Print Page Options
Previous Prev Day Next DayNext

M’Cheyne Bible Reading Plan

The classic M'Cheyne plan--read the Old Testament, New Testament, and Psalms or Gospels every day.
Duration: 365 days
New Thai Version (NTV-BIBLE)
Version
กันดารวิถี 12-13

มิเรียมและอาโรนพูดประท้วงโมเสส

12 มิเรียมและอาโรนกล่าวแย้งโมเสสด้วยสาเหตุมาจากหญิงชาวคูชที่โมเสสแต่งงานด้วย เพราะท่านได้แต่งกับหญิงชาวคูช เขาทั้งสองพูดว่า “พระผู้เป็นเจ้ากล่าวผ่านโมเสสเท่านั้นหรือ พระองค์ไม่ได้กล่าวผ่านเราด้วยหรือ” แล้วพระผู้เป็นเจ้าก็ได้ยิน โมเสสผู้นี้เป็นคนถ่อมตัวมาก มากกว่ามนุษย์คนใดในโลก ในทันใดนั้น พระผู้เป็นเจ้ากล่าวกับโมเสส อาโรน และมิเรียมว่า “เจ้าทั้งสามจงออกมายังกระโจมที่นัดหมาย” ทั้งสามก็ได้ออกมา พระผู้เป็นเจ้าลงมาในลักษณะของเมฆก้อนมหึมาดั่งเสาหลัก และหยุดที่ประตูกระโจม พระองค์เรียกอาโรนและมิเรียม ทั้งสองก็ก้าวไปข้างหน้า พระองค์กล่าวว่า

“จงฟังคำพูดของเรา
    หากว่ามีผู้เผยคำกล่าวของพระเจ้าในหมู่พวกเจ้า
เราคือพระผู้เป็นเจ้า ซึ่งจะแสดงตัวให้เขารู้ในภาพนิมิต
    เราจะพูดกับเขาในฝัน
แต่กับโมเสสผู้รับใช้ของเราไม่ได้เป็นอย่างนั้น
    เขามีความภักดีในทุกสิ่งที่เกี่ยวกับตำหนักของเรา[a]
เราพูดกับเขาต่อหน้าอย่างแจ่มแจ้ง
    ไม่มีคำปริศนา
    เขาได้เห็นรูปลักษณ์ของพระผู้เป็นเจ้า
แล้วทำไมเจ้าถึงไม่กลัว
    แต่กลับพูดต่อต้านโมเสสผู้รับใช้ของเรา”

พระผู้เป็นเจ้ากริ้วเขาทั้งสองมาก และได้จากไป

10 เมื่อก้อนเมฆลอยเคลื่อนไปจากกระโจม ดูเถิด มิเรียมเป็นโรคเรื้อนขาวราวหิมะ อาโรนหันไปทางมิเรียม และดูเถิด นางเป็นโรคเรื้อน 11 อาโรนพูดกับโมเสสว่า “โอ นายท่าน อย่าลงโทษเราสองคนเลย เป็นเพราะเราโง่เขลาและกระทำบาป 12 อย่าให้นางเป็นเหมือนคนตายแล้ว เหมือนกับเด็กที่เพิ่งออกมาจากครรภ์มารดา และมีเนื้อหนังที่เปื่อยเน่าไปครึ่งตัว” 13 โมเสสจึงร้องบอกพระผู้เป็นเจ้าว่า “โอ พระเจ้า โปรดรักษานางให้หายเถิด ข้าพเจ้าขอร้อง” 14 แต่พระผู้เป็นเจ้ากล่าวตอบโมเสสว่า “ถ้าพ่อของนางถ่มน้ำลายรดหน้านาง แล้วนางจะไม่อับอายไป 7 วันหรือ ปล่อยให้นางอยู่ที่นอกค่าย 7 วัน หลังจากนั้นค่อยพานางเข้ามาได้” 15 ดังนั้นมิเรียมจึงถูกกักอยู่นอกค่าย 7 วัน ประชาชนไม่ได้ออกเดินทางจนกระทั่งมีคนพามิเรียมกลับเข้ามาอีกครั้ง 16 หลังจากนั้นประชาชนจึงออกเดินทางจากฮาเซโรท และไปตั้งค่ายในถิ่นทุรกันดารปาราน

