Previous Prev Day Next DayNext

The Daily Audio Bible

This reading plan is provided by Brian Hardin from Daily Audio Bible.
Duration: 731 days

Today's audio is from the EHV. Switch to the EHV to read along with the audio.

Thai New Contemporary Bible (TNCV)
Version
โยบ 23-27

โยบ

23 แล้วโยบจึงตอบว่า

“คำร้องทุกข์ของข้าวันนี้ยังคงเป็นคำที่ขมขื่น
พระหัตถ์ของพระองค์[a]ก็หนักหน่วงทั้งๆ ที่[b]ข้าร้องครวญคราง
ถ้าเพียงแต่ข้ารู้ว่าจะหาพระเจ้าได้ที่ไหน
ถ้าเพียงแต่ข้าสามารถไปถึงที่ประทับของพระองค์!
ข้าจะทูลแถลงคดีของข้าต่อหน้าพระองค์
และขอโต้แย้งอย่างเต็มที่
แล้วข้าจะรู้ว่าพระองค์จะทรงตอบข้าว่าอย่างไร
และข้าจะใคร่ครวญสิ่งที่พระองค์ตรัส
พระองค์จะทรงใช้อำนาจอันยิ่งใหญ่ต่อต้านข้าหรือ?
หามิได้ พระองค์จะไม่ทรงตั้งข้อหาข้า
ที่นั่นคนชอบธรรมสามารถชี้แจงเหตุผลต่อพระองค์ได้
และข้าจะได้รับการปลดปล่อยโดยองค์ตุลาการของข้าให้พ้นมลทินตลอดไป

“แต่ถึงข้าไปทางตะวันออก พระองค์ก็ไม่อยู่ที่นั่น
ถ้าข้าไปทางตะวันตก ก็ไม่พบพระองค์
เมื่อพระองค์ทรงกระทำพระราชกิจอยู่ทางทิศเหนือ ข้าไม่เห็นพระองค์
เมื่อพระองค์หันมาทางใต้ ข้าหาพระองค์ไม่พบ
10 แต่พระองค์ทรงทราบทางที่ข้าไป
เมื่อพระองค์ทรงทดสอบข้าแล้ว ข้าจะเป็นดั่งทองคำ
11 ข้าดำเนินตามรอยพระบาทของพระองค์อย่างใกล้ชิด
ข้าอยู่ในทางของพระองค์โดยไม่หันเห
12 ข้าไม่ได้พรากจากพระบัญชาของพระองค์
ข้าเห็นว่าพระวจนะจากพระโอษฐ์ของพระองค์ล้ำค่ายิ่งกว่าอาหารประจำวัน

13 “แต่พระองค์ก็ยังทรงยืนกรานเด็ดเดี่ยว และใครเล่าจะต่อต้านพระองค์ได้?
พระองค์ทรงกระทำทุกสิ่งตามชอบพระทัย
14 พระองค์ทรงกระทำแก่ข้าตามที่ทรงมีประกาศิตไว้
และพระองค์ยังมีแผนการอื่นๆ เก็บไว้อีกมากมาย
15 ด้วยเหตุนี้ข้าจึงครั่นคร้ามต่อหน้าพระองค์
เมื่อคิดถึงสิ่งเหล่านี้ทั้งหมด ข้าก็ยำเกรงพระองค์
16 พระเจ้าทรงกระทำให้จิตใจของข้าอ่อนระโหย
องค์ทรงฤทธิ์ทรงเขย่าขวัญข้า
17 ถึงกระนั้นความมืดทึบที่กลบหน้าข้า
ก็ไม่ทำให้ข้าเงียบลง

