในประวัติของเชไมยาห์ผู้เผยคำกล่าวของพระเจ้า และของอิดโดผู้รู้มิใช่หรือ ศึกสงครามระหว่างเรโหโบอัมและเยโรโบอัมเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง 16 และเรโหโบอัมก็สิ้นชีวิตและถูกนำไปวางรวมกับบรรพบุรุษของท่าน ศพถูกบรรจุไว้ในเมืองของดาวิด อาบียาห์[d]บุตรของท่านครองราชย์แทนท่าน
อาบียาห์ครองราชย์ในยูดาห์
13 ในปีที่สิบแปดของกษัตริย์เยโรโบอัม อาบียาห์ก็เริ่มเป็นกษัตริย์แห่งยูดาห์ 2 ท่านครองราชย์ได้ 3 ปีในเยรูซาเล็ม มารดาของท่านชื่อมิคายาห์บุตรหญิงของอุรีเอลแห่งกิเบอาห์
เกิดมีสงครามระหว่างอาบียาห์และเยโรโบอัม 3 อาบียาห์ออกไปสู้รบ มีนักรบผู้เก่งกล้า 400,000 คน และเยโรโบอัมตั้งแนวรบต่อสู้ด้วยนักรบผู้เก่งกล้า 800,000 คน 4 อาบียาห์ยืนบนภูเขาเศ-มาราอิมซึ่งอยู่ในแถบภูเขาเอฟราอิม และพูดว่า “โอ เยโรโบอัมและอิสราเอลทั้งปวง จงฟังเรา 5 พวกท่านไม่ทราบหรือว่าพระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของอิสราเอลได้มอบตำแหน่งกษัตริย์แห่งอิสราเอลแก่ดาวิดและบรรดาบุตรของท่านเป็นนิตย์ด้วยพันธสัญญาเกลือ[e] 6 ถึงกระนั้นเยโรโบอัมบุตรของเนบัท ผู้รับใช้ของซาโลมอนบุตรของดาวิด ก็ยังแข็งข้อต่อเจ้านายของตน 7 คนไร้ค่าบางคนมารวมกลุ่มกับเยโรโบอัม และต่อสู้กับเรโหโบอัมบุตรของซาโลมอน เมื่อครั้งที่เรโหโบอัมเป็นคนหนุ่มและยังอ่อนหัด และไม่แข็งแรงพอที่จะต่อสู้พวกเขาได้
8 บัดนี้ท่านทั้งหลายคิดจะต่อสู้อาณาจักรของพระผู้เป็นเจ้า ซึ่งอยู่ในมือลูกหลานของดาวิด เพราะว่าพวกท่านมีจำนวนมากมหาศาล พร้อมกับลูกโคทองคำตัวผู้ที่เยโรโบอัมสร้างให้เป็นเทพเจ้าของท่าน 9 พวกท่านได้ขับไล่บรรดาปุโรหิตของพระผู้เป็นเจ้า คือบุตรของอาโรน และขับไล่ชาวเลวีไปด้วย แล้วก็แต่งตั้งปุโรหิตของท่านเองอย่างที่บรรดาชนชาติของแผ่นดินโลกกระทำมิใช่หรือ ใครก็ตามที่มามอบโคหนุ่มตัวหนึ่งหรือแกะผู้ 7 ตัว ก็สามารถเป็นปุโรหิตของสิ่งที่ไม่ใช่เทพเจ้าเลย 10 แต่สำหรับพวกเรา พระผู้เป็นเจ้าเป็นพระเจ้าของเรา และเราไม่ได้ละทิ้งพระองค์ พวกเรามีปุโรหิตซึ่งเป็นบุตรของอาโรนที่รับใช้พระผู้เป็นเจ้า และชาวเลวีคอยรับใช้ปุโรหิต 11 ทุกเช้าและทุกเย็นพวกเขามอบสัตว์ที่เผาเป็นของถวาย และเครื่องหอมแด่พระผู้เป็นเจ้า เขาวางขนมปังไร้เชื้อบนโต๊ะทองคำบริสุทธิ์ และจุดคันประทีปทองคำทุกเวลาเย็น ด้วยว่าพวกเราปฏิบัติรับใช้พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของเรา แต่ท่านได้ละทิ้งพระองค์เสียแล้ว 12 ดูเถิด พระเจ้าสถิตกับพวกเรา พระองค์เป็นผู้นำของเรา และปุโรหิตของพระองค์เป็นผู้เป่าแตรยาวเป็นเสียงแตรศึกให้ทำสงครามสู้กับท่าน โอ บุตรของอิสราเอลเอ๋ย อย่าต่อสู้กับพระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของบรรพบุรุษของท่านเลย เพราะท่านจะไม่ได้ชัยชนะ”
13 เยโรโบอัมได้ส่งกองทหารไปซุ่มโจมตีด้านหลัง ในขณะที่ท่านอยู่ด้านหน้ากองทัพยูดาห์ กองดักซุ่มก็อยู่ด้านหลังพวกเขา 14 เมื่อยูดาห์หันไปมอง และเห็นว่าพวกเขากำลังถูกโจมตีทั้งด้านหน้าและด้านหลัง พวกเขาจึงร้องเรียกถึงพระผู้เป็นเจ้า และบรรดาปุโรหิตก็เป่าแตรยาว 15 แล้วชาวยูดาห์ก็ตะโกนก้องสนามรบ และเมื่อชายชาวยูดาห์ตะโกนขึ้นมา พระเจ้าก็ทำให้เยโรโบอัมและอิสราเอลทั้งปวงพ่ายแพ้ไปต่อหน้าอาบียาห์และยูดาห์ 16 ชาวอิสราเอลเตลิดหนีไปต่อหน้ายูดาห์ และพระเจ้ามอบพวกเขาไว้ในมือของยูดาห์ 17 อาบียาห์และพรรคพวกโหมกำลังโจมตีฝ่ายอิสราเอลจนพ่ายไป ดังนั้นทหารกล้าของอิสราเอลจึงล้มตายไป 500,000 คน 18 อิสราเอลพ่ายแพ้ในเวลานั้น และยูดาห์มีชัยชนะเพราะพวกเขาวางใจในพระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของบรรพบุรุษของเขา 19 อาบียาห์ไล่ตามเยโรโบอัม และยึดเมืองต่างๆ ไปจากท่าน ได้ทั้งเบธเอลกับหมู่บ้านรอบๆ เยชานาห์กับหมู่บ้านรอบๆ และเอโฟรนกับหมู่บ้านรอบๆ 20 เยโรโบอัมไม่สามารถฟื้นกำลังกลับมาได้อีกในสมัยของอาบียาห์ และต่อมาพระผู้เป็นเจ้าประหารท่านเสีย 21 ฝ่ายอาบียาห์ก็เข้มแข็งยิ่งขึ้น มีภรรยา 14 คน บุตรชาย 22 คน และบุตรหญิง 16 คน 22 กิจอื่นๆ ทั้งสิ้นของอาบียาห์ การดำเนินชีวิตและสิ่งที่ท่านกล่าวไว้ ก็ได้มีบันทึกไว้แล้วในพงศาวดารของอิดโดผู้เผยคำกล่าวของพระเจ้า
อาสาครองราชย์ในยูดาห์
14 อาบียาห์สิ้นชีวิตและถูกนำไปวางรวมกับบรรพบุรุษของท่าน ศพถูกบรรจุไว้ในเมืองของดาวิด อาสาผู้เป็นบุตรของท่านครองราชย์แทนท่าน ในสมัยของท่าน แผ่นดินมีความสงบสุขเป็นเวลา 10 ปี 2 อาสากระทำสิ่งที่ดีและถูกต้องในสายตาของพระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของท่าน 3 ท่านกำจัดแท่นบูชาของชนชาติอื่น และสถานบูชาบนภูเขาสูง พังเสาหลัก และฟันเทวรูปอาเชราห์ลง[f] 4 ท่านสั่งให้ชาวยูดาห์แสวงหาพระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของบรรพบุรุษของพวกเขา และให้รักษากฎบัญญัติและพระบัญญัติของพระองค์ 5 ท่านกำจัดสถานบูชาบนภูเขาสูงและแท่นสำหรับเครื่องหอมออกไปจากเมืองของยูดาห์ทุกเมือง และอาณาจักรมีความสงบสุขภายใต้การปกครองของท่าน 