สอดแนมคานาอัน

13 พระผู้เป็นเจ้ากล่าวกับโมเสสว่า “จงให้พวกผู้ชายไปสอดแนมดินแดนคานาอันที่เรามอบให้แก่ชาวอิสราเอล จงส่งหัวหน้าเผ่าเป็นผู้แทนของบรรพบุรุษแต่ละเผ่าออกไป” โมเสสจึงส่งพวกเขาออกไปจากถิ่นทุรกันดารปารานตามคำบัญชาของพระผู้เป็นเจ้า ทุกๆ คนเป็นหัวหน้าของชาวอิสราเอล มีรายชื่อตามนี้คือ ชัมมูอาบุตรศัคเคอร์จากเผ่ารูเบน ชาฟัทบุตรโฮรีจากเผ่าสิเมโอน คาเลบบุตรเยฟุนเนห์จากเผ่ายูดาห์ อิกาลบุตรโยเซฟจากเผ่าอิสสาคาร์ โฮเชยาบุตรนูนจากเผ่าเอฟราอิม ปัลทีบุตรราฟูจากเผ่าเบนยามิน 10 กัดเดียลบุตรโสดีจากเผ่าเศบูลุน 11 กัดดีบุตรสุสีจากเผ่ามนัสเสห์ (เผ่าของโยเซฟ) 12 อัมมีเอลบุตรเกมัลลีจากเผ่าดาน 13 เสธูร์บุตรมีคาเอลจากเผ่าอาเชอร์ 14 นาบีบุตรโวฟสีจากเผ่านัฟทาลี 15 เกอูเอลบุตรมาคีจากเผ่ากาด 16 นี่คือรายชื่อของบรรดาชายที่โมเสสส่งให้ไปสอดแนมดินแดนนั้น และโมเสสเรียกชื่อโฮเชยาบุตรของนูนว่า โยชูวา

17 โมเสสให้เขาเหล่านี้ไปสอดแนมดินแดนคานาอัน และบอกว่า “จงขึ้นไปในเนเกบและเข้าไปในแถบภูเขา 18 และไปดูว่าดินแดนนั้นเป็นอย่างไร ประชาชนที่อาศัยอยู่เข้มแข็งหรืออ่อนแอ มีจำนวนมากหรือน้อย 19 ดินแดนที่พวกเขาอาศัยอยู่ดีหรือไม่ดี เมืองของเขาเป็นอย่างไร เป็นเพียงค่ายหรือเป็นเมืองที่มีการคุ้มกันอย่างแข็งแกร่ง 20 ดินแดนนั้นอุดมสมบูรณ์ไหม มีต้นไม้บ้างหรือไม่ จงกล้าหาญและนำผลไม้จากดินแดนนั้นกลับมาบ้าง” เวลานั้นเป็นฤดูผลองุ่นแรกสุก

21 ดังนั้น พวกเขาจึงขึ้นไปสอดแนมดินแดนตั้งแต่ถิ่นทุรกันดารศินจนถึงเรโหบซึ่งใกล้เลโบฮามัท 22 พวกเขาขึ้นไปในเนเกบ ไปถึงเฮโบรนซึ่งอาหิมาน เชชัย และทัลมัยบรรดาบุตรของชาวอานาคอาศัยอยู่ เมืองเฮโบรนนี้ถูกสร้างขึ้น 7 ปีก่อนโศอันในอียิปต์ 23 พวกเขามาถึงลุ่มน้ำเอชโคล์ และได้ตัดกิ่งองุ่นมีลูกติดอยู่ 1 พวงจากที่นั่น ใช้ 2 คนหามด้วยไม้คาน และนำทับทิมและมะเดื่อมาด้วย 24 เขาเรียกที่นั่นว่า ลุ่มน้ำเอชโคล์เพราะพวงองุ่นที่ชาวอิสราเอลตัดมาจากที่นั่น

