Bible in 90 Days
องค์พระผู้เป็นเจ้า
1 หลังจากโมเสสผู้รับใช้ขององค์พระผู้เป็นเจ้าสิ้นชีวิตแล้ว องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสกับโยชูวาบุตรนูน ผู้ช่วยของโมเสสว่า 2 “โมเสสผู้รับใช้ของเราสิ้นชีวิตแล้ว บัดนี้เจ้ากับประชากรทั้งปวงจงเตรียมข้ามแม่น้ำจอร์แดน เข้าสู่ดินแดนที่เรากำลังจะยกให้ชนอิสราเอล 3 ทุกแห่งที่พวกเจ้าเหยียบย่างไป เราจะยกที่แห่งนั้นให้พวกเจ้า ตามที่เราได้สัญญาไว้กับโมเสส 4 ดินแดนของพวกเจ้าจะมีอาณาเขตตั้งแต่ถิ่นกันดารถึงเทือกเขาเลบานอน และจากแม่น้ำใหญ่ คือแม่น้ำยูเฟรติสจดทะเลเมดิเตอร์เรเนียนทางตะวันตก ครอบคลุมดินแดนทั้งหมดของชาวฮิตไทต์ 5 ไม่มีใครยืนหยัดต่อสู้เจ้าได้ตลอดชีวิตของเจ้า เพราะเราจะอยู่กับเจ้าเหมือนที่เราอยู่กับโมเสส เราจะไม่ละจากเจ้าหรือทอดทิ้งเจ้าเลย
6 “จงเข้มแข็งและกล้าหาญเถิด เพราะเจ้าจะนำประชากรเหล่านี้เข้าไปครอบครองดินแดนซึ่งเราปฏิญาณไว้กับบรรพบุรุษของพวกเขาว่าจะยกให้พวกเขา 7 จงเข้มแข็งและกล้าหาญเถิด จงใส่ใจปฏิบัติตามบทบัญญัติทั้งปวงที่โมเสสผู้รับใช้ของเราให้ไว้กับเจ้า อย่าเลี่ยงไปทางซ้ายหรือทางขวา เพื่อเจ้าจะประสบความสำเร็จไม่ว่าเจ้าจะไปที่ใด 8 อย่าให้หนังสือธรรมบัญญัตินี้ห่างจากปากของเจ้า จงใคร่ครวญทั้งกลางวันและกลางคืน เพื่อเจ้าจะปฏิบัติตามทุกสิ่งที่เขียนไว้อย่างเคร่งครัด แล้วเจ้าจะประสบความสำเร็จและความเจริญรุ่งเรือง 9 เราสั่งเจ้าแล้วไม่ใช่หรือว่าจงเข้มแข็งและกล้าหาญเถิด อย่าหวาดกลัว อย่าท้อใจ เพราะไม่ว่าเจ้าไปที่ไหน พระยาห์เวห์พระเจ้าของเจ้าจะอยู่กับเจ้าที่นั่น”
10 โยชูวาจึงสั่งบรรดาเจ้าหน้าที่ของประชาชนว่า 11 “จงไปทั่วค่ายพักและแจ้งเหล่าประชากรว่า ‘จงเตรียมเสบียงอาหารให้พร้อม อีกสามวันท่านจะข้ามแม่น้ำจอร์แดนเข้าไปยึดครองดินแดน ซึ่งพระยาห์เวห์พระเจ้าของท่านประทานให้เป็นกรรมสิทธิ์ของท่าน’ ”
12 แต่โยชูวากล่าวแก่เผ่ารูเบน เผ่ากาด และเผ่ามนัสเสห์ครึ่งเผ่าว่า 13 “จงจำคำที่โมเสสผู้รับใช้ขององค์พระผู้เป็นเจ้าสั่งไว้ว่า ‘พระยาห์เวห์พระเจ้าของท่านประทานการพักสงบให้ท่าน และประทานดินแดนนี้แก่ท่าน’ 14 ให้ภรรยา ลูกหลาน และฝูงสัตว์ของท่านพักอยู่ที่ดินแดนซึ่งโมเสสยกให้ที่ฟากตะวันออกของแม่น้ำจอร์แดนนี้ได้ แต่นักรบทั้งปวงของท่านต้องคาดอาวุธ นำพี่น้องข้ามแม่น้ำไป ท่านจงช่วยพวกพี่น้องของท่าน 15 ตราบจนองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงให้พวกเขาหยุดพักเช่นเดียวกับท่าน และตราบจนพวกเขาได้ครอบครองดินแดนซึ่งพระยาห์เวห์พระเจ้าของท่านจะประทานให้พวกเขาเช่นกัน หลังจากนั้นท่านจึงกลับมาครอบครองดินแดนของท่านที่ฟากตะวันออกของแม่น้ำจอร์แดนนี้ ซึ่งโมเสสผู้รับใช้ขององค์พระผู้เป็นเจ้ายกให้ท่าน”
16 พวกเขาจึงตอบโยชูวาว่า “เราจะทำทุกอย่างตามที่ท่านสั่ง เราจะไปทุกแห่งที่ท่านส่งเราไป 17 เราจะเชื่อฟังท่านเหมือนที่ได้เชื่อฟังโมเสสทุกประการ ขอแต่ให้พระยาห์เวห์พระเจ้าของท่านสถิตกับท่านเหมือนที่สถิตกับโมเสส 18 ไม่ว่าท่านจะสั่งอะไร ใครก็ตามที่ขัดขืนและไม่เชื่อฟังคำสั่งของท่าน ผู้นั้นจะต้องตาย ขอแต่ให้ท่านเข้มแข็งและกล้าหาญเถิด!”
นางราหับกับสายสืบ
2 แล้วโยชูวาบุตรนูนส่งสายสืบสองคนไปจากชิทธีมอย่างลับๆ และสั่งว่า “จงไปสืบดูสภาพดินแดนนั้น โดยเฉพาะที่เมืองเยรีโค” คนทั้งสองเข้าไปถึงบ้านของหญิงโสเภณี[a]ชื่อราหับและพักอยู่ที่นั่น
2 มีคนไปบอกกษัตริย์เยรีโคว่า “ดูเถิด! มีชาวอิสราเอลบางคนเข้ามาเมื่อคืนเพื่อมาสืบดูดินแดนนี้” 3 ดังนั้นกษัตริย์เยรีโคจึงส่งคนมาสั่งนางราหับว่า “จงนำตัวคนที่มาพักในบ้านของเจ้าออกมา เพราะพวกเขาเป็นสายสืบมาสืบดูทั่วทั้งดินแดนของเรา”
4 แต่นางได้ซ่อนตัวคนทั้งสองไว้แล้ว นางจึงเรียนว่า “พวกเขามาที่นี่ แต่ดิฉันไม่ทราบว่าเขามาจากไหน 5 เขาออกจากเมืองไปตอนพลบค่ำ ใกล้เวลาปิดประตูเมือง ดิฉันไม่ทราบว่าเขาไปทางไหน ถ้าพวกท่านรีบตามไปอาจจะทัน” 6 (ที่จริงนางพาคนทั้งสองขึ้นไปบนดาดฟ้า และให้ซ่อนตัวอยู่ใต้กองเส้นป่านที่ผึ่งอยู่) 7 คนที่กษัตริย์ใช้มาจึงไล่ตามสายสืบไปตามถนนที่ทอดไปยังท่าข้ามแม่น้ำจอร์แดน และทันทีที่ผู้ติดตามออกไป เขาก็ปิดประตูเมือง
8 ราหับขึ้นไปพบคนทั้งสองก่อนที่พวกเขาจะเข้านอน 9 นางกล่าวกับเขาว่า “ดิฉันทราบดีว่าองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงยกดินแดนนี้ให้ท่าน และเราทุกคนกลัวท่านมาก ดังนั้นทุกคนที่อาศัยอยู่ในประเทศนี้จึงตกอยู่ในความกลัวเพราะท่าน 10 เราได้ยินเรื่องที่องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงให้ทะเลแดงแห้งเป็นทางผ่านแก่พวกท่าน ตอนที่ท่านออกมาจากอียิปต์ และเราได้ยินถึงสิ่งที่ท่านทำกับสิโหนและโอก กษัตริย์ทั้งสองของชาวอาโมไรต์ทางฟากตะวันออกของแม่น้ำจอร์แดนซึ่งท่านทำลายล้างหมดสิ้น[b] 11 เมื่อได้ฟังแล้วเราทุกคนก็หวาดกลัวขวัญกระเจิง เพราะพระยาห์เวห์พระเจ้าของท่านเป็นพระเจ้าแห่งฟ้าสวรรค์เบื้องบนและแผ่นดินโลกเบื้องล่าง 12 บัดนี้ขอท่านโปรดสาบานในพระนามพระยาห์เวห์ว่า ท่านจะแสดงความเมตตาต่อครอบครัวของดิฉันเพราะดิฉันได้เมตตาต่อท่าน โปรดให้เครื่องหมายที่ชัดเจนอย่างหนึ่งไว้ 13 ว่าท่านจะไว้ชีวิตบิดามารดา พี่น้องชายหญิงของดิฉันกับคนทั้งหมดของพวกเขา และว่าท่านจะช่วยพวกเราให้รอดพ้นจากความตาย”
14 คนทั้งสองให้ความมั่นใจแก่นางว่า “ชีวิตแลกด้วยชีวิต หากเจ้าไม่แพร่งพรายสิ่งที่เราทำอยู่ เราจะซื่อสัตย์และกรุณาเจ้าเมื่อองค์พระผู้เป็นเจ้าประทานดินแดนนี้แก่เรา”
15 นางจึงเอาเชือกหย่อนลงทางหน้าต่าง ให้พวกเขาไต่ลงไป เนื่องจากบ้านของนางเป็นส่วนหนึ่งของกำแพงเมือง 16 นางบอกพวกเขาว่า “หนีไปซ่อนที่เนินเขาเถิด รออยู่สักสามวันจนกว่าคนที่เที่ยวตามหาท่านกลับเข้ามา แล้วจึงค่อยไป”
17 ชายทั้งสองบอกนางว่า “เราจะพ้นจากข้อผูกมัดที่เจ้าให้เราสาบาน 18 เมื่อเราบุกเข้ามาในดินแดน ถ้าเจ้าไม่ได้ผูกเชือกสีแดงไว้ที่หน้าต่างซึ่งเจ้าหย่อนเราลงมา และถ้าเจ้าไม่ได้ให้พ่อแม่พี่น้องกับทุกคนในครอบครัวอยู่ในบ้านของเจ้า 19 ถ้ามีใครออกไปนอกบ้าน เขาต้องรับผิดชอบชีวิตตัวเอง เราจะไม่รับผิดชอบ ส่วนคนที่อยู่ในบ้านกับเจ้า หากมีใครมาแตะต้อง เราจะรับผิดชอบด้วยชีวิตของเราเอง 20 แต่หากเจ้าแพร่งพรายสิ่งที่เราทำอยู่ เราก็จะพ้นจากข้อผูกมัดที่เจ้าให้เราสาบานไว้”
21 นางตอบว่า “ตกลงตามที่ท่านว่า” แล้วนางก็ส่งคนทั้งสองไป และผูกเชือกแดงไว้ที่หน้าต่างบานนั้น
22 สายสืบทั้งสองขึ้นไปบนเนินเขา ค้างอยู่ที่นั่นสามวัน จนกลุ่มคนที่ตามหาตัวเขากลับมาในเมืองนั้น หลังจากเที่ยวตามหาตลอดทางแล้วไม่พบ 23 จากนั้นคนทั้งสองก็ลงจากเนินเขา ลุยข้ามแม่น้ำไปรายงานให้โยชูวาบุตรนูนทราบทุกเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นโดยตลอด 24 พวกเขากล่าวแก่โยชูวาว่า “องค์พระผู้เป็นเจ้าประทานดินแดนทั้งหมดนั้นแก่เราอย่างแน่นอน ทุกคนที่นั่นหวาดหวั่นขวัญผวาเพราะพวกเรา”
ข้ามแม่น้ำจอร์แดน
3 เช้าตรู่วันรุ่งขึ้น โยชูวากับชนอิสราเอลทั้งปวงออกเดินทางจากชิทธีมมาถึงริมฝั่งแม่น้ำจอร์แดน และตั้งค่ายพักอยู่ที่นั่นก่อนจะข้ามแม่น้ำไป 2 สามวันหลังจากนั้น บรรดาเจ้าหน้าที่ออกไปทั่วค่าย 3 แจ้งคำสั่งแก่ประชาชนว่า “เมื่อเห็นปุโรหิตซึ่งเป็นชนเลวีหามหีบพันธสัญญาของพระยาห์เวห์พระเจ้าของท่าน จงเคลื่อนออกจากที่ของท่านตามไป 4 เพราะท่านไม่เคยเดินผ่านทางนี้มาก่อน ฉะนั้นเขาจะนำท่านไป แต่อย่าเข้าไปใกล้หีบพันธสัญญา จงรักษาระยะห่างประมาณ 2,000 ศอก[c]”
5 โยชูวาสั่งเหล่าประชากรว่า “จงชำระตนให้บริสุทธิ์ เพราะพรุ่งนี้องค์พระผู้เป็นเจ้าจะทรงกระทำการอัศจรรย์ยิ่งใหญ่ท่ามกลางท่าน”
