Print Page Options
Previous Prev Day Next DayNext

Bible in 90 Days

An intensive Bible reading plan that walks through the entire Bible in 90 days.
Duration: 88 days
New Thai Version (NTV-BIBLE)
Version
โยบ 25-41

บิลดัดพูด: มนุษย์ไม่มีความชอบธรรม

25 ครั้นแล้ว บิลดัดชาวชูอัคตอบว่า

“การปกครองเป็นของพระเจ้า เราควรยำเกรงพระองค์
    พระองค์รักษาสันติภาพในฟ้าสวรรค์เบื้องบน
เราจะนับจำนวนกองทหารของพระองค์ได้หรือ
    แสงสว่างของพระองค์ไม่ส่องบนผู้ใดบ้าง
ฉะนั้น ใครมีความชอบธรรม ณ เบื้องหน้าพระเจ้าได้
    คนที่เกิดจากผู้หญิงจะบริสุทธิ์ได้อย่างไร
ดูเถิด แม้แต่ดวงจันทร์ก็ไม่สุกใส
    และดวงดาวทั้งปวงก็ไม่บริสุทธิ์ในสายตาของพระองค์
มนุษย์จะด้อยยิ่งกว่าเพียงไร เขาเป็นเพียงตัวดักแด้
    และบุตรมนุษย์ล่ะ เขาเป็นเพียงหนอนตัวหนึ่ง”

โยบตอบ: ความยิ่งใหญ่ของพระเจ้า

26 ครั้นแล้ว โยบก็ตอบว่า

“ท่านได้ช่วยเหลือคนที่สิ้นหนทางจริงหนอ
    ท่านได้ช่วยแขนที่อ่อนล้าเสียเหลือเกิน
ท่านได้ให้คำปรึกษาแก่คนที่ไร้สติปัญญา
    และประกาศความเข้าใจลึกซึ้งที่มีเหตุผลดียิ่งนัก
ใครช่วยให้ท่านพูดสิ่งเหล่านี้
    และใครดลใจให้ท่านพูด

คนตายตัวสั่นพรั่นพรึงใต้แหล่งน้ำลึก
    ซึ่งมีบรรดาผู้อาศัยอยู่
พระเจ้าทราบทุกสิ่งในแดนคนตาย
    และอาบัดโดน[a]ก็ไม่มีอะไรปกคลุมไว้
พระองค์แผ่แผ่นฟ้าทางเหนือออกไปยังที่เวิ้งว้าง
    และให้โลกลอยห้อยอยู่ด้วยตัวของมันเอง
พระองค์รวบรวมน้ำไว้ในเมฆหนาทึบของพระองค์
    และเมฆก็ไม่ปริแตกเพราะน้ำหนักที่อุ้มรับไว้
พระองค์คุ้มหน้าดวงจันทร์วันเดือนหงาย
    และแผ่เมฆของพระองค์เพื่อปิดไว้
10 พระองค์ขีดเส้นโค้งเหนือผิวน้ำ
    เป็นขอบเขตระหว่างความสว่างกับความมืด
11 เสาหลักของฟ้าสวรรค์สั่นสะเทือน
    และตกตะลึงเมื่อพระองค์ห้ามปราม
12 ทะเลสงบนิ่งได้ด้วยอานุภาพของพระองค์
    พระองค์ห้ำหั่นราหับด้วยพระปัญญาของพระองค์
13 ฟ้าสวรรค์สว่างได้ด้วยลมหายใจของพระองค์
    มือของพระองค์แทงงูที่กำลังหนีไป
14 ดูเถิด นี่เป็นเพียงการกระทำส่วนน้อยของพระองค์
    และเราทั้งหลายได้ยินเพียงเสียงกระซิบเบาๆ จากพระองค์
    แต่ใครจะทนต่ออานุภาพอันกอปรด้วยพลังมหาศาลของพระองค์ได้”

โยบพูดต่อไป: ฉันไม่มีความผิด

27 และโยบพูดต่อไปอีกว่า

“ตราบที่พระเจ้ามีชีวิตอยู่ฉันใด พระองค์เป็นผู้ยึดสิทธิของฉันไป
    องค์ผู้กอปรด้วยมหิทธานุภาพ ผู้ทำให้จิตวิญญาณของฉันขมขื่น
ตราบที่ฉันมีลมหายใจ
    และตราบที่พระเจ้าโปรดให้ลมหายใจอยู่ในจมูกของฉัน
ริมฝีปากของฉันจะไม่พูดเท็จ
    และลิ้นของฉันจะไม่กล่าวคำหลอกลวง
ฉันจะไม่มีวันพูดว่า พวกท่านเป็นฝ่ายถูก
    ฉันจะไม่ทิ้งความซื่อตรงของฉันจนวันตาย
ฉันจะยังคงความชอบธรรมของฉันโดยไม่แปรเปลี่ยน
    มโนธรรมของฉันไม่มีวันที่จะตำหนิตัวเอง

ขอให้ศัตรูของฉันรับโทษเช่นเดียวกับคนชั่ว
    และขอให้คนที่ต่อต้านฉันรับโทษเช่นเดียวกับคนไม่มีความชอบธรรม
คนไม่เชื่อในพระเจ้ามีความหวังอะไร เมื่อพระเจ้าทำให้เขาจบชีวิตลง
    เมื่อพระเจ้าพรากชีวิตไปจากเขา
พระเจ้าจะได้ยินเสียงร้องของเขา
    เมื่อเขามีความทุกข์หรือ
10 เขาจะมีความสุขใจในองค์ผู้กอปรด้วยมหิทธานุภาพหรือ
    เขาจะร้องเรียกถึงพระเจ้าตลอดเวลาหรือ
11 ฉันจะสอนท่านเรื่องอานุภาพอันยิ่งใหญ่ของพระเจ้า
    ฉันจะชี้ให้ท่านเห็นว่าองค์ผู้กอปรด้วยมหิทธานุภาพประสงค์อะไร
12 ดูเถิด ท่านทุกคนได้เห็นด้วยตัวท่านเองแล้ว
    แล้วทำไมพวกท่านจึงพูดอย่างไร้สาระเช่นนี้

13 นี่แหละเป็นส่วนที่คนชั่วได้รับจากพระเจ้า
    เป็นมรดกที่ผู้บีบบังคับรับจากองค์ผู้กอปรด้วยมหิทธานุภาพ
14 แม้ลูกหลานของเขาทวีขึ้น แต่ก็จะถูกฆ่าด้วยคมดาบ
    และบรรดาผู้สืบเชื้อสายจะมีไม่พอกิน
15 พวกที่รอดมาได้ก็จะตายด้วยโรคระบาด
    และเมียเป็นม่ายของพวกเขาก็ไม่ร้องไห้
16 แม้ว่าเขาจะสะสมเงินได้มากเท่าฝุ่น
    และเก็บเสื้อผ้าไว้เป็นกองดั่งดินเหนียว
17 เขาจะกองมันไว้ แต่คนที่สวมใส่ก็คือผู้มีความชอบธรรม
    และคนไร้ความผิดจะเป็นผู้ที่แบ่งกองเงิน
18 เขาสร้างบ้านที่ไม่ต่างไปจากเปลือกหุ้มตัวดักแด้
    เหมือนกระท่อมที่คนเฝ้ายามสร้างขึ้นเอง
19 เขาร่ำรวยในยามเข้านอน แต่จะไม่เป็นเช่นนั้นอีกต่อไป
    พอเขาเปิดตาขึ้นมา ความมั่งมีของเขาก็สูญไป
20 ความน่ากลัวเกิดขึ้นกับเขาดั่งน้ำไหลหลาก
    ในยามค่ำพายุหมุนก็พัดพาเขาไป
21 ลมทะเลทรายหอบตัวของเขาขึ้นและเขาก็จากไป
    มันกวาดเขาไปจากที่ของเขา
22 พายุนั้นเหวี่ยงเขาอย่างไม่ปรานี
    เขาพยายามจะหนีไปอย่างรวดเร็วจากกำลังของมัน
23 พายุพัดกรรโชกเขา
    และส่งเสียงเหน็บแนมปะทะตัวเขาไม่ว่าเขาจะอยู่ที่ใด

โยบพูดต่อไป: สติปัญญาอยู่ที่ไหน

28 มีเหมืองเงินอย่างแน่นอน
    และมีแหล่งทองคำที่คนถลุงให้บริสุทธิ์
ธาตุเหล็กถูกขุดขึ้นมาจากดิน
    และทองแดงถูกถลุงจากสินแร่
คนส่องไฟในความมืด
    และค้นหาสินแร่ได้สุดไกลแสนไกล
    ในที่มืดมนและมืดมิด
เขาขุดเหมืองในหุบเขาซึ่งไกลจากที่อยู่อาศัยของผู้คน
    พวกคนเดินทางไม่ได้คำนึงถึงพวกเขา
    พวกเขาโหนตัวแกว่งไปมาในอากาศห่างไกลจากผู้คน
มีสิ่งที่งอกจากพื้นดินเป็นอาหารได้
    แต่ภายใต้ดินดูเหมือนว่าไฟได้ผันเปลี่ยนทุกสิ่ง
นิลสีครามหาพบได้ในหิน
    และพบทองคำคละอยู่กับฝุ่น
ไม่มีนกเหยี่ยวตัวใดที่รู้จักทางนั้น
    และตาของเหยี่ยวนกเขาก็ไม่เคยเห็นเช่นกัน
พวกสัตว์ป่าที่หยิ่งยโสไม่เคยเหยียบย่ำที่นั่น
    สิงโตก็ไม่เคยผ่านไปทางนั้น
มนุษย์ขุดหินแกรนิตอันแข็งแกร่ง
    และขุดภูเขาได้ลึกถึงฐานราก
10 เขาขุดอุโมงค์หิน
    และเขาได้เห็นสิ่งมีค่าทุกชนิด
11 เขากั้นน้ำไม่ให้ไหลซึม
    และนำสิ่งที่ซ่อนเร้นออกมาให้คนอื่นเห็น

