Print Page Options
Previous Prev Day Next DayNext

Bible in 90 Days

An intensive Bible reading plan that walks through the entire Bible in 90 days.
Duration: 88 days
Thai New Testament: Easy-to-Read Version (ERV-TH)
Version
เนหะมียาห์ 13:15 - โยบ 7:21

15 ในครั้งนั้น ผมเห็นประชาชนในยูดาห์ ได้เหยียบย่ำองุ่นอยู่ในบ่อ ทั้งๆที่เป็นวันหยุดทางศาสนา แถมยังเอาเมล็ดข้าวมากมายใส่ไว้บนหลังลา รวมทั้งเหล้าองุ่น ผลองุ่น มะเดื่อ และสัมภาระอื่นๆอีกหลายอย่าง แล้วพวกเขาก็นำของทั้งหมดนี้ไปยังเมืองเยรูซาเล็มในวันหยุดทางศาสนา ผมได้เตือนพวกเขาไม่ให้ขายอาหารในวันหยุดทางศาสนา

16 พวกชาวไทระที่อาศัยอยู่ในเมืองเยรูซาเล็ม ได้นำปลาและของหลายอย่างมาขาย และพวกเขากำลังขายให้กับคนยูดาห์และคนที่อยู่ในเมืองเยรูซาเล็มในวันหยุดทางศาสนา 17 ผมเถียงกับพวกขุนนางของยูดาห์ และพูดกับพวกเขาว่า “รู้ไหมว่าพวกเจ้ากำลังทำสิ่งชั่วร้ายอะไรอยู่ พวกเจ้ากำลังละเมิดความศักดิ์สิทธิ์ของวันหยุดทางศาสนา” 18 บรรพบุรุษของพวกเจ้าก็ทำอย่างนี้เหมือนกัน พระเจ้าของเราถึงได้นำความหายนะมาสู่พวกเราและเมืองนี้ พวกเจ้ากำลังละเมิดความศักดิ์สิทธิ์ของวันหยุดทางศาสนา พวกเจ้ากำลังนำโทษมาสู่อิสราเอลมากขึ้น

19 ผมก็เลยทำอย่างนี้คือ ในวันก่อนวันหยุดทางศาสนา เมื่อเริ่มมืด ผมได้สั่งให้ปิดประตูเมืองเยรูซาเล็มทั้งหมด และสั่งไม่ให้เปิดจนกว่าจะเลยวันหยุดทางศาสนาไป ผมให้คนรับใช้ของผมเฝ้าเวรที่ประตู เพื่อไม่ให้มีการขนของเข้ามาในเมืองในวันหยุดทางศาสนา

20 มีครั้งหรือสองครั้งที่พวกพ่อค้าและคนขายสินค้าต่างๆมานอนค้างคืนอยู่นอกกำแพงเมืองเยรูซาเล็ม 21 ผมเตือนพวกเขาว่า

“พวกเจ้ามานอนค้างคืนอยู่หน้ากำแพงเมืองทำไม ถ้าพวกเจ้าทำอย่างนี้อีก เราจะใช้กำลังกับพวกเจ้า”

หลังจากนั้นพวกเขาก็ไม่กลับมาในวันหยุดทางศาสนาอีกเลย

22 หลังจากนั้น ผมบอกกับพวกชาวเลวีให้ชำระตัวเองให้บริสุทธิ์ และให้ไปเฝ้าระวังประตูเมือง เพื่อรักษาวันหยุดทางศาสนาให้ศักดิ์สิทธิ์

ข้าแต่พระเจ้าของข้าพเจ้า

ขอโปรดระลึกถึงสิ่งนี้ที่ข้าพเจ้าได้ทำให้กับพระองค์

ขอเมตตาข้าพเจ้าด้วยความรักอันยิ่งใหญ่ของพระองค์

23 ในครั้งนั้นผมเห็นชายชาวยูดาห์ แต่งงานกับหญิงชาวอัชโดด ชาวอัมโมน และชาวโมอับ 24 ครึ่งหนึ่งของลูกๆพวกเขา พูดภาษาอัชโดด หรือภาษาของชนชาติอื่น พวกเด็กๆเหล่านั้นพูดภาษายูดาห์ไม่เป็น 25 ผมจึงบอกคนเหล่านั้นว่าพวกเขาทำผิด และสาปแช่งพวกเขา และผมได้ทุบตีพวกเขาบางคนและดึงผมของพวกเขา และทำให้พวกเขาสาบานในนามของพระเจ้า ผมพูดว่า “พวกเจ้าจะต้องไม่ยกลูกสาวให้เป็นเมียลูกชายของคนพวกนั้น และเจ้าเองก็ต้องไม่รับเอาลูกสาวของพวกเขามาเป็นเมียลูกชายของเจ้า หรือเป็นเมียเจ้าเอง 26 ที่กษัตริย์ซาโลมอน[a]แห่งอิสราเอลได้ทำบาปนั้นเป็นเพราะพวกผู้หญิงอย่างพวกนี้ไม่ใช่หรือ ในพวกประเทศทั้งหลาย ไม่มีกษัตริย์องค์ไหนที่เป็นเหมือนกับกษัตริย์ซาโลมอน ที่พระเจ้าของพระองค์ได้รักพระองค์มากขนาดนั้น พระเจ้าทำให้ซาโลมอนเป็นกษัตริย์เหนืออิสราเอลทั้งหมด แต่เมียต่างชาติพวกนั้นทำให้พระองค์ทำบาป

27 แล้วอย่างนี้พวกเราควรฟังเจ้าหรือ และทำความชั่วที่ยิ่งใหญ่เหล่านี้ และทรยศต่อพระเจ้าของเราโดยแต่งงานกับพวกหญิงต่างชาติอย่างนั้นหรือ”

28 เอลียาชีบผู้เป็นนักบวชสูงสุดมีลูกชายคนหนึ่งชื่อว่าเยโฮยาดา ที่เป็นลูกเขยของสันบาลลัทชาวโฮโรนาอิม ผมได้ไล่เยโฮยาดาให้ไปอยู่ห่างไกลจากผม

29 ข้าแต่พระเจ้าของข้าพเจ้า

ขอโปรดระลึกถึงสิ่งที่พวกเขาทำต่อพระองค์

และลงโทษพวกเขาด้วยเถิด

เพราะพวกเขาได้ทำให้ความเป็นนักบวชเสื่อมไป

พวกเขาได้ทำให้ข้อตกลงที่พระองค์ได้ทำไว้กับพวกนักบวชและพวกชาวเลวีเสื่อมไป

30 ดังนั้นผมจึงชำระพวกนักบวชและพวกชาวเลวีให้บริสุทธิ์จากวิถีทางทั้งหมดของคนต่างชาติ แล้วให้พวกเขากลับไปทำหน้าที่ที่พวกเขาต้องรับผิดชอบ 31 ผมยังได้จัดการเรื่องการหาไม้ฟืนสำหรับแท่นบูชามาตามเวลาที่ได้กำหนดไว้ และยังจัดการเรื่องการถวายผลแรกของปี

ข้าแต่พระเจ้าของข้าพเจ้า

ขอโปรดระลึกถึงสิ่งนี้ที่ข้าพเจ้าได้ทำให้กับพระองค์

และขอโปรดอวยพรข้าพเจ้าด้วยเถิด

ราชินีวัชทีไม่เชื่อฟังคำสั่งกษัตริย์

เรื่องเหล่านี้เกิดขึ้นในสมัยของกษัตริย์อาหสุเอรัส[b] พระองค์เป็นคนเดียวกับอาหสุเอรัสที่ครอบครองหนึ่งร้อยยี่สิบเจ็ดมณฑล ตั้งแต่ประเทศอินเดียไปจนถึงคูช[c] ในเวลานั้นกษัตริย์อาหสุเอรัสนั่งอยู่บนบัลลังก์ในเขตวังของเมืองสุสา

ในปีที่สามที่พระองค์ครองราชย์อยู่นั้น พระองค์ได้จัดงานเลี้ยงขึ้นให้กับเจ้าหน้าที่และพวกผู้นำทุกคนของพระองค์ รวมทั้งพวกแม่ทัพทั้งหลายของเปอร์เซียและมีเดีย ตลอดจนบรรดาขุนนางและพวกเจ้าหน้าที่ประจำมณฑลต่างๆ งานเลี้ยงนี้ได้จัดขึ้นหนึ่งร้อยแปดสิบวัน พระองค์ได้โอ้อวดถึงความร่ำรวยอันมหาศาลของอาณาจักรของพระองค์ และสง่าราศีและบารมีอันมีค่าอย่างยิ่งยวดของพระองค์ หลังจากเสร็จสิ้นงานเลี้ยงนี้แล้ว พระองค์ก็ได้จัดงานเลี้ยงอีกงานหนึ่งขึ้นเป็นเวลาเจ็ดวัน งานนี้จัดขึ้นในสวนภายในเขตวังของพระองค์ พระองค์ได้เชิญทุกคนที่อยู่ในเขตวังของเมืองสุสา ตั้งแต่คนที่มีหน้ามีตาที่สุดไปจนถึงคนที่กระจอกงอกง่อยที่สุด ภายในสวนนั้นตกแต่งด้วยเชือกที่ทำจากลินินอย่างดีและขนแกะสีม่วง คล้องกับห่วงเงินที่ติดอยู่บนเสาหินอ่อน มีเก้าอี้นอนที่ทำจากทองคำและเงิน เก้าอี้เหล่านี้ตั้งอยู่บนพื้นที่ปูด้วยกระเบื้องเคลือบสลับสี ที่ประกอบขึ้นด้วยหินสีม่วง หินอ่อนสีขาว เปลือกหอยมุข และหินอ่อนสีเข้ม เครื่องดื่มต่างๆใส่อยู่ในถ้วยทองคำ และถ้วยทุกใบก็แตกต่างกัน มีเหล้าองุ่นมากมายจากกษัตริย์ เพราะพระองค์ใจดี ไม่มีข้อห้ามสำหรับการดื่ม เพราะกษัตริย์ได้สั่งพวกพนักงานที่อยู่ในวังทุกคน ให้บริการเครื่องดื่มกับแต่ละคนมากเท่าที่เขาต้องการ

ในขณะเดียวกัน ราชินีวัชทีก็ได้จัดงานเลี้ยงให้บรรดาผู้หญิงที่อยู่ในวังของกษัตริย์อาหสุเอรัสเหมือนกัน

10 ในวันที่เจ็ดของงานเลี้ยง เมื่อกษัตริย์เริ่มมึนๆจากเหล้าองุ่นแล้ว พระองค์สั่งให้เมหุมาน บิสธา ฮารโบนา บิกธา อาบักธา เศธาร์ และคารคาส ผู้เป็นขันทีทั้งเจ็ดของพระองค์ว่า 11 ให้ไปนำตัวราชินีวัชทีมาเข้าเฝ้าพระองค์ ให้นางสวมมงกุฎมาด้วย เพื่อพระองค์จะได้อวดความงามของนางต่อประชาชนทั้งหลายและต่อบรรดาเจ้าหน้าที่ เพราะนางมีความงดงามยิ่งนัก

12 แต่ราชินีวัชทีไม่ยอมมาเข้าเฝ้าตามคำสั่งของกษัตริย์ที่สั่งผ่านมาทางพวกขันทีเหล่านั้น กษัตริย์จึงโกรธและเดือดดาลมาก

13 ดังนั้นพระองค์จึงปรึกษาพวกผู้รู้ของพระองค์ ตามปกติแล้วกษัตริย์จะปรึกษาพวกผู้รู้เหล่านี้ ในเรื่องกฎหมายและขั้นตอนทางกฎหมาย 14 ผู้รู้พวกนี้ใกล้ชิดกับกษัตริย์มาก พวกเขามีชื่อว่าคารเชนา เชธาร์ อัดมาธา ทารชิช เมเรส มารเสนา และเมมูคาน ผู้รู้ทั้งเจ็ดนี้เป็นเจ้าหน้าที่ที่สำคัญมากของเปอร์เซียและมีเดีย พวกเขาเข้าเฝ้ากษัตริย์อยู่เป็นประจำ พวกเขามีอำนาจมากในอาณาจักร 15 กษัตริย์อาหสุเอรัสถามพวกเขาว่า “ตามกฎหมายแล้ว เราควรจะทำยังไงดีกับราชินีวัชที ที่นางขัดขืนคำสั่งของกษัตริย์ที่ได้สั่งผ่านไปทางพวกขันที”

16 แล้วเมมูคานได้ตอบต่อกษัตริย์ ต่อหน้าเจ้าหน้าที่ทั้งหลายว่า “ราชินีวัชทีไม่เพียงแต่ทำผิดต่อกษัตริย์เท่านั้น พระนางยังทำผิดต่อเจ้าหน้าที่ทุกคนและประชาชนทั้งหลาย ที่อาศัยอยู่ในทุกมณฑลของพระองค์ด้วย 17 เพราะพวกผู้หญิงทุกคนจะได้ยินถึงสิ่งที่พระนางได้ทำไป แล้วพวกเขาเหล่านั้นจะพากันดูถูกสามีของตน พวกเขาจะอ้างว่า ‘ตอนที่กษัตริย์อาหสุเอรัสสั่งให้ราชินีวัชทีเข้าเฝ้า พระนางยังไม่ยอมไปเข้าเฝ้ากษัตริย์เลย’

