Print Page Options
Previous Prev Day Next DayNext

Bible in 90 Days

An intensive Bible reading plan that walks through the entire Bible in 90 days.
Duration: 88 days
New Thai Version (NTV-BIBLE)
Version
เอเสเคียล 23:40-35:15

40 นางทั้งสองให้ผู้ส่งข่าวไปยังแดนไกลเพื่อหาผู้ชาย เมื่อพวกเขามาถึง เจ้าก็ชำระตัว เขียนตา สวมเครื่องประดับ 41 เจ้านั่งบนเตียงหรู และมีโต๊ะวางตรงหน้า ซึ่งเจ้าจัดเครื่องหอมและน้ำมันของเราไว้บนโต๊ะ 42 คนจำนวนมากที่อยู่กับนางส่งเสียงสนุกสนาน รวมถึงบรรดาผู้ชายจากทุกแห่งหน มีคนเมาเหล้าที่มาจากถิ่นทุรกันดาร พวกเขาสวมกำไลมือให้พวกผู้หญิง และสวมมงกุฎงามบนศีรษะของพวกนาง

43 แล้วเราพูดถึงผู้หญิงที่เหนื่อยอ่อนจากการผิดประเวณี พวกเขาจะใช้นางดั่งหญิงแพศยา คือรวมทั้งนางด้วย 44 เพราะพวกเขาได้นอนกับนาง อย่างกับผู้ชายที่ไปหาหญิงโสเภณี พวกเขาเข้าไปหาโอโฮลาห์และโอโฮลีบาห์ ซึ่งเป็นหญิงที่มักมากในกาม 45 แต่ผู้ชายคนอื่นๆ ที่มีความชอบธรรมจะตัดสินโทษพวกนางในฐานะหญิงล่วงประเวณีและฆ่าคน เพราะพวกเขาเป็นหญิงล่วงประเวณีและมือเปื้อนเลือด”

46 พระผู้เป็นเจ้าผู้ยิ่งใหญ่กล่าวดังนี้ “จงนำฝูงชนมาโจมตีพวกนาง และทำให้พวกนางต้องหวาดหวั่นและถูกปล้น 47 และฝูงชนจะขว้างก้อนหินใส่พวกนาง และใช้ดาบฟันนาง พวกเขาจะฆ่าบรรดาบุตรชายและบุตรหญิงของพวกนาง และเผาบ้านเรือนของพวกนางจนหมดสิ้น 48 เราจะทำให้ความมักมากในกามยุติลงในแผ่นดิน เพื่อเป็นการเตือนบรรดาผู้หญิงทุกคน และจะได้ไม่ประพฤติตามแบบอย่างของเจ้า 49 ฝูงชนจะกระทำกลับต่อเจ้าด้วยความมักมากในกาม เจ้าจะแบกรับโทษเพราะบาปในเรื่องรูปเคารพ และเจ้าจะรู้ว่า เราคือพระผู้เป็นเจ้าผู้ยิ่งใหญ่

การล้อมเมืองเยรูซาเล็ม

24 ในวันที่สิบของเดือนสิบ ปีที่เก้า[a] พระผู้เป็นเจ้ากล่าวกับข้าพเจ้าดังนี้ว่า “บุตรมนุษย์เอ๋ย จงบันทึกวันที่วันนี้ เจาะจงวันที่วันนี้ กษัตริย์แห่งบาบิโลนได้ล้อมเมืองเยรูซาเล็มตามวันที่ระบุนี้[b] และจงพูดเป็นอุปมาแก่พงศ์พันธุ์ที่ขัดขืนว่า พระผู้เป็นเจ้าผู้ยิ่งใหญ่กล่าวดังนี้

‘จงตั้งหม้อต้ม จงตั้งหม้อ
    และใส่น้ำลงไปด้วย
ใส่เนื้อลงในหม้อ ใช้เนื้อส่วนที่ดี
    ขาอ่อนและเนื้อสันขาหน้า
บรรจุกระดูกส่วนที่ดีให้เต็มหม้อ
    จงใช้แกะที่ดีที่สุดจากฝูง
สุมฟืนใต้หม้อ ต้มให้เดือด
    ต้มกระดูกในหม้อด้วย’”

ฉะนั้น พระผู้เป็นเจ้าผู้ยิ่งใหญ่กล่าวดังนี้ว่า “วิบัติจงเกิดแก่เมืองที่นองเลือด วิบัติจงเกิดแก่หม้อต้มที่มีตะกรันติดอยู่ในหม้อและยังไม่หลุดออก จงคีบเนื้อออกจากหม้อทีละชิ้นโดยไม่เลือกว่าชิ้นไหนก่อน เลือดที่นางทำให้ไหลนองอยู่ท่ามกลางนางนั้น นางใช้ป้ายบนหินในที่แจ้ง นางไม่ได้เทที่พื้นดินให้ฝุ่นกลบ เราปล่อยให้เลือดเปื้อนอยู่บนหินในที่แจ้ง เพื่อให้เห็นและก่อให้เกิดโทสะและแก้แค้นนาง” ฉะนั้น พระผู้เป็นเจ้าผู้ยิ่งใหญ่กล่าวดังนี้ว่า “วิบัติจงเกิดแก่เมืองที่นองเลือด เราจะกองฟืนให้เป็นกองใหญ่ 10 สุมฟืนให้มาก ก่อไฟ ต้มเนื้อให้สุก ผสมเครื่องเทศ และปล่อยให้กระดูกไหม้เกรียม 11 และทิ้งหม้อเปล่าไว้บนถ่านให้ร้อน ทองแดงจะลุกไหม้ ความไม่บริสุทธิ์ก็จะหลอมละลายในกองไฟ ตะกรันก็จะมอดไหม้ 12 นางพยายามตรากตรำจนอ่อนล้า ตะกรันเกาะจนหนาทำให้ไม่หลุด และติดอยู่ในกองไฟ 13 ความไม่บริสุทธิ์ของเจ้าคือความมักมากในกาม เราอยากชำระเจ้า แต่เจ้าไม่ได้ถูกชำระให้หลุดจากความไม่บริสุทธิ์ของเจ้า เจ้าจะไม่ถูกชำระให้สะอาดอีกต่อไปจนกว่าเราจะลงโทษเจ้าจนพอใจ 14 เราคือพระผู้เป็นเจ้า เราได้กล่าวแล้ว สิ่งนี้จะเกิดขึ้น เราจะกระทำอย่างนั้น เราจะไม่ยั้งมือหรือไว้ชีวิต เจ้าจะถูกกล่าวโทษตามวิถีทางและการกระทำของเจ้า” พระผู้เป็นเจ้าผู้ยิ่งใหญ่กล่าวดังนั้น

ภรรยาของเอเสเคียลเสียชีวิต

15 พระผู้เป็นเจ้ากล่าวกับข้าพเจ้าดังนี้ว่า 16 “บุตรมนุษย์เอ๋ย ดูเถิด เรากำลังจะพรากผู้เป็นดุจแก้วตาของเจ้าไปจากเจ้าอย่างฉับพลัน แต่เจ้าต้องไม่คร่ำครวญหรือร้องรำพันหรือน้ำตาไหลพราก 17 โอดครวญค่อยๆ อย่าคร่ำครวญถึงคนตาย โพกศีรษะของเจ้า สวมรองเท้า อย่าปิดหนวดหรือรับประทานอาหารของคนไว้ทุกข์” 18 ดังนั้น ข้าพเจ้าพูดกับประชาชนในตอนเช้า และพอตกเย็นภรรยาของข้าพเจ้าก็เสียชีวิต เมื่อถึงเวลาเช้าข้าพเจ้าทำตามที่ข้าพเจ้าได้รับคำสั่ง

19 ประชาชนพูดกับข้าพเจ้าดังนี้ว่า “ท่านจะไม่บอกพวกเราหรือว่า สิ่งเหล่านี้มีความหมายกับพวกเราอย่างไร เมื่อท่านปฏิบัติอย่างนี้” 20 ข้าพเจ้าตอบพวกเขาว่า “พระผู้เป็นเจ้ากล่าวกับข้าพเจ้าว่า 21 จงบอกพงศ์พันธุ์อิสราเอล พระผู้เป็นเจ้าผู้ยิ่งใหญ่กล่าวดังนี้ ‘ดูเถิด เราจะทำลายที่พำนักของเรา ความยโสในอำนาจของเจ้า ผู้เป็นดุจแก้วตาของเจ้า และเป็นที่พึงปรารถนาในชีวิตของเจ้า และบรรดาบุตรชายและบุตรหญิงของเจ้าที่ถูกทอดทิ้งจะถูกดาบฆ่าตาย 22 และเจ้าจะปฏิบัติอย่างที่เราได้กระทำ พวกเจ้าจะไม่ปิดหนวดหรือรับประทานอาหารของคนไว้ทุกข์ 23 พวกเจ้าจะโพกศีรษะและสวมรองเท้า พวกเจ้าจะไม่คร่ำครวญหรือน้ำตาไหลพราก แต่จะทรุดโทรมลงเพราะบาปของเจ้า และจะโอดครวญต่อกันและกัน 24 เอเสเคียลจะเป็นเครื่องพิสูจน์ให้เจ้าเห็น พวกเจ้าจะทำตามทุกอย่างที่เขาได้ทำ เมื่อเป็นไปตามนี้แล้ว พวกเจ้าจะรู้ว่า เราคือพระผู้เป็นเจ้าผู้ยิ่งใหญ่

25 สำหรับเจ้า บุตรมนุษย์เอ๋ย ในวันที่เราพรากหลักยึดอันมั่นคงของพวกเขา ความยินดีและความภาคภูมิของพวกเขา สิ่งที่พวกเขาชื่นชอบดุจแก้วตาและเป็นที่พึงปรารถนาในชีวิตของพวกเขา อีกทั้งบรรดาบุตรชายและบุตรหญิงของพวกเขาด้วย 26 ในวันนั้น ผู้ลี้ภัยคนหนึ่งจะมาหาเจ้าเพื่อรายงานว่าได้เกิดอะไรขึ้นที่เยรูซาเล็ม 27 ในวันนั้น เจ้าจะเปิดปากพูดกับผู้ลี้ภัย เจ้าจะไม่นิ่งเงียบอีก ดังนั้นเจ้าจะเป็นเครื่องพิสูจน์ให้แก่พวกเขา และพวกเขาจะรู้ว่า เราคือพระผู้เป็นเจ้า

การเผยความกล่าวโทษชาวอัมโมน

25 พระผู้เป็นเจ้ากล่าวกับข้าพเจ้าดังนี้ว่า “บุตรมนุษย์เอ๋ย จงหันหน้าสู่ชาวอัมโมนและเผยความกล่าวโทษพวกเขา จงบอกชาวอัมโมนให้ฟังคำกล่าวของพระผู้เป็นเจ้าผู้ยิ่งใหญ่ เพราะเจ้าพูดว่า ‘นั่นแน่ะ’ กับที่พำนักของเราเมื่อถูกดูหมิ่น และกับแผ่นดินของอิสราเอลเมื่อถูกทำให้เป็นที่รกร้าง และกับพงศ์พันธุ์ยูดาห์เมื่อพวกเขาต้องลี้ภัย ฉะนั้น ดูเถิด เราจะมอบเจ้าให้แก่ประชาชนของชาติตะวันออกให้เป็นสมบัติของพวกเขา และพวกเขาจะตั้งค่ายในที่ของเจ้าและอาศัยอยู่ท่ามกลางเจ้า พวกเขาจะกินผลไม้ของเจ้า และจะดื่มนมของเจ้า เราจะทำรับบาห์[c]ให้เป็นทุ่งหญ้าสำหรับอูฐ และทำอัมโมนให้เป็นที่พักสำหรับแกะ แล้วเจ้าจะรู้ว่า เราคือพระผู้เป็นเจ้า เพราะพระผู้เป็นเจ้าผู้ยิ่งใหญ่กล่าวดังนี้ว่า “เพราะเจ้าปรบมือและยกเท้ากระทืบ และจิตใจของเจ้าเริงร่าที่มุ่งร้ายต่อแผ่นดินของอิสราเอล ฉะนั้น ดูเถิด เราได้ยื่นมือของเราออกเพื่อลงโทษเจ้า และให้เจ้าตกเป็นเหยื่อของบรรดาประชาชาติ และเราจะตัดเจ้าขาดจากบรรดาชนชาติ และจะทำให้เจ้าตายในแผ่นดินที่อยู่ห่างไกล เราจะทำให้เจ้าพินาศ แล้วเจ้าจะรู้ว่า เราคือพระผู้เป็นเจ้า