6 โยชูวากล่าวกับบรรดาปุโรหิตว่า “จงหามหีบพันธสัญญานำประชากรไปเถิด” พวกเขาจึงยกหีบพันธสัญญานำหน้าเหล่าประชากรไป
7 องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสกับโยชูวาว่า “วันนี้เราจะเริ่มยกชูเจ้าขึ้นในสายตาของอิสราเอลทั้งปวง เพื่อเขาจะได้รู้ว่าเราอยู่กับเจ้าเหมือนที่เราอยู่กับโมเสส 8 จงสั่งปุโรหิตที่หามหีบพันธสัญญาว่า ‘เมื่อท่านทั้งหลายมาถึงริมแม่น้ำจอร์แดน จงก้าวไปยืนอยู่ในแม่น้ำ’ ”
9 โยชูวากล่าวแก่ชนอิสราเอลว่า “จงมาฟังพระดำรัสของพระยาห์เวห์พระเจ้าของท่านเถิด 10 วันนี้ท่านจะได้รู้ว่า พระเจ้าผู้ทรงพระชนม์อยู่นั้นทรงอยู่ท่ามกลางพวกท่าน และพระองค์จะทรงขับไล่ชาวคานาอัน ชาวฮิตไทต์ ชาวฮีไวต์ ชาวเปริสซี ชาวเกอร์กาชี ชาวอาโมไรต์ และชาวเยบุสออกไปต่อหน้าท่านอย่างแน่นอน 11 ดูเถิด หีบพันธสัญญาขององค์พระผู้เป็นเจ้าแห่งมวลพิภพจะนำท่านทั้งหลายข้ามแม่น้ำไป 12 บัดนี้จงเลือกชายสิบสองคนจากแต่ละเผ่าของอิสราเอล มาเผ่าละหนึ่งคน 13 ทันทีที่เท้าของปุโรหิตผู้หามหีบพันธสัญญาของพระยาห์เวห์ คือองค์พระผู้เป็นเจ้าแห่งมวลพิภพ ก้าวลงไปในแม่น้ำจอร์แดน น้ำจะหยุดไหลลงและตั้งชันขึ้น”
14 ฉะนั้นเมื่อเหล่าประชากรรื้อค่ายเพื่อข้ามแม่น้ำจอร์แดน บรรดาปุโรหิตก็หามหีบพันธสัญญานำหน้าพวกเขาไป 15 ขณะนั้นเป็นฤดูเก็บเกี่ยว น้ำในแม่น้ำจอร์แดนล้นตลิ่ง แต่ทันทีที่เท้าของปุโรหิตผู้หามหีบพันธสัญญาแตะผิวน้ำตรงริมแม่น้ำ 16 น้ำทางต้นน้ำก็หยุดไหลตั้งขึ้น ไกลจนถึงบริเวณเมืองอาดัมใกล้ศาเรธาน ส่วนสายน้ำใต้จุดนั้นไหลลงทะเลอาราบาห์ (ทะเลเกลือ[d]) จนสายน้ำขาดจากกัน ดังนั้นเหล่าประชากรจึงข้ามไปยังอีกฝั่งหนึ่งของแม่น้ำหน้าเมืองเยรีโค 17 ปุโรหิตผู้หามหีบพันธสัญญาขององค์พระผู้เป็นเจ้ายืนอย่างมั่นคงบนพื้นแห้ง กลางแม่น้ำจอร์แดนจนประชากรอิสราเอลทั้งชาติข้ามไปครบทุกคน
4 เมื่อเหล่าประชากรข้ามแม่น้ำจอร์แดนไปทุกคนแล้ว องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสกับโยชูวาว่า 2 “จงคัดเลือกชายสิบสองคนจากเหล่าประชากรเผ่าละหนึ่งคน 3 และสั่งพวกเขาให้ยกก้อนหินมาสิบสองก้อน จากกลางแม่น้ำจอร์แดนตรงที่เหล่าปุโรหิตยืน และตั้งไว้ในสถานที่ซึ่งเจ้าจะไปตั้งค่ายพักค่ำวันนี้”
4 โยชูวาจึงเรียกชายสิบสองคนนั้นซึ่งคัดเลือกจากชนอิสราเอลเผ่าละหนึ่งคนมา 5 และสั่งว่า “จงออกไปกลางแม่น้ำจอร์แดนตรงที่หีบพันธสัญญาของพระยาห์เวห์พระเจ้าของท่านตั้งอยู่ แล้วแบกหินขึ้นบ่ามาคนละหนึ่งก้อน ตามจำนวนเผ่าของชนอิสราเอล 6 เพื่อเป็นอนุสรณ์ท่ามกลางพวกท่าน ในอนาคตเมื่อลูกหลานของท่านถามว่า ‘หินเหล่านี้มีความหมายว่าอย่างไร?’ 7 จงบอกพวกเขาว่าแม่น้ำจอร์แดนแยกออกต่อหน้าหีบพันธสัญญาขององค์พระผู้เป็นเจ้าเมื่อหีบข้ามแม่น้ำจอร์แดน น้ำในแม่น้ำจอร์แดนก็แยกขาดจากกัน หินเหล่านี้จะเป็นอนุสรณ์เตือนใจชนอิสราเอลตลอดไป”
8 ชนอิสราเอลก็ทำตามที่โยชูวาสั่ง พวกเขาขนหินสิบสองก้อนจากกลางแม่น้ำจอร์แดนตามจำนวนเผ่าของอิสราเอล ตามที่องค์พระผู้เป็นเจ้าได้ทรงบัญชาโยชูวาไว้ และยกมาวางลงในสถานที่ตั้งค่ายพักแรมของพวกเขาในคืนวันนั้น 9 โยชูวาให้นำหินสิบสองก้อนที่เคยอยู่กลางแม่น้ำจอร์แดน ในบริเวณที่ปุโรหิตผู้หามหีบพันธสัญญายืนอยู่นั้นมาตั้งไว้[e] และหินเหล่านั้นยังคงอยู่ที่นั่นจวบจนทุกวันนี้
10 ปุโรหิตผู้หามหีบพันธสัญญายืนอยู่กลางแม่น้ำตราบจนเหล่าประชากรทำครบถ้วนทุกอย่างตามที่องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงบัญชาโยชูวา ดังที่โมเสสได้กำชับโยชูวา เหล่าประชากรรีบรุดข้ามแม่น้ำไป 11 เมื่อทุกคนข้ามไปแล้ว ประชากรพากันมองดูปุโรหิตหามหีบพันธสัญญาขององค์พระผู้เป็นเจ้าขึ้นจากแม่น้ำ 12 ชนเผ่ารูเบน กาด และมนัสเสห์ครึ่งเผ่าก็ข้ามแม่น้ำไป พวกเขาคาดอาวุธนำหน้าชนอิสราเอลตามที่โมเสสได้สั่งพวกเขาไว้ 13 มีคนราวสี่หมื่นคนจับอาวุธออกรบต่อหน้าองค์พระผู้เป็นเจ้าบุกไปยังที่ราบเยรีโค
14 วันนั้นองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงยกชูโยชูวาขึ้นต่อหน้าปวงชนอิสราเอล และพวกเขายำเกรงโยชูวาตลอดชีวิตของโยชูวาเหมือนที่เคยยำเกรงโมเสส
15 แล้วองค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสกับโยชูวาว่า 16 “จงสั่งปุโรหิตผู้หามหีบแห่งพันธสัญญาให้ขึ้นจากแม่น้ำจอร์แดน”
17 โยชูวาก็ออกคำสั่งแก่ปุโรหิตว่า “จงขึ้นมาจากแม่น้ำจอร์แดน”
18 ปุโรหิตจึงหามหีบพันธสัญญาขององค์พระผู้เป็นเจ้าขึ้นจากแม่น้ำ ทันทีที่เท้าของพวกเขาแตะพื้นตลิ่ง สายน้ำก็ไหลกลับลงท่วมตลิ่งดังเดิม
19 ในวันที่สิบของเดือนแรก เหล่าประชากรข้ามแม่น้ำจอร์แดนไปตั้งค่ายพักแรมที่กิลกาล ชิดเขตแดนด้านตะวันออกของเมืองเยรีโค 20 โยชูวาก็ให้ตั้งหินสิบสองก้อนที่ยกมาจากแม่น้ำจอร์แดนนั้นไว้ที่กิลกาล 21 เขากล่าวแก่ชนอิสราเอลว่า “ในอนาคตเมื่อลูกหลานของท่านถามว่า ‘ก้อนหินเหล่านี้มีความหมายว่าอย่างไร?’ 22 จงบอกเขาว่า ‘อิสราเอลเดินข้ามแม่น้ำจอร์แดนบนพื้นแห้ง’ 23 เพราะพระยาห์เวห์พระเจ้าของท่านทรงบันดาลให้แม่น้ำจอร์แดนแห้งต่อหน้าพวกท่าน เพื่อพวกท่านจะข้ามไปได้ เหมือนที่พระยาห์เวห์พระเจ้าของท่านเคยทำให้ทะเลแดง[f]แห้งเป็นทางต่อหน้าเราจนพวกเราได้ข้ามไป 24 ทั้งนี้เพื่อชาวโลกทั้งปวงจะรู้ว่าพระหัตถ์ขององค์พระผู้เป็นเจ้านั้นทรงอานุภาพ และเพื่อท่านทั้งหลายจะยำเกรงพระยาห์เวห์พระเจ้าของท่านตลอดไป”
พิธีสุหนัตที่กิลกาล
5 เมื่อกษัตริย์ชาวอาโมไรต์ทั้งหมดทางฟากตะวันตกของแม่น้ำจอร์แดนและกษัตริย์ชาวคานาอันทั้งหมดตามชายฝั่งทะเล ได้ยินว่าองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงบันดาลให้แม่น้ำจอร์แดนแห้งเพื่อให้ประชากรอิสราเอลข้ามไปได้ พวกเขาก็พากันหวาดหวั่นขวัญผวา ไม่กล้าเผชิญหน้ากับอิสราเอล
2 ในครั้งนั้นองค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสกับโยชูวาว่า “จงลับหินเป็นมีด เพื่อประกอบพิธีสุหนัตให้ชนอิสราเอลอีกครั้ง” 3 โยชูวาจึงทำมีดหินและให้ชนอิสราเอลเข้าสุหนัตที่กิเบอัธหะอาราโลท[g]
4 ที่เขาทำเช่นนี้เนื่องจากคนทั้งหมดที่ออกมาจากอียิปต์ คือชายในวัยที่ออกรบได้ทุกคนล้วนสิ้นชีวิตในถิ่นกันดารหลังออกมาจากอียิปต์ 5 ทุกคนที่ออกมาล้วนได้เข้าสุหนัต ส่วนคนที่เกิดในถิ่นกันดารระหว่างการเดินทางจากอียิปต์ยังไม่ได้เข้าสุหนัต 6 ชนอิสราเอลร่อนเร่อยู่ในถิ่นกันดารตลอดสี่สิบปี จนชายทุกคนที่อยู่ในวัยที่ออกรบได้เมื่อออกมาจากอียิปต์ได้สิ้นชีวิตหมดแล้ว เพราะพวกเขาไม่ได้เชื่อฟังองค์พระผู้เป็นเจ้าด้วยว่าองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงปฏิญาณกับพวกเขาไว้ว่า พวกเขาจะไม่ได้เห็นดินแดนอันอุดมด้วยน้ำนมและน้ำผึ้งที่พระองค์ทรงสัญญาไว้อย่างหนักแน่นกับบรรพบุรุษของพวกเขาว่าจะยกให้พวกเรา 7 บัดนี้โยชูวาจึงทำพิธีสุหนัตให้บุตรชายของพวกเขาที่โตพอที่จะแทนบิดาของตน เนื่องจากคนเหล่านี้ยังไม่ได้เข้าสุหนัตระหว่างทาง 8 หลังจากประชากรทั้งชาติเข้าสุหนัตแล้ว ก็พักอยู่ในค่ายจนหายเป็นปกติ
9 แล้วองค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสกับโยชูวาว่า “วันนี้เราได้กลิ้งความอัปยศแห่งอียิปต์ออกไปพ้นจากเจ้าแล้ว” สถานที่นั้นจึงได้ชื่อว่ากิลกาล[h]ตราบจนทุกวันนี้
10 ขณะตั้งค่ายพักอยู่ที่กิลกาลในที่ราบเยรีโค ชนอิสราเอลได้ฉลองปัสกาในเย็นวันที่สิบสี่ของเดือนนั้น 11 วันรุ่งขึ้นหลังจากพิธีปัสกา พวกเขารับประทานพืชผลจากดินแดนนั้น คือขนมปังไม่ใส่เชื้อและข้าวคั่ว 12 หลังจากนั้นไม่มีมานาตกลงมาให้ชนอิสราเอลอีกเลย ในปีนั้นพวกเขาเลี้ยงชีพด้วยพืชผลจากแผ่นดินคานาอัน
เมืองเยรีโคล่ม
13 ขณะที่โยชูวาอยู่ใกล้เมืองเยรีโค เขาเงยหน้าขึ้นเห็นชายคนหนึ่งชักดาบออกจากฝักยืนอยู่ตรงหน้า โยชูวาจึงก้าวเข้าไปหาและถามว่า “ท่านเป็นมิตรหรือเป็นศัตรู?”