24 “ทำไมหนอองค์ทรงฤทธิ์จึงไม่ทรงกำหนดเวลาไว้เพื่อการพิพากษา?
ทำไมบรรดาผู้ที่รู้จักพระองค์ต้องชะเง้อหาวันเวลาเช่นนั้นโดยเปล่าประโยชน์?
มีคนโยกย้ายหลักเขต
พวกเขาขโมยฝูงสัตว์มาเลี้ยง
พวกเขาริบเอาลาของลูกกำพร้าพ่อ
และยึดวัวของแม่ม่ายเป็นของค้ำประกัน
พวกเขาผลักไสคนขัดสนออกไปให้พ้นทาง
และบีบบังคับคนยากไร้ให้ต้องหลบๆ ซ่อนๆ
ดั่งลาป่าในถิ่นกันดาร
คนยากไร้ต้องตรากตรำ
กระเสือกกระสนหาอาหารจากถิ่นกันดารเพื่อเลี้ยงลูก
เขาเก็บหญ้าแห้งตามท้องทุ่ง
และเก็บของเหลือในสวนองุ่นของคนชั่ว
ยามค่ำคืนต้องนอนหนาวเหน็บไม่มีผ้าจะพันกาย
ไม่มีผ้าห่มกันหนาว
กายของเขาเปียกโชกเพราะสายฝนแห่งภูเขา
และเขาเกาะหินแน่นเพราะไม่มีที่กำบัง
ลูกกำพร้าพ่อถูกคร่าจากอกแม่
ทารกของคนยากไร้ถูกจับไปเพราะเป็นหนี้
10 พวกเขาจึงต้องระหกระเหินไปด้วยกายเปลือยเปล่า
ต้องแบกฟ่อนข้าวทั้งๆ ที่หิวโซ
11 เขาคั้นน้ำมันมะกอกในดงมะกอก[c]
และย่ำน้ำองุ่นทั้งๆ ที่กำลังทุกข์ทรมานด้วยความกระหาย
12 เสียงครวญครางของคนใกล้ตายดังมาจากตัวเมือง
วิญญาณของผู้บาดเจ็บร้องวิงวอนขอความช่วยเหลือ
แต่พระเจ้าไม่เห็นเอาผิดกับใคร

13 “มีผู้กบฏต่อความสว่าง
ผู้ไม่รู้จัก
และไม่ยอมดำเนินในทางของความสว่างนั้น
14 เมื่อสิ้นแสงตะวันแล้ว ฆาตกรก็ลุกขึ้น
สังหารคนยากไร้และคนขัดสน
ยามค่ำคืนเขาลอบออกไปเหมือนขโมย
15 ตาของคนล่วงประเวณีจ้องรอคอยเวลาพลบค่ำ
เขาคิดว่า ‘ไม่มีใครเห็นเรา’
และคลุมหน้าเพื่อพรางตาคน
16 ในความมืดมีคนแอบย่องเข้าไปในบ้าน
แต่ตอนกลางวันเขาก็เก็บตัวอยู่
ไม่อยากยุ่งเกี่ยวกับความสว่าง
17 สำหรับพวกเขาทุกคน ความมืดสนิทเป็นยามเช้า[d]
เขาเป็นมิตรกับความมืดมนอันน่าสยดสยอง[e]

18 “ถึงกระนั้นเขาก็เป็นฟองบนผิวน้ำ
ที่ดินส่วนของเขาถูกสาปแช่ง
จึงไม่มีใครไปที่สวนองุ่นของเขา
19 ความร้อนระอุแห้งแล้งดูดซับหิมะที่ละลายไปฉันใด
แดนมรณาก็พรากผู้ที่ทำบาปไปฉันนั้น
20 ครรภ์มารดาก็ลืมเขา
ตัวหนอนรุมกินเขา
ไม่มีใครจดจำคนชั่วร้ายอีกต่อไป
แต่พวกเขาถูกโค่นลงเหมือนต้นไม้
21 เพราะพวกเขาเอารัดเอาเปรียบหญิงที่เป็นหมันและหญิงที่ไม่มีลูกๆ ดูแล
เขาไม่ปรานีหญิงม่าย
22 แต่พระเจ้าทรงลากผู้ยิ่งใหญ่ไปด้วยฤทธิ์อำนาจของพระองค์
แม้พวกเขาเป็นปึกแผ่น แต่ก็ไม่มีความมั่นคงในชีวิต
23 พระองค์อาจจะปล่อยให้เขาพักอยู่ด้วยความรู้สึกมั่นคงปลอดภัย
แต่ทรงจับตาดูวิถีทางของเขา
24 เขาได้รับการยกย่องเทิดทูนอยู่ชั่วครู่หนึ่ง แล้วก็ผ่านพ้นไป
พวกเขาต้องตกต่ำลงและถูกรวบไปเหมือนคนอื่นๆ
เขาถูกตัดออกเหมือนยอดรวงข้าว

25 “ถ้าไม่ได้เป็นอย่างนี้ ใครจะพิสูจน์ได้ว่าข้าพูดผิด
และทำให้เห็นว่าสิ่งที่ข้ากล่าวมานี้ไม่เป็นความจริง”

