The Daily Audio Bible
Today's audio is from the NIV. Switch to the NIV to read along with the audio.
37 พายุฝนฟ้าคะนองทำให้หัวใจของผมสั่นรัว
และเต้นออกมานอกอก
2 ฟังสิ ฟังเสียงอันกึกก้องของพระองค์
และฟังเสียงคำรามที่ออกมาจากปากของพระองค์
3 สายฟ้าของพระองค์สว่างจ้าไปทั่วใต้ฟ้า
และสว่างจ้าไปจนสุดปลายแผ่นดินโลก
4 แล้วเสียงของพระองค์ก็คำรามตามไป
พระองค์แผดเสียงกึกก้องอย่างน่าเกรงขาม
เมื่อได้ยินแล้ว ไม่มีใครหยั่งรู้ว่ามันจะไปไหนต่อ
5 พระองค์แผดเสียงกึกก้องด้วยวิธีการอันน่าอัศจรรย์
และพระองค์ทำสิ่งยิ่งใหญ่ทั้งหลายที่เราไม่อาจเข้าใจได้
6 พระองค์พูดกับหิมะว่า “ตกลงมาสู่แผ่นดินสิ”
พระองค์บอกกับหยาดฝนว่า “ตกลงมาอย่างหนัก”
7 พระองค์ทำให้ทุกคนต้องถูกกักไว้ข้างใน
เพื่อทุกคนจะได้รู้ถึงสิ่งที่พระองค์ทำ
8 ส่วนสัตว์ก็กลับไปยังที่ซ่อนของมัน
และไม่ออกมาจากรังของมัน
9 ลมพายุก็พัดมาจากคลังของมัน
ความหนาวเหน็บก็มาจากลมเหนือ
10 น้ำแข็งมาจากลมหายใจของพระเจ้า
และทะเลกว้างใหญ่ก็เริ่มแข็งตัว
11 พระองค์บรรจุความชุ่มชื้นไว้ในเมฆที่หนาทึบ
และทำให้สายฟ้าแลบของพระองค์กระจายออกจากหมู่เมฆ
12 หมู่เมฆหมุนวนไปรอบๆตามการนำของพระองค์
เพื่อพวกมันจะได้ทำให้คำสั่งของพระองค์สำเร็จบนผิวโลกที่มนุษย์อาศัยอยู่
13 ไม่ว่าพระองค์จะให้ฝนตกเพื่อการตีสอนหรือเพื่อเป็นประโยชน์ต่อแผ่นดินของพระองค์
หรือเพื่อแสดงความรักอันมั่นคงของพระองค์ พระองค์ก็เป็นผู้ทำให้มันเกิดขึ้นทั้งนั้น
14 ลุงโยบครับ ฟังเรื่องนี้ให้ดี
ให้อยู่นิ่งๆแล้วไตร่ตรองอย่างถี่ถ้วนถึงการกระทำต่างๆอันน่าทึ่งเหล่านี้ของพระองค์
15 ท่านรู้หรือว่าพระเจ้าประกาศสั่งหมู่เมฆ
และทำให้สายฟ้าแลบออกมาจากหมู่เมฆของพระองค์ได้ยังไง
16 ท่านรู้หรือว่าหมู่เมฆแผ่กระจายไปได้ยังไง
ท่านรู้ถึงการกระทำต่างๆอันน่าทึ่งของพระองค์ผู้รอบรู้หรือยังไง
17 เมื่อลมร้อนจากทิศใต้พัดมาทุกคนในแผ่นดินต่างก็หยุดนิ่ง
แล้วท่านก็เหงื่อแตกอยู่ในเสื้อของท่าน
18 แล้วแบบท่านนี่นะ จะมาคลี่หมู่เมฆออกเหมือนกับที่พระองค์ทำได้หรือ
คือให้มันแข็งราวกับกระจกที่ทำจากเหล็กที่เทลงในแม่พิมพ์
19 ไหน ช่วยสอนเราหน่อยสิว่าเราควรพูดอะไรกับพระองค์ดี
เพราะพวกเราอยู่ในความมืดและไม่รู้จะรวบรวมคดีฟ้องพระองค์ได้ยังไง
20 เหมาะแล้วหรือที่จะให้ใครไปบอกพระองค์ว่า มนุษย์อย่างผมนี่นะจะฟ้องร้องพระองค์