18 ในวันนี้ พวกภรรยาของเจ้าหน้าที่ในเปอร์เซียและมีเดีย ที่ได้ยินถึงสิ่งที่ราชินีได้ทำไป ก็จะพูดอย่างนั้นเหมือนกันกับสามีของพวกเขาที่เป็นเจ้าหน้าที่ของกษัตริย์ และการดูถูกและความโกรธเกรี้ยวก็จะเกิดขึ้นอย่างไม่รู้จักจบสิ้น

19 ดังนั้นถ้าพระองค์เห็นด้วย ข้าพเจ้าขอแนะนำว่า ให้พระองค์ออกคำสั่งและให้จดบันทึกไว้ในกฎหมายของเปอร์เซียและมีเดีย ที่ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ คือ ราชินีวัชทีไม่อาจเข้าเฝ้ากษัตริย์อาหสุเอรัสได้อีกต่อไป และพระองค์จะมอบตำแหน่งราชินีของพระนาง ให้กับหญิงอื่นที่ดีกว่า 20 แล้วคำสั่งนี้ของพระองค์ จะถูกประกาศไปทั่วราชอาณาจักรอันยิ่งใหญ่ของพระองค์ แล้วพวกผู้หญิงทั้งหลายจะได้ให้เกียรติสามีของตน ไม่ว่าสามีของเขาจะเป็นคนมีหน้ามีตาหรือคนต่ำต้อยก็ตาม”

21 ทั้งกษัตริย์และพวกเจ้าหน้าที่ทั้งหลายของพระองค์ ต่างพอใจมากกับคำแนะนำนี้ ดังนั้นกษัตริย์จึงทำตามคำแนะนำของเมมูคาน 22 จดหมายได้ถูกส่งไปทั่วทุกมณฑลของพระองค์ โดยเขียนเป็นตัวอักษรของแต่ละมณฑล และเขียนถึงแต่ละชนชาติตามภาษาของพวกเขาเอง จดหมายเหล่านี้ได้เขียนประกาศว่า “ให้ผู้ชายแต่ละคนปกครองดูแลครอบครัวของตน และให้พูดภาษาของชนชาติตัวเอง”

เอสเธอร์ได้ขึ้นเป็นราชินี

หลังจากนั้น เมื่อกษัตริย์อาหสุเอรัสหายโกรธแล้ว พระองค์ก็คิดถึงพระนางวัชที และสิ่งที่พระนางได้ทำไป รวมทั้งคำสั่งที่พระองค์ได้ออกมาเกี่ยวกับพระนาง พวกคนรับใช้พระองค์ได้เสนอกับกษัตริย์ว่า “น่าจะให้มีการค้นหาสาวแรกรุ่นที่บริสุทธิ์ทั้งหลายมาให้กับกษัตริย์ ขอให้พระองค์แต่งตั้งเจ้าหน้าที่ทุกมณฑลในอาณาจักรของพระองค์ ให้ออกไปรวบรวมสาวแรกรุ่นที่บริสุทธิ์ทั้งหลาย แล้วนำมาที่เขตวังในเมืองสุสา ให้ส่งพวกนางไปอยู่กับพวกผู้หญิงของกษัตริย์ และให้เฮกัยขันทีของกษัตริย์ ทำหน้าที่ดูแลสาวงามเหล่านี้ ให้เขาบำรุงผิวให้กับสาวงามเหล่านี้ สาวงามคนใดที่พระองค์ถูกใจ ก็จะได้เป็นราชินีแทนพระนางวัชที” กษัตริย์ชอบข้อเสนอนี้ พระองค์จึงทำตามนั้น

มีชาวยิวคนหนึ่งอาศัยอยู่ในเขตวังในเมืองสุสา เขามีชื่อว่าโมรเดคัยเป็นลูกชายของยาอีร์ ที่เป็นลูกชายของชิเมอี ที่เป็นลูกชายของคีช ชาวเบนยามิน กษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์ของบาบิโลนได้กวาดต้อนคีช บรรพบุรุษของโมรเดคัยไปเป็นเชลยจากเมืองเยรูซาเล็ม พวกนั้นอยู่ในกลุ่มที่ถูกกวาดต้อนไปพร้อมกับเยโฮยาคีนกษัตริย์แห่งยูดาห์[d] โมรเดคัยได้ดูแลฮาดาชาห์ หรือมีอีกชื่อหนึ่งว่า เอสเธอร์ ซึ่งเป็นลูกสาวของลุงเขา โมรเดคัยรับเอสเธอร์มาเป็นลูก เมื่อพ่อแม่ของเธอตาย เอสเธอร์มีรูปร่างหน้าตาที่สวยงามมาก

เมื่อคำสั่งของกษัตริย์ถูกประกาศออกไป ก็มีหญิงแรกรุ่นเป็นจำนวนมากถูกรวบรวมมาที่เขตวังในเมืองสุสา มาอยู่ภายใต้การดูแลของเฮกัย เอสเธอร์ก็ถูกพามาที่วังของกษัตริย์ด้วย และอยู่ในความดูแลของเฮกัย ผู้ดูแลพวกผู้หญิงทั้งหลายของกษัตริย์ เฮกัยชอบเอสเธอร์ และเธอก็กลายเป็นคนโปรดของเขา ดังนั้นเฮกัยจึงรีบบำรุงผิวพรรณให้กับเอสเธอร์ และให้อาหารที่พิเศษกับนาง เขายังได้คัดเลือกหญิงรับใช้เจ็ดคนจากวังของกษัตริย์ เพื่อให้มารับใช้เอสเธอร์ หลังจากนั้นเขาได้ย้ายเอสเธอร์และสาวใช้ทั้งเจ็ดคนไปอยู่ในที่ที่ดีที่สุดของบริเวณที่พวกผู้หญิงของกษัตริย์อยู่กัน 10 เอสเธอร์ไม่ได้เปิดเผยความเป็นมาของเธอ หรือบรรพบุรุษของเธอว่าเป็นใคร เพราะโมรเดคัยได้สั่งห้ามเธอไว้ 11 โมรเดคัยจะเดินเล่นอยู่หน้าลานที่พักของพวกผู้หญิงเหล่านั้นทุกวัน เพื่อจะได้รู้ความเป็นอยู่ของเอสเธอร์ และดูว่าเกิดอะไรขึ้นกับเธอบ้าง

12 ก่อนที่หญิงสาวเหล่านี้จะได้เข้าเฝ้ากษัตริย์ พวกเธอจะต้องผ่านขั้นตอนการบำรุงผิวพรรณเป็นเวลาสิบสองเดือนเสียก่อน คือต้องอาบน้ำมันกำยานเป็นเวลาหกเดือน และอาบน้ำหอมอีกหกเดือน พร้อมกับตกแต่งด้วยเครื่องสำอางต่างๆ 13 ถึงตอนนั้น หญิงสาวที่จะไปเข้าเฝ้ากษัตริย์ก็มีสิทธิ์ที่จะขออะไรก็ได้จากที่พักของพวกนาง ติดตัวไปยังวังของกษัตริย์ 14 สาวงามแต่ละคนจะถูกส่งเข้าไปเฝ้ากษัตริย์ในตอนเย็น และกลับออกมาในตอนเช้า นางจะได้ไปอยู่ในที่พักแห่งใหม่ ภายใต้การดูแลของชาอัชกาส ผู้เป็นขันทีของกษัตริย์ เขาดูแลพวกนางสนมของกษัตริย์ นางจะไม่ได้เข้าเฝ้ากษัตริย์อีก นอกจากกษัตริย์จะถูกใจนาง และเรียกหาชื่อนางอีกครั้งหนึ่ง

15 เมื่อถึงเวลาที่เอสเธอร์จะต้องไปเข้าเฝ้า เธอไม่ได้ขออะไรติดตัวไปเลย นอกจากที่เฮกัยบอกให้เธอขอ เฮกัยเป็นขันทีของกษัตริย์ที่ดูแลพวกผู้หญิงเหล่านี้ เอสเธอร์ชนะใจทุกคนที่พบเห็นเธอ เอสเธอร์ผู้นี้คือลูกสาวของอาบีฮาอิลที่เป็นลุงของโมรเดคัย โมรเดคัยได้รับเธอไว้เป็นลูกสาว 16 เอสเธอร์ถูกนำตัวไปเข้าเฝ้ากษัตริย์อาหสุเอรัสในวังของพระองค์ ในเดือนที่สิบซึ่งเป็นเดือนเทเบท ตรงกับปีที่เจ็ดของรัชกาลของพระองค์

17 กษัตริย์รักเอสเธอร์มากกว่าหญิงอื่นใด เธอเป็นที่โปรดปรานของพระองค์ และพระองค์ก็ได้เอ็นดูนางมากกว่าหญิงบริสุทธิ์ทุกคน ดังนั้นพระองค์จึงสวมมงกุฎบนศีรษะนาง และแต่งตั้งให้นางเป็นราชินีแทนพระนางวัชที 18 แล้วกษัตริย์ก็ได้จัดงานเลี้ยงอย่างใหญ่โตให้กับเอสเธอร์ เลี้ยงเจ้าหน้าที่และผู้นำทุกคนของพระองค์ พระองค์ประกาศให้วันนั้นเป็นวันหยุดสำหรับมณฑลทุกแห่ง และมอบของขวัญให้กับประชาชน เพราะพระองค์เป็นกษัตริย์ที่ใจดี

โมรเดคัยล่วงรู้แผนชั่วร้าย

19 ในขณะที่พวกคนรับใช้ของกษัตริย์กำลังรวบรวมสาวแรกรุ่นที่บริสุทธิ์อีกรอบหนึ่ง โมรเดคัยก็เป็นเจ้าหน้าที่รับใช้อยู่ในวังของกษัตริย์ 20 เอสเธอร์ยังไม่ได้เปิดเผยสัญชาติหรือประวัติของครอบครัวเธอให้ใครรู้ ตามที่โมรเดคัยได้สั่งเธอไว้ เธอยังคงเชื่อฟังโมรเดคัยเหมือนกับตอนที่เธออยู่ในความดูแลของเขา

21 ในระหว่างที่โมรเดคัยทำหน้าที่อยู่ในวังนั้น บิกธาน และเทเรช ผู้เป็นขันทีสองคนของกษัตริย์ ที่เป็นยามเฝ้าทางเข้าห้องต่างๆของกษัตริย์ เกิดโกรธแค้นกษัตริย์อาหสุเอรัสขึ้นมา จึงวางแผนฆ่าพระองค์ 22 โมรเดคัยล่วงรู้แผนนั้น เขาจึงบอกกับราชินีเอสเธอร์ และพระนางก็บอกกับกษัตริย์ นางบอกกษัตริย์ด้วยว่า โมรเดคัยเป็นคนบอกเรื่องนี้ให้เธอรู้ 23 เมื่อมีการสอบสวนเรื่องนี้และพบว่าเป็นความจริง ขันทีทั้งสองจึงถูกเสียบประจาน เรื่องเหล่านี้ทั้งหมดได้ถูกจดบันทึกไว้ต่อหน้ากษัตริย์ในหนังสือเหตุการณ์รายวันของพระองค์

แผนของฮามานที่จะทำลายชาวยิว

หลังจากที่เกิดเหตุการณ์เหล่านี้ขึ้น กษัตริย์อาหสุเอรัสได้เลื่อนยศให้กับฮามาน ลูกชายของฮัมเมดาธา ชาวอากัก พระองค์เลื่อนตำแหน่งให้กับเขาสูงกว่าเจ้าหน้าที่ทุกคนที่อยู่กับพระองค์ เจ้าหน้าที่ทุกคนของพระองค์ที่ทำหน้าที่รับใช้อยู่ในวัง ต่างพากันคุกเข่าลงก้มกราบต่อฮามาน ตามคำสั่งของกษัตริย์ แต่โมรเดคัยไม่ยอมคุกเข่าลงก้มกราบเขา[e] พวกเจ้าหน้าที่ของกษัตริย์ที่รับใช้อยู่ในวังจึงถามโมรเดคัยว่า “ทำไมเจ้าถึงไม่คุกเข่าลงก้มกราบฮามานตามคำสั่งของกษัตริย์”

พวกเขาได้พูดเรื่องนี้กับโมรเดคัยหลายครั้งหลายหน แต่โมรเดคัยก็ยังไม่ฟังพวกเขา พวกเขาจึงไปฟ้องฮามาน พวกเขาอยากรู้ว่าข้อแก้ตัวที่โมรเดคัยให้นั้นฟังขึ้นหรือเปล่า เพราะโมรเดคัยบอกกับพวกเขาว่าโมรเดคัยเป็นชาวยิว เมื่อฮามานเห็นว่าโมรเดคัยไม่ยอมคุกเข่าลงก้มกราบเขา เขาก็โกรธมาก เพราะเขารู้ว่าโมรเดคัยเป็นคนยิว เขาจึงคิดว่าฆ่าแค่โมรเดคัยคนเดียวไม่พอ ต้องกำจัดคนของโมรเดคัยด้วย คือชาวยิวทุกคนที่อาศัยอยู่ทั่วราชอาณาจักรของกษัตริย์อาหสุเอรัส

