Print Page Options
Previous Prev Day Next DayNext

Bible in 90 Days

An intensive Bible reading plan that walks through the entire Bible in 90 days.
Duration: 88 days
New Thai Version (NTV-BIBLE)
Version
เพลงคร่ำครวญ 2:1 - เอเสเคียล 12:20

เยรูซาเล็มพินาศ

พระผู้เป็นเจ้าคลุมธิดาแห่งศิโยน
    ด้วยเมฆหมอกแห่งความกริ้วของพระองค์
พระองค์เหวี่ยงความรุ่งเรืองของอิสราเอล
    จากฟ้าสวรรค์ลงสู่แผ่นดินโลก
พระองค์ไม่ระลึกถึงที่วางเท้าของพระองค์
    ในวันที่พระองค์กริ้ว

พระผู้เป็นเจ้าได้ทำลายที่อยู่อาศัย
    ของยาโคบ[a]อย่างไม่ปรานี
พระองค์พังป้อมปราการอันแข็งแกร่ง
    ของธิดาแห่งยูดาห์เป็นการลงโทษ
พระองค์ทำให้อาณาจักรและบรรดาผู้ปกครองแผ่นดิน
    ล้มลงจมกองธุลีอย่างไร้เกียรติ

พระองค์ทำให้อิสราเอลอ่อนกำลังลง
    ด้วยความกริ้วอันร้อนแรง
พระองค์ไม่ช่วยเหลือพวกเขาอีก
    ในเวลาที่ปะทะกับศัตรู
พระองค์โกรธมากดั่งเปลวไฟที่ลุกในยาโคบ
    ซึ่งเผาผลาญทุกสิ่งโดยรอบ

พระองค์โก่งคันธนูประดุจศัตรู
    มือขวาของพระองค์เล็งประดุจปรปักษ์
พระองค์ได้สังหารทุกคนที่พวกเรารัก
ความกริ้วของพระองค์ได้พลุ่งขึ้นดั่งเปลวไฟ
    ในกระโจมของธิดาแห่งศิโยน

พระผู้เป็นเจ้าเป็นประดุจศัตรู
    พระองค์ได้ทำให้อิสราเอลพินาศ
พระองค์ได้ทลายวังทั้งหลาย
    และป้อมปราการอันแข็งแกร่งลง
พระองค์ทำให้มีการร้องรำพันและร้องคร่ำครวญมากยิ่งขึ้น
    ในเขตแดนของธิดาแห่งยูดาห์

พระองค์ได้พังที่พำนักของพระองค์เหมือนกระทำกับสวน
    พังสถานที่นัดพบของพระองค์
พระผู้เป็นเจ้าได้ทำให้ศิโยนไม่ระลึกถึงเทศกาลที่กำหนดไว้และวันสะบาโต
    พระองค์โกรธมหันต์จึงได้ทำให้เกียรติของกษัตริย์และบรรดาปุโรหิตเสื่อมลง

พระผู้เป็นเจ้าไม่ยอมรับแท่นบูชาของพระองค์
    และทอดทิ้งที่พำนักของพระองค์
พระองค์ปล่อยให้ศัตรู
    ทลายกำแพงเมืองของนางลง
พวกเขาตะโกนร้องในพระตำหนักของพระผู้เป็นเจ้า
    ประหนึ่งวันฉลองเทศกาล

พระผู้เป็นเจ้าตัดสินใจอย่างแน่วแน่ว่า
    จะทลายกำแพงเมืองของธิดาแห่งศิโยน
พระองค์ใช้เชือกเป็นมาตรฐานในการวัด
    และไม่ยั้งมือที่จะทำลาย
พระองค์ทำให้ที่คุ้มกันและกำแพงเมืองร้องร่ำรำพัน
    และทรุดโทรมไปด้วยกัน

ประตูเมืองของนางทรุดลงที่พื้นดิน
    พระองค์ได้หักและพังดาลประตูลง
กษัตริย์และบรรดาผู้สูงศักดิ์ลี้ภัยไปอยู่ท่ามกลางบรรดาประชาชาติ
    ไม่มีกฎบัญญัติอีกต่อไป
บรรดาผู้เผยคำกล่าวไม่ได้รับภาพนิมิต
    จากพระผู้เป็นเจ้าอีกต่อไป

10 บรรดาหัวหน้าชั้นผู้ใหญ่ของธิดาแห่งศิโยน
    นั่งนิ่งเงียบบนพื้นดิน
และได้ปาฝุ่นผงลงบนหัวของตน
    และสวมผ้ากระสอบ
บรรดาพรหมจาริณีแห่งเยรูซาเล็ม
    ก็ได้ก้มหัวลงกับพื้นดิน

11 ตาของข้าพเจ้าพร่าพรายจากการร้องไห้
    จิตวิญญาณของข้าพเจ้าว้าวุ่น
ข้าพเจ้าใจแทบขาดด้วยความเศร้า
    ก็เพราะธิดาแห่งชนชาติของข้าพเจ้าถูกสังหาร
ทารกและเด็กหมดเรี่ยวแรง
    อยู่ในที่สาธารณะ

12 เด็กเหล่านั้นร้องถามบรรดาแม่ๆ ของพวกเขาว่า
    “ไหนล่ะ อาหารและน้ำ”
เมื่อพวกเขาหมดเรี่ยวแรงเหมือนกับคนบาดเจ็บในที่สาธารณะ
เมื่อชีวิตของพวกเขาแทบจะสลาย
    ในอ้อมอกแม่

13 ข้าพเจ้าจะเป็นพยานพูดอะไรให้ท่านได้
    ข้าพเจ้าจะเปรียบท่านกับอะไร
    โอ ธิดาแห่งเยรูซาเล็ม
มีอะไรที่ข้าพเจ้าจะเห็นด้วยกับท่าน
    เพื่อข้าพเจ้าจะได้ปลอบประโลมท่าน
    โอ ธิดาพรหมจารีแห่งศิโยน
แผลของท่านลึกเทียบเท่าท้องทะเล
    ใครจะรักษาท่านให้หายได้

14 บรรดาผู้เผยคำกล่าวบอกพวกท่านถึงภาพนิมิต
    ซึ่งเท็จและลวงหลอก
พวกเขาไม่ได้บอกท่านว่า ท่านกระทำบาป
    เพื่อท่านจะได้หลุดพ้นจากการเป็นเชลย
แต่พวกเขากลับพูดถึงภาพนิมิต
    ซึ่งเท็จและทำให้ท่านหลงผิด

15 ทุกคนที่เดินผ่านมาก็ตบมือใส่ท่าน
พวกเขาเหน็บแนมและส่ายหัว
    ให้กับธิดาแห่งเยรูซาเล็ม
“นี่หรือ เมืองที่เรียกว่า
    ดีเพียบพร้อมและงามตระการ
    เป็นที่ยินดีไปทั่วแผ่นดินโลก”

16 ศัตรูทุกคนของท่านพูดล้อเลียนท่าน
พวกเขาเหน็บแนมและเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟันใส่
    และพูดว่า “พวกเรากลืนนางได้แล้ว
เออ พวกเรารอคอยวันนี้มานานแล้ว
    เรามีชีวิตอยู่ก็เพื่อจะได้เห็นอย่างนี้นี่เอง”

17 พระผู้เป็นเจ้าได้กระทำสิ่งที่พระองค์มุ่งหมาย
    พระองค์ได้ทำให้เกิดขึ้นตามคำกล่าวของพระองค์
ซึ่งพระองค์บัญชาไว้นานมาแล้ว
    พระองค์ได้ทำให้ท่านหายนะอย่างไม่ปรานี
พระองค์ทำให้ท่านเป็นที่สะใจของพวกศัตรู
    พระองค์ได้ให้พละกำลังของเหล่าปรปักษ์แข็งแกร่ง

18 ใจของพวกเขาร้องต่อพระผู้เป็นเจ้า
    โอ กำแพงเมืองของธิดาแห่งศิโยนเอ๋ย
ให้น้ำตาไหลพรากอย่างกระแสน้ำ
    ตลอดวันและคืนเถิด
ท่านไม่ต้องพัก
    ไม่ต้องหยุดร้อง

19 จงลุกขึ้น ร่ำไห้ในยามค่ำ
    ตลอดทุกยาม
จงเปิดใจของท่าน
    ณ เบื้องหน้าพระผู้เป็นเจ้า
ยกมือของท่านอธิษฐานต่อพระองค์
    เพื่อชีวิตของลูกๆ ของท่าน
ซึ่งหมดเรี่ยวแรงเพราะความหิว
    อยู่ตามถนนหนทาง

20 โอ พระผู้เป็นเจ้า โปรดเหลียวดูและมองดู
    พระองค์เคยกระทำเช่นนี้ต่อใครบ้าง
บรรดาผู้หญิงควรจะกินลูกในไส้ของตน
    ที่เคยเลี้ยงดูมาอย่างนั้นหรือ
ปุโรหิตและผู้เผยคำกล่าวควรจะถูกฆ่า
    ในที่พำนักของพระผู้เป็นเจ้าหรือ

21 ทั้งเด็กและคนชรา
    นอนตายบนถนน
บรรดาชายหนุ่มและหญิงสาว
    ถูกดาบฆ่าตาย
พระองค์ได้สังหารพวกเขาในวันที่พระองค์กริ้ว
    พระองค์ประหารพวกเขาอย่างไร้ความปรานี

22 พระองค์เรียกศัตรูของข้าพเจ้ามาจากทุกแห่งหน
    อย่างกับว่าพระองค์เรียกให้มาในวันฉลอง
ไม่มีใครหนีรอดหรือคงชีวิตอยู่ได้
    ในวันแห่งความกริ้วของพระผู้เป็นเจ้า
พวกศัตรูของข้าพเจ้าได้ทำให้
    บรรดาผู้ที่ข้าพเจ้าดูแลและอุ้มชูพินาศ

ความสัตย์จริงของพระองค์ยิ่งใหญ่นัก

ข้าพเจ้าเป็นคนที่ได้เห็นความทุกข์ทรมาน
    จากอำนาจแห่งการลงโทษของพระองค์
พระองค์ได้นำข้าพเจ้าและทำให้ข้าพเจ้าเข้าสู่ความมืด
    โดยปราศจากแสงสว่าง
จริงทีเดียว มือของพระองค์ฟาดตัวข้าพเจ้า
    ซ้ำแล้วซ้ำอีกตลอดวันเวลา

พระองค์ทำให้เนื้อหนังของข้าพเจ้าเหี่ยวแห้ง
    และหักกระดูกของข้าพเจ้า
พระองค์ให้ความขมขื่นและความยากลำบาก
    ล้อมและคลุมรอบตัวข้าพเจ้า
พระองค์ทำให้ข้าพเจ้าอยู่ในความมืด
    อย่างคนที่ตายไปนานแล้ว

พระองค์ได้กั้นล้อมข้าพเจ้าโดยไม่ให้หนีรอดไปได้
    พระองค์ใช้โซ่หนักถ่วงข้าพเจ้าไว้
แม้ว่าข้าพเจ้าจะร้องเรียกขอความช่วยเหลือ
    พระองค์ก็ไม่ต้องการได้ยินคำอธิษฐาน
พระองค์ได้ปิดกั้นทางของข้าพเจ้าด้วยหินสกัด
    ทำให้หนทางของข้าพเจ้าคดเคี้ยว

10 พระองค์เป็นดั่งหมีที่รอดักอยู่
    เป็นดั่งสิงโตที่ซ่อนอยู่
11 พระองค์นำข้าพเจ้าออกนอกทางและฉีกข้าพเจ้าออกเป็นชิ้นๆ
    และปล่อยให้ข้าพเจ้าอยู่ตามลำพัง
12 พระองค์โก่งคันธนู
    และตั้งข้าพเจ้าให้เป็นเป้าธนู

13 พระองค์ยิงธนูจากแล่งของพระองค์
    ตรงหัวใจของข้าพเจ้า
14 ข้าพเจ้ากลายเป็นที่หัวเราะเยาะของประชาชนทั้งปวงของข้าพเจ้า
    พวกเขาร้องเพลงล้อเลียนข้าพเจ้าตลอดวันเวลา
15 พระองค์ทำให้ข้าพเจ้ารับเต็มอิ่มด้วยของขม
    และให้ข้าพเจ้าดื่มจากพันธุ์ไม้ขม

16 พระองค์ทำให้ฟันของข้าพเจ้าหักด้วยก้อนกรวด
    และกดข้าพเจ้าลงในกองขี้เถ้า
17 พระองค์ทำให้ข้าพเจ้าขาดความสงบสุข
    ข้าพเจ้าลืมแล้วว่าความสุขเป็นอย่างไร
18 ข้าพเจ้าจึงพูดว่า “ความอดกลั้น
    และความหวังที่ข้าพเจ้ามีในพระผู้เป็นเจ้าหมดสิ้นแล้ว”