14 ผู้นั้นตอบว่า “ไม่ใช่ทั้งสองอย่าง เรามาในฐานะจอมทัพขององค์พระผู้เป็นเจ้า” โยชูวาจึงหมอบซบหน้าลงกับพื้นด้วยความเคารพยำเกรงและถามว่า “องค์พระผู้เป็นเจ้า[i]ทรงมีพระบัญชาประการใดกับผู้รับใช้ของพระองค์หรือ?”
15 จอมทัพขององค์พระผู้เป็นเจ้าตอบว่า “จงถอดรองเท้าออก เพราะที่ซึ่งเจ้ายืนอยู่นี้เป็นที่ศักดิ์สิทธิ์” โยชูวาก็ปฏิบัติตาม
6 ประตูเมืองเยรีโคถูกปิดแน่นหนา ไม่อนุญาตให้ผู้ใดเข้าออกเลยเนื่องจากพวกเขากลัวชาวอิสราเอล
2 แล้วองค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสกับโยชูวาว่า “เราได้มอบเมืองเยรีโค บรรดากษัตริย์และนักรบของเมืองนี้ไว้ในมือเจ้าแล้ว 3 จงเดินขบวนรอบเมืองหนึ่งรอบพร้อมด้วยเหล่านักรบถืออาวุธ จงทำเช่นนี้เป็นเวลาหกวัน 4 ให้ปุโรหิตเจ็ดคนถือแตรเขาแกะเดินนำหน้าหีบพันธสัญญา ในวันที่เจ็ดจงเดินรอบเมืองเจ็ดรอบ ให้ปุโรหิตทั้งเจ็ดนั้นเป่าแตรเขาแกะ 5 และเมื่อเจ้าได้ยินเสียงแตรดังยาว จงให้ประชากรทั้งปวงโห่ร้องเสียงดัง แล้วกำแพงเมืองก็จะโค่นทลาย จากนั้นให้ประชาชนบุกเข้าเมืองทุกทิศทาง”
6 โยชูวาบุตรนูนจึงเรียกประชุมปุโรหิตและสั่งว่า “จงหามหีบพันธสัญญาขององค์พระผู้เป็นเจ้าโดยมีปุโรหิตเจ็ดคนถือแตรเขาแกะเดินนำหน้า” 7 แล้วเขาสั่งประชากรว่า “จงเดินขบวนรอบเมืองโดยมีกองคุ้มกันติดอาวุธครบมือ นำหน้าหีบพันธสัญญาขององค์พระผู้เป็นเจ้า”
8 เมื่อโยชูวาสั่งประชากรเรียบร้อยแล้ว ปุโรหิตทั้งเจ็ดถือเขาแกะเจ็ดคันต่อหน้าองค์พระผู้เป็นเจ้าเดินนำหน้าพลางเป่าเขาแกะไปโดยมีหีบพันธสัญญาขององค์พระผู้เป็นเจ้าตามมา 9 กองคุ้มกันถืออาวุธเดินนำหน้าปุโรหิตผู้เป่าแตรเขาแกะ และมีกองคุ้มกันระวังหลังอยู่ท้ายขบวนหีบพันธสัญญา เสียงเป่าแตรเขาแกะดังอยู่ตลอดเวลา 10 แต่โยชูวาได้กำชับประชากรไว้แล้วว่า “อย่าโห่ร้อง อย่าส่งเสียง อย่าเอ่ยออกมาแม้แต่คำเดียว จนถึงวันที่ข้าพเจ้าสั่งให้โห่ร้อง จึงโห่ร้อง!” 11 ดังนั้นเขาจึงให้หามหีบพันธสัญญาขององค์พระผู้เป็นเจ้าไปรอบเมืองวันละรอบ หลังจากนั้นทุกคนต่างกลับเข้าค่าย และค้างคืนที่นั่น
12 วันรุ่งขึ้นโยชูวาตื่นแต่เช้า ปุโรหิตหามหีบพันธสัญญาขององค์พระผู้เป็นเจ้า 13 ปุโรหิตเจ็ดคนถือแตรเขาแกะคนละคัน เป่าแตรเขาแกะเดินนำหน้าขบวนหีบพันธสัญญาขององค์พระผู้เป็นเจ้านักรบติดอาวุธนำขบวน กองคุ้มกันตามหลังหีบพันธสัญญาขององค์พระผู้เป็นเจ้าขณะเสียงแตรเขาแกะดังอยู่ 14 ในวันที่สองพวกเขาเดินรอบเมืองหนึ่งรอบแล้วกลับไปยังค่ายพัก เขาทำเช่นนี้อยู่หกวัน
15 เช้าตรู่ของวันที่เจ็ด เขาเดินรอบเมืองแบบเดียวกันอีก แต่คราวนี้ไม่ใช่เพียงรอบเดียว แต่เดินถึงเจ็ดรอบ 16 ในรอบที่เจ็ด ขณะที่ปุโรหิตเป่าแตรเขาแกะ โยชูวาสั่งเหล่าประชากรว่า “จงโห่ร้อง! องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงมอบเมืองนี้ให้เราแล้ว! 17 ทั้งเมืองและทุกอย่างในเมืองนี้ต้องอุทิศถวาย[j]แด่องค์พระผู้เป็นเจ้าแต่ให้ไว้ชีวิตราหับหญิงโสเภณี[k]และทุกคนในบ้านของนาง เพราะนางช่วยซ่อนตัวสายสืบของเรา 18 แต่อย่าแตะต้องข้าวของใดๆ ทั้งสิ้นที่ต้องอุทิศถวาย มิฉะนั้นตัวเจ้าเองจะถูกทำลายล้างและทั่วทั้งค่ายของอิสราเอลจะต้องเดือดร้อนและถึงแก่หายนะ 19 แต่เงิน ทอง และเครื่องใช้ไม้สอยต่างๆ ที่ทำจากทองสัมฤทธิ์และเหล็ก เป็นของศักดิ์สิทธิ์แด่องค์พระผู้เป็นเจ้าและต้องนำมายังพระคลังของพระองค์”
20 เมื่อประชากรได้ยินเสียงเป่าแตรเขาแกะก็โห่ร้องสุดเสียง กำแพงเมืองเยรีโคก็พังครืนลงมา ชนอิสราเอลทุกคนบุกเข้ายึดเมือง 21 พวกเขาอุทิศถวายเมืองนั้นแด่องค์พระผู้เป็นเจ้าและทำลายล้างสิ่งมีชีวิตทุกอย่างในเมืองนั้นด้วยดาบ ไม่ว่าชายหรือหญิง คนแก่หรือเด็ก วัว แกะ และลา
22 โยชูวาสั่งสายสืบสองคนนั้นว่า “จงไปที่บ้านของหญิงโสเภณี ช่วยนางกับคนของนางออกมาตามที่เจ้าสาบานกับนางไว้” 23 คนทั้งสองที่ได้ไปสืบดูจึงเข้าไปนำนางราหับ พ่อแม่พี่น้องและคนของนางทั้งหมดออกมาทั้งครอบครัว และให้ไปพักอยู่นอกค่ายพักของอิสราเอล
24 แล้วชนอิสราเอลก็เผาเมืองกับสิ่งของทุกอย่าง แต่นำเงิน ทอง ภาชนะทองสัมฤทธิ์ และเหล็กไปเก็บไว้ในคลังขององค์พระผู้เป็นเจ้า 25 แต่โยชูวาได้ไว้ชีวิตราหับหญิงโสเภณี ครอบครัว และคนของนาง เพราะนางได้ซ่อนตัวสายสืบซึ่งโยชูวาส่งไปเมืองเยรีโค นางอาศัยอยู่ในหมู่ชนอิสราเอลตราบจนทุกวันนี้
26 ในครั้งนั้นโยชูวาประกาศแช่งว่า “ผู้ใดที่จะสร้างเมืองเยรีโคขึ้นใหม่ ขอให้ผู้นั้นถูกสาปแช่งต่อหน้าองค์พระผู้เป็นเจ้าดังนี้
“ผู้ใดวางฐานรากของเมือง
บุตรหัวปีของผู้นั้นจะเสียชีวิต
ผู้ใดติดตั้งประตูเมือง
บุตรสุดท้องของผู้นั้นจะเสียชีวิต”
27 เช่นนี้แหละองค์พระผู้เป็นเจ้าสถิตกับโยชูวา ชื่อเสียงของเขาเลื่องลือไปทั่วแผ่นดิน
บาปของอาคาน
7 แต่ชนอิสราเอลไม่ซื่อสัตย์เกี่ยวกับของที่ต้องอุทิศถวาย[l] อาคานบุตรคารมีผู้เป็นบุตรของศิมรี[m] ผู้เป็นบุตรของเศราห์เผ่ายูดาห์ได้แอบเก็บบางสิ่งไว้ ดังนั้นองค์พระผู้เป็นเจ้าจึงทรงพระพิโรธอิสราเอล
2 ครั้งนั้นโยชูวาส่งคนจากเมืองเยรีโคไปเมืองอัยซึ่งอยู่ใกล้เบธอาเวนทางทิศตะวันออกของเบธเอล และสั่งพวกเขาว่า “จงไปสืบดูสภาพแถบนั้น” ดังนั้นพวกเขาจึงไปสำรวจดูเมืองอัย
3 พวกเขากลับมารายงานโยชูวาว่า “ไม่ต้องนำพลทั้งหมดไปรบกับอัย ส่งเพียงสองหรือสามพันคนไปยึดก็พอ ไม่ต้องให้ประชากรทั้งหมดเหนื่อยยาก เพราะที่นั่นมีเพียงไม่กี่คน” 4 ดังนั้นจึงมีทหารออกไปราวสามพันคน แต่ต้องแตกพ่ายหนีจากชาวเมืองอัย 5 คนอิสราเอลราว 36 คนถูกฆ่าตายขณะบุกเข้าตีเมือง และอีกจำนวนมากถูกชาวเมืองอัยไล่ฆ่าฟันจากประตูเมืองถึงเหมืองหิน[n] ประชาชนอิสราเอลก็ระทดท้อขวัญเสียไป
6 โยชูวาจึงฉีกเสี้อผ้าหมอบกราบซบหน้าลงกับพื้นด้านหน้าหีบพันธสัญญาขององค์พระผู้เป็นเจ้าจนถึงเวลาเย็น บรรดาผู้อาวุโสของอิสราเอลก็ทำเช่นเดียวกัน และโปรยฝุ่นใส่ศีรษะของตน 7 โยชูวากราบทูลว่า “ข้าแต่พระยาห์เวห์องค์เจ้าชีวิต เหตุใดจึงทรงนำเหล่าประชากรนี้ข้ามแม่น้ำจอร์แดนมาสู่เงื้อมมือชาวอาโมไรต์ให้เขาทำลายเรา? พวกข้าพระองค์น่าจะพอใจที่จะอาศัยฝั่งข้างโน้นของแม่น้ำจอร์แดน 8 ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า ข้าพระองค์จะพูดอย่างไรดี ในเมื่ออิสราเอลพ่ายแพ้ศัตรูมาเช่นนี้? 9 ชาวคานาอันและชนชาติใกล้เคียงได้ยินเรื่องนี้ ก็จะมารุมล้อมกวาดล้างข้าพระองค์ทั้งหลายให้สิ้นชื่อไปจากแผ่นดิน และจะเกิดอะไรขึ้นกับพระนามอันยิ่งใหญ่ของพระองค์?”
