Print Page Options
Previous Prev Day Next DayNext

M’Cheyne Bible Reading Plan

The classic M'Cheyne plan--read the Old Testament, New Testament, and Psalms or Gospels every day.
Duration: 365 days
New Thai Version (NTV-BIBLE)
Version
อพยพ 7

โมเสสและอาโรนยืนเบื้องหน้าฟาโรห์

พระผู้เป็นเจ้ากล่าวกับโมเสสว่า “คอยดูเถิด เราจะทำให้เจ้าเป็นเสมือนพระเจ้าแก่ฟาโรห์ ส่วนอาโรนพี่ชายของเจ้าจะเป็นผู้เผยคำกล่าวของพระเจ้าแทนเจ้า เจ้าจะพูดทุกสิ่งที่เราสั่งให้พูด และอาโรนพี่ชายของเจ้าก็จะบอกฟาโรห์ให้ปล่อยชาวอิสราเอลออกไปจากแผ่นดินของเขา แต่เราจะเป็นผู้ทำจิตใจของฟาโรห์ให้แข็งกระด้าง และแม้ว่าเราจะแสดงปรากฏการณ์อัศจรรย์และสิ่งมหัศจรรย์เพิ่มมากขึ้นที่แผ่นดินอียิปต์ ฟาโรห์ก็จะไม่ฟังเจ้า แล้วเราจะลงมือกับอียิปต์ และพากองทัพของเรา ชนชาติของเรา คือชาวอิสราเอลออกไปจากแผ่นดินอียิปต์โดยการลงโทษอียิปต์สถานหนัก และชาวอียิปต์จะรู้ว่าเราคือพระผู้เป็นเจ้าเมื่อเรายื่นมือของเราออกเพื่อลงโทษพวกเขา และพาชาวอิสราเอลออกไปจากพวกเขา” โมเสสกับอาโรนจึงไปทำตามนั้น ท่านทั้งสองกระทำตามที่พระผู้เป็นเจ้าสั่ง ตอนที่ท่านทั้งสองไปพูดกับฟาโรห์นั้น โมเสสมีอายุได้ 80 ปี และอาโรนมีอายุ 83 ปี

ไม้เท้าของอาโรนกลายเป็นงู

พระผู้เป็นเจ้ากล่าวกับโมเสสและอาโรนว่า “เวลาฟาโรห์พูดกับเจ้าว่า ‘จงทำสิ่งมหัศจรรย์พิสูจน์ให้ข้าเห็นสิ’ เจ้าจงบอกอาโรนว่า ‘หยิบไม้เท้าโยนลงต่อหน้าฟาโรห์ แล้วมันจะกลายเป็นงู’” 10 ดังนั้น โมเสสและอาโรนจึงไปหาฟาโรห์ และทำตามที่พระผู้เป็นเจ้าสั่ง อาโรนโยนไม้เท้าลงต่อหน้าฟาโรห์และข้าราชบริพารของท่าน 11 ฟาโรห์จึงเรียกตัวบรรดาผู้เรืองปัญญา พวกที่ใช้เวทมนตร์ และพวกที่ใช้วิทยาคมของประเทศอียิปต์ใช้อาคมของตนทำเช่นเดียวกันด้วย 12 ทุกคนโยนไม้เท้าของตนลง มันก็กลายเป็นงู แต่ไม้เท้าของอาโรนกลับกลืนไม้เท้าของคนเหล่านั้นเข้าไป 13 แม้กระนั้นจิตใจของฟาโรห์ก็ยังแข็งกระด้าง ไม่ยอมฟังท่านทั้งสอง ดังที่พระผู้เป็นเจ้าได้กล่าวไว้