6 ท่านสร้างเมืองต่างๆ ที่มีการคุ้มกันอย่างแข็งแกร่งในยูดาห์ ในขณะที่แผ่นดินได้หยุดพัก ท่านไม่ต้องทำศึกสงครามในระหว่างนั้น เพราะพระผู้เป็นเจ้าให้ท่านได้รับความสงบ 7 ท่านกล่าวกับยูดาห์ว่า “เรามาสร้างเมืองเหล่านี้กันเถิด ให้เป็นเมืองที่มีกำแพงและหอคอย ประตูกับดาลประตู แผ่นดินยังเป็นของพวกเรา เพราะเราได้แสวงหาพระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของเรา เราได้แสวงหาพระองค์ และพระองค์ได้ให้พวกเรามีความสงบรอบด้าน” พวกเขาจึงสร้างและประสบความเจริญรุ่งเรือง 8 อาสามีทหารจำนวน 300,000 คน จากพงศ์พันธุ์ยูดาห์ซึ่งมีโล่และหอกขนาดใหญ่อย่างพรั่งพร้อม และมีชาย 280,000 คนจากพงศ์พันธุ์ของเบนยามินซึ่งมีโล่และธนู ชายเหล่านี้เป็นนักรบผู้เก่งกล้า
9 เศรัคชาวคูชออกมาต่อสู้กับพวกเขาด้วยทหารจำนวน 1,000,000 คน กับรถศึก 300 คัน และมาจนถึงเมืองมาเรชาห์ 10 อาสาออกไปเผชิญหน้ากับพวกเขา โดยตั้งแนวรบในหุบเขาเศฟาธาห์ที่มาเรชาห์ 11 อาสาร้องเรียกถึงพระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของท่านว่า “โอ พระผู้เป็นเจ้า ไม่มีผู้ใดเหมือนพระองค์ที่จะช่วยผู้อ่อนกำลังให้ต่อสู้กับผู้มีอำนาจมาก โอ พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของเรา โปรดช่วยพวกเราด้วย เราวางใจในพระองค์ เรามาต่อสู้คนจำนวนมหาศาลในพระนามของพระองค์ โอ พระผู้เป็นเจ้า พระองค์เป็นพระเจ้าของพวกเรา อย่าปล่อยให้มนุษย์ชนะพระองค์เลย” 12 ดังนั้นพระผู้เป็นเจ้าทำให้ชาวคูชพ่ายแพ้ต่อหน้าอาสาและยูดาห์ และชาวคูชหนีเตลิดไป 13 อาสาและคนที่อยู่กับท่านจึงไล่ตามพวกเขาไปจนถึงเมืองเก-ราร์ และชาวคูชล้มตายกันจนหมด เพราะพวกเขาถูกปราบอย่างราบคาบ ณ เบื้องหน้าพระผู้เป็นเจ้าและกองทัพของพระองค์ คนของยูดาห์ขนของที่ริบมาได้มากมาย 14 และพวกเขาโจมตีเมืองต่างๆ ที่อยู่รอบเมืองเก-ราร์ ชาวเมืองต่างเกรงกลัวพระผู้เป็นเจ้า พวกของอาสาริบสิ่งของจากเมืองทุกเมืองได้มากมาย 15 นอกจากนั้นก็ยังได้โค่นกระโจมของคนเลี้ยงสัตว์ และต้อนแพะแกะและอูฐไปได้เป็นจำนวนมาก แล้วจึงกลับไปยังเยรูซาเล็ม
อาสาปฏิรูปความเชื่อ
15 อาซาริยาห์บุตรของโอเดดเปี่ยมด้วยพระวิญญาณพระเจ้า 2 เขาออกไปพบกับอาสา และกล่าวกับท่านว่า “อาสา ยูดาห์ทั้งปวง และเบนยามิน โปรดฟังข้าพเจ้าเถิด พระผู้เป็นเจ้าสถิตกับพวกท่านในขณะที่ท่านอยู่กับพระองค์ ถ้าหากว่าท่านแสวงหาพระองค์ พวกท่านก็จะพบพระองค์ แต่ถ้าหากว่าท่านละทิ้งพระองค์ พระองค์ก็จะละทิ้งพวกท่าน 3 เป็นเวลานานแล้วที่อิสราเอลอยู่โดยปราศจากพระเจ้าที่แท้จริง ไม่มีปุโรหิตผู้สั่งสอน และห่างเหินจากกฎบัญญัติ 4 เมื่อพวกเขาเป็นทุกข์ เขาก็หันเข้าหาพระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของอิสราเอล และแสวงหาพระองค์ และพวกเขาก็พบพระองค์ 5 การเดินทางไปไหนมาไหนในสมัยก่อนไม่ปลอดภัย เพราะผู้อยู่อาศัยในแผ่นดินทุกคนต่างอยู่อย่างมีความทุกข์มาก 6 ประชาชาติแต่ละชาติและเมืองแต่ละเมืองต่างก่อกวนกันเอง เพราะพระเจ้าให้พวกเขาลำบากจากความทุกข์สารพัดที่รุมเข้ามา 7 ส่วนพวกท่าน จงกล้าหาญเถิด อย่าท้อถอย เพราะการงานที่ท่านทำจะได้รับผลตอบแทนแน่นอน”
8 ทันทีที่อาสาได้ยินอาซาริยาห์บุตรของโอเดดเผยคำกล่าว ท่านก็มีกำลังใจดีขึ้น และกำจัดพวกรูปเคารพที่น่ารังเกียจออกไปจากดินแดนของยูดาห์และเบนยามิน และจากเมืองต่างๆ ที่ท่านยึดได้ในแถบภูเขาเอฟราอิม และท่านได้ซ่อมแซมแท่นบูชาของพระผู้เป็นเจ้าที่อยู่เบื้องหน้ามุขพระตำหนักของพระผู้เป็นเจ้า 9 อาสารวบรวมคนจากยูดาห์และเบนยามินทั้งหมด และจากเอฟราอิม มนัสเสห์ และสิเมโอน ที่มาอาศัยอยู่ด้วย มีคนจำนวนมากหนีจากอิสราเอลมาหาท่าน เพราะพวกเขาเห็นว่าพระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของท่านสถิตกับท่าน 10 ผู้คนมารวมกันที่เยรูซาเล็มในเดือนที่สาม ปีที่สิบห้าแห่งรัชสมัยของอาสา 11 เขาทั้งหลายมอบเครื่องสักการะแด่พระผู้เป็นเจ้าในวันนั้น จากสิ่งที่ริบมา เป็นโคตัวผู้ 700 ตัว และแพะแกะ 7,000 ตัว 12 เขาทั้งหลายทำพันธสัญญาที่จะแสวงหาพระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของบรรพบุรุษ ด้วยสุดดวงใจและสุดดวงจิตของพวกเขา 13 ส่วนผู้ที่ไม่ยอมแสวงหาพระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของอิสราเอล ก็จะต้องรับโทษถึงชีวิต ไม่ว่าจะเป็นเด็กหรือผู้ใหญ่ ชายหรือหญิงก็ตาม 14 พวกเขาสาบานต่อพระผู้เป็นเจ้าด้วยเสียงอันดัง ด้วยเสียงโห่ร้อง เสียงแตรยาวและแตรงอน 15 ชาวยูดาห์ต่างยินดีในคำสาบาน เพราะพวกเขาได้สาบานด้วยสุดจิตสุดใจ ปรารถนาแสวงหาพระองค์ด้วยใจจริง และก็ได้พบพระองค์ พระผู้เป็นเจ้าจึงให้พวกเขาได้หยุดพักจากสงครามรอบด้าน
16 อาสาผู้เป็นกษัตริย์ถอดถอนมาอาคาห์มารดาของท่านออกจากตำแหน่งมารดากษัตริย์ด้วย เพราะนางได้สร้างเสาเทวรูปอาเชราห์ที่น่ารังเกียจ อาสาโค่นเทวรูปนาง ทุบออกเป็นเสี่ยงๆ และเผาทิ้งที่หุบเขาขิดโรน 17 แต่สถานบูชาบนภูเขาสูงไม่ถูกกำจัดออกไปจากอิสราเอล กระนั้นก็ดี อาสาก็ยังมีใจภักดีตลอดชีวิตของท่าน 18 และท่านนำของบริสุทธิ์ที่เป็นของบิดาของท่าน และที่เป็นของท่านเองด้วย เช่นเงิน ทองคำ และภาชนะ เข้าไปไว้ในพระตำหนักของพระเจ้า 19 และไม่มีสงครามอีก จนกระทั่งปีที่สามสิบห้าของรัชสมัยของอาสา
