Bible in 90 Days
บิลดัด
25 แล้วบิลดัดชาวชูอาห์ตอบว่า
2 “อำนาจครอบครองและความน่าเกรงขามเป็นของพระเจ้า
พระองค์ทรงสถาปนาความเป็นระเบียบไว้ในฟ้าสวรรค์เบื้องสูง
3 กองพลโยธาของพระองค์สามารถนับได้หรือ?
ผู้ใดเล่าที่แสงสว่างของพระองค์ส่องไปไม่ถึง?
4 มนุษย์จะชอบธรรมต่อหน้าพระเจ้าได้อย่างไร?
ผู้ถือกำเนิดจากสตรีจะบริสุทธิ์ได้อย่างไร?
5 หากแม้แสงจันทร์ยังไม่กระจ่าง
และดวงดาวยังไม่บริสุทธิ์ในสายพระเนตรของพระองค์
6 มนุษย์ซึ่งเป็นเพียงตัวดักแด้
บุตรของมนุษย์ซึ่งเป็นเพียงตัวหนอน
จะยิ่งกว่านั้นสักเท่าใด!”
โยบ
26 โยบจึงตอบว่า
2 “ท่านช่วยคนหมดแรงได้มากเสียจริง!
ช่วยพยุงแขนที่อ่อนล้าได้เยี่ยมจริงนะ!
3 คำแนะนำที่ท่านให้แก่คนไม่มีปัญญานั้นช่างยอดเยี่ยม!
ท่านได้แสดงความเข้าใจที่ลึกซึ้งเสียนี่กระไร!
4 ใครหนอช่วยให้ท่านพูดออกมาอย่างนี้ได้?
วิญญาณดวงใดหนอที่พูดออกมาผ่านปากของท่าน?
5 “บรรดาผู้ตายต้องทุกข์ทรมาน
ทั้งบรรดาคนที่อยู่ใต้น้ำและทุกชีวิตในนั้น
6 แดนมรณาเปลือยเปล่าต่อหน้าพระเจ้า
แดนพินาศไร้สิ่งปกปิด
7 พระเจ้าทรงคลี่ท้องฟ้าด้านเหนือบนความว่างเปล่า
และทรงแขวนโลกไว้เหนือที่เวิ้งว้าง
8 พระองค์ทรงห่อหุ้มน้ำไว้ในเมฆของพระองค์
และเมฆก็ไม่ได้แตกกระจายเพราะน้ำหนักของมัน
9 พระองค์ทรงคลี่เมฆ
ทรงบดบังจันทร์เพ็ญ
10 พระองค์ทรงกำหนดเส้นขอบฟ้าที่ทะเล
เป็นพรมแดนระหว่างความสว่างกับความมืด
11 เสาของฟ้าสวรรค์สั่นคลอน
เมื่อพระองค์ทรงกำราบ
12 และโดยฤทธิ์อำนาจของพระองค์ ทะเลก็สงบราบคาบ
โดยพระปรีชาญาณ ทรงหั่นราหับออกเป็นชิ้นๆ
13 ฟ้าสวรรค์งดงามโดยลมปราณของพระเจ้า
พระหัตถ์ของพระองค์ทรงแทงพญางูที่กำลังเลื้อยไป
14 เหล่านี้เป็นเพียงสิ่งเล็กน้อยที่พระองค์ทรงกระทำ
เป็นแค่เสียงกระซิบแผ่วๆ ที่เราได้ยินเกี่ยวกับพระองค์เท่านั้น!
แล้วใครเล่าจะสามารถเข้าใจความเกรียงไกรแห่งฤทธิ์อำนาจของพระองค์ได้?”
27 โยบกล่าวต่อไปว่า
2 “ตราบใดที่พระเจ้าทรงพระชนม์อยู่ พระองค์ทรงปฏิเสธที่จะให้ความยุติธรรมแก่ข้า
องค์ทรงฤทธิ์ผู้ทำให้ข้าลิ้มรสความขมขื่นในวิญญาณ
3 ตราบใดที่ข้ายังมีชีวิตอยู่
ตราบใดที่ข้ายังมีลมปราณจากพระเจ้า
4 ตราบนั้นริมฝีปากของข้าจะไม่กล่าวคำชั่ว
และลิ้นของข้าจะไม่กล่าวคำหลอกลวง
5 ข้าจะไม่มีวันยอมรับว่าพวกท่านเป็นฝ่ายถูก
จนตายข้าก็ขอยืนยันว่าข้าซื่อสัตย์สุจริต
6 ข้าจะยึดมั่นในความชอบธรรมของข้าและไม่มีวันปล่อยวาง
มโนธรรมของข้าจะไม่ตำหนิข้าตราบชั่วชีวิต
7 “ขอให้ศัตรูของข้าเป็นเหมือนคนชั่ว
ขอให้ปฏิปักษ์ของข้าเป็นเหมือนคนอยุติธรรม!
8 เพราะคนอธรรมจะมีความหวังอะไรเมื่อเขาถูกตัดขาด
เมื่อพระเจ้าทรงคร่าชีวิตเขาไป?
9 เมื่อความทุกข์ลำบากมาถึงเขา
พระเจ้าทรงฟังเสียงร่ำร้องของเขาหรือ?
10 เขาจะปีติยินดีในองค์ทรงฤทธิ์หรือ?
เขาจะร้องทูลพระเจ้าตลอดเวลาหรือ?
11 “ข้าจะสอนท่านถึงเรื่องฤทธิ์อำนาจของพระเจ้า
จะไม่ปิดบังวิถีทางขององค์ทรงฤทธิ์
12 ท่านเองก็รู้เห็นทั้งหมดนี้แล้ว
ทำไมจึงยังพูดเหลวไหลอย่างนี้อีก?
13 “นี่คือชะตากรรมที่พระเจ้าทรงกำหนดให้แก่คนชั่วร้าย
และเป็นมรดกที่คนอำมหิตได้รับจากองค์ทรงฤทธิ์
14 ถึงแม้ลูกหลานของเขาจะมากมาย แต่ก็จะตกเป็นเหยื่อของคมดาบ
และวงศ์วานของเขาจะไม่มีวันได้กินอิ่ม
15 ผู้ที่รอดชีวิตอยู่ก็จะถูกนำไปสู่หลุมศพด้วยโรคระบาด
ภรรยาม่ายของพวกเขาก็ไม่คร่ำครวญถึงพวกเขา
16 ถึงแม้เขาสะสมเงินไว้มากมายดั่งฝุ่นธุลี
และมีเสื้อผ้าเป็นกองๆ เหมือนกองดินเหนียว
17 ผู้ชอบธรรมจะนำสิ่งที่เขาสะสมไว้มาสวมใส่
และคนไร้ผิดจะเอาเงินของเขามาแบ่งปันกัน
18 บ้านที่เขาสร้างขึ้นเหมือนรังของดักแด้
เหมือนกระท่อมที่คนยามสร้างขึ้น
19 เขานอนลงบนกองเงินกองทอง แต่เขาจะไม่ได้ทำเช่นนั้นอีกต่อไป
เพราะเมื่อเขาลืมตาขึ้นมา ทุกอย่างก็สูญสิ้นไป
20 ความสยดสยองจู่โจมเขาจนตั้งตัวไม่ติดเหมือนน้ำท่วมฉับพลัน
และพายุร้ายซัดเขาหายไปในยามราตรี
21 ลมตะวันออกพัดพาเขาหายไป
กวาดเขาไปจากที่อยู่
22 มันม้วนตัวซัดกระหน่ำเขาอย่างไม่ปรานี
ขณะที่เขาพยายามจะหลบหนีให้พ้นอำนาจของมัน
23 มันก็ปรบมือเยาะเย้ย
และซัดเขาหลุดลอยไปจากที่ของเขา
28 “มีเหมืองเงิน
และแหล่งถลุงทองคำ
2 แร่เหล็กได้มาจากพื้นดิน
และทองแดงถลุงมาจากสินแร่
3 มนุษย์ไล่ความมืดออกไป
ค้นหาแหล่งแร่ที่ลึกลับที่สุด
ในความมืดทึบ
4 เขาขุดปล่องในที่ห่างไกลจากถิ่นที่ผู้คนอาศัย
ในที่ซึ่งเท้าของมนุษย์ไม่ได้เหยียบย่างเข้าไป
เขาไต่เชือกและแกว่งตัวไปมาในที่ห่างไกลจากผู้คน
5 แผ่นดินโลกเป็นแหล่งอาหาร
แต่เบื้องล่างหลอมตัวราวกับถูกไฟเผา
6 แก้วไพฑูรย์มาจากหินของมัน
และที่นั่นก็มีผงทองคำ
7 ไม่มีนกล่าเหยื่อตัวใดรู้เส้นทางที่ซ่อนอยู่นั้น
ไม่มีตาของเหยี่ยวตัวใดสังเกตเห็น
8 สัตว์ป่าที่สง่างามไม่ย่างกรายไปที่นั่น
ไม่มีราชสีห์ตัวใดผ่านไปที่นั่น
9 มือมนุษย์ทำลายหินที่แข็งแกร่ง
และทลายภูเขาลงถึงราก
10 เขาขุดอุโมงค์ทะลุหินผา
และตาของเขามองเห็นของมีค่าในนั้น
11 เขาเสาะหา[a]ต้นน้ำลำธาร
และนำสิ่งที่ซ่อนเร้นมาสู่ความสว่าง
12 “แต่จะพบสติปัญญาได้จากที่ไหน?
ความเข้าใจอยู่ที่ไหน?