ภัยพิบัติแรก: เลือด

14 พระผู้เป็นเจ้ากล่าวกับโมเสสว่า “จิตใจของฟาโรห์แข็งกระด้าง เขาไม่ยอมปล่อยให้ประชาชนไป 15 เจ้าจงไปหาฟาโรห์ในตอนเช้า ขณะที่เขาออกไปที่แม่น้ำ จงรอเขาอยู่ที่ริมฝั่งแม่น้ำ เอาไม้เท้าด้ามที่กลายเป็นงูติดมือไปกับเจ้าด้วย 16 แล้วเจ้าจงพูดกับเขาว่า ‘พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของชาวฮีบรูใช้ข้าพเจ้าให้มาบอกว่า “ปล่อยให้ชนชาติของเราไป เพื่อพวกเขาจะได้นมัสการเราที่ถิ่นทุรกันดาร แต่เจ้าก็ยังไม่เชื่อฟัง” 17 ดังนั้นพระผู้เป็นเจ้ากล่าวอีกว่า “เจ้าจะรู้ว่าเราคือพระผู้เป็นเจ้าโดยสิ่งที่เรากระทำคือ เราจะใช้ไม้เท้าที่อยู่ในมือเราฟาดลงที่ผิวน้ำในแม่น้ำไนล์ และมันจะกลายเป็นเลือด 18 ปลาในแม่น้ำไนล์จะตาย และแม่น้ำจะเหม็น ชาวอียิปต์จะไม่อยากดื่มน้ำจากแม่น้ำไนล์”’” 19 พระผู้เป็นเจ้ากล่าวกับโมเสสว่า “จงบอกอาโรนให้หยิบไม้เท้าของเขา แล้วยื่นมือออกไปให้ทั่วเหนือน้ำในอียิปต์ ทั้งแม่น้ำ คลอง บึง และแหล่งเก็บน้ำทั้งหมด แล้วน้ำทุกแห่งก็จะกลายเป็นเลือด จะมีเลือดทั่วแผ่นดินอียิปต์ แม้แต่ในภาชนะไม้และภาชนะหิน”

20 โมเสสกับอาโรนก็ทำตามที่พระผู้เป็นเจ้าบัญชา ท่านยกไม้เท้าของท่านขึ้นฟาดน้ำในแม่น้ำไนล์ ต่อหน้าฟาโรห์และต่อหน้าข้าราชบริพารของท่าน และน้ำทั้งแม่น้ำไนล์กลายเป็นเลือด 21 ปลาในแม่น้ำไนล์พากันตายหมด แม่น้ำจึงเหม็นจนชาวอียิปต์ไม่สามารถดื่มน้ำจากแม่น้ำไนล์ได้อีก มีเลือดนองไปทั่วแผ่นดินอียิปต์ 22 ครั้นแล้วพวกที่ใช้วิทยาคมของอียิปต์ก็ใช้อาคมของตนทำเช่นเดียวกันด้วย ดังนั้นจิตใจของฟาโรห์จึงแข็งกระด้างดังเดิม ไม่ยอมฟังโมเสสและอาโรน ดังที่พระผู้เป็นเจ้ากล่าวไว้ 23 ฟาโรห์หันกลับเข้าวังของท่านโดยไม่ได้คิดถึงเรื่องที่เกิดขึ้นเลย 24 ชาวอียิปต์ทั้งปวงก็ขุดบ่อหาน้ำดื่มใกล้ๆ แม่น้ำไนล์ เพราะไม่สามารถดื่มน้ำจากแม่น้ำได้