การเผยความกล่าวโทษโมอับและเสอีร์

พระผู้เป็นเจ้าผู้ยิ่งใหญ่กล่าวดังนี้ “เพราะโมอับและเสอีร์พูดว่า ‘ดูเถิด พงศ์พันธุ์ยูดาห์เป็นเหมือนประชาชาติทั้งปวง’ ฉะนั้นเราจะเปิดชายแดนซึ่งเป็นความภาคภูมิของแผ่นดินโมอับให้โล่ง โดยเริ่มจากเมืองพรมแดนคือ เบธเยชิโมท เมืองบาอัลเมโอน และเมืองคีริยาทาอิม 10 เราจะมอบโมอับพร้อมกับชาวอัมโมนให้แก่ชาวตะวันออกให้เป็นสมบัติของพวกเขา และชาวอัมโมนจะไม่เป็นที่ระลึกถึงในบรรดาประชาชาติ 11 และเราจะลงโทษโมอับ แล้วพวกเขาจะรู้ว่า เราคือพระผู้เป็นเจ้า

การเผยความกล่าวโทษเอโดม

12 พระผู้เป็นเจ้าผู้ยิ่งใหญ่กล่าวว่า เพราะเอโดมแก้แค้นพงศ์พันธุ์ยูดาห์ และขุ่นเคืองที่รู้สึกผิดต่อการแก้แค้นนั้น 13 ฉะนั้น พระผู้เป็นเจ้าผู้ยิ่งใหญ่กล่าวดังนี้ว่า “เราจะยื่นมือของเราออกเพื่อลงโทษเอโดม และทำลายประชาชนและสัตว์เลี้ยง เราจะทำให้เอโดมเป็นที่ร้าง พวกเขาจะตายด้วยคมดาบตั้งแต่เมืองเทมานจนถึงเดดาน 14 เราจะแก้แค้นเอโดมด้วยมือของอิสราเอลชนชาติของเรา และพวกเขาจะกระทำต่อเอโดมตามความกริ้วและการลงโทษของเรา และพวกเขาจะรู้การแก้แค้นของเรา” พระผู้เป็นเจ้าผู้ยิ่งใหญ่ประกาศดังนั้น

การเผยความกล่าวโทษฟีลิสเตีย

15 พระผู้เป็นเจ้าผู้ยิ่งใหญ่กล่าวว่า เพราะฟีลิสเตียแก้แค้นด้วยจิตใจที่มุ่งร้าย ต้องการทำให้ยูดาห์พินาศและเป็นอริกันอย่างไม่จบสิ้น 16 ฉะนั้น พระผู้เป็นเจ้าผู้ยิ่งใหญ่กล่าวดังนี้ว่า “ดูเถิด เราจะยื่นมือของเราออกเพื่อลงโทษชาวฟีลิสเตีย และเราจะตัดชาวเคเรธออกไป และกำจัดคนที่ยังเหลืออยู่ในแถบชายฝั่งทะเลให้พินาศ 17 เราจะแก้แค้นพวกเขาครั้งใหญ่ด้วยการห้ามอย่างโกรธกริ้ว แล้วพวกเขาจะรู้ว่า เราคือพระผู้เป็นเจ้าเมื่อเราแก้แค้นพวกเขา”

การเผยความกล่าวโทษเมืองไทระ

26 ในปีที่สิบเอ็ด[d] วันแรกของเดือน พระผู้เป็นเจ้ากล่าวกับข้าพเจ้าดังนี้ว่า “บุตรมนุษย์เอ๋ย เพราะเมืองไทระพูดเกี่ยวกับเยรูซาเล็มว่า ‘นั่นแน่ะ ประตูเมืองของบรรดาชนชาติถูกพังลง ประตูถูกผลักเปิดให้เรา เมืองพังพินาศ คราวนี้เราก็จะมั่งมี’” ฉะนั้น พระผู้เป็นเจ้าผู้ยิ่งใหญ่กล่าวดังนี้ว่า “ดูเถิด โอ ไทระเอ๋ย เราเป็นฝ่ายกล่าวโทษเจ้า และจะให้ประชาชาติจำนวนมากมาโจมตีเจ้า อย่างกับทะเลที่ซัดคลื่นขึ้น ประชาชาติเหล่านั้นจะทลายกำแพงของไทระและโค่นหอคอย และเราจะกวาดเศษซากของเมืองทิ้งจนเกลี้ยง จะเหลืออยู่ก็เพียงหินเปล่าๆ ไทระจะอยู่ท่ามกลางทะเล จะเป็นที่สำหรับเหวี่ยงแหดักปลา เราได้พูดแล้ว” พระผู้เป็นเจ้าผู้ยิ่งใหญ่ประกาศดังนั้น “และไทระจะกลายเป็นเหยื่อของบรรดาประชาชาติ ผู้คนของหมู่บ้านต่างๆ บนแผ่นดินใหญ่จะถูกดาบฆ่าฟัน แล้วพวกเขาจะรู้ว่า เราคือพระผู้เป็นเจ้า

เพราะพระผู้เป็นเจ้าผู้ยิ่งใหญ่กล่าวดังนี้ว่า “ดูเถิด เราจะให้กษัตริย์จากทิศเหนือคือเนบูคัดเนสซาร์แห่งบาบิโลน ซึ่งเป็นกษัตริย์ของกษัตริย์ทั้งหลายมาโจมตีเมืองไทระ เขาจะมาพร้อมกับม้าและรถศึก ทหารม้าและกองทัพใหญ่ เขาจะใช้ดาบฆ่าประชาชนในหมู่บ้านของแผ่นดินใหญ่ของเจ้า เขาจะก่อเชิงเทินประชิดตัวเมืองต่อสู้เจ้า สร้างกำแพงสูงล้อมเมือง และยกโล่ขึ้นปะทะกับเจ้า เขาจะกระทุ้งกำแพงของเจ้าด้วยไม้ซุง และจะใช้ขวานสับหอคอยของเจ้าให้พังลง 10 เขามีม้าฝูงใหญ่ที่ทำให้ฝุ่นตลบกลบตัวเจ้าได้ กำแพงของเจ้าจะสะเทือนจากเสียงของทหารม้า รถพ่วง และรถศึก เมื่อเขาเข้าทางประตูเมืองของเจ้าขณะที่บรรดาทหารบุกเข้ามาเมื่อกำแพงเมืองทลายลงแล้ว 11 กีบม้าของเขาจะเหยียบย่ำถนนทุกสาย เขาจะใช้ดาบฆ่าประชาชนของเจ้า และเสาหินที่แข็งแกร่งจะล้มกระทบพื้น 12 พวกเขาจะริบความมั่งมีและยึดสินค้าของเจ้าไป พวกเขาจะพังกำแพงและรื้อบ้านที่สวยหรูของเจ้า หิน ไม้แปรรูป และดินจะถูกเหวี่ยงลงน้ำ 13 และเราจะทำให้เสียงเพลงของเจ้ายุติลง จะไม่ได้ยินเสียงของพิณสิบสายอีก 14 เราจะทำให้เจ้าเป็นหินเปล่าๆ เจ้าจะเป็นที่สำหรับทอดแห เจ้าไม่มีวันที่จะถูกสถาปนาขึ้นใหม่ เพราะเราคือพระผู้เป็นเจ้า เราได้พูดแล้ว” พระผู้เป็นเจ้าผู้ยิ่งใหญ่ประกาศดังนั้น

15 พระผู้เป็นเจ้าผู้ยิ่งใหญ่กล่าวกับเมืองไทระดังนี้ว่า “แถบชายฝั่งทะเลจะสั่นสะเทือนเพราะเสียงที่เจ้าถล่มลงเมื่อผู้บาดเจ็บโอดครวญและเมื่อผู้สังหารปรากฏในท่ามกลางเจ้าไม่ใช่หรือ 16 แล้วผู้ยิ่งใหญ่ทั้งปวงของชาติที่ชายฝั่งทะเลจะก้าวลงจากบัลลังก์ ถอดเสื้อคลุมและปลดเครื่องนุ่งห่มที่ปักลวดลายออก พวกเขาจะสวมความหวาดกลัว พวกเขาจะนั่งลงบนพื้นและตัวสั่นเทาทุกขณะ และตื่นตระหนกที่เห็นสิ่งที่เกิดกับเจ้า 17 พวกเขาจะร้องคร่ำครวญเรื่องเจ้า และพูดกับเจ้าว่า

‘เจ้าถูกทำให้พินาศอะไรเช่นนี้
    เจ้าเคยมีผู้คนจากชายฝั่งทะเลมาอาศัยอยู่
เจ้าเคยเป็นที่เลื่องลือ
    มีอำนาจทางท้องทะเล
ทั้งตัวเจ้าและผู้ที่อาศัยอยู่
    เคยเป็นที่น่าเกรงกลัวของผู้อื่น
18 มาบัดนี้ หมู่เกาะสั่นสะเทือน
    ในวันที่เจ้าถล่มลง
และหมู่เกาะ ต่างๆ ในท้องทะเลตื่นตระหนก
    เมื่อเจ้าหมอบนิ่ง’”

19 พระผู้เป็นเจ้าผู้ยิ่งใหญ่กล่าวดังนี้ว่า “เมื่อเราทำให้เจ้าเป็นเมืองร้าง อย่างกับเมืองที่ไม่มีผู้คนอาศัยอยู่ เมื่อเราทำให้ห้วงน้ำลึกท่วมเจ้า และมวลน้ำจำนวนมหาศาลท่วมทับเจ้า 20 และเราจะทำให้เจ้าดิ่งลงไปกับบรรดาผู้ที่ลงในหลุมลึกแห่งแดนคนตาย ไปยังที่ของคนในสมัยโบราณ และเราจะทำให้เจ้าอยู่ในโลกเบื้องล่าง ในที่ปรักหักพังโบราณ ไปอยู่กับบรรดาผู้ที่ลงในหลุมลึกแห่งแดนคนตาย และเจ้าจะไม่กลับไปยังที่ของเจ้าในดินแดนของคนเป็น 21 เราจะนำเจ้าไปยังจุดจบอันน่าหวาดกลัว และจะไม่มีเจ้าอีกต่อไป แม้ว่าเจ้าจะถูกตามหา แต่ไม่มีวันที่ใครจะหาเจ้าพบอีก” พระผู้เป็นเจ้าผู้ยิ่งใหญ่ประกาศดังนั้น

ร้องคร่ำครวญให้กับเมืองไทระ

27 พระผู้เป็นเจ้ากล่าวกับข้าพเจ้าดังนี้ว่า “บุตรมนุษย์เอ๋ย บัดนี้เจ้าจงร้องคร่ำครวญถึงเมืองไทระ และพูดกับเมืองไทระที่ตั้งอยู่ตรงทางเข้าสู่ทะเล ศูนย์แห่งการค้าของบรรดาชนชาติของหมู่เกาะต่างๆ” พระผู้เป็นเจ้าผู้ยิ่งใหญ่กล่าวดังนี้ว่า

“โอ ไทระเอ๋ย เจ้าได้พูดดังนี้
    ‘เรางดงามอย่างหาที่ติมิได้’
อาณาเขตของเจ้ารอบด้านอยู่ที่ใจกลางทะเล
    บรรดาผู้ที่สร้างเจ้าทำให้ความงามของเจ้าเพียบพร้อม
พวกเขาทำไม้แปรรูปทั้งหมด
    ด้วยไม้สนจากเสนีร์
พวกเขาใช้ไม้ซีดาร์จากเลบานอน
    ทำเสากระโดงให้เจ้าเสาหนึ่ง
พวกเขาใช้ไม้โอ๊กจากบาชาน
    ทำกรรเชียงของเจ้า
และใช้ไม้สนจากชายฝั่งไซปรัส
    ทำดาดฟ้าซึ่งฝังด้วยงาช้าง
ใบเรือของเจ้าทำด้วยผ้าป่านเนื้อดี
    ปักลวดลายจากอียิปต์
    ใช้เป็นธงชัยของเจ้า
ที่กันสาดดาดฟ้าของเจ้าเป็นสีน้ำเงินและม่วง
    ได้มาจากเกาะเอลีชาห์
ชาวเมืองแห่งไซดอนและอาร์วัด
    เป็นฝีพายของเจ้า
โอ ไทระเอ๋ย บรรดาผู้ชำนาญของเจ้าอยู่ในเจ้า
    พวกเขาเป็นคนนำร่องของเจ้า
บรรดาหัวหน้าชั้นผู้ใหญ่ของเกบาล และบรรดาผู้ชำนาญอยู่ในเจ้า
    เป็นช่างซ่อมและชันเรือให้เจ้า
เรือทุกลำในท้องทะเลพร้อมกับกะลาสีเรืออยู่ในเจ้า
    เพื่อค้าขายแลกเปลี่ยนสินค้าของเจ้า