รายงานจากการสอดแนม

25 หลังจากที่สอดแนมดินแดนนั้นได้ 40 วัน พวกเขาก็กลับมา 26 พวกเขาไปหาโมเสส อาโรน และชาวอิสราเอลทั้งมวลในถิ่นทุรกันดารปารานที่คาเดช รายงานให้เขาทั้งปวงทราบ และให้ดูผลไม้ที่มาจากดินแดนนั้น 27 พวกเขาบอกโมเสสว่า “พวกเราไปยังดินแดนที่ท่านให้เราไป ดินแดนอันอุดมด้วยน้ำนมและน้ำผึ้ง และนี่เป็นผลไม้ของดินแดนนั้น 28 อย่างไรก็ดีประชาชนที่อาศัยอยู่ในดินแดนก็มีกำลังมาก เมืองต่างๆ มีขนาดใหญ่มากและได้รับการคุ้มกันอย่างแข็งแกร่ง พวกเราเห็นลูกหลานของชาวอานาคที่นั่นด้วย 29 ชาวอามาเลขอยู่ในดินแดนเนเกบ ชาวฮิต ชาวเยบุส และชาวอาโมร์อาศัยอยู่ในแถบภูเขา และชาวคานาอันอยู่ใกล้ทะเลและตามฝั่งแม่น้ำจอร์แดน”

30 ครั้นแล้วคาเลบขอให้ประชาชนเงียบเสียงและพูดต่อหน้าโมเสสว่า “พวกเราควรขึ้นไปทันที และไปครอบครองดินแดนนั้นกันเถิด เพราะพวกเราตีได้แน่” 31 แต่พวกผู้ชายที่ได้ขึ้นไปกับเขาพูดว่า “พวกเราไม่สามารถขึ้นไปต่อสู้ประชาชนพวกนั้นได้ เพราะเขาแข็งแรงกว่าเรา” 32 แล้วพวกเขาก็ให้รายงานเรื่องสอดแนมของดินแดนนั้นเป็นเรื่องร้ายๆ ว่า “ดินแดนที่พวกเราออกเดินทางไปทั่วเพื่อสอดแนมนั้นเป็นดินแดนที่กินเลือดกินเนื้อของผู้อาศัย และประชาชนทุกคนที่เราเห็นก็มีรูปร่างสูงใหญ่ 33 พวกเราเห็นชาวเนฟิลที่นั่น (ลูกหลานของอานาคมาจากชาวเนฟิล) ในสายตาของพวกเรา เราเป็นเหมือนตั๊กแตน และก็เป็นเช่นนั้นในสายตาของพวกเขาด้วย”

สดุดี 49

เพลงสดุดีแห่งสติปัญญา ในเรื่องของชีวิตและความตาย

ถึงหัวหน้าวงดนตรี ของตระกูลโคราห์ เพลงสดุดี

จงฟังเถิด ชนชาติทั้งปวงเอ๋ย
    จงเงี่ยหูเถิด ผู้อาศัยทั้งปวงในโลก
ทั้งต่ำต้อยและยิ่งใหญ่
    ทั้งมั่งมีและยากจน
ปากของข้าพเจ้าจะกล่าวสิ่งซึ่งแสดงความมีสติปัญญา
    การใคร่ครวญของข้าพเจ้าจะเป็นความหยั่งรู้
ข้าพเจ้าจะเงี่ยหูฟังสุภาษิต
    ข้าพเจ้าจะไขปริศนาด้วยเสียงพิณบรรเลง

ทำไมข้าพเจ้าต้องกลัวเมื่อเกิดความทุกข์ยาก
    ยามพวกที่กดขี่ข่มเหงอยู่รายล้อมข้าพเจ้า
พวกที่วางใจในความมั่งมีของตน
    และโอ้อวดว่าร่ำรวยล้นฟ้า
ไม่มีผู้ใดสามารถไถ่ชีวิตตน
    หรือจะนำสิ่งใดๆ มาถวายแด่พระเจ้าเพื่อชดใช้แทนชีวิตตนได้เลย
เพราะว่า ค่าไถ่ชีวิตนั้นสูงมาก
    และชดใช้เท่าไรก็ไม่มีวันหมด
ที่จะได้มีชีวิตอยู่ต่อไป
    และไม่มีวันเปื่อยเน่าชั่วนิรันดร์กาล
10 เพราะทุกคนก็เห็นว่าวันหนึ่งผู้เรืองปัญญาก็ต้องตาย
    คนโง่เขลาและคนไร้ความคิดก็ตายเช่นกัน
    ครั้นแล้วพวกเขาก็ทิ้งสมบัติไว้ให้คนอื่น
11 หลุมศพจะเป็นบ้านของเขาไปตลอดกาล
    เป็นที่อาศัยไปทุกชั่วอายุคน
    แม้เขาตั้งชื่อที่ดินตามชื่อของเขาเอง