25 เจ็ดวันผ่านไปนับจากเวลาที่พระผู้เป็นเจ้าได้ทำให้น้ำกลายเป็นเลือด

ลูกา 10

พระเยซูให้โอวาทแก่สาวก 72 คนก่อนออกไปประกาศ

10 หลังจากนั้นพระเยซูเจ้าแต่งตั้งสาวกอื่นอีก 72 คน[a] โดยแบ่งเป็นกลุ่มๆ ละ 2 คน เดินทางล่วงหน้าไปยังทุกๆ เมืองและทุกที่ที่พระองค์จะผ่านไป พระองค์บอกพวกเขาว่า “ข้าวที่จะเก็บเกี่ยวมีอยู่มากมายแต่คนงานมีจำนวนน้อย ฉะนั้นจงขอให้พระผู้เป็นเจ้า ผู้เป็นเจ้าของนาส่งพวกคนงานออกไปเก็บเกี่ยวในนา จงไปเถิด เราส่งพวกเจ้าออกไปเช่นพวกลูกแกะท่ามกลางเหล่าสุนัขป่า อย่านำถุงเงิน ย่าม หรือรองเท้าไป และก็อย่าทักทายผู้ใดตามถนนหนทาง เมื่อเจ้าเข้าไปในบ้านใด ก่อนอื่นจงกล่าวคำทักทายว่า ‘สันติสุขจงมีแก่บ้านนี้’ ถ้าผู้มีสันติสุขอยู่ที่นั่น คำทักทายแห่งสันติสุขของเจ้าจะอยู่กับเขา มิฉะนั้นแล้วคำทักทายแห่งสันติสุขจะย้อนกลับมาสู่เจ้า จงพักอยู่ที่บ้านหลังนั้น ดื่มกินสิ่งที่เขาให้ เพราะคนงานสมควรได้รับค่าจ้างของตน อย่าได้โยกย้ายจากบ้านนี้ไปบ้านโน้น เมื่อเจ้าเข้าไปในเมืองและชาวเมืองต้อนรับก็จงกินสิ่งที่เขาจัดหาให้ จงรักษาผู้ป่วยที่นั่นและบอกเขาว่า ‘อาณาจักรของพระเจ้าอยู่ใกล้ท่าน’ 10 หากเจ้าเข้าไปในเมือง และเขาไม่ยอมรับก็จงไปตามถนนและประกาศว่า 11 ‘แม้ฝุ่นผงในเมืองของท่านที่ติดเท้าเรา เราปัดออกเพื่อแสดงถึงความผิดของท่าน จงแน่ใจได้ว่าอาณาจักรของพระเจ้าใกล้จะมาถึงแล้ว’ 12 เราขอบอกเจ้าว่า ในวันนั้นเมืองโสโดม[b]จะทนได้มากกว่าเมืองนั้น

13 วิบัติจงเกิดแก่เจ้า เมืองโคราซิน วิบัติจงเกิดแก่เจ้า เมืองเบธไซดา หากสิ่งอัศจรรย์ทั้งหลายที่ได้เกิดขึ้นต่อหน้าเจ้า มาปรากฏในเมืองไทระและไซดอน พวกเขาจะต้องกลับใจไปนานแล้ว ทั้งนุ่งห่มด้วยผ้ากระสอบ และนั่งปาขี้เถ้าใส่หัวตัวเอง 14 แต่ในวันพิพากษา เมืองไทระและไซดอนจะทนได้มากกว่าเจ้า 15 ฝ่ายเจ้าเอง เมืองคาเปอร์นาอุม เจ้าจะได้รับการยกขึ้นสู่ฟ้าหรือ เปล่าเลย เจ้าจะดิ่งลงไปถึงแดนคนตาย

16 ผู้ที่ฟังเจ้าก็ฟังเรา ผู้ไม่ยอมรับเจ้าก็จะไม่ยอมรับเรา และผู้ไม่ยอมรับเราก็จะไม่ยอมรับพระองค์ผู้ส่งเรามา”

17 สาวก 72 คน[c]กลับมาด้วยความยินดีและพูดว่า “พระองค์ท่าน แม้แต่พวกมารก็ยังยอมเชื่อฟังพวกเราเมื่อเราใช้พระนามของพระองค์” 18 พระองค์ตอบว่า “เราเห็นซาตาน[d]ตกลงจากสวรรค์ราวฟ้าแลบ 19 เรามอบสิทธิอำนาจให้แก่เจ้าเพื่อเหยียบขยี้พวกงู แมงป่อง[e] และเอาชนะอำนาจทั้งปวงของศัตรู ไม่มีสิ่งใดที่จะทำร้ายเจ้าได้เลย 20 อย่างไรก็ดี อย่าชื่นชมยินดีที่เหล่าวิญญาณยอมเชื่อฟังเจ้า แต่จงชื่นชมยินดีที่นามของเจ้าได้มีบันทึกไว้แล้วในสวรรค์”