ในปีที่สิบสองที่กษัตริย์อาหสุเอรัสครองราชย์ ในเดือนแรก คือเดือนนิสาน ฮามานได้ทำการเสี่ยงทายเพื่อหาวันและเดือนที่จะกำจัดชาวยิว และมันก็ตกเป็นวันที่สิบสามของเดือนสิบสองคือเดือนอาดาร์ (ในสมัยนั้นสิ่งที่ใช้ในการเสี่ยงทายนี้ มีชื่อเรียกว่า “เปอร์”) ฮามานพูดกับกษัตริย์อาหสุเอรัสว่า “มีคนอยู่กลุ่มหนึ่งที่กระจัดกระจายอาศัยอยู่ทั่วทุกมณฑลในราชอาณาจักรของพระองค์ แต่พวกเขาแยกตัวออกจากคนอื่น กฎหมายของพวกเขาแตกต่างจากกฎหมายของคนอื่นๆทั้งหมด พวกนี้ไม่ยอมเชื่อฟังกฎหมายของพระองค์ ดังนั้นมันไม่มีประโยชน์อะไรสำหรับพระองค์ที่จะเก็บคนพวกนั้นไว้

ถ้าพระองค์เห็นดีด้วย ขอพระองค์เขียนเป็นกฎออกมาให้ทำลายคนพวกนี้เสีย และข้าพเจ้าจะถวายเงินประมาณสามร้อยสี่สิบห้าตัน ให้กับเจ้าหน้าที่ของกษัตริย์เพื่อเอาไปเก็บไว้ในคลังหลวง”

10 กษัตริย์จึงถอดแหวนจากนิ้วมือของพระองค์ มอบให้กับฮามาน ลูกชายของฮัมเมดาธา ชาวอากัก ฮามานเป็นศัตรูของชาวยิว 11 กษัตริย์พูดกับฮามานว่า “เราจะมอบเงินและคนเหล่านั้นให้กับเจ้า เจ้าอยากจะทำอะไรกับพวกเขา ก็ไปทำได้เลย”

12 แล้วในวันที่สิบสามของเดือนแรก ฮามานได้เรียกพวกเสมียนของกษัตริย์มา และให้พวกเสมียนเขียนทุกอย่างตามที่เขาสั่ง พวกเขาเขียนเป็นภาษาของคนต่างๆเหล่านั้น และส่งไปยังพวกผู้ควบคุมภาค พวกผู้ว่าราชการของแต่ละมณฑล รวมทั้งเจ้าหน้าที่ของประชาชนทุกคนในทุกมณฑล คำสั่งนี้ได้เขียนขึ้นภายใต้ชื่อของกษัตริย์อาหสุเอรัส และประทับตราด้วยแหวนของพระองค์

13 แล้วพวกผู้ส่งสารก็นำจดหมายเหล่านี้ไปแจกจ่ายตามมณฑลต่างๆทั่วทุกแห่งที่อยู่ภายใต้การปกครองของกษัตริย์ ในจดหมายเขียนว่า “ให้ทำลายล้างและฆ่าชาวยิวทุกคนให้พินาศสิ้นไป ทั้งคนหนุ่มและคนแก่ ทั้งผู้หญิงและเด็กเล็กๆ ให้ลงมือในวันที่สิบสามของเดือนสิบสอง ซึ่งเป็นเดือนอาดาร์ และให้ยึดข้าวของทั้งหมดของพวกเขาไว้

14 พวกสำเนาของจดหมายคำสั่งนี้ ให้ประกาศเป็นกฎหมายออกไปทั่วทุกมณฑล และประกาศออกไปให้กับทุกชนชาติได้รับรู้ เพื่อทุกคนจะได้เตรียมพร้อมสำหรับวันนั้น”

15 คนส่งสารเหล่านั้น จึงรีบออกไปทำตามคำสั่งของกษัตริย์ ในขณะที่กฎหมายนี้ก็ได้ประกาศในเขตวังของเมืองสุสาเหมือนกัน พระองค์นั่งดื่มอยู่กับฮามาน ในขณะที่เมืองสุสาตกอยู่ในภาวะตื่นกลัว

โมรเดคัยเรียกร้องให้เอสเธอร์ช่วยเหลือชาวยิว

เมื่อโมรเดคัยรู้เรื่องทุกอย่างที่เกิดขึ้น เขาก็ฉีกเสื้อผ้าตัวเอง ใส่ชุดผ้ากระสอบ เอาขี้เถ้ามาโรยหัว แล้วออกไปกลางเมือง ร้องไห้คร่ำครวญเสียงดังด้วยความขมขื่น โมรเดคัยเดินไปได้แค่หน้าประตูวังเท่านั้น เพราะคนที่สวมชุดผ้ากระสอบไม่สามารถผ่านเข้าประตูวังไปได้ ในทุกมณฑลที่ได้รับคำสั่งของกษัตริย์ มีแต่ความทุกข์ระทมอันใหญ่หลวงในหมู่ชาวยิว พวกเขาอดอาหาร ร้องไห้คร่ำครวญเสียงดัง พวกชาวยิวส่วนใหญ่ปูผ้ากระสอบและโรยขี้เถ้าบนมัน แล้วนอนบนผ้านั้น

พวกสาวใช้และขันทีของเอสเธอร์มาเข้าเฝ้าพระนาง และรายงานเรื่องโมรเดคัยให้พระนางฟัง ทำให้พระนางเป็นทุกข์และกลุ้มใจมาก ดังนั้นพระนางจึงส่งเสื้อผ้าไปให้โมรเดคัย แทนชุดผ้ากระสอบของเขา แต่โมรเดคัยไม่ยอมรับเสื้อผ้าที่ส่งมา เอสเธอร์จึงเรียกฮาธาคมาพบ ฮาธาคเป็นขันทีที่กษัตริย์ส่งให้มารับใช้พระนาง และพระนางสั่งให้เขาไปดูว่าที่โมรเดคัยทำอยู่นั้นหมายถึงอะไร และทำไมถึงทำอย่างนั้น ฮาธาคจึงไปพบโมรเดคัยที่ลานเมืองหน้าประตูวัง โมรเดคัยเล่าทุกอย่างที่เกิดขึ้นให้เขาฟัง และบอกถึงจำนวนเงินที่ฮามานสัญญาว่าจะถวายเข้าคลังหลวงเพื่อทำลายชาวยิว โมรเดคัยยังมอบสำเนาจดหมายคำสั่งที่เขียนออกมาจากเขตวังของเมืองสุสาเรื่องทำลายชาวยิว ให้กับฮาธาคด้วย เพื่อฮาธาคจะได้นำไปให้เอสเธอร์ดู และจะได้อธิบายเรื่องทั้งหมดให้พระนางเข้าใจ โมรเดคัยได้กำชับให้ฮาธาคบอกให้เอสเธอร์ไปเข้าเฝ้ากษัตริย์ เพื่อวิงวอนขอความเมตตาจากกษัตริย์ให้กับโมรเดคัยและคนของพระนางด้วย

ฮาธาคจึงกลับไปเล่าให้เอสเธอร์ฟังถึงทุกสิ่งทุกอย่างที่โมรเดคัยบอกเขา

10 เอสเธอร์จึงบอกกับฮาธาคให้ไปบอกกับโมรเดคัยว่า

11 “เจ้าหน้าที่ของกษัตริย์ทุกคน และประชาชนทั้งหลายในมณฑลของกษัตริย์ ต่างก็รู้ดีว่า ถ้าชายหรือหญิงคนใดไปเข้าเฝ้ากษัตริย์ที่ลานชั้นใน โดยไม่มีรับสั่งเรียก จะมีโทษถึงตาย ยกเว้นแต่ว่าพระองค์จะยื่นคทาทองคำให้ คนนั้นถึงจะรอดตาย แต่พระองค์ไม่ได้เรียกหาลูกเป็นเวลาสามสิบวันแล้ว”

12 เมื่อโมรเดคัยได้ฟังถึงสิ่งที่เอสเธอร์ส่งมาบอก 13 โมรเดคัยก็ตอบกลับไปว่า “เอสเธอร์เอ๋ย ในพวกยิวทั้งหมด เธอคิดว่าจะมีแต่เธอเท่านั้นหรือที่รอดเพราะอยู่ในวัง 14 ถ้าในครั้งนี้ เธอทำเป็นนิ่งเฉย ความช่วยเหลือและการปลดปล่อยของพวกชาวยิวก็จะมาจากที่อื่น แต่เธอและครอบครัวก็จะพินาศ ใครจะไปรู้ ที่เธอได้รับเลือกเป็นราชินี ก็อาจจะเพื่อเวลานี้ก็ได้”

15-16 จากนั้นเอสเธอร์ก็ส่งคำตอบนี้ไปยังโมรเดคัยว่า “ท่านโมรเดคัย ให้ไปรวบรวมชาวยิวทุกคนที่อยู่ในเมืองสุสา ให้ทุกคนอดอาหารเพื่อลูก อย่าได้กินอาหารและดื่มน้ำเป็นเวลาสามวันสามคืน ตัวลูกเองและพวกสาวใช้ ก็จะอดอาหารเหมือนกัน และหลังจากนั้น ลูกก็จะไปเข้าเฝ้ากษัตริย์ แม้จะไม่ได้ถูกเรียกและเป็นการฝ่าฝืนกฎหมายก็ตาม ตายเป็นตาย”

17 โมรเดคัยจึงข้ามคลอง[f] กลับไป และทำตามที่เอสเธอร์สั่งทุกอย่าง

เอสเธอร์พูดกับกษัตริย์

ในวันที่สาม เอสเธอร์แต่งชุดราชินีเต็มยศ และยืนอยู่ที่ลานชั้นในของวัง ตรงหน้าห้องโถงของกษัตริย์ ในขณะนั้นกษัตริย์กำลังนั่งอยู่บนบัลลังก์หันหน้าออกมายังทางเข้าห้องโถงนั้น เมื่อกษัตริย์มองเห็นราชินีเอสเธอร์ยืนอยู่ที่ลานด้านนอก ก็ดีใจมาก พระองค์จึงยื่นคทาทองคำในมือให้เอสเธอร์ นางก็เข้ามาหากษัตริย์ในห้องโถงนั้น และนางก็จับที่ปลายคทาทองคำของกษัตริย์นั้น

แล้วกษัตริย์ก็ถามพระนางว่า “ราชินีเอสเธอร์ มีอะไรในใจหรือ เธอต้องการขออะไรจากเรา ขอมาได้เลย แม้แต่ครึ่งหนึ่งของอาณาจักรเรา เราก็ยังจะยกให้เลย”

เอสเธอร์ตอบว่า “ถ้าพระองค์พอใจ ขอให้พระองค์พร้อมทั้งฮามาน มางานเลี้ยงที่หม่อมฉันได้จัดเตรียมไว้แล้วสำหรับพระองค์ในวันนี้ด้วยเถิด”

กษัตริย์จึงพูดว่า “ไปตามฮามานมาเร็ว เราจะได้ทำตามสิ่งที่เอสเธอร์ขอ”

แล้วกษัตริย์และฮามานก็ไปงานเลี้ยงที่เอสเธอร์จัดให้กับพวกเขา ในระหว่างที่พวกเขากำลังดื่มเหล้าองุ่นอยู่นั้น กษัตริย์ถามเอสเธอร์ว่า “ว่ายังไง เอสเธอร์ บอกมาสิว่าเธอต้องการขออะไรจากเรา ขอมาได้เลย แม้แต่ครึ่งหนึ่งของอาณาจักรเรา เราก็ยังจะยกให้เลย”

เอสเธอร์ตอบว่า “สิ่งที่หม่อมฉันจะขอ คือ ถ้าพระองค์พอใจในตัวหม่อมฉัน และเห็นดีด้วยที่จะมอบสิ่งที่หม่อมฉันจะขอนั้น ขอให้พระองค์และฮามานกลับมาอีกครั้งหนึ่งในวันพรุ่งนี้ หม่อมฉันจะจัดงานเลี้ยงให้อีก และหม่อมฉันจะบอกว่าหม่อมฉันจะขออะไร”