10 เปอร์เซีย ลูด และพูตเป็นทหารศึกอยู่ในกองทัพของเจ้า พวกเขาแขวนโล่และหมวกเหล็กที่กำแพงของเจ้า และทำให้เจ้ารุ่งโรจน์ 11 บุตรหลานชาวอาร์วัดและเฮเลคเฝ้ากำแพงที่อยู่ล้อมรอบ และชาวกามัดอยู่ในหอคอยของเจ้า พวกเขาแขวนโล่ที่รอบกำแพง พวกเขาทำให้ความงามของเจ้าเพียบพร้อม

12 ทาร์ชิชทำการค้ากับเจ้าก็เพราะความมั่งคั่งของเจ้าในทุกสิ่ง พวกเขาแลกเปลี่ยนสินค้าของเจ้าด้วยเงิน เหล็กกล้า ดีบุก และตะกั่ว 13 ยาวาน ทูบัล และเมเชค[e]ทำการค้ากับเจ้า พวกเขาเอาคนและภาชนะทองสัมฤทธิ์มาเป็นสิ่งแลกเปลี่ยนกับสินค้าของเจ้า 14 คนจากเบธโทการ์มาห์เอาม้าใช้งาน ม้าศึก และล่อ เป็นสินค้าแลกเปลี่ยน 15 ลูกหลานของเดดานทำการค้ากับเจ้า หมู่เกาะหลายแห่งเป็นตัวแทนสินค้าของเจ้า พวกเขานำงาช้างและไม้มะเกลือมาจ่ายเป็นค่าสินค้าให้เจ้า 16 อารัม[f]ทำการค้ากับเจ้าเพราะเจ้ามีสินค้ามากมายนัก พวกเขาใช้มรกต ผ้าสีม่วง งานปักลวดลาย ผ้าป่านเนื้อดี ปะการัง และทับทิม เพื่อแลกเปลี่ยนกับสินค้าของเจ้า 17 ยูดาห์และดินแดนของอิสราเอลทำการค้ากับเจ้า พวกเขาใช้ข้าวสาลีจากเมืองมินนิท ขนมหวาน น้ำผึ้ง น้ำมัน และยางไม้ เพื่อแลกเปลี่ยนกับสินค้าของเจ้า 18 ดามัสกัสทำการค้ากับเจ้าเพราะเจ้ามีสินค้ามากมายนัก เพราะความมั่งคั่งของเจ้าในทุกสิ่ง พวกเขาใช้เหล้าองุ่นจากเฮลโบนและขนสัตว์จากซาคาร์แลกเปลี่ยนกับสินค้าของเจ้า 19 ชาวดานและยาวานจากอุซาลซื้อสินค้าของเจ้า พวกเขาใช้เหล็กดัด การบูร และอ้อหอมแลกเปลี่ยนกับสินค้าของเจ้า 20 เมืองเดดานค้าขายกับเจ้าเพื่อแลกกับผ้าสำหรับทำอานม้า 21 อาระเบียและบรรดาผู้ยิ่งใหญ่ของเคดาร์แลกเปลี่ยนสินค้าที่ถูกใจเจ้า พวกเขามีลูกแกะ แกะผู้ และแพะ 22 บรรดาพ่อค้าแห่งเช-บาและราอามาห์ทำการค้ากับเจ้า พวกเขาแลกเปลี่ยนสินค้าของเจ้าด้วยเครื่องเทศชนิดดีที่สุดทุกชนิด และเพชรนิลจินดาทุกชนิดและทองคำ 23 เมืองฮาราน คานเนห์ และเอเดน พ่อค้าจากเช-บา อัชชูร์และคิลมาดทำการค้ากับเจ้า 24 เมืองเหล่านี้ค้าขายกับเจ้าในแหล่งการตลาดด้วยเสื้อผ้าอาภรณ์ ผ้าสีน้ำเงินและผ้าปักลวดลาย ด้วยพรมหลายสี ซึ่งมีเชือกมัดกระชับอย่างดี 25 เรือจากทาร์ชิชบรรทุกสินค้าของเจ้าไปขาย เจ้ามีสินค้าบรรทุกจนเพียบ ณ ใจกลางทะเล

26 พวกฝีพายของเจ้าได้นำเจ้า
    ล่องไปสู่ทะเลไกล
ลมตะวันออกได้ทำให้เรือเจ้าแตก
    ที่ใจกลางทะเล
27 ความมั่งคั่งของเจ้า สินค้าซื้อขาย
    และสินค้าแลกเปลี่ยนของเจ้า
ลูกเรือและนายเรือของเจ้า
    ช่างซ่อมและชันเรือของเจ้า
บรรดาผู้เจรจาค้าขายของเจ้า
    และนักรบทุกคนที่อยู่ในเรือ
และคนอื่นๆ ที่อยู่ในหมู่เจ้าจะจมอยู่
    ใจกลางทะเลในวันที่เรือแตก
28 ฝั่งทะเลจะสั่นสะเทือน
    เมื่อนายเรือตะโกนร้อง
29 ทุกคนที่ถือกรรเชียง
    จะสละเรือ
พวกลูกเรือและนายเรือ
    จะยืนบนฝั่งทะเล
30 พวกเขาจะส่งเสียงร้องตะโกน
    และร้องไห้อย่างขมขื่น
ปาขี้เถ้าบนหัวตนเอง
    และเกลือกกลิ้งบนขี้เถ้า
31 ที่พวกเขาจะโกนผมก็เป็นเพราะเจ้า
    และใช้ผ้ากระสอบคาดเอว
และร้องคร่ำครวญด้วยจิตใจอันเจ็บปวดรวดร้าว
    และร้องรำพันอย่างขมขื่นเพื่อเจ้า
32 ขณะที่พวกเขาส่งเสียงร้อง พวกเขาจะร้องคร่ำครวญ
    พวกเขาจะร้องคร่ำครวญถึงเจ้าว่า
‘ใครเป็นเหมือนไทระ
    เหมือนเมืองที่ถูกทำลายจนพินาศในท่ามกลางทะเล’
33 เมื่อสินค้าของเจ้าส่งออกไปทางทะเล
    เจ้าทำให้คนจำนวนมากพอใจ
เจ้าทำให้บรรดากษัตริย์ของแผ่นดินโลกพรั่งพร้อม
    ด้วยความมั่งคั่งและสินค้าของเจ้ามากมาย
34 บัดนี้เจ้าถูกทะเลทำลาย
    ในห้วงน้ำลึก
สินค้าและคนร่วมเดินทางทุกคนของเจ้าที่อยู่ด้วยกับเจ้า
    ก็จมดิ่งไปกับเจ้าด้วย
35 บรรดาผู้อยู่อาศัยทั้งปวงบนหมู่เกาะ
    ตกตะลึงเพราะเจ้า
บรรดากษัตริย์ขนลุกขนพองด้วยความหวาดหวั่น
    และหน้าสลดด้วยความกลัว
36 บรรดาพ่อค้าในหมู่ชนชาติเหน็บแนมเจ้า
    เจ้าได้มาถึงจุดจบอันน่าหวาดกลัว
    และจะไม่มีเจ้าอีกต่อไป”

การเผยความกล่าวโทษผู้นำของไทระ

28 พระผู้เป็นเจ้ากล่าวกับข้าพเจ้าดังนี้ว่า “บุตรมนุษย์เอ๋ย จงพูดกับผู้นำของไทระ พระผู้เป็นเจ้าผู้ยิ่งใหญ่กล่าวดังนี้ว่า

‘เพราะว่าใจของเจ้ายโส
    และเจ้าได้พูดดังนี้ว่า “เราเป็นเทพเจ้า
เรานั่งบนที่ของบรรดาเทพเจ้า
    ที่ใจกลางทะเล”
แต่เจ้าเป็นก็เพียงมนุษย์ ไม่ใช่เทพเจ้า
    แม้เจ้าคิดว่า เจ้าฉลาดเท่าเทียมกับพระเจ้า
เจ้าเรืองปัญญากว่าดาเนียลหรือ
    ไม่มีความลับใดที่ซ่อนเร้นไปจากเจ้าได้หรือ
เจ้าสะสมความมั่งคั่งให้แก่ตัวเจ้าเองได้
    จากสติปัญญาและความเข้าใจของเจ้า
และได้เก็บทองคำและเงิน
    เข้าคลังสมบัติของเจ้า
เจ้าเพิ่มพูนความมั่งคั่งของเจ้าได้
    เพราะสติปัญญาในการค้า
และใจของเจ้าเกิดยโส
    ในความมั่งคั่งของเจ้า’

ฉะนั้น พระผู้เป็นเจ้าผู้ยิ่งใหญ่กล่าวดังนี้ว่า

‘เพราะเจ้าคิดว่าเจ้าฉลาด
    เท่าเทียมกับพระเจ้า
เรากำลังนำบรรดาชาวต่างชาติมาโจมตีเจ้า
    พวกเขาโหดร้ายที่สุดในบรรดาประชาชาติ
และจะชักดาบของตนสู้กับความงามแห่งสติปัญญาของเจ้า
    และจะทำให้ความรุ่งโรจน์ของเจ้าเป็นมลทิน
พวกเขาจะโยนเจ้าลงในหลุมแห่งแดนคนตาย
    และเจ้าจะตายอย่างแสนทรมาน
    ณ ใจกลางทะเล
เจ้ายังจะพูดดังนี้อีกหรือว่า “เราเป็นเทพเจ้า”
    ต่อหน้าบรรดาผู้ที่ฆ่าเจ้า
แม้เจ้าเป็นเพียงมนุษย์ ไม่ใช่พระเจ้า
    ซึ่งอยู่ในมือของบรรดาผู้ที่สังหารเจ้า
10 เจ้าจะตายอย่างคนที่ไม่ได้เข้าสุหนัต
    ด้วยมือของชนต่างชาติ
    เพราะเราได้พูดแล้ว’”

พระผู้เป็นเจ้าผู้ยิ่งใหญ่ประกาศดังนั้น

ร้องคร่ำครวญให้กับกษัตริย์ของไทระ

11 ยิ่งกว่านั้น พระผู้เป็นเจ้ากล่าวกับข้าพเจ้าดังนี้ว่า 12 “บุตรมนุษย์เอ๋ย จงร้องคร่ำครวญให้กับกษัตริย์ของไทระ และพูดกับเขาว่า พระผู้เป็นเจ้าผู้ยิ่งใหญ่กล่าวดังนี้

‘เจ้าเป็นแบบอย่างของความเพียบพร้อม
    กอปรด้วยสติปัญญา และงดงามอย่างหาที่ติมิได้
13 เจ้าเคยอยู่ในเอเดน
    สวนของพระเจ้า
เจ้าสวมแต่งด้วยเพชรนิลจินดาทุกชนิดอันได้แก่
    ทับทิม บุษราคัม และมรกต
โกเมน พลอยหลากสี และมณีสีเขียว
    นิลสีคราม พลอยสีฟ้า และแก้วผลึกสีเขียวปนน้ำเงิน
    ซึ่งประดับวางในกรอบทองคำ
เจ้าได้รับการตกแต่งเช่นนี้ตั้งแต่
    วันที่เจ้าถูกสร้างขึ้น
14 เจ้าได้รับการเจิมให้เป็นเครูบผู้ปกปักรักษา
    เพราะเราแต่งตั้งให้เจ้าเป็นอย่างนั้น
เจ้าเคยอยู่บนภูเขาอันบริสุทธิ์ของพระเจ้า
    เจ้าก้าวเดินอยู่ท่ามกลางเพชรนิลจินดาที่ส่องประกาย
15 วิถีทางของเจ้าไม่มีที่ติตั้งแต่
    วันที่เจ้าถูกสร้างขึ้น
    จนกระทั่งพบว่าความชั่วร้ายอยู่ในตัวเจ้า
16 การค้าของเจ้าทำให้เจ้ามั่งมีมหาศาล
    เจ้าเต็มด้วยความป่าเถื่อน
    และเจ้าทำบาป
เราจึงเหวี่ยงเจ้าราวกับว่า เจ้าเป็นสิ่งที่น่าอัปยศไปจากภูเขาของพระเจ้า
    และเรากำจัดเจ้าออกไปจากท่ามกลาง
    เพชรนิลจินดาที่ส่องประกาย
โอ เครูบผู้ปกปักรักษาเอ๋ย
17     ใจของเจ้ายโสเพราะความงามของเจ้า
เจ้าใช้สติปัญญาในทางคดโกง
    เพราะเจ้าคิดจะหาความรุ่งโรจน์
เราจึงเหวี่ยงเจ้าลงบนพื้นโลก
    เราทำให้เจ้าตกเป็นเป้าสายตาของบรรดากษัตริย์
18 เจ้าได้ทำให้ที่พักของเจ้าเป็นที่ดูหมิ่น
    เพราะบาปมากมายและ
    การค้าทุจริต
เราจึงทำให้ไฟออกมาจากเจ้า
    และไฟเผาผลาญเจ้า
และเราทำให้เจ้าเป็นเถ้าถ่านบนพื้นดิน
    ต่อหน้าต่อตาทุกคนที่มองดูเจ้า
19 ทุกคนที่รู้จักเจ้าในบรรดาชนชาติ
    ตกตะลึงในตัวเจ้า
เจ้าได้มาถึงจุดจบอันน่าหวาดกลัว
    และจะไม่มีเจ้าอีกต่อไป’”