บิลดัด

25 แล้วบิลดัดชาวชูอาห์ตอบว่า

“อำนาจครอบครองและความน่าเกรงขามเป็นของพระเจ้า
พระองค์ทรงสถาปนาความเป็นระเบียบไว้ในฟ้าสวรรค์เบื้องสูง
กองพลโยธาของพระองค์สามารถนับได้หรือ?
ผู้ใดเล่าที่แสงสว่างของพระองค์ส่องไปไม่ถึง?
มนุษย์จะชอบธรรมต่อหน้าพระเจ้าได้อย่างไร?
ผู้ถือกำเนิดจากสตรีจะบริสุทธิ์ได้อย่างไร?
หากแม้แสงจันทร์ยังไม่กระจ่าง
และดวงดาวยังไม่บริสุทธิ์ในสายพระเนตรของพระองค์
มนุษย์ซึ่งเป็นเพียงตัวดักแด้
บุตรของมนุษย์ซึ่งเป็นเพียงตัวหนอน
จะยิ่งกว่านั้นสักเท่าใด!”

โยบ

26 โยบจึงตอบว่า

“ท่านช่วยคนหมดแรงได้มากเสียจริง!
ช่วยพยุงแขนที่อ่อนล้าได้เยี่ยมจริงนะ!
คำแนะนำที่ท่านให้แก่คนไม่มีปัญญานั้นช่างยอดเยี่ยม!
ท่านได้แสดงความเข้าใจที่ลึกซึ้งเสียนี่กระไร!
ใครหนอช่วยให้ท่านพูดออกมาอย่างนี้ได้?
วิญญาณดวงใดหนอที่พูดออกมาผ่านปากของท่าน?

“บรรดาผู้ตายต้องทุกข์ทรมาน
ทั้งบรรดาคนที่อยู่ใต้น้ำและทุกชีวิตในนั้น
แดนมรณาเปลือยเปล่าต่อหน้าพระเจ้า
แดนพินาศไร้สิ่งปกปิด
พระเจ้าทรงคลี่ท้องฟ้าด้านเหนือบนความว่างเปล่า
และทรงแขวนโลกไว้เหนือที่เวิ้งว้าง
พระองค์ทรงห่อหุ้มน้ำไว้ในเมฆของพระองค์
และเมฆก็ไม่ได้แตกกระจายเพราะน้ำหนักของมัน
พระองค์ทรงคลี่เมฆ
ทรงบดบังจันทร์เพ็ญ
10 พระองค์ทรงกำหนดเส้นขอบฟ้าที่ทะเล
เป็นพรมแดนระหว่างความสว่างกับความมืด
11 เสาของฟ้าสวรรค์สั่นคลอน
เมื่อพระองค์ทรงกำราบ
12 และโดยฤทธิ์อำนาจของพระองค์ ทะเลก็สงบราบคาบ
โดยพระปรีชาญาณ ทรงหั่นราหับออกเป็นชิ้นๆ
13 ฟ้าสวรรค์งดงามโดยลมปราณของพระเจ้า
พระหัตถ์ของพระองค์ทรงแทงพญางูที่กำลังเลื้อยไป
14 เหล่านี้เป็นเพียงสิ่งเล็กน้อยที่พระองค์ทรงกระทำ
เป็นแค่เสียงกระซิบแผ่วๆ ที่เราได้ยินเกี่ยวกับพระองค์เท่านั้น!
แล้วใครเล่าจะสามารถเข้าใจความเกรียงไกรแห่งฤทธิ์อำนาจของพระองค์ได้?”

27 โยบกล่าวต่อไปว่า

“ตราบใดที่พระเจ้าทรงพระชนม์อยู่ พระองค์ทรงปฏิเสธที่จะให้ความยุติธรรมแก่ข้า
องค์ทรงฤทธิ์ผู้ทำให้ข้าลิ้มรสความขมขื่นในวิญญาณ
ตราบใดที่ข้ายังมีชีวิตอยู่
ตราบใดที่ข้ายังมีลมปราณจากพระเจ้า
ตราบนั้นริมฝีปากของข้าจะไม่กล่าวคำชั่ว
และลิ้นของข้าจะไม่กล่าวคำหลอกลวง
ข้าจะไม่มีวันยอมรับว่าพวกท่านเป็นฝ่ายถูก
จนตายข้าก็ขอยืนยันว่าข้าซื่อสัตย์สุจริต
ข้าจะยึดมั่นในความชอบธรรมของข้าและไม่มีวันปล่อยวาง
มโนธรรมของข้าจะไม่ตำหนิข้าตราบชั่วชีวิต