13 มนุษย์ไม่เข้าใจถึงคุณค่าของสติปัญญา
หาไม่พบในดินแดนของผู้มีชีวิต
14 ห้วงลึกกล่าวว่า ‘มันไม่ได้อยู่ในนี้’
ทะเลกล่าวว่า ‘มันไม่ได้อยู่ที่นี่’
15 เราไม่สามารถซื้อปัญญาด้วยทองเนื้อดีที่สุด
หรือตีราคาเป็นเงิน
16 หรือแลกซื้อด้วยทองคำแห่งเมืองโอฟีร์
หรือด้วยโกเมนล้ำค่าหรือไพฑูรย์
17 ไม่ว่าทองคำหรือแก้วมณีก็ไม่อาจเทียบปัญญาได้
อีกทั้งเพชรพลอยหรือเครื่องทองก็ไม่อาจแลกได้
18 หินปะการังและแก้วผลึกยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึง
ค่าของสติปัญญาสูงกว่าทับทิม
19 บุษราคัมแห่งเอธิโอเปียไม่อาจเทียบเคียง
แม้แต่ทองคำบริสุทธิ์ก็ไม่อาจแลกซื้อได้
20 “ถ้าเช่นนั้นสติปัญญามาจากที่ไหน?
ความเข้าใจอยู่ที่ไหน?
21 มันถูกซ่อนจากสายตาของทุกชีวิต
และถูกปิดบังไว้จากนกในอากาศ
22 หายนะและความตายกล่าวว่า
‘เราเพียงแต่ได้ยินข่าวเล่าลือมา’
23 พระเจ้าทรงเข้าใจหนทางสู่สติปัญญา
และพระองค์เพียงผู้เดียวทรงทราบว่ามันอยู่ที่ไหน
24 เพราะพระองค์ทรงแลเห็นถึงสุดปลายแผ่นดินโลก
เห็นทุกสิ่งภายใต้ฟ้าสวรรค์
25 เมื่อพระเจ้าทรงกำหนดแรงลม
และชั่งตวงห้วงน้ำ
26 เมื่อทรงตั้งกฎเกณฑ์ของสายฝน
และจัดทางให้แก่พายุฟ้าคำรน
27 แล้วพระองค์ทรงทอดพระเนตรสติปัญญาและทรงประเมินค่า
พระองค์ทรงยืนยันและทดสอบ
28 และพระองค์ตรัสแก่มนุษย์ว่า
‘ความยำเกรงองค์พระผู้เป็นเจ้าคือสติปัญญา
การหลีกหนีจากความชั่วคือความเข้าใจ’ ”
29 โยบกล่าวต่อไปว่า
2 “ข้าใฝ่หาปีเดือนที่ผ่านไปยิ่งนัก
คิดถึงเมื่อครั้งที่พระเจ้าทรงดูแลข้า
3 ยามที่ดวงประทีปของพระองค์ส่องเหนือศีรษะของข้า
ความสว่างของพระองค์นำให้ข้าเดินฝ่าความมืดได้!
4 คิดถึงวัยฉกรรจ์
เมื่อมิตรภาพแน่นแฟ้นของพระเจ้าเป็นพรแก่บ้านของข้า
5 เมื่อองค์ทรงฤทธิ์ยังสถิตกับข้า
และลูกๆ ของข้าห้อมล้อมข้า
6 เมื่อกิจการของข้าเจริญรุ่งเรือง[b]
แม้แต่หินผายังหลั่งน้ำมันมะกอกให้
7 “เมื่อข้าไปที่ประตูเมือง
และนั่งประจำตำแหน่งที่ลานชุมชน
8 พวกหนุ่มๆ เห็นข้าก็หลีกทางให้
และผู้สูงอายุก็ลุกขึ้นยืนต้อนรับข้า
9 คนระดับผู้นำสงบนิ่ง
และเอามือปิดปากไว้
10 เจ้านายสงบเสียง
ลิ้นแตะเพดานปาก
11 ทุกคนที่ฟังข้าก็ชมข้า
ทุกคนที่เห็นข้าก็ยกย่องข้า
12 เพราะข้าช่วยเหลือผู้ยากไร้ซึ่งร้องขอความช่วยเหลือ
และช่วยลูกกำพร้าพ่อซึ่งไม่มีใครช่วย
13 คนใกล้ตายให้พรข้า
ข้าทำให้หัวใจของหญิงม่ายร้องเพลง
14 ข้าสวมความชอบธรรมเป็นอาภรณ์
ความยุติธรรมเป็นเสื้อคลุมและผ้าโพกศีรษะของข้า
15 ข้าเป็นดวงตาให้คนตาบอด
เป็นเท้าให้คนง่อย
16 ข้าเป็นบิดาให้คนยากไร้
และเป็นธุระในคดีของคนแปลกหน้า
17 ข้าหักเขี้ยวเล็บของคนชั่ว
และช่วยเหยื่อออกมาจากปากของพวกเขา
18 “ข้าคิดว่า ‘ข้าจะตายในบ้านของข้า
วันคืนของข้าคงมากมายดั่งเม็ดทราย
19 รากของข้าจะหยั่งถึงน้ำ
และน้ำค้างจะพรมกิ่งก้านของข้าตลอดคืน
20 ศักดิ์ศรีของข้าจะคงอยู่เสมอ
ลูกธนูในมือของข้าจะใหม่อยู่เสมอ’
21 “ผู้คนฟังข้าอย่างจดจ่อ
สงบรอคอยคำแนะนำของข้า
22 และหลังจากที่ข้าพูดแล้ว พวกเขาก็ไม่พูดอะไรอีก
เพราะเขาพึงพอใจคำแนะนำของข้า
23 เขารอฟังข้าเหมือนคอยสายฝน
และดื่มด่ำถ้อยคำของข้าเหมือนฝนในฤดูใบไม้ผลิ
24 เมื่อข้ายิ้มให้ พวกเขาแทบไม่เชื่อสายตา
ใบหน้ายิ้มแย้มของข้ามีคุณค่าแก่เขา[c]
25 ข้าเลือกทางให้พวกเขาและทำหน้าที่เป็นหัวหน้าของพวกเขา
เป็นเหมือนกษัตริย์ท่ามกลางกองทัพ
และเป็นผู้ปลอบโยนบรรดาผู้ไว้ทุกข์
30 “แต่เดี๋ยวนี้ผู้ที่อ่อนอาวุโสกว่าข้า เย้ยหยันข้า
ซึ่งบิดาของเขาเหล่านั้นข้ายังรังเกียจ
ไม่ให้มาอยู่กับสุนัขเลี้ยงแกะของข้า
2 มืออันเปี่ยมพลังของพวกเขามีประโยชน์อันใดสำหรับข้า
ในเมื่อกำลังวังชาเสื่อมถอยจากพวกเขาแล้ว
3 พวกเขาผอมโซเพราะหิวโหยและขาดอาหาร
ซัดเซพเนจรไปในถิ่นกันดารยามค่ำคืน
4 พวกเขาเก็บผักตามพุ่มไม้
และเก็บรากไม้เป็นอาหาร[d]
5 พวกเขาถูกขับไล่ไสส่งจากเพื่อนพ้อง
ผู้คนตะโกนไล่หลังราวกับว่าเขาเป็นขโมย
6 พวกเขาถูกบังคับให้อาศัยอยู่ในพื้นลำธารซึ่งแห้งขอด
ตามโพรงหรือตามซอกหิน
7 พวกเขาส่งเสียงร้องอยู่กลางพุ่มไม้
และซุกตัวกันใต้พุ่มหนาม
8 พวกเขาเป็นคนถ่อยด้อยสกุล
ถูกขับไล่จากแผ่นดิน
9 “และบัดนี้ลูกๆ ของพวกเขาร้องเพลงเย้ยข้า
ข้าตกเป็นขี้ปากของพวกเขา
10 พวกเขารังเกียจข้าและไม่ยอมเข้ามาใกล้ข้า
พวกเขาถ่มน้ำลายรดหน้าข้าอย่างไม่ลังเล
11 ในเมื่อพระเจ้าทรงปลดธนูของข้าและทำให้ข้าทุกข์ยาก
พวกเขาไม่มีความยับยั้งชั่งใจต่อหน้าข้า
12 ข้าถูกพวกเขา[e]จู่โจมเข้ามาด้านขวามือ
พวกเขาวางกับดักหลุมพรางไว้
และโอบล้อมเข้ามาต่อสู้กับข้า
13 พวกเขาปิดกั้นทางหนีของข้า
และทำลายล้างข้า
พวกเขากล่าวว่า ‘ไม่มีใครช่วยเขาได้เลย’[f]
14 พวกเขาตรงรี่เข้ามาหาตามรอยแยก
ทะลักเข้ามาท่ามกลางซากปรักหักพัง
15 ความอกสั่นขวัญแขวนจู่โจมข้า
ศักดิ์ศรีของข้าสูญสิ้นเหมือนถูกลมพัดไป
สวัสดิภาพของข้าลอยลับไปดั่งเมฆ
16 “บัดนี้ชีวิตของข้าตกต่ำไป
วันคืนอันทุกข์ทรมานยึดข้าไว้
17 ค่ำคืนทิ่มแทงกระดูกของข้า
ความเจ็บปวดกัดกินข้าไม่หยุดหย่อน
18 โดยฤทธิ์อำนาจอันยิ่งใหญ่ เสื้อผ้าของข้าถูกกระชากออก[g]
ข้าถูกคว้าที่คอเสื้อ
19 พระองค์ทรงเหวี่ยงข้าลงในโคลน
ข้ากลายเป็นเหมือนฝุ่นและขี้เถ้า
20 “ข้าแต่พระเจ้า ข้าพระองค์ร้องทูลพระองค์ แต่พระองค์ไม่ทรงตอบ
ข้าพระองค์ยืนขึ้น พระองค์ก็เพียงแต่ทอดพระเนตร
21 พระองค์กลับโหดร้ายต่อข้าพระองค์
และทรงเล่นงานข้าพระองค์ด้วยพระหัตถ์อันทรงฤทธิ์
22 พระองค์ทรงฉวยข้าพระองค์ขึ้นและให้ลมพัดพาข้าพระองค์ไป
และทรงเหวี่ยงข้าพระองค์ไปมาในพายุ
23 ข้าพระองค์ทราบว่าพระองค์จะนำข้าพระองค์ไปสู่ความตาย
ไปยังที่ซึ่งกำหนดไว้สำหรับทุกชีวิต
24 “แน่ทีเดียว ไม่มีใครยื่นมือเข้ามาช่วยคนที่แตกสลาย
เมื่อเขาทุกข์ยากและร้องขอให้ช่วย
25 ข้าไม่ได้ร่ำไห้เพื่อผู้ตกทุกข์ได้ยากหรือ?