การเผยความกล่าวโทษไซดอน

20 พระผู้เป็นเจ้ากล่าวกับข้าพเจ้าดังนี้ว่า 21 “บุตรมนุษย์เอ๋ย จงหันหน้าสู่ไซดอน และเผยความต่อต้านเมือง 22 และจงพูดว่า พระผู้เป็นเจ้าผู้ยิ่งใหญ่กล่าวดังนี้

‘ดูเถิด ไซดอนเอ๋ย เราจะขัดขวางเจ้า
    และบารมีของเราจะปรากฏในท่ามกลางเจ้า
แล้วพวกเขาจะรู้ว่า
    เราคือพระผู้เป็นเจ้าเมื่อเราลงโทษนาง
    และความบริสุทธิ์ของเราจะปรากฏในตัวนาง
23 เราจะให้เกิดโรคระบาดในตัวนาง
    และให้เลือดหลั่งที่ถนนของนาง
คนที่ถูกสังหารจะล้มตายในท่ามกลางนาง
    ด้วยคมดาบที่โจมตีนางทุกแห่งหน
แล้วพวกเขาจะรู้ว่า เราคือพระผู้เป็นเจ้า

24 ส่วนพงศ์พันธุ์อิสราเอลจะไม่มีพุ่มไม้หนามทิ่มแทง หรือหนามทำให้พวกเขาเจ็บปวดท่ามกลางบรรดาเพื่อนบ้านที่กระทำต่อเขาด้วยความดูหมิ่น แล้วพวกเขาจะรู้ว่า เราคือพระผู้เป็นเจ้าผู้ยิ่งใหญ่’”

อิสราเอลอยู่ด้วยความปลอดภัย

25 พระผู้เป็นเจ้าผู้ยิ่งใหญ่กล่าวดังนี้ว่า “เมื่อเรารวบรวมพงศ์พันธุ์อิสราเอลจากท่ามกลางชนชาติที่พวกเขาได้กระจัดกระจายไปอยู่ด้วย เราจะให้ความบริสุทธิ์ของเราปรากฏในหมู่พวกเขา ให้บรรดาประชาชาติเห็น แล้วพวกเขาจะอาศัยอยู่ในแผ่นดินของพวกเขาเองซึ่งเรามอบให้แก่ยาโคบผู้รับใช้ของเรา 26 และพวกเขาจะอาศัยอยู่ในแผ่นดินด้วยความปลอดภัย พวกเขาจะสร้างบ้านและปลูกไร่องุ่น พวกเขาจะอาศัยอยู่ด้วยความปลอดภัย เมื่อเราลงโทษชาติรอบข้างของเขาซึ่งปฏิบัติต่อเขาด้วยความดูหมิ่น แล้วพวกเขาจะรู้ว่า เราคือพระผู้เป็นเจ้าผู้ยิ่งใหญ่ของพวกเขา”

การเผยความกล่าวโทษอียิปต์

29 ในวันที่สิบสองของเดือนสิบ ปีที่สิบ[g] พระผู้เป็นเจ้ากล่าวกับข้าพเจ้าดังนี้ว่า “บุตรมนุษย์เอ๋ย จงหันหน้าสู่ฟาโรห์กษัตริย์แห่งอียิปต์[h] และเผยความกล่าวโทษเขาและชาวอียิปต์ทั้งปวง จงพูดกับพวกเขาว่า พระผู้เป็นเจ้าผู้ยิ่งใหญ่กล่าวดังนี้

‘ดูเถิด เราจะขัดขวางเจ้า
    ฟาโรห์กษัตริย์แห่งอียิปต์
มังกรใหญ่ที่นอนอยู่ในท่ามกลาง
    แม่น้ำหลายสาย
เจ้าพูดดังนี้ว่า “แม่น้ำไนล์เป็นของเรา
    เราสร้างมันขึ้นมาเอง”
เราจะใช้เบ็ดเกี่ยวขากรรไกรของเจ้า
    และจะทำให้ปลาในแม่น้ำของเจ้าติดที่เกล็ดของเจ้า
และเราจะลากเจ้าขึ้นมาจากกลางแม่น้ำของเจ้า
    พร้อมกับปลาทุกตัวจากแม่น้ำของเจ้า
    ที่ติดเกล็ดของเจ้ามาด้วย
และเราจะเหวี่ยงเจ้าเข้าไปในถิ่นทุรกันดาร
    ทั้งตัวเจ้าและปลาทุกตัวจากแม่น้ำของเจ้า
เจ้าจะตกบนทุ่งกว้าง
    และจะไม่มีใครเก็บหรือรวบรวมเจ้า
เราจะให้เจ้าเป็นอาหารแก่พวก
    สัตว์ป่าบนโลกและนกในอากาศ

แล้วบรรดาผู้อยู่อาศัยของอียิปต์จะรู้ว่า เราคือพระผู้เป็นเจ้า

เพราะพวกเขาเป็นเหมือนไม้เท้าที่ทำจากไม้อ้อสำหรับพงศ์พันธุ์อิสราเอลตลอดมา เมื่อมือของพวกเขาคว้าเจ้า เจ้าก็หักและฉีกบ่าของพวกเขา และเมื่อพวกเขาพิงเจ้า เจ้าก็หักและทำให้ตะโพกของพวกเขาสั่นสะท้าน’ ฉะนั้น พระผู้เป็นเจ้าผู้ยิ่งใหญ่กล่าวดังนี้ว่า ‘ดูเถิด เราจะนำคนมาต่อสู้กับเจ้า และเราจะทำลายประชาชนและสัตว์เลี้ยง แผ่นดินอียิปต์จะเป็นที่รกร้างและพินาศ แล้วพวกเขาจะรู้ว่า เราคือพระผู้เป็นเจ้า

เพราะเจ้าพูดดังนี้ว่า “แม่น้ำไนล์เป็นของเรา เราสร้างมันขึ้นมาเอง” 10 ฉะนั้นเราจะขัดขวางเจ้าและแม่น้ำของเจ้า และเราจะทำให้แผ่นดินอียิปต์พินาศและกลายเป็นที่รกร้าง ตั้งแต่มิกดลถึงสิเอเน ไกลไปจนถึงชายแดนคูช[i] 11 จะไม่มีเท้าของมนุษย์คนไหนเดินผ่านไป จะไม่มีเท้าของสัตว์ป่าตัวไหนเดินผ่านไป มันจะไม่เป็นที่อยู่อาศัยเป็นเวลา 40 ปี 12 และเราจะทำให้แผ่นดินอียิปต์เป็นที่รกร้างในท่ามกลางหลายดินแดนที่พินาศ และเมืองต่างๆ ของอียิปต์จะเป็นที่รกร้างเป็นเวลา 40 ปีในบรรดาเมืองที่พินาศ เราจะทำให้ชาวอียิปต์กระจัดกระจายไปในท่ามกลางบรรดาประชาชาติ และจะทำให้พวกเขากระเจิดกระเจิงไปในหลายดินแดน’”

13 พระผู้เป็นเจ้าผู้ยิ่งใหญ่กล่าวดังนี้ว่า “เมื่อสิ้น 40 ปีแล้ว เราจะรวบรวมชาวอียิปต์จากท่ามกลางชนชาติที่พวกเขาได้กระจัดกระจายไปอยู่ด้วย 14 และเราจะทำให้ความอุดมสมบูรณ์ของอียิปต์คืนสู่สภาพเดิม และนำพวกเขากลับสู่แผ่นดินปัทโรสซึ่งเป็นแผ่นดินดั้งเดิมของพวกเขา และพวกเขาจะเป็นอาณาจักรที่ตกต่ำอยู่ที่นั่น 15 อียิปต์จะตกต่ำที่สุดในบรรดาอาณาจักรทั้งหลาย และจะไม่มีวันยกย่องตนเองเหนือบรรดาประชาชาติ และเราจะทำให้พวกเขาอ่อนกำลังจนปกครองประชาชาติเหล่านั้นไม่ได้อีก 16 และอียิปต์จะไม่มีวันเป็นที่พึ่งพาของพงศ์พันธุ์อิสราเอลอีกต่อไป แต่จะเตือนใจในการทำบาปของพวกเขาโดยที่หันไปขอความช่วยเหลือจากอียิปต์ แล้วพวกเขาจะรู้ว่า เราคือพระผู้เป็นเจ้าผู้ยิ่งใหญ่

17 ในวันแรกของเดือนแรก ปีที่ยี่สิบเจ็ด[j] พระผู้เป็นเจ้ากล่าวกับข้าพเจ้าดังนี้ว่า 18 “บุตรมนุษย์เอ๋ย เนบูคัดเนสซาร์กษัตริย์แห่งบาบิโลนบัญชากองทัพของเขาให้สู้รบกับไทระอย่างหนัก ทหารทุกคนถูกโกนศีรษะ และแบกหามจนบ่าสึกกร่อน แต่ทั้งตัวเขาและกองทัพของเขาไม่ได้รับสิ่งใดจากไทระ แม้แต่ค่าชดใช้แรงงานที่สูญเสียไปก็ตาม” 19 ฉะนั้น พระผู้เป็นเจ้าผู้ยิ่งใหญ่กล่าวดังนี้ว่า “ดูเถิด เราจะมอบแผ่นดินอียิปต์ให้แก่เนบูคัดเนสซาร์กษัตริย์แห่งบาบิโลน เขาจะขนความมั่งมีของอียิปต์และยึดของที่ปล้นไป ให้เป็นค่าแรงของกองทัพของเขา 20 เราได้มอบอียิปต์ให้แก่เขาเป็นค่าแรงที่เขาพยายามลงแรง เพราะเขาและกองทัพของเขาทำเพื่อเรา” พระผู้เป็นเจ้าผู้ยิ่งใหญ่ประกาศดังนั้น

21 “ในวันนั้น เราจะทำให้พละกำลังผุดขึ้นเพื่อพงศ์พันธุ์อิสราเอล และเราจะเปิดปากของเจ้าในหมู่พวกเขา แล้วพวกเขาจะรู้ว่า เราคือพระผู้เป็นเจ้า

ร้องคร่ำครวญให้กับอียิปต์

30 พระผู้เป็นเจ้ากล่าวกับข้าพเจ้าดังนี้ว่า “บุตรมนุษย์เอ๋ย เจ้าจงเผยความว่า พระผู้เป็นเจ้าผู้ยิ่งใหญ่กล่าวดังนี้

จงร้องไห้ฟูมฟาย วิบัติแก่วันนั้น
    เพราะวันนั้นใกล้จะถึงแล้ว
    วันของพระผู้เป็นเจ้าใกล้จะถึงแล้ว
จะเป็นวันแห่งเมฆหมอก
    เวลาแห่งการพิพากษาบรรดาประชาชาติ
ดาบจะฟาดฟันลงที่อียิปต์
    ความเจ็บปวดรวดร้าวจะเกิดแก่คูช
เมื่อมีการล้มตายในอียิปต์
    และความมั่งคั่งจะถูกยึดไป
    และรากฐานของอียิปต์จะพังทลายลง

คูช พูต ลูด อาระเบีย ลิเบีย และประชาชนของแผ่นดินที่ร่วมพันธสัญญาจะล้มตายด้วยดาบไปกับพวกเขา”