“ขอให้ศัตรูของข้าเป็นเหมือนคนชั่ว
ขอให้ปฏิปักษ์ของข้าเป็นเหมือนคนอยุติธรรม!
เพราะคนอธรรมจะมีความหวังอะไรเมื่อเขาถูกตัดขาด
เมื่อพระเจ้าทรงคร่าชีวิตเขาไป?
เมื่อความทุกข์ลำบากมาถึงเขา
พระเจ้าทรงฟังเสียงร่ำร้องของเขาหรือ?
10 เขาจะปีติยินดีในองค์ทรงฤทธิ์หรือ?
เขาจะร้องทูลพระเจ้าตลอดเวลาหรือ?

11 “ข้าจะสอนท่านถึงเรื่องฤทธิ์อำนาจของพระเจ้า
จะไม่ปิดบังวิถีทางขององค์ทรงฤทธิ์
12 ท่านเองก็รู้เห็นทั้งหมดนี้แล้ว
ทำไมจึงยังพูดเหลวไหลอย่างนี้อีก?

13 “นี่คือชะตากรรมที่พระเจ้าทรงกำหนดให้แก่คนชั่วร้าย
และเป็นมรดกที่คนอำมหิตได้รับจากองค์ทรงฤทธิ์
14 ถึงแม้ลูกหลานของเขาจะมากมาย แต่ก็จะตกเป็นเหยื่อของคมดาบ
และวงศ์วานของเขาจะไม่มีวันได้กินอิ่ม
15 ผู้ที่รอดชีวิตอยู่ก็จะถูกนำไปสู่หลุมศพด้วยโรคระบาด
ภรรยาม่ายของพวกเขาก็ไม่คร่ำครวญถึงพวกเขา
16 ถึงแม้เขาสะสมเงินไว้มากมายดั่งฝุ่นธุลี
และมีเสื้อผ้าเป็นกองๆ เหมือนกองดินเหนียว
17 ผู้ชอบธรรมจะนำสิ่งที่เขาสะสมไว้มาสวมใส่
และคนไร้ผิดจะเอาเงินของเขามาแบ่งปันกัน
18 บ้านที่เขาสร้างขึ้นเหมือนรังของดักแด้
เหมือนกระท่อมที่คนยามสร้างขึ้น
19 เขานอนลงบนกองเงินกองทอง แต่เขาจะไม่ได้ทำเช่นนั้นอีกต่อไป
เพราะเมื่อเขาลืมตาขึ้นมา ทุกอย่างก็สูญสิ้นไป
20 ความสยดสยองจู่โจมเขาจนตั้งตัวไม่ติดเหมือนน้ำท่วมฉับพลัน
และพายุร้ายซัดเขาหายไปในยามราตรี
21 ลมตะวันออกพัดพาเขาหายไป
กวาดเขาไปจากที่อยู่
22 มันม้วนตัวซัดกระหน่ำเขาอย่างไม่ปรานี
ขณะที่เขาพยายามจะหลบหนีให้พ้นอำนาจของมัน
23 มันก็ปรบมือเยาะเย้ย
และซัดเขาหลุดลอยไปจากที่ของเขา

2 โครินธ์ 1:12-2:11

เปาโลเปลี่ยนแผน

12 สิ่งที่เราโอ้อวดได้ คือจิตสำนึกของเรายืนยันว่าเราประพฤติตนในโลกโดยเฉพาะในความสัมพันธ์กับท่านด้วยความบริสุทธิ์และความจริงใจซึ่งมาจากพระเจ้า เราไม่ได้ประพฤติตามปัญญาฝ่ายโลก แต่ตามพระคุณของพระเจ้า 13 เพราะเราไม่ได้เขียนถึงท่านในสิ่งที่ท่านไม่สามารถอ่านหรือเข้าใจได้ และข้าพเจ้าหวังว่า 14 ในเมื่อท่านเข้าใจเราบางส่วนแล้ว ท่านจะได้เข้าใจโดยตลอดว่าท่านก็สามารถโอ้อวดเกี่ยวกับเราเหมือนที่เราจะโอ้อวดเกี่ยวกับท่านในวันแห่งองค์พระเยซูเจ้า

15 เนื่องจากข้าพเจ้ามั่นใจในเรื่องนี้ ข้าพเจ้าจึงวางแผนว่าจะมาเยี่ยมท่านก่อนเพื่อให้ท่านได้ประโยชน์สองต่อ 16 คือข้าพเจ้าได้วางแผนมาเยี่ยมพวกท่านเมื่อจะไปแคว้นมาซิโดเนีย และขากลับจากแคว้นมาซิโดเนียก็แวะมาเยี่ยมท่านอีก จากนั้นให้ท่านส่งข้าพเจ้าเดินทางไปยังแคว้นยูเดีย 17 เมื่อข้าพเจ้าได้วางแผนเช่นนี้ ข้าพเจ้าทำไปอย่างไม่จริงจังหรือ? ข้าพเจ้าวางแผนแบบชาวโลกที่พร้อมจะรับปากส่งๆ ไปว่า “มา” และ “ไม่มา” หรือ?

18 แต่พระเจ้าทรงสัตย์ซื่อแน่นอนฉันใด คำของเราถึงท่านก็ไม่ใช่ “มา” และ “ไม่มา” ส่งๆ ไปแน่ฉันนั้น 19 เพราะพระบุตรของพระเจ้าคือพระเยซูคริสต์ซึ่งข้าพเจ้ากับสิลาส[a]และทิโมธีประกาศแก่พวกท่านนั้นไม่ใช่ทั้ง “จริง” และ “ไม่จริง” ในเวลาเดียวกัน แต่ในพระองค์เป็น “จริง” เสมอ 20 เพราะไม่ว่าพระเจ้าได้ทรงสัญญาไว้มากมายเท่าใด สิ่งเหล่านั้นล้วนเป็น “จริง” ในพระคริสต์ ดัง

นั้นโดยทางพระองค์เราจึงขานรับว่า “อาเมน” เพื่อเทิดพระเกียรติสิริของพระเจ้า 21 พระเจ้านี่แหละทรงให้ทั้งเราและท่านยืนหยัดมั่นคงในพระคริสต์ พระองค์ได้ทรงเจิมเรา 22 ทรงประทับตราแสดงความเป็นเจ้าของบนเรา และประทานพระวิญญาณของพระองค์ไว้ในใจเราเป็นมัดจำค้ำประกันในสิ่งที่จะมาถึง

23 ข้าพเจ้าขออ้างพระเจ้าให้ทรงเป็นพยานแก่ข้าพเจ้าว่า ที่ขากลับข้าพเจ้าไม่ได้มาเมืองโครินธ์ก็เพื่องดเว้นโทษพวกท่านไว้ก่อน 24 เราไม่ใช่นายควบคุมความเชื่อของท่าน แต่เราทำงานร่วมกับท่านเพื่อความชื่นชมยินดีของท่าน เพราะโดยความเชื่อท่านจึงยืนหยัดมั่นคง

ดังนั้นข้าพเจ้าจึงตัดสินใจว่าจะไม่แวะมาทำให้ท่านต้องเจ็บปวดอีกครั้งหนึ่ง เพราะถ้าข้าพเจ้าทำให้ท่านเศร้าใจ จะเหลือใครทำให้ข้าพเจ้าดีใจ? ก็มีแต่พวกท่านซึ่งข้าพเจ้าทำให้เศร้าเสียใจนั่นแหละ ที่ข้าพเจ้าเขียนไปนั้นเพื่อว่าเมื่อข้าพเจ้ามาถึงจะได้ไม่ต้องทุกข์ใจเนื่องด้วยคนที่ควรทำให้ข้าพเจ้าชื่นชมยินดี ข้าพเจ้ามั่นใจในพวกท่านทุกคนว่าท่านทุกคนจะร่วมชื่นชมยินดีกับข้าพเจ้า เพราะข้าพเจ้าเขียนมาด้วยความทุกข์ใจอย่างใหญ่หลวง ด้วยความทรมานใจและทั้งน้ำตา ไม่ใช่เพื่อทำให้ท่านเศร้าเสียใจ แต่เพื่อให้ท่านรู้ว่าข้าพเจ้ารักพวกท่านอย่างลึกซึ้งมากเพียงใด