จิตวิญญาณของข้าไม่ได้เศร้าเสียใจเพื่อผู้ยากไร้หรือ?
26 ถึงกระนั้นเมื่อข้ามุ่งหวังสิ่งที่ดีกลับได้สิ่งที่เลวร้าย
เมื่อข้ามองหาความสว่างกลับได้ความมืดมน
27 จิตใจของข้าทุกข์ร้อนไม่หยุดหย่อน
พานพบแต่วันคืนอันทุกข์ทรมาน
28 ผิวข้าหมองคล้ำแต่ไม่ใช่เพราะกรำแดด
ข้ายืนขึ้นร้องขอความช่วยเหลือต่อชุมชน
29 ข้าถูกมองว่าเป็นพี่น้องกับหมาป่า
และเป็นเพื่อนกับนกเค้าแมว
30 ผิวของข้าดำและตกสะเก็ด
กายข้าร้อนรุ่มด้วยพิษไข้
31 เสียงพิณของข้ากลายเป็นเสียงคร่ำครวญ
และเสียงปี่ของข้ากลายเป็นเสียงโหยไห้
31 “ข้าได้ทำพันธสัญญากับนัยน์ตาของตัวเองว่า
จะไม่มองหญิงสาวด้วยใจกำหนัด
2 เพราะอะไรคือสิ่งที่พระเจ้าเบื้องบนทรงกำหนดให้มนุษย์?
อะไรคือมรดกจากองค์ทรงฤทธิ์เบื้องบน?
3 ก็คือหายนะสำหรับคนชั่ว
และภัยพิบัติสำหรับคนทำผิดไม่ใช่หรือ?
4 พระองค์ไม่ได้ทอดพระเนตรเห็นหนทางของข้า
และทรงนับทุกย่างก้าวของข้าหรอกหรือ?
5 “หากข้าได้ดำเนินชีวิตในความเท็จ
หรือเท้าของข้ามุ่งสู่การหลอกลวง
6 ขอพระเจ้าทรงชั่งข้าด้วยตราชูที่เที่ยงตรง
แล้วจะทรงทราบว่าข้าไร้ตำหนิ
7 หากข้าเตลิดจากทางของพระเจ้า
หากตาของข้าพาใจมัวเมา
หรือหากมือของข้าแปดเปื้อนมลทิน
8 ก็ขอให้คนอื่นกินสิ่งที่ข้าได้หว่าน
และขอให้พืชผลของข้าถูกถอนรากถอนโคน
9 “หากจิตใจของข้าถูกผู้หญิงล่อไป
หรือหากข้าซุ่มอยู่ที่ประตูของเพื่อนบ้าน
10 ก็ขอให้ภรรยาของข้าไปโม่แป้งให้คนอื่น
และให้ชายอื่นหลับนอนกับนาง
11 เพราะสิ่งนั้นน่าละอาย
เป็นบาปที่ต้องถูกลงโทษ
12 มันเป็นไฟเผาผลาญสู่ความหายนะ
และจะขุดรากถอนโคนสิ่งที่ข้าปลูกไว้
13 “หากข้าไม่ให้ความยุติธรรม
แก่คนรับใช้ชายหญิง
ซึ่งมากล่าวโทษข้า
14 ข้าจะทำอย่างไรเมื่อต้องเผชิญหน้ากับพระเจ้า?
ข้าจะตอบอย่างไรเมื่อพระองค์ทรงเรียกให้ถวายรายงาน?
15 พระเจ้าผู้ทรงสร้างข้าในครรภ์ก็ทรงสร้างพวกเขาด้วยไม่ใช่หรือ?
พระเจ้าองค์เดียวกันนี้ทรงสร้างเราทั้งสองฝ่ายในท้องแม่ไม่ใช่หรือ?
16 “หากข้าบอกปัดความต้องการของผู้ยากไร้
หรือปล่อยให้หญิงม่ายคอยเก้อ
17 หากข้าหวงอาหารไว้กับตัว
ไม่ยอมแบ่งปันแก่ลูกกำพร้าพ่อ
18 ซึ่งอันที่จริงตั้งแต่หนุ่มมา ข้าก็เลี้ยงดูลูกกำพร้าพ่อเหมือนลูกในไส้
ตั้งแต่เกิดข้าก็นำทางให้หญิงม่าย
19 หากข้าได้เห็นคนกำลังจะหนาวตายเพราะไม่มีเสื้อผ้า
เห็นคนยากไร้ไม่มีผ้าคลุมกาย
20 และเขาไม่ได้อวยพรข้าในใจ
ที่ทำให้เขาอบอุ่นด้วยขนแกะของข้า
21 หากข้าได้ทำร้ายลูกกำพร้าพ่อ
เพราะถือว่าตนมีอิทธิพลในศาล
22 ก็ขอให้แขนของข้าหลุดออกจากไหล่
ขอให้มันหักออกจากข้อต่อ
23 เพราะข้าหวาดกลัวหายนะจากพระเจ้า
และเพราะข้ายำเกรงพระบารมีของพระองค์
ข้าจึงไม่กล้าทำสิ่งทั้งหลายเหล่านี้
24 “หากข้าไว้วางใจเงินทอง
หรือพูดกับทองคำบริสุทธิ์ว่า ‘เจ้าเป็นความมั่นคงปลอดภัยของข้า’
25 หากข้าชื่นชมยินดีในความมั่งคั่งมหาศาลของข้า
ในทรัพย์สมบัติซึ่งมือของข้าหามาได้
26 หากข้ามองดูดวงตะวันส่องแสงเจิดจ้า
หรือดวงจันทร์อันงามกระจ่าง
27 แล้วจิตใจของข้าถูกล่อลวงอย่างลับๆ
และข้าได้กราบไหว้ดวงอาทิตย์ดวงจันทร์
28 นี่ก็จะเป็นบาปอันควรแก่การลงโทษ
เพราะเท่ากับว่าข้าไม่ซื่อสัตย์ต่อพระเจ้าเบื้องบน
29 “หากข้ากระหยิ่มยิ้มย่องในเคราะห์หามยามร้ายของศัตรู
หรือลิงโลดยินดีในความทุกข์ร้อนที่เกิดขึ้นกับเขา
30 ข้าไม่เคยยอมให้ปากของข้าทำบาป
โดยสาปแช่งชีวิตของเขาให้มีอันเป็นไป
31 หากคนในครัวเรือนของข้าไม่เคยกล่าวว่า
‘ใครบ้างไม่ได้กินเนื้อที่โยบให้จนอิ่ม?’
32 อันที่จริงข้าไม่เคยแม้แต่ปล่อยให้คนแปลกหน้าต้องค้างคืนอยู่ตามถนน
เพราะประตูบ้านของข้าเปิดต้อนรับผู้เดินทางอยู่เสมอ
33 หากข้าปิดบังบาปไว้เหมือนที่คนทั่วไปได้ปฏิบัติ[h]
โดยซุกซ่อนความผิดของข้าไว้ในใจ
34 เพราะข้ากลัวฝูงชน
และหวั่นเกรงการดูแคลนจากวงศ์ตระกูลต่างๆ ยิ่งนัก
ข้าก็เลยเก็บตัวเงียบไม่ออกนอกบ้าน
35 (“อยากให้มีใครสักคนฟังข้าตอนนี้! บัดนี้ข้าขอลงชื่อแก้ข้อกล่าวหาของข้า
ขอองค์ทรงฤทธิ์ตอบข้าด้วยเถิด
ขอให้โจทก์เขียนคำฟ้องร้องขึ้นมา
36 แน่ทีเดียว ข้าจะแบกคำฟ้องนั้นไว้บนบ่า
ข้าจะสวมมันไว้เหมือนมงกุฎ
37 ข้าจะแถลงทุกย่างก้าวของข้าแด่พระองค์
ข้าจะเข้าเฝ้าพระองค์เหมือนข้าเป็นเจ้านายองค์หนึ่ง)
38 “หากที่ดินของข้าร้องกล่าวโทษข้า
และทุกรอยไถคราดเปียกชุ่มด้วยน้ำตา
39 หากข้ากินพืชผลโดยไม่จ่ายเงิน
หรือทำร้ายจิตใจผู้เช่า
40 ก็ขอให้หนามงอกขึ้นแทนที่ข้าวสาลี
และวัชพืชงอกแทนข้าวบาร์เลย์”
โยบพูดจบลงตรงนี้
เอลีฮู
32 เพื่อนทั้งสามเลิกโต้ตอบกับโยบ เพราะโยบเห็นว่าตนเป็นคนชอบธรรม 2 แต่เอลีฮูบุตรบาราเคลชาวบุซีในครอบครัวของรามโกรธเคืองโยบที่อ้างว่าตนเองเป็นฝ่ายถูกแทนที่จะเป็นพระเจ้า 3 และเอลีฮูก็โกรธเพื่อนทั้งสามของโยบด้วย เพราะพวกเขาพูดหักล้างโยบไม่ได้แต่ก็ยังปรักปรำโยบ[i] 4 เอลีฮูรอที่จะพูดจนถึงขณะนี้ก็เพราะอายุน้อยกว่าคนอื่นๆ 5 เมื่อเห็นว่าเพื่อนทั้งสามของโยบหมดคำพูดแล้ว เอลีฮูก็โกรธเคืองยิ่งนัก
6 ดังนั้นเอลีฮูบุตรบาราเคลชาวบุซีจึงกล่าวว่า
“ข้าพเจ้าอายุน้อย ส่วนท่านมีอาวุโส
ฉะนั้นข้าพเจ้าจึงยับยั้งอยู่ ไม่กล้าบอกสิ่งที่ตัวเองรู้แก่ท่าน
7 ข้าพเจ้าคิดว่า ‘ควรให้ผู้อาวุโสพูด
ผู้มีประสบการณ์นานปีควรสอนสติปัญญา’
8 แต่ที่จริงเป็นจิตวิญญาณ[j]ในตัวมนุษย์
ลมปราณแห่งองค์ทรงฤทธิ์ทำให้เขามีความเข้าใจ
9 ไม่ใช่คนแก่[k]เท่านั้นที่มีปัญญา
ไม่เพียงคนสูงอายุเท่านั้นที่เข้าใจว่าสิ่งใดถูกต้อง
10 “ฉะนั้นโปรดฟังข้าพเจ้าพูด
ข้าพเจ้าจะบอกสิ่งที่ตัวเองรู้แก่ท่านด้วย
11 ข้าพเจ้าคอยอยู่ขณะที่ท่านพูด
ข้าพเจ้าฟังเหตุผลของพวกท่าน
ขณะที่พวกท่านกำลังสรรหาถ้อยคำมากล่าว
12 ข้าพเจ้าตั้งใจฟังเต็มที่
แต่ไม่มีผู้ใดในพวกท่านพิสูจน์ได้ว่าโยบผิด
ไม่มีใครในพวกท่านตอบคำโต้แย้งของโยบได้
13 อย่าพูดว่า ‘เราได้พบสติปัญญาแล้ว
ขอให้พระเจ้าเป็นผู้พิสูจน์ว่าเขาผิด ไม่ใช่มนุษย์’
14 แต่คำพูดของโยบไม่ได้มุ่งมาที่ข้าพเจ้า
และข้าพเจ้าจะไม่ตอบโยบด้วยคำโต้แย้งของพวกท่าน
15 “พวกเขานั่งอับจนปัญญาไม่มีอะไรจะพูดอีกแล้ว
หมดถ้อยคำที่จะโต้แย้ง
16 ข้าพเจ้าจะต้องคอยต่อไปอีกหรือในเมื่อพวกเขานิ่งเงียบ?
