Previous Prev Day Next DayNext

Bible in 90 Days

An intensive Bible reading plan that walks through the entire Bible in 90 days.
Duration: 88 days
Thai New Contemporary Bible (TNCV)
Version
กันดารวิถี 8:15-21:7

15 “หลังจากที่เจ้าได้ชำระคนเลวีให้บริสุทธิ์ และถวายตัวพวกเขาเป็นเครื่องบูชายื่นถวายแล้ว พวกเขาจะมาปฏิบัติงานที่เต็นท์นัดพบ 16 พวกเขาคือชนอิสราเอลที่ยกให้เป็นสิทธิ์ขาดของเรา เรารับพวกเขาเป็นตัวแทนบุตรชายหัวปีซึ่งเป็นบุตรชายคนแรกจากครรภ์ของหญิงอิสราเอลทุกคน 17 เพราะลูกหัวปีของอิสราเอลทั้งหมดไม่ว่าคนหรือสัตว์ต้องเป็นของเรา ในคืนที่เราประหารลูกหัวปีทั้งสิ้นของอียิปต์ เราได้แยกพวกเขาไว้เป็นของเราแล้ว 18 เรารับคนเลวีแทนบุตรชายหัวปีทั้งปวงของอิสราเอล 19 และเราแยกคนเลวีออกจากชนอิสราเอลทั้งหมดและยกให้อาโรนกับบรรดาบุตรชายของเขา คนเลวีจะปฏิบัติหน้าที่ที่เต็นท์นัดพบแทนปวงชนอิสราเอล และทำการลบบาปของพวกเขา เพื่อไม่ให้เกิดภัยพิบัติใดๆ แก่ชนอิสราเอลเมื่อเข้ามาใกล้สถานนมัสการ”

20 โมเสส อาโรน และชุมชนอิสราเอลทั้งหมดจึงถวายคนเลวีตามที่องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงบัญชาโมเสสไว้ 21 คนเลวีได้ชำระตนและซักเสื้อผ้า แล้วอาโรนถวายพวกเขาเป็นเครื่องบูชายื่นถวายแด่องค์พระผู้เป็นเจ้าและลบบาปให้พวกเขาเพื่อชำระให้บริสุทธิ์ 22 ตั้งแต่นั้นพวกเขามาปฏิบัติงานที่เต็นท์นัดพบภายใต้การดูแลของอาโรนกับบุตรชายของเขา พวกเขาปฏิบัติต่อคนเลวีตามที่องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงบัญชาโมเสส

23 องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสกับโมเสสว่า 24 “ให้ผู้ชายจากเผ่าเลวีที่มีอายุตั้งแต่ยี่สิบห้าปีขึ้นไปมาปฏิบัติงานที่เต็นท์นัดพบ 25 แต่เมื่ออายุครบห้าสิบปีก็ให้พ้นจากหน้าที่ ไม่ต้องทำงานประจำอีก 26 พวกเขาอาจจะช่วยงานพี่น้องที่เต็นท์นัดพบ แต่ไม่ต้องลงมือทำเอง เจ้าจงมอบหมายหน้าที่รับผิดชอบแก่คนเลวีตามนี้เถิด”

พิธีปัสกา

องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสกับโมเสสในถิ่นกันดารซีนายในเดือนที่หนึ่งของปีที่สองหลังจากพวกเขาออกจากอียิปต์ว่า “ให้ประชากรอิสราเอลฉลองเทศกาลปัสกาตามเวลาที่กำหนดไว้ ให้ฉลองพิธีนี้ตามเวลาที่กำหนดคือ เริ่มตั้งแต่พลบค่ำของวันที่สิบสี่เดือนที่หนึ่ง จงปฏิบัติตามระเบียบกฎเกณฑ์ของเราเกี่ยวกับพิธีนี้ทุกประการ”

ดังนั้นโมเสสจึงประกาศให้ชนอิสราเอลฉลองเทศกาลปัสกา พวกเขาก็ฉลองในถิ่นกันดารซีนายตั้งแต่พลบค่ำของวันที่สิบสี่ของเดือนที่หนึ่ง ชาวอิสราเอลก็ทำทุกอย่างตามที่องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงบัญชาโมเสสไว้

แต่มีบางคนไม่สามารถฉลองปัสกาในวันนั้นเพราะเป็นมลทินตามระเบียบพิธีในเรื่องศพ ดังนั้นพวกเขาจึงมาหาโมเสสกับอาโรนในวันเดียวกันนั้น และกล่าวกับโมเสสว่า “พวกข้าพเจ้าเป็นมลทินเนื่องจากศพ เหตุใดจึงถูกห้ามไม่ให้ถวายเครื่องบูชาแด่องค์พระผู้เป็นเจ้าร่วมกับพี่น้องอิสราเอลอื่นๆ ตามเวลาที่กำหนด?”

โมเสสตอบพวกเขาว่า “จงคอยอยู่ก่อน ดูว่าองค์พระผู้เป็นเจ้าจะตรัสสั่งว่าอย่างไรเกี่ยวกับพวกท่าน”

แล้วองค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสกับโมเสสว่า 10 “จงแจ้งชนอิสราเอลว่า ‘เมื่อใครในพวกท่านหรือวงศ์วานของท่านเป็นมลทินเพราะศพ หรืออยู่ระหว่างการเดินทางก็ยังฉลองปัสกาขององค์พระผู้เป็นเจ้าได้ 11 แต่ต้องเป็นเดือนถัดไป คือเริ่มจากตอนพลบค่ำของวันที่สิบสี่ของเดือนที่สอง พวกเขาต้องกินลูกแกะพร้อมกับขนมปังไม่ใส่เชื้อและผักขม 12 อย่าเหลือสิ่งใดค้างไว้จนถึงเช้าวันรุ่งขึ้น และอย่าหักกระดูกแกะแม้สักซี่ เมื่อพวกเขาฉลองปัสกานี้ พวกเขาต้องรักษากฎระเบียบของพิธีนี้ทุกประการ 13 แต่หากผู้ใดไม่ได้เป็นมลทินตามระเบียบพิธีและไม่ได้อยู่ระหว่างการเดินทาง แต่ไม่ฉลองเทศกาลปัสกา จะต้องถูกตัดออกจากหมู่ประชากรของเขา โทษฐานบิดพลิ้วไม่ถวายเครื่องบูชาแด่องค์พระผู้เป็นเจ้าตามเวลาที่กำหนด ผู้นั้นจะต้องรับผลจากบาปของตน

14 “ ‘คนต่างด้าวซึ่งอาศัยอยู่ในหมู่พวกเจ้าที่ต้องการร่วมฉลองปัสกาขององค์พระผู้เป็นเจ้าก็ให้ปฏิบัติตามกฎระเบียบเดียวกัน เป็นกฎเกณฑ์สำหรับทั้งคนต่างด้าวและคนอิสราเอลโดยกำเนิด’ ”

เมฆเหนือพลับพลา

15 วันที่พลับพลาซึ่งเป็นเต็นท์แห่งพันธสัญญาถูกตั้งขึ้น มีเมฆปกคลุมเหนือพลับพลาตั้งแต่เย็นจนถึงเช้า แลดูเหมือนไฟ 16 เมฆปกคลุมพลับพลาในเวลากลางวัน และเมฆแลดูเหมือนไฟในเวลากลางคืน จะเป็นเช่นนี้ตลอดไป 17 เมื่อใดก็ตามที่เมฆซึ่งอยู่เหนือเต็นท์นัดพบลอยขึ้น ประชากรอิสราเอลก็ออกเดินทาง ที่ใดก็ตามซึ่งเมฆมาหยุดอยู่ ชนอิสราเอลก็จะตั้งค่ายพักที่นั่น 18 ประชากรอิสราเอลออกเดินทางและตั้งค่ายพักตามพระดำรัสสั่งขององค์พระผู้เป็นเจ้าตราบใดที่เมฆยังคงอยู่เหนือพลับพลา เขาก็ตั้งค่ายพักแรมอยู่ 19 เมื่อเมฆอยู่เหนือพลับพลาเป็นเวลานาน ชนอิสราเอลก็ทำตามระเบียบที่องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงวางไว้ และไม่ได้ออกเดินทาง 20 บางครั้งเมฆก็อยู่เหนือพลับพลาเพียงไม่กี่วัน พวกเขาจะตั้งค่ายพักอยู่หรือออกเดินทางตามแต่องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงบัญชา 21 บางครั้งเมฆก็อยู่เพียงชั่วข้ามคืน เมื่อเมฆลอยขึ้นในเวลาเช้า พวกเขาก็ออกเดินทาง เมื่อใดก็ตามที่เมฆลอยขึ้นไม่ว่ากลางวันหรือกลางคืน พวกเขาก็ออกเดินทาง 22 ไม่ว่าเมฆอยู่เหนือพลับพลาสองวัน หรือหนึ่งเดือน หรือหนึ่งปี ชนอิสราเอลจะคงอยู่ในค่ายพักไม่ออกเดินทาง แต่เมื่อเมฆลอยขึ้น พวกเขาก็ออกเดินทาง 23 ดังนี้แหละพวกเขาตั้งค่ายหรือออกเดินทางตามแต่องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงบัญชา พวกเขาเชื่อฟังและทำตามระเบียบขององค์พระผู้เป็นเจ้าตามที่องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสสั่งไว้ผ่านทางโมเสส

แตรเงิน

10 องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสกับโมเสสว่า “จงทำแตรเงินคู่หนึ่งสำหรับเป่าเรียกชุมนุมและเป็นสัญญาณให้เคลื่อนย้ายค่าย เมื่อเป่าแตรทั้งสองด้วยเสียงยาว ประชากรทั้งหมดจะมาชุมนุมกันต่อหน้าเจ้าตรงทางเข้าเต็นท์นัดพบ หากเป่าคันเดียว ให้เฉพาะผู้นำตระกูลต่างๆ ของอิสราเอลมาชุมนุมกันต่อหน้าเจ้า เมื่อเป่าสัญญาณเสียงสั้นเพื่อจะออกเดินทาง ตระกูลที่ตั้งค่ายพักแรมด้านทิศตะวันออกของพลับพลาจะออกเดินทางก่อน เมื่อเป่าสัญญาณเสียงสั้นครั้งที่สอง ตระกูลต่างๆ ด้านทิศใต้จะออกเดินทาง เสียงแตรนี้เป็นสัญญาณออกเดินทาง เมื่อจะเรียกชุมนุมประชากรจงเป่าแตรทั้งสองด้วยเสียงยาว

“บรรดาปุโรหิตบุตรของอาโรนเป็นผู้เป่าแตร นี่ต้องเป็นข้อปฏิบัติถาวรสำหรับเจ้าสืบไปทุกชั่วอายุ เมื่อเจ้าสู้รบกับศัตรูที่มาข่มเหงเจ้าในดินแดนของเจ้า จงเป่าแตรทั้งสอง แล้วพระยาห์เวห์พระเจ้าของเจ้าจะทรงระลึกถึงเจ้า และช่วยเจ้าให้พ้นจากเหล่าศัตรู 10 จงเป่าแตรทั้งสองในเทศกาลรื่นเริงของเจ้าด้วย ในเทศกาลต่างๆ ตามเวลาที่กำหนดและวันต้นเดือน เพื่อฉลองเครื่องเผาบูชาและเครื่องสันติบูชา เป็นอนุสรณ์ให้นึกถึงเจ้าต่อหน้าพระเจ้าของเจ้า เราคือพระยาห์เวห์พระเจ้าของเจ้า”

อิสราเอลเคลื่อนย้ายค่ายจากภูเขาซีนาย

11 เมฆซึ่งอยู่เหนือพลับพลาแห่งพันธสัญญาลอยขึ้นในวันที่ยี่สิบเดือนที่สองของปีที่สอง 12 ชาวอิสราเอลจึงออกจากถิ่นกันดารซีนาย ติดตามเมฆจนเมฆนั้นมาหยุดอยู่ที่ถิ่นกันดารปาราน 13 พวกเขาออกเดินทางเป็นครั้งแรกตามที่องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงบัญชาผ่านทางโมเสส