19 ข้าพเจ้ายังจำได้ถึงความทุกข์ทรมานและความขมขื่น
    พันธุ์ไม้ขมและของขม
20 จิตวิญญาณของข้าพเจ้าระลึกถึงตลอดมา
    ซึ่งทำให้ข้าพเจ้าสลดหดหู่
21 ข้าพเจ้านึกเรื่องนี้ขึ้นได้
    ฉะนั้น ข้าพเจ้าจึงมีความหวัง

22 เพราะความรักอันมั่นคงของพระผู้เป็นเจ้าไม่เคยขาดหาย
    ความเมตตาของพระองค์ไม่เคยหยุดยั้ง
23 ความรักและความเมตตาเกิดขึ้นใหม่ทุกๆ เช้า
    ความสัตย์จริงของพระองค์ยิ่งใหญ่นัก
24 ข้าพเจ้าบอกตนเองว่า “พระผู้เป็นเจ้าเป็นทุกสิ่งทุกอย่างของข้าพเจ้า
    ข้าพเจ้าจึงรอคอยพระองค์”

25 พระผู้เป็นเจ้าดีต่อบรรดาผู้ที่มีความหวังในพระองค์
    ต่อจิตวิญญาณที่แสวงหาพระองค์
26 เป็นการดีที่รอคอยความรอดพ้น
    ที่มาจากพระผู้เป็นเจ้าอย่างเงียบๆ
27 เป็นการดีที่คนแบกแอกได้
    ขณะยังเยาว์วัย

28 ปล่อยให้เขานั่งอย่างเงียบๆ ตามลำพัง
    เมื่อพระองค์วางแอกบนตัวเขา
29 ปล่อยให้เขาถ่อมตนลง
    เผื่อจะมีความหวังบ้าง
30 ปล่อยให้เขาถูกคนตบหน้า
    และถูกดูหมิ่นเหยียดหยาม

31 เพราะว่าพระผู้เป็นเจ้าจะไม่ทอดทิ้ง
    ไปตลอดกาล
32 แม้ว่าพระองค์ทำให้เราเศร้าใจ พระองค์ก็ยังจะแสดงความเมตตา
    เพราะความรักอันมั่นคงของพระองค์มากยิ่งนัก
33 พระองค์ไม่ตั้งใจที่จะนำความทุกข์
    หรือความเศร้ามาสู่บรรดาบุตรของมนุษย์

34 การเหยียบขยี้ผู้ถูกจำขังทุกคนในโลก
    ให้อยู่ใต้เท้า
35 การตัดสิทธิของมนุษย์
    ณ เบื้องหน้าองค์ผู้สูงสุด
36 และการไม่ให้ความเป็นธรรมแก่มนุษย์
    พระผู้เป็นเจ้าทราบเรื่องเหล่านี้มิใช่หรือ

37 ใครบัญชาให้เกิดขึ้นได้
    นอกจากพระผู้เป็นเจ้าจะกำหนดขึ้น
38 สิ่งดีและร้ายเกิดขึ้น
    ก็เนื่องจากองค์ผู้สูงสุดบัญชามิใช่หรือ
39 ทำไมมนุษย์ที่ยังมีชีวิตจึงพร่ำบ่น
    เมื่อถูกลงโทษเพราะบาปของตน

40 เราควรพิจารณาและทดสอบวิถีทางของพวกเรา
    และหันเข้าหาพระผู้เป็นเจ้าเถิด
41 เรามาเปิดใจและยกมืออธิษฐานต่อ
    พระเจ้าในสวรรค์เถิด
42 เราได้ล่วงละเมิดและขัดขืน
    และพระองค์ไม่ได้ยกโทษ

43 พระองค์คลุมพระองค์เองด้วยความกริ้ว และตามล่าพวกเรา
    ด้วยการสังหารโดยปราศจากความปรานี
44 พระองค์คลุมพระองค์เองด้วยก้อนเมฆ
    เพื่อคำอธิษฐานจะผ่านเข้าถึงไม่ได้
45 พระองค์ทำให้พวกเราเป็นดั่ง
    กองขยะในบรรดาชนชาติ

46 ศัตรูทุกคนของพวกเรา
    อ้าปากกว้างใส่พวกเรา
47 พวกเราประสบความน่ากลัวและหลุมพราง
    ความทุกข์ทรมานและความพินาศ
48 น้ำตาข้าพเจ้าไหลพราก
    เพราะความพินาศของธิดาของประชาชนของข้าพเจ้า

49 น้ำตาข้าพเจ้าไหลไม่หยุด
    ไม่ได้พัก
50 จนกระทั่งพระผู้เป็นเจ้ามองลงมา
    จากสวรรค์และแลเห็น
51 สิ่งที่ข้าพเจ้าเห็นทำให้จิตวิญญาณของข้าพเจ้าเศร้าใจ
    เพราะสิ่งที่เกิดขึ้นกับบุตรหญิงทั้งปวงในเมืองของข้าพเจ้า

52 บรรดาศัตรูของข้าพเจ้าตามล่าข้าพเจ้า
    ราวกับล่านกโดยไร้สาเหตุ
53 พวกเขาเหวี่ยงข้าพเจ้าทั้งเป็นลงในหลุมลึก
    และขว้างก้อนหินใส่ข้าพเจ้า
54 น้ำท่วมมิดศีรษะของข้าพเจ้า
    ข้าพเจ้าคิดในใจว่า ข้าพเจ้ากำลังถูกตัดขาด

55 โอ พระผู้เป็นเจ้า ข้าพเจ้าออกพระนามของพระองค์
    จากห้วงเหวของหลุมลึกแห่งแดนคนตาย
56 พระองค์ได้ยินคำวิงวอนของข้าพเจ้า
    “โปรดฟังคำร้องขอความช่วยเหลือของข้าพเจ้า”
57 พระองค์เข้ามาใกล้ในเวลาที่ข้าพเจ้าร้องเรียกถึงพระองค์
    พระองค์กล่าวว่า “ไม่ต้องกลัว”

58 โอ พระผู้เป็นเจ้า พระองค์ปกป้องข้าพเจ้า
    พระองค์ได้ไถ่ชีวิตข้าพเจ้าแล้ว
59 โอ พระผู้เป็นเจ้า พระองค์เห็นการกระทำผิดที่มีต่อข้าพเจ้า
    ขอพระองค์ช่วยเหลือข้าพเจ้า
60 พระองค์ทราบว่าความเคียดแค้นของพวกเขาโหดร้ายนัก
    เขาวางแผนต่อต้านข้าพเจ้า

61 โอ พระผู้เป็นเจ้า พระองค์ได้ยินแล้วว่าพวกเขาดูถูกข้าพเจ้า
    เขาวางแผนต่อต้านข้าพเจ้า
62 สิ่งที่พวกศัตรูนินทาและพร่ำบ่น
    ก็คือการต่อต้านข้าพเจ้าตลอดวันเวลา
63 ดูเถิด ไม่ว่าพวกเขาจะนั่งหรือยืน
    ข้าพเจ้าก็กลายเป็นเพลงที่พวกเขาแต่งขึ้นมา

64 โอ พระผู้เป็นเจ้า โปรดให้เขาได้รับสนองตามสิ่งที่เขาปฏิบัติ
    ให้เขาได้รับผลจากสิ่งที่เขาได้กระทำ
65 ทำจิตใจของพวกเขาให้แข็งกระด้าง
    และขอคำสาปแช่งจงตกอยู่กับพวกเขา
66 ขอพระองค์ตามล่าพวกเขาด้วยความกริ้วและทำให้พินาศไป
    จากใต้ฟ้าสวรรค์ของพระผู้เป็นเจ้า

บรรดาชายหนุ่มกระจัดกระจายไป

เนื้อทองคำไม่สุกใสแล้ว
    ทองเนื้อดีหมองคล้ำอะไรเช่นนี้
พวกเขาเป็นเหมือนหินอันบริสุทธิ์ของพระวิหาร
    ที่กระจัดกระจายไปตามถนนหนทาง

บรรดาบุตรผู้มีคุณค่าแห่งศิโยน
    ซึ่งครั้งหนึ่งมีค่าเช่นน้ำหนักทองคำ
แต่บัดนี้นับว่าเป็นดั่งหม้อดิน
    งานฝีมือของช่างปั้นหม้อ

แม้หมาในก็ยังให้นมลูก
    ของมันเอง
แต่ประชาชนของข้าพเจ้ากลายเป็นคนไร้หัวใจ
    ดั่งนกกระจอกเทศในถิ่นทุรกันดาร

ลิ้นของทารกผนึกกับขากรรไกร
    เพราะกระหายน้ำ
เด็กๆ ขออาหารกิน
    แต่ไม่มีใครให้อาหารแก่พวกเขา

บรรดาผู้ที่ครั้งหนึ่งเคยรับประทานของเอร็ดอร่อย
    กลับต้องนอนตายที่ถนน
บรรดาผู้ที่ได้รับการเลี้ยงดูอย่างหรูหรา
    บัดนี้นอนอยู่บนกองขี้เถ้า

ประชาชนของข้าพเจ้าถูกลงโทษ
    หนักยิ่งกว่าเมืองโสโดม
ซึ่งถูกถล่มลงในพริบตา
    โดยไม่ได้รับความช่วยเหลือสักนิด

บรรดาผู้สูงศักดิ์ของพวกเขาเคยบริสุทธิ์ยิ่งกว่าหิมะ
    ขาวยิ่งกว่าน้ำนม
ร่างกายของพวกเขาเคยแข็งแกร่งยิ่งกว่าหินปะการัง
    รูปลักษณ์ของเขาเหมือนกับนิลสีคราม

แต่บัดนี้พวกเขาดำยิ่งกว่าขี้เขม่า
    นอนที่ถนนโดยไม่มีใครจำเขาได้
ผิวหนังของพวกเขาแห้งเหี่ยวหุ้มกระดูก
    แห้งอย่างกับกิ่งไม้

พวกที่ถูกดาบฟันตายยังจะดีกว่า
    พวกที่ตายเพราะความหิว
ต่างอ่อนระโหยโรยแรง
    เพราะขาดอาหารจากไร่นา

10 บรรดาผู้หญิงที่มีเมตตา
    ได้ต้มแกงเนื้อลูกๆ ของนางเอง
เพื่อกินเป็นอาหาร
    ในเวลาที่ธิดาของประชาชนของข้าพเจ้าพินาศ

11 พระผู้เป็นเจ้ากระหน่ำการลงโทษสุดเหวี่ยง
    พระองค์หลั่งความกริ้วอันร้อนแรง
และพระองค์ให้เพลิงไฟลุกโพลงในศิโยน
    ซึ่งเผาผลาญจนถึงฐานราก

12 บรรดากษัตริย์ของแผ่นดินโลก
    และผู้อยู่อาศัยในโลกไม่เชื่อเลยว่า
ปรปักษ์หรือศัตรูจะสามารถผ่าน
    เข้าประตูเมืองของเยรูซาเล็มได้

13 แต่มันก็เกิดขึ้นเพราะบาปของบรรดาผู้เผยคำกล่าว
    และความชั่วของบรรดาปุโรหิตของเมือง
พวกเขาทำให้บรรดาผู้มีความชอบธรรม
    เลือดนองกลางเมือง

14 พวกเขาต้องเดินคลำไปตามถนน
    เหมือนคนตาบอด
เนื้อตัวเปื้อนเลือดมาก
    จนไม่มีใครกล้าแตะต้องเสื้อผ้าของพวกเขา

15 ประชาชนตะโกนร้องต่อพวกเขาว่า
    “ออกไป พวกท่านมีมลทิน
    ออกไป ออกไป อย่าแตะต้องตัวเรา”
เมื่อพวกเขาเดินหนีไป
    ประชาชนพูดในท่ามกลางบรรดาประชาชาติว่า
    “พวกเขาจะอยู่ที่นี่ไม่ได้อีกต่อไป”

16 พระผู้เป็นเจ้าทำให้พวกเขากระจัดกระจายกันออกไป
    พระองค์ไม่คุ้มครองดูแลพวกเขาอีกต่อไป
บรรดาปุโรหิตไม่ได้รับเกียรติ
    ไม่มีใครสนใจบรรดาผู้นำ

17 พวกเราคอยมองหาความช่วยเหลือ
    โดยไร้ประโยชน์
พวกเราเฝ้ามองประชาชาติหนึ่งที่หอคอย
    ซึ่งก็ไม่อาจช่วยเราให้รอดได้

18 พวกเขาจับตาดูพวกเราทุกฝีก้าว
    พวกเราไม่อาจเดินที่ถนนของเรา
เราใกล้จุดจบแล้ว มีชีวิตเหลืออยู่เพียงไม่กี่วัน
    เพราะถึงจุดจบแล้ว

19 บรรดาผู้ที่ตามล่าพวกเรา
    ปราดเปรียวยิ่งกว่านกอินทรีในท้องฟ้า
พวกเขาตามไล่พวกเราที่เทือกเขา
    และดักซุ่มรอเราในถิ่นทุรกันดาร