12 แต่จะพบสติปัญญาได้ที่ไหน
    และความเข้าใจอยู่ที่ไหน
13 มนุษย์ไม่รู้จักค่าของมัน
    และหาไม่พบในดินแดนของคนเป็น
14 ห้วงน้ำลึกพูดว่า ‘ไม่อยู่ในที่ฉัน’
    และทะเลพูดว่า ‘ไม่ได้อยู่กับฉัน’
15 สติปัญญาจะซื้อด้วยทองคำบริสุทธิ์ไม่ได้
    และจะชั่งเงินเพื่อกำหนดราคาของสติปัญญาก็ไม่ได้
16 จะตีค่าสติปัญญาเป็นทองคำแห่งโอฟีร์ หรือจะเป็นพลอยหลากสี
    และนิลสีครามก็ไม่ได้
17 ทองคำและแก้วใสก็เทียมเท่าไม่ได้
    หรือจะแลกเปลี่ยนเป็นภาชนะทองคำเนื้อแท้ก็ไม่ได้
18 ไม่ต้องเอ่ยถึงกัลปังหาหรือมณีสีเขียวเลย
    ค่าของสติปัญญาล้ำกว่าไข่มุก
19 เอาบุษราคัมแห่งคูชเทียบเทียมไม่ได้
    และตั้งค่าเทียบเท่าทองคำบริสุทธิ์ก็ไม่ได้

20 ฉะนั้นแล้ว สติปัญญามาจากไหน
    และความเข้าใจอยู่ที่ไหน
21 สติปัญญาถูกซ่อนเสียจากสายตาของมนุษย์ทุกคน
    และปิดบังเสียจากนกในอากาศ
22 อาบัดโดนและความตายพูดว่า
    ‘พวกเราได้ยินเขาพูดกันเรื่องสติปัญญาด้วยหูของเรา’
23 พระเจ้าทราบทางไปถึงสติปัญญา
    และพระองค์ทราบว่าอยู่ที่ไหน
24 เพราะพระองค์มองถึงสุดขอบโลก
    และเห็นทุกสิ่งที่อยู่ใต้ฟ้าสวรรค์
25 เมื่อพระองค์ตั้งความแรงของลมที่พัด
    และกำหนดปริมาตรของแหล่งน้ำ
26 เมื่อพระองค์กำหนดกฎเกณฑ์ของฝน
    และกำหนดทางของฟ้าแลบฟ้าร้อง
27 ฉะนั้น สติปัญญาเป็นที่ประจักษ์แก่พระองค์ และพระองค์ประกาศ
    พระองค์สร้างสติปัญญา และพระองค์วิจัยมันออกมาอย่างรอบคอบด้วย
28 พระเจ้ากล่าวกับมนุษย์ว่า
‘ดูเถิด ความเกรงกลัวพระผู้เป็นเจ้า คือสติปัญญา
    และหลีกเลี่ยงการทำความชั่ว คือความเข้าใจ’”

โยบสรุปข้อโต้ตอบ

29 และโยบพูดต่อไปอีกว่า

“โอ ฉันอยากเป็นเหมือนในสมัยก่อน
    ครั้งที่พระเจ้าคุ้มครองดูแลฉัน
เมื่อตะเกียงของพระองค์ส่องทางให้ฉัน
    และฉันเดินผ่านความมืดได้ด้วยแสงของพระองค์
ช่วงเวลาที่ฉันรุ่งที่สุด
    เมื่อพระเจ้ามีมิตรไมตรีต่อกระโจมของฉัน
เมื่อองค์ผู้กอปรด้วยมหิทธานุภาพยังอยู่กับฉัน
    เมื่อลูกๆ ของฉันอยู่รอบข้างฉัน
เมื่อฉันมีเหลือกินเหลือใช้
    และมีน้ำมันพุ่งออกมาจากซอกหิน

เมื่อฉันออกไปที่ประตูเมือง
    เมื่อฉันมีที่นั่งที่ลานชุมนุม
พวกชายหนุ่มถอยหลีกไปเมื่อเห็นฉัน
    คนสูงอายุก็ลุกขึ้นยืนให้เกียรติฉัน
บรรดาเจ้านายชั้นผู้ใหญ่หยุดพูด
    และเอามือปิดปากไว้
10 เสียงของบรรดาผู้สูงศักดิ์เงียบลง
    และลิ้นของพวกเขาติดอยู่กับเพดานปาก
11 ผู้ใดที่ได้ยินเรื่องของฉันก็นับว่าฉันได้รับพระพร
    และเมื่อผู้ใดเห็นฉันก็ชมเชย
12 เพราะฉันช่วยผู้ยากไร้ที่ร้องขอความช่วยเหลือ
    และช่วยเด็กกำพร้าที่ไม่มีใครช่วยเหลือ
13 คนที่กำลังจะตายให้พรแก่ฉัน
    และฉันช่วยให้หญิงม่ายร้องเพลงด้วยใจยินดี
14 ฉันปฏิบัติความชอบธรรมดั่งสวมเสื้อผ้า
    ความเป็นธรรมของฉันเป็นดั่งเสื้อคลุมและผ้าโพกศีรษะ
15 ฉันเป็นตาให้กับคนตาบอด
    และเป็นเท้าให้กับคนง่อย
16 ฉันเป็นพ่อให้กับคนยากไร้
    และช่วยเหลือคนที่ฉันไม่รู้จักเมื่อเขาต้องสู้คดี
17 ฉันล้มอำนาจของคนชั่วร้าย
    และช่วยเหลือคนที่ตกเป็นเหยื่อของเขา

18 แล้วฉันก็คิดว่า ‘ฉันจะตายในรังของฉัน
    และฉันจะมีอายุยืนยาวมาก
19 ฉันเป็นเสมือนรากต้นไม้ที่แผ่ไกลถึงแหล่งน้ำ
    พร้อมกับมีน้ำค้างบนกิ่งก้านตลอดคืน
20 คนสรรเสริญฉันอย่างไม่รู้จบ
    ฉันไม่เคยขาดพละกำลัง’

21 ผู้คนคอยฟังฉัน
    และนิ่งเงียบเพื่อฟังคำแนะนำของฉัน
22 เมื่อฉันพูดจบแล้ว พวกเขาก็ไม่พูดอีก
    และคำพูดของฉันซึมซาบในตัวเขา
23 พวกเขาคอยฉันดั่งคอยฝน
    และพวกเขาเปิดปากเหมือนรอรับฝนในฤดูใบไม้ผลิ
24 ฉันยิ้มให้เมื่อพวกเขาขาดความมั่นใจ
    และใบหน้าที่เบิกบานของฉันทำให้พวกเขาหยุดเศร้าหมอง
25 ฉันเป็นผู้ตัดสินใจให้พวกเขา และมีตำแหน่งเป็นหัวหน้า
    ฉันอยู่อย่างกษัตริย์ท่ามกลางกองทหาร
    เป็นอย่างผู้ปลอบโยนคนที่เศร้าโศก
30 แต่มาบัดนี้พวกเขาหัวเราะเยาะฉัน
    เขามีอายุน้อยกว่าฉัน
และเขามีพ่อซึ่งฉันไม่ต้องการแม้จะให้อยู่กับ
    พวกสุนัขเฝ้าฝูงแกะของฉัน
พวกเขาจะช่วยอะไรฉันได้
    คนที่อ่อนกำลังอย่างนั้น
ทั้งลำเค็ญและหิวโหย
    ในยามค่ำคืนพวกเขาแทะกินดินแห้งในที่ร้างอันแร้นแค้น
พวกเขาเก็บพันธุ์ไม้และใบจากพุ่มไม้ในทะเลทราย
    และรากไม้ซากเป็นอาหาร
พวกเขาถูกขับไล่ออกจากหมู่คน
    ชุมชนตะโกนไล่พวกเขาไปเหมือนไล่ขโมย
พวกเขาต้องอาศัยอยู่ตามหน้าผาที่เชิงเขา
    ในรูใต้ดินและถ้ำหิน
พวกเขาส่งเสียงร้องเหมือนลาในพุ่มไม้
    และเบียดเสียดกันอยู่ใต้พุ่มไม้หนาม
คนโง่เขลาและไร้ชื่อเสียงเรียงนาม
    พวกเขาถูกขับไล่ออกจากแผ่นดิน

และมาบัดนี้ฉันกลายเป็นเพลงที่พวกเขาแต่งขึ้น
    ฉันเป็นที่หัวเราะเยาะของพวกเขา
10 พวกเขาชิงชังฉัน และออกห่างจากฉัน
    พวกเขาไม่ลังเลใจที่จะถ่มน้ำลายรดหน้าฉัน
11 เพราะพระเจ้าทำให้ฉันหมดกำลังและต่อสู้ไม่ไหว
    พวกเขาไม่ยับยั้งเมื่อเห็นฉัน
12 หมู่คนร้ายโจมตีฉันทางด้านขวา
    พวกเขาดันเท้าฉัน
    และก่อเชิงเทินประชิดตัวฉันเพื่อทำให้วอดวาย
13 พวกเขากีดกั้นฉันทุกหนทาง
    และพยายามทำให้ฉันวิบัติโดย
    ไม่ต้องให้ใครมาช่วย
14 พวกเขาทะลวงกำแพงเข้ามา
    และถาโถมตัวเข้าหาฉัน
15 ฉันตกใจกลัว ศักดิ์ศรีของฉันหายไปกับสายลม
    และความมั่งมีของฉันสูญไปอย่างเมฆ

16 และบัดนี้หัวใจฉันแตกสลาย
    ความทรมานครอบงำฉันเป็นเวลานาน
17 ฉันปวดกระดูกในยามค่ำคืน
    ความปวดไม่ทุเลาลง ทำให้ฉันทรมานมาก
18 เสื้อผ้าฉันถูกกระชาก
    มันรัดตัวฉันเหมือนปกเสื้อ
19 พระองค์เหวี่ยงฉันลงในตม
    ฉันเป็นเหมือนฝุ่นและเถ้าถ่าน