14 หมู่เหล่าของค่ายยูดาห์ออกเดินทางก่อนภายใต้ธงประจำกองของพวกเขา โดยมีนาห์โชนบุตรอัมมีนาดับเป็นผู้นำ 15 ถัดจากนั้นคือเผ่าอิสสาคาร์ นำโดยเนธันเอลบุตรศุอาร์ 16 ถัดไปคือเผ่าเศบูลุน นำโดยเอลีอับบุตรเฮโลน 17 เมื่อรื้อพลับพลาลงแล้ว คนเกอร์โชนและคนเมรารีก็นำส่วนประกอบของพลับพลาขึ้นเกวียน แล้วติดตามเป็นกลุ่มต่อไป

18 จากนั้นคือหมู่เหล่าของค่ายรูเบน เคลื่อนขบวนออกไปภายใต้ธงประจำกองของพวกเขา โดยมีเอลีซูร์บุตรเชเดเออร์เป็นผู้นำ 19 ถัดไปคือเผ่าสิเมโอนนำโดยเชลูมิเอลบุตรศูริชัดดัย 20 แล้วถึงเผ่ากาดนำโดยเอลียาสาฟบุตรเดอูเอล 21 จากนั้นคือคนโคฮาทซึ่งแบกของบริสุทธิ์ประจำพลับพลาพลับพลาจะถูกตั้งขึ้นเรียบร้อยแล้วก่อนที่พวกเขาจะไปถึง

22 ถัดไปคือหมู่เหล่าของค่ายเอฟราอิมเคลื่อนขบวนออกไปภายใต้ธงประจำกองของพวกเขา โดยมีเอลีชามาบุตรอัมมีฮูดเป็นผู้นำ 23 แล้วถึงเผ่ามนัสเสห์นำโดยกามาลิเอลบุตรเปดาซูร์ 24 และเผ่าเบนยามินนำโดยอาบีดันบุตรกิเดโอนี

25 ท้ายขบวนคือกลุ่มระวังหลัง หมู่เหล่าของค่ายดานเคลื่อนขบวนออกไปภายใต้ธงประจำกองของพวกเขา โดยมีอาหิเยเซอร์บุตรอัมมีชัดดัยเป็นผู้นำ 26 เผ่าอาเชอร์นำโดยปากีเอลบุตรโอคราน 27 และเผ่านัฟทาลีนำโดยอาหิราบุตรเอนัน 28 ลำดับขบวนการเดินทางของชาวอิสราเอลเป็นไปตามนี้

29 ครั้งนั้นโมเสสพูดกับโฮบับบุตรเรอูเอลชาวมีเดียนพ่อตาของโมเสสว่า “เราทั้งหลายจะออกเดินทางไปยังดินแดนที่องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสไว้ว่า ‘เราจะให้เจ้า’ เชิญมาร่วมเดินทางกับเราเถิด เราจะปฏิบัติต่อท่านอย่างดี เพราะองค์พระผู้เป็นเจ้าได้ทรงสัญญาจะประทานสิ่งดีแก่อิสราเอล”

30 เขาตอบว่า “ข้าพเจ้าจะไม่ไป ข้าพเจ้าจะกลับภูมิลำเนาไปหาพวกพ้องของข้าพเจ้า”

31 แต่โมเสสกล่าวว่า “อย่าจากเราไปเลย ท่านชำนาญลู่ทางในการตั้งค่ายพักแรมกลางถิ่นกันดาร ท่านจะได้ช่วยเป็นหูเป็นตาให้พวกเรา 32 ถ้าท่านไปกับเรา เราจะแบ่งปันสิ่งดีทุกอย่างที่องค์พระผู้เป็นเจ้าประทานแก่เราให้กับท่าน”

33 ดังนั้นพวกเขาจึงออกเดินทางจากภูเขาแห่งองค์พระผู้เป็นเจ้าและเดินทางเป็นเวลาสามวัน ในระหว่างนั้นมีหีบพันธสัญญาขององค์พระผู้เป็นเจ้านำหน้าเพื่อหาสถานที่ตั้งค่ายพักสำหรับพวกเขา 34 เมื่อพวกเขาออกเดินทางจากค่าย เมฆขององค์พระผู้เป็นเจ้าอยู่เหนือพวกเขาในเวลากลางวัน

35 ทุกครั้งที่หีบพันธสัญญานำหน้าไป โมเสสกล่าวว่า

“ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้าขอทรงลุกขึ้น!
ให้ศัตรูทั้งหลายของพระองค์กระจัดกระจายไป
ให้บรรดาข้าศึกเตลิดหนีไปต่อหน้าพระองค์”

36 และเมื่อวางหีบพันธสัญญาลง เขากล่าวว่า

“ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้าขอทรงเสด็จกลับมา
สู่ประชากรอิสราเอลนับแสนนับล้านนี้เถิด”

ไฟจากองค์พระผู้เป็นเจ้า

11 ครั้งนั้นเหล่าประชากรบ่นถึงความทุกข์ยากลำบากของพวกเขา องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงสดับ แล้วก็ทรงพระพิโรธ จึงมีไฟจากองค์พระผู้เป็นเจ้าลงมาเผาผลาญคนเหล่านั้นที่รอบนอกของค่าย พวกเขาร้องขอให้โมเสสช่วย เมื่อเขาอธิษฐานต่อองค์พระผู้เป็นเจ้าไฟก็ดับ ที่แห่งนั้นจึงได้ชื่อว่าทาเบราห์[a] เพราะมีไฟจากองค์พระผู้เป็นเจ้าลงมาเผาผลาญพวกเขา

นกคุ่มจากองค์พระผู้เป็นเจ้า

ฝูงชนที่มากับพวกเขาเริ่มร้องหาอาหารอย่างอื่น และชาวอิสราเอลเริ่มคร่ำครวญอีกว่า “อยากกินเนื้อเหลือเกิน! นึกถึงปลาที่เราเคยกินกันในอียิปต์โดยไม่ต้องซื้อ อีกทั้งแตงกวา แตงโม กระเทียมจีน หอมใหญ่ และกระเทียม แต่ขณะนี้เราเบื่ออาหาร เพราะเราไม่เคยเห็นอาหารอย่างอื่นนอกจากมานา!”

มานามีลักษณะเหมือนเมล็ดผักชี ดูคล้ายๆ ยางไม้ตะคร้ำ ประชากรเที่ยวเก็บมาตำหรือโม่เป็นแป้ง แล้วต้มและทำเป็นขนม มีรสชาติเหมือนขนมบางอย่างที่ทำจากน้ำมันมะกอก มานานั้นร่วงลงมาพร้อมกับหยาดน้ำค้างในเวลากลางคืน

10 โมเสสได้ยินเสียงคร่ำครวญของผู้คนจากทุกครอบครัว แต่ละคนยืนอยู่หน้าทางเข้าเต็นท์ของเขา องค์พระผู้เป็นเจ้ากริ้วยิ่งนัก โมเสสเองก็ลำบากใจอย่างยิ่ง 11 เขากราบทูลองค์พระผู้เป็นเจ้าว่า “ทำไมจึงทรงให้ผู้รับใช้ของพระองค์เดือดร้อนเช่นนี้? ข้าพระองค์ทำสิ่งใดไม่เป็นที่พอพระทัยหรือ จึงทรงให้ข้าพระองค์แบกภาระทั้งหมดของชนชาตินี้? 12 ข้าพระองค์ตั้งครรภ์คนเหล่านี้หรือ? ข้าพระองค์ให้กำเนิดเขาหรือ? จึงทรงให้ข้าพระองค์ประคบประหงมพวกเขาราวกับพี่เลี้ยงอุ้มทารกไว้ในอ้อมแขน กว่าจะไปถึงดินแดนที่พระองค์ทรงสัญญาไว้กับบรรพบุรุษของพวกเขา 13 ข้าพระองค์จะไปหาเนื้อจากที่ไหนมาให้คนทั้งหมดนี้? พวกเขาคร่ำครวญกับข้าพระองค์ว่า ‘ให้พวกเราได้กินเนื้อเถิด!’ 14 ข้าพระองค์ตัวคนเดียวหอบหิ้วประชากรทั้งหมดนี้ไปไม่ไหว เป็นภาระหนักเกินทน 15 หากพระองค์จะทรงทำกับข้าพระองค์อย่างนี้ ก็โปรดเมตตาประหารข้าพระองค์เดี๋ยวนี้เถิด ถ้าข้าพระองค์เป็นที่โปรดปรานในสายพระเนตรของพระองค์ อย่าให้ข้าพระองค์ต้องเผชิญกับความหายนะเลย”

16 องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสกับโมเสสว่า “จงนำผู้อาวุโสเจ็ดสิบคนของอิสราเอลซึ่งเจ้ารู้จักในฐานะผู้นำและเจ้าหน้าที่ในหมู่ประชากรนั้นมาพบเรา ให้พวกเขามายืนอยู่กับเจ้าที่เต็นท์นัดพบ 17 เราจะลงมาพูดกับเจ้าที่นั่น และจะเอาพระวิญญาณที่อยู่เหนือเจ้ามอบให้อยู่เหนือคนเหล่านั้นด้วย พวกเขาจะช่วยแบกภาระเรื่องประชากรร่วมกับเจ้า เจ้าจะได้ไม่ต้องรับงานนี้แต่ลำพัง

18 “จงบอกเหล่าประชากรว่า ‘จงชำระตัวให้บริสุทธิ์ เตรียมพร้อมสำหรับพรุ่งนี้ซึ่งพวกเจ้าจะมีเนื้อกิน องค์พระผู้เป็นเจ้าได้ยินที่พวกเจ้าโอดครวญแล้วว่า “เราอยากกินเนื้อเหลือเกิน! อยู่ที่อียิปต์ยังดีเสียกว่า!” บัดนี้องค์พระผู้เป็นเจ้าจะให้เจ้ากินเนื้อ 19 ไม่ใช่เพียงวันสองวัน ห้าวัน สิบวันหรือยี่สิบวัน 20 แต่พวกเจ้าจะมีเนื้อกินหนึ่งเดือนเต็ม จนล้นออกมาทางจมูกจนเจ้าเอือม เพราะพวกเจ้าปฏิเสธ องค์พระผู้เป็นเจ้าผู้อยู่ท่ามกลางพวกเจ้า และคร่ำครวญต่อพระองค์ว่า “ทำไมพวกเราต้องจากอียิปต์มา?” ’ ”

21 แต่โมเสสกราบทูลว่า “ข้าพระองค์มีพลเดินเท้าถึงหกแสนคนยืนอยู่ที่นี่ แล้วพระองค์ยังตรัสว่า ‘เราจะให้เนื้อพวกเขากินตลอดหนึ่งเดือนเต็ม!’ 22 ต่อให้เอาฝูงแพะ แกะ และวัวทั้งหมดมาฆ่ากินจะพอหรือ? หากจะจับปลาหมดทะเลมาให้พวกเขากินจะเพียงพอหรือ?”

23 องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงตอบโมเสสว่า “มีอะไรที่เกินความสามารถขององค์พระผู้เป็นเจ้าหรือ? คราวนี้เจ้าจะได้เห็นว่าที่เราพูดนั้นจะเป็นจริงหรือไม่”

24 ดังนั้นโมเสสจึงออกมาแจ้งพระดำรัสขององค์พระผู้เป็นเจ้าให้ประชากรทั้งหลายทราบ และเรียกประชุมผู้อาวุโสเจ็ดสิบคนมายืนเรียงรายรอบพลับพลา 25 แล้วองค์พระผู้เป็นเจ้าเสด็จลงมาในเมฆตรัสกับโมเสส และทรงนำพระวิญญาณที่อยู่เหนือโมเสสประทานให้อยู่เหนือผู้อาวุโสทั้งเจ็ดสิบคน เมื่อพระวิญญาณประทับอยู่เหนือพวกเขา เขาก็เผยพระวจนะอยู่ชั่วขณะหนึ่ง หลังจากนั้นพวกเขาก็ไม่เผยพระวจนะอีก[b]

26 แต่มีผู้อาวุโสสองคนในกลุ่มเจ็ดสิบคนคือ เอลดาดและเมดาดยังอยู่ในค่ายพัก ไม่ได้ออกไปที่พลับพลา พระวิญญาณก็เสด็จมาเหนือพวกเขาด้วย และพวกเขาก็เผยพระวจนะอยู่ในค่าย 27 ชายหนุ่มคนหนึ่งวิ่งมาแจ้งเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นให้โมเสสทราบว่า “เอลดาดและเมดาดกำลังเผยพระวจนะอยู่ในค่าย”

28 โยชูวาบุตรนูนซึ่งคอยรับใช้โมเสสมาตั้งแต่หนุ่มๆ ท้วงว่า “โมเสส เจ้านายของข้าพเจ้า โปรดห้ามเขาเถิด!”