สับสนอย่างนี้จะไปพูดในศาลได้ยังไง
21 แค่แสงสว่างเจิดจ้าในท้องฟ้าตอนที่ลมพัดกวาดเอาหมู่เมฆไป
มนุษย์ก็ยังมองดูไม่ได้เลย
22 แต่พระองค์นั้นมาจากทางเหนือด้วยแสงทองสว่างไสว
พระเจ้าสวมใส่แสงที่แผ่รัศมีอันน่าเกรงขาม
23 พระองค์ผู้ทรงฤทธิ์นั้นพวกเราไม่สามารถเข้าใกล้ได้
พระองค์ยิ่งใหญ่ด้วยพลังอำนาจ ความยุติธรรม และความถูกต้อง
ซึ่งพระองค์ไม่มีวันฝ่าฝืน[a]
24 ดังนั้น มนุษย์จึงยำเกรงพระองค์
แม้แต่คนฉลาดทั้งหลายก็ยังไม่สามารถมองเห็นพระองค์ได้”
พระยาห์เวห์ตอบโยบ
38 แล้วพระยาห์เวห์ตอบโยบออกมาจากพายุว่า
2 “ใครกันนี่ที่ทำให้แบบแผนของเรามืดมนไป
ด้วยคำพูดที่ขาดความเข้าใจ
3 เตรียมตัวของเจ้าให้พร้อมราวกับนักรบเถิด
เราจะสอบสวนเจ้า และเจ้าจะต้องตอบเรา
4 เจ้าอยู่ที่ไหน เมื่อครั้งที่เราวางรากฐานให้กับแผ่นดินโลก
ถ้าเจ้ามีความเข้าใจก็บอกเรามา
5 ใครเป็นผู้กำหนดขนาดของโลก แน่นอน เจ้าต้องรู้สิ
หรือใครขึงเชือกวัดขนาดของโลกนั้น
6 พวกเสาหลักของโลกตั้งอยู่บนอะไร
หรือใครวางหินหัวมุมของมัน
7 ตอนที่เหล่าดวงดาวในยามเช้าร้องเพลงร่วมกัน
และพวกทูตสวรรค์[b] ทั้งหมดก็โห่ร้องด้วยความสุข
8 หรือใครเอาประตูไปปิดกั้นน้ำทะเลไว้
ตอนที่มันพังทะลักออกไป เหมือนเด็กที่คลอดออกจากท้องแม่
9 ตอนที่เราเอาพวกเมฆมาเป็นเสื้อผ้าให้กับทะเล
และใช้ความมืดทึบเป็นผ้าอ้อมของมัน
10 และได้กำหนดขอบเขตให้กับมัน
และตั้งโครงและประตูให้กับมัน
11 และพูดว่า ‘เจ้ามาได้ไกลแค่นี้ ห้ามเลยจากนี้ไป
คลื่นอันมหึมาของเจ้าจะต้องหยุดอยู่แค่ตรงนี้’
12 ตั้งแต่เจ้าเกิดมา เจ้าเคยสั่งให้ยามเช้าขึ้นมาไหม
หรือทำให้ยามรุ่งสางรู้จักที่ของมันไหม
13 เพื่อมันจะได้ยึดจับปลายขอบของโลก
และสะบัดคนชั่วออกไปจากโลก
14 แสงอรุณเปลี่ยนหน้าตาของโลกไป เหมือนดินเหนียวเปลี่ยนรูปไปตามตราประทับ
แสงอรุณย้อมสีโลกเหมือนเสื้อผ้า
15 ส่วนแสงสว่างของคนชั่ว (คือความมืด) ก็ถูกยึดไปจากมัน
และแขนของคนชั่วที่เงื้อสูงเพื่อทำร้ายคน ก็ถูกหักไป
16 เจ้าเคยไปที่ตาน้ำแห่งท้องทะเลหรือ
หรือเจ้าเคยเดินท่องไปในที่ลึกลับของมหาสมุทรหรือ
17 เจ้าเคยเห็นประตูของดินแดนแห่งความตายหรือ
หรือเจ้าเคยเห็นประตูของความดำมืดมิดหรือ
18 เจ้าได้หยั่งรู้ถึงความกว้างใหญ่ของแผ่นดินโลกแล้วหรือ
ถ้าเจ้ารู้ทั้งหมดนี้ ก็บอกมา
19 ทางที่จะนำไปสู่ที่อยู่อาศัยของแสงสว่างอยู่ที่ไหน
และที่พักของความมืดนั้นอยู่ที่ไหน