พระผู้เป็นเจ้ากล่าวดังนี้ว่า

“บรรดาพันธมิตรของอียิปต์จะล้มลง
    และความยโสในพละกำลังของอียิปต์จะดิ่งลง
ตั้งแต่มิกดลถึงสิเอเน
    พวกเขาจะล้มลงด้วยดาบที่อยู่ในอียิปต์เอง”
พระผู้เป็นเจ้าผู้ยิ่งใหญ่ประกาศดังนั้น
“และอียิปต์จะเป็นที่รกร้างในท่าม
    กลางดินแดนทั้งหลายที่รกร้าง
และเมืองทั้งหลายของพวกเขาจะ
    อยู่ในท่ามกลางเมืองที่พินาศ
แล้วพวกเขาจะรู้ว่า
    เราคือพระผู้เป็นเจ้าเวลาที่เราเผาอียิปต์
    และทุกคนที่เข้ามาช่วยก็พินาศไปด้วย

ในวันนั้น บรรดาผู้ส่งข่าวจากเราจะออกไปกับเรือ พวกเขาจะทำให้ประชาชนของคูชหวาดกลัว และพวกเขาจะเจ็บปวดรวดร้าวในวันแห่งการพิพากษาอียิปต์ ดูเถิด มันจะเกิดขึ้นแน่”

10 พระผู้เป็นเจ้าผู้ยิ่งใหญ่กล่าวดังนี้ว่า

“เราจะทำให้ฝูงชนของอียิปต์พินาศลง
    ด้วยมือของเนบูคัดเนสซาร์ กษัตริย์แห่งบาบิโลน
11 ทั้งเขาและชนชาติของเขา ซึ่งโหดร้ายที่สุดในบรรดาประชาชาติ
    จะถูกนำเข้ามาทำลายแผ่นดินให้พินาศ
พวกเขาจะชักดาบต่อสู้อียิปต์
    และทั้งแผ่นดินจะมีคนตายมากมาย
12 เราจะทำให้แม่น้ำไนล์เหือดแห้ง
    และขายแผ่นดินให้แก่คนชั่วร้าย
เราจะทำให้แผ่นดินและทุกสิ่งในที่นั้น
    วิบัติด้วยการกระทำของชนต่างชาติ
เราคือพระผู้เป็นเจ้า เราได้กล่าวแล้ว”

13 พระผู้เป็นเจ้าผู้ยิ่งใหญ่กล่าวดังนี้ว่า

“เราจะกำจัดรูปเคารพ
    และทำให้รูปสลักในเมมฟิสหมดสิ้นไป
จะไม่มีผู้ยิ่งใหญ่จากแผ่นดินอียิปต์อีกต่อไป
    และเราจะทำให้ทั่วทั้งอียิปต์หวาดกลัว
14 เราจะทำให้เมืองปัทโรสเป็นที่รกร้าง
    และจะเผาเมืองโศอัน
    และจะลงโทษเธเบส[k]
15 เราจะกระหน่ำการลงโทษของเราลงบนเปลูเซียม[l]
    ซึ่งเป็นป้อมปราการอันแข็งแกร่งของอียิปต์
    และกำจัดประชาชนของเธเบส
16 เราจะเผาอียิปต์
    เมืองเปลูเซียมจะเจ็บปวดแสนสาหัส
เธเบสจะถูกโจมตี
    และเมมฟิส[m]จะเผชิญศัตรูตลอดเวลา
17 บรรดาชายหนุ่มของเมืองโอนและพีเบเสทจะล้มตายเพราะดาบ
    และบรรดาผู้หญิงจะถูกจับไปเป็นเชลย
18 จะเป็นวันแห่งความมืดที่ทาปานเหส
    เมื่อเราหักคานแอกของอียิปต์
ความยโสในพลังของอียิปต์จะสิ้นลง
    และจะถูกครอบคลุมด้วยเมฆหมอก
    บรรดาบุตรหญิงของอียิปต์จะถูกจับไปเป็นเชลย
19 เราจะลงโทษอียิปต์เช่นนั้น
    แล้วพวกเขาจะรู้ว่าเราคือพระผู้เป็นเจ้า

อียิปต์จะตกเป็นของบาบิโลน

20 ในวันที่เจ็ดของเดือนแรก ปีที่สิบเอ็ด[n] พระผู้เป็นเจ้ากล่าวกับข้าพเจ้าดังนี้ว่า 21 “บุตรมนุษย์เอ๋ย เราได้หักแขนของฟาโรห์กษัตริย์แห่งอียิปต์ และดูเถิด แขนยังไม่ได้รับการรักษาหรือพันด้วยผ้าพันแผล เพื่อให้แข็งแรงดีจนถือดาบได้” 22 ฉะนั้น พระผู้เป็นเจ้าผู้ยิ่งใหญ่กล่าวดังนี้ว่า “ดูเถิด เราจะขัดขวางฟาโรห์กษัตริย์ของอียิปต์ และเราจะหักแขนทั้งสองข้างของเขา ทั้งแขนข้างที่แข็งแรงและข้างที่หักแล้ว และเราจะทำให้ดาบหลุดจากมือของเขา 23 เราจะทำให้ชาวอียิปต์กระจัดกระจายไปในท่ามกลางบรรดาประชาชาติ และจะทำให้พวกเขากระเจิดกระเจิงไปในหลายดินแดน 24 และเราจะทำให้แขนของกษัตริย์แห่งบาบิโลนแข็งแกร่ง เราจะยื่นดาบไว้ในมือของเขา และเราจะหักแขนทั้งสองข้างของฟาโรห์ เขาจะโอดครวญต่อหน้ากษัตริย์แห่งบาบิโลนอย่างกับคนที่บาดเจ็บสาหัสเจียนตาย 25 เราจะทำให้แขนของกษัตริย์แห่งบาบิโลนแข็งแกร่ง แต่แขนของฟาโรห์จะหลุด แล้วพวกเขาจะรู้ว่า เราคือพระผู้เป็นเจ้าเมื่อเรายื่นดาบของเราไว้ในมือของกษัตริย์แห่งบาบิโลน และเขาก็ยื่นมันออกต่อสู้แผ่นดินอียิปต์ 26 เราจะทำให้ชาวอียิปต์กระจัดกระจายไปในท่ามกลางบรรดาประชาชาติ และจะทำให้พวกเขากระเจิดกระเจิงไปในหลายดินแดน แล้วพวกเขาจะรู้ว่า เราคือพระผู้เป็นเจ้า

ฟาโรห์จะถูกสังหาร

31 ในวันแรกของเดือนสาม ปีที่สิบเอ็ด[o]พระผู้เป็นเจ้ากล่าวกับข้าพเจ้าดังนี้ว่า “บุตรมนุษย์เอ๋ย จงพูดกับฟาโรห์กษัตริย์ของอียิปต์ และกับประชาชนของเขาดังนี้

‘เจ้ายิ่งใหญ่เหมือนใครหนอ
ดูเถิด อัสซีเรียเคยเป็นเหมือนต้นซีดาร์ในเลบานอน
    มีกิ่งก้านสวยงามและร่มรื่นในป่าไม้
สูงตระหง่าน
    ยอดของมันสูงเด่นระดับเมฆ
ได้รับน้ำหล่อเลี้ยง
    ห้วงน้ำลึกทำให้ต้นสูงใหญ่
ถูกปลูกไว้โดยมีสายน้ำไหล
    รอบโคนต้น
และสายน้ำไหลแยกออกไป
    ถึงต้นไม้ทุกต้นในทุ่ง
ต้นซีดาร์นี้สูงตระหง่านกว่าต้นไม้อื่นๆ ในทุ่ง
    กิ่งของมันโต ก้านก็ยาว
เพราะได้น้ำจำนวนมหาศาล
    หล่อเลี้ยงจากรากของมัน
นกทั้งหลายในอากาศทำรังตามกิ่งไม้
    สัตว์ป่าทั้งปวงในทุ่งออกลูก
    ที่ใต้กิ่งก้านของต้น
และประชาชาติที่ยิ่งใหญ่ทั้งปวง
    อาศัยอยู่ใต้ร่มเงาไม้
ต้นไม้ต้นนี้โอฬารและงามตระการยิ่งนัก
    กิ่งก้านก็ยาว
เพราะรากของมันหยั่งลงลึก
    ถึงแหล่งน้ำ
ต้นซีดาร์ต้นอื่นๆ ในสวนของพระเจ้าไม่อาจเทียบกับต้นซีดาร์ต้นนี้ได้
    ต้นสนอื่นๆ จะเทียบเท่ากับกิ่งของมันไม่ได้
    ต้นเพลนก็เทียบกับกิ่งของมันไม่ได้เช่นกัน
ไม่มีต้นไม้ใดในสวนของพระเจ้า
    จะเทียบเท่ากับความงามของมันได้
เราทำให้มันงดงาม
    ด้วยกิ่งก้านมากมาย
และต้นไม้ทุกต้นในเอเดน
    ซึ่งเป็นสวนของพระเจ้า อิจฉาต้นนี้’”

10 ฉะนั้น พระผู้เป็นเจ้ากล่าวดังนี้ว่า “เพราะมันสูงตระหง่าน ยอดของมันสูงเด่นระดับเมฆ และมีใจยโสในความสูงของมัน 11 เราจะให้มันอยู่ในมือของผู้มีอำนาจคนหนึ่งในบรรดาประชาชาติ เขาจะกระทำต่อมันตามความชั่วร้ายที่มันควรจะได้รับ เราได้สลัดมันทิ้งแล้ว 12 บรรดาชาวต่างชาติซึ่งโหดร้ายที่สุดในบรรดาประชาชาติได้โค่นต้นและปล่อยทิ้งมันไว้ ก้านของมันตกบนภูเขาและในหุบเขาทั้งหลาย กิ่งก้านของมันหักและตกในธารน้ำทุกสายของแผ่นดิน และบรรดาชนชาติทั้งปวงของแผ่นดินโลกได้ออกไปจากร่มเงาและปล่อยทิ้งมันไว้ 13 นกในอากาศทั้งปวงเกาะอาศัยอยู่บนต้นไม้ที่โค่นลง และสัตว์ป่าทั้งปวงในทุ่งเหยียบย่ำกิ่งก้านของมัน 14 ฉะนั้นต้นไม้ต้นอื่นๆ ใกล้แหล่งน้ำจะไม่มีวันสูงตระหง่านด้วยความยโส และยอดของมันจะไม่สูงเด่นระดับเมฆ และไม่มีต้นไม้ใดที่จะมีน้ำเลี้ยงมาก จนทำให้ต้นโตสูงเท่าได้ เพราะทุกต้นถูกกำหนดให้ตาย ให้ลงไปสู่โลกเบื้องล่าง อยู่ในท่ามกลางบรรดาบุตรมนุษย์ อยู่กับบรรดาผู้ลงไปในหลุมลึกแห่งแดนคนตาย”

15 พระผู้เป็นเจ้าผู้ยิ่งใหญ่กล่าวดังนี้ว่า “ในวันที่มันโค่นลงสู่แดนคนตาย เราทำให้ห้วงน้ำลึกร้องคร่ำครวญ เรารั้งกระแสน้ำ มวลน้ำจำนวนมหาศาลถูกยับยั้งไว้ เราให้เลบานอนห่มด้วยความมืดมน และต้นไม้ทุกต้นในทุ่งนาเหี่ยวเฉาก็เพราะมัน 16 เราทำให้บรรดาประชาชาติสั่นหวั่นไหวเมื่อได้ยินเสียงโค่นลง เมื่อเราเหวี่ยงมันลงสู่แดนคนตายพร้อมกับบรรดาผู้ที่ลงในหลุมลึกแห่งแดนคนตาย และต้นไม้ทุกต้นในเอเดน ต้นไม้งามและดีที่สุดของเลบานอน ทุกต้นที่ได้น้ำเลี้ยงได้รับการปลอบประโลมในโลกเบื้องล่าง 17 ต้นไม้เหล่านั้นซึ่งเคยอาศัยอยู่ใต้ร่มเงาต้นไม้ใหญ่ คือฝ่ายพันธมิตรในท่ามกลางบรรดาประชาชาติ ก็ได้ลงไปสู่แดนคนตายด้วยกับต้นไม้ใหญ่ ไปรวมกับบรรดาผู้ถูกดาบสังหาร

18 ต้นไม้ต้นใดในหมู่ไม้ของเอเดนบ้างที่จะเปรียบเทียบได้กับเจ้าในความรุ่งโรจน์และความยิ่งใหญ่ แต่เจ้าด้วยที่จะถูกทำให้ต่ำลงด้วยกันกับต้นไม้ทั้งหลายของเอเดนที่โลกเบื้องล่าง เจ้าจะนอนในท่ามกลางพวกที่ไม่ได้เข้าสุหนัต กับพวกที่ถูกดาบสังหาร