ฮามานโกรธโมรเดคัย

เมื่อฮามานออกจากวังมาในวันนั้น เขามีความสุขและสบายใจมาก แต่เมื่อเขาเห็นโมรเดคัยที่รับใช้อยู่ในวัง และโมรเดคัยไม่ยอมยืนขึ้นซึ่งเป็นการเคารพเขา และไม่ได้เกรงกลัวเขาจนตัวสั่นด้วย เขาก็โกรธโมรเดคัย 10 แต่เขาได้ควบคุมอารมณ์ไว้และกลับบ้านไป แล้วฮามานให้คนไปตามพวกเพื่อนๆของเขามา รวมทั้งเศเรชภรรยาของเขาด้วย 11 แล้วฮามานก็เริ่มคุยโม้โอ้อวดถึงความร่ำรวยของเขา อวดถึงจำนวนลูกชายที่เขามี รวมทั้งเกียรติยศต่างๆที่กษัตริย์มอบให้ และโอ้อวดว่ากษัตริย์ได้เลื่อนตำแหน่งให้เขาอยู่เหนือเจ้าหน้าที่ทุกคนของพระองค์ 12 ฮามานยังโม้อีกว่า “นอกจากกษัตริย์แล้ว ก็มีแต่ข้าเพียงคนเดียวเท่านั้นที่ราชินีเอสเธอร์ได้เชิญให้ไปร่วมงานเลี้ยงที่พระนางจัดขึ้นถวายกับกษัตริย์ และข้าก็ยังได้รับเชิญให้ไปกับกษัตริย์อีกครั้งในวันพรุ่งนี้ 13 แต่ทั้งหมดนี้ก็ไม่ทำให้ข้ามีความสุขหรอก ตราบใดที่ข้ายังเห็นโมรเดคัยชาวยิว ทำหน้าที่รับใช้อยู่ในวังของกษัตริย์”

14 แล้วเศเรชภรรยาของฮามาน รวมทั้งเพื่อนๆของเขา จึงแนะนำเขาว่า “ให้คนเตรียมเสาไม้สูงห้าสิบศอกขึ้นมาไว้เสียบมันสิ และพรุ่งนี้เช้า ให้ท่านขอให้กษัตริย์เสียบโมรเดคัยไว้บนไม้นั้น จากนั้นค่อยไปงานเลี้ยงกับพระองค์อย่างมีความสุข”

ฮามานเห็นด้วยกับความคิดนี้ เขาจึงเตรียมเสาไม้ไว้

โมรเดคัยได้รับเกียรติ

คืนนั้น กษัตริย์อาหสุเอรัสนอนไม่หลับ พระองค์จึงสั่งให้คนใช้นำหนังสือบันทึกเหตุการณ์ต่างๆที่เกิดขึ้นกับกษัตริย์มาอ่านให้ฟัง เจ้าหน้าที่ได้อ่านให้กับกษัตริย์ฟังถึงเรื่องที่โมรเดคัยได้มาบอกให้รู้ถึงแผนการร้ายที่ บิกธานา และเทเรช ขันทีสองคนที่เฝ้าทางเข้าห้องส่วนตัวทั้งหลายของกษัตริย์ ร่วมกันวางแผนเพื่อทำร้ายกษัตริย์อาหสุเอรัส กษัตริย์จึงถามว่า “โมรเดคัยได้รับเกียรติและรางวัลอะไรบ้างจากการกระทำครั้งนั้น”

เขาตอบว่า “ไม่ได้รับอะไรเลยครับพระองค์”

ฮามานเพิ่งเข้ามาถึงลานด้านนอกของวัง เพื่อจะมาบอกให้กษัตริย์ เสียบโมรเดคัยกับเสาไม้ที่เขาได้เตรียมไว้ กษัตริย์ถามคนใช้ว่า “นั่นใครหรือที่เพิ่งเข้ามาในลานวัง” พวกเขาตอบกษัตริย์ว่า “เป็นฮามานครับพระองค์”

กษัตริย์จึงพูดว่า “ไปนำตัวเขาเข้ามาซิ”

ฮามานจึงเข้ามา กษัตริย์จึงถามเขาว่า “เราควรจะทำอย่างไรดี กับคนที่เราต้องการจะให้เกียรติ”

ฮามานคิดในใจว่า “จะมีใครเสียอีกที่กษัตริย์ต้องการจะให้เกียรติมากไปกว่าเรา”

ฮามานจึงตอบกษัตริย์ไปว่า “คนที่พระองค์ต้องการจะให้เกียรติหรือ ก็ให้พวกผู้รับใช้นำเสื้อคลุมที่พระองค์เคยสวมใส่ และเอาม้าตัวหนึ่งที่พระองค์เคยขี่ และเอามงกุฎมาใส่บนหัวม้า และให้ขุนนางชั้นผู้ใหญ่คนหนึ่งของพระองค์ นำสิ่งของเหล่านี้ไปให้กับคนที่พระองค์ต้องการให้เกียรตินั้น ให้ขุนนางสวมเสื้อคลุมของกษัตริย์ให้กับคนๆนั้น และให้เขาขึ้นขี่บนหลังม้า จากนั้นก็ให้ขุนนางคนนั้นจูงม้าที่เขาขี่เดินไปที่ลานเมือง พร้อมกับให้ขุนนางคนนั้นร้องประกาศว่า ‘นี่คือสิ่งที่กษัตริย์ทำ สำหรับคนที่พระองค์อยากจะให้เกียรติ’”

10 กษัตริย์จึงสั่งฮามานว่า “รีบไปเร็วเข้า ไปนำเสื้อคลุมกับม้า และให้ไปทำตามทุกอย่างที่เจ้าแนะนำให้กับโมรเดคัยชาวยิวที่ทำหน้าที่รับใช้อยู่ในวัง ไปทำทุกอย่างตามที่เจ้าบอก อย่าให้ขาดตกบกพร่องเลย”

11 ดังนั้นฮามานจึงนำเสื้อคลุมและม้า แล้วเขาก็เอาเสื้อคลุมไปสวมให้กับโมรเดคัย และจูงม้าที่โมรเดคัยขี่เดินแห่ไปที่ลานเมือง และเขาก็ป่าวประกาศไปด้วยว่า “นี่คือสิ่งที่กษัตริย์ทำให้กับคนที่พระองค์อยากจะให้เกียรติ”

12 จากนั้นโมรเดคัยก็กลับไปทำหน้าที่ในวัง แต่ฮามานรีบกลับบ้านด้วยความทุกข์ใจ พร้อมกับคลุมหัวด้วยความอับอาย 13 ฮามานเล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทั้งหมดให้เศเรช ภรรยาของเขาและพวกเพื่อนๆฟังถึงเรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้นกับเขา

เพื่อนๆที่ชาญฉลาดและเศเรชภรรยาของเขา พูดว่า “ท่านเริ่มล้มลงต่อหน้าโมรเดคัย เนื่องจากเขาเป็นชาวยิว ท่านจะไม่มีวันเอาชนะเขาได้ แต่ท่านจะต้องล้มลงต่อหน้าเขาอย่างแน่นอน”

14 ในระหว่างที่พวกเขายังพูดคุยอยู่กับฮามานนั้น พวกขันทีของกษัตริย์ก็มาถึง และรีบพาตัวฮามานไปยังงานเลี้ยงที่เอสเธอร์ได้จัดเตรียมไว้

ฮามานถูกเสียบประจาน

ดังนั้นกษัตริย์และฮามานจึงไปกินเลี้ยงกับราชินีเอสเธอร์ และในวันที่สองของงานเลี้ยง ขณะที่พวกเขากำลังดื่มเหล้าองุ่นกันอยู่นั้น กษัตริย์ก็ถามเอสเธอร์อีกครั้งว่า “ราชินีเอสเธอร์ เธออยากจะขออะไร ขอมาได้เลย แม้เป็นครึ่งหนึ่งของอาณาจักรเรา เราก็จะยกให้”

ราชินีเอสเธอร์ตอบว่า “ข้าแต่กษัตริย์ ถ้าหม่อมฉันเป็นที่พอใจของพระองค์ และถ้าพระองค์เห็นด้วย หม่อมฉันขอให้พระองค์ไว้ชีวิตของหม่อมฉัน และชีวิตของคนของหม่อมฉันด้วยเถิด นี่แหละคือสิ่งที่หม่อมฉันขอ เนื่องจากหม่อมฉันและคนของหม่อมฉันได้ถูกขายเพื่อเอาไปทำลาย ไปฆ่า และไปทำให้พินาศสิ้น ถ้าพวกเราถูกขายให้ไปเป็นทาสชายทาสหญิง หม่อมฉันก็คงจะนิ่งเสีย เพราะความทุกข์ยากนั้นมันเล็กน้อยเกินกว่าที่จะรบกวนพระองค์”

กษัตริย์อาหสุเอรัสถามราชินีเอสเธอร์ว่า “มันเป็นใครกัน ถึงได้บังอาจทำอย่างนั้นกับคนของเธอ ตอนนี้มันอยู่ที่ไหน”

เอสเธอร์ตอบว่า “ชายที่เป็นคู่อริ และศัตรูของพวกเรานั้น คือไอ้คนชั่วฮามานคนนี้”

ฮามานก็กลัวสุดขีดต่อหน้ากษัตริย์และราชินี กษัตริย์ก็ลุกขึ้นด้วยความโกรธ ทิ้งงานเลี้ยงไป แล้วเดินออกไปในสวนของวัง แต่ฮามานอยู่ข้างใน อ้อนวอนขอชีวิตต่อราชินีเอสเธอร์ เพราะเขารู้ว่ากษัตริย์ได้ตัดสินใจแล้วที่จะฆ่าเขา เมื่อกษัตริย์กลับมาจากสวน เข้ามาที่ห้องงานเลี้ยง ฮามานกำลังหมอบอยู่บนม้านั่งยาวที่เอสเธอร์เอนกายอยู่ กษัตริย์จึงพูดว่า “นี่ขนาดเรายังอยู่ในตึกนี้ เจ้ายังกล้าลวนลามราชินีหรือ”

ทันทีที่กษัตริย์พูดจบ คนของพระองค์ก็เข้ามาปิดหน้าฮามานไว้ ฮารโบนาขันทีคนหนึ่งของกษัตริย์พูดว่า “ฮามานได้เตรียมเสาไม้สูงห้าสิบศอกไว้ที่หน้าบ้านของเขา เพื่อเตรียมไว้เสียบโมรเดคัย ผู้ที่ได้เปิดโปงถึงแผนการร้ายและได้ช่วยชีวิตของพระองค์ไว้”

กษัตริย์จึงพูดว่า “เอาฮามานไปเสียบไว้ที่เสานั้น”

10 ดังนั้น พวกเขาจึงเสียบฮามานไว้บนเสาไม้ที่ฮามานได้เตรียมไว้สำหรับเสียบโมรเดคัย หลังจากนั้นกษัตริย์จึงหายโกรธ

กษัตริย์มีคำสั่งให้ช่วยชาวยิว

ในวันเดียวกันนั้น กษัตริย์อาหสุเอรัสยกทรัพย์สมบัติทั้งหมดของฮามานที่เป็นศัตรูของชาวยิวให้กับราชินีเอสเธอร์ และเอสเธอร์ก็ได้บอกให้กษัตริย์รู้ว่านางกับโมรเดคัยเป็นญาติกัน โมรเดคัยก็เลยได้มาเข้าเฝ้ากษัตริย์ จากนั้น กษัตริย์จึงถอดแหวนตราประทับให้กับโมรเดคัย เป็นแหวนที่พระองค์เอาคืนมาจากฮามาน แล้วเอสเธอร์ได้มอบทรัพย์สมบัติทั้งหมดของฮามานให้กับโมรเดคัยดูแล

เอสเธอร์ได้พูดกับกษัตริย์อีกครั้งหนึ่ง นางล้มตัวลงแทบเท้าของพระองค์และร้องไห้ นางได้อ้อนวอนขอความเมตตาจากกษัตริย์ให้ยกเลิกแผนการชั่วร้ายของฮามานชาวอากัก ที่จะทำลายชาวยิว

กษัตริย์ได้ยื่นคทาทองคำให้กับเอสเธอร์ แล้วนางก็ลุกขึ้นมายืนอยู่ต่อหน้าพระองค์ นางพูดว่า “ข้าแต่กษัตริย์ ถ้าพระองค์เห็นด้วย และพอใจในตัวของหม่อมฉัน และถ้าพระองค์เห็นว่าความคิดนี้ดี และถ้าพระองค์ชอบใจในตัวหม่อมฉัน ขอพระองค์ช่วยเขียนคำสั่งออกไป เพื่อกลับคำสั่งเดิมของฮามาน ลูกชายของฮัมเมดาธา ชาวอากัก เพราะฮามานได้ส่งจดหมายออกไป สั่งให้ทำลายล้างชาวยิวให้หมดสิ้นไปในทุกมณฑลที่อยู่ในอาณาจักรของพระองค์ หม่อมฉันทนไม่ได้หรอกที่จะเห็นคนของหม่อมฉันได้รับความทุกข์ทรมานอย่างนั้น หม่อมฉันทนไม่ได้หรอกที่จะเห็นครอบครัวของหม่อมฉันต้องพินาศไป”

กษัตริย์อาหสุเอรัสจึงตอบราชินีเอสเธอร์ และโมรเดคัยชาวยิวว่า “เรารู้ว่าฮามานวางแผนจะฆ่าชาวยิว นั่นเป็นเหตุที่เรายกทรัพย์สมบัติทั้งหมดของฮามานให้กับเอสเธอร์ และให้เสียบเขาไว้บนไม้นั้น ตอนนี้ให้เจ้าทั้งสองเขียนจดหมายขึ้น พวกเจ้าเห็นสมควรจัดการเรื่องของชาวยิวยังไง ก็ให้เขียนไปตามนั้น แล้วเอาแหวนของเราประทับลงบนจดหมายนั้น เพราะคำสั่งที่ถูกเขียนโดยชื่อกษัตริย์และประทับตราด้วยแหวนนี้ จะไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้”