ในเมื่อพวกเขายืนนิ่งไม่มีคำตอบ?
17 ข้าพเจ้าก็ขอพูดด้วย
ขอบอกสิ่งที่ตัวเองรู้ด้วย
18 เพราะข้าพเจ้ามีถ้อยคำอยู่มากมาย
จิตวิญญาณภายในเร่งเร้าให้ข้าพเจ้าพูด
19 ภายในข้าพเจ้าเหมือนเหล้าองุ่นที่ถูกกักเก็บไว้
เหมือนถุงหนังเหล้าองุ่นใหม่ที่กำลังจะปริ
20 ข้าพเจ้าจำเป็นต้องพูดเพื่อจะได้ผ่อนคลาย
ข้าพเจ้าจำต้องเอ่ยปากตอบ
21 ข้าพเจ้าจะไม่ลำเอียงเข้าข้างใคร
จะไม่ประจบสอพลอผู้ใด
22 เพราะหากข้าพเจ้าประจบสอพลอเก่ง
องค์พระผู้สร้างจะทรงนำข้าพเจ้าออกไปในไม่ช้า
33 “โยบเอ๋ย บัดนี้โปรดตั้งใจฟัง
จงเอาใจใส่ทุกถ้อยคำของข้าพเจ้าเถิด
2 ข้าพเจ้าพร้อมแล้วที่จะเอ่ยปาก
คำพูดมารออยู่ที่ปลายลิ้นของข้าพเจ้าแล้ว
3 ถ้อยคำของข้าพเจ้ามาจากใจที่เที่ยงธรรม
ริมฝีปากของข้าพเจ้าพูดในสิ่งที่ข้าพเจ้ารู้อย่างจริงใจ
4 พระวิญญาณของพระเจ้าได้สร้างข้าพเจ้า
ลมปราณขององค์ทรงฤทธิ์ให้ชีวิตแก่ข้าพเจ้า
5 ฉะนั้นจงตอบข้าพเจ้ามาเถิด หากท่านตอบได้
จงเตรียมตัวของท่านและเผชิญหน้ากับข้าพเจ้า
6 ข้าพเจ้าก็เป็นเหมือนท่านต่อหน้าพระเจ้า
ข้าพเจ้าเองก็เกิดมาจากดินเช่นกัน
7 ท่านไม่ต้องตื่นกลัวข้าพเจ้า
และข้าพเจ้าก็ไม่ใช่ผู้ที่จะเล่นงานท่านอย่างหนัก
8 “แต่ท่านได้พูดให้ข้าพเจ้าได้ยิน
ข้าพเจ้าได้ฟังคำที่ท่านกล่าวนั้น
9 ท่านกล่าวว่า ‘ข้าพเจ้าบริสุทธิ์ปราศจากบาป
ข้าพเจ้าเป็นคนสะอาดและไม่มีความผิด
10 ถึงกระนั้นพระเจ้าก็เอาผิดข้าพเจ้า
พระองค์ทรงนับว่าข้าพเจ้าเป็นศัตรู
11 พระองค์ทรงจับข้าพเจ้าใส่ขื่อคา
และทรงเฝ้าดูทุกหนทางของข้าพเจ้าอย่างใกล้ชิด’
12 “แต่ข้าพเจ้าขอบอกว่าท่านผิดในข้อนี้
เพราะพระเจ้าทรงยิ่งใหญ่กว่ามนุษย์
13 ทำไมท่านบ่นต่อว่าพระองค์
ว่าไม่ทรงตอบมนุษย์[l]?
14 ที่จริงพระเจ้าตรัสด้วยวิธีใดวิธีหนึ่ง
แม้ว่ามนุษย์ไม่สามารถประจักษ์ได้
15 ในความฝัน ในนิมิตยามค่ำคืน
เมื่อมนุษย์หลับสนิท
ขณะเคลิ้มอยู่บนที่นอน
16 พระองค์อาจจะตรัสข้างหูของเขา
และตักเตือนว่ากล่าวให้เขากลัว
17 เพื่อหันเหมนุษย์ไม่ให้ทำผิด
และไม่ให้หยิ่งจองหอง
18 เพื่อรักษาจิตวิญญาณของเขาจากเหวลึก[m]
และเพื่อไม่ให้เขาพินาศด้วยคมดาบ[n]
19 “หรือทรงตีสอนมนุษย์โดยให้เขานอนจมอยู่ในความเจ็บปวด
ให้เขาเจ็บปวดรวดร้าวในกระดูกอยู่เนืองๆ
20 จนตัวเขาเองเอียนอาหาร
และจิตใจของเขาเกลียดอาหารอันโอชะที่สุด
21 จนเขาซูบผอม
เหลือแต่หนังหุ้มกระดูก
22 วิญญาณของเขาเฉียดใกล้เหวลึก[o]
และชีวิตของเขาเข้าใกล้ทูตแห่งความตาย[p]
23 “ถึงกระนั้นหากมีทูตของพระเจ้าจากหนึ่งในพันอยู่เคียงข้างเขา
ทำหน้าที่เป็นคนกลางให้
เพื่อแจ้งสิ่งที่ถูกต้องแก่เขา
24 เพื่อเมตตาสงสารเขาและทูลว่า
‘ขอทรงโปรดไว้ชีวิตเขาไม่ให้ลงไปยังเหวลึก[q]
ข้าพระองค์ได้พบค่าไถ่สำหรับเขาแล้ว’
25 เมื่อนั้นเนื้อหนังของเขาจะกลับฟื้นคืนสภาพดีเหมือนกายเด็ก
และได้กำลังวังชาในวัยหนุ่มคืนมาอีก
26 เขาอธิษฐานต่อพระเจ้าและได้รับความโปรดปรานจากพระองค์
เขาได้เห็นพระพักตร์พระเจ้าและโห่ร้องด้วยความชื่นชมยินดี
พระองค์ทรงรับเขาคืนสู่ฐานะผู้ชอบธรรม
27 เขาจะกลับมาบอกเพื่อนพ้องว่า
‘ข้าได้ทำบาปและได้บิดเบือนความถูกต้อง
แต่ก็ยังไม่ต้องรับโทษอันสาสม
28 พระเจ้าทรงไถ่จิตวิญญาณของข้าไว้ ไม่ให้ต้องลงสู่เหวลึก
ข้าจะมีชีวิตอยู่ชื่นชมความสว่างต่อไป’
29 “พระเจ้าทรงกระทำสิ่งเหล่านี้ต่อมนุษย์
ถึงสองครั้ง หรือถึงสามครั้ง
30 เพื่อช่วยกู้จิตวิญญาณของเขาจากเหวลึก
ให้เขาได้รับแสงสว่างแห่งชีวิต
31 “โยบเอ๋ย โปรดตั้งใจฟังข้าพเจ้าเถิด
ขอให้นิ่งสงบ และข้าพเจ้าจะพูด
32 หากท่านมีอะไรจะพูดก็ขอให้บอก
พูดออกมาเถิด เพราะข้าพเจ้าอยากให้ท่านได้รับความกระจ่าง
33 แต่หากไม่มี ก็จงฟังข้าพเจ้า
โปรดเงียบ และข้าพเจ้าจะสอนสติปัญญาแก่ท่าน”
34 แล้วเอลีฮูกล่าวว่า
2 “ฟังข้าพเจ้าเถิด ท่านผู้มีปัญญา
โปรดฟังข้าพเจ้า ท่านผู้รอบรู้
3 เพราะหูลิ้มลองถ้อยคำ
เหมือนลิ้นลิ้มรสอาหาร
4 ขอให้พวกเราแยกแยะเองว่าอะไรถูก
ขอให้พวกเราเรียนรู้ด้วยกันว่าสิ่งใดดี
5 “โยบกล่าวว่า ‘ข้าไม่มีความผิด
แต่พระเจ้าไม่ให้ความยุติธรรมแก่ข้า
6 แม้ข้าเองเป็นฝ่ายถูก
ก็ยังถูกหาว่าโกหก
แม้ข้าไม่ได้ทำผิด
ก็ยังถูกลงโทษเป็นแผลรักษาไม่หาย’
7 มีใครบ้างที่เป็นเหมือนโยบ
ผู้ดื่มด่ำความเย้ยหยันเหมือนดื่มน้ำ?