12 มนุษย์จะอาศัยความมั่งคั่งเป็นหลักยึดไม่ได้
    เพราะเขาก็เป็นเหมือนสัตว์ป่าที่ไม่พ้นจากความตาย
13 นี่คือวิถีทางของพวกที่เชื่อถืออย่างโง่ๆ
    คือจุดจบของคนที่ระเริงใจกับความมั่งคั่งของตน เซล่าห์
14 พวกเขาเป็นดั่งแกะที่ถูกกำหนดให้ไปสู่แดนคนตาย
    คือความตายจะเป็นผู้ดูแลพวกเขา
    ผู้มีความชอบธรรมจะพิพากษาพวกเขาในยามรุ่งอรุณ
ร่างของเขาจะเปื่อยเน่าไป
    แดนคนตายจะเป็นบ้านของเขา
15 แต่พระเจ้าจะคว้าชีวิตข้าพเจ้าไปเสียจากอำนาจของแดนคนตาย
    พระองค์จะรับตัวข้าพเจ้าไป เซล่าห์
16 อย่ากลัวเวลาคนร่ำรวยขึ้น
    เวลาความมั่งมีที่บ้านของเขาเพิ่มพูน
17 เพราะเวลาเขาตายไป เขาจะหอบหิ้วอะไรไปไม่ได้เลย
    เพราะความมั่งคั่งของเขาจะไม่ตามเขาลงไปด้วย
18 แม้ในช่วงที่เขามีชีวิตอยู่ ก็นับว่าตนมีความสุข
    และได้รับการยกย่องเวลาได้รับความสำเร็จ
19 เขาจะไปอยู่ร่วมกับบรรพบุรุษของเขา
    คือไม่มีวันเห็นแสงสว่างอีกเลย
20 มนุษย์จะอาศัยเอาความมั่งคั่งเป็นหลักยึดไม่ได้
    เพราะเขาเป็นดั่งสัตว์ป่าที่ไม่พ้นจากความตาย

อิสยาห์ 2

ภูเขาของพระผู้เป็นเจ้า

อิสยาห์บุตรอามอสได้กล่าวถึงสิ่งที่เห็นเกี่ยวกับยูดาห์และเยรูซาเล็มว่า

เมื่อถึงช่วงเวลาแห่งวาระสุดท้าย
    ภูเขาของพระตำหนักของพระผู้เป็นเจ้า
จะได้รับการสถาปนาเป็นภูเขาสูงที่สุดในบรรดาเทือกเขาทั้งหลาย
    และจะถูกยกขึ้นอยู่เหนือเนินเขาทั้งปวง
และบรรดาประชาชาติจะพากันหลั่งไหลเข้าไป
    ชนชาติจำนวนมากจะมาและพูดว่า
“มาเถิด เราขึ้นไปยังภูเขาของพระผู้เป็นเจ้า
    ไปยังพระตำหนักของพระเจ้าของยาโคบกันเถิด
เพื่อให้พระองค์สอนวิถีทางของพระองค์ให้แก่พวกเรา
    และเพื่อพวกเราจะดำเนินในทางของพระองค์”
เพราะกฎบัญญัติจะออกมาจากศิโยน
    และคำกล่าวของพระผู้เป็นเจ้าจะมาจากเยรูซาเล็ม
พระองค์จะตัดสินความระหว่างบรรดาประชาชาติ
    และจะตัดสินการโต้แย้งให้กับชนชาติจำนวนมาก
และพวกเขาจะตีดาบให้เป็นใบมีดคันไถ
    และตีหอกให้เป็นขอเกี่ยวสำหรับลิดกิ่งไม้
ประชาชาติจะไม่ใช้ดาบต่อสู้กัน
    และพวกเขาจะไม่ศึกษาเรื่องการสู้รบอีกต่อไป

โอ พงศ์พันธุ์ยาโคบเอ๋ย
    มาเถิด เรามาเดิน
    ในความสว่างของพระผู้เป็นเจ้ากันเถิด