10 องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสกับโยชูวาว่า “จงลุกขึ้น! เจ้าหมอบกราบซบหน้าลงกับพื้นทำไม? 11 อิสราเอลได้ทำบาป ฝ่าฝืนพันธสัญญาของเราซึ่งบัญชาให้เขาปฏิบัติ พวกเขาซุกซ่อนของที่ต้องอุทิศถวาย เขาขโมยและโกหก เก็บสิ่งเหล่านั้นไว้กับทรัพย์สินส่วนตัว 12 ด้วยเหตุนี้เองชนชาติอิสราเอลจึงไม่สามารถต่อสู้กับศัตรู แต่ต้องพ่ายแพ้เพราะถูกกำหนดไว้ให้พินาศ เราจะไม่อยู่กับพวกเจ้าอีกต่อไป เว้นแต่ว่าเจ้าทั้งหลายได้ทำลายของที่ต้องอุทิศถวายซึ่งเราสั่งให้ทำลายไปเสียก่อน
13 “ไปเถิด ไปชำระเหล่าประชากรให้บริสุทธิ์ และสั่งพวกเขาว่า ‘จงชำระตนให้บริสุทธิ์ เตรียมตัวสำหรับวันรุ่งขึ้น เพราะพระยาห์เวห์พระเจ้าแห่งอิสราเอลตรัสดังนี้ว่า มีสิ่งที่ต้องอุทิศถวายอยู่ท่ามกลางพวกเจ้า อิสราเอลเอ๋ย เจ้าจะไม่สามารถต่อสู้กับศัตรูจนกว่าจะได้กำจัดสิ่งนั้นไป
14 “ ‘เช้าวันพรุ่งนี้พวกเจ้าจงมารายงานตัวทีละเผ่า เผ่าที่องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงระบุ จงออกมาข้างหน้าทีละตระกูล ตระกูลที่องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงระบุ จงออกมาข้างหน้าทีละครอบครัว ครอบครัวที่องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงระบุ จงออกมาข้างหน้าทีละคน 15 ผู้ที่ถูกจับได้ว่ามีของต้องอุทิศถวาย จะถูกเผาทำลายพร้อมทั้งข้าวของทุกอย่างของเขา เพราะเขาได้ละเมิดพันธสัญญาขององค์พระผู้เป็นเจ้าทำสิ่งที่น่าอับอายในอิสราเอล!’ ”
16 เช้าตรู่วันรุ่งขึ้นโยชูวาจึงให้ชนอิสราเอลออกมาข้างหน้าทีละเผ่า จับได้เผ่ายูดาห์ 17 ตระกูลต่างๆ ของยูดาห์ออกมาข้างหน้า จับได้ตระกูลเศราห์ ครอบครัวต่างๆ ของเศราห์ออกมาข้างหน้า จับได้ครอบครัวศิมรี 18 โยชูวาให้ครอบครัวศิมรีออกมาทีละคน จับได้อาคานบุตรคารมีซึ่งเป็นบุตรศิมรี ซึ่งเป็นบุตรเศราห์แห่งเผ่ายูดาห์
19 โยชูวาจึงกล่าวกับอาคานว่า “ลูกเอ๋ยจงถวายเกียรติแด่พระยาห์เวห์[o]พระเจ้าแห่งอิสราเอล และถวายสรรเสริญแด่พระองค์[p] บอกเราเถิดว่าเจ้าทำอะไรลงไป อย่าปิดบังไว้เลย”
20 อาคานตอบว่า “เป็นความจริงที่ข้าพเจ้าได้ทำบาปต่อพระยาห์เวห์พระเจ้าแห่งอิสราเอล สิ่งที่ข้าพเจ้าทำลงไปคือ 21 ในกองของที่ริบมาได้ ข้าพเจ้าเห็นเสื้อคลุมสวยงามจากบาบิโลน[q] เงินหนักประมาณ 2.3 กิโลกรัม[r] และทองแท่งหนักประมาณ 600 กรัม[s] ข้าพเจ้าอยากได้ จึงนำมาฝังไว้ใต้พื้นดินในเต็นท์ของข้าพเจ้า โดยฝังเงินไว้ใต้สุด”
22 โยชูวาจึงส่งคนไป พวกเขาวิ่งไปที่เต็นท์ของอาคาน พบของซ่อนอยู่ในเต็นท์ของเขา เงินถูกฝังไว้ใต้สุด 23 เขานำของเหล่านั้นจากเต็นท์มายังโยชูวาและปวงชนอิสราเอล แล้ววางลงต่อหน้าองค์พระผู้เป็นเจ้า
24 แล้วโยชูวากับชนอิสราเอลทั้งปวงจึงนำอาคานบุตรเศราห์ เงิน เสื้อคลุม ทองแท่ง บรรดาบุตรชายและบุตรสาวของเขา วัว ลา แกะ เต็นท์ และ สมบัติทุกอย่างของเขาไปยังหุบเขาอาโคร์ 25 โยชูวากล่าวว่า “ทำไมเจ้าจึงนำความเดือดร้อนมาสู่พวกเรา? วันนี้องค์พระผู้เป็นเจ้าจะทรงนำความเดือดร้อนมาสู่เจ้า”
แล้วชาวอิสราเอลทั้งปวงเอาหินขว้างใส่อาคานและครอบครัวจนตายและเผาร่างของพวกเขา 26 แล้วเอาหินสุมทับอาคานเป็นพะเนิน ซึ่งยังคงอยู่ตราบทุกวันนี้ สถานที่นั้นจึงได้ชื่อว่าอาโคร์[t] ตราบเท่าทุกวันนี้ แล้วพระพิโรธอันรุนแรงขององค์พระผู้เป็นเจ้าก็สงบลง
เมืองอัยถูกทำลาย
8 แล้วองค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสกับโยชูวาว่า “อย่ากลัวเลย อย่าท้อใจ จงยกพลทั้งหมดไปกับเจ้าและโจมตีเมืองอัยเถิด เราได้มอบกษัตริย์เมืองอัย ประชาชนของเขา เมืองของเขาและแผ่นดินของเขาไว้ในมือของเจ้าแล้ว 2 เจ้าจะทำกับเมืองอัย และกษัตริย์ของเขาเหมือนที่ทำกับเยรีโคและกษัตริย์ของเมืองนั้น แต่ครั้งนี้เจ้าจะริบข้าวของและฝูงสัตว์เป็นของตนได้ จงซุ่มโจมตีที่ท้ายเมือง”
3 โยชูวากับกองทัพทั้งหมดจึงเคลื่อนออกไปเพื่อเข้าโจมตีเมืองอัย เขาเลือกนักรบชั้นยอดสามหมื่นคนและส่งออกไปในยามค่ำคืน 4 และสั่งว่า “จงฟังคำสั่งให้ดี พวกท่านจะซุ่มกำบังอยู่หลังเมือง อย่าให้คลาดจากบริเวณนั้น ทุกคนต้องเตรียมพร้อม 5 ข้าพเจ้ากับคนอื่นทั้งหมดจะรุกเข้าเมือง และเมื่อชาวเมืองอัยออกมาต่อสู้เหมือนครั้งก่อน เราจะถอยหนี 6 พวกเขาจะรุกไล่เรา จนเราล่อพวกเขาออกมาจากเมืองจนหมด เพราะพวกเขาคงจะบอกกันว่า ‘อิสราเอลถอยหนีเหมือนครั้งก่อน’ 7 แล้วพวกท่านจงออกจากที่กำบังบุกเข้ายึดเมือง พระยาห์เวห์พระเจ้าของพวกท่านจะทรงมอบเมืองนี้ไว้ในมือพวกท่าน 8 พอยึดเมืองได้ จงจุดไฟเผาเมือง จงทำตามพระบัญชาขององค์พระผู้เป็นเจ้าจงปฏิบัติตามคำสั่งของเราอย่างเคร่งครัด”
9 โยชูวาจึงส่งพวกเขาออกไป และพวกเขาซุ่มรออยู่ในที่กำบังระหว่างเมืองเบธเอลกับด้านตะวันตกของเมืองอัย ส่วนโยชูวายังคงค้างคืนอยู่กับเหล่าประชากร
10 เช้าตรู่วันรุ่งขึ้นโยชูวาระดมพลออกเดินนำหน้าไปยังเมืองอัย พร้อมด้วยบรรดาผู้นำอิสราเอล 11 กองกำลังทั้งหมดที่อยู่กับโยชูวายกมาถึงหน้าเมือง และตั้งค่ายที่ด้านเหนือของเมืองอัย โดยมีหุบเขาคั่นระหว่างพวกเขากับเมือง 12 โยชูวาจัดทหารราวห้าพันคนซุ่มอยู่ระหว่างเมืองเบธเอลกับเมืองอัย คืออยู่ทางด้านตะวันตกของเมืองอัย 13 พวกเขาให้กำลังพลเข้าประจำที่ คือพวกที่อยู่ในค่ายเข้าประจำที่ทางด้านเหนือของเมือง กองกำลังที่ซุ่มอยู่เข้าประจำที่ทางตะวันตกของเมือง คืนนั้นโยชูวาเข้าไปยังหุบเขา
14 เมื่อกษัตริย์เมืองอัยเห็นเช่นนี้จึงยกพลทั้งหมดรีบรุดออกมาตั้งแต่เช้าตรู่ เพื่อประจันหน้ากับอิสราเอลตรงหน้าอาราบาห์ แต่ไม่ได้เฉลียวใจว่ามีกองกำลังซุ่มอยู่ด้านหลังของเมือง 15 โยชูวากับอิสราเอลทั้งปวงยอมถอยร่นต่อหน้าพวกอัย และหนีไปทางถิ่นกันดาร 16 ชายชาวอัยทั้งหมดถูกส่งไปรุกไล่โยชูวาและถูกล่อออกจากเมือง 17 ไม่มีชายสักคนเดียวหลงเหลืออยู่ในเมืองอัยหรือเบธเอล เพราะต่างไปตามล่าอิสราเอลกันหมด และประตูเมืองก็เปิดทิ้งไว้
18 แล้วองค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสกับโยชูวาว่า “จงชี้ปลายหอกในมือของเจ้าไปทางเมืองอัย เพราะเราจะมอบเมืองนี้ไว้ในมือของเจ้า” โยชูวาก็ยื่นหอกชี้ไปทางเมืองอัย 19 ทันทีที่เขาทำเช่นนั้น ทหารซึ่งซุ่มอยู่ก็บุกตรงรี่เข้าไปในเมืองและจุดไฟเผาเมืองอย่างรวดเร็ว
20 ชาวเมืองอัยเหลียวหลังกลับมาดู เห็นควันโขมงลอยขึ้นมาจากเมืองเต็มท้องฟ้า แต่ไม่มีช่องทางจะหนี เพราะทหารอิสราเอลซึ่งกำลังหนีไปยังถิ่นกันดารหวนกลับมาประจันหน้ากับพวกที่ไล่ล่าเขา 21 เพราะเมื่อโยชูวากับอิสราเอลทั้งปวงเห็นกองกำลังที่ซุ่มอยู่ยึดเมืองได้และควันโขมงลอยขึ้นมาจากเมือง ก็หวนกลับมาโจมตีชาวเมืองอัย 22 กองกำลังที่ซุ่มอยู่ก็ออกมาตีขนาบ ชาวเมืองอัยตกอยู่ในวงล้อมและถูกอิสราเอลฆ่าตายหมด ไม่มีสักคนรอดชีวิต หรือตกเป็นเชลย 23 ยกเว้นกษัตริย์เมืองอัยซึ่งถูกคุมตัวมาพบโยชูวา