20 เพื่อเจ้าจะได้พาพวกมันกลับยังเขตแดนของพวกมัน
และจะได้รู้เส้นทางไปบ้านของพวกมัน
21 เจ้าคงต้องรู้แน่ เพราะเจ้าเกิดก่อนพวกมันเสียอีก
และจำนวนวันปีของเจ้าก็มากมายมหาศาล
22 เจ้าเคยไปที่คลังเก็บหิมะแล้วหรือ
หรือว่าเจ้าเคยเห็นคลังเก็บลูกเห็บ
23 ที่เราได้เก็บไว้ใช้ในยามยากลำบาก
คือในวันศึกสงคราม
24 หนทางที่นำไปสู่จุดที่สายฟ้าแลบกระจายออกมาอยู่ที่ไหน
หรือจุดที่ลมตะวันออกพัดกระจายออกมาไปบนแผ่นดินโลกอยู่ที่ไหน
25 ใครขุดร่องให้ฝนห่าใหญ่ไหลลงมา
และทำทางสำหรับพายุฝนฟ้าคะนอง
26 เพื่อให้ฝนตกลงสู่ดินแดนที่ไม่มีคนอยู่
และถิ่นทุรกันดารที่ไม่มีมนุษย์อาศัยอยู่
27 ซึ่งจะให้ความชุ่มฉ่ำกับดินแดนร้าง
และทำให้หญ้าผลิต้นขึ้น
28 ฝนมีพ่อหรือ
หรือว่าใครเป็นพ่อของหยาดน้ำค้างหรือ
29 น้ำแข็งออกมาจากครรภ์ของใครหรือ
หรือใครได้คลอดน้ำค้างแข็งแห่งฟ้าสวรรค์หรือ
30 น้ำจับตัวแข็งราวกับหิน
ส่วนพื้นผิวของทะเลลึกก็จับตัวแข็ง
31 เจ้าสามารถเอาโซ่มัดดาวลูกไก่ไว้เป็นกลุ่มได้หรือ
เจ้าสามารถแก้เชือกที่ร้อยดาวไถได้หรือ
32 เจ้าสามารถนำหมู่ดาวออกมาปรากฏตามเวลาของมันได้หรือ
เจ้าสามารถนำหมู่ดาวหมีออกมาพร้อมกับดาวลูกๆของมันได้หรือ
33 เจ้ารู้ถึงกฎทั้งหลายของฟ้าสวรรค์หรือ
เจ้าสามารถทำให้โลกทำตามกฎต่างๆนั้นได้หรือ
34 เจ้าตะเบ็งสั่งหมู่เมฆ
ให้น้ำตกลงมาท่วมท้นเจ้าได้หรือ
35 เจ้าสามารถส่งพวกสายฟ้าผ่าออกไป
และให้มันรายงานกับเจ้าว่า “เราอยู่ที่นี่แล้วท่าน” ได้หรือ
36 ใครสอนพวกเมฆให้รู้จักปล่อยฝนลงมา
ใครสอนหมอกให้รู้จักลอยขึ้นมา
37 ใครมีสติปัญญาพอที่จะไปนับหมู่เมฆได้
ใครสามารถเทน้ำออกจากไหทั้งหลายแห่งฟ้าสวรรค์ได้
38 เพื่อทำให้ฝุ่นละอองจับตัวกันเป็นก้อนดิน
และก้อนดินจับตัวกันแน่น
39 เจ้าล่าเหยื่อให้กับสิงโตได้หรือ
เจ้าสามารถทำให้พวกสิงห์หนุ่มอิ่มได้หรือ
40 ตอนที่พวกมันพากันหมอบอยู่ตามถ้ำ
หรือดักซุ่มตัวอย่างลับๆล่อๆ
41 ใครให้อาหารกับกาหรือ ในยามที่ลูกๆของมันร้องขอความช่วยเหลือจากพระเจ้า
และเดินโซเซไปมาเพราะขาดอาหาร
39 เจ้ารู้เวลาที่แพะภูเขาออกลูกหรือ
เจ้าคอยเฝ้าดูกวางตัวเมียตอนที่มันคลอดลูกหรือ
2 เจ้านับเดือนที่พวกมันตั้งท้องจนครบได้หรือ
เจ้ารู้เวลาที่พวกมันจะออกลูกหรือ
3 ตอนที่พวกมันนั่งยองๆเบ่งลูกน้อย
และตกลูกอ่อนของมันออกมา
4 เมื่อลูกๆของมันแข็งแรง และเติบใหญ่ขึ้นในทุ่งกว้าง