นี่แหละคือฟาโรห์และประชาชนของเขา” พระผู้เป็นเจ้าผู้ยิ่งใหญ่ประกาศดังนั้น

ร้องคร่ำครวญให้กับฟาโรห์และอียิปต์

32 ในวันแรกของเดือนสิบสอง ปีที่สิบสอง[p] พระผู้เป็นเจ้ากล่าวกับข้าพเจ้าดังนี้ว่า “บุตรมนุษย์เอ๋ย จงร้องคร่ำครวญให้กับฟาโรห์กษัตริย์ของอียิปต์ และบอกเขาดังนี้

‘เจ้าคิดว่าเจ้าเป็นดั่งสิงโตในบรรดาประชาชาติ
    แต่เจ้าเป็นอย่างมังกรในทะเล
เจ้าทำให้น้ำกระจายในแม่น้ำ
    แกว่งเท้าของเจ้าในน้ำ
    และทำให้น้ำในแม่น้ำขุ่น

พระผู้เป็นเจ้าผู้ยิ่งใหญ่กล่าวดังนี้ว่า

เราจะเหวี่ยงตาข่ายคลุมตัวเจ้า
    เรามีคนจำนวนมากอยู่กับเราด้วย
    และพวกเขาจะลากตัวเจ้าที่ติดตาข่ายของเราขึ้นมา
เราจะเหวี่ยงเจ้าลงบนพื้น
    เราจะโยนเจ้าลงบนทุ่งโล่ง
เราจะทำให้บรรดานกในอากาศทั้งปวงเกาะที่ตัวเจ้า
    และเราจะให้สัตว์ป่าทั่วทั้งแผ่นดินโลกขม้ำกินเจ้าอย่างตะกละ
เราจะแผ่เนื้อของเจ้าไว้บนภูเขา
    และถมหุบเขาให้เต็มด้วยซากของเจ้า
เราจะให้แผ่นดินชุ่มด้วยเลือดของเจ้า
    ที่ไหลไปจนถึงภูเขา
    และหุบเขาจะมีร่างของเจ้าเต็มไปหมด
เมื่อเราดับชีวิตของเจ้าให้สูญไป เราจะปกคลุมฟ้าสวรรค์
    และทำให้ดวงดาวมืดลง
เราจะปกคลุมดวงอาทิตย์ด้วยเมฆ
    และดวงจันทร์จะไม่ส่องแสง
เราจะทำให้แสงอันสุกสว่าง
    ของฟ้าสวรรค์มืดลงเหนือตัวเจ้า
    และจะให้ความมืดปกแผ่นดินของเจ้า’”
    พระผู้เป็นเจ้าผู้ยิ่งใหญ่ประกาศดังนั้น

“เราจะทำให้ชนชาติจำนวนมากทุกข์ใจเมื่อเรานำความพินาศมาสู่เจ้าท่ามกลางบรรดาประชาชาติ ท่ามกลางหลายดินแดนที่เจ้าไม่เคยรู้จัก 10 เราจะทำให้คนจำนวนมากตกตะลึงในตัวเจ้า และผมของบรรดากษัตริย์จะตั้งขึ้นด้วยความหวาดหวั่นก็เพราะเจ้า เมื่อเราแกว่งดาบของเราต่อหน้าพวกเขา พวกเขาทุกคนจะสั่นเทา กลัวอยู่ทุกขณะว่าชีวิตจะสิ้นสุด ในวันที่เจ้าถูกโค่นลง”

11 เพราะพระผู้เป็นเจ้าผู้ยิ่งใหญ่กล่าวดังนี้ว่า “ดาบของกษัตริย์แห่งบาบิโลนจะสู้รบกับเจ้า 12 เราจะทำให้ประชาชนของเจ้าล้มลงด้วยดาบของบรรดานักรบผู้เก่งกล้า พวกเขาทุกคนโหดร้ายที่สุดในบรรดาประชาชาติ

พวกเขาจะทำให้ความยโสของอียิปต์พินาศ
    และประชาชนชาวอียิปต์จะล้มตาย
13 เราจะทำลายสัตว์ป่าให้หมดสิ้นไปจาก
    บริเวณใกล้แหล่งน้ำ
และจะไม่มีผู้ใดย่างเท้าลงในน้ำอีกต่อไป
    หรือจะมีสัตว์เลี้ยงย่ำกีบทำให้น้ำขุ่นอีก
14 แล้วเราจะทำให้น้ำของอียิปต์ใส
    และทำให้แม่น้ำไหลอย่างน้ำมัน”
    พระผู้เป็นเจ้าผู้ยิ่งใหญ่ประกาศดังนั้น
15 “เมื่อเราทำให้แผ่นดินอียิปต์รกร้าง
    และทำให้แผ่นดินไม่มีสิ่งใดเหลืออยู่เลย
เมื่อเราทำให้สิ่งมีชีวิตทั้งสิ้นที่อาศัยอยู่ในนั้นหมอบราบคาบ
    แล้วพวกเขาจะรู้ว่า เราคือพระผู้เป็นเจ้า

16 นี่เป็นคำร้องคร่ำครวญที่พวกเขาจะร้องให้กับอียิปต์ บรรดาบุตรหญิงของบรรดาประชาชาติจะร้องคร่ำครวญ พวกเขาจะร้องคร่ำครวญให้กับอียิปต์และประชาชนทุกคน” พระผู้เป็นเจ้าผู้ยิ่งใหญ่ประกาศดังนั้น

17 ในวันที่สิบห้า ปีที่สิบสอง[q] พระผู้เป็นเจ้ากล่าวกับข้าพเจ้าดังนี้ว่า 18 “บุตรมนุษย์เอ๋ย เจ้าจงร้องรำพันให้กับประชาชนของอียิปต์ และส่งอียิปต์และบุตรหญิงทั้งหลายของบรรดาประชาชาติที่มีอานุภาพลงไปยังโลกเบื้องล่าง ไปยังบรรดาผู้ที่ได้ลงไปในหลุมลึกแห่งแดนคนตายแล้ว

19 จงพูดกับพวกเขาดังนี้

‘เจ้างามเกินใครบ้างหรือ
    จงลงไปและนอนพักรวมอยู่กับคนที่ไม่ได้เข้าสุหนัต’

20 พวกเขาจะล้มลงอยู่กับบรรดาผู้ที่ถูกดาบสังหาร อียิปต์และประชาชนทุกคนถูกดาบสังหารและลากไป 21 บรรดาผู้นำที่มีอำนาจจะเอ่ยจากแดนคนตายถึงอียิปต์และพันธมิตรว่า ‘พวกเขาได้ลงมาแล้ว พวกเขานอนนิ่งอยู่กับพวกที่ไม่ได้เข้าสุหนัต ซึ่งถูกดาบสังหาร’

22 อัสซีเรียอยู่ที่นั่นกับพรรคพวก มีหลุมศพอยู่รอบข้าง ทุกคนถูกสังหาร ล้มตายด้วยดาบ 23 หลุมศพของพวกเขาอยู่ในส่วนลึกสุดของหลุมลึกแห่งแดนคนตาย และพรรคพวกของอัสซีเรียอยู่รอบหลุมศพ ทุกคนถูกสังหาร ล้มตายด้วยดาบ พวกเขาทำให้เกิดความหวาดหวั่นทั่วดินแดนของคนเป็น

24 เอลามอยู่ที่นั่น ประชาชนจำนวนมากอยู่รอบหลุมศพ ทุกคนถูกสังหาร ล้มตายด้วยดาบ พวกเขาทุกคนทำให้เกิดความหวาดหวั่นทั่วดินแดนของคนเป็น ลงไปอย่างคนที่ไม่ได้เข้าสุหนัตยังโลกเบื้องล่าง พวกเขาแบกรับความอับอายด้วยกับบรรดาผู้ที่ลงไปสู่หลุมลึกแห่งแดนคนตาย 25 พวกเขาจัดเตรียมที่อยู่ให้แก่เอลามในหมู่คนที่ถูกสังหารพร้อมกับคนจำนวนมาก หลุมศพอยู่รอบข้าง พวกเขาทุกคนไม่ได้เข้าสุหนัต ถูกดาบสังหาร เพราะพวกเขาทำให้เกิดความหวาดหวั่นทั่วดินแดนของคนเป็น พวกเขาแบกรับความอับอายด้วยกับบรรดาผู้ที่ลงไปสู่หลุมลึกแห่งแดนคนตาย พวกเขาถูกทิ้งไว้ในท่ามกลางคนที่ถูกสังหาร

26 เมเชคและทูบัลอยู่ที่นั่น ประชาชนจำนวนมากอยู่รอบหลุมศพ ทุกคนไม่ได้เข้าสุหนัต ถูกดาบสังหาร เพราะพวกเขาทำให้เกิดความหวาดหวั่นทั่วดินแดนของคนเป็น 27 และพวกเขาไม่นอนรวมกับนักรบผู้เก่งกล้า คือผู้ที่เสียชีวิตในบรรดาผู้ที่ไม่ได้เข้าสุหนัต ซึ่งลงไปสู่แดนคนตายกับอาวุธสงคราม และมีดาบวางที่ใต้ศีรษะ บาปอยู่บนกระดูกของพวกเขา เพราะความหวาดหวั่นที่มีต่อนักรบเหล่านี้อยู่ในดินแดนของคนเป็น 28 ส่วนเจ้าเอง เจ้าจะถูกทำลายและนอนลงในท่ามกลางบรรดาผู้ที่ไม่ได้เข้าสุหนัตที่ลงไปสู่หลุมลึก

29 เอโดมอยู่ที่นั่น พร้อมกับบรรดากษัตริย์และผู้ยิ่งใหญ่ทุกคน แม้พวกเขาจะมีอำนาจก็ยังถูกวางรวมกับบรรดาผู้ที่ถูกดาบฆ่าตาย พวกเขานอนรวมกับบรรดาผู้ที่ไม่ได้เข้าสุหนัต กับผู้ที่ลงไปสู่หลุมลึกแห่งแดนคนตาย

30 บรรดาผู้นำจากทิศเหนือและชาวไซดอนทั้งปวงอยู่ที่นั่น พวกเขาได้ลงไปพร้อมกับพวกที่ถูกฆ่า เพราะความหวาดหวั่นที่พวกเขาก่อขึ้นจากอำนาจของพวกเขา พวกเขานอนลงอย่างคนที่ไม่ได้เข้าสุหนัตนอนกับบรรดาผู้ที่ถูกดาบสังหาร และแบกรับความอับอายด้วยกับบรรดาผู้ที่ลงไปสู่หลุมลึกแห่งแดนคนตาย

31 เมื่อฟาโรห์เห็นพวกเขา เขาจะรู้สึกสบายใจเรื่องประชาชนทั้งปวงของเขา ทั้งฟาโรห์และกองทัพทั้งหมดที่ถูกดาบสังหาร” พระผู้เป็นเจ้าผู้ยิ่งใหญ่ประกาศดังนั้น 32 “ถึงแม้ว่าเราทำให้เกิดความหวาดหวั่นทั่วดินแดนของคนเป็น ฟาโรห์และประชาชนทั้งปวงของเขาจะนอนรวมกับบรรดาผู้ที่ไม่ได้เข้าสุหนัต กับบรรดาผู้ที่ถูกดาบสังหาร” พระผู้เป็นเจ้าผู้ยิ่งใหญ่ประกาศดังนั้น

เอเสเคียลเป็นผู้เฝ้ายามของอิสราเอล

33 พระผู้เป็นเจ้ากล่าวกับข้าพเจ้าว่า “บุตรมนุษย์เอ๋ย จงบอกชนร่วมชาติของเจ้าดังนี้ ‘ถ้าเราจะให้มีการฆ่าฟันเกิดขึ้นในแผ่นดิน และประชาชนของแผ่นดินเลือกคนใดคนหนึ่งในพวกเขาเองให้เป็นผู้เฝ้ายาม และถ้าเขาเห็นว่า จะมีการฆ่าฟันในแผ่นดินและเป่าแตรงอนเพื่อเตือนประชาชน ถ้าผู้ที่ได้ยินเสียงแตรงอน แต่ไม่รับการเตือน และเกิดการฆ่าฟันจนเขาสิ้นชีวิต ก็เป็นการเลือกของเขาเอง ในเมื่อเขาได้ยินเสียงแตรงอนแล้ว แต่ยังไม่รับการเตือน ก็เป็นการเลือกของเขาเอง ถ้าหากว่าเขารับการเตือน เขาก็จะรักษาชีวิตของเขาไว้ได้ แต่ถ้าผู้เฝ้ายามเห็นว่าการฆ่าฟันกำลังจะเกิดขึ้น แต่ไม่เป่าแตรงอนเพื่อเตือนประชาชน และมีการฆ่าฟันจนทำให้คนใดในพวกเขาเสียชีวิต ชายคนนั้นจะถูกพรากไปเพราะบาปของเขา แต่เราจะให้ชีวิตของเขาตกอยู่ในความรับผิดชอบของผู้เฝ้ายาม’