24 เมื่ออิสราเอลฆ่าฟันชาวอัยทุกคนที่อยู่นอกเมืองเสร็จเรียบร้อยแล้ว ก็กลับมาฆ่าทุกคนที่เหลือรอดอยู่ในเมือง 25 เป็นอันว่าชายหญิงชาวเมืองอัยทั้งหมด 12,000 คนถูกกวาดล้างไปในวันนั้น 26 เพราะโยชูวาไม่ได้ลดมือซึ่งชูหอกชี้ไปทางเมืองอัยเลยตราบจนเขาได้ทำลายล้าง[u]ทุกคนที่อาศัยอยู่ในเมืองนั้น 27 แต่อิสราเอลได้กวาดต้อนฝูงสัตว์และยึดทรัพย์สินจากเมืองนั้นเก็บไว้เป็นของตน ตามที่องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสสั่งโยชูวาไว้
28 เป็นอันว่าโยชูวาได้เผาเมืองอัยและทำให้กลายเป็นกองซากปรักหักพังอย่างถาวร เป็นที่ทิ้งร้างไว้ตราบจนทุกวันนี้ 29 โยชูวาจับกษัตริย์เมืองอัยแขวนไว้บนต้นไม้จนถึงเวลาเย็น เมื่อดวงอาทิตย์ตกดิน เขาปลดร่างนั้นลงมาโยนไว้ที่ทางเข้าประตูเมืองและพวกเขาสุมก้อนหินกลบร่างนั้นเป็นกองพะเนินซึ่งยังคงอยู่ตราบจนทุกวันนี้
การรื้อฟื้นพันธสัญญาที่ภูเขาเอบาล
30 แล้วโยชูวาก่อแท่นบูชาถวายพระยาห์เวห์พระเจ้าแห่งอิสราเอลที่ภูเขาเอบาล 31 ตามที่โมเสสผู้รับใช้ขององค์พระผู้เป็นเจ้าได้กำชับชนอิสราเอลไว้ โยชูวาก่อแท่นบูชาขึ้นตามที่บันทึกไว้ในหนังสือธรรมบัญญัติของโมเสส คือก่อด้วยก้อนหินซึ่งไม่เคยถูกสกัดหรือสลักด้วยเครื่องมือเหล็กเลย แล้วพวกเขาถวายเครื่องเผาบูชาและเครื่องสันติบูชาแด่องค์พระผู้เป็นเจ้าบนแท่นบูชานั้น 32 ต่อหน้าประชาชนอิสราเอล โยชูวาคัดลอกบทบัญญัติของโมเสสตามที่บันทึกไว้นั้นลงบนก้อนหิน 33 ปวงชนอิสราเอล คนต่างด้าว พลเมืองกับบรรดาผู้อาวุโส เจ้าหน้าที่และตุลาการยืนอยู่สองฟากของหีบพันธสัญญาขององค์พระผู้เป็นเจ้าหันหน้าเข้าหาปุโรหิตซึ่งเป็นชนเลวีผู้หามหีบ ประชาชนครึ่งหนึ่งยืนอยู่หน้าภูเขาเกริซิม อีกครึ่งหนึ่งยืนอยู่หน้าภูเขาเอบาลตามที่โมเสสผู้รับใช้ขององค์พระผู้เป็นเจ้าได้กำชับไว้ก่อนหน้านั้น เมื่อเขาสั่งให้อวยพรประชากรอิสราเอล
34 จากนั้นโยชูวาอ่านข้อความทั้งหมดในบทบัญญัติ คือคำอวยพรและคำสาปแช่งตามที่เขียนไว้ในหนังสือธรรมบัญญัติ 35 ไม่มีสักคำเดียวที่โมเสสได้กำชับไว้ซึ่งโยชูวาไม่ได้อ่านต่อหน้าชุมชนอิสราเอลทั้งหมด ซึ่งรวมทั้งผู้หญิงกับเด็ก และคนต่างด้าวผู้อาศัยอยู่ท่ามกลางพวกเขา
อุบายของชาวกิเบโอน
9 เมื่อกษัตริย์ทั้งหลายทางตะวันตกของแม่น้ำจอร์แดนได้แก่ กษัตริย์ชาติต่างๆ ในดินแดนเทือกเขาตามเชิงเขาด้านตะวันตก ตามชายฝั่งทะเลเมดิเตอร์เรเนียนไปจนถึงเลบานอน (คือบรรดากษัตริย์ของชาวฮิตไทต์ ชาวอาโมไรต์ ชาวคานาอัน ชาวเปริสซี ชาวฮีไวต์ และของชาวเยบุส) ได้ยินเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนี้ 2 พวกเขาพากันรวมทัพเพื่อทำศึกกับโยชูวาและชนอิสราเอล
3 แต่เมื่อประชาชนในกิเบโอนได้ยินถึงสิ่งที่โยชูวาได้ทำกับเมืองเยรีโคและเมืองอัย 4 พวกเขาก็วางอุบายส่งทูตมาพบโยชูวา บรรทุกกระสอบขาดๆ กับถุงเหล้าองุ่นคร่ำคร่าปุปะมาบนหลังลา 5 พวกเขาสวมเสื้อผ้าเก่าและสวมรองเท้าสึกและขาด ส่วนขนมปังซึ่งเป็นเสบียงของเขาก็แห้งขึ้นรา 6 เมื่อทูตเหล่านั้นมาถึงค่ายพักอิสราเอลที่กิลกาลก็แจ้งโยชูวากับชาวอิสราเอลว่า “พวกข้าพเจ้ามาจากแดนไกล ขอท่านทำสัญญาไมตรีกับเรา”
7 ชาวอิสราเอลตอบชาวฮีไวต์เหล่านี้ว่า “แต่พวกท่านอาจจะอาศัยอยู่ในละแวกนี้ เราจะทำสัญญาไมตรีกับพวกท่านได้อย่างไร?”
8 พวกเขากล่าวกับโยชูวาว่า “เราเป็นผู้รับใช้ของท่าน”
แต่โยชูวาถามว่า “พวกท่านเป็นใคร? มาจากที่ไหน?”
9 เขาตอบว่า “ผู้รับใช้ของท่านมาจากดินแดนไกลโพ้น ได้ยินกิตติศัพท์ความยิ่งใหญ่ของพระยาห์เวห์พระเจ้าของท่าน และสิ่งทั้งปวงที่พระองค์ทรงกระทำในอียิปต์ 10 ตลอดจนสิ่งที่ทรงกระทำกับกษัตริย์สององค์ของชาวอาโมไรต์ทางฟากตะวันออกของแม่น้ำจอร์แดน คือกษัตริย์สิโหนแห่งเฮชโบนและกษัตริย์โอกแห่งบาชานผู้ครอบครองในอัชทาโรท 11 บรรดาผู้อาวุโสและประชากรในประเทศของข้าพเจ้าจึงกล่าวกับพวกข้าพเจ้าว่า ‘จงนำเสบียงอาหารสำหรับการเดินทางไปพบพวกเขาและกล่าวว่า “เราเป็นผู้รับใช้ของท่าน ขอทำสนธิสัญญากับเราเถิด” ’ 12 ขนมปังนี้ยังอุ่นอยู่ เมื่อพวกข้าพเจ้าจัดสัมภาระและออกเดินทางจากบ้านมา แต่เดี๋ยวนี้แห้งกรังและขึ้นราดังที่ท่านเห็น 13 ถุงเหล้าองุ่นนี้ก็ยังใหม่อยู่ แต่ตอนนี้สึกหมด เสื้อผ้ารองเท้าของพวกข้าพเจ้าก็เก่าคร่ำคร่าเพราะรอนแรมมาไกลมาก”
14 ชนอิสราเอลตรวจดูข้าวของของพวกเขา แต่ไม่ได้ทูลถามองค์พระผู้เป็นเจ้า 15 โยชูวาจึงทำสัญญาไมตรีไว้ชีวิตพวกเขา และบรรดาผู้นำชุมนุมประชากรก็สาบานรับรองข้อตกลงนี้
16 สามวันต่อมาหลังจากทำสัญญาไมตรีกับชาวกิเบโอนแล้ว คนอิสราเอลก็รู้ความจริงว่าที่แท้คนเหล่านี้เป็นเพื่อนบ้านใกล้เคียง 17 ชนอิสราเอลจึงออกเดินทางและในวันที่สามก็มาถึงเมืองของพวกเขา อันได้แก่ กิเบโอน เคฟีราห์ เบเอโรท และคีริยาทเยอาริม 18 แต่ชนอิสราเอลไม่ได้โจมตีพวกเขา เพราะบรรดาผู้นำของชุมนุมประชากรได้สาบานไว้กับชาวกิเบโอนโดยอ้างพระยาห์เวห์พระเจ้าแห่งอิสราเอล
ชุมนุมประชากรทั้งปวงจึงบ่นว่าพวกผู้นำ 19 แต่ผู้นำทั้งปวงตอบว่า “เราได้สาบานไว้โดยอ้างพระยาห์เวห์พระเจ้าแห่งอิสราเอล และบัดนี้เราก็ไม่อาจแตะต้องพวกเขา 20 เราจะทำกับพวกเขาดังนี้คือยอมไว้ชีวิตพวกเขา เพราะถ้าเราผิดคำสาบาน พระพิโรธของพระเจ้าจะตกอยู่กับเรา” 21 พวกเขากล่าวต่อไปว่า “ให้พวกเขามีชีวิตอยู่และทำหน้าที่หาบน้ำและตัดฟืนให้กับชุมชนทั้งหมด” ดังนั้นเหล่าผู้นำจึงได้รักษาสัญญาที่ให้ไว้กับพวกเขา
22 แล้วโยชูวาจึงเรียกตัวชาวกิเบโอนมาถามว่า “ทำไมถึงโกหกเราว่า ‘เราอาศัยอยู่แดนไกล’ ในเมื่อจริงๆ แล้วอยู่ใกล้ๆ เรานี่เอง? 23 บัดนี้คำสาปแช่งจึงตกอยู่แก่พวกเจ้า ตั้งแต่นี้ไปเจ้าจะต้องมารับใช้เราโดยการตัดฟืนและหาบน้ำเพื่อพระนิเวศของพระเจ้าของเรา”
24 พวกเขาตอบโยชูวาว่า “ผู้รับใช้ของท่านได้รับการบอกเล่ามาอย่างชัดเจน ที่พระยาห์เวห์พระเจ้าของท่านตรัสสั่งโมเสสผู้รับใช้ของพระองค์ให้ปราบดินแดนทั้งหมดนี้ และทำลายล้างชาวถิ่นทั้งปวงไปต่อหน้าท่าน ดังนั้นพวกข้าพเจ้ารักตัวกลัวตายเพราะพวกท่านเป็นเหตุ พวกเราจึงทำเช่นนี้ 25 บัดนี้เราอยู่ในกำมือของท่านแล้ว เชิญทำกับเราตามที่ท่านเห็นว่าดีและถูกต้องเถิด” 26 โยชูวาจึงไม่อนุญาตให้ประชากรอิสราเอลประหารพวกเขา 27 แต่ให้ชาวกิเบโอนมาตัดฟืน และหาบน้ำสำหรับชุมชน และสำหรับแท่นบูชาขององค์พระผู้เป็นเจ้า ในสถานที่ที่องค์พระผู้เป็นเจ้าจะทรงเลือก นับตั้งแต่นั้นจนถึงทุกวันนี้
ดวงอาทิตย์หยุดนิ่ง
10 เมื่อกษัตริย์อาโดนีเซเดคแห่งเยรูซาเล็มได้ยินเรื่องราวที่โยชูวาเข้ายึดและทำลายล้างเมืองอัยให้หมดสิ้นและฆ่ากษัตริย์ของเมืองนั้น เช่นเดียวกับที่ได้ทำลายเมืองเยรีโคและกษัตริย์ของเมืองนั้น และเรื่องที่ชาวเมืองกิเบโอนได้ทำสัญญาไมตรีกับอิสราเอลและอาศัยอยู่ใกล้พวกเขาแล้ว 2 เขากับประชาชนของเขาก็หวั่นวิตกยิ่งนัก เพราะกิเบโอนเป็นเมืองสำคัญเท่ากับนครหลวงทั้งหลาย และใหญ่กว่าเมืองอัย ชายทั้งปวงก็ล้วนแต่เป็นนักรบแกล้วกล้า 3 ดังนั้นกษัตริย์อาโดนีเซเดคแห่งเยรูซาเล็ม จึงส่งคนไปพบกษัตริย์อื่นๆ คือ กษัตริย์โฮฮัมแห่งเฮโบรน กษัตริย์ปิรามแห่งยารมูท กษัตริย์ยาเฟียแห่งลาคีช และกษัตริย์เดบีร์แห่งเอกโลน และขอร้องว่า 4 “โปรดมาช่วยเราโจมตีกิเบโอน เพราะพวกเขาได้ไปทำสัญญาไมตรีกับโยชูวาและชนอิสราเอล”