ปีท้ายๆ ในสมัยของอาสา
16 ในปีที่สามสิบหกของรัชสมัยของอาสา บาอาชากษัตริย์แห่งอิสราเอลขึ้นไปโจมตียูดาห์ และสร้างเมืองรามาห์ให้แข็งแกร่ง เพื่อป้องกันไม่ให้ใครไปมาหาสู่กับอาสาผู้เป็นกษัตริย์แห่งยูดาห์ 2 อาสาจึงนำเงินและทองคำที่มาจากคลังพระตำหนักของพระผู้เป็นเจ้า และวังของกษัตริย์ และส่งไปยังเบนฮาดัดกษัตริย์แห่งอารัม ผู้อาศัยอยู่ในเมืองดามัสกัส พร้อมกับกล่าวว่า 3 “ขอให้ทำสัญญาระหว่างท่านกับเราเหมือนกับที่บิดาของท่านและของเราทำ ดูเถิด เราได้ส่งเงินและทองคำมาให้ท่าน ขอท่านตัดความสัมพันธ์กับบาอาชากษัตริย์แห่งอิสราเอลเถิด ท่านจะได้ถอนทัพออกไปจากดินแดนของเรา” 4 เบนฮาดัดฟังคำของอาสาผู้เป็นกษัตริย์ และส่งบรรดาผู้บังคับกองพันของท่านไปโจมตีเมืองต่างๆ ของอิสราเอล และยึดเมืองอิโยน ดาน อาเบลมาอิม และเมืองคลังหลวงของนัฟทาลีทั้งหมด 5 เมื่อบาอาชาทราบดังนั้น ท่านจึงหยุดการก่อสร้างเมืองรามาห์ และทิ้งงานค้างไว้ 6 และอาสาผู้เป็นกษัตริย์ก็นำคนของยูดาห์มาทั้งหมด ขนหินและไม้ที่บาอาชาใช้สร้างรามาห์ แล้วเอามาสร้างเมืองเก-บาและเมืองมิสปาห์
7 ในครั้งนั้นฮานานีผู้รู้มาหาอาสาผู้เป็นกษัตริย์แห่งยูดาห์ และพูดกับท่านว่า “เหตุเพราะท่านไว้วางใจในกษัตริย์แห่งอารัม และไม่วางใจพระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของท่าน กองทัพของกษัตริย์แห่งอารัมจึงหนีรอดไปจากท่านได้ 8 ชาวคูชและชาวลิเบียมิใช่หรือ ที่เป็นกองทัพใหญ่พร้อมด้วยรถศึกและทหารม้า แต่เพราะท่านวางใจพระผู้เป็นเจ้า พระองค์จึงมอบพวกเขาไว้ในมือของท่าน 9 เพราะว่าพระผู้เป็นเจ้าเฝ้าจับตามองไปทั่วแผ่นดินโลก เพื่อเสริมกำลังแก่บรรดาผู้ที่มุ่งมั่นต่อพระองค์ แต่ท่านกลับทำตัวอย่างคนเขลา จากนี้ไปท่านจะต้องเผชิญกับสงคราม” 10 อาสาจึงโกรธผู้รู้ และสั่งให้จำจองเขา เรื่องนี้ทำให้ท่านโกรธมาก และในเวลาเดียวกันอาสาก็กดขี่ข่มเหงประชาชนบางคนอย่างทารุณด้วย
11 กิจอื่นๆ ทั้งสิ้นของอาสา ตั้งแต่ต้นจนจบ ก็ได้มีบันทึกไว้แล้วในหนังสือของบรรดากษัตริย์แห่งยูดาห์และอิสราเอล 12 ในปีที่สามสิบเก้าของรัชสมัยของอาสา ท่านเป็นโรคที่เท้าขั้นรุนแรงมาก แม้กระนั้นท่านก็ยังไม่แสวงหาพระผู้เป็นเจ้า แต่ไปหาความช่วยเหลือจากแพทย์เท่านั้น 13 ในปีที่สี่สิบเอ็ดของรัชสมัยของท่าน อาสาสิ้นชีวิตและถูกนำไปวางรวมกับบรรพบุรุษของท่าน 14 พวกเขาบรรจุศพท่านไว้ในถ้ำที่ท่านได้สกัดไว้เองในเมืองของดาวิด ศพถูกวางไว้บนแคร่ที่เต็มด้วยเครื่องเทศและน้ำหอมสารพัดชนิด ซึ่งนักปรุงเครื่องหอมเป็นผู้เตรียมให้ และมีการจุดเพลิงใหญ่ให้สมเกียรติของท่าน
เยโฮชาฟัทครองราชย์ในยูดาห์
17 เยโฮชาฟัทบุตรของท่านครองราชย์แทนท่าน และเสริมกำลังของยูดาห์ให้มั่นคงขึ้นเพื่อต่อสู้กับอิสราเอล 2 ท่านให้ทหารประจำอยู่ในเมืองที่คุ้มกันไว้อย่างแข็งแกร่งทุกเมืองในยูดาห์ และตั้งด่านชั้นนอกหลายด่านในดินแดนของยูดาห์ และในเมืองต่างๆ ของเอฟราอิม ซึ่งอาสาบิดาของท่านยึดไว้ได้ 3 พระผู้เป็นเจ้าสถิตกับเยโฮชาฟัท เพราะท่านดำเนินชีวิตในระยะแรกตามแบบอย่างของดาวิดบรรพบุรุษของท่าน ท่านไม่ได้หันไปเชื่อเทพเจ้าบาอัล 4 แต่แสวงหาพระเจ้าของบรรพบุรุษ และดำเนินในวิถีทางพระบัญญัติ และไม่ปฏิบัติตามอย่างอิสราเอล 5 ฉะนั้นพระผู้เป็นเจ้าจึงสถาปนาอาณาจักรไว้ในมือของท่าน คนทั้งปวงในยูดาห์นำของกำนัลมามอบแก่เยโฮชาฟัท ท่านพร้อมพรั่งด้วยทรัพย์สมบัติและเกียรติยศ 6 ท่านมีจิตใจกล้าหาญในวิถีทางของพระผู้เป็นเจ้า และยิ่งกว่านั้น ท่านยังได้กำจัดสถานบูชาบนภูเขาสูงและเทวรูปอาเชราห์ออกไปจากยูดาห์
7 ในปีที่สามของรัชสมัยของท่าน ท่านให้เบนฮาอิล โอบาดีห์ เศคาริยาห์ เนธันเอล และมิคายาห์ ซึ่งเป็นข้าราชการของท่าน ไปสอนตามเมืองต่างๆ ของยูดาห์ 8 มีชาวเลวีที่ไปด้วยคือ เชไมยาห์ เนธานิยาห์ เศบาดิยาห์ อาสาเฮล เชมิราโมท เยโฮนาธาน อาโดนียาห์ โทบียาห์ และโทบ-อาโดนิยาห์ มีปุโรหิตที่ไปด้วยคือ เอลีชามา และเยโฮรัม 9 คนเหล่านี้มีหนังสือกฎบัญญัติของพระผู้เป็นเจ้าติดตัวไปด้วย เพื่อใช้สอนในยูดาห์ เขาไปสอนประชาชนทั่วทุกเมืองของยูดาห์
10 อาณาจักรโดยรอบดินแดนยูดาห์ก็เกิดความหวาดกลัวพระผู้เป็นเจ้า และพวกเขาไม่ทำสงครามกับเยโฮชาฟัท 11 พวกฟีลิสเตียบางคนนำของกำนัลและเงินมามอบแก่เยโฮชาฟัท ชาวอาหรับก็นำแกะผู้ 7,700 ตัว และแพะ 7,700 ตัวมามอบแก่ท่านด้วย 12 เยโฮชาฟัทมีอำนาจมากยิ่งขึ้น ท่านเสริมสร้างป้อมปราการและเมืองคลังหลวงหลายแห่ง 13 ท่านมีเสบียงสะสมไว้มากในเมืองต่างๆ ของยูดาห์ ท่านมีทหารและนักรบผู้เก่งกล้าในเยรูซาเล็ม 14 รวบรวมรายชื่อของพวกเขาตามตระกูลคือ จากเผ่ายูดาห์ มีผู้บังคับกองพันคือ อัดนาห์ เป็นผู้ควบคุมนักรบผู้เก่งกล้า 300,000 คน 15 ผู้บังคับกองพันคนต่อไปคือ เยโฮฮานันเป็นผู้ควบคุม 280,000 คน 16 คนต่อไปคือ อามัสยาห์บุตรของศิครี ผู้ถวายตัวด้วยความสมัครใจต่อพระผู้เป็นเจ้า ควบคุมนักรบผู้เก่งกล้า 200,000 คน 17 จากเผ่าเบนยามินคือ เอลียาดานักรบผู้เก่งกล้า ควบคุม 200,000 คนที่มีธนูและโล่เตรียมไว้พร้อมแล้ว 18 คนต่อไปคือ เยโฮซาบาด ควบคุม 180,000 คนที่ถืออาวุธพร้อมสู้รบ 19 คนเหล่านี้รับใช้กษัตริย์ ซึ่งนอกเหนือจากบรรดาผู้ที่กษัตริย์ได้ส่งไปประจำอยู่ในเมืองที่คุ้มกันไว้อย่างแข็งแกร่งทั่วยูดาห์
