Print Page Options
Previous Prev Day Next DayNext

Bible in 90 Days

An intensive Bible reading plan that walks through the entire Bible in 90 days.
Duration: 88 days
New Thai Version (NTV-BIBLE)
Version
ฮาบากุก 1 - เศคาริยาห์ 10

คำพยากรณ์ที่ฮาบากุกผู้เผยคำกล่าวของพระเจ้าได้รับ

ฮาบากุกพร่ำบ่น

โอ พระผู้เป็นเจ้า ข้าพเจ้าจะต้องร้องขอความช่วยเหลือไปอีกนานแค่ไหน
    โดยที่พระองค์ไม่ฟัง
หรือจะร้องบอกพระองค์ว่า “ความรุนแรง”
    และพระองค์ไม่ช่วยให้รอดปลอดภัย
เหตุใดพระองค์จึงให้ข้าพเจ้าทนดูความไม่ยุติธรรม
    เหตุใดพระองค์จึงทนต่อการกระทำผิด
ความหายนะและความรุนแรงรอข้าพเจ้าอยู่
    เกิดการทะเลาะวิวาทและการไม่ลงรอยกัน
ฉะนั้นกฎบัญญัติจึงใช้การไม่ได้
    และความยุติธรรมไม่มีวันสำเร็จผล
เพราะคนชั่วอยู่ล้อมรอบคนมีความชอบธรรม
    ความยุติธรรมจึงถูกบิดเบือน

คำตอบของพระผู้เป็นเจ้า

“จงแลดูบรรดาประชาชาติ และคอยเฝ้าดู
    และเจ้าจะอัศจรรย์ใจอย่างที่สุด
ด้วยว่า เรากำลังจะทำบางสิ่งในสมัยของเจ้า
    ซึ่งแม้มีคนบอกเจ้า เจ้าก็จะไม่เชื่อ[a]
เรากำลังจะให้บรรดาชาวเคลเดีย[b]มีอำนาจขึ้น
    พวกเขาเป็นประชาชาติที่โหดร้ายและยับยั้งไม่อยู่
ซึ่งเดินไปตามความกว้างของแผ่นดินโลก[c]
    เพื่อยึดที่อาศัยของผู้อื่น
พวกเขาเป็นชนชาติที่น่ากลัวและน่าหวาดหวั่น
    พวกเขาตั้งความยุติธรรม
    และส่งเสริมเกียรติให้แก่ตนเอง
ม้าของพวกเขาคล่องแคล่วยิ่งกว่าเสือดาว
    ดุร้ายยิ่งกว่าสุนัขป่ายามพลบค่ำ
    ทหารม้าของพวกเขาควบอย่างรวดเร็ว
บรรดาทหารม้าของพวกเขามาจากแดนไกล
    พวกเขาบินไปอย่างแร้งและโฉบเฉี่ยวลง
พวกเขาทุกคนมาเพื่อกระทำความรุนแรง
    ต่างก็มุ่งหน้ารุดไป
    และรวบรวมบรรดาเชลยได้มากอย่างเม็ดทราย
10 พวกเขาดูหมิ่นบรรดากษัตริย์
    และเย้ยหยันบรรดาผู้ปกครอง
พวกเขาหัวเราะเยาะเมืองต่างๆ
    ที่มีการคุ้มกันอย่างแข็งแกร่ง
พวกเขาใช้ดินก่อขึ้นเป็นสะพานข้าม
    และยึดเมือง
11 พวกเขาเดินผ่านไปเหมือนลมพัดผ่าน
    และพัดฉิวต่อไป
มีความผิดเพราะพึ่งในพละกำลังของตน
    เสมือนว่าเป็นพระเจ้า”