21 ในขณะนั้นพระเยซูชื่นชมยินดีในพระวิญญาณบริสุทธิ์ พระองค์ได้กล่าวว่า “ข้าพเจ้าสรรเสริญพระองค์ผู้เป็นพระบิดา พระผู้เป็นเจ้าแห่งสวรรค์และโลก เพราะพระองค์ได้ซ่อนสิ่งเหล่านี้จากผู้เรืองปัญญา คนฉลาด แล้วเปิดเผยให้แก่พวกเด็กเล็กๆ ใช่แล้ว พระบิดา เพราะว่านี่คือความพึงพอใจของพระองค์ 22 พระบิดาของเราได้มอบสิ่งทั้งปวงให้แก่เรา ไม่มีใครทราบว่าพระบุตรคือใคร นอกจากพระบิดา และไม่มีใครทราบว่าพระบิดาคือใคร นอกจากพระบุตรและผู้ที่พระบุตรเลือกที่จะเปิดเผยให้รู้ถึงพระองค์”

23 แล้วพระองค์หันไปยังเหล่าสาวก กล่าวกับพวกเขาเป็นการส่วนตัวว่า “นัยน์ตาทั้งหลายที่เห็นสิ่งที่เจ้าเห็นก็เป็นสุข 24 เราขอบอกเจ้าว่า มีผู้เผยคำกล่าวของพระเจ้าหลายท่าน และกษัตริย์จำนวนมากใคร่จะเห็นเช่นเจ้าเห็น แต่ไม่อาจเห็น และใคร่ได้ยินเช่นเจ้าได้ยิน แต่ไม่ได้ยิน”

อุปมาเรื่องชาวสะมาเรียผู้มีเมตตา

25 ครั้งหนึ่งผู้เชี่ยวชาญฝ่ายกฎบัญญัติลุกขึ้นถามเป็นการทดสอบพระเยซูว่า “อาจารย์ ข้าพเจ้าจะต้องปฏิบัติอย่างไรจึงจะได้ชีวิตอันเป็นนิรันดร์” 26 พระองค์ตอบว่า “ในหมวดกฎบัญญัติเขียนไว้อย่างไร แล้วท่านอ่านได้ความว่าอย่างไร” 27 เขาตอบว่า “‘จงรักพระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของท่านอย่างสุดดวงใจ สุดดวงจิต สุดกำลัง และสุดความคิดของท่าน’[f] และ ‘จงรักเพื่อนบ้านของเจ้าให้เหมือนรักตนเอง’”[g] 28 พระเยซูตอบว่า “ท่านตอบได้ถูกต้องแล้ว จงทำอย่างนั้นแล้วจะได้ชีวิต”