29 แต่โมเสสตอบว่า “ท่านเดือดร้อนแทนเราหรือ? เราอยากให้ประชากรทุกคนขององค์พระผู้เป็นเจ้าเป็นผู้เผยพระวจนะและให้องค์พระผู้เป็นเจ้าประทานพระวิญญาณเหนือพวกเขา!” 30 แล้วโมเสสและบรรดาผู้อาวุโสของอิสราเอลก็กลับไปยังค่ายพัก

31 ทันใดนั้นมีกระแสลมจากองค์พระผู้เป็นเจ้าพัดพานกคุ่มจากทะเลมาตกอยู่รอบ ค่ายทุกทิศ สูงพ้นพื้นดิน 2 ศอก[c] เป็นรัศมีเท่ากับระยะทางที่เดินได้ในหนึ่งวัน 32 ประชากรพากันออกไปจับนกมาฆ่ากินทั้งวันทั้งคืนและตลอดวันรุ่งขึ้น แต่ละคนจับนกคุ่มได้อย่างน้อยคนละประมาณ 2.2 กิโลลิตร[d] พวกเขาเอาเนื้อนกคุ่มตากไว้รอบค่าย 33 แต่ขณะที่เนื้อยังคาปาก ยังไม่ได้กลืนลงไป พระพิโรธขององค์พระผู้เป็นเจ้าก็พลุ่งขึ้นต่อประชากร พระองค์ทรงประหารพวกเขาด้วยโรคระบาดอย่างรุนแรง 34 สถานที่แห่งนั้นจึงได้ชื่อว่า ขิบโรทหัทธาอาวาห์ แปลว่า สุสานแห่งความตะกละ เพราะที่นั่นพวกเขาได้ฝังคนที่ตะกละกินอาหารอื่น

35 พวกเขาเดินทางต่อจากขิบโรทหัทธาอาวาห์มาถึงฮาเซโรท และพักอยู่ที่นั่น

มิเรียมและอาโรนต่อต้านโมเสส

12 มิเรียมกับอาโรนได้กล่าวโจมตีโมเสส เพราะโมเสสได้แต่งงานและมีภรรยาเป็นชาวคูช ทั้งสองพูดว่า “องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสผ่านโมเสสเท่านั้นหรือ? พระองค์ไม่ได้ตรัสผ่านเราด้วยหรือ?” องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงได้ยินสิ่งนี้

(โมเสสนั้นเป็นคนถ่อมใจมาก ถ่อมใจยิ่งกว่าใครๆ ในโลก)

ทันใดนั้นองค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสกับโมเสส อาโรน และมิเรียมว่า “เจ้าทั้งสามจงออกมาที่เต็นท์นัดพบ” ดังนั้นพวกเขาจึงออกมา องค์พระผู้เป็นเจ้าเสด็จลงมาในเสาเมฆ ทรงประทับยืนอยู่ตรงทางเข้าพลับพลา พระองค์ทรงเรียกอาโรนกับมิเรียม เมื่อทั้งสองก้าวมาข้างหน้า พระองค์ตรัสว่า “จงฟังถ้อยคำของเรา

“เมื่อผู้เผยพระวจนะขององค์พระผู้เป็นเจ้าอยู่ในหมู่พวกเจ้า
เราสำแดงตัวเองแก่เขาในนิมิต
เราพูดกับเขาในความฝัน
แต่กับโมเสสผู้รับใช้ของเราไม่เป็นเช่นนั้น
เขาซื่อสัตย์กว่าใครๆ ในนิเวศของเรา
เราพูดกับเขาซึ่งๆ หน้า
อย่างชัดเจนและไม่เป็นปริศนา
เขาได้เห็นองค์พระผู้เป็นเจ้า
ทำไมเจ้าจึงไม่กลัว
ที่จะพูดโจมตีโมเสสผู้รับใช้ของเรา?”

พระพิโรธขององค์พระผู้เป็นเจ้าพลุ่งขึ้นต่ออาโรนและมิเรียม แล้วพระองค์ก็เสด็จไป 10 เมื่อเมฆที่อยู่เหนือพลับพลาลอยขึ้น มิเรียมก็เป็นโรคเรื้อน[e] เป็นด่างขาวดั่งหิมะ อาโรนหันไปเห็นมิเรียมเป็นโรคเรื้อน 11 จึงกล่าวกับโมเสสว่า “เจ้านายของข้าพเจ้า ได้โปรดอย่าถือโทษบาปที่เราทำไปโดยความโง่เขลานี้ 12 ขออย่าให้มิเรียมเป็นเหมือนทารกที่แท้งตั้งแต่อยู่ในครรภ์และออกมาด้วยร่างกายที่ถูกกัดกินไปครึ่งหนึ่ง”

13 โมเสสจึงร้องทูลองค์พระผู้เป็นเจ้าว่า “ข้าแต่พระเจ้า โปรดรักษานางด้วยเถิด!”

14 องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสตอบโมเสสว่า “หากบิดาของนางถ่มน้ำลายใส่หน้านาง นางจะเป็นมลทินไปเจ็ดวันไม่ใช่หรือ? ฉะนั้นจงกักนางไว้นอกค่ายเจ็ดวัน แล้วจึงให้กลับเข้ามาได้” 15 มิเรียมจึงถูกกักไว้นอกค่ายตลอดเจ็ดวัน และประชากรไม่ได้ออกเดินทางจนนางกลับเข้ามาอีก

16 หลังจากนั้นพวกเขาออกเดินทางจากฮาเซโรท มาตั้งค่ายพักแรมในถิ่นกันดารปาราน

สำรวจคานาอัน

13 องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสกับโมเสสว่า “จงส่งหัวหน้าจากแต่ละเผ่าเข้าไปสำรวจดินแดนคานาอันที่เราจะยกให้ชนอิสราเอล”

ดังนั้นโมเสสจึงส่งพวกเขาออกไปจากถิ่นกันดารปารานตามพระดำรัสสั่งขององค์พระผู้เป็นเจ้าพวกเขาทั้งหมดเป็นผู้นำของชนอิสราเอล มีรายชื่อดังต่อไปนี้

ชัมมูอาบุตรศักเกอร์จากเผ่ารูเบน

ชาฟัทบุตรโฮรีจากเผ่าสิเมโอน

คาเลบบุตรเยฟุนเนห์จากเผ่ายูดาห์

อิกาลบุตรโยเซฟจากเผ่าอิสสาคาร์

โฮเชยาบุตรนูนจากเผ่าเอฟราอิม

ปัลทีบุตรราฟูจากเผ่าเบนยามิน

10 กัดดีเอลบุตรโสดีจากเผ่าเศบูลุน

11 กัดดีบุตรสุสีจากเผ่ามนัสเสห์

12 อัมมีเอลบุตรเกมัลลีจากเผ่าดาน

13 เสธูร์บุตรมีคาเอลจากเผ่าอาเชอร์

14 นาห์บีบุตรโวฟสีจากเผ่านัฟทาลี

15 เกอูเอลบุตรมาคีจากเผ่ากาด

16 โมเสสส่งคนเหล่านี้ไปสำรวจดินแดน (โมเสสตั้งชื่อให้โฮเชยาบุตรนูนว่า โยชูวา)

17 เมื่อโมเสสส่งพวกเขาไปสำรวจคานาอัน เขากล่าวว่า “จงขึ้นเหนือผ่านเนเกบไปยังดินแดนเทือกเขา 18 ดูว่าดินแดนนั้นเป็นอย่างไร ผู้คนซึ่งอาศัยอยู่ที่นั่นเข้มแข็งหรืออ่อนแอ มีมากหรือน้อย 19 ดินแดนที่อยู่อาศัยเป็นอย่างไร? ดีหรือไม่ดี? บ้านเมืองเป็นเช่นใด? มีกำแพงเมืองหรือมีป้อมปราการหรือไม่? 20 เนื้อดินเป็นอย่างไร? ดินดีหรือไม่? มีต้นไม้มากหรือไม่? จงหาทางเก็บพืชผลของดินแดนนั้นกลับมาให้ดูด้วย” (เวลานั้นเป็นฤดูผลองุ่นสุกรุ่นแรก)

21 เขาเหล่านั้นจึงไปสำรวจดินแดนแถบนั้น ตั้งแต่ถิ่นกันดารศินเรื่อยไปจนถึงเรโหบ ทางที่จะไปยังเลโบฮามัท[f] 22 เขาขึ้นไปถึงเนเกบ ถึงเมืองเฮโบรน (ก่อตั้งขึ้นก่อนเมืองโศอันในอียิปต์เจ็ดปี) เป็นที่ซึ่งอาหิมาน เชชัย และทัลมัย เชื้อสายของอานาคอาศัยอยู่ 23 เมื่อมาถึงหุบเขาเอชโคล์[g] พวกเขาตัดองุ่นพวงมหึมาพวงหนึ่ง ต้องใช้คนถึงสองคนเอาคานสอดหามมา พร้อมด้วยผลทับทิมและผลมะเดื่อ 24 ที่แห่งนั้นได้ชื่อว่าหุบเขาเอชโคล์เพราะพวงองุ่นที่คนอิสราเอลตัดมาจากที่นั่น 25 หลังจากนั้นสี่สิบวัน พวกเขาก็กลับมาจากการสำรวจ

รายงานการสำรวจ

26 พวกเขากลับมาและรายงานโมเสส อาโรนและชุมนุมประชากรอิสราเอลทั้งปวงที่คาเดชในถิ่นกันดารปาราน และนำผลไม้ที่เก็บมาให้ดูด้วย 27 พวกเขารายงานโมเสสว่า “พวกข้าพเจ้าไปถึงดินแดนที่ท่านใช้ให้ไปดู เป็นดินแดนที่อุดมด้วยน้ำนมและน้ำผึ้ง! ดูผลไม้เหล่านี้สิ 28 แต่ผู้คนซึ่งอาศัยอยู่ที่นั่นมีกำลังเข้มแข็งมาก เมืองของเขาก็แสนใหญ่โต มีป้อมกำแพงแน่นหนา มิหนำซ้ำพวกข้าพเจ้ายังเห็นวงศ์วานของอานาคอยู่ที่นั่นด้วย 29 ชาวอามาเลขอาศัยอยู่ในเนเกบ ส่วนชาวฮิตไทต์ ชาวเยบุส และชาวอาโมไรต์อยู่บริเวณเทือกเขาและชาวคานาอันอาศัยอยู่ตามชายฝั่งทะเลและลุ่มแม่น้ำจอร์แดน”

30 แต่คาเลบบอกให้ประชากรเงียบต่อหน้าโมเสสและพูดว่า “เราควรจะขึ้นไปยึดดินแดนนี้เป็นกรรมสิทธิ์ เราสามารถเอาชนะได้แน่”

31 แต่คนอื่นๆ คัดค้านว่า “เราสู้พวกเขาไม่ได้หรอก พวกเขาแข็งแกร่งกว่าเรามากนัก” 32 แล้วพวกเขากระจายข่าวในแง่ร้ายในหมู่ชนอิสราเอลเกี่ยวกับดินแดนที่ได้สำรวจมาว่า “ดินแดนที่เราไปสำรวจนั้นกลืนผู้ที่อาศัยอยู่ในนั้น ผู้คนที่เราพบเห็นล้วนแล้วแต่มีรูปร่างสูงใหญ่ 33 เราเห็นคนเนฟิลที่นั่นด้วย (วงศ์วานของอานาคมาจากคนเนฟิล) ในสายตาของเรา เราเป็นเหมือนตั๊กแตนและพวกเขาก็เห็นเช่นนั้นด้วย”

ประชาชนกบฏ

14 ในคืนนั้นประชาชนทั้งปวงส่งเสียงร้องไห้กันดังระงม ชุมนุมประชากรทั้งหมดบ่นกับโมเสสและอาโรนว่า “เราน่าจะตายตั้งแต่ยังอยู่ที่อียิปต์! หรือไม่ก็ตายในถิ่นกันดารนี้! ทำไมองค์พระผู้เป็นเจ้าจึงพาเรามายังดินแดนนี้ เพียงเพื่อให้ตายด้วยคมดาบ? ลูกเมียของเราจะต้องตกเป็นเชลย เราออกจากที่นี่กลับไปอียิปต์ไม่ดีกว่าหรือ?” แล้วเขาพูดต่อๆ กันว่า “พวกเราควรจะเลือกผู้นำสักคนและกลับไปอียิปต์กัน”