บุตรมนุษย์เอ๋ย เราได้ให้เจ้าเป็นผู้เฝ้ายามของพงศ์พันธุ์อิสราเอล เมื่อใดก็ตามที่เจ้าได้ยินคำพูดจากปากของเรา เจ้าจะต้องตักเตือนพวกเขาให้เรา ถ้าเราพูดกับคนชั่วร้ายว่า โอ คนชั่วร้ายเอ๋ย เจ้าจะต้องตายอย่างแน่นอน และถ้าเจ้าไม่พูดตักเตือนคนชั่วร้ายให้ละจากวิถีทางของเขา คนชั่วคนนั้นก็จะตายเนื่องจากบาปของเขา แต่เราจะให้ชีวิตของเขาอยู่ในความรับผิดชอบของเจ้า แต่ถ้าเจ้าเตือนคนชั่วร้ายให้หันไปจากวิถีทางของเขา และเขาจะไม่ทำตามนั้น เขาจะตายเนื่องจากบาปของเขา แต่เจ้าจะรักษาจิตวิญญาณของเจ้าไว้ได้

อิสราเอล ทำไมเจ้าจึงจะตาย

10 และบุตรมนุษย์เอ๋ย เจ้าจงบอกพงศ์พันธุ์อิสราเอล เจ้าได้พูดแล้วว่า ‘การล่วงละเมิดและบาปของเราตกอยู่กับพวกเราอย่างแน่นอน และเราทรุดโทรมลงก็เพราะบาป พวกเราจะมีชีวิตอยู่ได้อย่างไร’” 11 พระผู้เป็นเจ้าผู้ยิ่งใหญ่ประกาศว่า “เจ้าจงบอกพวกเขาดังนี้ ‘ตราบที่เรามีชีวิตอยู่ฉันใด เราไม่ชื่นชอบในความตายของคนชั่วร้าย แต่ต้องการให้พวกเขาหันไปจากวิถีทางของเขาและมีชีวิตอยู่ จงหันไป หันไปจากวิถีทางอันชั่ว โอ พงศ์พันธุ์อิสราเอลเอ๋ย แล้วทำไมเจ้าจึงจะตาย’

12 และตัวเจ้าเอง บุตรมนุษย์เอ๋ย จงบอกชนร่วมชาติของเจ้าว่า ความชอบธรรมของผู้มีความชอบธรรมจะไม่ช่วยเขาให้รอดปลอดภัยเมื่อเขาล่วงละเมิด ส่วนความชั่วร้ายของผู้ชั่วร้ายจะไม่เป็นเหตุให้เขาล้มลงเมื่อเขาหันไปจากความชั่วของเขา และผู้มีความชอบธรรมจะไม่อาจมีชีวิตได้ด้วยความชอบธรรมของเขาเมื่อเขาทำบาป 13 ถึงแม้ว่า เราพูดกับผู้มีความชอบธรรมว่า เขาจะมีชีวิตอย่างแน่นอน แต่ถ้าเขาวางใจในความชอบธรรมของเขาและทำสิ่งที่ไม่ยุติธรรม การกระทำอันชอบธรรมของเขาที่เคยทำจะไม่เป็นที่ระลึกถึง แต่เขาจะตายเพราะความไม่ยุติธรรมที่เขากระทำ 14 และแม้ว่าเราพูดกับคนชั่วร้ายว่า ‘เจ้าจะตายอย่างแน่นอน’ แต่ถ้าเขาหันไปจากบาปของเขา และปฏิบัติด้วยความยุติธรรมและความชอบธรรม 15 ถ้าเขาคืนของประกันที่เขายึดไปเมื่อมีการให้ยืม และคืนสิ่งที่เขาขโมยไป ปฏิบัติตามกฎเกณฑ์ที่นำไปสู่ชีวิต และไม่กระทำความชั่ว เขาจะมีชีวิตอย่างแน่นอน เขาจะไม่ตาย 16 ไม่มีบาปใดที่เขากระทำแล้วจะเป็นที่ระลึกถึงและฟ้องเขา เขาได้ปฏิบัติด้วยความยุติธรรมและความชอบธรรม เขาจะมีชีวิตอย่างแน่นอน

17 ถึงกระนั้น ชนร่วมชาติของเจ้ายังพูดว่า ‘วิถีทางของพระผู้เป็นเจ้าไม่ยุติธรรม’ เมื่อวิถีทางของพวกเขาเองไม่ยุติธรรม 18 เมื่อผู้มีความชอบธรรมหันไปจากความชอบธรรมของเขา และปฏิบัติด้วยความไม่ยุติธรรม เขาก็จะตายเพราะเหตุนั้น 19 และเมื่อคนชั่วร้ายหันไปจากความชั่วของเขา และปฏิบัติด้วยความยุติธรรมและความชอบธรรม เขาก็จะเป็นไปตามนั้น 20 ถึงกระนั้น เจ้ายังพูดว่า ‘วิถีทางของพระผู้เป็นเจ้าไม่ยุติธรรม’ โอ พงศ์พันธุ์อิสราเอลเอ๋ย เราจะตัดสินพวกเจ้าแต่ละคนตามวิถีทางของตน”

เยรูซาเล็มถูกล้ม

21 ในวันที่ห้าของเดือนสิบ ปีที่สิบสอง[r] ผู้ลี้ภัยคนหนึ่งจากเยรูซาเล็มมาหาข้าพเจ้า และพูดว่า “เมืองล้มแล้ว” 22 เย็นวันหนึ่งก่อนที่ชายผู้นั้นจะมาถึง มือของพระผู้เป็นเจ้าก็สถิตกับข้าพเจ้า พระองค์เปิดปากข้าพเจ้าก่อนที่ชายผู้นั้นจะมาหาข้าพเจ้าในตอนเช้า ดังนั้นปากของข้าพเจ้าเปิด และข้าพเจ้าไม่นิ่งเงียบอีก

23 พระผู้เป็นเจ้ากล่าวกับข้าพเจ้าดังนี้ว่า 24 “บุตรมนุษย์เอ๋ย บรรดาผู้อยู่อาศัยในที่ร้างเหล่านี้ในแผ่นดินอิสราเอลพูดเสมอว่า ‘อับราฮัมเป็นเพียงผู้ชายคนเดียว แต่ท่านเป็นเจ้าของแผ่นดิน แต่พวกเรามีจำนวนมากมาย แผ่นดินนี้ถูกมอบให้แก่พวกเราเพื่อเป็นเจ้าของอย่างแน่นอน’” 25 ฉะนั้น จงบอกพวกเขาว่า พระผู้เป็นเจ้าผู้ยิ่งใหญ่กล่าวดังนี้ว่า “พวกเจ้ากินเนื้อสัตว์ที่ยังมีเลือดคั่งค้างอยู่ นมัสการรูปเคารพและให้มีการนองเลือด สมควรหรือที่พวกเจ้าจะเป็นเจ้าของแผ่นดิน 26 พวกเจ้าวางใจในดาบของพวกเจ้า และกระทำสิ่งอันน่ารังเกียจ พวกเจ้าแต่ละคนทำให้ภรรยาของเพื่อนบ้านของตนเป็นมลทิน สมควรหรือที่พวกเจ้าจะเป็นเจ้าของแผ่นดิน” 27 พระผู้เป็นเจ้ากล่าวว่า จงบอกพวกเขาดังนี้ “ตราบที่เรามีชีวิตอยู่ฉันใด บรรดาผู้ที่อยู่ในที่ร้างจะตายด้วยดาบ และใครก็ตามที่อยู่ในทุ่งโล่ง เราจะให้สัตว์ป่าขย้ำกิน และบรรดาผู้อยู่ในที่หลบภัยและในถ้ำก็จะตายด้วยโรคระบาด 28 และเราจะทำให้แผ่นดินวิบัติและเป็นที่รกร้าง และความยโสในพละกำลังจะจบสิ้นลง และเทือกเขาของอิสราเอลจะเป็นที่รกร้างจนไม่มีผู้ใดผ่านไป 29 แล้วพวกเขาจะรู้ว่า เราคือพระผู้เป็นเจ้าเมื่อเราได้ทำให้แผ่นดินวิบัติและเป็นที่รกร้าง เพราะสิ่งอันน่ารังเกียจทั้งสิ้นที่พวกเขาทำ

30 ส่วนเจ้าเอง บุตรมนุษย์เอ๋ย ชนร่วมชาติของเจ้าที่พูดกันถึงเรื่องที่เกี่ยวกับเจ้าที่ข้างกำแพงและที่ประตูบ้าน ต่างก็พูดต่อกันและกันว่า ‘มาเถิด มาฟังคำกล่าวที่มาจากพระผู้เป็นเจ้า 31 และพวกเขามาหาเจ้าอย่างฝูงชน พวกเขานั่งตรงหน้าเจ้าอย่างเป็นชนชาติของเรา พวกเขาได้ยินสิ่งที่เจ้าพูดแต่กลับไม่ปฏิบัติตาม พวกเขากระทำตามปากที่ตนพูดซึ่งเต็มด้วยตัณหา ใจของพวกเขามุ่งมั่นในสินบน 32 ดูเถิด พวกเขาเห็นว่าเจ้าเป็นเพียงคนร้องเพลงในแนวตัณหา มีเสียงไพเราะและเล่นดนตรีเก่ง ด้วยว่าพวกเขาได้ยินสิ่งที่เจ้าพูดแต่กลับไม่ปฏิบัติตาม 33 เมื่อสิ่งนี้มาถึง และมันจะมาถึงอย่างแน่นอน พวกเขาจะรู้ว่าผู้เผยคำกล่าวของพระเจ้าผู้หนึ่งอยู่ท่ามกลางพวกเขา”

เผยความกล่าวโทษบรรดาผู้เลี้ยงดูฝูงแกะของอิสราเอล

34 พระผู้เป็นเจ้ากล่าวกับข้าพเจ้าดังนี้ว่า “บุตรมนุษย์เอ๋ย จงเผยความกล่าวโทษบรรดาผู้เลี้ยงดูฝูงแกะของอิสราเอล จงเผยความบอกพวกเขา แม้จะเป็นบรรดาผู้เลี้ยงดูก็ตาม พระผู้เป็นเจ้าผู้ยิ่งใหญ่กล่าวดังนี้ ‘โอ ผู้เลี้ยงดูฝูงแกะของอิสราเอลเอ๋ย พวกเจ้าได้แต่ดูแลตนเอง ผู้เลี้ยงดูฝูงแกะควรจะดูแลแกะมิใช่หรือ พวกเจ้ากินโยเกิร์ต สวมใส่ด้วยขนสัตว์ เจ้าฆ่าสัตว์อ้วนพี แต่เจ้าไม่เลี้ยงดูฝูงแกะ พวกเจ้าไม่ได้ช่วยผู้ที่อ่อนแอให้เข้มแข็งขึ้น เจ้าไม่ได้รักษาผู้ป่วย เจ้าไม่ได้พันบาดแผลให้แก่ผู้บาดเจ็บ เจ้าไม่ได้พาผู้ที่หลงทางกลับมา เจ้าไม่ได้ค้นหาผู้ที่หลงหายไป แต่พวกเจ้าปกครองพวกเขาด้วยความรุนแรงและทารุณ พวกเขาจึงได้กระจัดกระจายไป เพราะไม่มีผู้เลี้ยงดูฝูงแกะ และพวกเขาได้กลายเป็นอาหารให้พวกสัตว์ป่า ฝูงแกะของเรากระจัดกระจายไป พวกเขาระหกระเหินไปทั่วเทือกเขาและบนเขาสูงทุกลูก แกะของเรากระจัดกระจายไปทั่วแผ่นดินโลก โดยไม่มีใครค้นหาหรือตามหาพวกเขา’”