20 ผู้ที่พระผู้เป็นเจ้าเจิม[b] ซึ่งเป็นลมหายใจของพวกเรา
    ถูกจับด้วยกับดักของพวกเขา
พวกเราพูดกันว่า เราจะมีชีวิตอยู่ท่ามกลางบรรดาประชาชาติได้
    ก็ด้วยร่มเงาของท่าน

21 โอ ธิดาแห่งเอโดม ผู้อาศัยอยู่ในแผ่นดินของอูสเอ๋ย
    ยินดีและดีใจไปเถอะ
การลงโทษจะมาถึงท่านเช่นกัน
    ท่านจะเมามายและจะเปลือยเปล่า[c]

22 โอ ธิดาแห่งศิโยนเอ๋ย การลงโทษที่มีต่อท่านจะสิ้นสุดลง
    พระองค์จะไม่ทำให้การลี้ภัยของท่านยาวนาน
แต่ธิดาแห่งเอโดมเอ๋ย พระองค์จะลงโทษความชั่วของท่าน
    และบาปของท่านจะถูกเปิดเผย
โอ พระผู้เป็นเจ้า โปรดระลึกเถิดว่า ได้เกิดอะไรขึ้นกับพวกเรา
    โปรดมองดูความอับอายของพวกเรา
แผ่นดินของพวกเรากลายเป็นของคนแปลกหน้าแล้ว
    บ้านเมืองของเราเป็นของชนต่างชาติ
พวกเราได้กลายมาเป็นคนกำพร้าพ่อ
    แม่ของพวกเราเป็นเหมือนแม่ม่าย
พวกเราต้องซื้อน้ำดื่ม
    ไม้เราก็ต้องซื้อ
พวกเราถูกใช้งานด้วยแอกที่สวมคอ
    พวกเราเหนื่อยล้า แต่เขาไม่ยอมให้พัก
พวกเรายอมก้มต่ออียิปต์และอัสซีเรีย
    ก็เพื่อให้ได้อาหารเพียงพอจากพวกเขา
บรรพบุรุษของพวกเราทำบาปและเสียชีวิตไปหมดแล้ว
    ส่วนเราต้องทนทุกข์รับโทษจากความชั่วของพวกเขา
บรรดาทาสปกครองเหนือพวกเรา
    ไม่มีใครที่ช่วยพวกเราให้พ้นจากอำนาจของพวกเขาได้
พวกเราเสี่ยงชีวิตก็เพื่อหาอาหาร
    เหตุเพราะมีคนที่ใช้อาวุธอยู่ในถิ่นทุรกันดาร
10 ผิวหนังของพวกเราร้อนเหมือนเตาอบ
    เราหิวโหยจนเป็นไข้
11 บรรดาผู้หญิงถูกข่มขืนในศิโยน
    บรรดาหญิงบริสุทธิ์ก็ถูกย่ำยีในเมืองแห่งยูดาห์
12 บรรดาผู้นำถูกพวกเขาแขวนคอ
    ไม่มีใครเคารพต่อบรรดาหัวหน้าชั้นผู้ใหญ่
13 บรรดาชายหนุ่มถูกบังคับให้ทำงานที่โรงโม่
    เด็กผู้ชายแบกหามไม้หนักเกินกำลัง
14 บรรดาผู้สูงอายุเลิกให้คำปรึกษาที่ประตูเมือง
    ชายหนุ่มหยุดเล่นดนตรี
15 ความรื่นเริงไม่อยู่ในจิตใจของพวกเราแล้ว
    การร่ายรำก็กลายเป็นการร้องคร่ำครวญ
16 มงกุฎได้หลุดจากศีรษะของพวกเรา
    วิบัติตกอยู่กับพวกเราเพราะบาปที่กระทำ
17 เพราะเหตุนี้ พวกเราจึงระทมใจ
    เพราะสิ่งเหล่านี้สายตาจึงมืดลง
18 เพราะภูเขาศิโยนเป็นที่รกร้าง
    พวกหมาในจึงวนเวียนหาเหยื่ออยู่บนนั้น
19 โอ พระผู้เป็นเจ้า พระองค์ครองบัลลังก์ตลอดกาล
    บัลลังก์ของพระองค์มั่นคงอยู่ทุกชั่วอายุคน
20 เหตุใดพระองค์จึงลืมพวกเราเสมอ
    เหตุใดพระองค์จึงทอดทิ้งพวกเรานานเช่นนี้
21 โอ พระผู้เป็นเจ้า โปรดนำพวกเรากลับมาหาพระองค์เถิด
    พวกเราจะได้กลับมาและมีชีวิตขึ้นใหม่อย่างที่เคยเป็นในสมัยก่อน
22 นอกจากว่าพระองค์ได้ทอดทิ้งพวกเราโดยสิ้นเชิงเสียแล้ว
    และกริ้วพวกเรามากเหลือเกิน

ในวันที่ห้าของเดือนสี่ ปีที่สามสิบ ในเวลานั้นข้าพเจ้าเป็นหนึ่งในบรรดาผู้ลี้ภัยที่ริมแม่น้ำเคบาร์[d] สวรรค์เปิดออก ข้าพเจ้าเห็นภาพนิมิตของพระเจ้า ในวันที่ห้าของเดือน (เป็นปีที่ห้าที่กษัตริย์เยโฮยาคีน[e]ลี้ภัยไป[f]) พระผู้เป็นเจ้ากล่าวกับเอเสเคียลปุโรหิตบุตรของบูซี ในแผ่นดินของชาวเคลเดีย ริมแม่น้ำเคบาร์ และมือของพระผู้เป็นเจ้าสถิตกับท่านที่นั่น

พระบารมีของพระผู้เป็นเจ้า

ดูเถิด ขณะที่ข้าพเจ้ามองดู ก็มีลมอันแรงกล้าจากทิศเหนือ มีเมฆก้อนมหึมาพร้อมกับประกายฟ้าแลบและแสงสว่างล้อมรอบ ตรงกลางของเปลวไฟดูเหมือนโลหะวาววับ ดูเหมือนว่าในเปลวไฟมีสิ่งมีชีวิต 4 ตัว ซึ่งมีลักษณะเป็นร่างมนุษย์ แต่ละตัวมี 4 หน้าและ 4 ปีก ขาเหยียดตรง และฝ่าเท้าเหมือนกีบลูกโค เป็นประกายดั่งทองสัมฤทธิ์ที่ถูกหลอมในเตาไฟ ที่ใต้ปีกทั้งสี่มีมือมนุษย์ ทั้งสี่ตัวมีหน้าและปีก ปีกกางออกสัมผัสกัน สัตว์แต่ละตัวขยับตัวตรงไปข้างหน้า โดยไม่หันลำตัว 10 หน้าของสัตว์เหล่านี้เป็นเช่นนี้คือ สัตว์แต่ละตัวมีหน้าเหมือนมนุษย์ ด้านขวาของแต่ละตัวมีหน้าเหมือนสิงโต ด้านซ้ายมีหน้าเหมือนโค แต่ละตัวยังมีอีกหน้าเหมือนนกอินทรีด้วย 11 หน้าของสัตว์เป็นอย่างนั้น ปีกกางออกและแผ่สูงขึ้น แต่ละตัวใช้ 2 ปีกสัมผัสปีกของสัตว์ตัวอื่นที่อยู่แต่ละข้าง และใช้อีก 2 ปีกปกปิดกายของตนเอง 12 สัตว์แต่ละตัวขยับตัวตรงไปข้างหน้า ไม่ว่าวิญญาณจะไปที่ใด สัตว์เหล่านี้ก็จะไปโดยไม่หันลำตัว 13 ลักษณะของสิ่งมีชีวิตที่ปรากฏนั้นเหมือนถ่านลุกโพลงขึ้นเป็นเปลวไฟ เหมือนคบไฟที่เคลื่อนไปมาระหว่างสิ่งมีชีวิต เปลวไฟสุกสว่างและมีสายฟ้าแลบจากเปลวไฟ 14 สิ่งมีชีวิตพุ่งตัวไปมาดั่งสายฟ้าแลบ

15 ขณะที่ข้าพเจ้ามองดูสิ่งมีชีวิตเหล่านั้น ข้าพเจ้าเห็นล้อบนพื้นดินข้างๆ สิ่งมีชีวิตทั้งสี่ ล้อละตัว 16 โครงล้อที่ปรากฏคือ มันส่องแสงเหมือนโกเมนที่วาววับ เหมือนกันทั้งสี่ล้อ โครงล้อดูเหมือนมีอีกล้อที่ซ้อนอยู่ด้านใน 17 เวลาที่ล้อเคลื่อนตัว มันเคลื่อนไปทิศใดก็ได้ทั้งสี่ทิศตามแต่สิ่งมีชีวิตจะไปโดยไม่ต้องหัน 18 ขอบล้อสูงและน่าเกรงขาม ที่รอบขอบล้อทั้งสี่มีดวงตาเต็มไปหมด 19 เวลาที่สิ่งมีชีวิตขยับตัวไป ล้อก็เคลื่อนขึ้นตามไปด้วยกัน เวลาที่สิ่งมีชีวิตลุกขึ้นจากพื้นดิน ล้อก็ขึ้นตามไปด้วย 20 ไม่ว่าวิญญาณต้องการไปที่ใด สิ่งมีชีวิตก็ไปด้วย และล้อก็ตามไปพร้อมกัน เพราะวิญญาณของสิ่งมีชีวิตอยู่ในล้อ 21 เวลาที่สิ่งมีชีวิตขยับตัวไปที่ใด ล้อก็เคลื่อนไปด้วย เวลาที่สิ่งมีชีวิตยืนนิ่ง ล้อก็หยุดนิ่ง และเวลาที่สิ่งมีชีวิตลุกขึ้นจากพื้นดิน ล้อก็เคลื่อนไปพร้อมกัน เพราะวิญญาณของสิ่งมีชีวิตอยู่ในล้อ

22 เหนือศีรษะของสิ่งมีชีวิต ดูเหมือนมีโดมกว้างใหญ่เปล่งแสงประกายอย่างแก้วเจียระไน ดูน่าเกรงขามนัก 23 ใต้โดมกว้างใหญ่นั้น ปีกของสิ่งมีชีวิตกางออกและเหยียดตรง และปีกสัมผัสกัน สัตว์แต่ละตัวมี 2 ปีกที่ปกปิดกายของตน 24 เวลาที่สัตว์เหล่านี้ขยับตัวไป ข้าพเจ้าได้ยินเสียงปีกกระพือดุจกระแสน้ำแรงกล้า ดุจเสียงขององค์ผู้กอปรด้วยมหิทธานุภาพ ดุจเสียงชุลมุนของกองทัพใหญ่ เวลาสัตว์เหล่านี้ยืนนิ่ง ปีกของมันจะหุบลงที่ข้างตัว 25 และมีเสียงจากเบื้องสูงเหนือโดมกว้างใหญ่ที่เหนือศีรษะ เมื่อมันยืนนิ่ง มันก็จะหุบปีกลง

26 เบื้องสูงเหนือโดมกว้างใหญ่เหนือศีรษะ ปรากฏเหมือนบัลลังก์ประดุจนิลสีคราม และมีผู้หนึ่งปรากฏเหมือนมนุษย์นั่งบนบัลลังก์ 27 ข้าพเจ้าเห็นสิ่งที่ปรากฏเหนือบั้นเอวผู้นั้นขึ้นไป ซึ่งเป็นเหมือนโลหะวาววับดั่งไฟลุกโดยรอบ ข้าพเจ้าเห็นว่าส่วนที่ปรากฏจากบั้นเอวลงมาเป็นดุจไฟ และแสงอันเจิดจ้าล้อมรอบผู้นั้น 28 รุ้งบนเมฆในวันที่ฝนตกเจิดจ้าเช่นไร ความเจิดจ้าที่ปรากฏโดยรอบก็เป็นเช่นนั้น

สิ่งที่ปรากฏเปรียบประดุจพระบารมีของพระผู้เป็นเจ้า และเมื่อข้าพเจ้าเห็น ข้าพเจ้าซบหน้าลงกับพื้น และได้ยินเสียงของผู้หนึ่งกำลังพูด