เยโฮชาฟัทเป็นพันธมิตรกับอาหับ
18 เยโฮชาฟัทมีทรัพย์สมบัติและเกียรติยศมาก และท่านเป็นพันธมิตรกับอาหับโดยการสมรส 2 หลายปีต่อมา ท่านลงไปเยี่ยมเยียนอาหับที่สะมาเรีย อาหับก็ให้ฆ่าแกะและโคมากมายเพื่อเลี้ยงรับรองท่านและผู้ติดตาม แล้วก็ชักชวนท่านให้ขึ้นไปโจมตีราโมทกิเลอาด 3 อาหับกษัตริย์แห่งอิสราเอลพูดกับเยโฮชาฟัทกษัตริย์แห่งยูดาห์ว่า “ท่านจะไปราโมทกิเลอาดด้วยกันกับเราไหม” ท่านตอบว่า “เราพร้อมจะไปอย่างแน่นอน ทหารของเราก็เป็นเหมือนทหารของท่าน เราจะไปรบด้วยกันกับท่าน”
4 และเยโฮชาฟัทพูดกับกษัตริย์แห่งอิสราเอลว่า “ขอให้ท่านถามพระผู้เป็นเจ้าก่อน” 5 กษัตริย์แห่งอิสราเอลจึงเรียกประชุมบรรดาผู้เผยคำกล่าว 400 คน และถามว่า “พวกเราควรจะไปโจมตีราโมทกิเลอาด หรือว่าเราควรจะยั้งไว้ก่อน” เขาทั้งหลายตอบว่า “ขึ้นไปเถิด เพราะว่าพระเจ้าจะมอบเมืองนั้นไว้ในมือของกษัตริย์” 6 แต่เยโฮชาฟัทถามว่า “ที่นี่ไม่มีผู้เผยคำกล่าวของพระผู้เป็นเจ้าที่พวกเราจะถามได้อีกหรือ” 7 กษัตริย์แห่งอิสราเอลพูดกับเยโฮชาฟัทว่า “ยังมีอีกคนที่พวกเราจะถามพระผู้เป็นเจ้าผ่านเขาได้ มิคายาห์บุตรของอิมลาห์ แต่เราเกลียดชังเขา เพราะเขาไม่เคยเผยความเกี่ยวกับเราในเรื่องดี มีแต่เรื่องร้าย” และเยโฮชาฟัทพูดว่า “ขอท่านอย่าพูดเช่นนั้นเลย” 8 แล้วกษัตริย์แห่งอิสราเอลก็เรียกขันทีคนหนึ่งมา และสั่งว่า “พามิคายาห์บุตรของอิมลาห์มาโดยด่วน” 9 กษัตริย์แห่งอิสราเอลและเยโฮชาฟัทกษัตริย์แห่งยูดาห์ก็กำลังนั่งบนบัลลังก์ ทรงเครื่องด้วยเสื้อคลุมของกษัตริย์ อยู่ที่ลานนวดข้าว ที่ทางเข้าของประตูเมืองสะมาเรีย และบรรดาผู้เผยคำกล่าวก็กำลังเผยความต่อหน้าท่านทั้งสอง 10 เศเดคียาห์บุตรเค-นาอะนาห์ ได้ทำเขาสัตว์ด้วยเหล็กกล้าคู่หนึ่ง เขาพูดว่า “พระผู้เป็นเจ้ากล่าวว่า ‘เจ้าจะโจมตีชาวอารัมจนกระทั่งพวกเขาพินาศไปด้วยเขาสัตว์นี้’” 11 และบรรดาผู้เผยคำกล่าวเห็นด้วย และพูดว่า “จงขึ้นไปโจมตีราโมทกิเลอาด และท่านจะชนะ พระผู้เป็นเจ้าจะมอบเมืองนั้นไว้ในมือของกษัตริย์”
12 ผู้ถือสาสน์เป็นคนที่ไปเรียกมิคายาห์ให้มา และบอกเขาว่า “ดูเถิด บรรดาผู้เผยคำกล่าวของพระเจ้าพูดกันเป็นเสียงเดียวถึงเรื่องของกษัตริย์ในทางที่ดีงาม” 13 แต่มิคายาห์พูดว่า “ตราบที่พระผู้เป็นเจ้ามีชีวิตอยู่ฉันใด พระเจ้าบอกข้าพเจ้าอย่างไร ข้าพเจ้าก็จะพูดไปตามนั้น” 14 เมื่อเขามาเข้าเฝ้ากษัตริย์ กษัตริย์กล่าวกับเขาว่า “มิคายาห์ พวกเราควรจะไปโจมตีราโมทกิเลอาด หรือว่าเราควรจะยั้งไว้ก่อน” เขาตอบกษัตริย์ว่า “ขึ้นไปเถิด และท่านจะชนะ พวกเขาจะถูกมอบไว้ในมือของท่าน” 15 แต่กษัตริย์กล่าวกับเขาว่า “เราควรจะให้ท่านสาบานกี่ครั้งว่า ท่านพูดแต่ความจริงกับเราในพระนามของพระผู้เป็นเจ้า” 16 มิคายาห์จึงตอบว่า “ข้าพเจ้าเห็นทหารอิสราเอลทั้งปวงกระจัดกระจายอยู่บนภูเขา ประหนึ่งฝูงแกะที่ปราศจากผู้เลี้ยงดู และพระผู้เป็นเจ้ากล่าวว่า ‘คนเหล่านี้ขาดเจ้านาย ปล่อยให้ทุกคนกลับบ้านไปด้วยความปลอดภัยเถิด’” 17 และกษัตริย์แห่งอิสราเอลกล่าวกับเยโฮชาฟัทว่า “เราบอกท่านแล้วมิใช่หรือว่า เขาจะไม่ประกาศสิ่งดีใดๆ ที่พระเจ้าเปิดเผยให้ทราบ มีแต่เรื่องร้าย” 18 มิคายาห์กล่าวว่า “ฉะนั้นจงฟังคำของพระผู้เป็นเจ้าเถิด ข้าพเจ้าเห็นพระผู้เป็นเจ้าสถิตบนบัลลังก์ของพระองค์ และบรรดาชาวสวรรค์กำลังยืนอยู่ที่เบื้องขวาและเบื้องซ้าย 19 และพระผู้เป็นเจ้ากล่าวว่า ‘ใครจะหลอกล่ออาหับกษัตริย์แห่งอิสราเอลให้ไปยังราโมทกิเลอาด เขาจะได้จบชีวิตลงที่นั่น’ ทูตสวรรค์องค์หนึ่งพูดอย่างหนึ่ง และทูตสวรรค์อีกองค์ก็พูดอีกอย่าง 20 ครั้นแล้ว วิญญาณดวงหนึ่งก็มายืน ณ เบื้องหน้าพระผู้เป็นเจ้า และกล่าวว่า ‘ข้าพเจ้าจะไปหลอกล่ออาหับเอง’ และพระผู้เป็นเจ้ากล่าวกับวิญญาณว่า ‘ด้วยวิธีไหน’ 21 วิญญาณตอบว่า ‘ข้าพเจ้าจะไปทำให้บรรดาผู้เผยคำกล่าวของอาหับพูดเท็จ’ พระผู้เป็นเจ้ากล่าวว่า ‘เจ้าจะไปหลอกล่อเขาได้สำเร็จ ไปทำตามนั้นเถิด’ 22 ดังนั้น ดูเถิด พระผู้เป็นเจ้าได้ทำให้บรรดาผู้เผยคำกล่าวของท่านพูดเท็จ เพราะว่าพระผู้เป็นเจ้าบอกล่วงหน้าว่าสิ่งเลวร้ายจะเกิดขึ้นกับท่าน”
23 แล้วเศเดคียาห์บุตรของเค-นาอะนาห์เข้ามาใกล้ และตบหน้ามิคายาห์ และพูดว่า “พระวิญญาณพระผู้เป็นเจ้าจากเราไป และไปพูดกับเจ้าได้อย่างไร” 24 มิคายาห์พูดว่า “ดูเถิด ท่านจะเห็นในวันนั้น เวลาที่ท่านเข้าไปซ่อนตัวในห้องชั้นใน” 25 กษัตริย์แห่งอิสราเอลกล่าวว่า “จงจับตัวมิคายาห์ไว้ และพาตัวกลับไปให้อาโมน ผู้ว่าราชการเมือง และโยอาชบุตรของกษัตริย์ 26 และบอกว่า ‘กษัตริย์กล่าวดังนี้ “จำคุกชายคนนี้เสีย และประทังชีวิตเขาด้วยขนมปังและน้ำเท่านั้น จนกว่าเราจะกลับมาอย่างปลอดภัย”’” 27 และมิคายาห์พูดว่า “ถ้าท่านกลับมาอย่างปลอดภัย พระผู้เป็นเจ้าก็ไม่ได้กล่าวผ่านข้าพเจ้า” และพูดต่ออีกว่า “ขอให้ท่านทุกคนฟังไว้เถิด”