พวกมันทิ้งแม่กวางไป และไม่กลับมาอีก
5 ใครปลดปล่อยลาป่าให้เป็นอิสระ
และใครแก้เชือกลาเปลี่ยว
6 เราให้ทุ่งโล่งเป็นบ้านของมัน
และให้เขตดินเค็มเป็นที่พักอาศัยของมัน
7 มันหัวเราะเยาะความวุ่นวายในเมือง
และไม่ได้ยินเสียงตะโกนของผู้เป็นนายของมัน
8 มันท่องไปตามเนินเขาต่างๆเพื่อหาทุ่งหญ้า
และแสวงหาทุกสิ่งทุกอย่างที่เป็นสีเขียว
9 วัวป่ายักษ์[c] ยอมรับใช้เจ้าหรือ
มันยอมนอนอยู่ข้างๆรางหญ้าของเจ้าหรือ
10 เจ้าสามารถเทียมวัวป่าให้ไถนาเจ้าได้หรือ
หรือทำให้มันไถคราดพรวนดินตามหลังเจ้าได้หรือ
11 เจ้าจะไปพึ่งเรี่ยวแรงมากมายของมันได้หรือ
เจ้าจะมอบงานหนักของเจ้าให้กับมันทำได้หรือ
12 เจ้าจะพึ่งมัน ให้มันเก็บเกี่ยว
และลากฟ่อนข้าวมาไว้ที่ลานนวดข้าวของเจ้าได้หรือ
13 นกกระจอกเทศกระพือปีกอย่างเริงร่า
แต่มันก็ไม่สามารถบินได้เหมือนนกกระสาหรือนกเหยี่ยว
14 นกกระจอกเทศออกไข่บนพื้น
และทำให้ไข่ของมันอบอุ่นอยู่ในดิน
15 แล้วมันลืมไปว่าอาจมีตีนหนึ่งเหยียบไข่ของมันได้
และพวกสัตว์ป่าอาจจะย่ำไข่ของมันได้
16 มันทำกับลูกอ่อนของมันอย่างรุนแรงอย่างกับไม่ใช่ลูกมัน ถึงลูกมันจะตายไป
มันก็ไม่สน แม้มันจะเหนื่อยเปล่าก็ตาม
17 เพราะพระเจ้าสร้างมันมาแบบไม่รู้จักคิด
และพระองค์ไม่ได้แบ่งปันความเข้าใจให้กับมันเลย
18 แต่เมื่อมันเริ่มวิ่ง
มันหัวเราะเยาะทั้งม้าและคนขี่
19 เจ้าเป็นผู้ให้พละกำลังกับม้าหรือ
เจ้าตกแต่งคอของมันด้วยแผงคอพลิ้วไสวหรือ
20 เจ้าทำให้มันกระโดดอย่างกับตั๊กแตนหรือ
เสียงหายใจฟืดฟาดอย่างหยิ่งทะนงของมันทำให้ผู้คนหวาดกลัว
21 มันตะกุยพื้นดินอย่างดุดัน
และภาคภูมิใจในพละกำลังของตนเอง มันโถมตัวเข้าสู่ศึกสงคราม
22 มันหัวเราะเยาะความกลัว ไม่ประหวั่นพรั่นพรึง
มันไม่ถอยหนีจากดาบ
23 ซองธนูส่งเสียงสะเทือนข้างตัวมัน
อีกทั้งหอกและทวนส่องประกายวูบวาบอยู่ข้างตัวมัน
24 มันพุ่งกราดไปข้างหน้าเต็มฝีเท้า ตื่นเต้นสะท้านไปทั้งตัว
และไม่อาจอยู่นิ่งได้เมื่อเสียงแตรรบดังขึ้น
25 เมื่อได้ยินเสียงแตร มันก็ส่งเสียงร้องขึ้นด้วยความดีใจ และมันได้กลิ่นสงครามแต่ไกล
มันได้ยินเสียงร้องตะโกนของพวกผู้บังคับบัญชา และเสียงสั่งลุย
26 เหยี่ยวบินได้เพราะรับสติปัญญาจากเจ้าหรือ
มันกางปีกบินไปทางใต้เพราะเจ้าอย่างนั้นหรือ
27 เจ้าเป็นคนสั่งให้นกอินทรีบินอยู่สูง
และสร้างรังไว้บนที่สูงหรือ
28 มันอาศัยอยู่บนหน้าผา และนอนที่นั่น