29 แต่เขาต้องการจะแก้ตัว ฉะนั้นเขาถามต่อไปว่า “แล้วใครคือเพื่อนบ้านของข้าพเจ้า” 30 พระเยซูตอบว่า “มีชายคนหนึ่งกำลังจากเมืองเยรูซาเล็มไปยังเมืองเยรีโค ระหว่างทางโจรได้ปล้นเขาโดยเปลื้องเอาเสื้อผ้าของเขา ทั้งยังทุบตีก่อนจะหนีหายไป ทิ้งชายผู้บาดเจ็บเจียนตายไว้ 31 เผอิญมีปุโรหิตคนหนึ่งเดินไปตามถนนนั้น เมื่อเห็นผู้บาดเจ็บกลับเดินเลยไปอีกฟากถนน 32 ชาวเลวี[h]คนหนึ่งซึ่งผ่านมาถึงที่นั่นเหมือนกันและเห็นชายคนนั้นก็เดินเลยไปอีกฟากถนน 33 ส่วนชาวสะมาเรียคนหนึ่งเดินทางผ่านมาจนมาใกล้ชายคนนั้น เมื่อเห็นเขาแล้วก็เกิดความสงสาร 34 จึงเข้าไปช่วยพันบาดแผล เทน้ำมันและเหล้าองุ่นลงที่บาดแผลให้ แล้วพาดชายคนนั้นบนลาของเขาเอง พาเขาไปที่โรงแรมแห่งหนึ่งเพื่อช่วยรักษา 35 วันรุ่งขึ้นชายเดินทางผู้นั้นหยิบ 2 เหรียญเดนาริอันออกมาให้เจ้าของโรงแรม และพูดว่า ‘ช่วยดูแลเขาด้วย เวลาเรากลับมาเราจะชดใช้ส่วนที่ขาดให้’ 36 ท่านคิดว่า 3 คนที่ว่ามานี้ คนไหนเป็นเพื่อนบ้านของชายที่ตกอยู่ในมือของโจร” 37 ผู้เชี่ยวชาญฝ่ายกฎบัญญัติตอบว่า “คนที่มีเมตตาต่อเขา” พระเยซูกล่าวว่า “จงไปปฏิบัติเช่นนั้นเถิด”

มาร์ธาและมารีย์

38 ขณะที่พระเยซูและเหล่าสาวกของพระองค์เดินทางมาถึงหมู่บ้านแห่งหนึ่ง มาร์ธาหญิงในหมู่บ้านนั้นได้ต้อนรับพระองค์ที่บ้านของเธอเอง 39 มารีย์ผู้เป็นน้องสาวนั่งชิดแทบเท้าของพระเยซูเจ้า เพื่อฟังคำสั่งสอนของพระองค์ 40 แต่มาร์ธากลับหมกมุ่นอยู่กับการเตรียมต้อนรับ เธอมาถามว่า “พระองค์ท่าน พระองค์ไม่ห่วงหรอกหรือว่าน้องสาวทิ้งงานให้ข้าพเจ้าทำแต่ผู้เดียว ขอพระองค์ได้โปรดเตือนให้เธอมาช่วยข้าพเจ้าด้วย” 41 พระเยซูเจ้าตอบว่า “มาร์ธา มาร์ธา เจ้าเอาแต่กังวลและอารมณ์เสียกับหลายเรื่อง 42 มีสิ่งเดียวที่จำเป็น มารีย์ได้เลือกกระทำสิ่งที่ดีกว่าซึ่งไม่มีใครจะเอาไปจากเธอได้”

โยบ 24

24 เหตุใดองค์ผู้กอปรด้วยมหิทธานุภาพจึงไม่กำหนดเวลาพิพากษา
    และทำไมบรรดาผู้ที่รู้จักพระองค์จึงไม่เห็นพระองค์ลงโทษคนชั่ว
บางคนเคลื่อนย้ายหลักเขต
    พวกเขาขโมยฝูงแกะไปเลี้ยงเป็นของตน
พวกเขาขโมยลาของเด็กกำพร้า
    และริบโคของหญิงม่ายเป็นประกัน
พวกเขาขับไล่ผู้ยากไร้ออกนอกถนน
    ผู้ยากไร้ของแผ่นดินโลกต้องหลบซ่อนตัว
ดูเถิด ผู้ยากไร้เป็นดั่งลาป่าในถิ่นทุรกันดาร
    พวกเขาออกไปยังที่แล้ง
    เพื่อหาอาหารให้ลูกๆ ของพวกเขา
พวกเขาเก็บฟางในนาของคนอื่น
    และเก็บองุ่นที่ตกหล่นในสวนของคนชั่ว
พวกเขานอนเปลือยกายไร้เครื่องนุ่งห่มตลอดทั้งคืน
    และไม่มีผ้าคลุมกายกันหนาว
พวกเขาเปียกฝนที่ตกในเทือกเขา
    และเกาะหินไว้เพราะไร้ที่กำบัง
มีบางพวกที่พรากทารกกำพร้าพ่อไปจากอกแม่
    และยึดเด็กจากคนยากไร้เอาไว้เป็นตัวประกัน
10 พวกเขาจึงต้องเปลือยกายไร้เครื่องนุ่งห่ม
    และหิวโหย ทั้งยังต้องทำงานเก็บเกี่ยวข้าว
11 พวกเขาสกัดน้ำมันจากสวนมะกอกของคนชั่ว
    และย่ำในบ่อองุ่นทั้งๆ ที่กระหายยิ่งนัก
12 คนที่กำลังจะตายร้องโอดครวญอยู่ในเมือง
    และจิตวิญญาณของคนที่บาดเจ็บร้องขอความช่วยเหลือ
    แต่พระเจ้าไม่สนใจผู้ที่กระทำความผิด