ฉะนั้น พวกท่านที่เลี้ยงดูฝูงแกะเอ๋ย จงฟังคำกล่าวของพระผู้เป็นเจ้า พระผู้เป็นเจ้าผู้ยิ่งใหญ่ประกาศดังนี้ว่า “ตราบที่เรามีชีวิตอยู่ฉันใด เพราะฝูงแกะของเราได้กลายเป็นเหยื่อ และฝูงแกะของเราได้กลายเป็นอาหารสำหรับสัตว์ป่าทั้งปวง ในเมื่อไม่มีผู้เลี้ยงดูฝูงแกะ และเพราะบรรดาผู้เลี้ยงดูฝูงแกะไม่ได้ค้นหาฝูงแกะของเรา แต่บรรดาผู้เลี้ยงดูฝูงแกะได้ดูแลแต่ตัวเอง และไม่ได้ดูแลฝูงแกะของเรา” ฉะนั้น พวกท่านที่เลี้ยงดูฝูงแกะจงฟังคำกล่าวของพระผู้เป็นเจ้า 10 พระผู้เป็นเจ้าผู้ยิ่งใหญ่กล่าวดังนี้ว่า “ดูเถิด เราจะขัดขวางบรรดาผู้เลี้ยงดูฝูงแกะ และพวกเขาต้องรับผิดชอบฝูงแกะของเรา และปลดพวกเขาไม่ให้เลี้ยงแกะต่อไป บรรดาผู้เลี้ยงดูฝูงแกะจะไม่ดูแลพวกเขาเองอีกต่อไป เราจะช่วยฝูงแกะของเราให้พ้นจากปากของพวกเขา เพื่อไม่ให้เป็นอาหารของพวกเขา”

พระผู้เป็นเจ้าผู้ยิ่งใหญ่จะออกตามหาฝูงแกะ

11 เพราะพระผู้เป็นเจ้าผู้ยิ่งใหญ่กล่าวดังนี้ว่า “ดูเถิด เราจะค้นหาฝูงแกะของเราเอง และจะออกตามหาพวกเขา 12 ผู้เลี้ยงดูแกะที่อยู่กับฝูงออกตามหาฝูงแกะของเขาที่กระจัดกระจายไปเช่นไร เราก็จะออกตามหาฝูงแกะของเราเช่นนั้น และเราจะช่วยพวกเขาที่ได้กระจัดกระจายไปให้กลับมาจากทุกแห่งหน ในวันที่มีเมฆและมืดมาก 13 และเราจะนำพวกเขาออกมาจากบรรดาชนชาติ และรวบรวมพวกเขาจากดินแดนทั้งหลาย และจะนำพวกเขากลับเข้าไปในแผ่นดินของพวกเขาเอง และเราจะดูแลพวกเขาบนเทือกเขาของอิสราเอล ที่ข้างแหล่งน้ำในหุบเขา และในสถานที่อยู่อาศัยทั้งหลายของดินแดน 14 เราจะดูแลพวกเขาในทุ่งหญ้าอันเขียวชอุ่ม และที่เล็มหญ้าของพวกเขาจะอยู่บนเทือกเขาสูงของอิสราเอล พวกเขาจะนอนในแผ่นดินที่มีหญ้าให้เล็ม และพวกเขาจะอยู่กินในทุ่งหญ้าอันอุดมบนเทือกเขาของอิสราเอล 15 เราเองจะเป็นผู้เลี้ยงดูฝูงแกะของเรา และเราเองจะให้พวกเขานอนพัก พระผู้เป็นเจ้าผู้ยิ่งใหญ่ประกาศดังนั้น 16 เราจะตามหาผู้ที่หลงหาย และเราจะพาผู้ที่หลงทางกลับมา เราจะพันบาดแผลให้ผู้ที่บาดเจ็บ เราจะช่วยผู้ที่อ่อนแอให้เข้มแข็งขึ้น ส่วนผู้ที่อ้วนท้วนและแข็งแรง เราก็จะทำให้พินาศ เราจะดูแลเขาด้วยความยุติธรรม”

17 พระผู้เป็นเจ้าผู้ยิ่งใหญ่กล่าวดังนี้ว่า “ส่วนเจ้าซึ่งเป็นฝูงแกะของเรา เราจะตัดสินระหว่างแกะตัวหนึ่งกับแกะอีกตัวหนึ่ง ระหว่างแกะตัวผู้กับแพะตัวผู้ 18 พวกเจ้าเล็มหญ้าในทุ่งอันเขียวชอุ่มไม่พอหรือ เจ้าจึงต้องใช้เท้าเหยียบย่ำทุ่งหญ้าที่เหลืออยู่ของเจ้า และเจ้ามีน้ำใสได้ดื่มกิน แล้วยังต้องใช้เท้าลุยน้ำที่เหลือให้ขุ่นอีกหรือ 19 แกะของเราต้องกินส่วนที่เหลือเมื่อเจ้าใช้เท้าเหยียบย่ำเสียก่อน และดื่มน้ำขุ่นหลังจากที่เจ้าใช้เท้าลุยก่อนอย่างนั้นหรือ”

20 ฉะนั้น พระผู้เป็นเจ้าผู้ยิ่งใหญ่กล่าวกับพวกเขาดังนี้ว่า “ดูเถิด เราเองที่จะตัดสินระหว่างแกะอ้วนพีกับแกะผอม 21 เพราะเจ้าใช้เอวและไหล่ดัน และใช้เขากระแทกตัวที่อ่อนแอจนกระทั่งเจ้าทำให้พวกเขากระจัดกระจายไปยังต่างแดน 22 เราจะช่วยชีวิตฝูงแกะของเรา พวกเขาจะไม่เป็นเหยื่ออีกต่อไป และเราจะตัดสินระหว่างแกะตัวหนึ่งกับแกะอีกตัวหนึ่ง 23 และเราจะกำหนดผู้เลี้ยงดูฝูงแกะผู้หนึ่งให้ดูแลพวกเขา คือดาวิดผู้รับใช้ของเรา และท่านจะดูแลพวกเขา ท่านจะดูแลพวกแกะและเป็นผู้เลี้ยงดูฝูงแกะของพวกเขา 24 และเรา ผู้เป็นพระผู้เป็นเจ้า จะเป็นพระเจ้าของพวกเขา และดาวิดผู้รับใช้ของเราจะเป็นผู้ยิ่งใหญ่ท่ามกลางพวกเขา เราคือพระผู้เป็นเจ้า เราได้กล่าวแล้ว

พันธสัญญาแห่งสันติสุขของพระผู้เป็นเจ้า

25 เราจะทำพันธสัญญาแห่งสันติสุขกับแกะของเรา และขับไล่พวกสัตว์ป่าออกไปจากแผ่นดิน เพื่อให้พวกแกะอาศัยอยู่ในถิ่นทุรกันดารและนอนในป่าไม้อย่างปลอดภัย 26 เราจะทำให้พวกเขาและสถานที่หลายแห่งที่รอบเนินเขาได้รับพร และเราจะให้ฝนโปรยลงมาตามฤดูกาลอันเป็นฝนแห่งพรจากเรา 27 หมู่ไม้ในทุ่งนาจะออกผล และแผ่นดินจะเพิ่มพูนผลผลิต และพวกเขาจะอยู่ในแผ่นดินของพวกเขาอย่างปลอดภัย พวกเขาจะรู้ว่า เราคือพระผู้เป็นเจ้าเมื่อเราหักคานแอกของพวกเขา และช่วยพวกเขาให้พ้นจากมือของบรรดาผู้ที่บังคับให้เป็นทาส 28 พวกเขาจะไม่เป็นเหยื่อสำหรับบรรดาประชาชาติ และพวกสัตว์ป่าของแผ่นดินจะไม่กัดกินพวกเขาอีกต่อไป พวกเขาจะอาศัยอยู่อย่างปลอดภัย และจะไม่มีสิ่งใดทำให้พวกเขาหวาดกลัวอีก 29 และเราจะจัดหาแผ่นดินอันเป็นที่เลื่องลือให้แก่พวกเขา เพื่อจะไม่ตกอยู่ในความอดอยากในแผ่นดินอีก และไม่ต้องทนทุกข์ต่อการดูหมิ่นจากบรรดาประชาชาติ 30 และพวกเขาจะรู้ว่า เราคือพระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของพวกเขา เราอยู่กับพวกเขา และพวกเขาคือพงศ์พันธุ์อิสราเอลซึ่งเป็นชนชาติของเรา” พระผู้เป็นเจ้าผู้ยิ่งใหญ่ประกาศดังนั้น 31 “และเจ้าเป็นฝูงแกะของเรา แกะที่อยู่ในทุ่งหญ้าของเรา เราเป็นพระเจ้าของเจ้า” พระผู้เป็นเจ้าผู้ยิ่งใหญ่ประกาศดังนั้น

เผยความกล่าวโทษภูเขาเสอีร์

35 พระผู้เป็นเจ้ากล่าวกับข้าพเจ้าดังนี้ว่า “บุตรมนุษย์เอ๋ย จงหันหน้าสู่ภูเขาเสอีร์และเผยความกล่าวโทษให้เรา และจงพูดว่า พระผู้เป็นเจ้าผู้ยิ่งใหญ่กล่าวดังนี้ ‘ดูเถิด เราจะขัดขวางเจ้า ภูเขาเสอีร์เอ๋ย และเราจะยื่นมือของเราออกเพื่อลงโทษเจ้า และเราจะทำให้เจ้าเป็นที่รกร้างและพังพินาศ เราจะทำให้เมืองต่างๆ ของเจ้าพังพินาศ และเจ้าจะกลายเป็นที่รกร้าง และเจ้าจะรู้ว่า เราคือพระผู้เป็นเจ้า เพราะเจ้ามุ่งร้ายอิสราเอลตลอดมา และมอบประชาชนของเขาให้แก่อำนาจของพลังดาบในเวลาที่พวกเขาตกอยู่ในความวิบัติ ในเวลาที่พวกเขาถูกลงโทษขั้นสุดท้าย’” พระผู้เป็นเจ้าผู้ยิ่งใหญ่ประกาศดังนี้ว่า “ฉะนั้น ตราบที่เรามีชีวิตอยู่ฉันใด เราจะทำให้เจ้าประสบกับการนองเลือด และเลือดจะตามล่าเจ้า เพราะเจ้าไม่เกลียดชังเลือด ฉะนั้นเลือดจะตามล่าเจ้า เราจะทำให้ภูเขาเสอีร์พินาศและกลายเป็นที่รกร้าง และเราจะกำจัดทุกคนที่เข้าออกไปจากที่นั่น และเราจะให้มีคนตายเต็มภูเขา บรรดาพวกที่ถูกดาบสังหารจะล้มลงบนเนินเขา ในหุบเขา และแหล่งน้ำในหุบเขา เราจะทำให้เจ้าเป็นที่รกร้างตลอดไป และเมืองต่างๆ ของเจ้าจะไม่มีผู้อยู่อาศัย แล้วเจ้าจะรู้ว่า เราคือพระผู้เป็นเจ้า

10 เพราะเจ้าพูดดังนี้ว่า ‘สองประชาชาติกับสองดินแดนนี้จะต้องเป็นของเรา และพวกเราจะยึดมาครอบครอง’ ถึงแม้ว่าเราซึ่งเป็นพระผู้เป็นเจ้าอยู่ที่นั่น” 11 พระผู้เป็นเจ้าผู้ยิ่งใหญ่ประกาศดังนี้ว่า “ฉะนั้น ตราบที่เรามีชีวิตอยู่ฉันใด เราจะกระทำต่อเจ้าตามความโกรธและความอิจฉาที่เจ้าแสดงให้เห็นจากความเกลียดชังที่เจ้ามีต่อพวกเขา และเราจะทำให้ตัวเราเป็นที่รู้จักในท่ามกลางพวกเขาเมื่อเราตัดสินโทษเจ้า 12 และเจ้าจะรู้ว่า เราคือพระผู้เป็นเจ้า

เราได้ยินเจ้าพูดถากถางต่อภูเขาของอิสราเอลว่า ‘กลายเป็นที่รกร้างเสียแล้ว และถูกมอบให้พวกเราเขมือบกิน’ 13 และพวกเจ้าพูดยกยอตนเองเป็นการต่อต้านเรา ไม่ยับยั้งปากและต่อว่าเรา เราได้ยินทุกคำพูด” 14 พระผู้เป็นเจ้าผู้ยิ่งใหญ่กล่าวดังนี้ว่า “ขณะที่ทั่วทั้งโลกยินดี เราจะทำให้เจ้าเป็นที่รกร้าง 15 เพราะเจ้ายินดีเมื่อเห็นสิ่งที่พงศ์พันธุ์อิสราเอลได้รับเป็นมรดกจะเป็นที่รกร้าง เราจึงจะกระทำต่อเจ้า เจ้าจะเป็นที่รกร้าง ทั้งภูเขาเสอีร์และเอโดมทั้งหมด แล้วพวกเขาจะรู้ว่า เราคือพระผู้เป็นเจ้า

New Thai Version (NTV-BIBLE)

Copyright © 1998, 2012, 2020 by New Thai Version Foundation