พระเจ้าเรียกเอเสเคียล

พระองค์กล่าวกับข้าพเจ้าดังนี้ว่า “บุตรมนุษย์เอ๋ย[g] จงยืนขึ้น และเราจะพูดกับเจ้า” ขณะที่พระองค์กล่าวกับข้าพเจ้า พระวิญญาณก็เข้าสู่ตัวข้าพเจ้า ทำให้ข้าพเจ้ายืนขึ้น และข้าพเจ้าได้ยินพระองค์กล่าวกับข้าพเจ้า พระองค์กล่าวดังนี้ “บุตรมนุษย์เอ๋ย เราส่งเจ้าไปยังชาวอิสราเอล ยังบรรดาประชาชาติที่ขัดขืนซึ่งได้ขัดขืนต่อคำบัญชาของเรา ทั้งพวกเขาและบรรพบุรุษของเขาได้กระทำบาปต่อเรามาจนถึงทุกวันนี้ เราส่งเจ้าไปหาบรรดาผู้สืบเชื้อสายซึ่งหัวรั้นและใจดื้อด้าน เจ้าจงพูดกับพวกเขาว่า ‘พระผู้เป็นเจ้าผู้ยิ่งใหญ่กล่าวดังนี้’ และไม่ว่าพวกเขาจะฟังหรือไม่ยอมฟังก็ตาม (เพราะพวกเขาเป็นพงศ์พันธุ์ที่ขัดขืน) พวกเขาจะรู้ว่าผู้เผยคำกล่าวของพระเจ้าผู้หนึ่งอยู่ท่ามกลางพวกเขา และบุตรมนุษย์เอ๋ย เจ้าจงอย่ากลัวพวกเขา หรือกลัวคำพูดของพวกเขา ถึงแม้ว่าพุ่มไม้หนามและหนามจะอยู่รอบตัวเจ้า และเจ้าจะต้องอยู่กับแมงป่อง เจ้าก็จงอย่ากลัวคำพูดของพวกเขา หรือตกใจกลัวเมื่อเห็นพวกเขา เพราะพวกเขาเป็นพงศ์พันธุ์ที่ขัดขืน แต่เจ้าจงบอกพวกเขาถึงสิ่งที่เราพูด ไม่ว่าพวกเขาจะฟังหรือไม่ยอมฟังก็ตาม เพราะพวกเขาเป็นพงศ์พันธุ์ที่ขัดขืน

แต่บุตรมนุษย์เอ๋ย เจ้าจงฟังว่า เราพูดอะไรกับเจ้า เจ้าจงอย่าขัดขืนเหมือนพงศ์พันธุ์ที่ขัดขืน จงอ้าปากกินสิ่งที่เราให้แก่เจ้า” ดูเถิด เมื่อข้าพเจ้ามองดู มีมือยื่นให้ข้าพเจ้า ดูเถิด หนังสือม้วนอยู่ในมือ 10 พระองค์คลี่มันออกต่อหน้าข้าพเจ้า มีตัวหนังสือเขียนที่ด้านหน้าและด้านหลัง เป็นคำพูดถึงการคร่ำครวญ ร้องร่ำรำพัน และความวิบัติ

และพระองค์กล่าวกับข้าพเจ้าดังนี้ “บุตรมนุษย์เอ๋ย เจ้าจงกินสิ่งที่อยู่ตรงหน้าเจ้า จงกินหนังสือม้วนนี้ แล้วจงไปพูดกับพงศ์พันธุ์อิสราเอล” ดังนั้น ข้าพเจ้าอ้าปาก และพระองค์ให้ข้าพเจ้ากินหนังสือม้วนนั้น และพระองค์กล่าวกับข้าพเจ้าดังนี้ “บุตรมนุษย์เอ๋ย จงกินหนังสือม้วนที่เราให้เจ้า ให้มันซึมซับเข้าไปทั่วร่างกายของเจ้า” และข้าพเจ้าก็กินหนังสือม้วนนั้น มันมีรสหวานปานน้ำผึ้งในปากของข้าพเจ้า

และพระองค์กล่าวกับข้าพเจ้าดังนี้ “บุตรมนุษย์เอ๋ย จงไปยังพงศ์พันธุ์อิสราเอล และบอกพวกเขาถึงสิ่งที่เราพูด ด้วยว่า เจ้าไม่ได้ถูกส่งไปยังชนชาติที่ใช้คำพูดของชนต่างชาติและภาษาที่ยาก แต่จะไปยังพงศ์พันธุ์อิสราเอล ไม่ได้ให้ไปยังหลายชนชาติซึ่งใช้คำพูดของชนต่างชาติและภาษาที่ยาก จึงจะทำให้เจ้าไม่เข้าใจภาษาของเขา แต่เราได้ส่งเจ้าไปยังชนชาติเหล่านั้น พวกเขาก็ควรจะฟังเจ้าอย่างแน่นอน แต่พงศ์พันธุ์อิสราเอลจะไม่ต้องการฟังเจ้า เพราะพวกเขาไม่ต้องการฟังเรา เพราะพงศ์พันธุ์อิสราเอลทั้งปวงหัวรั้นและใจดื้อด้าน ดูเถิด เราได้ทำให้หน้าของเจ้าขมึงทึงและหัวรั้นเหมือนกับที่พวกเขาเป็น ให้หน้าผากของเจ้าเป็นอย่างหินแข็งที่สุด แข็งยิ่งกว่าหินคม จงอย่ากลัวพวกเขา หรือตกใจกลัวเมื่อเห็นพวกเขา เพราะพวกเขาเป็นพงศ์พันธุ์ที่ขัดขืน” 10 ยิ่งกว่านั้น พระองค์กล่าวกับข้าพเจ้าดังนี้ “บุตรมนุษย์เอ๋ย จงรับไว้ในใจเจ้า และใช้หูรับฟังทุกคำพูดที่เราจะกล่าวกับเจ้า 11 และจงไปยังชนร่วมชาติของเจ้าซึ่งลี้ภัยอยู่ และพูดกับพวกเขาว่า ‘พระผู้เป็นเจ้าผู้ยิ่งใหญ่กล่าวดังนี้’ ไม่ว่าพวกเขาจะฟังหรือไม่ยอมฟังก็ตาม”

12 ครั้นแล้ว พระวิญญาณก็ยกตัวข้าพเจ้าขึ้น ข้าพเจ้าได้ยินเสียงดังกระหึ่มดั่งแผ่นดินไหวที่เบื้องหลังว่า “ขอพระบารมีของพระผู้เป็นเจ้าได้รับการสรรเสริญในที่พระองค์สถิต” 13 เป็นเสียงปีกของบรรดาสิ่งมีชีวิตสัมผัสกัน และเป็นเสียงล้อที่อยู่ข้างตัว และเป็นเสียงดังกระหึ่ม 14 พระวิญญาณพัดข้าพเจ้าขึ้นและพาข้าพเจ้าไป จิตวิญญาณข้าพเจ้าฉุนเฉียวและไปด้วยความขมขื่น มืออันมั่นคงของพระผู้เป็นเจ้าสถิตกับข้าพเจ้า 15 และข้าพเจ้าก็ไปยังบรรดาผู้ลี้ภัยที่เทลอาบิบ พวกเขาอาศัยอยู่ใกล้แม่น้ำเคบาร์ และข้าพเจ้านั่งในท่ามกลางพวกเขา ข้าพเจ้านั่งตกตะลึงอยู่ที่นั่นเป็นเวลา 7 วัน

ผู้เฝ้ายามของอิสราเอล

16 หลังจาก 7 วันผ่านไป พระผู้เป็นเจ้ากล่าวกับข้าพเจ้าดังนี้ 17 “บุตรมนุษย์เอ๋ย เราได้ให้เจ้าเป็นผู้เฝ้ายามของพงศ์พันธุ์อิสราเอล เมื่อใดก็ตามที่เจ้าได้ยินคำพูดจากปากของเรา เจ้าจะต้องตักเตือนพวกเขาให้เรา 18 ถ้าเราพูดกับคนชั่วร้ายว่า ‘เจ้าจะต้องตายอย่างแน่นอน’ และถ้าเจ้าไม่ให้คำเตือน หรือพูดตักเตือนคนชั่วร้ายให้ละจากวิถีทางชั่วเพื่อรักษาชีวิตไว้ คนชั่วคนนั้นก็จะตายเนื่องจากบาปของเขา แต่เราจะให้ชีวิตของเขาอยู่ในความรับผิดชอบของเจ้า 19 แต่ถ้าเจ้าเตือนคนชั่วร้าย และเขาไม่หันไปจากความชั่วร้ายหรือจากวิถีทางชั่ว เขาจะตายเนื่องจากบาปของเขา แต่เจ้าจะรักษาจิตวิญญาณของเจ้าไว้ได้ 20 และในวิธีเดียวกันคือ ถ้าผู้มีความชอบธรรมหันไปจากความชอบธรรม และไร้ความยุติธรรม เราจะวางเครื่องกีดขวางกั้นเขา เขาก็จะตาย เพราะเจ้าไม่ได้ตักเตือนเขา เขาจะตายเพราะบาปของเขา และการกระทำอันชอบธรรมของเขาที่เคยทำไว้ก็จะไม่เป็นที่ระลึกถึง แต่ชีวิตของเขาอยู่ในความรับผิดชอบของเจ้า 21 แต่ถ้าเจ้าเตือนผู้ที่มีความชอบธรรมผู้นั้นไม่ให้กระทำบาป และเขาไม่กระทำบาป เขาจะมีชีวิตอยู่อย่างแน่นอน เพราะเขารับคำเตือน และเจ้าจะรักษาจิตวิญญาณของเจ้าไว้ได้”

22 มือของพระผู้เป็นเจ้าสถิตกับข้าพเจ้าที่นั่น และพระองค์กล่าวกับข้าพเจ้าดังนี้ “จงลุกขึ้น และเข้าไปในหุบเขา และเราจะพูดกับเจ้าที่นั่น” 23 ข้าพเจ้าลุกขึ้น และเข้าไปในหุบเขา ดูเถิด พระบารมีของพระผู้เป็นเจ้าอยู่ที่นั่น เหมือนกับพระบารมีที่ข้าพเจ้าได้เห็นแล้วที่ข้างแม่น้ำเคบาร์ และข้าพเจ้าซบหน้าลงกับพื้น 24 แต่พระวิญญาณก็เข้าสู่ตัวข้าพเจ้า ทำให้ข้าพเจ้ายืนขึ้น และพระองค์กล่าวกับข้าพเจ้าดังนี้ “เจ้าจงไป และอยู่ในบ้านของเจ้าตามลำพัง 25 ดูเถิด บุตรมนุษย์เอ๋ย เจ้าจะถูกเชือกมัดตัว และเจ้าจึงออกไปอยู่ท่ามกลางผู้คนไม่ได้ 26 และเราจะทำให้ลิ้นของเจ้าติดอยู่กับเพดานปาก เจ้าจะเป็นใบ้และพูดตักเตือนว่ากล่าวพวกเขาไม่ได้ แม้ว่าพวกเขาจะเป็นพงศ์พันธุ์ที่ขัดขืน 27 แต่เมื่อเราพูดกับเจ้า เราจะเปิดปากเจ้า และเจ้าจะพูดกับพวกเขาว่า ‘พระผู้เป็นเจ้าผู้ยิ่งใหญ่กล่าวดังนี้’ ผู้ที่จะฟัง ให้เขาฟัง และผู้ที่ไม่ยอมฟัง ก็ช่างเขา เพราะว่าพวกเขาเป็นพงศ์พันธุ์ที่ขัดขืน

เชิงเทินที่เยรูซาเล็ม

บุตรมนุษย์เอ๋ย เจ้าจงหยิบอิฐก้อนหนึ่งมาวางตรงหน้าเจ้า แล้วก็วาดเมืองเยรูซาเล็มบนอิฐก้อนนั้น และล้อมเมืองด้วยการก่อเชิงเทินเพื่อโจมตีเมือง สร้างกำแพงสูงล้อมเมือง ตั้งค่ายปะทะเมือง และตั้งไม้กระทุ้งรอบกำแพง เจ้าจงเอาแผ่นเหล็กมาวางระหว่างตัวเจ้ากับเมือง เหมือนเป็นกำแพงเหล็ก และหันหน้าไปทางนั้น เมืองก็จะถูกล้อม และเจ้าจะล้อมเมืองไว้ นี่คือหมายสำคัญสำหรับพงศ์พันธุ์อิสราเอล

จากนั้น เจ้าจงนอนตะแคงซ้าย ให้ความชั่วของพงศ์พันธุ์อิสราเอลอยู่ที่ตัวเจ้า เจ้าจะต้องรับเอาความชั่วของพวกเขาไว้ เจ้าจะนอนตะแคงเป็นเวลาหลายวัน เราได้กำหนดจำนวนวันให้แก่เจ้าเท่ากับจำนวนปีที่เขาทำบาป ฉะนั้นเจ้าจะรับเอาความชั่วของพงศ์พันธุ์อิสราเอลเป็นเวลา 390 วัน เมื่อเจ้าทำตามนี้ครบแล้ว เจ้าจงนอนลงเป็นครั้งที่สอง แต่จงนอนตะแคงขวา และรับเอาความชั่วของพงศ์พันธุ์ยูดาห์ เรากำหนดให้เจ้า 40 วัน คือ 1 วันแทน 1 ปี และเจ้าจงหันหน้าไปยังเมืองเยรูซาเล็มซึ่งถูกล้อม และเผยความต่อต้านเมืองโดยถลกแขนเสื้อของเจ้าขึ้น ดูเถิด เราจะใช้เชือกมัดตัวเจ้า เจ้าจะหันซ้ายหันขวาไม่ได้จนกว่าจะครบกำหนดวันที่เจ้าล้อมเมืองแล้ว