13 มีบางพวกที่ชิงชังความสว่าง
    เขาไม่คุ้นทาง
    และไม่อยู่บนทางสว่างนั้น
14 ฆาตกรลุกขึ้นก่อนฟ้าสาง
    เพื่อจะฆ่าผู้ขัดสนและยากไร้
    และพอตกค่ำเขาก็เป็นขโมย
15 ตาของผู้ผิดประเวณีรอให้ถึงยามพลบค่ำ
    คิดในใจว่า ‘จะไม่มีใครมองเห็นฉัน’
    และเขาก็ซ่อนหน้าตนเอง
16 ในยามมืดพวกเขาบุกเข้าบ้าน
    เวลากลางวันพวกเขาก็ซ่อนตัว
    และไม่รู้จักความสว่าง
17 เพราะความมืดมิดเป็นดั่งเวลาเช้าสำหรับพวกเขาทุกคน
    เพราะพวกเขาคุ้นกับความน่าสะพรึงกลัวของความมืดมิด

18 เพราะเขาเลื่อนลอยบนผิวน้ำอย่างรวดเร็ว
    ส่วนแบ่งของพวกเขาถูกสาปแช่งในแผ่นดิน
    เขาไม่เข้าไปในสวนองุ่นอีกแล้ว
19 การแล้งฝนและความร้อนทำให้หิมะละลายและแห้งเหือดไปฉันใด
    แดนคนตายก็กระทำต่อคนที่ทำบาปฉันนั้น
20 ครรภ์ที่เคยอุ้มพวกเขามาก็ยังลืม
    เขาถูกหนอนกิน
ไม่มีใครระลึกถึงพวกเขา
    และความชั่วถูกหักโค่นลงดั่งต้นไม้
21 พวกเขากระทำผิดต่อหญิงที่เป็นหมันปราศจากลูก
    และขาดความกรุณาต่อหญิงม่าย
22 แต่พระเจ้าก็ให้ผู้มีอำนาจมีชีวิตยั่งยืนด้วยอานุภาพของพระองค์
    แม้ว่าพวกเขาจะมั่นคง แต่ชีวิตไร้ความแน่นอน
23 พระองค์ให้พวกเขาได้รับความมั่นคงและมั่นใจ
    แต่พระองค์ดูวิถีทางของพวกเขา
24 พวกเขาเจริญรุ่งเรืองชั่วระยะหนึ่ง แล้วก็สิ้นสาบสูญไป
    พวกเขาเหี่ยวเฉาลงอย่างดอกไม้
    พวกเขาถูกเกี่ยวไปอย่างเมล็ดข้าว

25 ถ้าไม่ใช่เช่นนั้น แล้วใครจะพิสูจน์ได้ว่าฉันพูดไม่จริง
    และชี้ให้เห็นว่าคำพูดของฉันไม่เป็นความจริง”