20 ข้าพเจ้าร้องเรียกถึงพระองค์ ขอความช่วยเหลือ และพระองค์ไม่ตอบข้าพเจ้า
    ข้าพเจ้าอธิษฐาน และพระองค์ก็เพียงแต่มองข้าพเจ้า
21 พระองค์โหดร้ายต่อข้าพเจ้า
    พระองค์ใช้อานุภาพของพระองค์ทำร้ายข้าพเจ้า
22 พระองค์ให้ลมหอบข้าพเจ้าขึ้นไป ข้าพเจ้าถูกพัดไปกับสายลม
    และพระองค์ให้พายุฉุดกระชากตัวข้าพเจ้าขึ้นๆ ลงๆ
23 เพราะข้าพเจ้าทราบว่าพระองค์จะพาข้าพเจ้าไปถึงซึ่งความตาย
    และไปยังที่ซึ่งกำหนดไว้สำหรับทุกชีวิต

24 แน่นอน ไม่มีใครทำร้ายคนที่สูญสิ้นทุกสิ่ง
    เขาร้องขอความช่วยเหลือเมื่อประสบความทุกข์
25 ข้าพเจ้าร้องไห้เมื่อคนประสบความลำบาก
    และจิตวิญญาณของข้าพเจ้าเศร้าโศกกับคนยากไร้มิใช่หรือ
26 แต่เมื่อข้าพเจ้าหวังในสิ่งดี ความชั่วก็มาถึง
    และเมื่อข้าพเจ้ารอคอยความสว่าง ความมืดก็ประชิดตัว
27 ส่วนลึกในใจข้าพเจ้าปั่นป่วนและไม่เคยสงบ
    ความทุกข์ทรมานปะทะข้าพเจ้า
28 ข้าพเจ้าดำเนินไปในความมืด ปราศจากแสงอาทิตย์
    ข้าพเจ้ายืนในที่ชุมนุมและร้องขอความช่วยเหลือ
29 ข้าพเจ้าเป็นพี่น้องกับพวกหมาใน
    และเป็นเพื่อนกับนกกระจอกเทศ
30 ผิวหนังข้าพเจ้าดำคล้ำและลอกหลุดออก
    กระดูกข้าพเจ้าร้อนผ่าว
31 เสียงจากพิณเล็กของข้าพเจ้ากลายเป็นเสียงคร่ำครวญ
    และเสียงปี่กลายเป็นเสียงของบรรดาผู้ร้องรำพัน

โยบสรุปครั้งสุดท้าย

31 ฉันได้สาบานไว้กับดวงตาของฉันแล้ว
    ฉะนั้นฉันจะมองผู้หญิงด้วยตัณหาได้อย่างไร
อะไรจะเป็นส่วนที่ฉันได้รับจากพระเจ้าเบื้องบน
    และเป็นมรดกจากองค์ผู้กอปรด้วยมหิทธานุภาพเบื้องสูง
ความวิบัติเป็นของผู้ไม่มีความชอบธรรม
    และสิ่งเลวร้ายเป็นของคนทำความชั่วมิใช่หรือ
พระองค์เห็นวิถีชีวิตของฉัน
    และทราบทุกสิ่งที่ฉันกระทำมิใช่หรือ

ถ้าฉันดำเนินชีวิตอย่างไม่ถูกต้อง
    และตีสองหน้าแล้ว
(ขอพระเจ้าพิจารณาฉันตามความถูกต้อง
    และให้พระองค์ทราบถึงความซื่อตรงของฉันเถิด)
ถ้าฉันหันไปจากวิถีทางของพระองค์
    และใจของฉันกระทำตามที่ตามองเห็น
    และถ้ามือของฉันด่างพร้อยด้วยบาป
ก็จงให้ฉันเป็นผู้หว่าน แต่ให้ผู้อื่นเก็บเกี่ยวไปกิน
    และสิ่งที่ฉันปลูกไว้ ก็ให้ฉันถูกถอนรากทิ้งเสีย

ถ้าใจของฉันถูกล่อไปหาผู้หญิง
    และรอคอยอยู่ที่ประตูของเพื่อนบ้าน
10 ก็จงให้ภรรยาของฉันรับใช้ชายอื่น
    และให้คนอื่นสมสู่กับนางเสีย
11 เพราะนั่นเป็นอาชญากรรมที่ร้ายกาจ
    ซึ่งจะเป็นบาปที่ต้องถูกพิพากษาลงโทษ
12 เพราะจะถือว่าเป็นไฟที่เผาผลาญไปไกลถึงอาบัดโดน
    และมันจะเผาทุกสิ่งที่ฉันสร้างขึ้นมา

13 ถ้าฉันไม่ยอมฟังคำร้องของผู้รับใช้ชายและหญิง
    เมื่อพวกเขาร้องทุกข์ต่อฉัน
14 แล้วฉันจะทำอย่างไรเมื่อพระเจ้าตัดสิน
    เมื่อพระองค์ไต่สวน ฉันจะตอบพระองค์อย่างไร
15 พระองค์ผู้บันดาลฉันขึ้นมาในครรภ์ ก็เป็นผู้สร้างพวกเขามิใช่หรือ
    พระองค์มิใช่หรือที่สร้างเราทั้งหลายขึ้นในครรภ์

16 ถ้าฉันไม่ช่วยเหลือผู้ยากไร้
    หรือปล่อยให้หญิงม่ายหมดหวังในชีวิต
17 หรือเก็บอาหารของฉันไว้กินเพียงผู้เดียว
    โดยไม่แบ่งปันให้แก่เด็กกำพร้า
18 (ตั้งแต่ฉันเป็นเด็ก ฉันยังเลี้ยงดูเขาราวกับพ่อคนหนึ่ง
    และฉันได้ดูแลบรรดาหญิงม่ายตั้งแต่ฉันเกิดมา)
19 ถ้าฉันเห็นผู้ขัดสนเจียนตายเพราะขาดเสื้อผ้า
    หรือผู้ยากไร้ขาดเครื่องนุ่งห่ม
20 และถ้าเขาไม่ได้ยกย่องสรรเสริญฉัน
    เมื่อเขาได้รับความอบอุ่นจากขนสัตว์จากฝูงแกะของฉัน
21 ถ้าฉันข่มขู่เด็กกำพร้า
    เพราะฉันมีพรรคพวกที่ประตูเมือง
22 ก็ให้กระดูกไหล่ของฉันหลุดออกจากบ่า
    และให้แขนของฉันหักจากข้อต่อ
23 เพราะว่าฉันกลัวความวิบัติจากพระเจ้า
    ฉันจึงไม่อาจทำเช่นนั้น

24 ถ้าฉันวางใจในทองคำ
    หรือมั่นใจในทองเนื้อแท้
25 ถ้าฉันชื่นชมยินดีเพราะฉันมีสมบัติมหาศาล
    หรือเพราะฉันหาเงินได้มากมาย
26 ถ้าฉันชมดวงอาทิตย์เมื่อมันส่องสว่าง
    หรือมองดวงจันทร์เรืองรองล่องลอยไป
27 และใจของฉันถูกหลอกล่ออย่างลับๆ
    และฉันจูบมือตนเองแสดงความเคารพต่อมัน
28 บาปเช่นนี้จะถูกพิพากษาลงโทษ
    เพราะฉันก็จะถูกนับว่าเป็นผู้ไม่ภักดีต่อพระเจ้าเบื้องบน
29 ถ้าฉันยินดีกับความพินาศของคนที่เกลียดชังฉัน
    หรือพอใจเมื่อเขาพบกับความย่อยยับ
30 (ฉันไม่ทำบาปด้วยการปริปาก
    ขอสาปแช่งชีวิตของเขา)
31 ถ้าคนในครัวเรือนของฉันไม่ได้พูดว่า
    ‘ใครบ้างที่ไม่ได้รับประทานสิ่งดีๆ ที่นั่น’
32 (คนค้างแรมไม่ได้พักที่ข้างถนน
    ฉันเปิดประตูบ้านให้แก่คนเดินทาง)
33 ถ้าฉันได้ปิดบังการล่วงละเมิดของฉันอย่างอาดัมทำ
    ด้วยการซ่อนเร้นบาปของฉันในทรวงอก
34 เพราะฉันกลัวฝูงชน
    และฉันกลัวการดูหมิ่นจากครอบครัว
    ฉันจึงได้นิ่งเงียบ และไม่ได้ออกไปนอกบ้าน

35 โอ ฉันอยากมีใครสักคนที่ฟังฉัน
    (ฉันรับประกันได้ ให้องค์ผู้กอปรด้วยมหิทธานุภาพตอบฉันเถิด)
    โอ ฉันอยากให้ผู้ที่กล่าวหาฉันทำเป็นลายลักษณ์อักษร
36 ฉันจะได้แบกมันไว้บนบ่า
    ฉันจะมัดมันไว้บนศีรษะเป็นมงกุฎอย่างแน่นอน
37 ฉันจะรายงานทุกเรื่องที่ฉันกระทำ
    ฉันจะเข้าหาพระองค์อย่างภาคภูมิ

38 ถ้าแผ่นดินของฉันได้ฟ้องร้องต่อต้านฉัน
    และร่องนาร่วมกันร้องไห้
39 ถ้าฉันกินผลจากไร่นาโดยไม่เสียค่าอะไร
    และเอาเปรียบเจ้าของที่ดิน
40 ก็ขอให้หนามงอกแทนต้นข้าว
    และวัชพืชชนิดเลวขึ้นมาแทนข้าวบาร์เลย์เถิด”

โยบกล่าวจบ

เอลีฮูเริ่มตำหนิเพื่อนโยบ

32 ดังนั้น พวกเพื่อนชายทั้งสามคนจึงหยุดโต้ตอบโยบ เพราะโยบมีความชอบธรรมในสายตาของตนเอง แต่เอลีฮูบุตรของบาราเคลชาวบูซตระกูลรามโกรธมาก เขาโกรธโยบมาก เพราะโยบเห็นว่าตนเป็นฝ่ายถูกต้อง แทนที่จะเป็นพระเจ้า เขาโกรธเพื่อนทั้งสามคนของโยบมากด้วย เพราะพวกเขาตอบคำถามโยบไม่ได้ แม้ว่าพวกเขาประกาศว่าโยบเป็นฝ่ายผิด เอลีฮูรอให้พวกเขาพูดกับโยบก่อน เพราะพวกเขามีอาวุโสกว่า แต่ในเมื่อเอลีฮูเห็นว่าไม่มีคำตอบจากชายทั้งสาม เขาจึงเคืองยิ่งนัก