และเจ้าจงเอาข้าวสาลี ข้าวบาร์เลย์ เมล็ดถั่ว ถั่วเลนเทิ้ล ข้าวฟ่าง และข้าวสาลีป่า บรรจุรวมในภาชนะเดียวกันสำหรับทำขนมปัง และเจ้าจงใช้เป็นอาหารรับประทานระหว่างที่นอนตะแคงเป็นเวลา 390 วัน 10 เจ้าจงรับประทานอาหารตามน้ำหนัก 20 เชเขล[h]ต่อวัน และทุกวัน 11 และเจ้าจงดื่มน้ำแต่ละวันได้ปริมาณหนึ่งส่วนหกฮิน[i] 12 เจ้าจงรับประทานอาหารอย่างเช่นขนมบาร์เลย์โดยที่อบต่อหน้าผู้คนด้วยการใช้อุจจาระมนุษย์เป็นเชื้อเพลิง” 13 พระผู้เป็นเจ้ากล่าวดังนี้ “นี่เป็นวิธีที่ชาวอิสราเอลจะรับประทานอาหารที่มีมลทินในท่ามกลางบรรดาประชาชาติที่เราจะขับไล่พวกเขาไปอยู่” 14 และข้าพเจ้าพูดว่า “โอ พระผู้เป็นเจ้าผู้ยิ่งใหญ่ ดูเถิด ข้าพเจ้าไม่เคยทำสิ่งใดให้เป็นมลทินแก่ตัวข้าพเจ้า นับตั้งแต่เด็กจนถึงบัดนี้ ข้าพเจ้าไม่เคยรับประทานเนื้อสัตว์ที่ตายเองหรือถูกสัตว์ป่าขม้ำตาย ข้าพเจ้าไม่เคยรับประทานเนื้อสัตว์ที่เป็นมลทินเลย” 15 พระองค์กล่าวกับข้าพเจ้าดังนี้ว่า “ถ้าอย่างนั้น เราจะให้เจ้าใช้มูลสัตว์อบขนมปังแทนอุจจาระมนุษย์”[j] 16 พระองค์กล่าวดังนี้ “บุตรมนุษย์เอ๋ย ดูเถิด เราจะทำให้อาหารขาดแคลนในเยรูซาเล็ม ประชาชนจะรับประทานขนมปังตามน้ำหนักที่จำกัดด้วยความกังวล และพวกเขาจะดื่มน้ำตามปริมาณที่จำกัดด้วยความสิ้นหวัง 17 เราจะกระทำเช่นนี้ต่อพวกเขาให้ขาดอาหารและน้ำ พวกเขาจะมองหน้ากันและกันด้วยความตระหนก และร่างของพวกเขาจะทรุดโทรมลงเพราะบาปของพวกเขา

เยรูซาเล็มจะพินาศ

โอ บุตรมนุษย์เอ๋ย เจ้าจงหยิบดาบคมกริบเล่มหนึ่ง ใช้ดาบเหมือนกับที่ช่างตัดผมใช้มีดโกนของเขา เพื่อโกนผมและหนวดเครา และใช้ตราชูชั่งผมออกเป็นส่วนๆ เมื่อการล้อมเมืองของเจ้าสิ้นสุดลง จงใช้ไฟเผาผมของเจ้าหนึ่งส่วนสามที่กลางเมือง จากนั้นเจ้าจงใช้ดาบฟันผมหนึ่งส่วนสามที่รอบๆ เมือง และอีกหนึ่งส่วนสามเจ้าจงโปรยให้กระจายไปกับสายลม เพราะเราจะชักดาบไล่ล่าพวกเขาไป เจ้าจงเหน็บผมสองสามเส้นเก็บไว้ที่ชายเสื้อคลุมของเจ้า และจงหยิบผมอีกสองสามเส้นเผาทิ้งในกองไฟ ไฟจะลุกลามและแพร่ไปทั่วพงศ์พันธุ์อิสราเอล”

พระผู้เป็นเจ้าจอมโยธาผู้ยิ่งใหญ่กล่าวดังนี้ว่า “นี่คือเยรูซาเล็ม เราได้ตั้งเมืองนี้ไว้ที่ท่ามกลางบรรดาประชาชาติ ซึ่งมีหลายดินแดนอยู่โดยรอบนาง และนางได้ขัดขืนต่อคำบัญชาและกฎเกณฑ์ของเรา ยิ่งกว่าบรรดาประชาชาติและหลายดินแดนรอบตัวนาง นางไม่ยอมรับฟังคำบัญชาและไม่ปฏิบัติตามกฎเกณฑ์ของเรา” ฉะนั้น พระผู้เป็นเจ้าผู้ยิ่งใหญ่กล่าวดังนี้ว่า “เพราะว่าเจ้าขัดขืนเรายิ่งกว่าบรรดาประชาชาติที่อยู่โดยรอบเจ้า และไม่ได้ปฏิบัติตามกฎเกณฑ์หรือรักษากฎบัญญัติของเรา พวกเจ้าไม่ได้ทำตามแม้แต่กฎของบรรดาประชาชาติที่อยู่โดยรอบเจ้า” ฉะนั้น พระผู้เป็นเจ้าผู้ยิ่งใหญ่กล่าวดังนี้ว่า “ดูเถิด แม้เราเองก็คัดค้านเจ้า เยรูซาเล็มเอ๋ย และเราจะลงโทษเจ้าต่อหน้าบรรดาประชาชาติ เพราะรูปเคารพอันน่ารังเกียจทั้งสิ้นของเจ้า เราจะกระทำต่อเจ้าอย่างที่ไม่เคยทำมาก่อน และจะไม่มีวันที่จะกระทำอีก 10 ฉะนั้น บรรดาบิดาจะกินบุตรของพวกเขาเองในท่ามกลางพวกเจ้า และบรรดาบุตรก็จะกินบิดาของพวกเขาเอง และเราจะลงโทษเจ้า และจะทำให้บรรดาผู้รอดชีวิตกระจัดกระจายไปทั่วทุกสารทิศ” 11 ฉะนั้น พระผู้เป็นเจ้าผู้ยิ่งใหญ่ประกาศดังนี้ว่า “ตราบที่เรามีชีวิตอยู่ฉันใด เราเองจะโค่นเจ้าลง เราจะไม่มองดูเจ้าด้วยความเมตตา หรือไว้ชีวิตเจ้า เพราะเจ้าได้ทำให้ที่พำนักของเราเป็นมลทินด้วยสิ่งอันน่ารังเกียจ และด้วยสิ่งอันน่าขยะแขยงทั้งปวง 12 หนึ่งในสามของพวกเจ้าจะตายจากโรคระบาดหรือไม่ก็อดอยากตายในท่ามกลางพวกเจ้า หนึ่งในสามจะล้มตายด้วยดาบที่นอกกำแพงเมือง และอีกหนึ่งในสาม เราจะทำให้กระจัดกระจายไปทั่วทุกสารทิศ และจะชักดาบไล่ล่าพวกเจ้าไป

13 และความโกรธของเราจะแสดงออก และเราจะระบายความกริ้วลงที่พวกเขาจนเราจะพอใจ และเมื่อเราลงโทษพวกเขาแล้ว พวกเขาจะรู้ว่า เราคือพระผู้เป็นเจ้า และเราได้พูดด้วยความหวงแหน 14 เราจะทำให้เจ้าเป็นที่ร้าง และเป็นที่ดูหมิ่นในบรรดาประชาชาติโดยรอบเจ้า ต่อหน้าทุกคนที่ผ่านมา 15 เจ้าจะเป็นที่ดูหมิ่น เป็นที่หัวเราะเยาะ เป็นการเตือนและสภาพที่น่าหวาดกลัวสำหรับบรรดาประชาชาติที่อยู่โดยรอบเจ้า เมื่อเราลงโทษเจ้าด้วยความโกรธและกริ้ว เราตักเตือนเจ้าด้วยความโกรธ เราคือพระผู้เป็นเจ้า เราได้กล่าวแล้ว 16 เมื่อเรายิงศรแห่งความอดอยากที่นำความตายและหายนะมายังเจ้า เราจะทำเพื่อให้เจ้าพินาศ เราจะนำความอดอยากมาให้เจ้ามากยิ่งขึ้น และจะทำให้อาหารขาดแคลน 17 เราจะทำให้เกิดความอดอยาก และรังควานเจ้าด้วยสัตว์ป่า และลูกๆ ของเจ้าจะถูกพรากจากไป เจ้าจะประสบกับโรคระบาดและโลหิตตก และเจ้าจะไม่อาจหลีกเลี่ยงจากคมดาบ เราคือพระผู้เป็นเจ้า เราได้กล่าวแล้ว”

โทษของการบูชารูปเคารพ

พระผู้เป็นเจ้ากล่าวกับข้าพเจ้าดังนี้ “บุตรมนุษย์เอ๋ย จงหันหน้าไปทางภูเขาของอิสราเอล และเผยความกล่าวโทษพวกเขา และจงพูดว่า โอ ภูเขาของอิสราเอลเอ๋ย จงฟังคำกล่าวของพระผู้เป็นเจ้าผู้ยิ่งใหญ่ นี่คือสิ่งที่พระผู้เป็นเจ้าผู้ยิ่งใหญ่กล่าวแก่ภูเขาและเนินเขา แก่ธารน้ำในหุบเขาและหุบเขา เรากำลังจะทำให้เจ้าไม่คลาดแคล้วไปจากคมดาบ และเราจะทำลายสถานบูชาบนภูเขาสูงของพวกเจ้า แท่นบูชาของพวกเจ้าจะถูกพังทลายลง และแท่นเผาเครื่องหอมทั้งหลายจะถูกทุบจนแตกหัก และเราจะทิ้งคนของเจ้าที่ถูกสังหารลงที่ตรงหน้ารูปเคารพทั้งหลาย เราจะทอดร่างของชาวอิสราเอลที่ตรงหน้ารูปเคารพทั้งหลายของพวกเขา และเราจะโปรยกระดูกของพวกเจ้าที่รอบๆ แท่นบูชาทั้งหลายของพวกเจ้า ไม่ว่าพวกเจ้าอาศัยอยู่ที่ใดก็ตาม เมืองจะพินาศ และสถานบูชาบนภูเขาสูงจะพังทลาย แท่นบูชาของพวกเจ้าก็จะพินาศและพังทลาย รูปเคารพของพวกเจ้าแตกหักและพังพินาศ แท่นเผาเครื่องหอมของพวกเจ้าถูกฟันล้มลง และสิ่งที่พวกเจ้าสร้างขึ้นจะไม่เหลือแม้แต่ซาก ผู้ที่ถูกสังหารจะล้มตายท่ามกลางพวกเจ้า แล้วพวกเจ้าจึงจะรู้ว่า เราคือพระผู้เป็นเจ้า

แต่ถึงกระนั้น เราจะไว้ชีวิตของพวกเจ้าบางคน เพราะบางคนจะรอดจากความตายไปได้ ในเวลาที่กระจัดกระจายไปอยู่ในท่ามกลางบรรดาประชาชาติและในหลายดินแดน แล้วบรรดาผู้ที่หนีรอดไปได้จะระลึกถึงเราในท่ามกลางบรรดาประชาชาติที่จับพวกเขาไปเป็นเชลย เราเสียใจเพียงไรกับการนอกใจของพวกเขา ที่ได้หันหลังให้เรา และสิ่งที่เขามองเห็นทำให้เกิดกิเลสกับรูปเคารพของพวกเขา พวกเขาจะเกลียดตนเองที่ได้กระทำสิ่งชั่วร้ายและประพฤติอย่างน่ารังเกียจทั้งสิ้น 10 และพวกเขาจะรู้ว่า เราคือพระผู้เป็นเจ้า เราไม่ได้เพียงขู่เข็ญว่า เราจะนำความวิบัติเช่นนี้มายังพวกเขา”