วันของพระผู้เป็นเจ้า

เพราะพระองค์ได้ทอดทิ้งชนชาติของพระองค์
    คือพงศ์พันธุ์ยาโคบ
เพราะพวกเขาใช้ชีวิตตามชาวตะวันออก
    และเชื่อการทำนายตามชาวฟีลิสเตีย
    และร่วมงานกับลูกหลานของชนชาติอื่น
แผ่นดินของพวกเขาอุดมด้วยเงินและทองคำ
    และเขามีทรัพย์สินใช้จ่ายอย่างไม่มีวันหมด
แผ่นดินบริบูรณ์ด้วยม้า
    และเขามีรถศึกใช้อย่างไม่มีวันหมด
แผ่นดินของพวกเขาเต็มไปด้วยรูปเคารพ
    พวกเขาก้มกราบสิ่งที่ทำขึ้นด้วยมือ
    ด้วยนิ้วมือของตนเอง
ฉะนั้น มนุษย์จึงถูกทำให้ถ่อมลง
    และแต่ละคนถูกทำให้ตกต่ำลง
    อย่าให้อภัยพวกเขา
10 จงคลานเข้าไปในหิน และหลบซ่อนในฝุ่น
    ให้พ้นจากเบื้องหน้าพระผู้เป็นเจ้าผู้น่าเกรงขาม
    และจากความยิ่งใหญ่อันงามตระการของพระองค์
11 สายตาที่หยิ่งยโสของมนุษย์จะถูกทำให้ลดลง
    และความภูมิใจอันสูงส่งของมนุษย์จะถูกทำให้ถ่อมลง
และพระผู้เป็นเจ้าพระองค์เดียวที่จะได้รับการยกย่องในวันนั้น

12 เพราะจะมีวันซึ่งพระผู้เป็นเจ้าจอมโยธา
    ไม่ยอมรับคนทั้งปวงที่ยโส เลิศลอย
    และได้รับการยกย่อง เขาเหล่านั้นจะถูกทำให้ตกต่ำลง
13 สำหรับไม้ซีดาร์แห่งเลบานอน
    เลิศลอยและถูกเชิดชู
    และต้นโอ๊กแห่งบาชาน
14 สำหรับภูเขาที่เลิศลอย
    เนินเขาที่ถูกยกสูงขึ้น
15 สำหรับหอคอยสูงทุกแห่ง
    และกำแพงที่คุ้มกันไว้อย่างแข็งแกร่งทุกแห่ง
16 สำหรับเรือเดินทะเลของเมืองทาร์ชิชทุกลำ
    และสำหรับงานฝีมือที่งดงามทั้งปวง
17 และความหยิ่งยโสของมนุษย์จะถูกทำให้ถ่อมลง
    และความภูมิใจอันสูงส่งของมนุษย์จะถูกทำให้ลดลง
และพระผู้เป็นเจ้าพระองค์เดียวที่จะได้รับการยกย่องในวันนั้น
18     และรูปเคารพทั้งหลายจะสูญสิ้นไป
19 และประชาชนจะคลานเข้าถ้ำหิน
    และโพรงดิน
ให้พ้นจากเบื้องหน้าพระผู้เป็นเจ้าผู้น่าเกรงขาม
    และจากความยิ่งใหญ่อันงามตระการของพระองค์
    เมื่อพระองค์ลุกขึ้น แผ่นดินโลกก็หวาดหวั่น

20 ในวันนั้น รูปเคารพที่มนุษย์หล่อขึ้นจากเงินและทองคำ
    เพื่อให้ตนเองกราบไหว้นั้น
    เขากลับโยนทิ้งให้หนูและค้างคาว
21 มนุษย์จะเข้าไปในถ้ำหิน
    และในซอกผา
ให้พ้นจากเบื้องหน้าพระผู้เป็นเจ้าผู้น่าเกรงขาม
    และจากความยิ่งใหญ่อันงามตระการของพระองค์
    เมื่อพระองค์ลุกขึ้น แผ่นดินโลกก็หวาดหวั่น
22 จงหยุดวางใจในมนุษย์
    ซึ่งมีเพียงลมหายใจในจมูก
    เขามีอะไรดีหรือ

ฮีบรู 10

พระคริสต์เป็นเครื่องสักการะครั้งเดียวเป็นพอ

10 กฎบัญญัติเป็นเพียงแค่เงาของบรรดาสิ่งประเสริฐที่จะมาในภายหลัง คือมิใช่ตัวจริง ด้วยเหตุนี้ กฎบัญญัติจึงไม่สามารถทำให้ผู้ที่เข้านมัสการอย่างใกล้ชิดเพียบพร้อมทุกประการได้ โดยการถวายเครื่องสักการะที่ซ้ำแล้วซ้ำอีกอย่างไม่หยุดหย่อนทุกปี เพราะถ้าเป็นเช่นนั้นได้แล้ว เขาน่าจะหยุดถวายเครื่องสักการะมิใช่หรือ หากผู้ถวายได้รับการชำระครั้งหนึ่งแล้ว ก็ไม่มีความรู้สึกว่าตนมีบาปอีกต่อไป แต่การถวายเครื่องสักการะก็เพื่อเตือนให้ระลึกถึงบาปทุกปี เพราะเป็นไปไม่ได้ที่เลือดโคตัวผู้กับแพะจะลบล้างบาปได้