เอลีฮูบุตรของบาราเคลชาวบูซจึงพูดว่า

“ข้าพเจ้ามีอายุน้อย
    พวกท่านอาวุโส
ฉะนั้นข้าพเจ้ากลัว
    และไม่กล้าออกความคิดเห็นกับท่าน
ข้าพเจ้าคิดในใจว่า ‘ปล่อยให้ผู้ที่มีอายุมากกว่าพูด
    และให้ผู้อาวุโสสอนเรื่องสติปัญญา’
แต่ว่าเป็นวิญญาณที่อยู่ในมนุษย์
    เป็นลมหายใจขององค์ผู้กอปรด้วยมหิทธานุภาพ ที่ทำให้พวกเขาเข้าใจ
ไม่ใช่ว่าผู้ใดสูงอายุแล้วจะเรืองปัญญา
    และไม่ใช่ว่าผู้ใดอาวุโสแล้วจะเข้าใจถึงความเป็นธรรม

10 ฉะนั้น ข้าพเจ้าขอบอกว่า ‘ฟังข้าพเจ้า
    ให้ข้าพเจ้าออกความคิดเห็นเถิด’
11 ดูเถิด ข้าพเจ้ารอให้พวกท่านพูด
    ข้าพเจ้าฟังสิ่งที่ท่านพูดจากความเข้าใจ
ขณะที่พวกท่านพิจารณาดูว่าจะพูดอะไร
12     ข้าพเจ้าตั้งใจฟังพวกท่าน
ดูเถิด ไม่มีใครในพวกท่านที่พิสูจน์ได้ว่า โยบเป็นฝ่ายผิด
    และพวกท่านไม่ได้ตอบคำถามโยบ
13 พวกท่านพูดได้อย่างไรว่าท่านพบสติปัญญาแล้ว
    ให้พระเจ้าเป็นผู้ตอบโยบเถิด ไม่ใช่มนุษย์
14 โยบไม่ได้โต้ตอบต่อว่าข้าพเจ้า
    และข้าพเจ้าจะไม่ตอบโยบอย่างที่ท่านทำ

15 เพื่อนทั้งสามนิ่งอึ้งและไม่ได้พูดตอบอีก
    พวกเขาไม่มีอะไรจะพูดอีกต่อไป
16 ในเมื่อพวกเขาไม่พูดสิ่งใด
    และก็ยังยืนอยู่ที่นี่ ไม่โต้ตอบอีกแล้ว ข้าพเจ้าควรจะรอต่อไปอีกหรือ
17 ข้าพเจ้ามีคำตอบจะให้ท่านเช่นกัน
    ข้าพเจ้าจะออกความเห็นด้วย
18 เพราะข้าพเจ้ามีเรื่องจะพูดมากมาย
    จนรั้งไว้ไม่อยู่
19 ดูเถิด ข้าพเจ้ารู้สึกเหมือนเหล้าองุ่นใหม่ที่ยังถูกบรรจุอยู่
    เหมือนถุงหนังใหม่ที่เกือบจะปริออก
20 ข้าพเจ้าจำเป็นต้องพูดให้บรรเทาลง
    ข้าพเจ้าต้องเปิดปากตอบ
21 ข้าพเจ้าจะไม่ลำเอียงต่อผู้ใด
    และไม่ยกยอผู้ใด
22 เพราะข้าพเจ้าไม่ชำนาญเรื่องการยกยอปอปั้น
    แต่ถ้าทำเช่นนั้น อีกไม่นานองค์ผู้สร้างของข้าพเจ้า ก็จะพรากตัวข้าพเจ้าไป

เอลีฮูเริ่มตำหนิโยบ

33 โอ โยบ บัดนี้ขอท่านฟังข้าพเจ้า
    ฟังสิ่งที่ข้าพเจ้าจะพูด
ดูเถิด ข้าพเจ้าเปิดปาก
    และลิ้นก็จะพูดออกมา
คำพูดของข้าพเจ้าแสดงถึงความเที่ยงธรรมในใจข้าพเจ้า
    และริมฝีปากก็พูดสิ่งที่รู้อย่างใจจริง
พระวิญญาณพระเจ้าสร้างข้าพเจ้า
    และลมหายใจขององค์ผู้กอปรด้วยมหิทธานุภาพให้ชีวิตแก่ข้าพเจ้า
ตอบข้าพเจ้าเถิด ถ้าท่านทำได้
    เตรียมคำพูดของท่านเพื่อตอบโต้ข้าพเจ้า
ดูเถิด ในสายตาของพระเจ้าข้าพเจ้าเป็นเหมือนท่าน
    ข้าพเจ้าถูกปั้นขึ้นจากดินก้อนหนึ่งด้วย[b]
ดูเถิด ท่านไม่จำเป็นต้องตกใจเพราะข้าพเจ้า
    ข้าพเจ้าจะไม่กดดันท่าน

หูข้าพเจ้าได้ยินท่านพูดแล้ว
    และข้าพเจ้าได้ยินเสียงที่ท่านพูด
ท่านพูดว่า ‘ฉันบริสุทธิ์ ไม่ได้ล่วงละเมิด
    ฉันสะอาด ไม่มีบาปในตัวฉัน
10 ดูเถิด พระองค์หาโอกาสต่อต้านฉัน
    พระองค์นับว่าฉันเป็นศัตรูของพระองค์
11 พระองค์ใส่เท้าฉันไว้ในขื่อ
    และจ้องดูทุกทางที่ฉันไป’
12 ดูเถิด ท่านผิดในเรื่องนี้ ข้าพเจ้าจะตอบท่าน
    เพราะพระเจ้ายิ่งใหญ่กว่ามนุษย์
13 ทำไมท่านจึงเถียงพระเจ้าว่า
    ‘พระองค์จะไม่ตอบทุกคำถามของมนุษย์’
14 เพราะพระเจ้ากล่าวซ้ำแล้วซ้ำอีก
    แต่มนุษย์ไม่เข้าใจ
15 ในความฝัน ซึ่งเป็นภาพนิมิตในยามค่ำ
    เมื่อมนุษย์หลับสนิท ขณะที่นอนอยู่บนเตียง
16 แล้วพระองค์เบิกหูมนุษย์
    และพวกเขาตกใจเมื่อพระองค์เตือน
17 ให้พวกเขาเลิกกระทำความชั่ว
    และหลุดพ้นจากความหยิ่งยโส
18 พระองค์ช่วยเขาให้พ้นจากหลุมแห่งแดนคนตาย
    ช่วยชีวิตของเขาให้รอดจากดาบ

19 พระองค์สอนมนุษย์ด้วยการให้ล้มป่วยลง
    และด้วยความเจ็บปวดลึกถึงกระดูก
20 เขาจะไม่อยากรับประทานอาหาร
    ถึงแม้จะเป็นของโปรดที่สุดก็ตาม
21 ร่างกายของเขาทรุดโทรมลงมาก
    เขาเหลือแต่หนังหุ้มกระดูก
22 จิตวิญญาณของเขาเข้าไปใกล้หลุมแห่งแดนคนตายลงทุกที
    และชีวิตของเขาจะไปอยู่กับพวกที่นำความตายมา
23 หากว่าจะมีทูตสวรรค์
    จำนวนหนึ่งในพันมาช่วยเขา
    เพื่อแจ้งให้เขาทราบว่าอะไรคือความถูกต้อง
24 และทูตสวรรค์กรุณาต่อเขา และพูดว่า
    ‘ช่วยเขาให้หลุดพ้นจากหลุมแห่งแดนคนตาย
    ข้าพเจ้าพบค่าไถ่แล้ว
25 ขอให้กายจากวัยแรกรุ่นของเขากลับคืนมา
    ขอให้เขากลับมีพละกำลังขึ้นอีกเหมือนวัยหนุ่มสาว’
26 และเขาอธิษฐานต่อพระเจ้า และพระองค์ตอบเขา
    เพื่อเขาจะเห็นใบหน้าพระองค์ด้วยความยินดี
    และพระองค์โปรดให้เขามีความชอบธรรม
27 เขาร้องต่อหน้าผู้คนว่า
    ‘ฉันทำบาป และบิดเบือนสิ่งที่ถูกต้อง
    และฉันได้รับอภัยโทษ
28 พระองค์ได้ไถ่ฉันจากการดิ่งลงไปในหลุมแห่งความตาย
    และชีวิตของฉันยังจะคงอยู่ในความสว่าง’

29 ดูเถิด พระเจ้ากระทำสิ่งเหล่านี้ทั้งสิ้นกับมนุษย์
    ครั้งแล้วครั้งเล่า
30 เพื่อนำเขากลับมาจากหลุมแห่งความตาย
    เพื่อเขาจะได้มีความสุขด้วยชีวิตที่สุกสว่าง

31 โอ โยบ ขอท่านตั้งใจฟัง
    ขอท่านเงียบไว้ และข้าพเจ้าจะพูด
32 ถ้าท่านมีอะไรจะพูด ก็ตอบข้าพเจ้ามา
    พูดเถิด เพราะข้าพเจ้าปรารถนาให้ท่านพ้นผิด
33 มิฉะนั้น ก็ขอให้ฟังข้าพเจ้า
    เงียบไว้ และข้าพเจ้าจะสอนสติปัญญาแก่ท่าน”

เอลีฮูตำหนิพวกเพื่อนๆ

34 ครั้นแล้วเอลีฮูก็กล่าวต่อไปว่า

“พวกท่านผู้เรืองปัญญา ฟังสิ่งที่ข้าพเจ้าพูดเถิด
    พวกท่านคิดว่าท่านรู้ เงี่ยหูฟังข้าพเจ้าเถิด
ด้วยว่าหูทดสอบคำพูด
    เช่นเดียวกับลิ้นที่ลิ้มรสอาหาร
เราควรเลือกสิ่งที่ถูกต้อง
    เราควรตัดสินใจเองว่าอะไรดี