อาหับถูกฆ่าในสนามรบ
28 ดังนั้น กษัตริย์แห่งอิสราเอลและเยโฮชาฟัทกษัตริย์แห่งยูดาห์ก็ไปโจมตีเมืองราโมทกิเลอาด 29 กษัตริย์แห่งอิสราเอลกล่าวกับเยโฮชาฟัทว่า “เราจะปลอมตัวเข้าไปในสนามรบ ส่วนท่านก็สวมเสื้อคลุมของกษัตริย์ไป” ดังนั้นกษัตริย์แห่งอิสราเอลจึงปลอมตัวเข้าไปในสนามรบ 30 ฝ่ายกษัตริย์แห่งอารัมได้สั่งผู้บัญชาการรถศึกว่า “ไม่ต้องต่อสู้กับผู้ใดเลย นอกจากกษัตริย์แห่งอิสราเอลเท่านั้น” 31 เมื่อบรรดาผู้บัญชาการรถศึกเห็นเยโฮชาฟัท ก็พูดว่า “นั่นเป็นกษัตริย์แห่งอิสราเอล” ดังนั้นพวกเขาจึงหันไปโจมตีท่าน แต่เยโฮชาฟัทก็ส่งเสียงร้อง และพระผู้เป็นเจ้าก็ช่วยท่าน 32 ครั้นผู้บัญชาการรถศึกทราบว่า ท่านไม่ใช่กษัตริย์แห่งอิสราเอล จึงได้ถอยกลับ และหยุดตามไล่ฆ่าท่าน 33 แต่ชายผู้หนึ่งสุ่มยิงธนูออกไป ลูกธนูเจาะระหว่างเกราะป้องกันตัวกับเกราะหุ้มหน้าอกกษัตริย์แห่งอิสราเอล ดังนั้นท่านสั่งสารถีว่า “หันกลับไป พาเราออกจากสนามรบ เพราะเราบาดเจ็บ” 34 การสู้รบในวันนั้นก็ดำเนินต่อไป และกษัตริย์แห่งอิสราเอลถูกพยุงตัวขึ้นในรถศึกโดยหันหน้าไปทางชาวอารัมจนถึงเวลาเย็น ท่านสิ้นชีวิตตอนตะวันตกดิน
การปฏิรูปของเยโฮชาฟัท
19 เยโฮชาฟัทกษัตริย์แห่งยูดาห์กลับวังของท่านในเยรูซาเล็มด้วยความปลอดภัย 2 เยฮูบุตรของฮานานีผู้รู้ออกไปพบกับท่าน และพูดกับกษัตริย์เยโฮชาฟัทว่า “ท่านควรจะช่วยเหลือคนชั่ว และรักพวกที่เกลียดพระผู้เป็นเจ้าหรือ เป็นเพราะเรื่องนี้ พระผู้เป็นเจ้าจึงโกรธท่าน 3 อย่างไรก็ตาม ท่านยังมีความดีอยู่บ้าง เพราะท่านได้ทำลายเทวรูปอาเชราห์ให้หมดสิ้นจากแผ่นดิน และได้มุ่งมั่นแสวงหาพระเจ้า”
4 เยโฮชาฟัทอาศัยอยู่ที่เยรูซาเล็ม ท่านออกไปท่ามกลางประชาชนอีก ตั้งแต่เบเออร์เช-บาถึงแถบภูเขาเอฟราอิม และนำพวกเขากลับมาหาพระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของบรรพบุรุษของพวกเขา 5 ท่านแต่งตั้งบรรดาผู้พิพากษาในแผ่นดินให้กับทุกๆ เมืองที่คุ้มกันไว้อย่างแข็งแกร่งของยูดาห์ 6 ท่านกล่าวกับบรรดาผู้พิพากษาว่า “จงตริตรองสิ่งที่ท่านปฏิบัติให้ดี เพราะว่าท่านไม่ได้พิพากษาเพื่อมนุษย์ แต่เพื่อพระผู้เป็นเจ้า พระองค์สถิตกับท่านในการพิพากษา 7 ฉะนั้น ขอให้ความเกรงกลัวพระผู้เป็นเจ้าจงอยู่ในตัวท่านเถิด จงปฏิบัติด้วยความระมัดระวัง เพราะว่าพระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของเรายุติธรรมเสมอ พระองค์ไม่ลำเอียง และไม่รับสินบน”
8 นอกจากนั้น เยโฮชาฟัทยังได้แต่งตั้งชาวเลวี ปุโรหิต และหัวหน้าครอบครัวของอิสราเอลบางคนในเยรูซาเล็ม ให้เป็นผู้พิพากษาเพื่อพระผู้เป็นเจ้า และตัดสินคดีโต้แย้งในหมู่ผู้ที่อาศัยอยู่ในเยรูซาเล็ม 9 ท่านบัญชาพวกเขาว่า “พวกท่านจงปฏิบัติด้วยความเกรงกลัวพระผู้เป็นเจ้า ด้วยความภักดี และด้วยสุดจิตสุดใจของท่าน 10 เมื่อใดก็ตามที่พี่น้องของท่านผู้อาศัยอยู่ในเมือง นำคดีมาให้ท่านพิจารณาในเรื่องเกี่ยวกับการฆ่าฟัน กฎบัญญัติ พระบัญญัติ กฎเกณฑ์ หรือโทษทัณฑ์ ท่านก็จงเตือนพวกเขาไม่ให้กระทำผิดต่อพระผู้เป็นเจ้า และการลงโทษจะไม่ตกอยู่กับพวกท่านและพี่น้องของท่าน ท่านปฏิบัติตามนั้น แล้วท่านก็จะไม่มีความผิด 11 ดูเถิด อามาริยาห์มหาปุโรหิตเป็นผู้ดูแลพวกท่านในทุกเรื่องที่เกี่ยวกับพระผู้เป็นเจ้า และเศบาดิยาห์บุตรอิชมาเอล ผู้เป็นหัวหน้าของพงศ์พันธุ์ยูดาห์จะดูแลพวกท่านในทุกเรื่องที่เกี่ยวกับกษัตริย์ และชาวเลวีจะเป็นเจ้าหน้าที่รับใช้ท่าน จงเข้มแข็งในการปฏิบัติงาน และขอพระผู้เป็นเจ้าสถิตกับผู้กระทำสิ่งที่ถูกต้อง”
เยโฮชาฟัทอธิษฐาน
20 ต่อมาหลังจากนั้น ชาวโมอับ ชาวอัมโมน และชาวเมอูนบางคนยกทัพมาโจมตีเยโฮชาฟัท 2 มีคนมารายงานเยโฮชาฟัทว่า “มีกองทัพใหญ่จากเอโดมจะเข้าโจมตีท่าน เขามาจากอีกฟากของทะเล ดูเถิด พวกเขาอยู่ในฮาซาโซนทามาร์” (คือ เอนเกดี) 3 เยโฮชาฟัทก็ตกใจกลัวมาก และหันเข้าหาพระผู้เป็นเจ้า ประกาศให้คนทั่วทั้งยูดาห์อดอาหาร 4 และชาวยูดาห์ก็เรียกประชุมเพื่อขอความช่วยเหลือจากพระผู้เป็นเจ้า พวกเขามาจากทุกเมืองของยูดาห์เพื่อแสวงหาพระผู้เป็นเจ้า
5 เยโฮชาฟัทยืนอยู่ในที่ประชุมของยูดาห์และเยรูซาเล็ม ในพระตำหนักของพระผู้เป็นเจ้า ตรงเบื้องหน้าลานใหม่ 6 และกล่าวว่า “โอ พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของบรรพบุรุษของเรา พระองค์เป็นพระเจ้าของฟ้าสวรรค์มิใช่หรือ พระองค์ปกครองทั่วทุกอาณาจักรของบรรดาประชาชาติ อานุภาพและพลังเป็นของพระองค์ 7 โอ พระเจ้าของเรา พระองค์ขับไล่ผู้อยู่อาศัยของแผ่นดินนี้ออกไปต่อหน้าคนของอิสราเอล และมอบให้แก่บรรดาผู้สืบเชื้อสายของอับราฮัมสหายของพระองค์ ตลอดไปมิใช่หรือ 8 และพวกเขาได้อาศัยอยู่ในนั้น และได้สร้างที่พำนักให้แด่พระองค์ในนั้นเพื่อพระนามของพระองค์ 9 พวกเขาพูดว่า ‘ถ้าความวิบัติมาถึงพวกเรา ไม่ว่าจะเป็นดาบแห่งการลงโทษ โรคระบาด หรือทุพภิกขภัย เราจะยืน ณ เบื้องหน้าพระองค์ และที่หน้าพระตำหนักนี้ เพราะพระนามของพระองค์อยู่ในพระตำหนักนี้ และเราส่งเสียงร้องต่อพระองค์เพราะเป็นทุกข์ พระองค์จะได้ยินและจะช่วยให้รอดพ้น’ 10 ดูเถิด เวลานี้พวกอัมโมน พวกโมอับ และพวกภูเขาเสอีร์ ที่พระองค์ไม่ยอมให้อิสราเอลบุกรุกขณะที่ออกจากแผ่นดินอียิปต์ อิสราเอลจึงได้หันกลับออกไปและไม่ได้ทำลายพวกเขา[g] 11 ดูเถิด เขาเหล่านั้นตอบกลับพวกเราด้วยการมาขับไล่เราให้ออกไปจากแผ่นดินของพระองค์ ซึ่งพระองค์ได้มอบให้แก่พวกเราเป็นมรดก 12 โอ พระเจ้าของเรา พระองค์จะไม่ตัดสินโทษพวกเขาหรือ เพราะพวกเราอ่อนกำลังที่จะปะทะกับกองทัพใหญ่ที่กำลังจะโจมตีพวกเรา พวกเราไม่ทราบว่าจะทำอย่างไร แต่ก็เห็นว่าพระองค์เท่านั้นเป็นที่พึ่งของเรา”
13 ยูดาห์ทั้งปวงยืนอยู่ ณ เบื้องหน้าพระผู้เป็นเจ้า พร้อมด้วยภรรยา ลูกๆ และเด็กเล็กๆ ของพวกเขา 14 และยาฮาซีเอลชาวเลวีผู้สืบเชื้อสายของอาสาฟเปี่ยมด้วยพระวิญญาณพระผู้เป็นเจ้า ในท่ามกลางที่ประชุม ยาฮาซีเอลเป็นบุตรของเศคาริยาห์ เศคาริยาห์เป็นบุตรของเบไนยาห์ เบไนยาห์เป็นบุตรเยอีเอล เยอีเอลเป็นบุตรของมัทธานิยาห์ 15 เขาพูดว่า “ยูดาห์ทั้งปวง ผู้อยู่อาศัยของเยรูซาเล็ม และกษัตริย์เยโฮชาฟัท ขอท่านฟังสิ่งที่พระผู้เป็นเจ้ากล่าวแก่ท่านดังนี้ ‘อย่ากลัวและอย่าท้อถอยเรื่องกองทัพใหญ่นี้ เพราะว่าสงครามครั้งนี้ไม่ใช่ของท่าน แต่เป็นของพระเจ้า 16 จงลงไปต่อสู้กับพวกเขาในวันพรุ่งนี้ ดูเถิด พวกเขาจะขึ้นมาทางข้ามที่เนินเขาศิส เจ้าจะพบกับพวกเขาที่ท้ายหุบเขา ทางทิศตะวันออกของถิ่นทุรกันดารเยรูเอล 17 เจ้าไม่จำเป็นจะต้องต่อสู้ในสงครามครั้งนี้ จงมั่นใจได้ เข้าประจำที่ และเจ้าจะเห็นว่าพระผู้เป็นเจ้าจะช่วยเจ้าให้รอดพ้น โอ ยูดาห์และเยรูซาเล็ม’ อย่ากลัวและอย่าท้อถอยเลย จงออกไปต่อสู้กับพวกเขาในวันพรุ่งนี้ และพระผู้เป็นเจ้าจะสถิตกับท่าน”
18 ครั้นแล้วเยโฮชาฟัทก็ก้มหน้าลง ยูดาห์ทั้งปวงและผู้อยู่อาศัยของเยรูซาเล็มก็ก้มตัวลงกราบนมัสการพระผู้เป็นเจ้า 19 ชาวเลวีที่เป็นชาวโคฮาทและชาวโคราห์ก็ยืนขึ้นและสรรเสริญพระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของอิสราเอลด้วยเสียงอันดัง
20 เขาเหล่านั้นลุกขึ้นแต่เช้าตรู่ และเข้าไปยังถิ่นทุรกันดารเทโคอา ในขณะที่กำลังไป เยโฮชาฟัทยืนขึ้นพูดว่า “ยูดาห์และผู้อยู่อาศัยของเยรูซาเล็มจงฟังเรา พวกท่านจงเชื่อมั่นในพระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของท่าน แล้วท่านจะยืนหยัดอยู่ได้ จงเชื่อบรรดาผู้เผยคำกล่าวของพระองค์ และท่านจะได้รับความสำเร็จ” 21 หลังจากที่ท่านได้ปรึกษากับประชาชนแล้ว ท่านก็กำหนดบรรดาผู้ที่จะร้องเพลงถวายแด่พระผู้เป็นเจ้า และสรรเสริญพระองค์ในความบริสุทธิ์ของพระองค์ ขณะที่พวกเขาเดินนำหน้ากองทัพออกไป และร้องว่า
“จงขอบคุณพระผู้เป็นเจ้า
เพราะความรักอันมั่นคงของพระองค์ดำรงอยู่ตลอดกาล”
22 เมื่อพวกเขาเริ่มร้องเพลงและสรรเสริญ พระผู้เป็นเจ้าก็ให้มีกองดักซุ่มออกมาต่อสู้กับชาวอัมโมน โมอับ และภูเขาเสอีร์ ที่มาบุกรุกยูดาห์ พวกเขาจึงถูกตีพ่ายไป 23 ชาวอัมโมนและโมอับลุกขึ้นต่อสู้กับผู้อยู่อาศัยของภูเขาเสอีร์ และทำลายพวกเขาจนราบคาบ เมื่อกำจัดผู้อยู่อาศัยของภูเขาเสอีร์เสร็จสิ้นแล้ว ทั้งสองฝ่ายกลับหันมาต่อสู้กันเอง
พระผู้เป็นเจ้าช่วยยูดาห์ให้รอดพ้น
24 เมื่อยูดาห์มาถึงหอคอยในถิ่นทุรกันดาร พวกเขาก็มองไปทางกองทัพใหญ่ ดูเถิด มีแต่ร่างคนตายนอนอยู่บนพื้นดิน ไม่มีผู้ใดรอดชีวิตไปได้ 25 เมื่อเยโฮชาฟัทและประชาชนมาเก็บของที่ริบได้จากการสู้รบ ก็พบสิ่งของมากมาย มีสิ่งของเครื่องใช้ เสื้อผ้า และของมีค่า เขาแบกขนสิ่งเหล่านี้ไปจนแบกกันไม่ไหวเพราะมีมากเหลือเกิน ต้องใช้เวลาถึง 3 วัน 26 วันที่สี่เขาทั้งหลายประชุมในหุบเขาเบ-ราคาห์ และสรรเสริญพระผู้เป็นเจ้าที่นั่น ดังนั้นสถานที่นั้นจึงชื่อว่า หุบเขาเบ-ราคาห์ มาจนถึงทุกวันนี้ 27 แล้วเยโฮชาฟัทก็นำทุกคนของยูดาห์และเยรูซาเล็มกลับบ้านไปที่เยรูซาเล็มด้วยความยินดี พระผู้เป็นเจ้าทำให้เขาทั้งหลายสุขใจที่ชนะพวกศัตรู 28 เขาทั้งหลายกลับมายังเยรูซาเล็มด้วยพิณสิบสาย พิณเล็ก และแตรยาว มายังพระตำหนักของพระผู้เป็นเจ้า 29 อาณาจักรของแผ่นดินทั้งปวงจึงเกิดความหวาดกลัวพระเจ้า เมื่อพวกเขาทราบว่าพระผู้เป็นเจ้าได้ต่อสู้กับพวกศัตรูของอิสราเอล 30 ดังนั้นอาณาจักรของเยโฮชาฟัทจึงมีสันติสุข เพราะพระเจ้าของท่านให้ท่านได้หยุดพักจากศึกรอบด้าน
31 เยโฮชาฟัทปกครองยูดาห์ ท่านมีอายุ 35 ปีเมื่อเริ่มเป็นกษัตริย์ และท่านครองราชย์ในเยรูซาเล็ม 25 ปี มารดาของท่านชื่ออาซูบาห์บุตรหญิงของชิลฮิ 32 ท่านดำเนินชีวิตตามแบบอย่างอาสาบิดาของท่าน ท่านไม่ได้หันเหไปจากนั้น กระทำสิ่งที่ถูกต้องในสายตาของพระผู้เป็นเจ้า 33 แต่อย่างไรก็ดี สถานบูชาบนภูเขาสูงยังไม่ถูกกำจัดไป และประชาชนก็ยังไม่มีจิตมุ่งมั่นในพระเจ้าของบรรพบุรุษของพวกเขา
34 กิจอื่นๆ ทั้งสิ้นของเยโฮชาฟัทตั้งแต่ต้นจนจบ ก็มีเขียนไว้แล้วในหนังสือแห่งพงศาวดารของเยฮูบุตรฮานานี ซึ่งมีบันทึกไว้ในหนังสือของบรรดากษัตริย์แห่งอิสราเอล