ฉะนั้น เมื่อพระคริสต์เข้ามาในโลกพระองค์กล่าวว่า

“พระองค์ไม่ต้องการเครื่องสักการะและของถวาย
    แต่พระองค์เตรียมร่างกายให้แก่ข้าพเจ้า
พระองค์ไม่ยินดีกับสัตว์ที่เผาเป็นของถวาย
    และเครื่องสักการะเพื่อลบล้างบาป
แล้วข้าพเจ้ากล่าวว่า ‘ดูเถิด ข้าแต่พระเจ้า
    ข้าพเจ้าได้มาเพื่อกระทำตามความประสงค์ของพระองค์
    ตามที่มีบันทึกไว้เกี่ยวกับข้าพเจ้าในหนังสือม้วน’”[a]

หลังจากที่กล่าวว่า “พระองค์ไม่ต้องการเครื่องสักการะและของถวาย สัตว์ที่เผาเป็นของถวายและเครื่องสักการะเพื่อลบล้างบาป พระองค์ไม่ยินดีกับสิ่งเหล่านี้ด้วย” (แม้ว่ากฎบัญญัติสั่งให้ทำตาม) แล้วพระองค์ก็กล่าวอีกว่า “ดูเถิด ข้าพเจ้าได้มาเพื่อกระทำตามความประสงค์ของพระองค์” พระองค์ล้มล้างระบบเดิมเพื่อสร้างระบบใหม่ 10 ด้วยความประสงค์นี้ เราจึงได้รับการชำระให้บริสุทธิ์ได้ โดยร่างกายของพระเยซูคริสต์ที่ถวายเพียงครั้งเดียวเป็นพอ

11 ปุโรหิตทุกคนยืนปฏิบัติหน้าที่ของตน ถวายเครื่องสักการะซ้ำแล้วซ้ำอีกอยู่ทุกวัน ซึ่งไม่มีวันที่จะลบล้างบาปทั้งปวงได้ 12 แต่พระองค์ได้ถวายเครื่องสักการะครั้งเดียว เพื่อบาปทั้งปวงได้ตลอดกาล พระองค์นั่งอยู่ ณ เบื้องขวาของพระเจ้า 13 และตั้งแต่นั้นมา ก็ได้รอจนกระทั่งศัตรูของพระองค์ถูกนำมาอยู่ใต้เท้าดั่งที่วางเท้าของพระองค์ 14 เพราะพระองค์ได้ทำให้บรรดาผู้ที่ได้รับการชำระให้บริสุทธิ์เพียบพร้อมทุกประการตลอดกาลด้วยเครื่องสักการะเดียว

15 พระวิญญาณบริสุทธิ์ยืนยันกับเราด้วยว่า

16 “พระผู้เป็นเจ้ากล่าวว่า นี่คือพันธสัญญา
    ที่เราจะทำกับพวกเขา และหลังจากนั้น
เราจะให้กฎบัญญัติของเราประทับอยู่ในใจของเขา
    และจะจารึกไว้ในความคิดของเขา”[b]

17 พระองค์กล่าวอีกว่า

“เราจะไม่จดจำบาปและการกระทำ
    ที่ชั่วร้ายของเขาอีกต่อไป”[c]

18 บัดนี้ เมื่อมีการยกโทษสิ่งเหล่านี้แล้ว จึงไม่มีการถวายสิ่งใดๆ เพื่อชดใช้บาปอีกต่อไป