โมเสสและอาโรนจึงหมอบกราบซบหน้าลงกับพื้นต่อหน้าชุมชนอิสราเอลทั้งปวงที่นั่น โยชูวาบุตรนูนและคาเลบบุตรเยฟุนเนห์ซึ่งออกไปสำรวจดินแดนด้วยจึงฉีกเสื้อผ้าของตน และกล่าวแก่ชุมนุมประชากรอิสราเอลทั้งปวงว่า “ดินแดนที่เราเข้าไปสำรวจนั้นดีเยี่ยมจริงๆ หากองค์พระผู้เป็นเจ้าโปรดปรานพวกเรา พระองค์จะทรงนำเราเข้าไปในดินแดนที่อุดมด้วยน้ำนมและน้ำผึ้ง และจะยกดินแดนนั้นให้แก่เรา ขอเพียงแต่เราอย่ากบฏต่อองค์พระผู้เป็นเจ้าเลย ไม่ต้องกลัวผู้คนในดินแดนนั้น เพราะเราจะกลืนกินพวกเขา สิ่งที่พิทักษ์รักษาเขาก็สูญสิ้นไปแล้ว แต่องค์พระผู้เป็นเจ้าสถิตกับเรา อย่ากลัวพวกเขาเลย”

10 แต่ชุมนุมประชากรทั้งปวงคบคิดกันจะเอาก้อนหินขว้างเขาทั้งสอง ขณะนั้นพระเกียรติสิริขององค์พระผู้เป็นเจ้ามาปรากฏที่เต็นท์นัดพบต่อหน้าชนอิสราเอลทั้งปวง 11 องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสกับโมเสสว่า “ประชากรเหล่านี้จะสบประมาทเราไปนานเท่าใด? พวกเขาจะไม่ยอมเชื่อถือเราอีกนานเท่าใด? ทั้งๆ ที่เราได้ทำการอัศจรรย์นานัปการในหมู่พวกเขา 12 เราจะใช้ภัยพิบัติมาทำลายพวกนั้น แต่เราจะทำให้เจ้าเป็นชนชาติที่ยิ่งใหญ่และแข็งแกร่งกว่าพวกเขา”

13 โมเสสกราบทูลองค์พระผู้เป็นเจ้าว่า “ชาวอียิปต์จะได้ยินเรื่องนี้! เรื่องที่พระองค์ทรงนำประชากรเหล่านี้ออกมาจากหมู่พวกเขาโดยฤทธิ์อำนาจของพระองค์ 14 และเขาจะเล่าเรื่องนี้ให้ผู้คนแถบนี้ฟัง ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้าพวกเขาได้ยินแล้วว่าพระองค์สถิตอยู่กับประชากรเหล่านี้ ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้าพวกเขาได้เห็นพระพักตร์ของพระองค์ และทราบว่าเมฆของพระองค์อยู่เหนือพวกเขา พระองค์ทรงนำหน้าพวกเขาไปด้วยเสาเมฆในเวลากลางวันและเสาเพลิงในเวลากลางคืน 15 หากพระองค์ทรงประหารประชากรทั้งหมดในคราวเดียวกัน ประชาชาติทั้งหลายที่ได้ยินเรื่องนี้จะพูดกันว่า 16 องค์พระผู้เป็นเจ้าไม่สามารถนำคนเหล่านี้ไปยังดินแดนที่ทรงสัญญา โดยคำปฏิญาณว่าจะมอบให้ จึงทรงประหารเขาในถิ่นกันดาร’

17 “บัดนี้ขอองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงสำแดงอานุภาพดังที่ได้ทรงประกาศไว้ว่า 18 องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงกริ้วช้า บริบูรณ์ด้วยความรักมั่นคง ทรงอภัยบาปและการกบฏ แต่พระองค์จะไม่ทรงละเว้นโทษผู้ที่ทำผิด พระองค์จะทรงลงโทษลูกหลานของเขาเพราะบาปของบรรพบุรุษถึงสามสี่ชั่วอายุคน’ 19 โดยเห็นแก่ความรักอันยิ่งใหญ่ของพระองค์ ขอทรงอภัยโทษบาปของประชากรเหล่านี้ดังที่ได้ทรงอภัยให้เสมอมาตั้งแต่ข้าพระองค์ทั้งหลายออกจากอียิปต์มาจวบจนบัดนี้”

20 องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสตอบว่า “เราได้อภัยโทษให้พวกเขาตามที่เจ้าขอร้องแล้ว 21 แต่เรามีชีวิตอยู่แน่ฉันใด ทั่วพิภพโลกจะเต็มไปด้วยเกียรติสิริขององค์พระผู้เป็นเจ้าฉันนั้น 22 ทุกคนที่ได้เห็นเกียรติสิริของเราและเห็นหมายสำคัญที่เราได้ทำทั้งในอียิปต์และในถิ่นกันดารแล้วยังไม่ยอมเชื่อฟังเรา แต่ลองดีกับเรานับสิบครั้ง 23 ในบรรดาคนเหล่านี้จะไม่มีสักคนเดียวที่จะได้เห็นดินแดนที่เราสัญญาโดยปฏิญาณว่าจะยกให้บรรพบุรุษของเขา จะไม่มีใครที่ดูหมิ่นเรา แล้วจะได้เห็นดินแดนนี้ 24 ส่วนคาเลบผู้รับใช้ของเรามีจิตใจแตกต่างออกไป และติดตามเราอย่างสุดใจ เราจะพาเขาเข้าไปยังดินแดนที่เขาได้สำรวจมา และวงศ์วานของเขาจะได้ครอบครองดินแดนนั้น 25 เนื่องจากชาวอามาเลข และชาวคานาอันอาศัยอยู่ในหุบเขา พรุ่งนี้เจ้าจะต้องออกเดินทางกลับไปยังถิ่นกันดาร ตามทางถึงทะเลแดง”

26 องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสกับโมเสสและอาโรนว่า 27 “ชุมชนที่ชั่วร้ายเหล่านี้จะบ่นว่าเราอีกนานเท่าใด? เราได้ยินคำพร่ำบ่นของคนอิสราเอลเหล่านี้แล้ว 28 ดังนั้นจงบอกพวกเขาว่า ‘องค์พระผู้เป็นเจ้าประกาศดังนี้ว่า เรามีชีวิตอยู่แน่ฉันใด เราจะทำกับเจ้าอย่างที่เจ้าได้พูดไว้ฉันนั้น 29 คือพวกเจ้าจะล้มตายในถิ่นกันดารนี้ คือพวกเจ้าทุกคนที่มีอายุยี่สิบปีขึ้นไปตามที่ได้ขึ้นทะเบียนไว้ และได้บ่นว่าเรา 30 จะไม่มีสักคนได้เข้าดินแดนที่เราสัญญาว่าจะยกให้เป็นที่อยู่อาศัยของเจ้า ยกเว้นคาเลบบุตรเยฟุนเนห์กับโยชูวาบุตรนูน 31 ส่วนลูกหลานที่เจ้าทั้งหลายพูดว่าจะตกเป็นเชลยนั้น เราจะพาเข้าไปชื่นชมดินแดนที่พวกเจ้ามองข้าม 32 ส่วนพวกเจ้าจะล้มตายในถิ่นกันดารนี้ 33 ลูกหลานของเจ้าจะเลี้ยงแกะอยู่ที่นี่เป็นเวลาสี่สิบปี รับความทุกข์ยากเพราะเหตุที่พวกเจ้าไม่ซื่อสัตย์ต่อเรา จวบจนคนสุดท้ายในพวกเจ้าล้มตายลงในถิ่นกันดาร 34 เจ้าจะรับโทษบาปของตนและรู้ว่าการที่เจ้าทำให้เราต่อสู้กับเจ้านั้นเป็นเช่นไรเป็นเวลาสี่สิบปี หนึ่งปีแทนหนึ่งวันของสี่สิบวันแห่งการสำรวจดินแดน’ 35 เราผู้เป็นพระยาห์เวห์ได้ลั่นวาจาแล้ว และเราจะทำแก่ชุมชนชั่วร้ายทั้งหมด ซึ่งรวมหัวกันต่อต้านเราตามนี้อย่างแน่นอน พวกเขาจะพบจุดจบในถิ่นกันดารนี้ จะตายที่นี่”

36 ดังนั้นบรรดาผู้ที่โมเสสใช้ไปสำรวจดินแดนและกลับมารายงานในแง่ร้ายเกี่ยวกับดินแดนนั้น ซึ่งทำให้เหล่าประชากรบ่นว่าโมเสส 37 คนเหล่านั้นซึ่งกระจายข่าวในแง่ร้ายเกี่ยวกับดินแดนนั้นก็ล้มตายลงด้วยโรคภัยต่อหน้าองค์พระผู้เป็นเจ้า 38 ในบรรดาคนที่ไปสำรวจ มีเพียงโยชูวาบุตรนูนกับคาเลบบุตรเยฟุนเนห์เท่านั้นที่รอดชีวิตอยู่

39 เมื่อโมเสสแจ้งเรื่องนี้แก่ปวงชนอิสราเอล พวกเขาพากันร่ำไห้ด้วยความเศร้าเสียใจแสนสาหัส 40 เช้าตรู่วันรุ่งขึ้นพวกเขามุ่งหน้าขึ้นไปยังแถบเทือกเขาสูง และกล่าวว่า “เราทำบาปไปแล้ว เราจะขึ้นไปยังดินแดนที่องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงสัญญาไว้”

41 แต่โมเสสกล่าวว่า “ทำไมพวกท่านจึงฝ่าฝืนพระบัญชาขององค์พระผู้เป็นเจ้า? งานนี้จะไม่สำเร็จ! 42 อย่าขึ้นไปเลยเพราะองค์พระผู้เป็นเจ้าไม่ได้สถิตกับท่าน ท่านจะพ่ายแพ้ศัตรู 43 เพราะชาวอามาเลขกับชาวคานาอันจะประจันหน้ากับพวกท่านที่นั่น เพราะพวกท่านได้หันหนีจากองค์พระผู้เป็นเจ้าพระองค์จะไม่สถิตกับท่าน ท่านจะล้มตายด้วยคมดาบ”

44 อย่างไรก็ตามพวกเขาดันทุรังบุกขึ้นไปยังดินแดนเทือกเขา ทั้งๆ ที่โมเสสหรือหีบพันธสัญญาขององค์พระผู้เป็นเจ้าไม่ได้เคลื่อนไปจากค่ายพัก 45 แล้วชาวอามาเลขกับชาวคานาอันซึ่งอาศัยอยู่ในแถบเทือกเขานั้น ก็ยกกำลังมาโจมตีพวกเขาและไล่ต้อนพวกเขาไปถึงโฮรมาห์

เครื่องบูชาเพิ่มเติม

15 องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสกับโมเสสว่า “จงแจ้งประชากรอิสราเอลว่า ‘เมื่อเจ้าเข้าสู่ดินแดนซึ่งเรายกให้เป็นที่อาศัยนั้น และเจ้านำเครื่องบูชาจากฝูงแพะแกะหรือฝูงวัวมาเป็นเครื่องบูชาด้วยไฟ เป็นกลิ่นหอมที่องค์พระผู้เป็นเจ้าพอพระทัย ไม่ว่าเครื่องเผาบูชาหรือของถวายต่างๆ ตามที่ปฏิญาณพิเศษจะถวายหรือถวายตามความสมัครใจ หรือของถวายประจำเทศกาล ให้ผู้ถวายนำเครื่องธัญบูชามาด้วยคือ แป้งละเอียดประมาณ 2 ลิตร[h]เคล้ากับน้ำมันประมาณ 1 ลิตร[i] จงเตรียมเหล้าองุ่นประมาณ 1 ลิตรเป็นเครื่องดื่มบูชาควบคู่กับลูกแกะที่ถวายหรือเผาบูชาหนึ่งตัว

“ ‘หากถวายแกะผู้ จงใช้ธัญบูชาคือแป้งละเอียดประมาณ 4.5 ลิตร[j]เคล้ากับน้ำมันประมาณ 1.2 ลิตร[k] พร้อมด้วยเหล้าองุ่นประมาณ 1.2 ลิตรเป็นเครื่องดื่มบูชา จงถวายเป็นกลิ่นหอมที่องค์พระผู้เป็นเจ้าพอพระทัย