เพราะโยบพูดว่า ‘ฉันเป็นฝ่ายถูก
    และพระเจ้ายึดสิทธิของฉันไป
ทั้งๆ ที่ฉันเป็นฝ่ายถูก
    ฉันถูกนับว่าเป็นคนพูดปด
บาดแผลของฉันรักษาไม่หาย
    แม้ว่าฉันไม่ได้ล่วงละเมิดก็ตาม’
มีใครบ้างที่เหมือนโยบ
    ผู้ดื่มการเยาะเย้ยเหมือนดื่มน้ำ
ผู้ดำเนินไปกับคนทำความชั่ว
    และคบค้ากับคนเลว
เพราะเขาพูดว่า ‘มนุษย์ไม่ได้รับประโยชน์อะไร
    จากการที่เขาชื่นชมในพระเจ้า’

10 ฉะนั้น พวกท่านมีความเข้าใจดีนัก ฟังข้าพเจ้าเถิด
    ไม่มีวันที่พระเจ้าจะกระทำความชั่ว
    และไม่มีวันที่องค์ผู้กอปรด้วยมหิทธานุภาพจะทำผิด
11 พระองค์จะตอบสนองตามการกระทำของมนุษย์
    และพระองค์ปฏิบัติต่อเขาตามที่เขาควรได้รับ
12 ความจริงก็คือ พระเจ้าจะไม่กระทำความชั่ว
    และองค์ผู้กอปรด้วยมหิทธานุภาพจะไม่บิดเบือนความเป็นธรรม
13 ใครแต่งตั้งพระองค์ให้ดูแลแผ่นดินโลก
    และใครให้พระองค์รับผิดชอบทั่วทั้งโลก
14 ถ้าหากว่าพระองค์จะตั้งใจเอา
    วิญญาณและลมหายใจของเขาไป
15 สิ่งมีชีวิตทั้งปวงก็จะตายทันที
    และมนุษย์ก็จะกลับเป็นฝุ่น

16 ถ้าท่านมีความเข้าใจ ขอท่านฟังสิ่งต่อไปนี้
    ฟังว่าข้าพเจ้าจะพูดอะไร
17 ผู้ที่เกลียดชังความเที่ยงธรรมควรเป็นผู้ปกครองหรือ
    ท่านจะตำหนิองค์ผู้มีความชอบธรรมและมีอานุภาพหรือ
18 พระองค์พูดกับกษัตริย์ได้ว่า ‘คนไร้ค่า’
    และพูดกับผู้สูงศักดิ์ว่า ‘คนชั่ว’
19 พระองค์ไม่ลำเอียงต่อบรรดาเจ้านายชั้นผู้ใหญ่
    และไม่สนใจคนมั่งมีมากกว่าคนยากไร้
    เพราะพระองค์สร้างเขาเหล่านั้นขึ้นมา
20 พวกเขาสิ้นชีวิตได้อย่างทันควันในยามค่ำคืน
    ผู้คนล้มเจ็บและสิ้นใจ
    และคนมีอำนาจถูกปลดอย่างง่ายดาย

21 เพราะพระองค์สังเกตดูวิถีทางของเขา
    และพระองค์เห็นเขาทุกฝีก้าว
22 คนทำความชั่วไม่อาจหลบซ่อนตัวในที่มืด
    หรือเงาแห่งความตายในที่ใดได้
23 ด้วยว่า พระองค์ไม่จำเป็นต้องพิจารณามนุษย์มากไปกว่านั้น
    ที่จะให้เขาไปยืน ณ เบื้องหน้าพระเจ้าในการตัดสิน
24 พระองค์ถล่มผู้มีอำนาจโดยไม่ต้องสืบสวน
    และตั้งผู้อื่นขึ้นแทนที่เขา
25 ฉะนั้น พระองค์ทราบได้จากการกระทำของพวกเขา
    พระองค์จึงล้มล้างพวกเขาชั่วคืนเดียว และพวกเขาก็พินาศ
26 พวกที่ทำความชั่วถูกพระองค์ลงโทษ
    ต่อหน้าสาธารณชน
27 เพราะพวกเขาเลิกติดตามพระองค์
    และไม่สนใจวิถีทางของพระองค์
28 พวกเขาทำให้ผู้ยากไร้ต้องร้องเรียนต่อพระองค์
    และพระองค์ได้ยินเสียงร้องของคนที่รับทุกข์
29 เมื่อพระองค์เฉยเสีย ใครจะตำหนิพระองค์ได้
    เมื่อพระองค์ซ่อนหน้า แล้วใครจะทำอะไรได้
ไม่ว่าจะเป็นคนทั้งประชาชาติหรือคนๆ เดียว
30     พระองค์ไม่ให้คนที่ไม่เชื่อในพระเจ้าขึ้นครอง
    ไม่ให้เขาเป็นเหตุให้ประชาชนตกในบ่วงแร้ว

31 มีใครพูดกับพระเจ้าบ้างว่า
    ‘ข้าพเจ้าเป็นคนบาป แต่ข้าพเจ้าจะหยุดทำบาป
32 ช่วยชี้ให้ข้าพเจ้าเห็นว่า ข้าพเจ้าทำอะไรที่เป็นบาปโดยไม่รู้ตัว
    ถ้าข้าพเจ้าทำบาปไปแล้ว ข้าพเจ้าจะไม่ทำอีกต่อไป’
33 ในเมื่อท่านไม่เห็นด้วยกับวิธีการของพระเจ้า
    ท่านหวังว่าจะได้สิ่งที่ท่านต้องการหรือ
การตัดสินใจเป็นของท่าน ไม่ใช่ข้าพเจ้า
    ฉะนั้น ท่านบอกเถิดว่าท่านคิดเช่นไร

34 บรรดาผู้ที่เข้าใจจะพูดกับข้าพเจ้า
    และคนเรืองปัญญาได้ยินข้าพเจ้า
    เขาก็จะพูดว่า
35 ‘โยบพูดอย่างไร้ความรู้
    คำพูดของเขาไร้ความเข้าใจลึกซึ้ง’
36 โอ โยบถูกทดสอบเรื่อยไป
    เพราะเขาตอบอย่างคนชั่ว
37 เพราะนอกจากบาปแล้ว เขายังดื้อด้านอีกด้วย
    เขาโต้เถียงในหมู่เรา
    และพูดพร่ำต่อว่าพระเจ้า”

เอลีฮูพูดต่อไป

35 เอลีฮูตอบต่อไปอีกว่า

“ท่านคิดว่ายุติธรรมแล้วหรือ
    ที่ท่านพูดว่า ‘ฉันพ้นผิด ณ เบื้องหน้าพระเจ้า’
ท่านถามว่า ‘ข้าพเจ้าได้ประโยชน์อะไร
    และข้าพเจ้าได้อะไรตอบแทนถ้าข้าพเจ้าไม่ทำบาป’

ข้าพเจ้าจะตอบท่าน
    และเพื่อนๆ ของท่านด้วย
มองดูฟ้าสวรรค์เถิด และดูหมู่เมฆ
    ซึ่งอยู่สูงกว่าท่าน
ถ้าท่านทำบาป ท่านทำอะไรกระทบพระองค์ได้หรือ
    และถ้าท่านล่วงละเมิดมากขึ้น ท่านจะทำอะไรพระองค์ได้เล่า
ถ้าท่านมีความชอบธรรม ท่านมอบอะไรแก่พระองค์
    หรือทำอะไรให้แก่พระองค์ได้อย่างนั้นหรือ
ความชั่วร้ายของท่านมีผลกระทบต่อคนอย่างท่าน
    และสิ่งดีงามที่ท่านทำก็มีผลต่อบุตรของมนุษย์

เพราะการถูกบีบบังคับอย่างสาหัสประชาชนจึงร้องเรียก
    พวกเขาร้องขอความช่วยเหลือให้พ้นจากเงื้อมมือของคนมีอำนาจ
10 แต่ไม่มีผู้ใดพูดว่า ‘พระเจ้า องค์ผู้สร้างของฉันอยู่ที่ไหน
    พระองค์ให้เราร้องเพลงในยามราตรี
11 พระองค์สอนเราด้วยสัตว์ป่าบนแผ่นดินโลก
    และสอนให้เรามีสติปัญญาด้วยพวกนกในอากาศ’
12 เหล่ามนุษย์ร้องเรียก แต่พระองค์ไม่ตอบ
    เพราะความหยิ่งของคนชั่ว
13 ไม่มีประโยชน์ที่จะส่งเสียงร้องเรียก พระเจ้าไม่ฟังแน่นอน
    องค์ผู้กอปรด้วยมหิทธานุภาพไม่เหลียวมองด้วย
14 และพระองค์จะได้ยินน้อยยิ่งกว่านั้นขนาดไหน
    เมื่อท่านพูดว่าท่านมองไม่เห็นพระองค์
ท่านอ้างว่าร้องทุกข์ ณ เบื้องหน้าพระองค์
    และท่านกำลังรอคอยพระองค์อยู่
15 บัดนี้ ท่านยังคิดว่าพระองค์ไม่ลงโทษเมื่อโกรธ
    และพระองค์ไม่เอาเรื่องกับการล่วงละเมิด
16 โยบ ท่านเปิดปากพูดอย่างไร้สาระ
    ท่านใช้คำพูดมากมายทั้งๆ ที่ท่านไม่ทราบอะไรเลย”

เอลีฮูยกย่องความยิ่งใหญ่ของพระเจ้า

36 เอลีฮูพูดต่อไปอีกว่า

“ขอท่านอดทนข้าพเจ้าอีกนิด และข้าพเจ้าจะชี้ให้ท่านเห็น
    เพราะข้าพเจ้ายังมีเรื่องจะพูดแทนพระเจ้าอีก
ข้าพเจ้าเอาความรู้มาจากหลายแหล่ง
    และข้าพเจ้าพิสูจน์ได้ว่าองค์ผู้สร้างของข้าพเจ้ามีความชอบธรรม
ท่านจงมั่นใจได้ว่าคำพูดของข้าพเจ้าไม่เป็นความเท็จ
    ผู้มีความรู้อันบริบูรณ์อยู่กับท่าน