ต้องมีมานะอดทน

19 ฉะนั้น พี่น้องเอ๋ย ในเมื่อพวกเรามีความมั่นใจที่จะเข้าสู่อภิสุทธิสถานโดยโลหิตของพระเยซู 20 โดยทางใหม่ และทางอันมีชีวิตที่เปิดออกให้พวกเราผ่านเข้าไปทางม่าน คือทางร่างกายของพระองค์ 21 และในเมื่อเรามีปุโรหิตผู้ยิ่งใหญ่ที่ดูแลพระตำหนักของพระเจ้า 22 ขอให้เราเข้าใกล้พระเจ้าด้วยใจจริง และมีความมั่นใจในความเชื่อ ให้ใจของเรารับการประพรมให้สะอาดจากมโนธรรมที่ชั่วร้าย และกายของเรารับการล้างให้สะอาดด้วยน้ำอันบริสุทธิ์ 23 ขอให้เรายึดมั่นในความหวัง ที่เราอ้างว่าเราเชื่อโดยไม่ลังเลใจ เพราะองค์ผู้ให้สัญญาไว้จะรักษาคำมั่นสัญญา 24 และขอให้เราคิดดูว่าจะทำอย่างไร จึงจะได้สนับสนุนกันและกันให้มีความรักและทำความดี 25 ขออย่าขาดการประชุมร่วมกัน เหมือนบางคนที่มีนิสัยนั้น แต่จงให้กำลังใจกันและกันมากยิ่งขึ้น ในเมื่อท่านเห็นว่าวันนั้นใกล้เข้ามาแล้ว

26 ถ้าเราตั้งใจทำบาปเรื่อยไปหลังจากที่ได้รับทราบความจริงแล้ว เครื่องสักการะเพื่อลบล้างบาปก็จะไม่มีเหลืออยู่เลย 27 จะมีแต่ความหวาดกลัวเรื่องรอการพิพากษา และไฟอันร้อนยิ่งที่จะเผาผลาญศัตรูของพระเจ้า 28 ผู้ใดที่ไม่ได้เชื่อฟังหมวดกฎบัญญัติของโมเสส เมื่อมีพยานสองหรือสามปากให้คำยืนยัน เขาก็ตายไปโดยปราศจากความเมตตา 29 แล้วท่านคิดว่า คนที่เหยียบย่ำพระบุตรของพระเจ้า และเขานับว่าโลหิตแห่งพันธสัญญาซึ่งชำระให้เขาบริสุทธิ์ไม่ใช่โลหิตที่บริสุทธิ์ และได้ดูหมิ่นพระวิญญาณผู้มีพระคุณ เขาคนนั้นควรได้รับโทษจะได้รับหนักยิ่งกว่าเพียงไร 30 เรารู้จักพระองค์ผู้กล่าวว่า “การแก้แค้นเป็นของเรา เราจะสนองตอบ”[d] และได้กล่าวอีกว่า “พระผู้เป็นเจ้าจะตัดสินคนของพระองค์”[e] 31 การตกอยู่ในมือของพระเจ้าผู้ดำรงอยู่เป็นสิ่งน่าหวาดหวั่นยิ่งนัก

32 แต่จงนึกถึงสมัยก่อน เมื่อท่านเพิ่งสัมผัสกับความสว่างจากพระเจ้า ท่านทนสู้ต่อความยากลำบากมาก 33 บางครั้งท่านถูกเหยียดหยามต่อหน้าผู้คน และถูกกดขี่ข่มเหง บางครั้งท่านก็รับทุกข์ร่วมกับพวกเขาที่ถูกกระทำเช่นเดียวกัน 34 ท่านเห็นใจพวกที่อยู่ในคุก และเมื่อทรัพย์สิ่งของของท่านถูกยึดไป ท่านก็ยอมด้วยใจยินดีเพราะท่านทราบว่า พวกท่านเองมีทรัพย์สิ่งของที่ดีกว่าและทนทานกว่า 35 ดังนั้น อย่าทิ้งความมั่นใจของท่านไป ซึ่งจะได้รับรางวัลอันยิ่งใหญ่ 36 ท่านจำต้องมีความบากบั่น เพื่อว่าเวลาท่านทำตามความประสงค์ของพระเจ้าแล้ว ท่านจะได้รับสิ่งที่พระองค์ได้สัญญาไว้ 37 เพียงอีกไม่นานนัก

“พระองค์ผู้กำลังมา
    จะมาโดยไม่ล่าช้า
38 แต่คนที่มีความชอบธรรมของเรา
    จะมีชีวิตได้โดยความเชื่อ
และถ้าเขาถอยกลับ
    เราจะไม่พอใจในตัวเขา”[f]

39 แต่เราไม่ใช่พวกที่ถอยกลับไปสู่ความพินาศ แต่เป็นพวกที่มีความเชื่อเพื่อความรอดพ้นของจิตวิญญาณ

New Thai Version (NTV-BIBLE)

Copyright © 1998, 2012, 2020 by New Thai Version Foundation