5 กษัตริย์ทั้งห้าของชาวอาโมไรต์คือ กษัตริย์แห่งเยรูซาเล็ม เฮโบรน ยารมูท ลาคีช และเอกโลน จึงรวมกำลังกัน และเคลื่อนทัพออกมาบุกโจมตีกิเบโอน
6 ชาวกิเบโอนจึงส่งข่าวมาถึงโยชูวาที่ค่ายพักในกิลกาลว่า “ขออย่าทอดทิ้งผู้รับใช้ของท่าน โปรดมาช่วยพวกเราโดยเร็ว โปรดช่วยพวกเราด้วย เพราะกษัตริย์ทั้งปวงของชาวอาโมไรต์จากแถบเทือกเขาได้รวมกำลังกันมาโจมตีเราแล้ว”
7 โยชูวากับกองกำลังทั้งหมดรวมทั้งนักรบชั้นยอดทั้งปวงจึงยกทัพออกจากกิลกาลไปช่วยกิเบโอน 8 องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสกับโยชูวาว่า “อย่ากลัวพวกเขาเลย เรามอบคนเหล่านี้ไว้ในมือของเจ้าแล้ว จะไม่มีใครยืนหยัดต่อสู้เจ้าได้”
9 โยชูวากับพวกเดินทางตลอดคืนจากกิลกาล เข้าจู่โจมกองทัพของศัตรู โดยที่ฝ่ายนั้นไม่ทันรู้ตัว 10 องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงกระทำให้พวกเขาแตกตื่นต่อหน้าอิสราเอล ซึ่งได้รับชัยชนะยิ่งใหญ่ที่กิเบโอน อิสราเอลตามฆ่าพวกเขาตลอดทางขึ้นไปเบธโฮโรนถึงอาเซคาห์และมักเคดาห์ 11 ขณะที่ศัตรูวิ่งหนีมาตามทางจากเบธโฮโรนไปยังอาเซคาห์ องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงทำลายพวกเขาด้วยลูกเห็บขนาดใหญ่จากท้องฟ้า คนตายเพราะลูกเห็บมากยิ่งกว่าด้วยคมดาบของชาวอิสราเอล
12 ในวันที่องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงกระทำให้ชาวอาโมไรต์พ่ายแพ้อิสราเอล โยชูวากราบทูลองค์พระผู้เป็นเจ้าต่อหน้าอิสราเอลว่า
“ขอให้ดวงอาทิตย์หยุดนิ่งอยู่เหนือกิเบโอน
ขอให้ดวงจันทร์หยุดอยู่กับที่เหนือหุบเขาอัยยาโลน”
13 ดังนั้นดวงอาทิตย์ก็หยุดนิ่ง
และดวงจันทร์หยุดโคจร
ตราบจนชนชาตินั้นแก้แค้นศัตรูราบคาบ[v]
ดังที่มีบันทึกไว้ในหนังสือของยาชาร์
ดวงอาทิตย์ค้างอยู่กลางท้องฟ้าและไม่ได้ตกดินเป็นเวลาหนึ่งวันเต็ม 14 ไม่เคยมีวันแบบนั้นมาก่อน และจะไม่มีวันแบบนั้นอีกเลย ที่องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงฟังคำอธิษฐานของมนุษย์อย่างนั้น องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงต่อสู้เพื่ออิสราเอลอย่างแน่นอน!
15 แล้วโยชูวากับอิสราเอลทั้งปวงก็กลับมายังค่ายพักที่กิลกาล
กษัตริย์อาโมไรต์ทั้งห้าถูกฆ่า
16 ฝ่ายกษัตริย์ทั้งห้าองค์หลบหนีไปซ่อนตัวอยู่ในถ้ำที่มักเคดาห์ 17 เมื่อโยชูวาได้รับรายงานว่าพบกษัตริย์ทั้งห้าซ่อนตัวอยู่ในถ้ำที่มักเคดาห์ 18 เขาจึงสั่งว่า “จงกลิ้งหินก้อนใหญ่ปิดปากถ้ำและวางทหารเฝ้าไว้ 19 แต่อย่ารามือ! จงตามล่าศัตรู ตีขนาบจากด้านหลัง อย่าปล่อยให้พวกเขากลับเข้าเมืองได้ เพราะพระยาห์เวห์พระเจ้าของท่านทรงมอบพวกเขาไว้ในมือของท่านแล้ว”
20 โยชูวากับชนอิสราเอลจึงทำลายล้างพวกเขาหมดสิ้น ประหารเกือบทุกคน มีไม่กี่คนที่หนีไปถึงเมืองป้อมปราการของตน 21 ทั้งกองทัพกลับมาหาโยชูวายังค่ายพักที่มักเคดาห์อย่างปลอดภัยทุกคน หลังจากนั้นไม่มีผู้ใดกล้าเอ่ยปากว่าชาวอิสราเอลอีกเลย
22 โยชูวาสั่งว่า “จงเปิดปากถ้ำและนำตัวกษัตริย์ทั้งห้าออกมาหาเรา” 23 ดังนั้นพวกเขาจึงนำกษัตริย์ทั้งห้าออกมาจากถ้ำ คือกษัตริย์แห่งเยรูซาเล็ม เฮโบรน ยารมูท ลาคีช และเอกโลน 24 เมื่อพวกเขานำเหล่ากษัตริย์มาหาโยชูวา โยชูวาเรียกประชุมชายชาวอิสราเอลทั้งหมดและสั่งแม่ทัพนายกองที่มากับตนว่า “จงเหยียบคอกษัตริย์เหล่านี้” พวกเขาก็ก้าวออกมาเหยียบคอกษัตริย์ทั้งห้านั้น
25 โยชูวากล่าวกับพวกเขาว่า “อย่ากลัวหรือท้อใจเลย จงเข้มแข็งและกล้าหาญเถิด องค์พระผู้เป็นเจ้าจะทรงกระทำเช่นนี้ต่อศัตรูทั้งปวงที่ท่านจะต่อสู้ด้วย” 26 แล้วโยชูวาก็ประหารกษัตริย์ทั้งห้าและแขวนไว้บนต้นไม้ห้าต้นจนถึงเวลาเย็น
27 เมื่อดวงอาทิตย์ตกดิน โยชูวาสั่งให้ปลดร่างของกษัตริย์ทั้งห้านั้นลงจากต้นไม้ มาโยนทิ้งในถ้ำที่พวกเขาเคยหลบซ่อนตัว แล้วให้สุมก้อนหินเป็นกองพะเนินตรงปากถ้ำ ซึ่งยังคงอยู่ที่นั่นตราบจนทุกวันนี้
มีชัยเหนือเมืองทางใต้
28 ในวันนั้นโยชูวาเข้ายึดเมืองมักเคดาห์ ฆ่ากษัตริย์ด้วยดาบและทำลายล้างทุกคนในเมืองนั้นจนหมดสิ้น ทั่วทั้งเมืองไม่มีผู้ใดรอดชีวิตอยู่ แล้วโยชูวาก็ทำต่อกษัตริย์แห่งมักเคดาห์เหมือนที่ได้ทำต่อกษัตริย์แห่งเยรีโค
29 แล้วโยชูวากับชาวอิสราเอลทั้งปวงจึงเคลื่อนพลออกจากมักเคดาห์เพื่อไปโจมตีลิบนาห์ 30 ที่นั่นก็เช่นเดียวกัน องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงมอบเมืองนั้นและกษัตริย์ไว้ในมืออิสราเอล ชาวเมืองทุกคนถูกประหารหมดสิ้นไม่เหลือรอดสักคนเดียว แล้วโยชูวาก็ทำต่อกษัตริย์ของเมืองนั้นเหมือนที่ได้ทำต่อกษัตริย์เยรีโค 31 จากลิบนาห์ โยชูวากับอิสราเอลทั้งปวงเข้าโจมตีลาคีช 32 องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงมอบลาคีชแก่อิสราเอล ในวันที่สองโยชูวายึดเมืองได้ เขาทำลายเมืองนั้นและฆ่าฟันชาวเมืองทุกคนเช่นเดียวกับที่ลิบนาห์ 33 ระหว่างการเข้าโจมตีลาคีช กษัตริย์โฮรามแห่งเกเซอร์ยกทัพมาช่วยป้องกันเมือง แต่พ่ายแพ้โยชูวากับกองทัพและถูกฆ่าตายหมด
34 จากลาคีชโยชูวากับอิสราเอลทั้งปวงบุกเข้าโจมตีเมืองเอกโลน 35 พวกเขายึดเมืองได้ในวันนั้นเองและฆ่าฟันด้วยดาบ และทำลายล้างทุกคนในเมืองนั้นจนหมดสิ้นเหมือนที่ได้ทำต่อลาคีช
36 จากเอกโลนโยชูวากับอิสราเอลทั้งปวงบุกเข้าโจมตีเมืองเฮโบรน 37 เข้ายึดเมืองและหมู่บ้านโดยรอบ เขาฆ่ากษัตริย์และชาวเมืองทั้งหมดด้วยดาบ ไม่มีเหลือรอดแม้สักคนเดียว พวกเขาทำลายล้างเมืองและทุกคนจนหมดสิ้นเช่นเดียวกับที่ได้ทำต่อเอกโลน
38 แล้วโยชูวากับอิสราเอลทั้งปวงกลับลงไปโจมตีเดบีร์ 39 พวกเขาเข้ายึดเมืองพร้อมทั้งหมู่บ้านต่างๆ ฆ่าฟันกษัตริย์และชาวเมืองทุกคนด้วยดาบ พวกเขาทำลายล้างทุกคนจนหมดสิ้นเหมือนที่ได้ทำต่อลิบนาห์และเฮโบรน ไม่มีเหลือรอดสักคนเดียว
40 เป็นอันว่าโยชูวาพิชิตดินแดนแถบนั้นทั้งหมด ไม่ว่าแถบเทือกเขาเนเกบ เชิงเขาด้านตะวันตก ลาดเขา ตลอดจนกษัตริย์ทั้งปวง ไม่มีเหลือรอดแม้สักคนเดียว โยชูวาทำลายล้างทุกสิ่งที่มีลมหายใจตามที่พระยาห์เวห์พระเจ้าแห่งอิสราเอลทรงบัญชาไว้ 41 โยชูวาปราบหมดตั้งแต่คาเดชบารเนียจนจดกาซา และจากเขตแดนโกเชนทั้งหมดจนถึงกิเบโอน 42 โยชูวารบชนะกษัตริย์ต่างๆ และดินแดนของเขาทั้งหมดในคราวเดียวกัน เพราะพระยาห์เวห์พระเจ้าแห่งอิสราเอลทรงสู้รบเพื่ออิสราเอล
43 แล้วโยชูวากับอิสราเอลทั้งปวงกลับคืนสู่ค่ายพักในกิลกาล
พิชิตดินแดนทางเหนือ
11 เมื่อกษัตริย์ยาบินแห่งฮาโซร์ได้ยินเรื่องราวที่เกิดขึ้น ก็ส่งข่าวไปยังกษัตริย์โยบับแห่งมาโดน กษัตริย์แห่งชิมโรน กษัตริย์แห่งอัคชาฟ 2 และกษัตริย์ทั้งหลายในแถบภูเขาทางเหนือในอาราบาห์ซึ่งอยู่ทางตอนใต้ของคินเนเรท ในเชิงเขาทางตะวันตก และในนาโฟทโดร์[w]ทางตะวันตก 3 ชาวคานาอันทั้งด้านตะวันออกและตะวันตก ชาวอาโมไรต์ ชาวฮิตไทต์ ชาวเปริสซี ชาวเยบุสในแดนเทือกเขา ชาวฮีไวต์ที่เชิงเขาเฮอร์โมนในดินแดนมิสปาห์ 4 พวกเขายกทัพมาพร้อมกับไพร่พลทั้งหมด พร้อมทั้งม้าและรถม้าศึกจำนวนมหาศาลเหมือนทรายที่ชายทะเล 5 กษัตริย์ทั้งหมดนี้รวมกำลังกัน และมาตั้งค่ายอยู่ที่ลำห้วยเมโรม เพื่อจะสู้รบกับอิสราเอล