มันอยู่ตามแนวขอบของหน้าผา ซึ่งเป็นที่หลบภัยของมัน
29 มันมองหาอาหารจากที่นั่น
ตาของมันมองเห็นเหยื่อได้แต่ไกล
30 ลูกๆของมันดูดกินเลือด
มีซากศพอยู่ที่ไหน มันก็อยู่ที่นั่น”
13 ในพระคัมภีร์เขียนไว้ “เพราะผมเชื่อ ผมถึงพูด”[a] เราก็เชื่อเหมือนกัน เราก็เลยพูด 14 เพราะเรารู้ว่าพระเจ้าผู้ที่ทำให้พระเยซูเจ้าฟื้นขึ้นจากความตายจะทำให้เราฟื้นขึ้นจากความตายเช่นกัน และพระเจ้าก็จะนำเราและพวกคุณมาอยู่ต่อหน้าพระองค์ 15 ที่เรายอมทนทุกข์อย่างนี้ ก็เพราะเห็นแก่พวกคุณ เพราะยิ่งมีคนได้รับความเมตตากรุณาจากพระเจ้ามากเท่าไหร่ คำขอบคุณต่อพระองค์ก็จะยิ่งมากขึ้นเท่านั้น อย่างนี้พระเจ้าจะได้รับเกียรติ
เกียรติยศที่เราจะได้รับ
16 เราจึงไม่ยอมท้อแท้ ถึงแม้สังขารภายนอกจะเสื่อมโทรมไป แต่จิตใจภายในของเราได้รับการสร้างขึ้นใหม่ในทุกๆวัน 17 ความทุกข์เล็กๆน้อยๆที่เกิดขึ้นกับเราแค่ประเดี๋ยวเดียวนี้จะทำให้เราได้รับเกียรติถาวรตลอดไป เกียรตินั้นมีค่าเกินกว่าที่จะไปคิดถึงความทุกข์พวกนั้นมากนัก 18 เราจึงไม่สนใจกับสิ่งที่เรามองเห็นได้ แต่สนใจกับสิ่งที่มองไม่เห็น เพราะสิ่งที่มองเห็นนั้นอยู่แค่ชั่วคราว แต่สิ่งที่มองไม่เห็นนั้นอยู่ถาวรตลอดไป
5 เพราะเรารู้ว่าถึงเต็นท์ของเราในโลกนี้ซึ่งก็คือร่างกายถูกรื้อลง เราก็จะมีบ้านที่มาจากพระเจ้า เป็นบ้านถาวรบนสวรรค์ที่ไม่ได้สร้างด้วยมือมนุษย์ 2 ดังนั้นตอนนี้ที่เรายังอาศัยอยู่ในเต็นท์นี้ เราจึงร้องคร่ำครวญเพราะอยากจะสวมใส่บ้านที่มาจากสวรรค์หลังนั้น เหมือนกับใส่เสื้อคลุม 3 (แน่นอน เมื่อเราสวมใส่แล้ว เราจะได้ไม่เปลือยกาย) 4 พวกเราที่อยู่ในเต็นท์นี้ ต่างก็คร่ำครวญกับภาระหนักที่เราแบกไว้ เราไม่ได้อยากจะถอดร่างในปัจจุบันออก แต่อยากจะสวมร่างใหม่ทับเข้าไป เพื่อร่างที่มีชีวิตถาวรจะได้กลืนร่างที่ต้องตายนี้ไป 5 พระเจ้าคือผู้ที่เตรียมเราไว้สำหรับสิ่งนี้ พระเจ้าได้ให้พระวิญญาณ กับเราเป็นมัดจำงวดแรกของทุกสิ่งที่พระองค์สัญญาว่าจะให้กับเรา
6 เราก็เลยมีความมั่นใจอยู่เสมอ ถึงแม้จะรู้ว่าเมื่อเรายังอยู่ในบ้านนี้ เราก็ยังห่างจากบ้านที่จะอยู่กับองค์เจ้าชีวิต 7 (เราจึงใช้ชีวิตตามความเชื่อ ไม่ใช่ตามสิ่งที่เรามองเห็น) 8 เราถึงมีความมั่นใจและอยากที่จะจากบ้านนี้ ไปอยู่บ้านกับองค์เจ้าชีวิตมากกว่า 9 เพราะอย่างนี้แหละ เราถึงได้ตั้งใจเอาไว้ว่าจะทำทุกอย่างเพื่อให้พระองค์พอใจ ไม่ว่าจะยังอยู่ในบ้านนี้หรือไม่อยู่แล้วก็ตาม 10 เพราะเราทุกคนจะต้องอยู่ต่อหน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ เพื่อแต่ละคนจะได้รับผลตอบแทนตามความดีหรือความชั่วที่ทำมาตอนที่ยังอยู่ในร่างกายนี้