11 พระผู้เป็นเจ้าผู้ยิ่งใหญ่กล่าวดังนี้ “จงปรบมือและกระทืบเท้าและพูดว่า วิบัติ เพราะความประพฤติอันชั่วร้ายและน่ารังเกียจทั้งสิ้นของพงศ์พันธุ์อิสราเอล พวกเขาจึงจะตายด้วยคมดาบ การอดอยาก และโรคระบาด 12 ผู้ที่อยู่ห่างไกลจะตายจากโรคระบาด ผู้ที่อยู่ใกล้จะตายด้วยคมดาบ และผู้ที่อยู่รอดจะตายเนื่องจากการอดอยาก เราจะแสดงความโกรธกับพวกเขา 13 และพวกเขาจะรู้ว่า เราคือพระผู้เป็นเจ้าเมื่อประชาชนนอนตายท่ามกลางรูปเคารพที่รอบแท่นบูชาของพวกเขา บนเนินเขาสูงและบนยอดเขาทุกแห่ง ใต้ต้นไม้เขียวชอุ่มทุกต้น และใต้ต้นโอ๊กที่ผลิใบทุกต้น ทุกแห่งที่มีการมอบเครื่องหอมแก่รูปเคารพทั้งปวง 14 และเราจะยื่นมือของเราออกเพื่อลงโทษพวกเขา และทำให้แผ่นดินที่พวกเขาอาศัยอยู่ทุกแห่งเป็นที่รกร้าง นับจากถิ่นทุรกันดารจนถึงดิบลาห์[k] แล้วพวกเขาจะรู้ว่า เราคือพระผู้เป็นเจ้า

วันแห่งความโกรธกริ้วของพระผู้เป็นเจ้า

พระผู้เป็นเจ้ากล่าวกับข้าพเจ้าดังนี้ว่า “และตัวเจ้าเอง บุตรมนุษย์เอ๋ย พระผู้เป็นเจ้าผู้ยิ่งใหญ่กล่าวกับแผ่นดินอิสราเอลว่า วันสิ้นสุดลง การสิ้นสุดได้มายัง 4 มุมของแผ่นดินโลกแล้ว บัดนี้วันสิ้นสุดลงจะตกอยู่กับเจ้า และเราจะให้ความโกรธของเรามาถึงตัวเจ้า เราจะพิพากษาตามวิถีทางของเจ้า และเราจะลงโทษเจ้าเพราะการกระทำอันน่ารังเกียจทั้งสิ้นของเจ้า เราจะไม่ไว้ชีวิตหรือมองดูเจ้าด้วยความเมตตา แต่เราจะลงโทษเพราะวิถีทางของเจ้า เมื่อพวกเจ้ายังกระทำสิ่งอันน่ารังเกียจ แล้วพวกเจ้าจะรู้ว่า เราคือพระผู้เป็นเจ้า

พระผู้เป็นเจ้าผู้ยิ่งใหญ่กล่าวดังนี้ว่า “ความพินาศอย่างไม่เคยมีมาก่อนกำลังจะเกิดขึ้น วันสิ้นสุดลงได้มาถึง วันสิ้นสุดลงได้มาถึงแล้ว มันได้ตื่นขึ้นมาต่อต้านเจ้า ดูเถิด มันมาถึงแล้ว การลงโทษเจ้ามาถึงแล้ว เจ้าที่อาศัยอยู่ในแผ่นดิน ถึงเวลาแล้ว วันนั้นใกล้เข้ามาแล้ว วันแห่งการชุลมุนซึ่งไม่ใช่เสียงร้องแห่งความยินดีบนภูเขา เรากำลังจะกระหน่ำการลงโทษของเราลงบนเจ้า และเราจะให้ความกริ้วของเราลงที่เจ้า เราจะพิพากษาตามวิถีทางของเจ้า และเราจะสนองตอบการกระทำที่น่าชังทั้งสิ้นของเจ้า เราจะไม่ไว้ชีวิตหรือมองดูเจ้าด้วยความเมตตา เราจะลงโทษตามวิถีทางของเจ้า เมื่อพวกเจ้ายังกระทำสิ่งอันน่ารังเกียจ แล้วพวกเจ้าจะรู้ว่า เราคือพระผู้เป็นเจ้าผู้สังหาร

10 ดูเถิด วันนั้นมาถึงแล้ว มาถึงแล้ว การลงโทษเจ้ามาถึงแล้ว ไม้เรียวได้ออกดอกแล้ว ความหยิ่งยโสออกดอกตูมแล้ว 11 การกระทำอันรุนแรงได้เติบโตขึ้นเป็นการลงโทษความชั่วร้าย ไม่มีผู้ใดในพวกเขาจะมีชีวิตเหลืออยู่ ไม่มีสักคนในหมู่ชน ไม่มีความมั่งมี จะไม่มีสิ่งมีค่าใดๆ 12 ถึงเวลาแล้ว วันนั้นมาถึงแล้ว อย่าให้ผู้ซื้อยินดี หรือผู้ขายเศร้าใจ เพราะการลงโทษตกอยู่กับฝูงชนทั้งปวง 13 เพราะผู้ขายจะไม่กลับไปยังที่ดินซึ่งเขาขายไปแล้ว แม้ทั้งสองฝ่ายยังมีชีวิตรอดก็ตาม เพราะภาพนิมิตนี้เกี่ยวข้องกับฝูงชนทั้งปวงและจะไม่หันกลับ และเป็นเพราะบาปของเขา จึงไม่มีสักคนที่จะรักษาชีวิตของตนไว้ได้

14 ถึงแม้ว่าพวกเขาได้เป่าแตรงอนและเตรียมทุกอย่างไว้พร้อม แต่ก็ไม่มีผู้ใดที่จะทำศึกสงคราม เพราะการลงโทษของเราตกอยู่กับฝูงชนทั้งปวง 15 ภายนอกมีการสู้รบ โรคระบาด และการอดอยากเกิดขึ้นภายใน บรรดาผู้ที่อยู่ในไร่นาจะตายด้วยคมดาบ และบรรดาผู้ที่อยู่ในเมืองจะถูกการอดอยากและโรคระบาดกำจัดเสียสิ้น 16 พวกที่ประทังชีวิตและหลบหนีไปได้จะไปอยู่ในแถบภูเขา และโอดครวญอย่างนกพิราบในหุบเขา แต่ละคนจะเป็นเช่นนั้นเนื่องจากบาปของตน 17 ทุกๆ มือจะอ่อนเปลี้ย และเข่าจะอ่อนปวกเปียกราวกับน้ำ 18 พวกเขาจะสวมผ้ากระสอบและตกอยู่ในสภาพที่หวาดหวั่น จะอับอายขายหน้าและถูกโกนผม 19 พวกเขาจะโยนเงินทิ้งที่ถนน และทองคำของพวกเขาจะเป็นเหมือนสิ่งที่เป็นมลทิน ทั้งเงินและทองคำไม่อาจจะช่วยชีวิตของพวกเขาได้ในวันแห่งการลงโทษของพระผู้เป็นเจ้า พวกเขาจะไม่หายหิวหรือจะอิ่มท้องได้ด้วยของพวกนั้น เพราะมันทำให้พวกเขาสะดุดลงในความบาป 20 พวกเขาภาคภูมิใจกับเครื่องประดับที่สวยงาม และเอาไปทำเป็นรูปเคารพอันน่ารังเกียจและรูปบูชาอันน่าขยะแขยง ฉะนั้นเราจะทำให้สิ่งเหล่านี้กลายเป็นสิ่งที่เป็นมลทิน 21 และเราจะให้เป็นเหยื่อในมือของบรรดาชาวต่างชาติ และเป็นสิ่งที่ริบมาให้แก่คนชั่วร้ายของแผ่นดินโลก และพวกเขาจะดูหมิ่นสิ่งเหล่านั้น 22 เราจะหันหน้าไปจากพวกเขา และพวกเขาจะดูหมิ่นสถานที่อันมีค่า พวกโจรจะเข้าไปและดูหมิ่นสถานที่นั้น

23 จงเตรียมโซ่ให้พร้อม เพราะแผ่นดินเต็มด้วยการนองเลือด และเมืองเต็มด้วยความป่าเถื่อน 24 เราจะนำบรรดาประชาชาติที่เลวร้ายที่สุดมายึดบ้านเรือนของพวกเขา เราจะทำให้ความยโสของผู้มีอำนาจสิ้นลง และสถานที่บริสุทธิ์ทั้งหลายของพวกเขาจะถูกดูหมิ่น 25 เมื่อเกิดความปวดร้าว พวกเขาจะแสวงหาสันติสุข แต่ก็จะไม่พบ 26 ความวิบัติซ้อนความวิบัติจะเกิดขึ้น คำเล่าลือแพร่กันไปทั่ว พวกเขาจะเค้นหาภาพนิมิตจากผู้เผยคำกล่าว การสั่งสอนกฎบัญญัติจากปุโรหิตจะสูญหายเช่นเดียวกับคำปรึกษาของบรรดาหัวหน้าชั้นผู้ใหญ่ 27 กษัตริย์จะเศร้าโศก ผู้ยิ่งใหญ่จะนุ่งห่มด้วยความสิ้นหวัง มือของประชาชนของแผ่นดินสั่นเทา เราจะกระทำต่อพวกเขาตามสิ่งที่เขาทำมา และเราจะพิพากษาลงโทษตามมาตรฐานการตัดสินของพวกเขา แล้วพวกเจ้าจะรู้ว่า เราคือพระผู้เป็นเจ้า

สิ่งอันน่ารังเกียจในพระตำหนัก

ในวันที่ห้าของเดือนหก ปีที่หก[l] ขณะที่ข้าพเจ้านั่งอยู่ในบ้านของข้าพเจ้า และบรรดาหัวหน้าชั้นผู้ใหญ่ของยูดาห์ก็นั่งอยู่ตรงหน้า และมือของพระผู้เป็นเจ้าผู้ยิ่งใหญ่สถิตกับข้าพเจ้าที่นั่น ข้าพเจ้ามองดู และเห็นสิ่งหนึ่งซึ่งมีลักษณะเหมือนเปลวไฟ[m] ดูเหมือนว่าตั้งแต่บั้นเอวลงมา ผู้นั้นปรากฏเหมือนเปลวไฟ และจากบั้นเอวขึ้นไปมีประกายจ้าเหมือนโลหะวาววับ ผู้นั้นยื่นสิ่งหนึ่งซึ่งเหมือนมือออกมาจับผมบนศีรษะของข้าพเจ้า พระวิญญาณยกตัวข้าพเจ้าขึ้นระหว่างแผ่นดินโลกและฟ้าสวรรค์ และภาพนิมิตที่พระเจ้าโปรดให้เห็นคือ พระวิญญาณพาข้าพเจ้าไปยังเยรูซาเล็ม ให้เข้าประตูไปข้างในที่อยู่ด้านทิศเหนือ ซึ่งมีรูปเคารพที่กระตุ้นให้เกิดความหวงแหนยืนอยู่ และดูเถิด พระบารมีของพระเจ้าของอิสราเอลปรากฏอยู่ที่นั่น เหมือนในภาพนิมิตที่ข้าพเจ้าเคยเห็นที่หุบเขา

พระองค์กล่าวกับข้าพเจ้าดังนี้ว่า “บุตรมนุษย์เอ๋ย จงมองไปทางทิศเหนือ” ข้าพเจ้าก็มอง และที่ทางเข้าทางทิศเหนือของประตูแท่นบูชา ข้าพเจ้าเห็นรูปเคารพที่ก่อให้เกิดความหวงแหน พระองค์กล่าวกับข้าพเจ้าดังนี้ว่า “บุตรมนุษย์เอ๋ย เจ้าเห็นไหมว่าพวกเขากำลังทำอะไรอยู่ สิ่งทั้งหลายอันน่ารังเกียจที่สุดที่พงศ์พันธุ์อิสราเอลกำลังทำอยู่ที่นี่ สิ่งที่จะขับให้เราออกไปไกลจากที่พำนักของเรา แต่เจ้าจะเห็นสิ่งต่างๆ ที่น่ารังเกียจมากยิ่งกว่าเสียอีก”

และพระองค์พาข้าพเจ้าไปยังทางเข้าลานพระตำหนัก ดูเถิด เมื่อข้าพเจ้ามองดู ก็เห็นว่ามีช่องโหว่ในกำแพง พระองค์กล่าวกับข้าพเจ้าว่า “บุตรมนุษย์เอ๋ย จงทะลวงกำแพง” ดังนั้น ข้าพเจ้าจึงทะลวงกำแพง ดูเถิด มีทางเข้า และพระองค์กล่าวกับข้าพเจ้าว่า “จงเข้าไป และดูสิ่งชั่วร้ายและน่าชังที่พวกเขาปฏิบัติที่นี่” 10 ดังนั้น ข้าพเจ้าจึงเข้าไปดู และข้าพเจ้าเห็นรูปที่รอบกำแพงเป็นสัตว์เลื้อยคลานทุกชนิดและสัตว์ป่าที่น่ารังเกียจ และรูปเคารพทั้งสิ้นของพงศ์พันธุ์อิสราเอล 11 และมีบรรดาหัวหน้าชั้นผู้ใหญ่ของพงศ์พันธุ์อิสราเอล 70 คนยืนอยู่ข้างหน้ารูปเหล่านั้น ยาอาซันยาห์บุตรชาฟานก็ยืนอยู่กับพวกเขาด้วย และแต่ละคนถือกระถางเครื่องหอมของตน กลุ่มควันเครื่องหอมลอยขึ้น 12 และพระองค์กล่าวกับข้าพเจ้าดังนี้ “บุตรมนุษย์เอ๋ย เจ้าเห็นแล้วใช่ไหมว่า บรรดาหัวหน้าชั้นผู้ใหญ่ของอิสราเอลกำลังทำอะไรในที่มืด แต่ละคนอยู่ในห้องบูชารูปเคารพ พวกเขาพูดว่า ‘พระผู้เป็นเจ้ามองไม่เห็นพวกเรา พระผู้เป็นเจ้าได้ทอดทิ้งแผ่นดินนี้แล้ว’” 13 พระองค์กล่าวกับข้าพเจ้าดังนี้ด้วยว่า “เจ้ายังจะได้เห็นสิ่งต่างๆ อันน่ารังเกียจเสียยิ่งกว่าสิ่งที่พวกเขากำลังทำอยู่”