ดูเถิด พระเจ้ามีอานุภาพ และไม่ดูหมิ่นผู้ใด
    พระองค์เข้าใจได้อย่างลึกซึ้งยิ่งนัก
พระองค์ไม่ปล่อยให้คนชั่วร้ายมีชีวิตอยู่
    แต่พระองค์ให้ผู้มีทุกข์ได้รับความเป็นธรรม
พระองค์ปกป้องผู้มีความชอบธรรม
    พระองค์แต่งตั้งเขาให้ครองบัลลังก์กับบรรดากษัตริย์ไปตลอดกาล
    และพวกเขาได้รับการยกย่อง
และถ้าพวกเขาถูกล่ามโซ่
    และติดอยู่ในตรวนแห่งความทุกข์ทรมาน
และพระองค์จะชี้ให้เห็นถึงสิ่งที่พวกเขาได้กระทำ
    และถึงการล่วงละเมิดของพวกเขาว่า
    พวกเขาประพฤติด้วยความยโส
10 พระองค์ทำให้พวกเขาตั้งใจฟังคำเตือน
    และบัญชาพวกเขาให้หันจากการทำบาป
11 ถ้าพวกเขาเชื่อฟังและรับใช้พระองค์
    ชีวิตของพวกเขาก็จะประสบความสำเร็จ
    และจะอยู่อย่างมีความสุข
12 แต่ถ้าพวกเขาไม่เชื่อฟัง
    พวกเขาก็จะวอดวาย
    และตายโดยปราศจากความรู้

13 จิตใจของคนที่ไม่เชื่อในพระเจ้าเก็บความโกรธไว้เรื่อยไป
    เมื่อได้รับโทษ พวกเขาก็ไม่ร้องขอความช่วยเหลือ
14 พวกเขาตายเมื่อยังหนุ่ม
    และชีวิตจบลงท่ามกลางโสเภณีชาย
15 พระองค์ช่วยผู้ทนทุกข์ด้วยบทเรียนที่เขาประสบ
    และให้เขาฟังพระองค์เมื่อมีความลำบาก

16 พระองค์นำท่านให้หลุดพ้นจากความทุกข์
    และดูแลท่านให้อยู่ดีมีสุข
    และเพียบพร้อมด้วยอาหารอันสมบูรณ์
17 แต่ท่านจะได้รับโทษหนักอย่างคนชั่วได้รับ
    ท่านจะหนีไม่พ้นจากการตัดสินลงโทษ
18 จงระวังไม่ให้ผู้ใดล่อท่านด้วยความมั่งมี
    และอย่าให้สินบนจำนวนมหาศาลเปลี่ยนใจท่าน
19 ความมั่งมีหรืออำนาจของท่านทั้งหมด
    จะช่วยให้ท่านพ้นจากความทุกข์ได้หรือ
20 อย่าตั้งตาคอยให้ถึงเวลาค่ำ
    ซึ่งเป็นเวลาที่คนถูกพรากจากไป
21 จงไปให้พ้นจากบาป
    เพราะเดิมท่านก็ปรารถนาเช่นนั้นมากกว่าความทุกข์อยู่แล้ว

22 ดูเถิด อานุภาพของพระเจ้าได้รับการยกย่อง
    ผู้ใดจะสั่งสอนได้เหมือนพระองค์
23 ผู้ใดจะบอกพระเจ้าให้ทำอะไรได้
    หรือผู้ใดจะพูดได้ว่า ‘พระองค์ทำผิด’
24 อย่าลืมสรรเสริญพระองค์ในสิ่งที่พระองค์ทำ
    ซึ่งผู้คนก็ได้ร้องเพลงถวายมาแล้ว
25 มนุษย์ทั้งหลายเห็นงานของพระองค์แล้ว
    พวกเขามองดูได้แต่ไกล
26 ดูเถิด พระเจ้ายิ่งใหญ่ และพวกเรายังไม่รู้จักพระองค์ดี
    เราไม่สามารถคำนวณอายุของพระองค์ได้

27 เพราะพระองค์ดึงหยดน้ำขึ้นจากแผ่นดิน
    และหยดน้ำถูกกลั่นเป็นหมอกและฝน
28 ซึ่งทำให้ท้องฟ้าหลั่งน้ำนั้นลงมา
    และหยดลงบนมนุษย์จนชื่นฉ่ำ
29 ผู้ใดสามารถเข้าใจเมฆที่แผ่กระจายออกไหม
    แล้วเสียงฟ้าร้องจากพลับพลาของพระองค์ล่ะ
30 ดูเถิด พระองค์ให้ฟ้าแลบกระจายอยู่รอบพระองค์
    และปกความลึกที่ใต้ท้องทะเล
31 นี่แหละเป็นวิธีที่พระองค์ควบคุมชนชาติทั้งหลาย
    พระองค์ให้อาหารอย่างบริบูรณ์
32 พระองค์กำแสงฟ้าแลบในมือของพระองค์
    และบัญชาให้ผ่าตรงจุดที่พระองค์ต้องการ
33 เสียงฟ้าร้องประกาศถึงพายุที่กำลังพัดมา
    ฝูงปศุสัตว์ประกาศว่า มันใกล้เข้ามาแล้ว

เอลีฮูประกาศความยิ่งใหญ่ของพระเจ้า

37 เรื่องนี้ทำให้ใจข้าพเจ้าสั่นระรัว
    และทำให้ใจหายใจคว่ำ
ฟังเสียงของพระองค์เป็นเสียงฟ้าร้องกระหึ่ม
    และเสียงกึกก้องมาจากปากของพระองค์
พระองค์ให้ฟ้าแลบไปทั่วใต้ฟ้าสวรรค์
    และแสงฟ้าแลบไปทั่วแหล่งหล้า
เสียงของพระองค์ดังกระหึ่มตามไป
    พระองค์ทำเสียงฟ้าร้องด้วยอานุภาพ
    และพระองค์ไม่ยั้งสายฟ้าแลบเมื่อคนได้ยินเสียงของพระองค์
พระเจ้าเปล่งเสียงเป็นเสียงฟ้าร้องที่น่าอัศจรรย์ใจ
    พระองค์กระทำสิ่งอันยิ่งใหญ่ซึ่งเราไม่สามารถเข้าใจได้
เพราะพระองค์กล่าวกับหิมะว่า ‘จงตกลงบนแผ่นดินโลก’
    เช่นเดียวกับฝนที่เทกระหน่ำลงมา
พระองค์ห้ามมือมนุษย์ทุกคนไว้
    เพื่อเขาทุกคนที่พระองค์สร้างขึ้นจะได้หยุดพักจากการงาน
และพวกสัตว์ป่าก็เข้าถ้ำของมัน
    และพักอยู่ในที่ของมัน
พายุหมุนพัดมาจากทิศใต้
    และความหนาวมาจากทิศเหนือ
10 น้ำแข็งได้มาจากลมหายใจของพระเจ้า
    และแผ่นน้ำอันกว้างใหญ่ก็แข็งตัว
11 พระองค์สะสมความชื้นในเมฆอันหนาทึบ
    พระองค์แผ่สายฟ้าแลบออกไปในหมู่เมฆ
12 เมฆล่องลอยไปมาตามแผนการของพระองค์
    เพื่อบรรลุทุกสิ่งที่พระองค์บัญชา
    อยู่เหนือแผ่นดินโลก
13 ไม่ว่าจะเพื่อการลงโทษ หรือเพื่อรดแผ่นดิน
    หรือเพื่อแสดงความรัก พระองค์เป็นผู้ทำให้บังเกิดขึ้น

14 โอ โยบ ขอท่านฟังเรื่องนี้เถิด
    ขอท่านหยุดนิ่งและพิจารณาสิ่งมหัศจรรย์ของพระเจ้า
15 ท่านทราบไหมว่า พระเจ้าทำให้เมฆเคลื่อนที่ไป
    และทำให้แสงฟ้าแลบออกจากเมฆได้อย่างไร
16 ท่านทราบไหมว่า เมฆลอยอยู่ได้อย่างไร
    สิ่งมหัศจรรย์ขององค์ผู้มีความรู้อันบริบูรณ์
17 ท่านเองรู้สึกร้อนภายใต้เสื้อผ้าที่สวมอยู่
    เมื่อแผ่นดินแน่นิ่งและร้อนผ่าวจากลมทิศใต้
18 ท่านแผ่ท้องฟ้าออกไปเหมือนกับที่พระองค์ทำได้ไหม
    เป็นแผ่นกว้างเหมือนแผ่นเหล็กสะท้อนแสง

19 บอกพวกเราเถิดว่า เราน่าจะพูดอะไรกับพระองค์
    พวกเราไม่สามารถเตรียมคดีได้เพราะทุกอย่างมืดแปดด้าน
20 ควรหรือที่จะบอกพระองค์ว่า ข้าพเจ้าจะขอพูด
    มีใครบ้างที่อยากจะพินาศ
21 บัดนี้ก็ไม่มีผู้ใดจ้องมองแสง
    เมื่อท้องฟ้าส่องสว่างจ้า
    และเมื่อลมพัดเมฆผ่านไปแล้ว
22 ความเรืองรองดั่งทองคำปรากฏจากทิศเหนือ
    พระเจ้าทรงเครื่องด้วยความยิ่งใหญ่อันน่าเกรงขาม
23 องค์ผู้กอปรด้วยมหิทธานุภาพ พวกเราเอื้อมไม่ถึงพระองค์ พระองค์มีอานุภาพยิ่งใหญ่นัก
    พระองค์เที่ยงธรรมและมีความชอบธรรมมาก ฉะนั้นพระองค์ไม่ทำให้คนมีความทุกข์
24 ดังนั้น ผู้คนจึงยำเกรงพระองค์
    พระองค์ไม่เชื่อถือผู้ที่คิดในใจว่าตนเรืองปัญญานัก”

พระผู้เป็นเจ้าตอบโยบ

38 พระผู้เป็นเจ้าจึงตอบเป็นเสียงจากพายุว่า

“นี่ใครกัน ที่สงสัยแผนการของเรา
    ด้วยการพูดจาที่ปราศจากความรู้
จงเตรียมพร้อมอย่างลูกผู้ชาย
    เราจะถามเจ้า
    และเจ้าจงตอบเรา