8 เขาเข้าเป็นพวกกับคนชั่ว
เขาคบค้ากับคนเลว
9 เพราะเขาพูดว่า ‘มนุษย์ไม่ได้ประโยชน์อะไร
จากการพยายามทำให้พระเจ้าพอพระทัย’
10 “ดังนั้นจงฟังข้าพเจ้าเถิด ท่านผู้มีความเข้าใจ
ไม่มีวันที่พระเจ้าจะทำชั่ว
หรือองค์ทรงฤทธิ์จะทำผิด
11 พระองค์ทรงสนองแก่มนุษย์ตามสิ่งที่เขาได้ทำ
ทรงให้เขาได้รับสมกับความประพฤติของเขา
12 เป็นไปไม่ได้ที่พระเจ้าจะทรงกระทำผิด
หรือองค์ทรงฤทธิ์จะบิดเบือนความยุติธรรม
13 ใครหนอแต่งตั้งพระองค์ไว้เหนือโลก?
ใครหนอให้พระองค์ควบคุมดูแลโลกทั้งหมด?
14 ถ้าหากพระองค์ตั้งพระทัย
จะถอนจิตวิญญาณ[r]และลมปราณของพระองค์ไปเสีย
15 มวลมนุษยชาติก็จะพินาศสิ้น
มนุษย์จะกลับกลายเป็นฝุ่นธุลีดังเดิม
16 “หากท่านมีความเข้าใจ
ขอจงฟังถ้อยคำของข้าพเจ้า
17 ผู้ที่ชังความยุติธรรมจะปกครองได้หรือ?
ท่านจะกล่าวโทษองค์ผู้เที่ยงธรรมและทรงฤทธิ์หรือ?
18 ไม่ใช่พระองค์หรือที่ตรัสกับกษัตริย์ว่า ‘พวกเจ้าไม่มีค่า’
และตรัสกับบรรดาเจ้านายว่า ‘พวกเจ้าชั่วช้า’?
19 พระองค์ไม่ได้ลำเอียงเข้าข้างเจ้านาย
หรือเห็นแก่คนรวยมากกว่าคนจน
เพราะพวกเขาล้วนเป็นฝีพระหัตถ์ของพระองค์
20 กลางดึกพวกเขาตายอย่างฉับพลัน
ผู้คนสั่นสะท้านแล้วตายจากไป
บรรดาผู้เกรียงไกรถูกคร่าไป ไม่ใช่ด้วยน้ำมือมนุษย์
21 “พระเนตรของพระเจ้าเฝ้าดูวิถีทางของมนุษย์
ทรงเห็นทุกย่างก้าวของพวกเขา
22 ไม่มีที่มืดและเงาทึบใดๆ
ที่คนชั่วจะซ่อนตัวได้
23 พระเจ้าไม่จำเป็นต้องใช้เวลาสอบสวนมนุษย์อีก
พวกเขาจึงไม่ต้องมาต่อหน้าพระองค์เพื่อรับการตัดสิน
24 พระองค์ทรงทำลายผู้เกรียงไกรลงโดยไม่ต้องไต่สวน
และทรงตั้งคนอื่นแทนพวกเขา
25 เพราะทรงสังเกตเห็นการกระทำของพวกเขา
ทรงคว่ำพวกเขาลงในชั่วข้ามคืน และพวกเขาก็ถูกขยี้แหลกลาญ
26 พระองค์ทรงลงโทษพวกเขาต่อหน้าทุกๆ คน
โทษฐานที่ทำความชั่ว
27 เพราะพวกเขาหันเหจากการติดตามพระเจ้า
ไม่สนใจวิถีทางใดๆ ของพระองค์
28 พวกเขาทำให้เสียงร่ำร้องของผู้ยากไร้มาถึงพระเจ้า
พระองค์จึงทรงได้ยินเสียงร้องของผู้ขัดสน
29 แต่หากพระองค์ทรงนิ่งอยู่ ใครจะกล่าวโทษพระองค์ได้?
หากทรงซ่อนพระพักตร์ไว้ ใครเล่าจะเห็นพระองค์?
แต่พระองค์ทรงอยู่เหนือมนุษย์และเหนือประชาชาติด้วย
30 เพื่อทรงป้องกันไม่ให้คนอธรรมขึ้นปกครอง
ไม่ให้เขาวางตาข่ายดักประชาชน
31 “หากผู้หนึ่งทูลพระเจ้าว่า ‘ข้าพระองค์ผิดไปแล้ว
แต่จะไม่ทำผิดอีก
32 ที่ยังไม่รู้ว่าผิดตรงไหน ก็ขอทรงชี้แนะสั่งสอน
หากข้าพระองค์ได้ทำผิดไป จะไม่ทำเช่นนั้นอีก’
33 แล้วควรหรือที่พระเจ้าจะตอบสนองตามที่ท่านกำหนด
ในเมื่อท่านไม่ยอมกลับใจสำนึกผิด?
ท่านต้องเป็นฝ่ายตัดสินใจ ไม่ใช่ข้าพเจ้า
ฉะนั้นโปรดบอกสิ่งที่ท่านทราบแก่ข้าพเจ้า
34 “บรรดาผู้ที่มีความเข้าใจ
คนมีปัญญาที่ได้ฟังข้าพเจ้า พูดกับข้าพเจ้าว่า
35 ‘โยบพูดโดยขาดความรู้
คำพูดของโยบขาดความเข้าใจที่ลึกซึ้ง’
36 ขอให้โยบถูกทดสอบจนถึงที่สุดเถิด
เพราะเขาตอบเหมือนคนชั่วร้าย!
37 นอกเหนือจากทำบาปแล้ว เขายังกบฏอีก
เขาตบมือเยาะเย้ยอยู่ในหมู่พวกเรา
และพรั่งพรูคำพูดต่อว่าพระเจ้า”
35 แล้วเอลีฮูกล่าวต่อไปว่า
2 “ท่านคิดว่ายุติธรรมแล้วหรือ?
ที่ท่านพูดว่า ‘พระเจ้าจะทรงลบล้างข้อกล่าวหาทั้งหมดของข้าพเจ้า’[s]
3 แต่ท่านก็ยังทูลพระองค์ว่า ‘มีประโยชน์อะไรสำหรับข้าพเจ้า[t]
และข้าพเจ้าจะได้อะไรจากการไม่ทำบาป?’
4 “ข้าพเจ้าขอตอบท่าน
และเพื่อนๆ ที่อยู่กับท่านด้วย
5 จงมองขึ้นไปบนฟ้าสวรรค์
ดูหมู่เมฆสูงโพ้นเหนือท่านสิ
6 หากท่านทำบาปจะมีผลอะไรต่อพระองค์?
แม้ท่านทำบาปมากมายจะกระทบกระเทือนพระองค์อย่างไร?
7 หากท่านชอบธรรม ท่านได้ถวายอะไรแด่พระองค์หรือ?
พระองค์ทรงรับสิ่งใดจากมือของท่านหรือ?
8 ความชั่วร้ายของท่านก็มีผลต่อคนอย่างท่านเท่านั้น
และความชอบธรรมของท่านก็มีผลต่อมนุษย์เท่านั้น
9 “มนุษย์ร้องโอดครวญเมื่อถูกกดขี่ข่มเหง
วิงวอนขอให้หลุดจากมือผู้มีอำนาจ
10 แต่ไม่มีใครกล่าวว่า ‘พระเจ้าพระผู้สร้างของข้าอยู่ที่ไหน?