พวกเสมียนของวังก็ถูกตามตัวมาอย่างรวดเร็ว ในวันที่ยี่สิบสามเดือนสาม เป็นเดือนสิวัน และคำสั่งใหม่ก็ถูกเขียนขึ้นตามคำสั่งของโมรเดคัย เพื่อส่งไปให้กับชาวยิว พวกผู้ควบคุมภาค พวกบรรดาผู้ว่าราชการ และเจ้าหน้าที่มณฑลต่างๆทั้งหนึ่งร้อยยี่สิบเจ็ดมณฑล เริ่มตั้งแต่ประเทศอินเดียไปจนถึงประเทศคูช จดหมายนี้เขียนเป็นอักษรของแต่ละมณฑล และเป็นภาษาของแต่ละชนชาติ และยังเขียนเป็นตัวอักษรยิวและเป็นภาษายิวด้วย 10 โมรเดคัย เขียนคำสั่งเหล่านี้ภายใต้ชื่อของกษัตริย์อาหสุเอรัส และประทับตราด้วยแหวนของพระองค์ และส่งไปกับผู้ถือสารที่ใช้ม้าเร็ว เป็นม้าที่เลี้ยงไว้สำหรับกษัตริย์เท่านั้น

11 คำสั่งนั้นบอกว่า กษัตริย์อนุญาตให้ชาวยิวในทุกเมืองสามารถรวมตัวกันเพื่อปกป้องชีวิตของตนได้ พวกเขาได้รับสิทธิ์ที่จะทำลาย ฆ่า และกวาดล้างให้สิ้นซากต่อพวกศัตรูไม่ว่าจะมาจากมณฑลหรือชาติใดๆก็ตาม และพวกเขาก็ยังได้รับอนุญาตให้ฆ่าลูกหลาน และผู้หญิงของศัตรูเหล่านั้น พวกยิวมีสิทธิ์ที่จะยึดหรือทำลายทรัพย์สินของพวกศัตรูได้

12 พวกยิวมีสิทธิ์ที่จะทำสิ่งต่างๆเหล่านี้ได้ในทั่วทุกมณฑลของกษัตริย์อาหสุเอรัส ในวันที่สิบสาม เดือนสิบสอง ซึ่งคือเดือนอาดาร์ 13 พวกสำเนาของจดหมายนี้จะออกเป็นกฎหมายในทุกมณฑล และประกาศให้กับทุกชนชาติได้รู้ เพื่อให้ชาวยิวเตรียมพร้อมที่จะแก้แค้นศัตรูของพวกเขาในวันนั้น 14 พวกผู้ถือสาร จึงขี่ม้าทั้งหลายของกษัตริย์ออกไปอย่างรวดเร็วเท่าที่จะทำได้ ตามคำสั่งของกษัตริย์ นอกจากนั้น กฎหมายนี้ยังประกาศใช้ในเขตวังของเมืองสุสาด้วย

15 แล้วโมรเดคัยก็ได้ออกไปจากการเข้าเฝ้ากษัตริย์ และแต่งตัวด้วยเสื้อผ้าของราชวงศ์ ซึ่งเป็นสีม่วงและสีขาว และใส่มงกุฎทองคำอันใหญ่ และเสื้อคลุมสีขาวและสีม่วง ซึ่งทำจากผ้าลินินอย่างดี ในขณะที่ชาวเมืองสุสาต่างร้องตะโกนด้วยความยินดี 16 ฝ่ายพวกชาวยิวก็ชื่นชมยินดี มีความสุขและมีเกียรติ

17 ในทุกมณฑล ทุกเมือง ทุกแห่งที่คำสั่งและกฎหมายของกษัตริย์ไปถึง ก็จะมีความยินดี มีความสุข มีการเลี้ยงฉลอง และเป็นวันหยุดของพวกชาวยิว หลายคนจากชนชาติต่างๆที่อยู่ในแผ่นดินนั้นได้เปลี่ยนเป็นชาวยิว เนื่องจากพวกเขาเริ่มกลัวชาวยิว

ชัยชนะของชาวยิว

เมื่อถึงวันที่สิบสามของเดือนสิบสอง ซึ่งเป็นเดือนอาดาร์ นี่เป็นวันที่คำสั่งของกษัตริย์เริ่มมีผลบังคับใช้ เป็นวันที่พวกศัตรูของชาวยิวหวังจะเอาชนะชาวยิว แต่มันกลับกลายเป็นว่า ชาวยิวได้ชนะพวกศัตรูของพวกเขาแทน

บรรดาชาวยิวต่างมารวมตัวกันตามเมืองต่างๆของตน ในทุกมณฑลของกษัตริย์อาหสุเอรัส เพื่อมาต่อต้านคนเหล่านั้นที่อยากจะทำลายพวกเขา ไม่มีใครสามารถต่อต้านการโจมตีของชาวยิวได้ เพราะคนเหล่านั้นล้วนเกรงกลัวพวกยิว เจ้าหน้าที่ทั้งหลายตามมณฑลต่างๆ พวกผู้ควบคุมภาค รวมทั้งผู้ว่าราชการ และเจ้าหน้าที่ในวัง ต่างก็สนับสนุนชาวยิว เพราะพวกเขาเกรงกลัวโมรเดคัย เนื่องจากโมรเดคัยเป็นคนสำคัญของวัง ซึ่งมีชื่อเสียงเลื่องลือไปทั่วทุกมณฑล เพราะเขามีอำนาจมากขึ้นเรื่อยๆ

แล้วชาวยิวก็โจมตีศัตรูทั้งหมดของพวกเขาด้วยดาบ พวกยิวฆ่าและทำลายพวกนั้น ชาวยิวทำกับคนที่เกลียดชังพวกเขาตามความพอใจ พวกยิวได้ฆ่าและทำลายผู้ชายห้าร้อยคนที่เป็นศัตรูของพวกเขาในเขตวังของเมืองสุสา ในจำนวนนี้มี ปารชันดาธา ดาลโฟน อัสปาธา โปราธา อาดัลยา อารีดาธา ปารมัชทา อารีสัย อารีดัย และไวซาธา 10 คนพวกนี้เป็นลูกชายทั้งสิบคนของฮามาน ลูกของฮัมเมดาธา ศัตรูของพวกยิว แต่พวกยิวไม่ได้ปล้นข้าวของของพวกศัตรูนั้น

11 ในวันเดียวกันนั้น กษัตริย์ก็ได้รับรายงานถึงจำนวนคนที่ถูกฆ่าในเขตวังของเมืองสุสา 12 พระองค์ได้พูดกับราชินีเอสเธอร์ว่า “พวกชาวยิวได้ฆ่าและทำลายผู้ชายไปห้าร้อยคนในเขตวังของเมืองสุสานี้ รวมทั้งลูกชายทั้งสิบคนของฮามานด้วย พวกเขาคงจะทำมากยิ่งกว่านั้นอีกในมณฑลอื่นๆของเรา มีอะไรอีกไหมที่เจ้าอยากจะให้จัดการ บอกเรามา แล้วเราจะจัดการให้”

13 เอสเธอร์ตอบว่า “ถ้าพระองค์พอใจ ขออนุญาตให้พวกชาวยิวที่อาศัยอยู่ในเขตวังของเมืองสุสา ทำอย่างเดียวกันนี้อีกในวันพรุ่งนี้ และขอให้เสียบลูกทั้งสิบคนของฮามานบนเสาไม้”

14 กษัตริย์จึงสั่งให้เป็นไปตามที่เอสเธอร์ขอ และได้ประกาศให้มันเป็นกฎหมายในเขตวังของเมืองสุสา และพวกเขาก็ได้เสียบลูกชายทั้งสิบคนของฮามาน 15 จากนั้นพวกยิวที่อยู่ในเมืองป้อมสุสาก็ได้รวมตัวกันอีกครั้งในวันที่สิบสี่ของเดือนอาดาร์ และได้ฆ่าคนในเมืองป้อมสุสาไปอีกสามร้อยคน แต่ไม่ได้ปล้นข้าวของของพวกเขา

16 ส่วนพวกยิวที่อาศัยอยู่ตามมณฑลต่างๆของกษัตริย์ ก็ได้รวมตัวกันเพื่อปกป้องตัวเองให้รอดพ้นจากศัตรู พวกเขาได้ฆ่าศัตรูไปเจ็ดหมื่นห้าพันคน แต่ไม่ได้ปล้นข้าวของของพวกเขา 17 เหตุการณ์เหล่านี้เกิดขึ้นในมณฑลต่างๆในวันที่สิบสาม ของเดือนอาดาร์ แล้วในวันที่สิบสี่ คนยิวก็ได้หยุดพักและเลี้ยงเฉลิมฉลองกันในวันนั้น

เทศกาลปูริม

18 แต่พวกชาวยิวที่อยู่ในเขตวังของเมืองสุสาได้รวมตัวกันเพื่อปกป้องตัวเองในวันที่สิบสามและสิบสี่ของเดือนอาดาร์ แล้วหยุดพักในวันที่สิบห้า และชาวยิวเหล่านั้นก็ได้เลี้ยงเฉลิมฉลองกันในวันนั้น 19 นั่นเป็นเหตุที่พวกชาวยิวที่อาศัยอยู่ตามชนบทต่างๆที่ไม่มีกำแพงเมือง ถือเอาวันที่สิบสี่ของเดือนอาดาร์ เป็นวันหยุดเพื่อเลี้ยงเฉลิมฉลองกัน และต่างก็ส่งอาหารเป็นของขวัญให้แก่กันและกันในวันนั้น

20 โมรเดคัยได้บันทึกเหตุการณ์เหล่านี้ไว้ทั้งหมด และเขาได้ส่งจดหมายไปถึงชาวยิวทุกคน ที่อาศัยอยู่ในมณฑลทุกแห่งของกษัตริย์อาหสุเอรัส ทั้งใกล้และไกล 21 เขาเขียนไปให้กับชาวยิวทุกคน ให้ถือวันที่สิบสี่และวันที่สิบห้าของเดือนอาดาร์ เป็นวันหยุดประจำปี 22 เพราะวันเหล่านั้นเป็นวันที่บรรดาชาวยิวได้กำจัดพวกศัตรูของพวกเขา และเป็นเดือนที่ความทุกข์โศกของพวกเขาได้กลายเป็นความชื่นชมยินดี การคร่ำครวญของพวกเขากลายเป็นการเลี้ยงฉลอง เขาบอกให้พวกเขาให้เฉลิมฉลองเลี้ยงกันในวันเหล่านั้น และส่งอาหารเป็นของขวัญให้แก่กันและกัน และส่งอาหารเป็นของขวัญให้กับคนยากจนด้วย

23 ดังนั้นชาวยิวจึงตกลงที่จะรักษาเทศกาลนี้ที่พวกเขาได้เริ่มต้นไว้ตลอดไป ตามที่โมรเดคัยได้เขียนมา

24 ฮามาน ลูกชายฮัมเมดาธา ชาวอากัก ศัตรูของพวกชาวยิว ได้วางแผนชั่วเพื่อทำลายชาวยิว เขาได้ทำการเสี่ยงทาย ที่เรียกว่า “เปอร์” เพื่อทำลายพวกยิวให้พินาศสิ้น 25 แต่เมื่อกษัตริย์ได้ล่วงรู้แผนการนั้น พระองค์พูดว่า “ขอให้คำสั่งชั่วร้ายที่ฮามานเขียนเพื่อทำลายชาวยิวนี้ เกิดขึ้นกับเขาแทน” ดังนั้นฮามานและลูกชายจึงถูกเสียบที่เสาไม้

26-27 ดังนั้น ประชาชน จึงเรียกวันเหล่านั้นว่า “ปูริม” ซึ่งมาจากคำว่า “เปอร์” โมรเดคัยได้เขียนจดหมายบอกให้ชาวยิวเฉลิมฉลองเทศกาลนี้ในสองวันที่กำหนดนี้ของทุกปี เพื่อให้ระลึกถึงสิ่งที่เกิดขึ้นกับพวกเขา ดังนั้นพวกยิวจึงถือเป็นประเพณีสำหรับพวกเขาและลูกหลานของพวกเขาตามที่โมรเดคัยบอก 28 เพื่อพวกเขาจะถือเทศกาลนี้ไว้ และรักษาไว้สืบต่อไปในทุกยุคทุกสมัย ในทุกครอบครัว ในทุกมณฑล และในทุกเมือง คนยิวจะต้องเฉลิมฉลองเทศกาลปูริมนี้ทุกปีไม่หยุดหย่อน และรักษาเทศกาลนี้ตลอดไป และไม่ปล่อยให้มันหมดสิ้นไปจากผู้สืบเชื้อสายของชาวยิว