“ ‘เมื่อเจ้าเตรียมวัวหนุ่มเป็นเครื่องเผาบูชาหรือของถวายตามที่ปฏิญาณไว้เป็นพิเศษหรือเป็นเครื่องสันติบูชาแด่องค์พระผู้เป็นเจ้า จงนำธัญบูชาควบคู่กับวัวนั้นมาด้วย คือแป้งละเอียดประมาณ 6.5 ลิตร[l]เคล้าน้ำมันประมาณ 2 ลิตร[m] 10 พร้อมทั้งเหล้าองุ่นประมาณ 2 ลิตรเป็นเครื่องดื่มบูชา จะเป็นเครื่องบูชาด้วยไฟ เป็นกลิ่นหอมที่องค์พระผู้เป็นเจ้าพอพระทัย 11 จงจัดเตรียมวัวหนุ่ม แกะผู้ ลูกแกะ หรือลูกแพะแต่ละตัวในลักษณะนี้ 12 จงทำอย่างนี้สำหรับเครื่องบูชาแต่ละอย่างตามจำนวนที่เจ้าได้เตรียมไว้

13 “ ‘คนอิสราเอลโดยกำเนิดทุกคนต้องปฏิบัติตามนี้ เมื่อนำเครื่องบูชามาเพื่อเผาถวายเป็นกลิ่นหอมที่องค์พระผู้เป็นเจ้าพอพระทัย 14 เมื่อใดก็ตามที่คนต่างด้าวหรือใครอื่นที่มาอาศัยในหมู่พวกเจ้า นำเครื่องบูชาด้วยไฟมาถวายเป็นกลิ่นหอมที่องค์พระผู้เป็นเจ้าพอพระทัย เขาจะต้องปฏิบัติเช่นเดียวกับพวกเจ้าทุกประการสืบไปทุกชั่วอายุ 15 ชุมชนนี้จะต้องมีกฎเกณฑ์เดียวกันทั้งสำหรับเจ้าและสำหรับคนต่างด้าวซึ่งอาศัยอยู่ในหมู่พวกเจ้า นี่เป็นข้อปฏิบัติถาวรสืบไปทุกชั่วอายุ เจ้าและคนต่างด้าวเป็นเหมือนกันต่อหน้าองค์พระผู้เป็นเจ้า 16 ทั้งเจ้าและคนต่างด้าวซึ่งอาศัยอยู่ในหมู่พวกเจ้าจะต้องปฏิบัติตามบทบัญญัติและระเบียบเดียวกัน’ ”

17 องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสกับโมเสสว่า 18 “จงแจ้งประชากรอิสราเอลว่า ‘เมื่อเจ้าเข้าไปดินแดนที่เรากำลังนำเจ้าไป 19 และเจ้ารับประทานอาหารจากดินแดนนั้น จงถวายส่วนหนึ่งเป็นเครื่องบูชาแด่องค์พระผู้เป็นเจ้า 20 จงนำขนมชิ้นหนึ่งซึ่งทำจากธัญญาหารรุ่นแรกของเจ้ามาถวายเป็นของถวายจากลานนวดข้าว 21 จงถวายเครื่องบูชาจากธัญญาหารรุ่นแรกสุดของเจ้านี้แด่องค์พระผู้เป็นเจ้าตลอดทุกชั่วอายุสืบไป

เครื่องบูชาสำหรับบาปโดยไม่เจตนา

22 “ ‘หากเจ้าทั้งหลายพลาดพลั้งโดยไม่เจตนา ไม่ได้ปฏิบัติตามพระบัญชาเหล่านี้ซึ่งองค์พระผู้เป็นเจ้าประทานผ่านทางโมเสส 23 หากลูกหลานของเจ้าในรุ่นต่อๆ ไปไม่ได้ปฏิบัติตามพระบัญชาใดๆ เหล่านี้ 24 และหากเป็นความผิดโดยไม่เจตนาและชุมชนไม่รู้ตัว ชุมชนทั้งหมดจะต้องถวายวัวหนุ่มหนึ่งตัวเป็นเครื่องเผาบูชา เป็นกลิ่นหอมที่องค์พระผู้เป็นเจ้าพอพระทัย พร้อมด้วยเครื่องธัญบูชาและเครื่องดื่มบูชาควบคู่ตามที่ระบุไว้ และถวายแพะผู้หนึ่งตัวเป็นเครื่องบูชาไถ่บาป 25 ปุโรหิตจะทำการลบบาปสำหรับชุมชนอิสราเอลทั้งหมด และพวกเขาจะได้รับการอภัยโทษเพราะทำผิดไปโดยไม่เจตนา และเขาได้นำเครื่องบูชาด้วยไฟและเครื่องบูชาไถ่บาปถวายแด่องค์พระผู้เป็นเจ้าเพื่อไถ่ความผิดของเขาแล้ว 26 ชุมชนอิสราเอลทั้งหมดตลอดจนคนต่างด้าวซึ่งอาศัยอยู่ท่ามกลางพวกเขาจะได้รับการอภัยโทษ เพราะประชากรทั้งหมดมีส่วนในความผิดโดยไม่เจตนานั้น

27 “ ‘แต่หากคนเพียงคนเดียวทำบาปโดยไม่เจตนา เขาต้องถวายแพะตัวเมียอายุหนึ่งขวบเป็นเครื่องบูชาไถ่บาป 28 ปุโรหิตจะลบบาปให้ผู้นั้นต่อหน้าองค์พระผู้เป็นเจ้าและเขาจะได้รับการอภัย 29 บทบัญญัติเดียวกันนี้ใช้กับทุกคนที่ทำบาปโดยไม่เจตนา ไม่ว่าเขาจะเป็นคนอิสราเอลโดยกำเนิดหรือคนต่างด้าว

30 “ ‘แต่หากผู้ใดจงใจทำบาป ไม่ว่าจะเป็นคนอิสราเอลโดยกำเนิดหรือคนต่างด้าว เป็นการหมิ่นประมาทองค์พระผู้เป็นเจ้าผู้นั้นจะต้องถูกตัดออกจากหมู่ประชากรของเขา 31 เพราะเขาได้ลบหลู่พระดำรัสขององค์พระผู้เป็นเจ้าของเขาและฝ่าฝืนพระบัญชา ผู้นั้นจะต้องถูกตัดออก ความผิดนั้นยังคงอยู่กับเขาต่อไป’ ”

ผู้ที่ละเมิดกฎวันสะบาโตต้องโทษถึงตาย

32 ขณะที่ชนอิสราเอลอยู่ในถิ่นกันดาร ชายคนหนึ่งถูกจับได้ในขณะเก็บฟืนในวันสะบาโต 33 คนที่พบเขากำลังเก็บฟืนจึงได้นำตัวเขามาพบโมเสส อาโรน และชุมนุมประชากรทั้งหมด 34 เขาถูกคุมตัวไว้เพราะยังไม่รู้ชัดเจนว่าควรจัดการกับเขาอย่างไร 35 แล้วองค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสกับโมเสสว่า “ชายคนนั้นมีโทษถึงตาย ชุมนุมประชากรทั้งปวงต้องเอาหินขว้างเขานอกค่ายพัก” 36 เขาทั้งปวงจึงพาคนนั้นออกไปนอกค่าย และเอาหินขว้างจนตายตามที่องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงบัญชาโมเสส

พู่ห้อยชายเสื้อ

37 องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสกับโมเสสว่า 38 “จงแจ้งประชากรอิสราเอลว่า ‘ตลอดทุกชั่วอายุ เจ้าจะต้องทำพู่ และร้อยพู่แต่ละอันด้วยด้ายสีน้ำเงินห้อยที่มุมชายเสื้อ 39 พู่เหล่านั้นจะเตือนให้เจ้าระลึกถึงพระบัญชาทั้งสิ้นขององค์พระผู้เป็นเจ้าเพื่อเจ้าจะได้เชื่อฟัง และไม่ทำตัวแพศยาโดยทำตามตัณหาของใจและตาของเจ้า 40 แล้วเจ้าจะจำได้ว่าต้องทำตามคำบัญชาทั้งหมดของเรา และจะได้เป็นคนบริสุทธิ์ต่อพระเจ้าของเจ้า 41 เราคือพระยาห์เวห์พระเจ้าของเจ้า ผู้นำเจ้าออกมาจากอียิปต์เพื่อเป็นพระเจ้าของเจ้า เราคือพระยาห์เวห์พระเจ้าของเจ้า’ ”

โคราห์ ดาธาน และอาบีรัม

16 โคราห์บุตรอิสฮาร์ ผู้เป็นบุตรของโคฮาท ผู้เป็นบุตรของเลวี และชายเผ่ารูเบนคือดาธานกับอาบีรัมบุตรเอลีอับ และโอนบุตรเปเลท มีใจเหิมเกริม[n] และลุกฮือขึ้นต่อต้านโมเสส มีผู้นำที่มีชื่อเสียง 250 คนซึ่งเคยได้รับการแต่งตั้งให้เป็นสมาชิกสภามาเข้าพวกด้วย พวกเขารวมตัวกันต่อต้านโมเสสกับอาโรน และกล่าวกับเขาทั้งสองว่า “ท่านทำเกินไปแล้ว! ชุมชนทั้งหมดล้วนบริสุทธิ์และองค์พระผู้เป็นเจ้าสถิตอยู่กับพวกเขา ทำไมท่านจึงตั้งตัวอยู่เหนือชุมนุมประชากรขององค์พระผู้เป็นเจ้า?”

เมื่อโมเสสได้ยินเช่นนี้ก็หมอบกราบซบหน้าลง แล้วเขากล่าวกับโคราห์และพรรคพวกว่า “พรุ่งนี้เช้าองค์พระผู้เป็นเจ้าจะทรงแสดงให้เห็นว่าใครเป็นคนของพระองค์ ใครเป็นผู้บริสุทธิ์ และพระองค์จะทรงให้ผู้นั้นเข้ามาใกล้พระองค์ ผู้ที่พระองค์ทรงเลือก พระองค์จะทรงให้เข้าใกล้ชิดพระองค์ โคราห์และพรรคพวกของท่านทุกคนจงทำอย่างนี้ พรุ่งนี้จงเอากระถางไฟมาจุด แล้วใส่เครื่องหอมต่อหน้าองค์พระผู้เป็นเจ้าผู้ที่องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงเลือกจะเป็นผู้บริสุทธิ์ ลูกหลานเลวีเอ๋ยท่านทำเกินไปแล้ว!”

โมเสสกล่าวกับโคราห์ด้วยว่า “ฟังเถิด คนเลวีเอ๋ย! ยังไม่พอหรือที่พระเจ้าแห่งอิสราเอลทรงเลือกท่านจากชุมนุมประชากรอิสราเอลให้เข้ามาใกล้พระองค์ มาปฏิบัติหน้าที่ในพลับพลาขององค์พระผู้เป็นเจ้าและได้ยืนอยู่ต่อหน้าชุมชนอิสราเอลเพื่อปรนนิบัติพวกเขา 10 พระเจ้าได้ทรงนำท่านกับพี่น้องทุกคนในเผ่าเลวีมาใกล้พระองค์ แต่นี่ท่านจะเรียกร้องเอาตำแหน่งปุโรหิตด้วย 11 ที่ท่านกับพวกรวมตัวกันมาอย่างนี้ เป็นการต่อต้านองค์พระผู้เป็นเจ้าอาโรนเป็นใครเล่าที่ท่านจะมาบ่นว่าเขา?”

12 แล้วโมเสสจึงเรียกดาธานและอาบีรัมบุตรเอลีอับมาพบ แต่คนทั้งสองพูดว่า “เราจะไม่ไป! 13 ที่ท่านพาเราออกมาจากดินแดนอันอุดมด้วยน้ำนมและน้ำผึ้ง เพื่อมาฆ่าในถิ่นกันดารนี้ยังไม่พอหรือ? และบัดนี้ยังอยากเป็นเจ้าเป็นนายเหนือพวกเราอีกหรือ? 14 มิหนำซ้ำท่านก็ไม่ได้พาเราเข้าสู่ดินแดนอันอุดมด้วยน้ำนมน้ำผึ้ง หรือยกไร่นา สวนองุ่นให้เป็นกรรมสิทธิ์ของเราเลย คิดจะตบตา[o]คนพวกนี้หรือ? เราจะไม่ไป!”