14 ต่อจากนั้นพระองค์พาข้าพเจ้าไปยังทางเข้าประตูด้านเหนือของพระตำหนักของพระผู้เป็นเจ้า ดูเถิด ที่นั่นมีบรรดาผู้หญิงนั่งร้องรำพันถึงเทพเจ้าทัมมุส 15 และพระองค์กล่าวกับข้าพเจ้าดังนี้ “เจ้าเห็นแล้วหรือยัง โอ บุตรมนุษย์เอ๋ย เจ้ายังจะได้เห็นสิ่งต่างๆ อันน่ารังเกียจเสียยิ่งกว่าสิ่งเหล่านี้”

16 และพระองค์พาข้าพเจ้าเข้าไปในลานพระตำหนักของพระผู้เป็นเจ้า ที่นั่นเป็นทางเข้าพระตำหนักชั้นนอก ซึ่งอยู่ระหว่างห้องมุขและแท่นบูชา มีผู้ชายประมาณ 25 คนยืนหันหลังให้พระวิหารของพระผู้เป็นเจ้า พวกเขาหันหน้าไปทางทิศตะวันออก และกำลังก้มคารวะดวงอาทิตย์ทางทิศตะวันออก 17 พระองค์กล่าวกับข้าพเจ้าดังนี้ “บุตรมนุษย์เอ๋ย เจ้าเห็นแล้วยัง นี่เป็นเรื่องเล็กน้อยหรือที่พงศ์พันธุ์ยูดาห์ปฏิบัติอย่างน่ารังเกียจเช่นนี้ที่นี่ พวกเขาถึงต้องแสดงความป่าเถื่อนไปทั่วแผ่นดิน และยั่วโทสะเราซ้ำแล้วซ้ำอีกอย่างนั้นหรือ ดูพวกเขาสิ ใช้กิ่งไม้เจาะจมูก 18 ฉะนั้น เราจะกระทำต่อพวกเขาด้วยความกริ้ว เราจะไม่มองดูพวกเขาด้วยความเมตตา หรือไว้ชีวิตพวกเขา และแม้ว่าพวกเขาจะร้องตะโกนใส่หูเรา เราก็จะไม่ฟังพวกเขา”

ผู้บูชารูปเคารพถูกสังหาร

พระองค์กล่าวด้วยเสียงอันดังว่า “จงให้บรรดาผู้สังหารของเมืองมาที่นี่ ให้ทุกคนถืออาวุธมาด้วย” ดูเถิด ผู้ชาย 6 ท่านมาจากทางประตูเหนือซึ่งหันไปทางเหนือ แต่ละท่านถืออาวุธที่ปลิดชีพได้ และมีชายอีกผู้หนึ่งสวมผ้าป่านและมีเครื่องเขียนคาดเอว ทุกท่านเข้าไปข้างในและยืนที่ข้างแท่นบูชาทองสัมฤทธิ์

บัดนี้ พระบารมีของพระเจ้าของอิสราเอลซึ่งอยู่เบื้องบนของตัวเครูบ[n]ก็เลื่อนขึ้นสู่เบื้องบน และไปยังธรณีประตูพระตำหนัก แล้วพระผู้เป็นเจ้าเรียกชายผู้สวมผ้าป่านและมีเครื่องเขียนคาดเอวมา และกล่าวกับท่านดังนี้ว่า “จงไปให้ทั่วเมืองเยรูซาเล็ม และเขียนเครื่องหมายบนหน้าผากของบรรดาผู้ที่เศร้าใจและโอดครวญเพราะสิ่งอันน่ารังเกียจทั้งสิ้นที่ปฏิบัติในเมือง” ขณะที่ข้าพเจ้าฟังอยู่ พระองค์กล่าวกับท่านอื่นๆ ในที่นั้นดังนี้ว่า “จงตามเขาไปให้ทั่วเมืองและสังหาร พวกเจ้าจะไม่มองดูพวกเขาด้วยความเมตตา หรือไว้ชีวิตพวกเขา พวกเจ้าจงสังหารชายชรา ชายหนุ่มและหญิงสาว ผู้หญิงและเด็ก แต่จงอย่าแตะต้องผู้ใดที่มีเครื่องหมาย โดยเริ่มจากที่พำนักของเรา” ดังนั้นพวกท่านจึงเริ่มกระทำต่อบรรดาหัวหน้าชั้นผู้ใหญ่ซึ่งอยู่หน้าพระตำหนัก และพระองค์กล่าวกับพวกท่านดังนี้ว่า “จงทำตำหนักให้เป็นมลทิน และวางศพที่ลานตำหนักให้เต็ม ออกไปได้แล้ว” ดังนั้น พวกท่านจึงออกไปและเริ่มสังหารคนทั่วทั้งเมือง ขณะที่พวกท่านกำลังสังหารผู้คน และข้าพเจ้าอยู่เพียงลำพัง ข้าพเจ้าซบหน้าลงกับพื้น และร้องว่า “โอ พระผู้เป็นเจ้าผู้ยิ่งใหญ่ พระองค์จะกำจัดชาวอิสราเอลที่มีชีวิตเหลืออยู่ทั้งหมด โดยกระหน่ำการลงโทษของพระองค์ที่เยรูซาเล็มหรือ”

พระองค์กล่าวกับข้าพเจ้าดังนี้ว่า “ความผิดของพงศ์พันธุ์อิสราเอลและยูดาห์ใหญ่หลวงยิ่งนัก แผ่นดินเต็มด้วยการนองเลือด และเมืองเต็มด้วยความไม่ยุติธรรม เพราะพวกเขาพูดดังนี้ว่า ‘พระผู้เป็นเจ้าได้ทอดทิ้งแผ่นดินนี้แล้ว และพระผู้เป็นเจ้ามองไม่เห็น’ 10 เราจะไม่มองดูด้วยความเมตตา หรือไว้ชีวิตพวกเขา แต่เราจะสนองตอบตามที่พวกเขากระทำ”

11 ดูเถิด ชายผู้สวมผ้าป่านและมีเครื่องเขียนคาดเอวกลับมาพร้อมกับพูดว่า “เราได้กระทำตามที่พระองค์บัญชาแล้ว”

พระบารมีออกไปจากพระตำหนัก

10 ข้าพเจ้ามองดูที่เบื้องบนของโดมกว้างใหญ่ซึ่งอยู่เหนือศีรษะของบรรดาเครูบ ปรากฏเหมือนบัลลังก์ประดุจนิลสีคราม[o] พระองค์กล่าวกับชายผู้สวมผ้าป่านดังนี้ “จงเข้าไปในท่ามกลางล้อที่อยู่ใต้เครูบ และใช้มือทั้งสองกอบถ่านลุกโพลงที่อยู่ระหว่างเครูบ และโปรยลงที่เมือง”

ผู้นั้นก็เข้าไปต่อหน้าต่อตาข้าพเจ้า บรรดาเครูบยืนอยู่ที่ด้านทิศใต้ของพระตำหนัก เมื่อชายผู้นั้นเข้าไป เมฆก็ปกคลุมที่ลานชั้นใน พระบารมีของพระผู้เป็นเจ้าเลื่อนขึ้นไปจากเบื้องบนของตัวเครูบ ไปยังธรณีประตูพระตำหนัก และพระตำหนักเต็มไปด้วยเมฆ และลานเต็มด้วยความเจิดจ้าของพระบารมีของพระผู้เป็นเจ้า และเสียงกระทบปีกของเครูบได้ยินไปถึงลานนอก เป็นเหมือนเสียงของพระเจ้าผู้กอปรด้วยมหิทธานุภาพเมื่อพระองค์กล่าว

เมื่อพระองค์บัญชาชายผู้สวมผ้าป่านว่า “จงเอาไฟจากท่ามกลางล้อที่อยู่ในท่ามกลางเครูบ” ชายผู้นั้นเข้าไปยืนระหว่างล้อ และเครูบตัวหนึ่งยื่นมือไปหยิบไฟที่อยู่ใกล้เครูบทั้งหลาย และใส่ในมือของชายผู้สวมผ้าป่านซึ่งรับไป แล้วท่านก็ออกไปจากที่นั่น เครูบปรากฏเหมือนมีมือมนุษย์อยู่ใต้ปีก

ข้าพเจ้ามองดูและเห็นว่ามีล้อ 4 ล้อที่ข้างเครูบ แต่ละตัวมีล้อที่ข้างตัว 1 ล้อ และล้อปรากฏเหมือนโกเมนที่วาววับ 10 และล้อทั้งสี่มีลักษณะที่ปรากฏเหมือนกัน แต่ละล้อปรากฏเหมือนมีอีกล้อที่ซ้อนทับกันอยู่ 11 เวลาที่ล้อหมุนไป มันหมุนไปทิศใดก็ได้ทั้งสี่ทิศตามแต่เครูบจะไปโดยไม่ต้องหัน แต่เมื่อล้อหน้าหันไปในทิศทางใด ล้ออื่นก็จะตามไปโดยไม่ต้องหัน 12 เครูบมีตาเต็มไปหมด รวมทั้งหลัง มือ และปีก ซึ่งเหมือนกับล้อทั้งสี่ 13 ข้าพเจ้าได้ยินเสียงเรียกชื่อล้อว่า พายุหมุน 14 ทุกล้อมี 4 หน้า หน้าแรกเป็นหน้าเครูบ หน้าที่สองเป็นหน้ามนุษย์ หน้าที่สามเป็นหน้าสิงโต หน้าที่สี่เป็นหน้านกอินทรี

15 แล้วบรรดาเครูบลุกขึ้น นี่แหละเป็นสิ่งมีชีวิตที่ข้าพเจ้าเห็นที่ข้างแม่น้ำเคบาร์[p] 16 เมื่อเครูบเคลื่อน ล้อที่อยู่ข้างตัวก็จะเคลื่อน และเมื่อเครูบกางปีกออกเพื่อลุกขึ้นจากพื้น ล้อทั้งหลายก็ไม่ขยับไปจากข้างเครูบ 17 เมื่อเครูบยืนนิ่ง ล้อก็อยู่นิ่ง เมื่อเครูบลุกขึ้น ล้อก็ลุกขึ้นตามไปด้วย เพราะวิญญาณของสิ่งมีชีวิตอยู่ในล้อเหล่านั้น

18 แล้วพระบารมีของพระผู้เป็นเจ้าไปจากเบื้องบนธรณีประตูของพระตำหนัก และหยุดอยู่เหนือตัวเครูบ 19 เครูบกางปีกและบินขึ้นไปจากพื้นต่อหน้าต่อตาข้าพเจ้า พร้อมกับล้อที่อยู่ข้างตัว และยืนที่ทางเข้าประตูทางทิศตะวันออกของพระตำหนักของพระผู้เป็นเจ้า และพระบารมีของพระเจ้าของอิสราเอลอยู่เหนือบรรดาเครูบ

20 ข้าพเจ้าเห็นสิ่งมีชีวิตเหล่านี้อยู่เบื้องใต้ของพระเจ้าของอิสราเอลที่ใกล้แม่น้ำเคบาร์ และข้าพเจ้าทราบว่าสิ่งมีชีวิตเหล่านี้คือเครูบ 21 แต่ละตัวมี 4 หน้าและ 4 ปีก และใต้ปีกดูเหมือนว่ามีมือมนุษย์ 22 ใบหน้าปรากฏเหมือนกับที่ข้าพเจ้าเห็นแล้วที่ข้างแม่น้ำเคบาร์ แต่ละตัวบินตรงไปข้างหน้า