เจ้าอยู่ที่ไหนเวลาที่เราวางฐานรากของแผ่นดินโลก
    บอกเราสิ ถ้าเจ้าเข้าใจเรื่องนี้ดี
ใครตัดสินใจขนาดของมัน เจ้าต้องรู้แน่เชียว
    หรือใครวัดขนาดที่แผ่กว้างบนแผ่นดินโลก
ฐานของโลกตั้งอยู่บนอะไร
    หรือใครเป็นผู้วางศิลามุมเอก
เมื่อดวงดาวยามย่ำรุ่งร้องประสานเสียงกัน
    และบรรดาบุตรของพระเจ้า[c]โห่ร้องด้วยความยินดี

หรือใครใช้ประตูปิดกั้นทะเลไว้
    เมื่อน้ำทะลักออกจากท้องทะเล
เมื่อเราสร้างเมฆให้เป็นดั่งเครื่องนุ่งห่ม
    และพันด้วยความมืดมิดดั่งผ้าพันทารก
10 และสั่งให้มีขอบเขตจำกัด
    ด้วยสลักดาลประตู
11 และบอกทะเลว่า ‘เจ้าออกมาได้เพียงเท่านี้ ห้ามเลยออกไปอีก
    และพลังคลื่นที่คึกคะนองก็หยุดอยู่ที่นั่น’

12 ตั้งแต่เจ้าเกิดมา เจ้าเคยบัญชาให้เกิดเวลาเช้าหรือ
    และสั่งให้รุ่งอรุณรู้จักตำแหน่งหน้าที่ของมันหรือ
13 และให้รุ่งอรุณครอบคลุมทั่วแหล่งหล้า
    และสลัดคนชั่วออกไปจากโลกหรือ
14 แผ่นดินโลกเปลี่ยนไปเหมือนดินเผาที่มีตราประทับ
    และมีลักษณะเด่นชัดดั่งเครื่องนุ่งห่ม
15 คนชั่วถูกยึดแสงไป
    และพวกเขาถูกตัดกำลัง

16 เจ้าเคยเข้าไปถึงตาน้ำในทะเล
    หรือเรียนรู้ถึงความลึกลับซับซ้อนของห้วงน้ำลึกหรือ
17 ประตูแดนคนตายถูกเปิดเผยให้เจ้ารู้แล้วหรือ
    เจ้าเคยเห็นประตูแห่งความมืดมิดแล้วหรือ
18 เจ้าเคยเข้าใจถึงโดมกว้างใหญ่ของโลกไหม
    ถ้าเจ้ารู้ทุกสิ่งในเรื่องนี้ก็บอกเราสิ

19 เจ้าไปทางไหนจึงจะพบความสว่างได้
    และความมืดอยู่ที่ไหน
20 เจ้าจะได้พามันไปยังเขตแดนของมัน
    และจะได้รู้ทางกลับไปยังที่ของมัน
21 เจ้ารู้สินะ เพราะในเวลานั้นเจ้าก็เกิดแล้ว
    และเจ้าก็มีอายุมากเสียเหลือเกิน

22 เจ้าเคยเข้าไปในแหล่งเก็บหิมะ
    หรือเจ้าเคยเห็นแหล่งเก็บลูกเห็บไหม
23 เป็นที่ซึ่งเราเก็บสำรองไว้ในยามคับขัน
    ในยามต่อสู้และสงคราม
24 เจ้ารู้จักทางไปยังที่ซึ่งเราแจกจ่ายกระแสฟ้าแลบ
    หรือที่ซึ่งลมทะเลทรายถูกพัดไปบนแผ่นดินโลกไหม
25 ใครเบิกทางให้ฝนกระหน่ำลง
    และเปิดทางให้ฟ้าผ่า
26 เพื่อนำฝนลงมาบนแผ่นดินที่ไม่มีผู้คนอาศัยอยู่
    บนทะเลทรายซึ่งหามีผู้คนไม่
27 เพื่อทำให้ที่ร้างอันแร้นแค้นได้ชุ่มชื่น
    และทำให้พื้นดินมีหญ้างอกขึ้นมา
28 ฝนมีพ่อหรือ
    หรือใครทำให้หยดน้ำค้างเกิดขึ้น
29 น้ำแข็งออกมาจากครรภ์ของผู้ใด
    และใครให้กำเนิดน้ำค้างแข็งแห่งฟ้าสวรรค์
30 น้ำกลายเป็นน้ำแข็งดั่งหิน
    และผิวห้วงน้ำลึกก็แข็งตัว

31 เจ้าสามารถผูกมัดดาวลูกไก่
    หรือแก้มัดสายดาวไถได้หรือ
32 เจ้าสามารถนำกลุ่มดาวออกมาตามฤดูกาลของมันได้หรือ
    เจ้าสามารถนำทางดาวจระเข้ออกมากับลูกๆ ของมันได้หรือ
33 เจ้ารู้กฎเกณฑ์ของดวงสว่างบนฟ้าสวรรค์ไหม
    เจ้าสามารถใช้กฎของมันเป็นกฎบนแผ่นดินโลกได้หรือ
34 เจ้าสามารถตะโกนสั่งหมู่เมฆ
    เพื่อให้ฝนตกหนักท่วมตัวเจ้าได้หรือ
35 เจ้าสามารถสั่งสายฟ้าให้แลบและมันก็ทำตามเจ้า
    และจะตอบเจ้าอีกด้วยว่า ‘พวกเราอยู่นี่’ อย่างนั้นหรือ
36 ใครสร้างสติปัญญาไว้ในส่วนลึก
    หรือให้ความเข้าใจแก่ความนึกคิด
37 ใครสามารถนับจำนวนเมฆด้วยปัญญา
    หรือใครสามารถเอียงถุงเก็บน้ำในท้องฟ้าได้
38 ยามที่ฝุ่นกลายเป็นโคลน
    และก้อนดินเกาะติดกันแน่น

39 เจ้าสามารถล่าเหยื่อให้สิงโต
    และทำให้สิงโตหนุ่มหายหิวได้หรือ
40 เมื่อพวกมันหมอบอยู่ในถ้ำ
    หรือนอนซุ่มพร้อมจะกระโจน
41 ใครจัดหาเหยื่อให้อีกา
    เมื่อพวกลูกน้อยของมันร้องขอความช่วยเหลือจากพระเจ้า
    และเร่ร่อนไปมาเพราะขาดอาหาร
39 เจ้ารู้ไหมว่าพวกแพะป่าตกลูกเมื่อไหร่
    เจ้าสังเกตกวางตัวเมียออกลูกหรือเปล่า
เจ้ารู้ไหมว่าสัตว์เหล่านี้ตั้งท้องนานกี่เดือน
    เจ้ารู้เวลาที่มันตกลูกไหม
เวลาที่มันโก้งโค้งตกลูก
    และหย่อนลูกน้อยลงบนพื้น
พวกลูกน้อยของมันแข็งแรงขึ้น เติบโตในที่โล่งกว้าง
    พวกมันออกไปและไม่กลับมาหามันอีก

ใครให้ลาป่าออกไปอย่างมีอิสระ
    ใครแก้เชือกและปล่อยให้ลาไป
เราให้ที่ร้างอันแร้นแค้นเป็นบ้านของพวกมัน
    และให้ที่ดินเค็มเป็นที่อาศัย
มันสบประมาทเสียงอึกทึกในเมือง
    มันไม่ได้ยินเสียงตะโกนของคนคุมสัตว์
มันเสาะหาอาหารตามภูเขา
    และมันเสาะหาใบหญ้าเขียวชอุ่ม

โคป่ายอมรับใช้เจ้าหรือ
    มันจะค้างแรมอยู่ที่รางหญ้าของเจ้าหรือ
10 เจ้าสามารถใช้เชือกผูกโคป่าให้มันไถร่องได้หรือ
    หรือมันจะลากคันไถตามหลังเจ้าไปหรือ
11 เจ้าจะไว้ใจมันได้เพราะกำลังอันมหาศาลของมันหรือ
    เจ้าจะมอบหมายงานหนักของเจ้าไว้กับมันหรือ
12 เจ้าเชื่อในตัวมันหรือว่ามันจะเก็บเกี่ยวข้าวให้เจ้าได้
    และรวบรวมไปที่ลานนวดข้าวของเจ้าได้

13 นกกระจอกเทศโบกสะบัดปีกของมันอย่างร่าเริงใจ
    ปีกและขนของมันเทียบเทียมกับนกกระสาหรือ
14 เพราะมันวางไข่ไว้ใต้ดิน
    และปล่อยให้ไข่รับความอุ่นจากพื้นดิน
15 ไม่ได้นึกว่าเท้าอาจจะเหยียบไข่นกแตก
    หรือสัตว์ป่าอาจจะเหยียบย่ำมันก็ได้
16 แม่นกนั้นโหดร้ายต่อลูกของมันเหมือนว่าไม่ใช่ลูกของมันเอง
    และไม่เสียดายว่ามันเสียแรงไปเปล่าๆ
17 เป็นเพราะเราทำให้มันลืมปัญญา
    และไม่ได้ให้มันมีสัญชาตญาณ
18 เวลาที่มันกระพือปีกขณะวิ่งไป
    มันก็หัวเราะเยาะม้ากับคนขี่

19 เจ้าให้พลังแก่ม้าหรือ
    เจ้าปกคอม้าด้วยขนที่ยาวของมันหรือ
20 เจ้าทำให้มันกระโดดโผไปอย่างตั๊กแตนหรือ
    เสียงดังพรืดๆ ทางจมูกของมันน่าสะพรึงกลัวนัก
21 มันยันพื้นดินและโลดขึ้นด้วยกำลังของมัน
    มันวิ่งออกไปผจญสงคราม
22 มันไม่กลัว ไม่ตกใจ
    มันไม่หันหลังให้กับการสู้รบ
23 บนหลังของมันมีเสียงเขย่าของแล่งธนู
    หอกและหอกซัดวาววับ
24 มันห้อไปด้วยฝีเท้าที่ว่องไว มันคึกและเดือดดาล
    มันยืนนิ่งไม่ได้เมื่อได้ยินเสียงแตรงอน
25 เมื่อเสียงแตรงอนดังขึ้น มันก็ทำเสียง ‘ฮี้’
    มันได้กลิ่นสงครามแต่ไกล
    ผู้นำทัพตะโกนออกคำสั่งเสียงกึกก้อง