15 โมเสสโกรธมากและกราบทูลองค์พระผู้เป็นเจ้าว่า “ขออย่าทรงรับเครื่องบูชาของพวกเขาเลย ข้าพระองค์ไม่เคยแม้แต่ริบลาของพวกเขามาสักตัวหนึ่งและไม่เคยทำผิดต่อพวกเขาเลย”

16 โมเสสกล่าวกับโคราห์ว่า “พรุ่งนี้ท่านกับพรรคพวกจงมาเข้าเฝ้าองค์พระผู้เป็นเจ้าอาโรนก็จะมาด้วย 17 แต่ละคนจงเอากระถางไฟใส่เครื่องหอมมาคนละหนึ่งกระถาง รวมทั้งหมด 250 กระถาง มาต่อหน้าองค์พระผู้เป็นเจ้าท่านและอาโรนก็จะเอากระถางไฟมาถวายด้วย” 18 แต่ละคนจึงนำกระถางไฟของตนมาจุดไฟใส่เครื่องหอมยืนอยู่กับโมเสสและอาโรนที่ทางเข้าเต็นท์นัดพบ 19 เมื่อโคราห์รวบรวมสมัครพรรคพวกประจันหน้ากับโมเสสและอาโรนที่ทางเข้าเต็นท์นัดพบ พระเกียรติสิริขององค์พระผู้เป็นเจ้ามาปรากฏต่อหน้าชุมนุมประชากรทั้งหมด 20 องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสกับโมเสสและอาโรนว่า 21 “จงแยกตัวเจ้าออกจากชุมนุมประชากรนี้ เพื่อเราจะได้ล้างผลาญพวกเขาให้หมดสิ้นในชั่วพริบตา”

22 แต่โมเสสกับอาโรนหมอบซบลงกับพื้น และร้องทูลว่า “ข้าแต่พระเจ้า พระเจ้าแห่งจิตวิญญาณของมวลมนุษยชาติ พระองค์จะทรงพระพิโรธชุมนุมประชากรทั้งหมดเมื่อคนเพียงคนเดียวทำบาปหรือ?”

23 แล้วองค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสกับโมเสสว่า 24 “จงบอกชุมนุมประชากรว่า ‘จงถอยห่างจากเต็นท์ของโคราห์ ดาธาน และอาบีรัม’ ”

25 โมเสสจึงลุกขึ้นไปหาดาธานกับอาบีรัม มีพวกผู้อาวุโสของอิสราเอลติดตามไปด้วย 26 โมเสสเตือนชุมนุมประชากรว่า “จงถอยห่างจากเต็นท์ของคนชั่วร้ายพวกนี้! อย่าแตะต้องสิ่งของใดๆ ของเขา มิฉะนั้นท่านจะพลอยถูกกวาดล้างไปด้วยเพราะบาปทั้งสิ้นของพวกเขา” 27 คนทั้งหลายจึงถอยห่างจากเต็นท์ของโคราห์ ดาธาน และอาบีรัม ดาธานกับอาบีรัมออกมายืนอยู่ที่ประตูเต็นท์พร้อมกับบุตร ภรรยา และเด็กๆ

28 โมเสสกล่าวว่า “โดยวิธีนี้ท่านทั้งหลายจะได้รู้กันว่า องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงใช้ให้ข้าพเจ้าทำสิ่งต่างๆ ทั้งหมดนี้ และข้าพเจ้าไม่ได้ทำไปตามความคิดของข้าพเจ้าเอง 29 หากคนเหล่านี้ตายไปอย่างปกติวิสัยอันเกิดแก่มนุษย์ ก็แสดงว่าองค์พระผู้เป็นเจ้าไม่ได้ทรงใช้ข้าพเจ้ามา 30 แต่หากองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงกระทำการอัศจรรย์ และพื้นธรณีแยกออกกลืนคนเหล่านี้ พร้อมทั้งข้าวของทุกอย่างของเขาและพวกเขาลงไปสู่แดนมรณาทั้งเป็น ท่านทั้งหลายก็จะได้รู้ว่าคนเหล่านี้ได้ลบหลู่องค์พระผู้เป็นเจ้า”

31 ทันทีที่โมเสสพูดจบ พื้นธรณีก็แยกออกตรงบริเวณที่โคราห์กับพวกยืนอยู่ 32 สูบเอาพวกเขา ทั้งคนในครัวเรือนและคนของเขาทุกคน ตลอดจนทรัพย์สมบัติทุกอย่างของเขาลงไป 33 คนเหล่านี้ลงไปสู่แดนมรณาทั้งเป็น พร้อมกับทุกสิ่งที่เขาครอบครอง แล้วพื้นแผ่นดินก็กลบฝังพวกเขาจนพินาศหายไปจากชุมชน 34 ประชากรอิสราเอลพากันหนีกระเจิดกระเจิงเพราะเสียงร้องของคนเหล่านั้น พลางร้องว่า “ธรณีกำลังจะสูบพวกเราไปด้วยแล้ว!”

35 และมีไฟจากองค์พระผู้เป็นเจ้าเผาผลาญคน 250 คนที่กำลังเผาเครื่องหอมถวาย

36 องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสกับโมเสสว่า 37 “จงสั่งปุโรหิตเอเลอาซาร์บุตรอาโรนให้เอากระถางไฟออกจากกองไฟที่ยังคุกรุ่นอยู่ และเกลี่ยถ่านทิ้งให้ห่างออกไปเพราะกระถางไฟนั้นบริสุทธิ์ 38 ให้นำกระถางไฟของคนเหล่านั้นซึ่งถูกประหารชีวิตเพราะทำบาปมาตีเป็นแผ่นโลหะปิดที่แท่นบูชา ด้วยว่ากระถางไฟเหล่านี้บริสุทธิ์ เพราะได้ถวายต่อหน้าองค์พระผู้เป็นเจ้าแล้ว แผ่นโลหะปิดแท่นบูชานี้จะเป็นสิ่งเตือนใจประชากรอิสราเอล”

39 ปุโรหิตเอเลอาซาร์จึงเอาทองสัมฤทธิ์ที่ได้จากกระถางไฟของคนที่ถูกเผามาตีเป็นแผ่นโลหะปิดแท่นบูชา 40 ตามที่องค์พระผู้เป็นเจ้าได้ตรัสสั่งเขาผ่านทางโมเสส เพื่อเป็นสิ่งเตือนใจประชากรอิสราเอล ไม่ให้ผู้ที่ไม่มีสิทธิ์คือ ผู้ที่ไม่ใช่วงศ์วานของอาโรนมาเผาเครื่องหอมต่อหน้าองค์พระผู้เป็นเจ้ามิฉะนั้นจะเกิดเภทภัยกับเขาเหมือนที่เกิดกับโคราห์กับพรรคพวก

41 เช้าวันรุ่งขึ้นชุมชนอิสราเอลทั้งปวงพากันบ่นว่าโมเสสกับอาโรนว่า “ท่านได้ฆ่าคนขององค์พระผู้เป็นเจ้า”

42 แต่เมื่อชุมนุมประชากรรวมตัวกันต่อต้านโมเสสกับอาโรน และเหลียวมองไปที่เต็นท์นัดพบ ทันใดนั้นเมฆมาคลุมพลับพลาและพระเกียรติสิริขององค์พระผู้เป็นเจ้าปรากฏขึ้น 43 แล้วโมเสสกับอาโรนไปยืนตรงหน้าเต็นท์นัดพบ 44 และองค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสกับโมเสสว่า 45 “จงไปจากชุมนุมประชากรนี้ เพื่อเราจะได้ล้างผลาญพวกเขาเสียทันที” โมเสสกับอาโรนหมอบกราบซบหน้าลงกับพื้น

46 โมเสสพูดกับอาโรนว่า “รีบเอากระถางไฟใส่ไฟจากแท่นบูชา โปรยเครื่องหอมใส่ แล้วรีบยกไปยังเหล่าประชากร ลบบาปให้พวกเขา เพราะองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงพระพิโรธให้เกิดโรคระบาดขึ้นแล้ว” 47 อาโรนก็ทำตามที่โมเสสบอกและวิ่งเข้าไปในหมู่ประชากร เพราะภัยพิบัติเริ่มขึ้นแล้ว แต่อาโรนถวายเครื่องหอมและลบบาปสำหรับพวกเขา 48 เขายืนอยู่ระหว่างคนเป็นกับคนตาย แล้วภัยพิบัติก็สงบลง 49 แต่มีคนถึง 14,700 คนตายไปแล้วเพราะภัยพิบัติ ทั้งนี้ไม่นับคนที่ได้ตายไปพร้อมกับโคราห์ 50 แล้วอาโรนจึงกลับมาหาโมเสสที่ทางเข้าเต็นท์นัดพบเพราะภัยพิบัติสงบลงแล้ว

ไม้เท้าของอาโรนแตกหน่อ

17 องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสกับโมเสสว่า “จงสั่งชนอิสราเอล และให้หัวหน้าเผ่าทั้งสิบสองเผ่าเอาไม้เท้าสลักชื่อของตนมาให้เจ้า ไม้เท้าประจำเผ่าเลวีจะสลักชื่ออาโรน เพราะต้องมีไม้เท้าหนึ่งอันสำหรับหัวหน้าเผ่าแต่ละคน จงวางไม้เท้าเหล่านี้หน้าหีบพันธสัญญาในเต็นท์นัดพบที่ซึ่งเรามาพบเจ้า ไม้เท้าของผู้ที่เราเลือกสรรจะแตกหน่อ เราจะได้ไม่ต้องทนฟังเสียงชนอิสราเอลพร่ำบ่นเจ้าตลอดเวลาอีก”

ดังนั้นโมเสสจึงแจ้งชนอิสราเอล แล้วหัวหน้าเผ่าต่างๆ รวมทั้งอาโรนก็นำไม้เท้ามามอบให้โมเสส รวมทั้งหมดสิบสองอัน โมเสสวางไม้เท้าเหล่านี้ต่อหน้าองค์พระผู้เป็นเจ้าในเต็นท์แห่งพันธสัญญา

วันรุ่งขึ้นเมื่อโมเสสเข้าไปในเต็นท์แห่งพันธสัญญา ก็พบว่าไม้เท้าของอาโรนตัวแทนเผ่าเลวีไม่เพียงแตกหน่อเท่านั้น แต่ยังผลิดอกออกผลอัลมอนด์ด้วย โมเสสจึงนำไม้เท้าจากเบื้องหน้าองค์พระผู้เป็นเจ้ามายังปวงชนอิสราเอล พวกเขาพากันมองดู และแต่ละคนรับไม้เท้าของตนคืนไป

10 องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสสั่งโมเสสว่า “จงนำไม้เท้าของอาโรนกลับไปวางหน้าหีบพันธสัญญา ให้เก็บรักษาไว้เป็นสิ่งเตือนใจพวกที่ชอบกบฏ ให้เลิกบ่นว่าเราเพื่อพวกเขาจะไม่ต้องตาย” 11 โมเสสก็ปฏิบัติตามที่องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงบัญชาทุกประการ

12 ชนอิสราเอลกล่าวกับโมเสสว่า “เราตายแน่! เราพินาศแน่! เราย่อยยับกันหมดแน่! 13 ใครเฉียดใกล้พลับพลาขององค์พระผู้เป็นเจ้าก็จะตาย เราจะต้องตายกันหมดหรืออย่างไร?”