ผู้ประทานบทเพลงในยามค่ำคืน
11 ผู้ทรงสอนเรามากกว่า[u]สัตว์ทั้งหลายในโลก
และทำให้เราฉลาดกว่า[v]นกในอากาศ’
12 พระองค์ไม่ได้ทรงตอบเมื่อมนุษย์ร้องทุกข์
เนื่องจากความหยิ่งผยองของคนชั่ว
13 แท้ที่จริงพระเจ้าไม่ทรงฟังคำวิงวอนไร้สาระของเขา
องค์ทรงฤทธิ์ไม่สนพระทัยที่จะฟัง
14 ฉะนั้นพระองค์จะยิ่งไม่ทรงรับฟัง
เมื่อท่านกล่าวว่าท่านไม่เห็นพระองค์
เมื่อกล่าวว่าคดีความของท่านอยู่ต่อหน้าพระองค์
และท่านต้องรอคอยพระองค์
15 และยิ่งกว่านั้นเมื่อท่านกล่าวว่าพระองค์ไม่เคยลงโทษด้วยพระพิโรธ
และพระองค์ไม่สังเกตดูความชั่วร้าย[w]แม้แต่น้อย
16 ดังนั้นโยบเปิดปากกล่าวอย่างไร้สาระ
และพูดมากโดยปราศจากความรู้”
36 เอลีฮูกล่าวต่อไปว่า
2 “ขอให้รับฟังอีกสักหน่อย และข้าพเจ้าจะแสดงให้ท่านเห็นว่า
มีอย่างอื่นอีกมากมายที่ต้องพูดแทนพระเจ้า
3 ข้าพเจ้าได้ความรู้มาจากแดนไกล
ข้าพเจ้าจะชี้แจงให้ฟังว่าความยุติธรรมนั้นเป็นของพระผู้สร้างของข้าพเจ้า
4 มั่นใจเถิดว่าคำพูดของข้าพเจ้าเป็นความจริง
ผู้รอบรู้แท้จริงอยู่กับท่านแล้ว
5 “พระเจ้าทรงฤทธิ์ แต่ก็ไม่ได้ทรงเหยียดหยามผู้ใด
พระองค์ทรงฤทธิ์และแน่วแน่ในพระประสงค์
6 พระองค์ไม่ทรงปล่อยให้คนชั่วมีชีวิตอยู่
แต่ประทานสิทธิ์ให้แก่ผู้ที่ทุกข์ทรมาน
7 พระเนตรของพระองค์ไม่หันไปจากคนชอบธรรม
แต่ทรงให้เขานั่งบนบัลลังก์ร่วมกับเหล่ากษัตริย์
และเชิดชูเขาตลอดไป
8 แต่หากมนุษย์ถูกพันธนาการ
ถูกมัดด้วยบ่วงทุกข์ทรมาน
9 พระองค์ก็ตรัสบอกพวกเขาว่าพวกเขาได้ทำอะไรลงไป
ว่าพวกเขาทำบาปด้วยความผยองอย่างไรบ้าง
10 พระองค์ทรงทำให้พวกเขารับฟังการเตือนสอน
และทรงบัญชาให้พวกเขากลับใจจากความชั่วร้าย
11 หากพวกเขาเชื่อฟังและปรนนิบัติพระเจ้า
พวกเขาจะใช้ชีวิตที่เหลือด้วยความเจริญรุ่งเรือง
และปีเดือนของพวกเขาจะเป็นที่อิ่มเอมใจ
12 แต่หากพวกเขาไม่ยอมฟัง
พวกเขาจะพินาศด้วยคมดาบ[x]
และตายโดยปราศจากความรู้
13 “คนอธรรมเก็บความขุ่นเคืองไว้ในใจ
แม้เมื่อพระองค์ทรงล่ามพวกเขาไว้ พวกเขาก็ไม่ร้องขอความช่วยเหลือ
14 พวกเขาเสียชีวิตตั้งแต่วัยฉกรรจ์
ตายในหมู่ผู้ชายขายตัวตามสถานบูชา
15 แต่พระเจ้าทรงกอบกู้ผู้ที่ตกอยู่ในห้วงทุกข์
พระองค์ตรัสกับเขายามทุกข์ลำเค็ญ
16 “พระองค์ทรงเกลี้ยกล่อมท่านให้ออกจากความทุกข์ยาก
มายังสถานที่กว้างขวางไร้ข้อจำกัด
มาสู่โต๊ะอาหารอันน่าอภิรมย์ของท่านซึ่งเพียบพร้อมด้วยอาหารอันโอชะ
17 แต่บัดนี้ท่านมัวแต่หมกมุ่นอยู่กับการพิพากษาโทษอันควรแก่คนชั่วร้าย
พระอาญาและความยุติธรรมจู่โจมจับท่านแล้ว
18 ระวังเถิด อย่าให้ผู้ใดล่อลวงท่านด้วยทรัพย์สมบัติ
อย่าให้สินบนก้อนใหญ่ทำให้ท่านเขวไป
19 ทรัพย์สินหรือความทุ่มเทเพียรพยายามใดๆ ของท่านนั้น
จะช่วยค้ำชูท่านไม่ให้ตกอยู่ในความทุกข์ได้หรือ?
20 อย่าปรารถนายามค่ำคืน
เพื่อจะพรากผู้คนจากเหย้าเรือน[y]
21 จงระมัดระวังที่จะไม่หันไปหาความชั่วร้าย
ซึ่งดูเหมือนท่านเต็มใจจะเลือกเอามากกว่าความทุกข์ทรมาน
22 “ฤทธิ์อำนาจของพระเจ้าเป็นที่ยกย่องเทิดทูน
ผู้ใดเล่าเป็นครูเสมอเหมือนพระองค์?
23 ใครจะบงการวิถีทางของพระองค์ได้
หรือกล่าวกับพระองค์ว่า ‘พระองค์ทรงกระทำผิด’?
24 อย่าลืมยกย่องพระราชกิจของพระเจ้า
ซึ่งมนุษย์ร้องเพลงสดุดี
25 มวลมนุษยชาติได้เห็นพระราชกิจเหล่านั้น
เหล่ามนุษย์เพ่งดูแต่ไกล
26 พระเจ้าทรงยิ่งใหญ่นัก! เกินกว่าที่เราจะเข้าใจ
พระองค์ดำรงอยู่มานานเท่าใด เกินกว่าเราจะรู้
27 “พระองค์ทรงรวบรวมหยดน้ำขึ้นไป
แล้วกลั่นเป็นฝนรดธารน้ำ[z]
28 หมู่เมฆเทความชุ่มชื้นลงมาให้
และโปรยปรายสายฝนแก่มนุษยชาติอย่างเหลือเฟือ
29 ผู้ใดเล่าสามารถเข้าใจได้ถ่องแท้ถึงการกระจายตัวของหมู่เมฆ
และการคำรนคำรามของฟ้าผ่า?
30 จงดูวิธีการที่ทรงกระจายฟ้าแลบรอบพระองค์
อาบที่ลึกแห่งท้องทะเล
31 โดยวิธีนี้พระองค์ทรงปกครอง[aa]มวลประชาชาติ
และประทานอาหารอย่างอุดมสมบูรณ์
32 พระองค์ทรงกุมสายฟ้าแลบไว้ในพระหัตถ์
และบงการให้มันผ่าตรงจุดที่หมายไว้
33 ฟ้าคำรนของพระองค์ประกาศว่าพายุกำลังจะมา
แม้แต่ฝูงสัตว์ก็บอกให้รู้ว่าพายุใกล้เข้ามาแล้ว[ab]
37 “จิตใจของข้าพเจ้าสั่นระรัว
และสะทกสะท้านด้วยข้อนี้
2 ฟังสิ! ฟังเสียงกัมปนาทของพระองค์
เสียงดังก้องจากพระโอษฐ์ของพระองค์
3 พระองค์ทรงปล่อยฟ้าแลบไปทั่วใต้ฟ้าสวรรค์
และทรงส่งออกไปไกลถึงสุดปลายแผ่นดินโลก
4 ติดตามด้วยพระสุรเสียงกึกก้อง
เป็นเสียงกระหึ่มด้วยเดชานุภาพ
เมื่อพระองค์ทรงเปล่งพระสุรเสียง
พระองค์ก็ไม่ได้ทรงหน่วงเหนี่ยวสิ่งใดไว้
5 พระสุรเสียงของพระเจ้าดังกึกก้องอย่างน่าอัศจรรย์
ทรงกระทำสิ่งยิ่งใหญ่เกินกว่าเราจะเข้าใจ
6 พระองค์ทรงบัญชาหิมะว่า ‘จงตกลงมาบนแผ่นดินโลก’
และตรัสกับสายฝนว่า ‘จงเทลงมาอย่างหนัก’
7 พระเจ้าทรงทำให้มนุษย์หยุดจากงานของพวกเขา[ac]
เพื่อมนุษย์ทั้งปวงที่พระองค์ทรงสร้างขึ้นจะรู้ถึงพระราชกิจของพระองค์
8 สัตว์ทั้งหลายเข้าสู่ที่กำบัง
พักอยู่ในถ้ำของมัน
9 พายุออกมาจากแหล่งของมัน
ความหนาวเย็นมากับลมกล้า
10 ลมหายใจของพระเจ้าทรงทำให้เกิดน้ำแข็ง
ทรงทำให้ห้วงน้ำกว้างใหญ่แข็งตัว
11 พระองค์ทรงบรรจุความชุ่มชื้นไว้ในเมฆ
และทรงกระจายสายฟ้าแลบออกไป
12 เมื่อพระองค์ทรงบัญชา เมฆก็หมุนวนเหนือพื้นผิวของทั้งโลก
มันทำทุกอย่างตามที่ทรงบัญชา
13 พระองค์ทรงส่งเมฆมาเพื่อลงโทษมนุษย์
หรือเพื่อรดแผ่นดินโลกของพระองค์[ad]และแสดงความรักมั่นคงของพระองค์
14 “ฟังเถิด โยบเอ๋ย
จงนิ่งพิจารณาสิ่งอัศจรรย์ทั้งปวงของพระเจ้า
15 ท่านทราบไหมว่า พระเจ้าทรงควบคุมเมฆ
และทำให้ฟ้าแลบได้อย่างไร?
16 ท่านทราบไหมว่าเมฆลอยอยู่ได้อย่างไร?
ท่านทราบการอัศจรรย์ต่างๆ ของพระองค์ผู้ทรงรู้ทุกสิ่งอย่างถ่องแท้หรือ?
17 ท่านผู้ร้อนอึดอัดอยู่ในเสื้อผ้า
เมื่อแผ่นดินโลกซบเซาอยู่เพราะลมใต้
18 ท่านสามารถช่วยพระเจ้าคลี่ท้องฟ้าออกมา
ซึ่งแข็งเหมือนแผ่นทองสัมฤทธิ์ขัดเงาได้หรือ?
19 “บอกเราสิว่าเราจะทูลพระองค์ว่าอย่างไรได้
เราไม่สามารถแถลงคดีของเราเนื่องจากความมืดของเรา
20 จะทูลพระองค์ได้หรือว่าข้าพระองค์อยากจะพูด?
มีใครบ้างขอให้ตนเองถูกกลืนกิน?
21 ไม่มีใครสามารถมองดูดวงอาทิตย์ได้
ซึ่งส่องแสงเจิดจ้าในท้องฟ้า
ยามที่ลมพัดเมฆผ่านพ้นไป
22 พระเจ้าเสด็จมาจากทิศเหนือด้วยแสงทองเจิดจรัส
พระองค์เสด็จมาด้วยพระบารมีอันน่าครั่นคร้าม
23 องค์ทรงฤทธิ์สูงส่งเกินกว่าเราจะเอื้อมถึง และฤทธิ์อำนาจของพระองค์เป็นที่เทิดทูน
ถึงกระนั้นโดยความชอบธรรมและความยุติธรรม พระองค์ไม่ได้ทรงกดขี่ข่มเหง
24 ฉะนั้นมวลมนุษย์จึงยำเกรงพระองค์
เพราะพระองค์ทรงดูแลทุกคนที่มีปัญญาไม่ใช่หรือ?[ae]”
องค์พระผู้เป็นเจ้า
38 แล้วองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงตอบโยบออกมาจากพายุว่า
2 “นี่ใครหนอที่บดบังคำปรึกษาของเรา
ด้วยถ้อยคำที่ปราศจากความรู้?