การครองราชย์ของเยโฮชาฟัทสิ้นสุดลง
35 ต่อมาหลังจากนั้น เยโฮชาฟัทกษัตริย์แห่งยูดาห์สัญญาร่วมกับอาหัสยาห์กษัตริย์แห่งอิสราเอลผู้ประพฤติชั่ว 36 เยโฮชาฟัทร่วมกับอาหัสยาห์ในการต่อกองเรือเดินทะเลเพื่อไปยังเมืองทาร์ชิช ท่านทั้งสองใช้เอซีโอนเกเบอร์เป็นสถานที่ต่อเรือ 37 เอลีเอเซอร์บุตรโดดาวาหุแห่งเมืองมาเรชาห์เผยความต่อต้านเยโฮชาฟัทว่า “เพราะท่านได้ร่วมงานกับอาหัสยาห์ พระผู้เป็นเจ้าจะทำลายสิ่งที่ท่านได้สร้างไว้” แล้วเรือก็แตกและแล่นไปยังเมืองทาร์ชิชไม่ได้
เยโฮรัมครองราชย์ในยูดาห์
21 เยโฮชาฟัทสิ้นชีวิตและถูกนำไปวางรวมกับบรรพบุรุษของท่าน ศพถูกบรรจุไว้ในเมืองของดาวิด และเยโฮรัมบุตรของท่านครองราชย์แทนท่าน 2 ท่านมีพี่น้องที่เป็นบุตรของเยโฮชาฟัทคือ อาซาริยาห์ เยฮีเอล เศคาริยาห์ อาซาริยาห์ มีคาเอล และเชฟาทิยาห์ พวกเขาเป็นบุตรของเยโฮชาฟัทกษัตริย์แห่งอิสราเอล[h] 3 สิ่งที่บิดาของพวกเขามอบให้ก็คือ เงิน ทองคำ และของมีค่า พร้อมทั้งเมืองในยูดาห์ที่คุ้มกันไว้อย่างแข็งแกร่ง แต่ท่านมอบอาณาจักรให้แก่เยโฮรัมเพราะว่าท่านเป็นบุตรหัวปี 4 เมื่อเยโฮรัมขึ้นครองบัลลังก์ของบิดา และมั่นคงแล้ว ท่านก็สังหารพี่น้องของท่านทุกคนด้วยดาบ และยังสังหารผู้นำบางคนของอิสราเอลด้วย 5 เยโฮรัมมีอายุ 32 ปีเมื่อเริ่มเป็นกษัตริย์ และท่านครองราชย์ 8 ปีในเยรูซาเล็ม 6 และท่านดำเนินชีวิตตามแบบอย่างบรรดากษัตริย์แห่งอิสราเอล เหมือนกับที่พงศ์พันธุ์ของอาหับได้กระทำ เพราะว่าบุตรหญิงของอาหับเป็นภรรยาของท่าน และท่านกระทำสิ่งที่ชั่วร้ายในสายตาของพระผู้เป็นเจ้า 7 ถึงกระนั้นพระผู้เป็นเจ้าก็ไม่ต้องการทำลายพงศ์พันธุ์ของดาวิด เพราะพระองค์ได้ทำพันธสัญญาไว้กับดาวิด และในเมื่อพระองค์ได้สัญญาว่าจะมอบผู้สืบเชื้อสายให้แก่ท่าน และแก่บุตรหลานของท่านตลอดไป[i]
8 ในรัชสมัยของเยโฮรัม เอโดมขัดขืนต่อการปกครองของยูดาห์ และแต่งตั้งกษัตริย์ปกครองพวกของตน 9 ครั้นแล้วเยโฮรัมจึงยกทัพไปพร้อมกับผู้บัญชาการและขบวนรถศึกของท่าน ชาวเอโดมก็มาล้อมท่านและผู้บัญชาการรถศึก แต่ท่านตีฝ่าชาวเอโดมออกไปได้ในเวลากลางคืน 10 ดังนั้นเอโดมไม่ยอมอยู่ใต้การปกครองของยูดาห์มาจนถึงทุกวันนี้ ในเวลาเดียวกันลิบนาห์ก็ไม่ยอมอยู่ใต้การปกครองของท่านเช่นกัน เพราะท่านได้ละทิ้งพระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของบรรพบุรุษของท่าน
11 ยิ่งกว่านั้น ท่านสร้างสถานบูชาบนภูเขาสูงที่แถบภูเขายูดาห์ และทำให้บรรดาผู้อยู่อาศัยของเยรูซาเล็มปันใจประหนึ่งหญิงแพศยา และนำยูดาห์ให้หลงผิด
12 และมีจดหมายจากเอลียาห์ผู้เผยคำกล่าวของพระเจ้าเขียนถึงท่านว่า “พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของดาวิดบิดาของท่านกล่าวว่า ‘เพราะเจ้าไม่ได้ดำเนินตามวิถีทางของเยโฮชาฟัทบิดาของเจ้า หรือตามวิถีทางของอาสาผู้เป็นกษัตริย์แห่งยูดาห์ 13 แต่ได้ดำเนินตามวิถีทางของบรรดากษัตริย์แห่งอิสราเอล และเป็นเหตุให้ยูดาห์และผู้อยู่อาศัยของเยรูซาเล็มปันใจประหนึ่งหญิงแพศยา เหมือนกับที่พงศ์พันธุ์ของอาหับกระทำ และเจ้าได้ฆ่าพวกน้องชายของเจ้า ผู้เป็นพงศ์พันธุ์ของบิดาของเจ้า ซึ่งพวกเขาก็ยังดีกว่าเจ้า 14 ดูเถิด พระผู้เป็นเจ้าจะให้เกิดภัยพิบัติรุนแรงกับประชาชนของเจ้า ลูกๆ และภรรยาของเจ้า และทุกสิ่งที่เจ้ามี 15 และตัวเจ้าเองจะเป็นโรคขั้นร้ายแรงในลำไส้ ถึงกับลำไส้หลุดออกมาเพราะโรคเรื้อรังนั้น’”
16 พระผู้เป็นเจ้าทำให้ชาวฟีลิสเตียและชาวอาหรับที่อาศัยอยู่ใกล้เคียงกับชาวคูชรู้สึกขุ่นเคืองต่อเยโฮรัม 17 พวกเขาจึงขึ้นมาบุกรุกยูดาห์ และริบของที่อยู่ในวังของกษัตริย์ไป จับตัวบุตรชายและภรรยาของท่านไปด้วย ดังนั้นท่านไม่มีบุตรชายเหลืออยู่ ยกเว้นเยโฮอาหาส[j]บุตรชายคนสุดท้อง
18 หลังจากนั้นแล้วพระผู้เป็นเจ้าทำให้ท่านเป็นโรคลำไส้ที่รักษาไม่ได้ 19 เวลาผ่านไปประมาณ 2 ปี ลำไส้ของท่านก็หลุดออกมาเพราะโรคนั้น และท่านสิ้นชีวิตด้วยความทรมานมาก ประชาชนไม่ได้จุดไฟเป็นการให้เกียรติท่าน อย่างที่จุดให้แก่บรรพบุรุษของท่าน 20 ท่านมีอายุ 32 ปีเมื่อเริ่มเป็นกษัตริย์ และท่านครองราชย์ 8 ปีในเยรูซาเล็ม และท่านจากไปโดยที่ไม่มีใครเศร้าสลดใจเลย พวกเขาเก็บศพท่านไว้ในเมืองของดาวิด แต่ไม่ใช่ในถ้ำเก็บศพของบรรดากษัตริย์
อาหัสยาห์ครองราชย์ในยูดาห์
22 บรรดาผู้อยู่อาศัยของเยรูซาเล็มแต่งตั้งอาหัสยาห์บุตรชายคนสุดท้องให้เป็นกษัตริย์แทนท่าน เพราะโจรกลุ่มหนึ่งมาที่ค่ายพร้อมกับชาวอาหรับ และฆ่าพี่ชายทั้งหมด ดังนั้นอาหัสยาห์บุตรของเยโฮรัมกษัตริย์แห่งยูดาห์จึงขึ้นครองราชย์ 2 อาหัสยาห์มีอายุ 22 ปีเมื่อเริ่มเป็นกษัตริย์ และท่านครองราชย์ 1 ปีในเยรูซาเล็ม มารดาของท่านชื่อ อาธาลิยาห์ นางเป็นหลานสาวของอมรี 3 ท่านดำเนินชีวิตตามแบบอย่างพงศ์พันธุ์ของอาหับ เพราะมารดาของท่านหนุนหลังให้ทำความชั่ว 4 ท่านกระทำสิ่งที่ชั่วร้ายในสายตาของพระผู้เป็นเจ้า เหมือนกับที่พงศ์พันธุ์ของอาหับได้กระทำ เพราะหลังจากบิดาของท่านสิ้นชีวิตแล้ว พวกเขาเป็นที่ปรึกษาของท่าน และนำท่านไปสู่ความพินาศ 5 ท่านยังทำตามคำแนะนำของพวกเขา ไปกับโยรัมบุตรอาหับกษัตริย์แห่งอิสราเอล เพื่อทำสงครามต่อสู้กับฮาซาเอลกษัตริย์แห่งอารัมที่ราโมทกิเลอาด ชาวอารัมทำให้โยรัมได้รับบาดเจ็บ 6 และท่านกลับไปรับการรักษาที่ยิสเรเอลเพราะพวกเขาทำให้ท่านบาดเจ็บที่รามาห์เมื่อต่อสู้กับฮาซาเอลกษัตริย์แห่งอารัม และอาหัสยาห์บุตรเยโฮรัมกษัตริย์แห่งยูดาห์จึงไปเยี่ยมโยรัมบุตรอาหับที่ยิสเรเอล เพราะท่านป่วย