หน้าที่ของปุโรหิตและคนเลวี

18 องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสกับอาโรนว่า “เจ้าและลูกหลานกับวงศ์ตระกูลของบิดาเจ้าจะต้องรับผิดชอบเมื่อมีการล่วงละเมิดต่อสถานนมัสการ และเจ้ากับลูกหลานของเจ้าเท่านั้นที่ต้องรับผิดชอบเมื่อมีการละเมิดต่อการเป็นปุโรหิต จงนำชนเลวีพี่น้องร่วมเผ่าของเจ้ามาร่วมทำงานและมาช่วยงานเจ้า เมื่อเจ้ากับลูกๆ มาปฏิบัติงานหน้าเต็นท์แห่งพันธสัญญา พวกเขาขึ้นตรงต่อเจ้า และปฏิบัติงานทั้งปวงที่เต็นท์ แต่อย่าให้พวกเขาเข้ามาใกล้ภาชนะเครื่องใช้ของสถานนมัสการหรือแท่นบูชา มิฉะนั้นทั้งพวกเขาและเจ้าจะต้องตาย ให้พวกเขาสมทบกับเจ้าและรับผิดชอบดูแลงานทั้งปวงในเต็นท์นัดพบ และอย่าให้ใครอื่นมาใกล้บริเวณที่เจ้าอยู่

“เจ้าจงรับผิดชอบดูแลสถานนมัสการและแท่นบูชา เพื่อพระพิโรธจะไม่ตกแก่ชนอิสราเอลอีก เราเองได้เลือกสรรพี่น้องชนเลวีของเจ้าจากหมู่ชนอิสราเอล และยกให้เจ้าเพื่อถวายแด่องค์พระผู้เป็นเจ้าให้ปฏิบัติงานที่เต็นท์นัดพบ แต่เจ้ากับลูกๆ เท่านั้นจะทำหน้าที่ปุโรหิต รวมทั้งงานเกี่ยวกับแท่นบูชาและทุกสิ่งที่อยู่หลังม่าน เรายกงานด้านปุโรหิตให้เจ้าเป็นของประทาน คนอื่นที่มาใกล้สถานนมัสการจะต้องมีโทษถึงตาย”

ส่วนของปุโรหิตและคนเลวี

องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสกับอาโรนว่า “เราเองได้ตั้งเจ้า ให้ดูแลเครื่องบูชาทั้งปวงที่ถวายแก่เรา เครื่องบูชาบริสุทธิ์ทั้งหมดซึ่งชนอิสราเอลนำมาถวายเรา เรายกให้เจ้ากับลูกๆ เป็นส่วนที่เจ้าได้รับเป็นประจำ เจ้าจะได้รับเครื่องบูชาบริสุทธิ์ที่สุดในส่วนที่ไม่ได้เผาถวาย เรายกส่วนที่ไม่ได้เผาถวายของเครื่องบูชาบริสุทธิ์ที่สุดซึ่งพวกเขานำมาถวายแก่เรานั้นให้เจ้าและลูกๆ ไม่ว่าจากธัญบูชา เครื่องบูชาไถ่บาป หรือเครื่องบูชาลบความผิด 10 จงรับประทานโดยถือเป็นของบริสุทธิ์ที่สุด และผู้ชายทุกคนจะรับประทานของถวายนี้ เจ้าต้องถือว่าสิ่งนี้บริสุทธิ์

11 “สิ่งต่างๆ ที่ชนอิสราเอลนำมาเป็นเครื่องบูชายื่นถวายก็เป็นของเจ้าด้วย เรายกให้เจ้า บุตรชาย และบุตรสาวของเจ้า เป็นส่วนที่เจ้าได้รับเป็นประจำ ทุกคนในครัวเรือนของเจ้าที่ไม่เป็นมลทินตามระเบียบพิธีสามารถรับประทานได้

12 “เรายกส่วนที่ดีที่สุดของน้ำมันมะกอก เหล้าองุ่น เมล็ดข้าวทั้งหมดซึ่งเป็นผลแรกที่พวกเขาถวายแด่องค์พระผู้เป็นเจ้าให้เจ้า 13 ผลแรกทั้งหมดจากแผ่นดินที่พวกเขานำมาถวายแด่องค์พระผู้เป็นเจ้าเรายกให้เจ้า ทุกคนในครัวเรือนของเจ้าที่ไม่เป็นมลทินตามระเบียบพิธีสามารถรับประทานได้

14 “ของถวาย[p]ทุกอย่างในอิสราเอลเป็นของเจ้า 15 ลูกหัวปีทั้งหมดที่เกิดมา ไม่ว่ามนุษย์หรือสัตว์ซึ่งถวายแด่องค์พระผู้เป็นเจ้าเป็นของเจ้า แต่เจ้าต้องไถ่บุตรชายหัวปีทุกคนหรือสัตว์เพศผู้ตัวแรกของสัตว์ที่เป็นมลทิน 16 เมื่อบุตรหัวปีนั้นอายุครบหนึ่งเดือน เจ้าจะต้องไถ่ลูกหัวปีเหล่านั้นเป็นเงินหนักคนละหรือตัวละ 5 เชเขล[q]ตามเชเขลของสถานนมัสการซึ่งเท่ากับ 20 เกราห์

17 “แต่ลูกหัวปีของวัว แกะหรือแพะจะไถ่คืนไม่ได้เพราะเป็นของบริสุทธิ์ จงพรมเลือดของมันบนแท่นบูชา และเผาไขมันเป็นเครื่องบูชาด้วยไฟ เป็นกลิ่นหอมที่องค์พระผู้เป็นเจ้าพอพระทัย 18 เรายกเนื้อของสัตว์เหล่านี้ให้เจ้าเช่นเดียวกับที่ยกเนื้ออก และโคนขาขวาซึ่งเป็นเครื่องบูชายื่นถวายให้เจ้า 19 ส่วนที่แยกไว้จากเครื่องบูชาบริสุทธิ์ซึ่งชาวอิสราเอลนำมาถวายแด่องค์พระผู้เป็นเจ้าเรายกให้เจ้ากับบุตรชายและบุตรสาวของเจ้า ส่วนนี้เป็นส่วนที่เจ้าได้รับเป็นประจำ นี่เป็นพันธสัญญานิรันดร์แห่งเกลือต่อหน้าองค์พระผู้เป็นเจ้าสำหรับทั้งเจ้าและวงศ์วานของเจ้า”

20 องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสกับอาโรนว่า “เจ้าจะไม่ได้ครองกรรมสิทธิ์ในดินแดนของพวกเขา และไม่ได้รับส่วนแบ่งใดๆ ในหมู่พวกเขา เราเป็นส่วนแบ่งและเป็นกรรมสิทธิ์ของเจ้าท่ามกลางชาวอิสราเอล

21 “เรายกสิบลดทั้งหมดที่คนอิสราเอลนำมาถวายให้เป็นกรรมสิทธิ์ของคนเลวี เพื่อตอบแทนงานซึ่งเขาทำในขณะที่ปรนนิบัติรับใช้ที่เต็นท์นัดพบ 22 นับแต่นี้ไปชาวอิสราเอลอย่าเข้าใกล้เต็นท์นัดพบ มิฉะนั้นเขาจะต้องรับผลของบาปของเขาและเสียชีวิต 23 ชาวเลวีจะเป็นผู้ปฏิบัติหน้าที่ที่เต็นท์นัดพบ และรับผิดชอบการล่วงละเมิดใดๆ ต่อเต็นท์นั้น นี่เป็นข้อปฏิบัติถาวรสืบไป พวกเขาจะไม่ได้รับกรรมสิทธิ์ใดๆ ในหมู่ชนอิสราเอล 24 แต่เรายกสิบลดซึ่งชนอิสราเอลถวายแด่องค์พระผู้เป็นเจ้าให้เป็นกรรมสิทธิ์ของคนเลวี ด้วยเหตุนี้เราจึงกล่าวว่า ‘พวกเขาจะไม่ได้ครอบครองกรรมสิทธิ์ใดๆ ในหมู่ชนอิสราเอล’ ”

25 องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสกับโมเสสว่า 26 “จงบอกคนเลวีว่า ‘เมื่อเจ้าได้รับสิบลดจากชนอิสราเอลซึ่งเรายกให้เจ้าเป็นกรรมสิทธิ์ จงถวายสิบลดจากสิบลดนั้นเป็นเครื่องบูชาแด่องค์พระผู้เป็นเจ้า 27 สิบลดนี้จะถือเสมือนเป็นเครื่องบูชาผลแรกของข้าวจากลานนวดข้าว และเหล้าองุ่นจากบ่อย่ำองุ่นของเจ้า 28 ด้วยวิธีนี้เจ้าก็จะได้ถวายเครื่องบูชาแด่องค์พระผู้เป็นเจ้าจากสิบลดทั้งปวงที่เจ้ารับจากชนอิสราเอล จากสิบลดนี้จงมอบส่วนที่ถวายแด่องค์พระผู้เป็นเจ้าให้แก่ปุโรหิตอาโรน 29 เจ้าต้องยกส่วนที่ดีที่สุดและบริสุทธิ์ที่สุดของทุกสิ่งที่ได้รับเป็นส่วนที่ถวายแด่องค์พระผู้เป็นเจ้า’

30 “จงกล่าวกับคนเลวีว่า ‘เมื่อเจ้านำส่วนที่ดีที่สุดนี้มาถวาย ก็เปรียบเหมือนเป็นเครื่องบูชาจากผลผลิตจากลานนวดข้าวหรือบ่อย่ำองุ่นของเจ้า 31 ส่วนที่เหลือจากนี้ เจ้ากับครัวเรือนจะนำไปรับประทานที่ไหนก็ได้ เพราะเป็นสิ่งตอบแทนที่เจ้าทำหน้าที่รับใช้ที่เต็นท์นัดพบ 32 เมื่อเจ้าได้ถวายส่วนที่ดีที่สุดนี้แล้ว เจ้าก็จะไม่มีความผิด ไม่ได้ทำให้เครื่องบูชาบริสุทธิ์ของชนอิสราเอลเป็นมลทิน และเจ้าจะไม่ตาย’ ”

น้ำแห่งการชำระ

19 องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสกับโมเสสและอาโรนว่า “บทบัญญัติซึ่งองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงบัญชาไว้มีดังนี้คือ จงแจ้งประชากรอิสราเอลให้นำวัวตัวเมียสีแดงไร้ตำหนิตัวหนึ่งที่ไม่เคยตกลูกและไม่เคยเทียมแอกมาให้เจ้า จงมอบวัวตัวนี้แก่ปุโรหิตเอเลอาซาร์ มันจะถูกนำออกไปนอกค่าย และฆ่าต่อหน้าเขา ปุโรหิตเอเลอาซาร์จะเอานิ้วจุ่มเลือดพรมมาทางหน้าเต็นท์นัดพบเจ็ดครั้ง จงเผาวัวนี้ทั้งหนัง เนื้อ เลือด และไส้ต่อหน้าเขา ปุโรหิตจะเอาไม้สนซีดาร์ กิ่งหุสบ และด้ายแดงโยนเข้าในกองไฟนั้น จากนั้นปุโรหิตต้องซักเสื้อผ้าและอาบน้ำ เขาจะกลับมาที่ค่ายพักก็ได้ แต่จะเป็นมลทินตามระเบียบพิธีจวบจนเวลาเย็น ผู้ที่เผาวัวนั้นก็ต้องซักเสื้อผ้าและอาบน้ำ และจะเป็นมลทินจนถึงเวลาเย็นเช่นกัน

“ผู้ที่ไม่เป็นมลทินจะโกยเถ้าจากวัวตัวนั้นไปไว้ในที่ที่ไม่เป็นมลทินตามระเบียบพิธีนอกค่ายพัก ชุมชนอิสราเอลจะเก็บเถ้านี้ไว้ใช้ทำน้ำแห่งการชำระมลทินเพื่อล้างบาป 10 ผู้ที่โกยเถ้าจากวัวนั้นจะต้องซักเสื้อผ้าของตนและเป็นมลทินจวบจนเวลาเย็น นี่เป็นข้อปฏิบัติถาวรสืบไปสำหรับทั้งชนอิสราเอลและคนต่างด้าวซึ่งอาศัยอยู่ในหมู่พวกเขา

11 “ผู้ใดแตะต้องซากศพจะเป็นมลทินตลอดเจ็ดวัน 12 เขาต้องอาบน้ำชำระตัวในวันที่สามและในวันที่เจ็ด แล้วเขาจึงจะสะอาด มิฉะนั้นเขาจะเป็นมลทิน 13 ผู้ใดแตะต้องซากศพ แล้วไม่ได้ชำระตัว ผู้นั้นก็ทำให้พลับพลาขององค์พระผู้เป็นเจ้าเป็นมลทิน คนนั้นจะต้องถูกตัดออกจากอิสราเอล เขาไม่ได้รับการพรมด้วยน้ำแห่งการชำระจึงยังเป็นมลทินอยู่

14 “กฎที่ใช้เมื่อมีผู้เสียชีวิตในเต็นท์ คือผู้ใดที่เข้าไปในเต็นท์หรืออยู่ในเต็นท์จะเป็นมลทินไปตลอดเจ็ดวัน 15 ภาชนะใดๆ ในเต็นท์ซึ่งไม่มีฝาปิดก็เป็นมลทิน