3 จงคาดเอวอย่างลูกผู้ชาย
เราจะถาม แล้วเจ้าจงตอบ
4 “เจ้าอยู่ที่ไหนเมื่อเราวางฐานรากของโลก?
หากเจ้าเข้าใจ จงบอกเรามาเถิด
5 ใครที่กำหนดขนาดให้โลก? เจ้าย่อมรู้แน่นอน!
ใครหนอเป็นผู้ขึงเชือกวัดรอบโลก?
6 อะไรที่ค้ำจุนฐานรากของมันไว้
และใครเป็นผู้วางศิลามุมเอกของมัน
7 ขณะที่เหล่าดวงดาวแห่งรุ่งอรุณขับขานบทเพลงด้วยกัน
และทูตสวรรค์ทั้งมวล[af]โห่ร้องด้วยความชื่นชมยินดี?
8 “ใครเป็นผู้ปิดประตูกั้นทะเล
เมื่อมันพุ่งขึ้นมาเหมือนออกจากครรภ์
9 เมื่อเราใช้เมฆเป็นอาภรณ์ของมัน
ใช้ความมืดทึบห่อหุ้มมัน
10 เมื่อเรากำหนดขอบเขตจำกัดมันไว้
ตั้งประตูและดาลกั้นไว้
11 เมื่อเราพูดว่า ‘เจ้าไปได้ไกลแค่นี้ จะไปไกลกว่านี้ไม่ได้
คลื่นคะนองของเจ้าจะหยุดอยู่ตรงนี้แหละ’?
12 “เจ้าเคยบงการรุ่งอรุณ
หรือกำหนดตำแหน่งให้แก่รุ่งสาง
13 เพื่อให้มันสาดแสงไปถึงชายขอบแผ่นดิน
และสลัดคนชั่วออกไปใช่ไหม?
14 แผ่นดินเป็นรูปเป็นร่างขึ้นมาเหมือนดินเหนียวซึ่งถูกประทับตรา
ลักษณะของมันโดดเด่นออกมาเหมือนของเสื้อผ้าอาภรณ์
15 คนชั่วร้ายไม่ได้รับความสว่าง
และแขนที่เงื้อง่าของเขาก็ถูกหัก
16 “เจ้าเคยเดินทางไปถึงที่ตาน้ำของห้วงสมุทร
หรือเดินในห้วงลึกของมันไหม?
17 ประตูของความตายเคยเผยให้เจ้าเห็นบ้างไหม?
เคยเห็นประตูแห่งเงามัจจุราช[ag]ไหม?
18 เจ้าหยั่งรู้ความกว้างใหญ่ของโลกหรือไม่?
หากเจ้ารู้ทุกสิ่งนี้ จงบอกเรามาเถิด
19 “หนทางที่นำไปสู่ที่อยู่ของความสว่างอยู่ที่ไหน?
และความมืดพำนักอยู่ที่ไหน?
20 เจ้านำพวกมันกลับไปยังที่ของพวกมันได้หรือ?
เจ้ารู้จักเส้นทางไปยังที่อยู่ของพวกมันหรือ?
21 แน่ละ เจ้าย่อมรู้ เพราะเจ้าเกิดมาแล้ว!
และอยู่มานานหลายปีแล้ว!
22 “เจ้าเคยไปเยือนคลังหิมะหรือ?
เคยเห็นแหล่งลูกเห็บใช่ไหม?
23 ซึ่งเราสงวนไว้เพื่อยามมีปัญหา
สำหรับใช้ในศึกสงคราม
24 ทางไปสู่จุดที่ฟ้าแลบกระจายตัวอยู่ที่ไหน?
หรือที่ลมตะวันออกพัดกระจายไปทั่วโลกอยู่ที่ไหน?
25 ใครขุดช่องให้ห่าฝน
และทำทางให้พายุฟ้าคะนอง
26 เพื่อรดดินแดนซึ่งไม่มีใครอยู่อาศัย
รดถิ่นกันดารซึ่งไม่มีใครอยู่
27 เพื่อให้ความชุ่มชื้นแก่ดินแดนอันแห้งแล้งแตกระแหง
และให้หญ้าอ่อนผลิขึ้นมา?
28 ฝนมีพ่อหรือ?
ใครให้กำเนิดหยาดน้ำค้าง?
29 น้ำแข็งออกมาจากครรภ์ของผู้ใด?
ใครให้กำเนิดน้ำค้างแข็งแห่งฟ้าสวรรค์?
30 น้ำนั้นแข็งตัวเหมือนศิลาเมื่อใด?
พื้นผิวแห่งห้วงน้ำลึกแข็งตัวเมื่อใด?
31 “เจ้ามัดดาวลูกไก่ที่สวยงาม[ah]ให้เป็นกลุ่มก้อนได้หรือ?
หรือคลายเชือกให้ดาวไถได้หรือ?
32 เจ้าสามารถนำหมู่ดาวต่างๆ มาตามฤดูกาลของมัน[ai]ได้หรือ?
หรือนำกลุ่มดาวจระเข้พร้อมทั้งบริวารของมันให้โคจรได้หรือ?
33 เจ้ารู้กฎระเบียบของจักรวาลหรือ?
เจ้าตั้งอาณาจักรของพระเจ้า[aj]เหนือโลกได้หรือ?
34 “เจ้าสามารถร้องบอกเมฆ
และทำให้มันรินฝนลงมาจนตัวเจ้าเปียกชุ่มได้หรือ?
35 เจ้าบันดาลให้เกิดฟ้าแลบได้หรือ?
มันรายงานต่อเจ้าหรือว่า ‘พวกเราอยู่ที่นี่’?
36 ใครเป็นผู้ให้สติปัญญาแก่จิตใจ[ak]
หรือให้ความเข้าใจแก่ความคิด[al]?
37 ใครมีปัญญาพอที่จะนับจำนวนเมฆได้ครบ?
ใครเป็นผู้คว่ำคนโทน้ำแห่งฟ้าสวรรค์ลงมา
38 เมื่อฝุ่นธุลีแห้งกรัง
และก้อนดินเกาะกันแน่น?
39 “เจ้าล่าเหยื่อให้นางสิงห์
และเลี้ยงดูสิงโตที่หิวโหยหรือ?
40 เมื่อมันนอนอยู่ในถ้ำ
หรือซุ่มรออยู่ในพงรก
41 ใครหาอาหารให้นกกา
เมื่อลูกอ่อนของมันร้องต่อพระเจ้า
และกระเสือกกระสนเพราะขาดอาหาร?
39 “เจ้ารู้หรือไม่ว่าแพะภูเขาตกลูกเมื่อใด?
เจ้าเฝ้าดูกวางตัวเมียคลอดลูกอ่อนหรือ?
2 เจ้ารู้หรือไม่ว่ามันตั้งท้องกี่เดือน?
เจ้ารู้เวลาที่มันตกลูกหรือ?
3 พวกมันหมอบตัวลงให้กำเนิดลูกอ่อน
การเจ็บท้องคลอดของมันสิ้นสุดลง
4 ลูกอ่อนของมันเติบโตและแข็งแรงขึ้นในป่า
แล้วก็จากไปไม่กลับมาอีก
5 “ใครปล่อยลาป่าให้เป็นอิสระ?
ใครแก้เชือกที่ผูกมันไว้?
6 เราได้ให้ที่กันดารไว้เป็นบ้านของมัน
และให้ย่านดินโป่งเป็นที่อาศัยของมัน
7 มันหัวเราะเยาะเสียงอึกทึกของตัวเมือง
และมันไม่ได้ยินเสียงตะโกนของผู้ขับขี่
8 แนวเขาเป็นทุ่งหญ้าของมัน
ที่นั่นมันเสาะหาหญ้าเขียวทุกยอด
9 “วัวป่าจะยอมรับใช้เจ้าหรือ?
มันจะอยู่ข้างๆ รางหญ้าของเจ้าในยามค่ำคืนหรือ?
10 เจ้าสามารถจับมันสนตะพายมาลากไถให้เจ้าหรือ?
มันจะยอมไถที่ลุ่มตามเจ้าไปหรือ?
11 เจ้าจะพึ่งพากำลังมหาศาลของมันหรือ?
เจ้าจะมอบงานหนักให้มันทำหรือ?
12 เจ้าจะเชื่อใจให้มันนำเมล็ดข้าวของเจ้า
มายังลานนวดข้าวหรือ?
13 “นกกระจอกเทศกระพือปีกอย่างร่าเริง
แต่ปีกของมันไม่อาจเทียบกับปีกและขนของนกกระสาดำได้
14 มันวางไข่ที่พื้น
และปล่อยให้อุ่นอยู่ในทราย
15 ไม่สนใจว่าอาจจะถูกเหยียบแตก
หรือสัตว์ป่าจะมาเหยียบย่ำ
16 มันทำกับลูกอ่อนอย่างดุดัน ราวกับว่านั่นไม่ใช่ลูก
และมันไม่ใส่ใจแม้ว่าจะเหนื่อยเปล่า
17 เพราะพระเจ้าไม่ได้ให้สติปัญญาแก่มัน
หรือให้มันรู้จักคิด
18 แต่เมื่อมันกางปีกวิ่งไป
มันก็ยิ้มเยาะม้าและผู้ขี่
19 “เจ้าให้พละกำลังแก่ม้า
และให้แผงคอปลิวไสวแก่มันหรือ?
20 เจ้าให้มันเผ่นโผนเหมือนตั๊กแตนหรือ?
เสียงหายใจของมันน่าสะพรึงกลัว
21 มันตะกุยดิน ปีติยินดีในพละกำลังของมัน
และตรงเข้าไปในการต่อสู้
22 มันหัวเราะเยาะความกลัว ไม่เกรงสิ่งใด
และมันไม่วิ่งหนีคมดาบ
23 ลูกธนูพุ่งมาทางด้านข้าง
พร้อมกับทวนและหอกที่ส่องประกายวาววับ
24 มันตะกุยพื้นดินอย่างดุเดือด
และยืนนิ่งอยู่ไม่ได้เมื่อเสียงแตรดังขึ้น
25 เมื่อได้ยินเสียงแตร มันร้อง ‘ฮี่แฮ่!’