6 องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสกับโยชูวาว่า “อย่ากลัวพวกเขาเลย เพราะวันพรุ่งนี้เวลาเดียวกัน เราจะมอบพวกเขาให้อิสราเอลประหาร จงตัดเอ็นน่องม้าและเผารถม้าศึกของพวกเขา”
7 ดังนั้นโยชูวากับกองทัพทั้งหมดจึงยกทัพมาถึงลำห้วยเมโรมและรุกเข้าโจมตีทันที 8 องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงมอบพวกเขาไว้ในมืออิสราเอลซึ่งรุกไล่พวกเขาไปไกลถึงไซดอนใหญ่และมิสเรโฟทมาอิม ไปทางตะวันออกสู่หุบเขามิสปาห์ จนกระทั่งไม่มีศัตรูเหลือรอดสักคนเดียว 9 โยชูวาก็ทำตามพระบัญชาขององค์พระผู้เป็นเจ้าเขาตัดเอ็นน่องม้าและเผารถม้าศึก
10 ครั้งนั้นโยชูวาได้วกกลับมายึดเมืองฮาโซร์และฆ่ากษัตริย์ของเมืองนั้นด้วยดาบ (ฮาโซร์เคยเป็นเมืองเอกของอาณาจักรเหล่านั้น) 11 ทุกคนในเมืองนั้นถูกฆ่าตายด้วยดาบ อิสราเอลทำลาย[x]พวกเขาหมดสิ้น ไม่มีสักชีวิตเหลือรอดอยู่ แล้วเขาก็เผาเมืองฮาโซร์
12 แล้วโยชูวาเข้าโจมตีและทำลายล้างนครต่างๆ กษัตริย์ทั้งหลายกับชาวเมืองทั้งปวงถูกทำลายหมดสิ้น ตามที่โมเสสผู้รับใช้ขององค์พระผู้เป็นเจ้าสั่งไว้ 13 อย่างไรก็ตามอิสราเอลไม่ได้เผาเมืองใดวอดวายเป็นเถ้าถ่าน ยกเว้นเมืองฮาโซร์ซึ่งโยชูวาได้เผาทำลาย 14 ชาวอิสราเอลริบข้าวของและฝูงสัตว์ในเมืองปรักหักพังเหล่านั้นไว้เป็นของตน แต่ฆ่าฟันชาวเมืองทั้งหมด ไม่มีสักชีวิตเหลือรอดอยู่ 15 องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงบัญชาโมเสสผู้รับใช้ของพระองค์ไว้อย่างไร โมเสสก็สั่งโยชูวา และโยชูวาก็ปฏิบัติตามครบถ้วนทุกประการตามที่องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงบัญชาโมเสสไว้อย่างนั้น
16 เป็นอันว่าโยชูวาพิชิตดินแดนทั้งหมด คือแถบเทือกเขาเนเกบทั้งหมด ดินแดนโกเชนทั้งหมด เชิงเขาด้านตะวันตก อาราบาห์ เนินเขาและเชิงเขาของอิสราเอล 17 จากภูเขาฮาลักซึ่งขึ้นตรงไปยังเสอีร์ ไปถึงบาอัลกาดในหุบเขาเลบานอนตรงเชิงเขาเฮอร์โมน โยชูวาจับกุมและประหารกษัตริย์ทั้งปวงของดินแดนเหล่านั้น 18 โยชูวาสู้รบตบมือกับกษัตริย์เหล่านี้อยู่นาน 19 ไม่มีเมืองใดทำสัญญาไมตรีกับอิสราเอลยกเว้นชาวฮีไวต์ที่อาศัยในกิเบโอน เมืองอื่นๆ ล้วนถูกยึดครอง และพ่ายแพ้ในการรบ 20 เพราะองค์พระผู้เป็นเจ้าเองทรงให้กษัตริย์เหล่านั้นมีใจแข็งกระด้าง คิดจะสู้รบกับอิสราเอล เพื่อพระองค์จะทรงทำลายล้างพวกเขาจนหมดสิ้นโดยปราศจากความเมตตาตามที่องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงบัญชาโมเสสไว้
21 ครั้งนั้นโยชูวาออกไปทำลายมนุษย์ยักษ์อานาคซึ่งอาศัยอยู่ในดินแดนเทือกเขาจากเฮโบรน เดบีร์ และอานาบ จากดินแดนเทือกเขาทั้งหมดของยูดาห์และอิสราเอล โยชูวาได้ทำลายล้างพวกเขาและเมืองของพวกเขาจนหมดสิ้น 22 ไม่มีชาวอานาคหลงเหลืออยู่ในแดนอิสราเอล แต่มีหลงเหลืออยู่บ้างในกาซากัทและอัชโดด 23 เป็นอันว่าโยชูวายึดดินแดนทั้งหมดได้ตามที่องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงบัญชาโมเสสไว้ และเขาได้มอบให้เป็นกรรมสิทธิ์ของชนอิสราเอลตามแต่ละเผ่า แล้วแผ่นดินนั้นก็สงบว่างเว้นจากสงคราม
กษัตริย์ทั้งหลายซึ่งถูกอิสราเอลพิชิต
12 กษัตริย์ของเมืองทั้งหลายทางฟากตะวันออกของแม่น้ำจอร์แดน ซึ่งถูกอิสราเอลทำลายและเข้าครอบครอง ตั้งแต่โกรกธารอารโนนจดภูเขาเฮอร์โมน รวมแถบตะวันออกทั้งหมดของอาราบาห์ ได้แก่
2 กษัตริย์สิโหนแห่งอาโมไรต์ผู้ครอบครองในเฮชโบน ดินแดนของเขาจากอาโรเออร์ซึ่งอยู่ริมโกรกธารอารโนน คือจากตอนกลางของโกรกธารนี้ไปจดแม่น้ำยับบอก ซึ่งเป็นพรมแดนของชาวอัมโมน ครอบคลุมอาณาเขตครึ่งหนึ่งของกิเลอาด 3 และอาราบาห์ตะวันออกจากทะเลคินเนเรท[y]ถึงทะเลอาราบาห์ (ทะเลเกลือ[z]) ถึงเบธเยชิโมทและด้านใต้ไปถึงลาดเขาปิสกาห์
4 และดินแดนของกษัตริย์โอกแห่งบาชานซึ่งเป็นหนึ่งในเรฟาอิมกลุ่มสุดท้าย ครอบครองอยู่ที่อัชทาโรทและเอเดรอี 5 เขาครอบครองภูเขาเฮอร์โมน สาเลคาห์ บาชานทั้งหมด จนถึงชายแดนของชาวเกชูร์และมาอาคาห์ และอีกครึ่งหนึ่งของกิเลอาดจนถึงพรมแดนของกษัตริย์สิโหนแห่งเฮชโบน
6 โมเสสผู้รับใช้ขององค์พระผู้เป็นเจ้าและชนอิสราเอลพิชิตพวกเขา และโมเสสผู้รับใช้ขององค์พระผู้เป็นเจ้ามอบดินแดนนี้ให้เป็นกรรมสิทธิ์ของเผ่ารูเบน เผ่ากาด และเผ่ามนัสเสห์ครึ่งเผ่า
7 ต่อไปนี้คือรายชื่อกษัตริย์ทั้งหลายซึ่งโยชูวากับชนอิสราเอลพิชิตทางฟากตะวันตกของแม่น้ำจอร์แดน จากบาอัลกาดในหุบเขาเลบานอนจดภูเขาฮาลัก เรื่อยไปจนถึงเสอีร์ (โยชูวายกให้เป็นกรรมสิทธิ์ของอิสราเอลเผ่าต่างๆ ตามแต่ละเผ่า คือ 8 แถบเทือกเขา แถบเชิงเขาตะวันตก อาราบาห์ ลาดเขา ถิ่นกันดารและเนเกบ เป็นดินแดนของชาวฮิตไทต์ ชาวอาโมไรต์ ชาวคานาอัน ชาวเปริสซี ชาวฮีไวต์ และชาวเยบุส) ได้แก่
9 กษัตริย์แห่งเยรีโค | หนึ่ง |
กษัตริย์แห่งอัย (ใกล้เบธเอล) | หนึ่ง |
10 กษัตริย์แห่งเยรูซาเล็ม | หนึ่ง |
กษัตริย์แห่งเฮโบรน | หนึ่ง |
11 กษัตริย์แห่งยารมูท | หนึ่ง |
กษัตริย์แห่งลาคีช | หนึ่ง |
12 กษัตริย์แห่งเอกโลน | หนึ่ง |
กษัตริย์แห่งเกเซอร์ | หนึ่ง |
13 กษัตริย์แห่งเดบีร์ | หนึ่ง |
กษัตริย์แห่งเกเดอร์ | หนึ่ง |
14 กษัตริย์แห่งโฮรมาห์ | หนึ่ง |
กษัตริย์แห่งอาราด | หนึ่ง |
15 กษัตริย์แห่งลิบนาห์ | หนึ่ง |
กษัตริย์แห่งอดุลลัม | หนึ่ง |
16 กษัตริย์แห่งมักเคดาห์ | หนึ่ง |
กษัตริย์แห่งเบธเอล | หนึ่ง |
17 กษัตริย์แห่งทัปปูวาห์ | หนึ่ง |
กษัตริย์แห่งเฮเฟอร์ | หนึ่ง |
18 กษัตริย์แห่งอาเฟค | หนึ่ง |
กษัตริย์แห่งลาชาโรน | หนึ่ง |
19 กษัตริย์แห่งมาโดน | หนึ่ง |
กษัตริย์แห่งฮาโซร์ | หนึ่ง |
20 กษัตริย์แห่งชิมโรนเมโรน | หนึ่ง |
กษัตริย์แห่งอัคชาฟ | หนึ่ง |
21 กษัตริย์แห่งทาอานาค | หนึ่ง |
กษัตริย์แห่งเมกิดโด | หนึ่ง |
22 กษัตริย์แห่งเคเดช | หนึ่ง |
กษัตริย์แห่งโยกเนอัมในคารเมล | หนึ่ง |
23 กษัตริย์แห่งโดร์ (ในนาโฟทโดร์[aa]) | หนึ่ง |
กษัตริย์แห่งโกยิมในกิลกาล | หนึ่ง |
24 กษัตริย์แห่งทีรซาห์ | หนึ่ง |
รวมกษัตริย์ทั้งหมด 31 องค์ |
ดินแดนที่ยังต้องเข้ายึดครอง
13 เมื่อโยชูวาแก่ลง ผู้รับใช้ขององค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสกับเขาว่า “เจ้าแก่มากแล้ว และยังมีดินแดนอีกมากที่จะต้องพิชิต
2 “ดินแดนซึ่งยังจะต้องเข้ายึดครองได้แก่ ดินแดนทั้งหมดของชาวฟีลิสเตียและเกชูร์ 3 ดินแดนซึ่งนับเป็นของชาวคานาอัน จากแม่น้ำชิโหร์ทางตะวันออกของอียิปต์ถึงพรมแดนของเอโครนทางเหนือ (นครทั้งห้าของฟีลิสเตียได้แก่ กาซา อัชโดด อัชเคโลน กัท และเอโครน นี่คือดินแดนของชาวอัฟวิม) 4 จากทางใต้ ดินแดนทั้งหมดของชาวคานาอัน จากอาราห์ของชาวไซดอนจนถึงอาเฟค ตรงพรมแดนของชาวอาโมไรต์ 5 ดินแดนของชาวเกบาล[ab] เลบานอนทั้งหมดไปทางตะวันออก จากบาอัลกาดเชิงภูเขาเฮอร์โมนถึงเลโบฮามัท[ac]