26 เป็นเพราะปัญญาของเจ้าหรือที่เหยี่ยวโผบินสูงขึ้น
    และกางปีกออกบินไปทางทิศใต้ได้
27 เป็นเพราะคำบัญชาของเจ้าหรือที่นกอินทรีโผบินขึ้นสู่ท้องฟ้า
    และสร้างรังของมันบนที่สูงสุดได้
28 มันอาศัยและสร้างบ้านของมันบนหินสูง
    ที่ผาหินและที่ปลอดภัย
29 มันสอดส่องหาเหยื่อจากที่นั่น
    มันมองเห็นเหยื่อได้แต่ไกล
30 ลูกๆ ของมันดูดกินเลือด
    และที่ไหนมีร่างที่ถูกฆ่า มันก็อยู่ที่นั่น”

40 พระผู้เป็นเจ้ากล่าวกับโยบว่า

“คนช่างติเตียนจะโต้แย้งกับผู้กอปรด้วยมหิทธานุภาพหรือ
    คนที่โต้เถียงพระเจ้า ก็จงตอบเถิด”

โยบจึงตอบพระผู้เป็นเจ้าว่า

“ดูเถิด ข้าพเจ้าไร้ค่า ข้าพเจ้าจะตอบอะไรพระองค์ได้
    ข้าพเจ้าจะปิดปากข้าพเจ้า
ข้าพเจ้าพูดแล้วครั้งหนึ่ง แต่ข้าพเจ้าไม่มีคำตอบ
    พูดสองครั้ง แต่ข้าพเจ้าจะไม่พูดอีก”

แล้วพระผู้เป็นเจ้าตอบโยบเป็นเสียงจากพายุว่า

“จงเตรียมพร้อมอย่างลูกผู้ชาย
    เราจะถามเจ้า และเจ้าจงตอบเรา

เจ้ากำลังพยายามพิสูจน์ให้ได้ว่าเราผิดหรือ
    เจ้าจะปรักปรำเราเพื่อว่าเจ้าจะถูกต้องหรือ
เจ้ามีพละกำลังเหมือนพระเจ้าหรือ
    เจ้าทำเสียงร้องกระหึ่มดั่งฟ้าร้องเหมือนเสียงของพระองค์ได้หรือ
10 จงแสดงตนให้เห็นว่า เจ้ายิ่งใหญ่และสูงส่ง
    จงแสดงให้เห็นว่า เจ้าสง่างามและรุ่งโรจน์
11 จงปล่อยความโกรธของเจ้าที่ล้นออกมา
    จงดูทุกคนที่หยิ่งยโส และทำให้เขายอมถ่อมลง
12 ดูทุกคนที่หยิ่งยโส และทำให้เขาถ่อมตัว
    และทำคนชั่วให้แบนราบเป็นหน้ากลอง
13 ฝังพวกเขาทุกคนลงในหลุมศพ
    และขังให้อยู่ในโลกของคนตาย
14 แล้วเราจะยกย่องเจ้าว่า
    เจ้าได้ชัยชนะด้วยมือของเจ้าเอง

15 ดูเถิด เบเฮโมท[d]
    ซึ่งเราสร้างขึ้นอย่างที่เราสร้างตัวเจ้า
    มันกินหญ้าอย่างที่โคกิน
16 ดูเถิด กำลังของมันอยู่ที่บั้นเอว
    และอำนาจของมันอยู่ที่กล้ามเนื้อที่ท้อง
17 มันเกร็งหางขึ้นได้อย่างต้นซีดาร์
    เอ็นที่ต้นขาของมันสานเข้าด้วยกัน
18 กระดูกของมันเป็นดั่งท่อทองสัมฤทธิ์
    ขาของมันเป็นเหมือนท่อนเหล็ก
19 มันเป็นหนึ่งในผลงานอันมหัศจรรย์ของพระเจ้า
    ให้องค์ผู้สร้างมันกำราบมันเถิด
20 เทือกเขาเป็นแหล่งอาหารของมัน
    และเป็นที่ให้สัตว์ป่าทั้งปวงเริงร่า
21 มันนอนอยู่ใต้ต้นไม้หนาม
    ที่ใต้ดงอ้อและในหนองน้ำ
22 ต้นไม้หนามเป็นที่ร่มให้มันได้
    ต้นหลิวที่ลำธารล้อมรอบตัวมัน
23 ดูเถิด ถ้าแม่น้ำเชี่ยวกราก มันก็จะไม่ตกใจ
    มันไม่สะดุ้งแม้ว่าแม่น้ำจอร์แดนจะซัดเข้าปากของมัน
24 ใครจะสามารถจับตัวมันขณะที่มันมองด้วยความระมัดระวัง
    หรือคล้องจมูกดักมันไปได้
41 เจ้าสามารถล่อตัวเหราออกมาด้วยเบ็ด
    หรือมัดลิ้นมันด้วยเชือกได้หรือ
เจ้าสามารถคล้องเชือกที่จมูกของมัน
    หรือเกี่ยวขอที่ขากรรไกรมันได้หรือ
มันจะขอร้องเจ้าหลายครั้งหรือ
    มันจะใช้คำพูดที่อ่อนหวานกับเจ้าหรือ
มันจะให้คำมั่นสัญญากับเจ้า
    ให้เจ้ารับมันเป็นผู้รับใช้ของเจ้าไปตลอดกาลหรือ
เจ้าจะเล่นกับมันเหมือนเล่นกับนกหรือ
    เจ้าจะจูงมันไปให้พวกหญิงรับใช้ของเจ้าเล่นหรือ
พวกพ่อค้าย่อยจะแย่งกันต่อรองค่าตัวมันหรือ
    พวกเขาจะแบ่งตัวมันให้กับพวกพ่อค้าใหญ่หรือ
เจ้าสามารถแทงหนังมันด้วยฉมวก
    หรือแทงหัวมันด้วยหอกแทงปลาหรือ
ถ้าเจ้าแตะต้องตัวมัน
    ก็จงจดจำการต่อสู้นั้นไว้ แล้วเจ้าจะไม่ทำอีก
ดูเถิด ความหวังที่จะปราบมันนั้นเป็นไปไม่ได้
    เพียงแต่เห็นตัวมัน เจ้าก็ถอยแล้ว
10 ไม่มีผู้ใดดุร้ายพอที่จะปลุกมันขึ้นมา
    แล้วผู้ใดเล่าสามารถยืนสู้หน้าเรา
11 ใครได้มอบอะไรให้แก่เราหรือ เราจึงควรจะมอบคืนให้แก่เขา
    อะไรก็ตามที่อยู่ใต้ฟ้าสวรรค์เป็นของเรา

12 เราอดอยู่เฉยไม่ได้ที่จะบรรยายเรื่องขา
    หรือกำลังมหาศาลของมัน หรือความสง่าของมัน
13 ใครสามารถถลกหนังของมันออก
    ใครจะแทงทะลุเกราะของมันได้
14 ใครสามารถอ้าปากของมันได้
    ฟันของมันน่ากลัว
15 หลังของมันทำด้วยเกล็ดเป็นแถวๆ
    ผนึกติดต่อกันอย่างมิดชิด
16 แต่ละเกล็ดติดกันชิดมาก
    ไม่มีแม้ช่องให้อากาศเข้าไปได้
17 มันเชื่อมเกาะเกี่ยวติดกัน
    และแยกออกจากกันไม่ได้
18 มันจามออกมาเป็นแสงสว่าง
    และดวงตาของมันเป็นเหมือนรุ่งอรุณทอแสง
19 มีแสงคบเพลิงออกจากปากของมัน
    มีประกายไฟพุ่งออกไป
20 ควันออกจากรูจมูกของมัน
    เหมือนออกมาจากหม้อต้มที่กำลังเดือด
21 ลมหายใจของมันทำให้ถ่านไฟคุขึ้นมา
    และเปลวไฟก็พลุ่งออกจากปากของมัน
22 คอของมันมีพลังมาก
    ทุกสิ่งที่เผชิญหน้ากับมันต้องหวั่นกลัว
23 เนื้อหนังทั้งตัวของมันแข็งแกร่ง
    และไม่มีใครขยับมันได้
24 หัวใจของมันแข็งอย่างกับหิน
    แข็งอย่างกับหินโม่ท่อนล่าง
25 เมื่อมันลุกขึ้น บรรดาเทพเจ้าก็ยังหวั่นกลัว
    และเผ่นหนีเมื่อมันกระโจนใส่
26 แม้มันจะถูกดาบปะทะ มันก็ไม่สะทกสะท้าน
    แม้ว่าจะเป็นหอก หลาว หรือหอกซัดก็ตาม
27 มันนับว่าเหล็กเป็นเสมือนฟาง
    และทองสัมฤทธิ์เป็นเสมือนไม้ผุ
28 ลูกศรไม่สามารถขับไล่มันให้หนีไปได้
    มันนับว่าก้อนหินสลิงเป็นเศษฟาง
29 ไม้ตะบองเป็นเสมือนเศษฟาง
    มันหัวเราะเมื่อได้ยินเสียงหอกซัด
30 ใต้ท้องของมันคมอย่างดินเผาแตก
    มันเหยียดตัวออกเหมือนคราดเลื่อนที่ลากบนโคลน
31 มันทำห้วงน้ำลึกให้ปั่นป่วนเหมือนหม้อน้ำเดือด
    และทำทะเลให้เป็นฟองเหมือนหม้อน้ำมัน
32 มันลุยน้ำทำให้ฟองสะท้อนแสงตามหลังมันไป
    ดูดั่งว่า ห้วงน้ำลึกมีผมขาว
33 ไม่มีสิ่งใดบนโลกที่เป็นเหมือนมัน
    มันเป็นสัตว์ที่ไม่รู้จักความกลัว ซึ่งถูกสร้างขึ้น
34 มันดูหมิ่นสัตว์อื่นทุกชนิดที่หยิ่งผยอง
    มันเป็นราชาเหนือสัตว์ยโสทั้งปวง”

New Thai Version (NTV-BIBLE)

Copyright © 1998, 2012, 2020 by New Thai Version Foundation