16 “ผู้ใดที่อยู่กลางแจ้ง และไปแตะต้องซากศพคนที่ถูกฆ่าตายด้วยคมดาบหรือตายด้วยเหตุปกติวิสัย หรือไปแตะต้องกระดูกคนตายหรือหลุมฝังศพ เขาจะเป็นมลทินไปตลอดเจ็ดวัน

17 “สำหรับผู้ที่เป็นมลทิน จงนำเถ้าจากเครื่องบูชาเผาชำระใส่ลงไปในภาชนะ และเทน้ำสะอาดผสมลงไป 18 จากนั้นให้ผู้ที่ไม่เป็นมลทินตามระเบียบพิธีเอากิ่งหุสบจุ่มน้ำนั้นพรมที่เต็นท์และเครื่องมือเครื่องใช้ทั้งหมด รวมทั้งคนที่อยู่ที่นั่นด้วย เขาจะต้องพรมคนที่แตะต้องกระดูกหรือหลุมศพ หรือแตะต้องคนที่ถูกฆ่าตายหรือตายด้วยเหตุปกติวิสัยด้วย 19 ผู้ที่ไม่เป็นมลทินจะต้องพรมคนที่เป็นมลทินในวันที่สามและในวันที่เจ็ด และคนที่เป็นมลทินจะต้องชำระตนเองในวันที่เจ็ดด้วย เขาจะต้องซักเสื้อผ้าและอาบน้ำเพื่อชำระตนให้พ้นมลทิน แล้วเขาจะสะอาดในเย็นวันนั้น 20 แต่ถ้าผู้ใดเป็นมลทินและไม่ได้ชำระตัวจะถูกตัดออกจากชุมชน เพราะทำให้สถานนมัสการขององค์พระผู้เป็นเจ้าเป็นมลทิน เขาไม่ได้รับการพรมด้วยน้ำแห่งการชำระจึงยังเป็นมลทินอยู่ 21 นี่เป็นข้อปฏิบัติถาวรสำหรับพวกเขา

“ผู้ทำหน้าที่พรมน้ำแห่งการชำระจะต้องซักเสื้อผ้าของตนด้วย และผู้ใดแตะต้องน้ำแห่งการชำระนั้นจะเป็นมลทินจนถึงเย็น 22 ผู้เป็นมลทินแตะต้องสิ่งใด สิ่งนั้นจะเป็นมลทิน และผู้ใดไปแตะต้องสิ่งนั้น ก็จะเป็นมลทินไปจนถึงเวลาเย็น”

น้ำจากหิน

20 ชุมชนอิสราเอลทั้งปวงมาถึงถิ่นกันดารศินในเดือนที่หนึ่ง และตั้งค่ายพักแรมที่คาเดช มิเรียมสิ้นชีวิตลงและถูกฝังไว้ที่นั่น

ที่แห่งนั้นไม่มีน้ำให้ประชากรดื่ม พวกเขาจึงรวมตัวกันต่อต้านโมเสสกับอาโรนอีก พวกเขาโต้เถียงกับโมเสสและกล่าวว่า “เราน่าจะตายพร้อมกับพี่น้องของเราซึ่งล้มตายต่อหน้าองค์พระผู้เป็นเจ้า! เหตุใดท่านจึงนำชุมชนขององค์พระผู้เป็นเจ้ามาตายในถิ่นกันดารนี้ รวมทั้งฝูงสัตว์เลี้ยงของเราด้วย? ทำไมถึงให้เราออกจากอียิปต์มาอยู่ในที่เลวร้ายเช่นนี้? ไม่มีเมล็ดข้าวหรือมะเดื่อ องุ่น หรือทับทิม มิหนำซ้ำยังไม่มีน้ำให้ดื่ม!”

โมเสสกับอาโรนออกจากชุมนุมประชากร ไปยังทางเข้าเต็นท์นัดพบและหมอบกราบซบหน้าลง และพระเกียรติสิริขององค์พระผู้เป็นเจ้ามาปรากฏต่อพวกเขา องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสกับโมเสสว่า “จงเอาไม้เท้ามา แล้วเจ้ากับอาโรนพี่ชายของเจ้าจงเรียกประชากรมารวมกัน จงพูดกับศิลานั้นต่อหน้าพวกเขาและศิลานั้นจะหลั่งน้ำออกมา เจ้าจะให้น้ำแก่ชุมชนจากศิลานั้น เพื่อทั้งคนและสัตว์จะได้ดื่มกิน”

ดังนั้นโมเสสจึงนำไม้เท้าจากเบื้องหน้าองค์พระผู้เป็นเจ้ามาตามที่ตรัสสั่ง 10 เขากับอาโรนเรียกประชากรมารวมกันที่หน้าศิลา และโมเสสพูดกับพวกเขาว่า “ฟังนะ เจ้าพวกกบฏ เราจะต้องเอาน้ำออกจากศิลานี้ให้พวกเจ้าหรือ?” 11 แล้วโมเสสก็เงื้อไม้เท้าขึ้นฟาดก้อนหินสองครั้ง น้ำจึงพุ่งออกมา ทั้งคนและสัตว์ได้ดื่มกิน

12 แต่องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสกับโมเสสและอาโรนว่า “เพราะเจ้าไม่ได้เชื่อเรามากพอ ไม่ได้ให้เกียรติเราในฐานะองค์บริสุทธิ์ต่อหน้าชนอิสราเอล เจ้าจะไม่ได้พาชุมชนนี้เข้าสู่ดินแดนที่เรายกให้เขา”

13 สถานที่นั้นได้ชื่อว่าเมรีบาห์[r]เพราะเป็นที่ซึ่งประชากรอิสราเอลโต้แย้งกับองค์พระผู้เป็นเจ้าและที่นั่นพระองค์ทรงสำแดงพระองค์เองว่าบริสุทธิ์ศักดิ์สิทธิ์ท่ามกลางพวกเขา

เอโดมไม่อนุญาตให้อิสราเอลผ่าน

14 โมเสสส่งผู้สื่อสารจากคาเดชไปยังกษัตริย์เอโดมว่า

“ชาวอิสราเอลพี่น้องของท่านกล่าวเช่นนี้ว่า ท่านคงทราบเรื่องราวความทุกข์ยากลำบากของเราทั้งหมดแล้ว 15 บรรพบุรุษของเราไปยังอียิปต์ และพวกเราก็อาศัยอยู่ที่นั่นหลายปี ชาวอียิปต์ข่มเหงรังแกเรากับบรรพบุรุษ 16 แต่เมื่อเราร้องทูลองค์พระผู้เป็นเจ้าพระองค์ทรงได้ยินและทรงส่งทูตองค์หนึ่งนำเราออกมาจากอียิปต์

“บัดนี้เราตั้งค่ายพักอยู่ที่คาเดช ซึ่งเป็นเมืองชายแดนของท่าน 17 โปรดอนุญาตให้เราผ่านแดน เราจะไม่ล่วงล้ำไร่นาหรือสวนองุ่นของท่าน เราจะไม่ดื่มน้ำจากบ่อของท่าน แต่จะไปตามทางหลวง และจะไม่หันไปทางซ้ายหรือทางขวาจนกว่าจะผ่านพ้นเขตแดนของท่าน”

18 แต่เอโดมตอบว่า

“จงถอยไป ขืนฝ่าเข้ามาในพรมแดนของเรา เราจะยกพลออกไปโจมตีพวกเจ้าด้วยดาบ”

19 ชนอิสราเอลตอบว่า

“พวกเราจะไปตามทางหลวง หากเราหรือสัตว์ของเราดื่มน้ำของท่าน เราจะจ่ายค่าตอบแทน เราเพียงแต่ต้องการเดินผ่านไปเท่านั้น ไม่มีอย่างอื่นเคลือบแฝง”

20 แต่พวกเขาตอบว่า

“ห้ามผ่านเขตแดน”

จากนั้นเอโดมยกทัพใหญ่และมีอานุภาพมากออกมาต่อสู้กับพวกเขา 21 ในเมื่อเอโดมไม่ยอมให้ผ่านเขตแดน อิสราเอลจึงเปลี่ยนเส้นทาง

อาโรนสิ้นชีวิต

22 ชุมชนอิสราเอลทั้งหมดเดินทางจากคาเดชมายังภูเขาโฮร์ 23 องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสกับโมเสสและอาโรนที่ภูเขาโฮร์ ใกล้ชายแดนเอโดมว่า 24 “อาโรนจะตายไปอยู่กับบรรพบุรุษของเขา เขาจะไม่ได้เข้าไปในดินแดนที่เรายกให้ประชากรอิสราเอล เพราะเจ้าทั้งสองกบฏต่อคำสั่งของเราเรื่องน้ำที่เมรีบาห์ 25 บัดนี้จงนำอาโรนและเอเลอาซาร์บุตรของเขาขึ้นไปบนภูเขาโฮร์ 26 จงถอดเครื่องแต่งกายปุโรหิตของอาโรนและสวมให้เอเลอาซาร์ เพราะที่นั่นอาโรนจะตายไปอยู่กับบรรพบุรุษของเขา”

27 โมเสสก็ปฏิบัติตามพระบัญชาขององค์พระผู้เป็นเจ้าคนทั้งสามขึ้นไปบนภูเขาโฮร์ด้วยกันต่อหน้าชุมนุมประชากรทั้งหมด 28 โมเสสก็ถอดเครื่องแต่งกายปุโรหิตของอาโรนสวมให้เอเลอาซาร์ อาโรนสิ้นชีวิตบนยอดเขานั้น แล้วโมเสสกับเอเลอาซาร์จึงกลับลงมา 29 ครั้นชุมนุมประชากรทั้งปวงทราบว่าอาโรนสิ้นชีวิตแล้ว วงศ์วานของอิสราเอลทั้งหมดก็ไว้อาลัยให้อาโรนอยู่สามสิบวัน

กษัตริย์แห่งอาราดพ่ายแพ้

21 เมื่อกษัตริย์แห่งอาราดชาวคานาอันผู้อาศัยอยู่ในเนเกบได้ยินข่าวว่าอิสราเอลเคลื่อนเข้ามาตามเส้นทางสู่อาธาริม เขาก็มาโจมตีอิสราเอลและจับบางคนไปเป็นเชลย อิสราเอลจึงถวายปฏิญาณต่อองค์พระผู้เป็นเจ้าว่า “หากพระองค์ทรงช่วยให้พวกเรารบชนะคนเหล่านี้ พวกเราจะทำลายล้าง[s]เมืองต่างๆ ของพวกเขาให้ราบเป็นหน้ากลอง” องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงสดับฟังคำทูลขอของอิสราเอล และทรงมอบชาวคานาอันไว้ในมือของพวกเขา พวกเขาทำลายล้างคนเหล่านั้นกับเมืองต่างๆ จนหมดสิ้น ที่แห่งนั้นจึงได้ชื่อว่า โฮรมาห์[t]

งูทองสัมฤทธิ์

พวกเขาเดินทางจากภูเขาโฮร์ไปตามทางที่จะไปทะเลแดงเพื่ออ้อมดินแดนเอโดม แต่ประชากรยิ่งรู้สึกท้อแท้มากขึ้น พากันบ่นว่าพระเจ้าและโมเสสว่า “ทำไมท่านถึงได้พาเราออกจากอียิปต์มาตายในถิ่นกันดารนี้? ไม่มีขนมปัง! ไม่มีน้ำ! เราเกลียดมานาที่แสนจะน่าเบื่อ!”

แล้วองค์พระผู้เป็นเจ้าจึงส่งงูพิษมาในหมู่พวกเขา ชนอิสราเอลหลายคนถูกงูกัดตาย ประชากรจึงมาหาโมเสสและร้องว่า “พวกข้าพเจ้าได้ทำบาปที่บ่นว่าองค์พระผู้เป็นเจ้ากับบ่นว่าท่าน โปรดอธิษฐานทูลองค์พระผู้เป็นเจ้าให้นำงูออกไปเถิด” ดังนั้นโมเสสจึงอธิษฐานเผื่อประชากร

Thai New Contemporary Bible (TNCV)

Thai New Contemporary Bible Copyright © 1999, 2001, 2007 by Biblica, Inc.® Used by permission. All rights reserved worldwide.