1 โครินธ์ 11

11 จงปฏิบัติตามอย่างข้าพเจ้า เหมือนกับที่ข้าพเจ้าปฏิบัติตามอย่างพระคริสต์

การคลุมศีรษะ

ข้าพเจ้าขอชมท่าน ที่ท่านระลึกถึงข้าพเจ้าทุกประการ ท่านยึดถือสิ่งที่ได้เรียนรู้ต่อๆ กันมา ตามที่ข้าพเจ้าได้ให้ไว้กับท่าน ข้าพเจ้าต้องการให้ท่านทราบว่า ชายทุกคนมีผู้นำ[a]คือพระคริสต์ หญิงทุกคนมีผู้นำคือชาย และพระคริสต์มีผู้นำคือพระเจ้า ชายทุกคนที่ใช้อะไรก็ตามคลุมศีรษะขณะอธิษฐาน หรือเผยคำกล่าวของพระเจ้าก็หลู่เกียรติศีรษะของเขา และหญิงทุกคนที่ไม่มีอะไรคลุมศีรษะขณะอธิษฐาน หรือเผยคำกล่าวของพระเจ้าก็หลู่เกียรติศีรษะของเธอ เหมือนกับว่าเธอโกนผมออกหมดแล้ว ถ้าหญิงไม่มีอะไรคลุมศีรษะก็ควรตัดผมออกเสีย ถ้าเป็นความอัปยศอดสูสำหรับผู้หญิงที่ถูกตัดหรือโกนผม เธอก็ควรคลุมศีรษะเสีย ชายไม่ควรคลุมศีรษะ เพราะเขาเป็นภาพลักษณ์และสง่าราศีของพระเจ้า แต่หญิงเป็นสง่าราศีของชาย เพราะว่าชายไม่ได้มาจากหญิง แต่หญิงมาจากชาย ชายไม่ได้ถูกสร้างไว้เพื่อหญิง หญิงต่างหากถูกสร้างไว้เพื่อชาย 10 ด้วยเหตุผลนี้และเป็นเพราะเหล่าทูตสวรรค์ หญิงจึงควรมีสัญลักษณ์แห่งสิทธิอำนาจนี้บนศีรษะของเธอ 11 อย่างไรก็ดี ในพระผู้เป็นเจ้า หญิงต้องพึ่งชายและชายต้องพึ่งหญิง 12 เพราะว่าหญิงมาจากชาย และชายก็เกิดจากหญิงด้วย แต่ทุกสิ่งมาจากพระเจ้า 13 ท่านพิจารณาดูเถิด ว่าเป็นการเหมาะสมหรือ ที่หญิงจะอธิษฐานต่อพระเจ้าโดยปราศจากการคลุมศีรษะ 14 ธรรมชาติไม่ได้สอนท่านหรือว่า ถ้าชายมีผมยาวก็นับว่าเป็นความอัปยศ 15 แต่ถ้าหญิงมีผมยาวก็นับว่าเป็นความภาคภูมิของเธอ เพราะว่าผมยาวที่เธอได้รับก็เพื่อคลุมศีรษะ 16 ถ้าผู้ใดต้องการจะหาเรื่องโต้แย้งเรื่องนี้ เราไม่มีการกระทำนอกเหนือกว่านี้ และบรรดาคริสตจักรของพระเจ้าก็ไม่มีเช่นกัน