29 จากนั้น ราชินีเอสเธอร์ ลูกสาวอาบีฮาอิล กับโมรเดคัยชาวยิว ก็เขียนจดหมายออกมาอย่างเป็นทางการ เพื่อรับรองเทศกาลปูริม นี่เป็นจดหมายฉบับที่สอง 30 ซึ่งถูกส่งไปยังชาวยิวทั้งหลาย ในหนึ่งร้อยยี่สิบเจ็ดมณฑล ในอาณาจักรของกษัตริย์อาหสุเอรัส ในจดหมายนั้น พวกเขาบอกว่า “ขอให้พวกท่านอยู่เย็นเป็นสุข และมีความมั่นคง 31 พวกท่านและลูกหลานของพวกท่านต้องไม่ลืมที่จะเฉลิมฉลองเทศกาลปูริมในเวลาที่กำหนดไว้และตามอย่างที่เราสั่ง และพวกท่านก็ต้องทำตามคำแนะนำเกี่ยวกับการคร่ำครวญและอดอาหารที่เราสั่งด้วย” 32 กฎเกี่ยวกับเทศกาลปูริมนี้ได้ถูกเขียนขึ้นมาตามคำสั่งของราชินีเอสเธอร์ และได้ถูกจดไว้ในหนังสือบันทึกเหตุการณ์ต่างๆ

โมรเดคัยได้รับเกียรติ

10 ต่อมา กษัตริย์อาหสุเอรัสได้เรียกเก็บภาษีจากทั่วแผ่นดินของพระองค์ รวมไปถึงชายฝั่งทะเลด้วย เรื่องราวทั้งหมดเกี่ยวกับอำนาจ และความยิ่งใหญ่ของพระองค์ รวมทั้งสาเหตุที่พระองค์ได้เลื่อนยศให้โมรเดคัยได้ถูกบันทึกไว้ในหนังสือประจำวันของกษัตริย์แห่งมีเดีย และเปอร์เซีย เนื่องจากโมรเดคัยมีตำแหน่งรองจากกษัตริย์อาหสุเอรัส เขาเป็นที่นับถือของพวกชาวยิว และมีชื่อเสียงโด่งดังในหมู่พี่น้องชาวยิวทั้งหลาย เขาแสวงหาความเป็นอยู่ที่ดีให้ประชาชนของเขา และนำสันติสุขมาให้กับคนยิวทั้งหมด

โยบคนดี

มีชายคนหนึ่งชื่อโยบ เขาอาศัยอยู่ในดินแดนอูส เขาเป็นคนดีพร้อม และสัตย์ซื่อ เขายำเกรงพระเจ้า และไม่ยอมทำความชั่วเลย

เขามีลูกชายเจ็ดคน และลูกสาวสามคน เขามีแกะและแพะเจ็ดพันตัว อูฐสามพันตัว วัวห้าร้อยคู่ ลาตัวเมียห้าร้อยตัว และมีคนใช้มากมาย

เขาก็เลยเป็นคนที่ร่ำรวยที่สุดในหมู่คนที่อาศัยอยู่ทางทิศตะวันออก

ลูกชายของเขาแต่ละคนจะจัดงานเลี้ยงที่บ้านของพวกเขา หมุนเวียนกันไปตามเวรของพวกเขา และพวกเขาจะเชิญชวนพี่น้องหญิงทั้งสามคนให้มากินและดื่มร่วมกับพวกเขา เมื่อพวกเขาจัดงานเลี้ยงเวียนกันไปจนครบรอบแล้ว โยบก็จะทำพิธีชำระพวกเขาให้บริสุทธิ์ โยบจะลุกขึ้นแต่เช้าตรู่ และถวายเครื่องเผาบูชาสำหรับลูกแต่ละคนของเขา เพราะโยบคิดว่า “ลูกๆของข้าอาจจะทำบาป ด้วยการสาปแช่งพระเจ้าในใจก็เป็นได้”

โยบทำอย่างนี้เสมอมา

อยู่มาวันหนึ่ง เมื่อพวกทูตสวรรค์มาปรากฏตัวอยู่ต่อหน้าพระยาห์เวห์และผู้ฟ้องร้อง[g] ก็อยู่กับพวกทูตสวรรค์[h] นั้นด้วย

พระยาห์เวห์ถามผู้ฟ้องร้องว่า “เจ้าไปทำอะไรมา”

ผู้ฟ้องร้องตอบพระยาห์เวห์ว่า “ไปเที่ยวตรวจตราในแผ่นดินโลก และเดินสำรวจไปมาบนแผ่นดินนั้น”

พระยาห์เวห์พูดกับผู้ฟ้องร้องว่า “เจ้าได้สังเกตตัวโยบ ผู้รับใช้ของเราหรือเปล่า ไม่มีใครเลยในโลกนี้ที่เหมือนกับเขา เขาเป็นคนดีพร้อม สัตย์ซื่อ ยำเกรงพระเจ้า และไม่ยอมทำชั่ว”

ผู้ฟ้องร้องตอบพระยาห์เวห์ว่า “เขายำเกรงพระองค์เพราะได้สิ่งดีๆตอบแทนไม่ใช่หรือ

10 พระองค์ได้กั้นรั้วปกป้องรอบตัวเขา ครัวเรือนของเขา ตลอดจนทุกสิ่งที่เขาเป็นเจ้าของ ไม่ใช่หรือ พระองค์อวยพรการงานที่เขาทำ ไม่ใช่หรือ จนทำให้ทรัพย์สมบัติของเขาได้ขยายเพิ่มขึ้นอย่างมหาศาลไปทั่วทั้งแผ่นดิน 11 ลองยื่นมือของพระองค์ออกไปทำลายทุกสิ่งของเขาดูสิ เขาจะสาปแช่งพระองค์ต่อหน้าอย่างแน่นอน”

12 แล้วพระยาห์เวห์พูดกับผู้ฟ้องร้องว่า “เอาสิ ทุกอย่างของเขาอยู่ในกำมือของเจ้าแล้ว แต่ห้ามทำร้ายตัวเขา”

แล้วผู้ฟ้องร้องก็ออกไปจากเบื้องหน้าของพระยาห์เวห์

โยบสูญสิ้นทุกสิ่งทุกอย่าง

13 อยู่มาวันหนึ่ง เมื่อพวกลูกชายและลูกสาวของโยบมาร่วมกินและดื่มเหล้าองุ่นที่บ้านพี่ชายคนโตของพวกเขา 14 อยู่ๆก็มีผู้ส่งข่าวคนหนึ่งมาหาโยบและบอกว่า “ขณะที่ฝูงวัวกำลังไถดิน และพวกลาตัวเมียกำลังกินหญ้าอยู่ข้างๆฝูงวัวนั้น 15 ก็มีพวกเสบา[i] บุกเข้ามากวาดต้อนเอาพวกมันไป

และพวกมันใช้ดาบฆ่าฟันคนเฝ้าฝูงสัตว์ตายหมด เหลือแต่ข้าพเจ้าที่หนีรอดมาส่งข่าวกับท่าน”

16 ชายคนนี้พูดยังไม่ทันจบ ก็มีชายอีกคนหนึ่งเข้ามา พูดว่า “มีฟ้าผ่าจากพระเจ้าลงมาจากฟ้า เผาไหม้ฝูงแกะและแพะ รวมทั้งคนเฝ้าฝูงสัตว์นั้นจนหมดเกลี้ยง เหลือแต่ข้าพเจ้าที่หนีรอดมาส่งข่าวกับท่าน”

17 ชายคนนี้พูดยังไม่ทันจบ ก็มีชายอีกคนหนึ่งเข้ามาพูดว่า “มีชาวเคลเดีย[j] สามกลุ่มบุกเข้าปล้นฝูงอูฐ และกวาดต้อนเอาพวกมันไป แล้วพวกมันก็เอาดาบฆ่าฟันคนเฝ้าฝูงอูฐตายหมด เหลือแต่ข้าพเจ้าที่หนีรอดมาบอกข่าวกับท่าน”

18 ชายคนนี้พูดยังไม่ทันจบ ก็มีชายอีกคนหนึ่งเข้ามาพูดว่า “ในขณะที่ลูกชายและลูกสาวของท่านกำลังกินและดื่มเหล้าองุ่นในบ้านพี่ชายคนโตนั้น 19 ก็เกิดพายุลูกใหญ่พัดมาจากทะเลทราย พัดตีบ้านทั้งสี่ด้าน แล้วบ้านก็พังลงมาทับลูกๆของท่านตายหมด เหลือแต่ข้าพเจ้าที่หนีรอดมาส่งข่าวกับท่าน”

20 โยบก็ลุกขึ้นฉีกเสื้อคลุมของเขา โกนหัว[k] และล้มกราบลงกับพื้น 21 เขาพูดว่า

“ข้าพเจ้าออกจากท้องแม่มาตัวเปล่า
    ข้าพเจ้าก็จะกลับสู่ผืนดินตัวเปล่า
พระยาห์เวห์ให้มา และพระยาห์เวห์ก็เอากลับไป
    ขอให้ชื่อของพระยาห์เวห์ได้รับการสรรเสริญเถิด”

22 ถึงแม้จะเกิดเรื่องทั้งหมดนี้กับโยบ โยบก็ไม่ได้ทำบาป เขาไม่ได้กล่าวหาพระเจ้าว่าพระองค์ทำผิด

ผู้ฟ้องร้องเล่นงานสุขภาพของโยบ

อยู่มาวันหนึ่ง เมื่อพวกทูตสวรรค์มาปรากฏตัวอยู่ต่อหน้าพระยาห์เวห์ ผู้ฟ้องร้องก็มาอยู่กับพวกทูตสวรรค์นั้นด้วยเพื่อมารายงานตัวต่อพระยาห์เวห์ พระยาห์เวห์พูดกับผู้ฟ้องร้องว่า “เจ้าไปไหนมา”

ผู้ฟ้องร้องตอบพระยาห์เวห์ว่า “ไปเที่ยวตรวจตราในแผ่นดินโลก และเดินสำรวจไปมาบนแผ่นดินนั้น”

พระยาห์เวห์พูดกับผู้ฟ้องร้องว่า “เจ้าสังเกตตัวโยบ ผู้รับใช้ของเราหรือเปล่า ไม่มีใครเลยในโลกนี้ที่เหมือนกับเขา เขาเป็นคนดีพร้อม สัตย์ซื่อ ยำเกรงพระเจ้า และไม่ยอมทำชั่ว เขาก็ยังยึดมั่นในความดีพร้อมของเขา ทั้งๆที่เจ้าพยายามโน้มน้าวให้เราต่อต้านเขา และให้กลืนกินเขาเสียโดยไม่มีเหตุ”

ผู้ฟ้องร้องตอบพระยาห์เวห์ว่า “หนังแทนหนัง[l] แน่นอน มนุษย์จะสละทุกสิ่งทุกอย่างที่เขามีเพื่อแลกกับชีวิตของตน ลองยื่นมือของพระองค์ออกไปทำร้ายกระดูกและเนื้อของเขาดูสิ เขาจะสาปแช่งพระองค์ต่อหน้าอย่างแน่นอน”

แล้วพระยาห์เวห์ก็พูดกับผู้ฟ้องร้องว่า “เอาสิ ทุกอย่างของเขาอยู่ในกำมือของเจ้าแล้ว แต่ให้ไว้ชีวิตเขา”

ผู้ฟ้องร้องก็ออกไปจากเบื้องหน้าของพระยาห์เวห์

ผู้ฟ้องร้องทำให้โยบเกิดแผลพุพองตั้งแต่หัวจรดเท้า โยบนั่งอยู่กลางกองขี้เถ้าและใช้เศษหม้อดินแตกเกาครูดตามตัว เมียของเขาพูดกับเขาว่า “แกยังจะยึดมั่นในความดีพร้อมของแกอยู่อีกหรือ สาปแช่งพระเจ้า แล้วไปตายซะ”

10 โยบพูดกับนางว่า “เจ้าพูดเหมือนกับหญิงโง่ไม่มีผิด เราจะรับแต่สิ่งดีๆจากพระเจ้าเท่านั้น สิ่งเลวร้ายจะไม่ยอมรับเลยหรือ” ถึงแม้จะเกิดเรื่องทั้งหมดนี้กับโยบ โยบก็ไม่ได้ทำบาปด้วยริมฝีปากของเขาเลย

เพื่อนทั้งสามคนของโยบ

11 ต่อมาเมื่อเพื่อนสามคนของโยบคือ เอลีฟัสชาวเทมาน บิลดัดชาวชูอาห์ และโศฟาร์ชาวนาอามาห์ ได้ยินเรื่องเลวร้ายทั้งหมดที่เกิดขึ้นกับโยบ พวกเขานัดกันที่จะไปร่วมทุกข์และปลอบโยนโยบ พวกเขาต่างออกจากบ้านเรือนของตนมา 12 เมื่อพวกเขาเห็นโยบแต่ไกล พวกเขาแทบจะจำโยบไม่ได้เลย พวกเขาร้องไห้เสียงดัง และต่างฉีกเสื้อคลุมของตน แล้วต่างโยนฝุ่น[m]ขึ้นไปในอากาศให้ตกลงบนหัวของพวกเขา