6 “สำหรับคนที่อาศัยในเขตภูเขาจากเลบานอนถึงมิสเรโฟทมาอิมคือชาวไซดอนทั้งปวง เราเองจะขับไล่พวกเขาออกไปต่อหน้าอิสราเอล จงแบ่งดินแดนเหล่านี้ให้เป็นกรรมสิทธิ์ของอิสราเอลตามที่เราได้บัญชาเจ้าไว้ 7 และแบ่งดินแดนเหล่านี้ให้เป็นกรรมสิทธิ์ของเก้าเผ่ากับเผ่ามนัสเสห์อีกครึ่งเผ่า”
การแบ่งดินแดนทางตะวันออกของแม่น้ำจอร์แดน
8 สำหรับเผ่ารูเบน กาด และเผ่ามนัสเสห์อีกครึ่งเผ่าได้รับกรรมสิทธิ์ทางฟากตะวันออกของแม่น้ำจอร์แดน ซึ่งโมเสสผู้รับใช้ขององค์พระผู้เป็นเจ้าได้ยกให้ก่อนแล้ว
9 กรรมสิทธิ์นั้นเริ่มจากดินแดนอาโรเออร์ริมโกรกธารอารโนน จากเมืองซึ่งอยู่ตอนกลางของโกรกธารนี้รวมถึงที่ราบสูงเมเดบาทั้งหมดจนถึงดีโบน 10 และเมืองทั้งหมดของสิโหนกษัตริย์ชาวอาโมไรต์ซึ่งครองเฮชโบนไปจนจดพรมแดนของชาวอัมโมน 11 และครอบคลุมกิเลอาดอาณาเขตของชาวเกชูร์และชาวมาอาคาห์ บริเวณภูเขาเฮอร์โมนทั้งหมด บาชานทั้งหมดจนจดสาเลคาห์ 12 กล่าวคืออาณาเขตทั้งสิ้นของกษัตริย์โอกแห่งบาชาน ซึ่งครองอัชทาโรทและเอเดรอี เขาผู้นี้เป็นหนึ่งในเรฟาอิมกลุ่มสุดท้าย โมเสสพิชิตพวกเขาและเข้ายึดครองดินแดน 13 แต่ชนอิสราเอลไม่ได้ขับไล่ชาวเกชูร์และชาวมาอาคาห์ออกไป พวกเขาจึงยังคงอาศัยอยู่ในหมู่ชนอิสราเอลจนถึงทุกวันนี้
14 สำหรับเผ่าเลวี โมเสสไม่ได้มอบดินแดนใดๆ ให้ เพราะพวกเขาได้รับเครื่องบูชาด้วยไฟที่ถวายแด่พระยาห์เวห์พระเจ้าแห่งอิสราเอลเป็นกรรมสิทธิ์ตามที่ทรงสัญญาแก่เขา
15 ดินแดนซึ่งโมเสสยกให้เผ่ารูเบนตามแต่ละตระกูล ได้แก่
16 ดินแดนจากอาโรเออร์ริมโกรกธารอารโนน จากเมืองซึ่งอยู่ตอนกลางของโกรกธารไปจนถึงที่ราบทั้งหมดเลยเมเดบา 17 จดเฮชโบน และเมืองทั้งหมดบนที่ราบนั้น รวมทั้งดีโบน บาโมทบาอัล เบธบาอัลเมโอน 18 ยาฮาส เคเดโมท เมฟาอาท 19 คีริยาธาอิม สิบมาห์ เศเรทชาหาร์บนภูเขาในหุบเขานั้น 20 เบธเปโอร์ ลาดเขาปิสกาห์ และเบธเยชิโมท 21 คือเมืองทั้งหมดบนที่ราบสูงและอาณาจักรทั้งหมดของกษัตริย์สิโหนแห่งอาโมไรต์ ผู้ครอบครองอยู่ในเฮชโบน ซึ่งถูกโมเสสพิชิตพร้อมกษัตริย์อื่นๆ ของมีเดียนคือเอวี เรเคม ศูร์ เฮอร์ และเรบา ผู้เป็นพันธมิตรของสิโหน ซึ่งอาศัยอยู่ในถิ่นนั้น 22 ประชากรอิสราเอลยังได้ประหารผู้ทำนายบาลาอัมบุตรเบโอร์ด้วย 23 ชายฝั่งแม่น้ำจอร์แดนเป็นพรมแดนของรูเบน เมืองกับหมู่บ้านเหล่านี้เป็นกรรมสิทธิ์ของเผ่ารูเบน แบ่งตามตระกูล
24 ดินแดนซึ่งโมเสสยกให้เผ่ากาดตามแต่ละตระกูล ได้แก่
25 เขตแดนยาเซอร์ เมืองทั้งหมดของกิเลอาด และครึ่งหนึ่งของดินแดนของชาวอัมโมน ไกลถึงอาโรเออร์ใกล้รับบาห์ 26 และจากเฮชโบนถึงรามัทมิสปาห์และเบโทนิม และจากมาหะนาอิมถึงเขตแดนเดบีร์ 27 และในหุบเขาได้แก่ เบธฮารัม เบธนิมราห์ สุคคท และศาโฟน ดินแดนส่วนที่เหลือของกษัตริย์สิโหนแห่งเฮชโบน (ฟากตะวันออกของแม่น้ำจอร์แดน ขึ้นไปจดทะเลคินเนเรท[ad]) 28 เมืองกับหมู่บ้านเหล่านี้เป็นกรรมสิทธิ์ของเผ่ากาดแบ่งตามตระกูล
29 ดินแดนซึ่งโมเสสยกให้เผ่ามนัสเสห์ครึ่งเผ่า คือครึ่งหนึ่งของครอบครัวที่เป็นลูกหลานของมนัสเสห์ตามแต่ละตระกูล ได้แก่
30 ดินแดนจากมาหะนาอิม ครอบคลุมบาชานทั้งหมดซึ่งเป็นอาณาจักรทั้งสิ้นของกษัตริย์โอกแห่งบาชานและเมืองทั้งหกสิบแห่งในแว่นแคว้นยาอีร์ในบาชาน 31 ครึ่งหนึ่งของกิเลอาด อัชทาโรท และเอเดรอี (ซึ่งเป็นเมืองเอกของกษัตริย์โอกในบาชาน) ให้แก่ลูกหลานครึ่งหนึ่งของวงศ์วานมาคีร์ ซึ่งเป็นบุตรของมนัสเสห์แบ่งตามตระกูล
32 ทั้งหมดนี้คือกรรมสิทธิ์ซึ่งโมเสสแบ่งสรรให้ ขณะอยู่ในที่ราบโมอับบนฝั่งแม่น้ำจอร์แดนด้านตะวันออกของเมืองเยรีโค 33 แต่โมเสสไม่ได้มอบกรรมสิทธิ์ใดๆ แก่เผ่าเลวี เพราะว่าพระยาห์เวห์พระเจ้าแห่งอิสราเอลทรงเป็นกรรมสิทธิ์ของพวกเขาตามที่ทรงสัญญาไว้
การแบ่งดินแดนทางตะวันตกของแม่น้ำจอร์แดน
14 ทั้งหมดนี้คือดินแดนในคานาอันที่ชนอิสราเอลได้รับกรรมสิทธิ์ ซึ่งปุโรหิตเอเลอาซาร์ โยชูวาบุตรนูน และหัวหน้าตระกูลของเผ่าต่างๆ ของอิสราเอลเป็นผู้แบ่งสรรให้ 2 พวกเขาทอดสลากแบ่งสรรกรรมสิทธิ์ในหมู่เก้าเผ่าครึ่ง ตามที่องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงบัญชาไว้ผ่านทางโมเสส 3 โมเสสได้มอบดินแดนทางฟากตะวันออกของแม่น้ำจอร์แดนให้แก่สองเผ่าครึ่งเป็นกรรมสิทธิ์แล้ว แต่เผ่าเลวีไม่ได้รับกรรมสิทธิ์ใดๆ ท่ามกลางเผ่าที่เหลือ 4 เพราะลูกหลานของโยเซฟได้กลายเป็นสองเผ่า คือเผ่ามนัสเสห์และเผ่าเอฟราอิม ชนเลวีไม่ได้รับดินแดนใดๆ เว้นแต่เมืองสำหรับอาศัยและทุ่งหญ้าสำหรับฝูงสัตว์ของพวกเขา 5 ดังนั้นชนอิสราเอลจึงแบ่งดินแดนกันตามที่องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงบัญชาโมเสสไว้
ให้เมืองเฮโบรนแก่คาเลบ
6 ครั้งนั้นคนเผ่ายูดาห์เข้าพบโยชูวาที่กิลกาล และคาเลบบุตรเยฟุนเนห์คนเคนัสกล่าวว่า “ท่านทราบแล้วที่องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสกับโมเสสคนของพระเจ้าที่คาเดชบารเนียเกี่ยวกับท่านและข้าพเจ้า 7 ข้าพเจ้าอายุสี่สิบปีเมื่อโมเสสผู้รับใช้ขององค์พระผู้เป็นเจ้าส่งข้าพเจ้าจากคาเดชบารเนียไปสำรวจดินแดน และข้าพเจ้ากลับมารายงานตามความคิดเห็นของข้าพเจ้า 8 พี่น้องที่ไปกับเราทำให้ประชากรเสียขวัญ แต่ส่วนข้าพเจ้าติดตามพระยาห์เวห์พระเจ้าของข้าพเจ้าอย่างสุดใจ 9 โมเสสจึงปฏิญาณกับข้าพเจ้าในวันนั้นว่า ‘ดินแดนส่วนที่เจ้าเหยียบย่างเข้าไปนั้นจะตกเป็นกรรมสิทธิ์ของเจ้ากับลูกหลานของเจ้าตลอดไป เพราะเจ้าได้ติดตามพระยาห์เวห์พระเจ้าของเราอย่างสุดใจ’ 10 บัดนี้เป็นไปตามที่องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงสัญญาไว้ พระองค์ทรงโปรดให้ข้าพเจ้าอยู่รอดมา 45 ปีนับแต่พระองค์ตรัสกับโมเสสเมื่อครั้งที่อิสราเอลรอนแรมอยู่ในถิ่นกันดาร เดี๋ยวนี้ข้าพเจ้าก็อายุ 85 ปีแล้ว! 11 ข้าพเจ้ายังคงแข็งแรงเหมือนเมื่อครั้งโมเสสใช้ให้เราเดินทางไป ข้าพเจ้ายังแข็งขันในการสู้รบเท่าๆ กับในตอนนั้น 12 ฉะนั้นขอให้ท่านยกดินแดนเทือกเขาซึ่งองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงสัญญาไว้กับข้าพเจ้าในวันนั้น ท่านเองก็ได้ยินแล้วว่ามนุษย์ยักษ์อานาคอาศัยอยู่ที่นั่น เมืองของเขาใหญ่โต มีปราการแน่นหนา แต่หากองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงช่วย ข้าพเจ้าจะขับไล่พวกเขาออกไปตามที่พระองค์ตรัส”
13 แล้วโยชูวาจึงอวยพรคาเลบบุตรเยฟุนเนห์ และมอบเฮโบรนให้เป็นกรรมสิทธิ์ของเขา 14 ดังนั้นเฮโบรนจึงเป็นของคาเลบบุตรเยฟุนเนห์คนเคนัสตั้งแต่นั้นมา เพราะคาเลบได้ติดตามพระยาห์เวห์พระเจ้าแห่งอิสราเอลอย่างสุดใจ 15 (เฮโบรนเคยมีชื่อว่าคีริยาทอารบา ตามชื่อของอารบาผู้เป็นวีรบุรุษผู้ยิ่งใหญ่ที่สุดของพวกอานาค)
แล้วแผ่นดินนั้นก็สงบว่างเว้นจากสงคราม
Thai New Contemporary Bible Copyright © 1999, 2001, 2007 by Biblica, Inc.® Used by permission. All rights reserved worldwide.