รับประทานในงานเลี้ยงของพระผู้เป็นเจ้า

17 ในการให้คำสั่งต่อไปนี้ ข้าพเจ้าไม่ขอชมท่าน เพราะท่านมาประชุมกันแล้ว ใช่ว่าจะดีขึ้น แต่กลับแย่ลงมากกว่า 18 ประการแรก ข้าพเจ้าได้ยินว่าเมื่อท่านมาประชุมกันเป็นกลุ่มของคริสตจักร ท่านก็แตกคอกันเอง ข้าพเจ้าพอจะเชื่ออยู่บ้าง 19 เพราะจะต้องมีการแบ่งแยกกันในพวกท่านเป็นแน่ เพื่อให้เด่นชัดว่าใครเป็นฝ่ายถูก 20 เมื่อท่านมาประชุมกัน มิใช่ว่าท่านจะมารับประทานในงานเลี้ยงของพระผู้เป็นเจ้า 21 เวลาที่ท่านรับประทาน ต่างฝ่ายต่างก็รับประทานก่อนคนอื่น บ้างก็ยังหิว และบ้างก็เมา 22 ท่านไม่มีบ้านเป็นที่สำหรับดื่มกินหรือ หรือว่าท่านดูหมิ่นคริสตจักรของพระเจ้า และทำให้พี่น้องที่ขัดสนได้รับความอับอาย ข้าพเจ้าควรจะกล่าวอย่างไรกับท่านเล่า ข้าพเจ้าควรชมท่านหรือ ในเรื่องนี้ไม่ขอชม

23 ด้วยเหตุว่าสิ่งที่ข้าพเจ้าได้ให้แก่ท่าน คือสิ่งที่พระผู้เป็นเจ้าได้มอบให้แก่ข้าพเจ้า ในคืนที่พระเยซู องค์พระผู้เป็นเจ้าถูกทรยศ พระองค์หยิบขนมปัง 24 เมื่อพระองค์ได้กล่าวขอบคุณพระเจ้าแล้ว ก็บิขนมปังและกล่าวว่า “นี่เป็นกายของเรา เพื่อพวกเจ้า จงปฏิบัติเช่นนี้ เพื่อระลึกถึงเรา” 25 ในวิธีเดียวกัน หลังจากอาหารเย็น พระองค์หยิบถ้วยพลางกล่าวว่า “ถ้วยนี้เป็นพันธสัญญาใหม่ในโลหิตของเรา เมื่อใดก็ตามที่เจ้าดื่ม จงปฏิบัติเช่นนี้ เพื่อระลึกถึงเรา” 26 เพราะว่าเมื่อท่านรับประทานขนมปังและดื่มจากถ้วยนี้ ท่านก็ประกาศการสิ้นชีวิตของพระผู้เป็นเจ้าจนกว่าพระองค์จะกลับมา

27 ฉะนั้น ผู้ใดที่รับประทานขนมปัง หรือดื่มจากถ้วยของพระผู้เป็นเจ้าด้วยการปฏิบัติอันไม่สมควร ผู้นั้นจะมีความผิดต่อกายและโลหิตของพระผู้เป็นเจ้า 28 คนที่จะรับประทานขนมปังและดื่มจากถ้วยนี้ควรพิจารณาตนเองก่อน 29 เพราะว่าผู้ใดที่รับประทานและดื่มโดยไม่ได้ระลึกถึงกายของพระผู้เป็นเจ้า ผู้นั้นก็รับประทานและดื่มการพิพากษาให้แก่ตนเอง 30 ฉะนั้นหลายคนในพวกท่านจึงอ่อนแอและเจ็บป่วย ขณะที่หลายคนก็ล่วงลับไปแล้ว 31 แต่ถ้าเราพิจารณาตนเองแล้ว เราก็จะไม่ถูกกล่าวโทษ 32 เมื่อพระผู้เป็นเจ้ากล่าวโทษเรา พระองค์ฝึกเราให้มีวินัย เพื่อว่าเราจะได้ไม่ถูกกล่าวโทษพร้อมกับโลก

33 ฉะนั้น พี่น้องทั้งหลาย เมื่อท่านมารับประทานร่วมกัน จงคอยซึ่งกันและกัน 34 ถ้าผู้ใดหิว ก็ควรรับประทานที่บ้าน เพื่อว่าเวลาที่ท่านประชุมร่วมกันจะได้ไม่ถูกกล่าวโทษ ส่วนเรื่องอื่นๆ เมื่อข้าพเจ้ามาข้าพเจ้าจะจัดการให้

New Thai Version (NTV-BIBLE)

Copyright © 1998, 2012, 2020 by New Thai Version Foundation