13 แล้วเพื่อนทั้งสามก็ได้มานั่งอยู่กับโยบที่พื้นดิน เป็นเวลาเจ็ดวันเจ็ดคืน โดยไม่ได้พูดอะไรกับโยบสักคำ เพราะพวกเขาเห็นว่าความเจ็บปวดของโยบนั้นแสนสาหัสนัก

โยบสาปแช่งวันที่เขาเกิด

หลังจากนั้น โยบอ้าปากและพูดสาปแช่งวันที่เขาเกิดมา โยบพูดว่า

“วันที่ข้าเกิดมานั้น
    น่าจะถูกทำลายไปซะก่อน
และไม่น่าจะมีคืนนั้นที่พูดว่า
    ‘มีการตั้งท้องเด็กชายคนหนึ่งขึ้นแล้ว’
วันนั้นน่าจะมืดมิดไป
    พระเจ้าที่อยู่เบื้องบนไม่น่าจะคิดถึงวันนั้น
    หรือให้แสงสว่างส่องลงมาในวันนั้นเลย
ความมืดและเงาแห่งความตายน่าจะอ้างสิทธิ์เหนือวันนั้น
    เมฆหนาทึบน่าจะปกคลุมวันนั้นไว้
    ความมืดมิดของดวงอาทิตย์น่าจะทำให้วันนั้นตกใจกลัว
ความหมองหม่นน่าจะยึดเอาคืนนั้นที่ข้าก่อเกิดขึ้นในท้องไปซะ
    คืนนั้นไม่น่าจะเชื่อมต่อกับวันอื่นๆของปีเลย
    วันนั้นไม่น่าจะถูกนับรวมอยู่ในเดือนต่างๆเลย
ความจริงแล้วคืนนั้นน่าจะเป็นหมันไป
    ไม่น่าจะมีเสียงร้องอย่างมีความสุขในคืนนั้นเลย
คนที่สาปแช่งวันน่าจะร่ายเวทมนตร์ใส่คืนนั้นด้วย
    คนที่เก่งในการปลุกเรียกตัวเลวีอาธาน[n] ขึ้นมา
    น่าจะสาปแช่งคืนนั้นด้วย
ดวงดาวในยามรุ่งสางน่าจะมืดไป
    คืนนั้นที่รอแสงสว่างอย่างตื่นเต้นไม่น่าจะได้พบแสงสว่างเลย
    คืนนั้นไม่น่าจะได้พบกับแสงสว่างแห่งยามรุ่งสางเลย
10 เพราะคืนนั้นไม่ได้ปิดครรภ์ของแม่ข้าไว้
    เพราะคืนนั้นไม่ได้ซ่อนความทุกข์ยากไปจากสายตาข้า
11 ทำไมข้าถึงไม่ตายตั้งแต่เกิด
    ทำไมข้าถึงไม่คลอดออกมาแล้วสิ้นใจไปเลย
12 ทำไมตักของแม่จึงรองรับข้าไว้
    และทำไมถึงมีเต้านมให้ข้าดูด
13 เพราะถ้าข้าตายไปเสียตั้งแต่แรกเกิด
    ตอนนี้ข้าคงนอนเหยียดยาวอยู่และไม่ถูกรบกวน
ข้าคงนอนหลับอยู่และคงได้พักผ่อน
14     อยู่ร่วมกับพวกกษัตริย์และบรรดาที่ปรึกษาแห่งแผ่นดินที่เคยสร้างเมืองปรักหักพังขึ้นใหม่สำหรับพวกเขาเอง
15 หรืออยู่กับพวกเจ้านายในวัง
    ที่เคยมีทองคำและเงินเต็มบ้าน
16 ทำไมข้าถึงไม่ถูกฝังเหมือนกับเด็กที่ตายในท้อง
    หรือเป็นทารกที่ไม่เคยเห็นแสงสว่าง
17 ที่หลุมศพนั้นคนชั่วจะหยุดก่อปัญหา
    ที่นั่นผู้ที่เหนื่อยล้าจะได้พักผ่อน
18 ที่นั่นเหล่าเชลยจะอยู่กันอย่างสบาย
    เพราะพวกเขาจะไม่ได้ยินเสียงร้องตะโกนของผู้คุม
19 ทั้งผู้น้อยและผู้ใหญ่ก็อยู่ที่นั่น
    ส่วนทาสก็เป็นอิสระจากเจ้านาย
20 ทำไมถึงให้แสงสว่างกับคนที่ทุกข์ทรมาน
    ทำไมถึงให้ชีวิตกับคนที่จมอยู่กับความขมขื่น
21 ทำไมไม่ยอมให้คนที่อยากตายได้ตายซะ
    พวกเขาขุดหาความตายยิ่งกว่าขุดหาทรัพย์สมบัติเสียอีก
22 พวกเขาดีใจแทบตายเมื่อเขาพบหลุมศพของตน
    พวกเขาร้องเพลงกันอย่างสนุกสนาน
23 ทำไมถึงให้ชีวิตกับคนที่ไม่รู้ว่าจะอยู่ไปทำไม
    คือคนที่พระเจ้าได้ปิดกั้นรอบด้าน
24 อาหารของข้าคือการถอนหายใจ
    น้ำดื่มของข้าคือเสียงร้องคร่ำครวญ
25 เพราะสิ่งที่ข้ากลัวมากที่สุดนั้นก็ได้เกิดขึ้นกับข้า
    สิ่งที่ข้าหวาดผวาก็ได้ตกอยู่บนข้า
26 ข้าไม่มีความสงบสุข ไม่มีความเงียบสงบ
    ข้าไม่ได้พักผ่อน ข้ามีแต่ความว้าวุ่นใจ”

เอลีฟัสพูดกับโยบ

แล้วเอลีฟัส ชาวเทมานตอบว่า

“ถ้าหากมีใครสักคนจะลองพูดกับท่าน
    ท่านจะรำคาญไหม
    เมื่อฟังท่านพูด ใครจะอดพูดได้
ท่านเคยสั่งสอนผู้คนมากมาย
    ท่านเคยเสริมกำลังให้กับมือที่อ่อนล้า
คำแนะนำของท่าน
    ทำให้คนที่ล้มลงลุกขึ้นยืนได้อย่างมั่นคง
    ท่านทำให้เข่าที่อ่อนล้ากลับแข็งแรง
แต่มาตอนนี้มันได้เกิดขึ้นกับท่าน
    ท่านก็หมดความอดทนไป
    พอมาถึงตาท่าน ท่านก็ท้อแท้
ความยำเกรงที่ท่านมีต่อพระเจ้านั้น
    ไม่ได้ช่วยให้ท่านมีความเชื่อมั่นเลยหรือ
ความดีพร้อมของท่านนั้น
    ไม่ได้ให้ความหวังอะไรกับท่านเลยหรือ
ลองคิดดูสิ เคยเห็นคนบริสุทธิ์ถูกทำลายไปไหม
    เคยเห็นคนที่ซื่อตรงพินาศไหม
ที่ข้าเคยเห็นมาคนที่ไถพรวนความชั่วร้าย
    และคนที่ปลูกความทุกข์ยาก
    ก็จะได้เก็บเกี่ยวสิ่งเหล่านั้น
พวกเขาถูกทำลายด้วยลมหายใจของพระเจ้า
    พวกเขาพบจุดจบด้วยลมจากช่องจมูกของพระองค์
10 เสียงคำรามของสิงห์และเสียงร้องลั่นของสิงโตดุร้าย
    จะเงียบหายไป
    และฟันของสิงห์หนุ่มจะถูกหักไป
11 สิงห์ที่แข็งแรงจะถูกกำจัดไป เพราะขาดเหยื่อ
    ส่วนลูกสิงห์ก็จะกระจัดกระจายไป

12 ข้าได้รับข่าวลับ
    ข้าได้ยินแค่เสี้ยวหนึ่ง
13 มันมาทางฝันร้ายในตอนกลางคืน
    เมื่อผู้คนหลับสนิท
14 ข้ากลัวจนตัวสั่น
    มันทำให้กระดูกทั้งสิ้นของข้าสั่นเทิ้ม
15 เมื่อลมนั้นพัดผ่านหน้าข้าไป
    ขนตามตัวข้าก็ลุกชัน
16 มีสิ่งหนึ่งยืนอยู่ที่นั่น
    ข้ามองไม่ออกว่ามันคืออะไร
รูปร่างนั้นอยู่ต่อหน้าต่อตาข้า
    แล้วทุกอย่างก็เงียบเชียบ
อยู่ๆข้าก็ได้ยินเสียงขึ้นว่า
17 ‘มนุษย์จะเป็นผู้บริสุทธิ์ต่อหน้าพระเจ้าได้หรือ
    มนุษย์จะสะอาดหมดจดต่อหน้าพระผู้สร้างของเขาได้หรือ
18 ดูสิ ขนาดผู้รับใช้ของพระองค์
    พระองค์ยังไม่ไว้ใจเลย
ขนาดทูตสวรรค์ของพระองค์
    พระองค์ยังบอกว่าทำผิดเลย
19 แล้วจะนับประสาอะไรกับเรา
    ที่อยู่ในบ้านดินเหนียวเหล่านี้
    ที่มีฐานรากตั้งอยู่บนฝุ่น
    ที่สามารถถูกบดขยี้เหมือนแมลงที่กัดกินเสื้อผ้า
20 มนุษย์นั้นสามารถถูกป่นเป็นผุยผงภายในวันเดียว
    พวกเขาสามารถพินาศตลอดไปโดยไม่มีใครสังเกตเห็น
21 เชือกผูกเต็นท์ของพวกเขาสามารถถูกดึงออก
    แล้วพวกเขาก็ฟุบตายไปอย่างไม่ทันได้สติปัญญาเลย’

ร้องเรียกสิ จะมีใครสักคนที่ตอบท่านไหม
    ท่านจะหันไปหาทูตสวรรค์องค์ไหนให้มาช่วยหรือ
คนโง่ตายเพราะความโกรธ
    คนเขลาตายเพราะความอิจฉา
ข้าเคยเห็นคนโง่ลงหลักปักฐาน
    แต่ข้าพูดได้เลยว่าบ้านคนนี้ถูกสาปแช่งแล้ว
ส่วนลูกๆของเขาอยู่ห่างไกลจากความปลอดภัย
    พวกเขาถูกบดขยี้ที่ประตูเมืองโดยไม่มีใครช่วยพวกเขาเลย
ส่วนพืชผลของพวกเขาก็ถูกคนหิวโซเอาไปกิน แม้แต่พืชผลที่ล้อมรอบด้วยพงหนามก็มีคนเอาไปกิน
    ส่วนทรัพย์สมบัติของพวกเขา พวกคนกระหายก็เฝ้ารอฮุบเอา
เพราะความทุกข์ลำบากไม่ได้เกิดมาจากผงธุลีดิน
    ความทุกข์ยากนั้นก็ไม่ได้งอกเงยขึ้นจากผืนดิน
แต่มนุษย์นั่นแหละที่คลอดความทุกข์ยากนั้นออกมา
    เหมือนลูกไฟที่ย่อมแตกพุ่งขึ้นบน
ถ้าเป็นข้า ข้าจะแสวงหาพระเจ้า
    และจะยื่นคำร้องของข้าต่อพระองค์
พระเจ้าทำเรื่องยิ่งใหญ่เกินกว่าที่พวกเราจะเข้าใจได้
    กิจการอันน่ายำเกรงที่พระองค์ทำนั้นเกินกว่าที่จะนับได้
10 พระเจ้าคือผู้ที่ให้ฝนตกลงมาบนแผ่นดินโลก
    พระองค์คือผู้ที่ให้น้ำไหลลงมาสู่ทุ่งนา
11 พระองค์ยกผู้ที่ต่ำต้อยให้สูงขึ้น
    พระองค์ทำให้คนทุกข์ยากอยู่อย่างปลอดภัย
12 พระองค์ขัดขวางแผนการของคนเจ้าเล่ห์
    คนพวกนั้นจึงทำการไม่สำเร็จ
13 พระองค์จับคนฉลาดด้วยกลอุบายของเขาเอง
    แผนการของคนเหลี่ยมจัดพวกนี้จึงจบลงอย่างรวดเร็ว
14 คนเหล่านั้นเผชิญกับความมืดแม้ในยามกลางวัน
    พวกเขาต้องเดินคลำทางไปในยามเที่ยงวันราวกับเป็นเวลากลางคืน
15 แต่พระเจ้าช่วยคนยากไร้ให้พ้นจากคมดาบของคนชั่ว
    และจากเงื้อมมือของผู้มีอำนาจ
16 คนยากไร้จึงมีความหวัง
    และความอธรรมก็ต้องหุบปากไป
17 คนที่พระเจ้าตักเตือนนั้นได้รับเกียรติจริงๆ
    ดังนั้นอย่าดูถูกการตีสอนจากพระเจ้าผู้มีฤทธิ์ทั้งสิ้น
18 เพราะพระองค์ทำให้เกิดบาดแผลและพระองค์ก็พันแผลให้
    พระองค์ทำให้บาดเจ็บและมือของพระองค์เยียวยาให้
19 จะทุกข์ยากหกครั้ง พระองค์ก็จะช่วยกู้ท่าน
    จะเจ็ดครั้งก็เถอะ เรื่องเลวร้ายก็จะไม่แตะต้องท่าน
20 ในยามขาดแคลนอาหาร
    พระองค์จะไถ่ท่านให้รอดจากความตาย
ในยามสงคราม
    พระองค์จะไถ่ท่านให้พ้นจากคมดาบ
21 เมื่อคนใส่ร้ายท่าน พระองค์จะปกป้องท่าน
    เมื่อหายนะมาถึง ท่านจะไม่ต้องเกรงกลัว
22 ท่านจะหัวเราะเยาะใส่ความหายนะ และการขาดแคลนอาหาร
    ท่านจะไม่เกรงกลัวสัตว์ป่าทั้งหลาย
23 เพราะท่านจะทำสัญญาสงบสุขกับหินผาแห่งผืนดิน
    และสัตว์ป่าก็จะอยู่กับท่านอย่างสงบสุข
24 ท่านจะรู้ได้ว่าเต็นท์ของท่านนั้นปลอดภัย
    ท่านจะไปตรวจทรัพย์สมบัติทั้งหมดของท่าน
    แล้วจะไม่มีอะไรหายไปสักอย่าง
25 ท่านจะรู้ว่าท่านจะมีลูกหลานมากมาย
    เชื้อสายของท่านจะมากมายเหมือนหญ้าบนผืนดิน
26 ท่านจะมาถึงหลุมศพเมื่อแก่หง่อม
    เหมือนกับฟ่อนข้าวมาถึงลานนวดในฤดูเก็บเกี่ยว
27 ดูสิ พวกเราได้ไตร่ตรองเรื่องนี้แล้ว
    และมันก็เป็นจริงอย่างนั้น
    ฟังและเข้าใจไว้ เพื่อประโยชน์ของท่านเอง”