ลงโทษผู้ปรึกษาที่ชั่วร้าย

11 พระวิญญาณยกตัวข้าพเจ้าขึ้น และนำข้าพเจ้าไปยังประตูทางทิศตะวันออกของพระตำหนักของพระผู้เป็นเจ้า และดูเถิด ที่ทางเข้าประตูเมืองมีชาย 25 คน ข้าพเจ้าเห็นยาอาซันยาห์บุตรอัสซูร์ ปาลัทยาห์บุตรเบไนยาห์ บรรดาผู้นำของประชาชนอยู่กับพวกเขาด้วย พระองค์กล่าวกับข้าพเจ้าดังนี้ “บุตรมนุษย์เอ๋ย ผู้ชายเหล่านี้เป็นพวกที่วางแผนทำความชั่ว และให้คำปรึกษาที่ชั่วร้ายในเมืองนี้ พวกเขาพูดว่า ‘ใกล้จะถึงเวลาที่จะสร้างบ้านมิใช่หรือ[q] เมืองนี้เป็นหม้อต้ม และพวกเราเป็นเนื้อ’ ฉะนั้น เจ้าจงเผยความกล่าวโทษพวกเขา บุตรมนุษย์เอ๋ย จงเผยความ”

และพระวิญญาณของพระผู้เป็นเจ้าสถิตกับข้าพเจ้า และพระองค์กล่าวกับข้าพเจ้า พระผู้เป็นเจ้ากล่าวดังนี้ว่า “โอ พงศ์พันธุ์อิสราเอลเอ๋ย พวกเจ้าคิดเช่นนี้ เนื่องจากเรารู้ว่าพวกเจ้าคิดอะไร พวกเจ้าสังหารคนจำนวนมากในเมืองนี้ และมีคนตายเต็มถนน” ฉะนั้น พระผู้เป็นเจ้าผู้ยิ่งใหญ่กล่าวดังนี้ว่า “ร่างคนซึ่งถูกฆ่าตาย และพวกเจ้าโยนไปที่นั่นคือเนื้อ และเมืองนี้คือหม้อต้ม แต่เราจะขับไล่พวกเจ้าออกไปจากเมืองนั้น พวกเจ้ากลัวคมดาบ เราก็จะใช้ดาบกับเจ้า” พระผู้เป็นเจ้าผู้ยิ่งใหญ่กล่าวดังนั้น “เราจะขับไล่พวกเจ้าออกไปจากเมืองนั้น และมอบเจ้าไว้ในมือของบรรดาชาวต่างชาติ และลงโทษพวกเจ้า 10 พวกเจ้าจะตายด้วยคมดาบ เราจะลงโทษเจ้าที่ชายแดนอิสราเอล แล้วพวกเจ้าจะรู้ว่า เราคือพระผู้เป็นเจ้า 11 เมืองนี้จะไม่เป็นหม้อสำหรับพวกเจ้า และเจ้าจะไม่ใช่เนื้อในหม้อ เราจะลงโทษพวกเจ้าที่ชายแดนอิสราเอล 12 และพวกเจ้าจะรู้ว่า เราคือพระผู้เป็นเจ้า เพราะเจ้าไม่ได้ปฏิบัติตามกฎเกณฑ์และฟังคำบัญชาของเรา แต่กลับทำตามบรรดาประชาชาติที่อยู่โดยรอบเจ้า”

13 ขณะที่ข้าพเจ้าเผยความอยู่ ปาลัทยาห์บุตรเบไนยาห์ก็สิ้นชีวิต ข้าพเจ้าซบหน้าลงกับพื้น และร้องด้วยเสียงอันดังว่า “โอ พระผู้เป็นเจ้าผู้ยิ่งใหญ่ พระองค์จะกำจัดชาวอิสราเอลที่มีชีวิตเหลืออยู่ทั้งหมดเลยหรือ”

อิสราเอลกลับใจ

14 พระผู้เป็นเจ้ากล่าวกับข้าพเจ้าดังนี้ว่า 15 “บุตรมนุษย์เอ๋ย พี่น้องของเจ้า พี่น้องที่เป็นเลือดเนื้อเชื้อไขของเจ้าและพงศ์พันธุ์อิสราเอลทั้งปวงเป็นบรรดาผู้ที่ประชาชนของเยรูซาเล็มพูดถึงพวกเขาว่า ‘พวกเขาห่างไกลจากพระผู้เป็นเจ้า แผ่นดินนี้ถูกมอบให้แก่พวกเราเพื่อเป็นเจ้าของ’ 16 ฉะนั้น จงบอกเขาว่า พระผู้เป็นเจ้าผู้ยิ่งใหญ่กล่าวดังนี้ ‘แม้ว่าเราทำให้พวกเขาต้องย้ายไปไกลในท่ามกลางบรรดาประชาชาติ และให้กระจัดกระจายไปในหลายดินแดน แต่เราก็ยังเป็นที่พำนักสำหรับพวกเขาระยะหนึ่งในดินแดนที่พวกเขาไปอาศัยอยู่’ 17 ฉะนั้นจงบอกพวกเขาว่า พระผู้เป็นเจ้าผู้ยิ่งใหญ่กล่าวดังนี้ ‘เราจะรวบรวมพวกเจ้าจากบรรดาชนชาติ และนำพวกเจ้ากลับมาจากดินแดนต่างๆ ที่พวกเจ้ากระจัดกระจายไปอยู่ และเราจะมอบแผ่นดินของอิสราเอลคืนให้แก่พวกเจ้าอีก 18 และเมื่อพวกเขากลับมายังแผ่นดิน พวกเขาจะกำจัดสิ่งอันน่ารังเกียจและสิ่งอันน่าชังออกไป 19 และเราจะมอบใจที่เป็นหนึ่งเดียวและมอบวิญญาณดวงใหม่ไว้ในพวกเขา เราจะเอาใจที่แข็งเยี่ยงหินออกจากกายของพวกเขา และมอบใจที่เป็นเลือดเนื้อให้พวกเขาแทน 20 เพื่อพวกเขาจะดำเนินตามกฎเกณฑ์และฟังคำบัญชาของเรา และพวกเขาจะเป็นชนชาติของเรา และเราจะเป็นพระเจ้าของพวกเขา 21 แต่สำหรับบรรดาผู้ที่มีใจติดตามสิ่งอันน่ารังเกียจและสิ่งอันน่าชัง เราจะสนองตอบพวกเขาตามที่เขากระทำ’” พระผู้เป็นเจ้าผู้ยิ่งใหญ่ประกาศดังนั้น

22 ครั้นแล้วบรรดาเครูบซึ่งมีล้อติดอยู่ข้างตัวก็กางปีกออก และพระบารมีของพระเจ้าของอิสราเอลอยู่เหนือบรรดาเครูบ 23 พระบารมีของพระผู้เป็นเจ้าขึ้นไปจากกลางเมือง และยืนบนภูเขาซึ่งอยู่ทางทิศตะวันออกของเมือง 24 พระวิญญาณยกตัวข้าพเจ้าขึ้น และนำข้าพเจ้าในภาพนิมิตด้วยพระวิญญาณพระเจ้าให้ลี้ภัยไปยังเคลเดีย แล้วภาพนิมิตที่ข้าพเจ้าเห็นก็จากข้าพเจ้าขึ้นสู่เบื้องบน 25 และข้าพเจ้าบอกบรรดาผู้ลี้ภัยถึงทุกสิ่งที่พระผู้เป็นเจ้าได้ชี้ให้ข้าพเจ้าเห็น

การลี้ภัยเป็นสัญลักษณ์

12 พระผู้เป็นเจ้ากล่าวกับข้าพเจ้าดังนี้ว่า “บุตรมนุษย์เอ๋ย เจ้าอาศัยอยู่ท่ามกลางพงศ์พันธุ์ที่ขัดขืน ซึ่งมีตาเพื่อมองเห็น แต่ก็ไม่เห็น มีหูเพื่อได้ยิน แต่ก็ไม่ได้ยิน เพราะพวกเขาเป็นพงศ์พันธุ์ที่ขัดขืน แต่สำหรับเจ้าแล้ว บุตรมนุษย์เอ๋ย จงเตรียมข้าวของติดตัว และลี้ภัยไปในเวลากลางวันต่อหน้าพวกเขา เจ้าจงไปอย่างผู้ลี้ภัยจากที่เจ้าอยู่ไปยังที่อื่น พวกเขาอาจจะเข้าใจ แม้ว่าพวกเขาเป็นพงศ์พันธุ์ที่ขัดขืนก็ตาม เจ้าจงเอาข้าวของของเจ้าออกมาในตอนกลางวันอย่างผู้ลี้ภัยต่อหน้าพวกเขา และเจ้าจงออกไปในตอนเย็นอย่างผู้ลี้ภัยต่อหน้าพวกเขา จงทะลวงกำแพงต่อหน้าพวกเขา และเอาข้าวของของเจ้าออกไปทางช่องกำแพงต่อหน้าพวกเขา จงยกข้าวของขึ้นบ่าแบกไปต่อหน้าพวกเขาในยามพลบค่ำ จงปิดหน้าและเจ้าจะมองไม่เห็นแผ่นดิน เพราะเราได้ทำให้เจ้าเป็นเครื่องพิสูจน์แก่พงศ์พันธุ์อิสราเอล”

และข้าพเจ้าก็ทำตามที่ได้รับคำบัญชา ข้าพเจ้านำข้าวของออกมาในตอนกลางวันอย่างคนลี้ภัย และในยามเย็นข้าพเจ้าทะลวงกำแพงด้วยมือข้าพเจ้าเอง ข้าพเจ้านำข้าวของออกมาในยามพลบค่ำ แบกขึ้นบ่าต่อหน้าพวกเขา

ในยามเช้า พระผู้เป็นเจ้ากล่าวกับข้าพเจ้าดังนี้ว่า “บุตรมนุษย์เอ๋ย พงศ์พันธุ์อิสราเอลที่ขัดขืนไม่ได้พูดกับเจ้าหรือว่า ‘ท่านกำลังทำอะไร’ 10 จงบอกพวกเขาดังนี้ ‘พระผู้เป็นเจ้าผู้ยิ่งใหญ่กล่าวว่า คำพยากรณ์ถึงผู้ยิ่งใหญ่ในเยรูซาเล็มและพงศ์พันธุ์อิสราเอลทั้งปวงที่อยู่ในนั้น’ 11 จงบอกพวกเขาว่า ‘ข้าพเจ้าเป็นเครื่องพิสูจน์แก่พวกท่าน’ เราจะกระทำต่อพวกเขาอย่างที่เราได้กระทำแล้ว พวกเขาจะลี้ภัยไปอย่างเชลยศึก 12 ผู้ยิ่งใหญ่คนนั้นในหมู่พวกเขาจะยกข้าวของแบกขึ้นบ่าออกไปในเวลาพลบค่ำ พวกเขาจะทะลวงกำแพงให้เขาออกไป เขาจะปิดหน้า และตาของเขาจะมองไม่เห็นแผ่นดิน 13 และเราจะเหวี่ยงตาข่ายคลุมตัวเขา และเขาจะตกในกับดักของเรา เราจะนำเขาไปยังบาบิโลน แผ่นดินของชาวเคลเดีย แต่เขาจะมองไม่เห็นสิ่งใด และสิ้นชีวิตที่นั่น 14 เราจะทำให้คนทั้งปวงที่อยู่รอบข้างเขา คือทั้งบริพารและทหารทุกคนกระจัดกระจายไปทุกทิศทุกทาง แล้วเราจะชักดาบไล่ล่าพวกเขาไป 15 และพวกเขาจะรู้ว่า เราคือพระผู้เป็นเจ้าเมื่อเราทำให้พวกเขากระเจิดกระเจิงไปในท่ามกลางบรรดาประชาชาติ และกระจัดกระจายไปในหลายดินแดน 16 แต่เราจะปล่อยให้บางคนในหมู่พวกเขาหนีรอดจากดาบ การอดอยาก และโรคระบาด เพื่อให้เป็นที่ทราบในบรรดาประชาชาติที่พวกเขาไปอยู่ด้วย ถึงการกระทำอันน่าชังทั้งสิ้นของพวกเขา”

17 พระผู้เป็นเจ้ากล่าวกับข้าพเจ้าดังนี้ว่า 18 “บุตรมนุษย์เอ๋ย จงสั่นเทาเวลาเจ้ารับประทานอาหาร และหวั่นไหวด้วยความกลัวเวลาเจ้าดื่มน้ำ 19 จงบอกประชาชนของแผ่นดินว่า พระผู้เป็นเจ้าผู้ยิ่งใหญ่กล่าวถึงบรรดาผู้อยู่อาศัยของเยรูซาเล็ม และในแผ่นดินอิสราเอลดังนี้ว่า ‘พวกเขาจะรับประทานอาหารด้วยความกังวล และดื่มน้ำด้วยความสิ้นหวัง ทุกสิ่งในแผ่นดินของพวกเขาจะถูกยึดจนหมดสิ้น เพราะการกระทำอันรุนแรงของทุกคนที่อาศัยอยู่ที่นั่น 20 เมืองที่มีผู้คนอาศัยอยู่ก็จะเป็นเมืองร้าง และแผ่นดินจะกลายเป็นที่รกร้าง และเจ้าจะรู้ว่า เราคือพระผู้เป็นเจ้า’”

New Thai Version (NTV-BIBLE)

Copyright © 1998, 2012, 2020 by New Thai Version Foundation