7 แต่พระเจ้ากำหนดให้อาหัสยาห์ถึงความพินาศเมื่อท่านไปเยี่ยมโยรัม เพราะเมื่อท่านไปที่นั่น ท่านออกไปกับโยรัมเพื่อพบกับเยฮูบุตรของนิมชี ผู้ที่พระผู้เป็นเจ้าเจิมเพื่อทำลายพงศ์พันธุ์ของอาหับ 8 เมื่อเยฮูพิพากษาโทษพงศ์พันธุ์ของอาหับ ท่านพบบรรดาผู้นำของยูดาห์และบรรดาบุตรของพี่น้องอาหัสยาห์ ซึ่งรับใช้อาหัสยาห์ และท่านก็ฆ่าพวกเขา 9 ท่านค้นหาอาหัสยาห์ และจับตัวได้ขณะที่กำลังซ่อนอยู่ในสะมาเรีย จึงถูกนำตัวมาให้เยฮูสังหาร พวกเขาฝังท่าน เพราะพวกเขาพูดว่า “ท่านเป็นหลานของเยโฮชาฟัทผู้แสวงหาพระผู้เป็นเจ้าอย่างสุดจิตสุดใจ” ไม่มีใครในพงศ์พันธุ์ของอาหัสยาห์ที่สามารถปกครองอาณาจักรได้เลย
อาธาลิยาห์ขึ้นครองในยูดาห์
10 เมื่ออาธาลิยาห์มารดาของอาหัสยาห์เห็นว่าบุตรของนางสิ้นชีวิตแล้ว นางก็เริ่มตามฆ่าบรรดาเชื้อพระวงศ์ของพงศ์พันธุ์ยูดาห์ทุกคน 11 แต่เยโฮชาเบอาทบุตรหญิงของกษัตริย์ ได้ลักพาโยอาชบุตรชายของอาหัสยาห์ออกมา เพื่อไม่ให้ถูกฆ่าไปพร้อมกับบุตรทั้งปวงของกษัตริย์ นางซ่อนโยอาชและพี่เลี้ยงไว้ในห้องนอน เยโฮชาเบอาทบุตรหญิงของกษัตริย์เยโฮรัม ซึ่งเป็นภรรยาของเยโฮยาดาปุโรหิต และนางก็เป็นน้องสาวของอาหัสยาห์ด้วย นางได้ซ่อนโยอาชให้พ้นจากอาธาลิยาห์ เพื่อไม่ให้นางฆ่าท่านได้ 12 ท่านอยู่กับพวกเขาเป็นเวลา 6 ปี โดยถูกซ่อนอยู่ในพระตำหนักของพระเจ้า ในขณะที่อาธาลิยาห์ปกครองแผ่นดิน
โยอาชเป็นกษัตริย์
23 แต่ในปีที่เจ็ด เยโฮยาดามีใจกล้าขึ้น และไปทำสนธิสัญญากับผู้บัญชากองร้อยคือ อาซาริยาห์บุตรเยโรฮัม อิชมาเอลบุตรเยโฮฮานัน อาซาริยาห์บุตรโอเบด มาอาเสยาห์บุตรอาดายาห์ และเอลีชาฟัทบุตรศิครี 2 เขาทั้งหลายออกไปทั่วยูดาห์ และรวบรวมชาวเลวีในยูดาห์จากทุกเมือง รวมทั้งหัวหน้าครอบครัวของพงศ์พันธุ์อิสราเอล และพวกเขาพากันมายังเยรูซาเล็ม 3 ที่ประชุมทั้งหมดทำสนธิสัญญากับกษัตริย์ในพระตำหนักของพระเจ้า เยโฮยาดาพูดกับพวกเขาว่า “นี่คือบุตรของกษัตริย์ ให้ท่านครองราชย์ตามที่พระผู้เป็นเจ้าได้กล่าวถึงเรื่องบุตรทั้งหลายของดาวิดเถิด 4 สิ่งที่ท่านควรปฏิบัติก็คือ พวกท่านที่เป็นปุโรหิตและชาวเลวีต้องมาเริ่มเข้าเวรในวันสะบาโต หนึ่งในสามของพวกท่านจะเป็นคนเฝ้าประตู 5 และหนึ่งในสามจะอยู่ที่วังของกษัตริย์ อีกหนึ่งในสามประจำที่ประตูฐานราก และประชาชนทั้งปวงจะอยู่ที่ลานพระตำหนักของพระผู้เป็นเจ้า 6 อย่าปล่อยให้ใครเข้าไปในพระตำหนักของพระผู้เป็นเจ้า นอกจากปุโรหิตและชาวเลวีที่ปฏิบัติงาน พวกเขาเข้าไปได้ เพราะเป็นผู้บริสุทธิ์ แต่ประชาชนทั้งปวงจะต้องคุ้มกันสิ่งที่เป็นของพระผู้เป็นเจ้า 7 ชาวเลวีต้องประจำการอยู่รอบข้างกษัตริย์ แต่ละคนถืออาวุธไว้พร้อม และใครก็ตามที่เข้าไปในตำหนักจะต้องถูกฆ่า พวกท่านจงอยู่ใกล้ชิดกษัตริย์ ไม่ว่าท่านจะไปที่ใดก็ตาม”
8 ชาวเลวีและยูดาห์ทั้งปวงปฏิบัติตามทุกสิ่งที่เยโฮยาดาปุโรหิตสั่ง และแต่ละกลุ่มก็ได้นำคนของตนมา ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มที่จะออกเวรหรือที่จะเข้าเวรในวันสะบาโต เพราะเยโฮยาดาปุโรหิตยังไม่ได้ปล่อยกองเวร 9 และเยโฮยาดาปุโรหิตมอบหอกและโล่ทั้งขนาดใหญ่และเล็กที่เป็นของกษัตริย์ดาวิด ซึ่งเก็บไว้ในพระตำหนักของพระเจ้าให้แก่บรรดาผู้บัญชากองร้อย 10 และท่านจัดตำแหน่งให้ทุกคนอยู่ประจำที่ และแต่ละคนถืออาวุธไว้พร้อม ตั้งแต่ด้านใต้จรดด้านเหนือของพระตำหนัก รอบแท่นบูชาและพระตำหนัก เพื่อความปลอดภัยของกษัตริย์ 11 แล้วเขาทั้งหลายก็นำบุตรของกษัตริย์ออกมา สวมมงกุฎ และมอบพันธสัญญาให้แก่ท่าน และพวกเขาประกาศให้ท่านเป็นกษัตริย์ เยโฮยาดาและบรรดาบุตรก็เจิมท่าน และกล่าวว่า “ขอกษัตริย์มีอายุยืนนาน”
อาธาลิยาห์ถูกประหาร
12 เมื่ออาธาลิยาห์ได้ยินเสียงประชาชนวิ่งและสรรเสริญกษัตริย์ นางจึงออกไปหาประชาชนที่พระตำหนักของพระผู้เป็นเจ้า 13 เมื่อนางมองดู ก็เห็นกษัตริย์ยืนที่ข้างเสาของท่านที่ทางเข้า บรรดาผู้บัญชากองร้อยและผู้เป่าแตรยาว[k]ยืนอยู่ข้างๆ และประชาชนทั้งปวงของแผ่นดินกำลังร่าเริงและเป่าแตรยาว บรรดานักร้องก็ร้องนำไปกับเครื่องดนตรีในงานฉลอง อาธาลิยาห์ก็ฉีกเสื้อของตน และร้องว่า “กบฏ กบฏ” 14 เยโฮยาดาปุโรหิตสั่งบรรดาผู้บัญชากองร้อยที่ควบคุมกำลังกองทัพว่า “นำนางออกมาระหว่างแถวทหาร และผู้ใดตามนางไป จงฆ่าเสียด้วยคมดาบ” เพราะปุโรหิตพูดว่า “อย่าฆ่านางในพระตำหนักของพระผู้เป็นเจ้า” 15 ดังนั้นพวกเขาจึงจับกุมนาง ขณะที่นางไปถึงทางเข้าประตูม้า ที่ประตูวังของกษัตริย์ พวกเขาก็ประหารนางที่นั่น
Copyright © 1998, 2012, 2020 by New Thai Version Foundation