มันได้กลิ่นสงครามแต่ไกล
เสียงโห่ร้องออกศึก เสียงตะโกนของนายทัพ
26 “เหยี่ยวบินขึ้นฟ้าและคลี่ปีกบินไปทางใต้
ด้วยปัญญาของเจ้าหรือ?
27 นกอินทรีทะยานขึ้นและสร้างรังบนที่สูง
ตามคำสั่งของเจ้าหรือ?
28 มันอาศัยอยู่บนหน้าผาและพักอยู่ที่นั่นยามค่ำคืน
ชะโงกผาคือที่กำบังแข็งแกร่งของมัน
29 จากที่นั่นมันเสาะหาอาหาร
ตาของมันมองเห็นเหยื่อแต่ไกล
30 ลูกของมันขยอกเลือดลงไปในคอ
มันไปทุกแห่งที่มีคนถูกเข่นฆ่า”
40 องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสกับโยบว่า
2 “ผู้ที่โต้แย้งกับองค์ทรงฤทธิ์มีอะไรจะแก้ไขพระองค์หรือ?
ให้คนที่ฟ้องร้องพระเจ้าตอบมาสิ!”
3 โยบจึงกราบทูลองค์พระผู้เป็นเจ้าว่า
4 “ข้าพระองค์ไม่คู่ควร แล้วข้าพระองค์จะทูลตอบพระองค์ได้อย่างไร?
ข้าพระองค์เอามือปิดปากไว้
5 ข้าพระองค์พูดไปแล้ว แต่ข้าพระองค์ไม่มีคำตอบ
พูดไปหลายครั้งหลายหนแล้ว ข้าพระองค์จะไม่พูดอีก”
6 แล้วองค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสกับโยบจากพายุว่า
7 “จงคาดเอวไว้อย่างลูกผู้ชาย
เราจะถาม
แล้วเจ้าจงตอบ
8 “เจ้าจะทำให้ความยุติธรรมของเราเสื่อมไปหรือ?
และหาว่าเราผิดเพื่อเจ้าจะเป็นฝ่ายถูกหรือ?
9 เจ้ามีแขนแข็งแรงเหมือนแขนของพระเจ้าหรือ?
เจ้าเปล่งเสียงกัมปนาทเหมือนพระเจ้าได้หรือ?
10 ถ้าเช่นนั้นจงประดับตัวด้วยศักดิ์ศรีและสง่าราศี
ห่มตัวด้วยเกียรติยศและบารมี
11 ระบายความเกรี้ยวกราดของเจ้าออกมาสิ
มองดูทุกคนที่หยิ่งผยองและปราบเขาให้ตกต่ำลงมาสิ
12 จงมองดูทุกคนที่หยิ่งผยองและทำให้เขาต่ำลง
บดขยี้คนชั่วร้ายในที่ซึ่งเขายืนอยู่สิ
13 จงฝังพวกเขาทุกคนไว้ด้วยกันในฝุ่นธุลี
และกลบหน้าเขาไว้ในหลุมฝังศพ
14 แล้วเราเองจะยอมรับว่า
มือขวาของเจ้าช่วยตัวเจ้าเองได้
15 “จงมองดูเบเฮโมท[am]เถิด
เราได้สร้างมันขึ้นมาเหมือนที่เราสร้างเจ้า
มันกินหญ้าเหมือนวัว
16 ดูบั้นเอวอันทรงพลัง
และกล้ามเนื้อท้องของมันสิ!
17 หางของมัน[an]กวัดไกวเหมือนสนซีดาร์
เส้นเอ็นต้นขาของมันสานเข้าด้วยกันอย่างเหนียวแน่น
18 กระดูกของมันเหมือนท่อทองสัมฤทธิ์
แข้งขาของมันเหมือนท่อนเหล็ก
19 มันจัดอยู่ในอันดับแรกของบรรดาผลงานที่พระเจ้าทรงสร้าง
แต่พระผู้สร้างเข้าใกล้มันพร้อมด้วยดาบ
20 ผลผลิตแห่งภูเขาเป็นอาหารของมัน
และสัตว์ป่าทั้งปวงเริงเล่นอยู่ใกล้ๆ
21 มันนอนลงใต้กอบัว
กำบังตัวกลางพงอ้อในแอ่งน้ำ
22 มันซ่อนตัวใต้เงาบัว
กลางหมู่ต้นปอปลาร์ริมน้ำ
23 เมื่อแม่น้ำปั่นป่วน มันไม่ตกใจ
แม้แม่น้ำจอร์แดนอันเอ่อล้นจะซัดเข้าใส่ปากของมัน มันก็ยังมั่นคงปลอดภัย
24 ใครสามารถจับมันที่ตา[ao]แล้วลากไป
หรือดักและสนตะพายจมูกของมันได้?
41 “เจ้าจับเลวีอาธาน[ap]ด้วยเบ็ดได้หรือ?
เอาบ่วงคล้องลิ้นมันได้หรือเปล่า?
2 เจ้าสามารถเอาเชือกสนตะพายจมูกของมัน
เอาตะขอแทงขากรรไกรของมันได้หรือ?
3 มันจะวอนขอความเมตตาจากเจ้าหรือ?
จะพูดกับเจ้าอย่างนุ่มนวลหรือ?
4 มันจะตกลงยินยอม
เป็นทาสรับใช้ของเจ้าตลอดชีวิตหรือ?
5 เจ้าจะสามารถเลี้ยงดูมันเหมือนนก
และยกมันให้เป็นเพื่อนเล่นของลูกสาวของเจ้าหรือ?
6 พ่อค้าจะมาต่อราคาซื้อมัน
และแบ่งขายกันหรือ?
7 หลาวจะระคายผิวของมันหรือ?
ฉมวกจะระคายหัวของมันหรือ?
8 หากเจ้าลงมือจับมันสักครั้ง
เจ้าจะจดจำการต่อสู้และเข็ดขยาดไม่กล้าทำอีกเลย!
9 เป็นความหวังลมๆ แล้งๆ ที่คิดจะปราบมัน
แค่เห็นมันก็ใจฝ่อแล้ว
10 ไม่มีใครดุร้ายพอที่จะไปยั่วมัน
ก็แล้วใครเล่ากล้ายืนขึ้นต่อหน้าเรา?
11 ใครเล่าจะมาเอ่ยอ้างฟ้องร้องเราซึ่งเราต้องชดใช้ให้?
ทุกสิ่งภายใต้ฟ้าสวรรค์เป็นของเรา
12 “เราจะไม่งดกล่าวถึงแข้งขา
กำลังและเรือนร่างอันสง่างามของมัน
13 ใครสามารถถลกผิวหนังของมัน?
ใครสามารถคล้องบังเหียนให้มัน?
14 ใครจะกล้าเปิดปากของมัน
ซึ่งมีฟันน่ากลัวเรียงรายอยู่?
15 หลังของมันมีเกล็ดเหมือนโล่[aq]
ซ้อนถี่แนบกันเป็นแถว
16 ผนึกเรียงกันแน่น
จนอากาศผ่านเข้าไม่ได้
17 มันเกาะติดกันสนิท
ยึดแน่นจนไม่อาจแยกจากกันได้
18 เวลามันจาม มีแสงแวบวาบออกมา
ดวงตาของมันดั่งแสงอรุณ
19 เปลวเพลิงพ่นออกจากปากของมัน
มีประกายไฟแลบออกมา
20 ควันคละคลุ้งจากรูจมูกของมัน
เหมือนไอพวยพุ่งจากกาน้ำเดือดซึ่งใช้ต้นกกเป็นฟืน
21 ลมหายใจของมันจุดถ่านหินให้ลุกโชน
และเปลวไฟพุ่งขึ้นมาจากปากของมัน
22 คอของมันมีกำลังมหาศาล
ความอกสั่นขวัญแขวนนำหน้ามันไป
23 เนื้อของมันเกาะติดกันแน่น
แข็งหนาและขยับไม่ได้
24 หน้าอกของมันแข็งดั่งศิลา
แกร่งดั่งแท่นของหินโม่
25 เมื่อมันลุกขึ้น คนแข็งแรงที่สุดก็ขวัญหนีดีฝ่อ
พอมันขยับตัว พวกเขาก็ถอยหนี
26 ดาบ หอก หลาว แหลน
อาวุธใดๆ ไม่มีผลต่อมัน
27 สำหรับมัน เหล็กก็ไม่ต่างอะไรกับฟาง
และทองสัมฤทธิ์คือไม้ผุๆ
28 ลูกศรไม่สามารถทำให้มันหนีเตลิด
สำหรับมัน หินสลิงก็เหมือนแกลบ
29 กระบองก็เป็นเพียงฟางเส้นหนึ่ง
และมันหัวเราะเยาะหอกที่พุ่งเข้าใส่
30 ท้องของมันปกคลุมด้วยเกล็ดแหลมเหมือนเศษหม้อแตก
ทิ้งรอยไว้ในโคลนเหมือนเลื่อนนวดข้าว
31 มันทำให้ห้วงลึกปั่นป่วนเหมือนหม้อน้ำเดือด
ท้องทะเลพลุ่งพล่านเหมือนหม้อน้ำมันเดือด
32 มันทิ้งระลอกฟองผุดประกายอยู่ข้างหลัง
ใครเห็นคงนึกว่าทะเลมีผมหงอก
33 ไม่มีอะไรอื่นอีกแล้วในโลกที่เหมือนมัน
เป็นสัตว์ซึ่งไม่รู้จักความกลัว
34 มันดูถูกสัตว์ที่เย่อหยิ่งทั้งปวง
มันเป็นราชาเหนือสรรพสิ่งที่ทรนง”
Thai New Contemporary Bible Copyright © 1999, 2001, 2007 by Biblica, Inc.® Used by permission. All rights reserved worldwide.