ให้อภัยคนที่ทำบาป

ถ้ามีคนใดก่อให้เกิดความเศร้าเสียใจ เขาไม่ได้ทำให้ข้าพเจ้าเศร้าเสียใจมากเท่ากับที่ทำให้ท่านทั้งหมดเศร้าเสียใจในระดับหนึ่ง ที่ว่าในระดับหนึ่งเพราะข้าพเจ้าไม่อยากพูดแรงเกินไป โทษทัณฑ์ที่เขาได้รับจากคนส่วนใหญ่นั้นก็เพียงพอแล้ว พวกท่านน่าจะให้อภัยและปลอยโยนเขาดีกว่าเพื่อเขาจะได้ไม่ทุกข์โศกเกินเหตุ ฉะนั้นข้าพเจ้าขอร้องท่านให้ยืนยันในความรักที่มีต่อเขาอีกครั้ง เหตุที่ข้าพเจ้าเขียนมานั้นก็เพื่อจะดูว่าพวกท่านยืนหยัดมั่นคงต่อการทดลองและเชื่อฟังทุกประการหรือไม่ 10 หากท่านยกโทษให้ใคร ข้าพเจ้าก็จะยกโทษให้คนนั้นด้วย และถ้ามีสิ่งใดให้ยกโทษ ข้าพเจ้าก็ยกโทษให้เพราะเห็นแก่พวกท่านโดยรู้ว่าพระคริสต์ทอดพระเนตรอยู่ 11 เพื่อว่าเราจะได้ไม่เสียทีซาตาน เพราะเรารู้ทันอุบายของมัน

สดุดี 41

(ถึงหัวหน้านักร้อง บทสดุดีของดาวิด)

41 ความสุขมีแก่ผู้ที่ใส่ใจคนอ่อนแอ
องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงช่วยกู้เขาในยามเดือดร้อน
องค์พระผู้เป็นเจ้าจะทรงปกปักรักษาและสงวนชีวิตของเขา
พระองค์จะทรงอวยพรเขาในแผ่นดิน
และจะไม่ทรงปล่อยให้ศัตรูทำกับเขาตามใจชอบ
องค์พระผู้เป็นเจ้าจะทรงประคับประคองเขาในยามเจ็บป่วย
และจะทรงช่วยให้เขาหายเป็นปกติ

ข้าพระองค์ทูลว่า “ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า ขอทรงเมตตาข้าพระองค์
โปรดรักษาข้าพระองค์ให้หาย เพราะข้าพระองค์ได้ทำบาปต่อพระองค์”
ศัตรูของข้าพระองค์พูดด้วยความมุ่งร้ายว่า
“เมื่อไหร่เขาจะตายและสิ้นชื่อไป?”
เมื่อใดก็ตามที่มีคนมาดูข้าพระองค์
เขาก็ทำเป็นพูดดีทั้งๆ ที่ใจคิดร้าย
แล้วก็ออกไปเที่ยวกระพือข่าว

ศัตรูทั้งหมดของข้าพระองค์รวมหัวกันนินทาว่าร้ายข้าพระองค์
และแช่งชักข้าพระองค์ว่า
“โรคร้ายกัดกินเขา
เขาไม่มีวันลุกจากเตียงนั่นได้หรอก”
แม้แต่เพื่อนสนิทที่ข้าพระองค์ไว้วางใจ
ผู้ที่รับประทานอาหารร่วมกับข้าพระองค์
ยังได้ทรยศหักหลังข้าพระองค์[a]

10 ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า แต่ขอพระองค์โปรดเมตตาข้าพระองค์ด้วย
ขอทรงช่วยข้าพระองค์ให้ลุกขึ้นมาได้อีกเพื่อจะได้แก้แค้นพวกเขา
11 ข้าพระองค์ทราบว่าพระองค์ทรงพอพระทัยข้าพระองค์
เพราะศัตรูเอาชนะข้าพระองค์ไม่ได้
12 พระองค์ทรงเชิดชูข้าพระองค์ไว้เพราะข้าพระองค์ซื่อสัตย์สุจริต
ทรงตั้งข้าพระองค์ไว้ต่อหน้าพระองค์เป็นนิตย์

13 ขอถวายสรรเสริญแด่พระยาห์เวห์พระเจ้าแห่งอิสราเอล
ตั้งแต่นิรันดรจวบจนนิรันดร
อาเมนและอาเมน

สุภาษิต 22:5-6

เส้นทางของคนชั่วมีกับดักและตาข่าย
ส่วนผู้ที่ปกป้องชีวิตของตนก็หลีกห่างจากทางนั้น

จงอบรมเด็กในทางที่เขาควรจะไป[a]
และเมื่อเขาโตขึ้น เขาจะไม่หันเหไปจากทางนั้น

Thai New Contemporary Bible (TNCV)

Thai New Contemporary Bible Copyright © 1999, 2001, 2007 by Biblica, Inc.® Used by permission. All rights reserved worldwide.