โยบพูดตอบเอลีฟัส

แล้วโยบก็ตอบว่า

“ข้าอยากจะเอาความทุกข์ใจของข้า
    ไปชั่งเสียเหลือเกิน
และเอาความทุกข์ยากทั้งหลายของข้านี้
    ไปกองรวมกันบนตาชั่ง
มันคงหนักกว่าทรายในทะเล
    ข้าถึงพูดโพล่งออกไปโดยไม่ทันยั้งคิด
เพราะพวกลูกธนูของพระองค์ผู้มีฤทธิ์ทั้งสิ้นได้ปักอยู่ในตัวข้า
    และวิญญาณของข้าดื่มพิษของลูกธนูเหล่านั้น
    เรื่องน่ากลัวทั้งหลายจากพระเจ้าจัดขบวนทัพเข้าต่อสู้กับข้า
ลาป่าจะร้องบ่นเมื่อมีหญ้ากินหรือ
    วัวผู้จะร้องบ่นเมื่อมีอาหารกินหรือ
คนกินอาหารที่จืดชืดจะไม่ใส่เกลือหรือ
    ไข่ขาวมีรสชาติหรือ
อาหารพวกนั้นข้าแตะไม่ลงหรอก
    เพราะมันเหมือนของเน่าบูดสำหรับข้า
ข้าหวังเหลือเกินว่าจะได้ในสิ่งที่ข้าขอ
    ข้าหวังเหลือเกินว่าพระเจ้าจะให้ในสิ่งที่ข้าหวังไว้
ข้าหวังเหลือเกินว่าพระเจ้าจะยอมบดขยี้ข้า
    ข้าหวังเหลือเกินว่าพระองค์จะปล่อยมือและตัดข้าออกไป
10 แต่สิ่งที่จะปลอบใจข้าได้คือ
    ถึงข้าจะดิ้นรนอยู่ในความเจ็บปวดแสนสาหัส
    อย่างน้อยข้าก็ได้เปิดโปงเรื่องที่พระองค์ผู้ศักดิ์สิทธิ์ได้ตัดสินใจทรมานข้า

11 ข้ายังมีเรี่ยวแรงอะไรเหลืออยู่อีก
    ที่จะรอคอยต่อไป
ข้ายังมีอนาคตอะไรเหลืออยู่อีก
    ที่จะอดทนคอยต่อไป
12 ข้าแข็งแรงเหมือนหินหรือ
    เนื้อหนังของข้าทำจากทองสัมฤทธิ์หรือยังไง
13 อันที่จริงข้าหมดแรงที่จะช่วยเหลือตัวเองแล้ว
    และหนทางที่จะสำเร็จนั้นถูกยึดไปจากข้าแล้ว
14 คนที่ไม่จงรักภักดีต่อเพื่อน
    คนผู้นั้นก็ทอดทิ้งความยำเกรงต่อพระองค์ผู้ทรงฤทธิ์[o]
15 เพื่อนๆของข้านั้นพึ่งไม่ได้
    เหมือนลำธารที่เดี๋ยวก็มีน้ำล้นเดี๋ยวก็แห้งขอด
16 เหมือนลำธารที่ดำคลักเมื่อน้ำแข็งละลาย
    และไหลเชี่ยวตอนหิมะละลาย
17 แต่พอหน้าแล้งพวกมันก็หายไป
    เมื่อร้อนพวกมันก็เหือดแห้งไป
18 ขบวนพ่อค้าเลี้ยวออกจากทางของพวกเขา
    เพื่อไปหาน้ำในดินแดนรกร้างและพินาศไป
19 ขบวนพ่อค้าจากตำบลเทมามองหาน้ำ
    พวกนักเดินทางจากเมืองเชบาหวังจะเจอน้ำ
20 พวกเขาต่างผิดหวังเพราะเชื่อมั่นว่าจะเจอน้ำ
    แต่พอไปถึงที่นั่นต่างก็คอตก
21 ตอนนี้พวกท่านเป็นเหมือนสายน้ำเหล่านั้นสำหรับข้า
    เมื่อพวกท่านเห็นความทุกข์ยากของข้า พวกท่านก็พากันหวาดกลัว
22 ข้าเคยขอของขวัญจากท่านหรือ
    หรือเคยขอให้ท่านใช้ความร่ำรวยติดสินบนเพื่อช่วยเหลือข้าหรือ
23 ข้าเคยบอกท่านหรือว่า
    ‘ช่วยให้ข้ารอดพ้นจากเงื้อมมือของศัตรู’
    หรือ ‘ช่วยไถ่ข้าให้พ้นจากเงื้อมมือของพวกที่กดขี่ข่มเหงข้า’

24 สอนข้าสิ แล้วข้าจะเงียบ
    และช่วยให้ข้าเข้าใจด้วยว่าข้าทำผิดตรงไหน
25 คำพูดที่ตรงไปตรงมาอาจทำให้คนสะดุ้งได้
    แต่คำติเตียนของพวกท่านนี้ ติเตียนเรื่องอะไรก็ไม่รู้
26 ท่านคิดว่าคำพูดของท่านนั้นน่าเชื่อถือมากนักหรือ
    แต่คำพูดของคนสิ้นหวังเป็นแค่ลมอย่างนั้นหรือ
27 พวกท่านคงกล้าจับสลากเพื่อให้ได้เด็กกำพร้ากัน
    และประมูลขายเพื่อนของตน
28 แต่ตอนนี้ช่วยมองดูข้าหน่อย
    ข้าจะไม่พูดโกหกต่อหน้าท่าน
29 เอาใหม่ๆอย่าทำผิดกับข้าอย่างนี้
    คิดใหม่ และให้รู้ว่าข้าบริสุทธิ์
30 ลิ้นของข้าพูดอะไรผิดไปหรือ
    หรือว่าปากของข้าไม่สามารถแยกแยะได้ว่าอะไรจริงอะไรไม่จริง

มนุษย์ต่างก็ต้องทำงานหนักในโลกนี้ไม่ใช่หรือ
    และชีวิตของเขาเหมือนชีวิตลูกจ้างรายวันไม่ใช่หรือ
พวกเขาต่างรอคอยเวลาเย็นเหมือนกับทาส
    เขารอคอยค่าจ้างเหมือนกับลูกจ้างรายวัน
ในทำนองเดียวกัน
    ส่วนแบ่งของข้าคือเดือนแห่งความว่างเปล่าทั้งหลาย
    ส่วนที่ข้าได้รับนั้นคือค่ำคืนอันทุกข์ระทมทั้งหลาย
เมื่อข้านอนลง ข้าพูดว่า
    ‘เมื่อไหร่จะถึงเวลาลุกขึ้น’
แต่คืนก็ยิ่งยืดยาวออกไปอีก
    ข้าพเจ้าพลิกตัวไปมาจนถึงเช้า
ร่างกายข้าห่อหุ้มไปด้วยตัวหนอนและดิน
    ผิวหนังของข้าแห้งแข็ง แล้วก็แตกเป็นหนองอีก
วันเวลาของข้าผ่านไปรวดเร็วยิ่งกว่ากระสวยทอผ้า
    และถึงจุดจบอย่างสิ้นหวัง
ข้าแต่พระเจ้า อย่าลืมว่าชีวิตของข้าพเจ้าเป็นแค่ลมหายใจ
    ดวงตาข้าพเจ้าจะไม่มีโอกาสเห็นสิ่งดีงามอีกต่อไป
ดวงตาของพระองค์ที่มองเห็นข้าพเจ้าตอนนี้
    ก็จะไม่ได้เห็นข้าพเจ้าอีกต่อไป
พระองค์จะมองหาข้าพเจ้า
    แต่ข้าพเจ้าจะไม่อยู่แล้ว
คนที่ร่วงลงสู่หลุมศพจะไม่ได้ลุกขึ้นมาอีก
    เขาเป็นเหมือนกับเมฆที่กระจัดกระจาย และสูญหายไป
10 เขาจะไม่ได้กลับไปยังบ้านเรือนของเขาอีก
    และบ้านเรือนของเขาก็ไม่รู้จักเขาแล้ว

11 ดังนั้นข้าพเจ้าจะไม่ยั้งปากข้าพเจ้าไว้
    ข้าพเจ้าจะพูดถึงความทุกข์ทรมานในวิญญาณข้า
    ข้าพเจ้าจะบ่นเรื่องความขมขื่นในใจข้า
12 ข้าพเจ้าเป็นทะเลหรือเป็นมังกรทะเล[p] อย่างนั้นหรือ
    พระองค์ถึงต้องตั้งยามเฝ้าดูข้าพเจ้าไว้
13 เมื่อข้าพเจ้าพูดว่า
    ‘เตียงนอนของข้าพเจ้าจะทำให้ข้าพเจ้าสุขสบาย
    ที่นอนของข้าพเจ้าจะช่วยทำให้เรื่องที่ข้าพเจ้าพร่ำบ่นนั้นเบาบางลง’
14 แต่แล้วพระองค์ก็ใช้ความฝันทำให้ข้าพเจ้าหวาดกลัว
    และใช้นิมิตทำให้ข้าพเจ้าตกใจกลัว
15 ดังนั้นข้าพเจ้าอยากจะถูกรัดคอและตายไป
    มากกว่าที่จะมีชีวิตอยู่อย่างนี้
16 ข้าพเจ้าเบื่อชีวิต
    ข้าพเจ้าไม่ต้องการอยู่นาน
อย่ายุ่งกับข้าพเจ้าเลย
    เพราะวันเวลาของข้าพเจ้านั้นสั้นแค่ลมหายใจอยู่แล้ว
17 มนุษย์เป็นอะไรหรือ
    พระองค์ถึงให้ความสำคัญและสนใจมันมากขนาดนี้
18 ทำไมพระองค์ต้องมาตรวจตราพวกเขาทุกเช้า
    และทดสอบพวกเขาทุกเวลา
19 ทำไมพระองค์ไม่หันหน้าไปทางอื่นบ้าง
    พระองค์จะไม่ยอมปล่อยข้าพเจ้านานพอที่ข้าพเจ้าจะกลืนน้ำลายได้เลยหรือ
20 พระองค์ผู้เฝ้าจับผิดมนุษย์
    ถ้าข้าพเจ้าได้ทำบาป ข้าพเจ้าทำให้พระองค์เดือดร้อนตรงไหนหรือ
ทำไมพระองค์ถึงจับข้าพเจ้าเป็นเป้าของพระองค์
    ทำไมพระองค์ถึงมองว่าข้าพเจ้าเป็นภาระให้กับพระองค์
21 ทำไมพระองค์ไม่ยกโทษให้กับความผิดบาปของข้าพเจ้า
    และมองข้ามความผิดบาปของข้าพเจ้าไปเสีย
เพราะตอนนี้ข้าพเจ้ากำลังจะนอนลงในดิน
    พระองค์จะตามหาข้าพเจ้าแต่ข้าพเจ้าจะไม่อยู่แล้ว”

Thai New Testament: Easy-to-Read Version (ERV-TH)

พระคริสตธรรมคัมภีร์: ฉบับอ่านเข้าใจง่าย ภาคคำสัญญาใหม่ © 2015 Bible League International