9 แต่พระองค์ได้ทอดทิ้งพวกเราทำให้พวกเราอับอาย
และไม่ยอมออกไปสนามรบด้วยกันกับพวกเรา
10 พระองค์ทำให้เราต้องถอยหนีจากศัตรู
พระองค์ทำให้คนเหล่านั้นที่เกลียดเราปล้นสะดมของเราไป
11 พระองค์ปล่อยให้พวกเราเป็นเหมือนแกะที่จะถูกนำไปฆ่า
พระองค์ทำให้พวกเรากระจัดกระจายไปอยู่ท่ามกลางชนชาติอื่นๆ
12 พระองค์ขายประชาชนของพระองค์ให้ไปเป็นทาส
ขายไปถูกๆอย่างกับให้เปล่า พระองค์ไม่ต่อรองราคาเสียด้วยซ้ำ
13 พวกเพื่อนบ้านของพวกเรา เห็นสิ่งที่พระองค์ทำ
แล้วตอนนี้ พวกเขาพากันเยาะเย้ยและหัวเราะเยาะพวกเรา
14 พระองค์ทำให้พวกเรากลายเป็นตัวตลกในท่ามกลางประเทศเพื่อนบ้านของเรา
พวกเขาพากันหัวเราะเยาะและส่ายหัวใส่เรา
15 ข้าพเจ้ารู้สึกอับอายทั้งวัน
ความอัปยศอดสูคลุมหน้าของข้าพเจ้าไว้
16 ข้าพเจ้าซ่อนอยู่ในความอับอาย เพราะเสียงเยาะเย้ย
และคำดูหมิ่นของพวกศัตรู ที่เฝ้ารอคอยแก้แค้นข้าพเจ้า
17 ข้าแต่พระเจ้า สิ่งทั้งหมดนี้เกิดขึ้นกับพวกเรา
ทั้งๆที่พวกเราไม่ได้ลืมพระองค์หรือทำผิดต่อสัญญาของพระองค์
18 จิตใจของพวกเราไม่ได้หันไปจากพระองค์
และย่างเท้าของเราไม่ได้หันเหไปจากทางของพระองค์
19 แต่พระองค์กลับบดขยี้เราในถิ่นของฝูงหมาป่า
และปกคลุมเราด้วยความมืดมิด
20 ถ้าพวกเราลืมชื่อพระเจ้าของพวกเรา
แล้วยกมือขึ้นอธิษฐานต่อพระอื่น
21 พระเจ้าจะไม่รู้เชียวหรือ
เพราะพระองค์หยั่งรู้ถึงความลับในจิตใจ
22 แต่เพราะเราเป็นของพระองค์ พวกเราถูกฆ่าไม่หยุด
และเพราะเราเป็นของพระองค์ คนมองว่าเราเป็นเหมือนแกะที่จะถูกนำไปฆ่า
23 ตื่นเถิด องค์เจ้าชีวิต พระองค์นอนหลับอยู่ได้ยังไง
ลุกขึ้นเถิด อย่าได้ละทิ้งพวกเราตลอดไป
24 ทำไมพระองค์ถึงได้เมินหน้าไปจากเรา
ทำไมพระองค์ถึงได้เมินเฉยต่อความทุกข์และการกดขี่ข่มเหงที่พวกเราได้รับ
25 พวกเราจมดินแล้ว
ท้องแนบไปกับพื้นแล้ว
26 ช่วยลุกขึ้นและรีบมาช่วยเหลือพวกเรา
ช่วยกู้พวกเราด้วยเถิดเพื่อแสดงความรักที่มั่นคงของพระองค์
13 คนขี้เกียจร้องว่า “มีสิงโตอยู่ข้างนอก
ฉันอาจถูกฆ่าตายอยู่ที่กลางถนนนั้น”
พระคริสตธรรมคัมภีร์: ฉบับอ่านเข้าใจง่าย ภาคคำสัญญาใหม่ © 2015 Bible League International