ฮาบากุกพร่ำบ่นครั้งที่สอง

12 โอ พระผู้เป็นเจ้า พระองค์ดำรงมาตั้งแต่นิรันดร์กาลมิใช่หรือ
    พระเจ้าของข้าพเจ้า องค์ผู้บริสุทธิ์ของข้าพเจ้า พวกเราจะไม่สิ้นชีวิต
โอ พระผู้เป็นเจ้า พระองค์ได้กำหนดให้พวกเขาเป็นผู้ตัดสิน
    โอ องค์ผู้เป็นศิลา พระองค์ได้กำหนดให้พวกเขาเป็นผู้ลงโทษ
13 นัยน์ตาของพระองค์บริสุทธิ์เกินกว่าจะมองดูสิ่งชั่วร้าย
    พระองค์ไม่ทนต่อการกระทำผิด
แล้วเหตุใดพระองค์จึงทนต่อคนทรยศ
    เหตุใดพระองค์จึงนิ่งเฉยในขณะที่คนชั่วร้าย
    ทำลายคนที่มีความชอบธรรมมากกว่าเขา
14 พระองค์ได้สร้างมนุษย์ขึ้นเหมือนปลาในทะเล
    เหมือนบรรดาสิ่งมีชีวิตที่ไร้ผู้ปกครอง
15 คนชั่วร้ายดึงพวกเขาทุกคนขึ้นมาด้วยเบ็ด
    เขาทอดแหจับพวกเขา
เขารวบรวมพวกเขาเข้าด้วยกันในอวนของเขา
    เขาจึงร่าเริงใจและดีใจ
16 ดังนั้นเขาจึงมอบเครื่องสักการะแก่แหของเขา
    และเผาเครื่องหอมแก่อวนของเขา
เขาใช้ชีวิตอย่างหรูหรา
    และมีความสุขกับอาหารดีที่สุดได้
    ก็เพราะแหของเขา
17 เขาจะกอบโกยผลประโยชน์จากแหของเขาเรื่อยไป
    และล้างผลาญบรรดาประชาชาติโดยไร้ความเมตตาอย่างนั้นหรือ
ข้าพเจ้าจะคอยเฝ้าไว้
    และประจำอยู่ในที่คุ้มกันอันแข็งแกร่ง
ข้าพเจ้าจะดูว่า พระองค์จะพูดอย่างไรกับข้าพเจ้า
    และข้าพเจ้าจะตอบอย่างไรเกี่ยวกับการพร่ำบ่นในครั้งนี้

ผู้มีความชอบธรรมจะมีชีวิตได้โดยความเชื่อ

พระผู้เป็นเจ้าจึงตอบดังนี้

“จงบันทึกภาพนิมิต
    เขียนให้ชัดเจนบนแผ่นศิลา
    เพื่อคนประกาศจะอ่านได้โดยง่าย
เพราะภาพนิมิตยังรอให้ถึงกำหนดเวลา
    ภาพนิมิตพูดถึงบั้นปลาย
    จะพิสูจน์ได้ว่าไม่ใช่ความเท็จ
แม้จะดูเหมือนว่าเชื่องช้า แต่จงรอ
    สิ่งนั้นจะเกิดขึ้นอย่างแน่นอน
    และจะไม่ล่าช้า

เห็นไหมล่ะ เขาหยิ่งผยอง
    จิตใจของเขาไม่เที่ยงธรรม
แต่ผู้มีความชอบธรรมจะมีชีวิตได้โดย
    ความเชื่อของเขา[d]
จริงทีเดียว เหล้าองุ่นทรยศเขา
    เขาเย่อหยิ่งและไม่เคยสงบนิ่ง
เพราะความโลภของเขาเปิดกว้างอย่างแดนคนตาย
    และเป็นเหมือนความตายที่ไม่มีวันพึงพอใจ
เขารวบรวมประชาชาติทั้งปวงมาเป็นของเขาเอง
    และจับชนชาติทั้งปวงไปเป็นเชลย

คนทั้งหลายจะไม่ถากถางเขาด้วยการหัวเราะเยาะและดูหมิ่นดังนี้หรือว่า

‘วิบัติจงเกิดแก่คนที่สะสมสิ่งที่ไม่ได้เป็นของเขา
    และกอบโกยความมั่งมีให้แก่ตนเองด้วยการบีบคั้น
    จะเป็นอย่างนี้ไปอีกนานเพียงไร’
บรรดาเจ้าหนี้ของเจ้าจะไม่ลุกขึ้นมาอย่างฉับพลันหรอกหรือ
    พวกเขาจะไม่ตื่นขึ้นและทำให้เจ้าสั่นสะท้านหรือ
    แล้วเจ้าก็จะกลายเป็นเหยื่อของพวกเขา
เพราะเจ้าได้ปล้นระดมประชาชาติจำนวนมาก
    บรรดาชนชาติที่เหลืออยู่จะปล้นระดมเจ้า
เพราะการนองเลือดและความรุนแรงที่เจ้าได้กระทำแก่แผ่นดิน
    แก่เมืองต่างๆ และแก่ชาวเมืองทั้งหลาย

วิบัติจงเกิดแก่คนที่สร้างคฤหาสน์ของเขาซึ่งได้มาจากผลประโยชน์ที่ไร้คุณธรรม
    เพื่อตั้งที่อยู่ของเขาไว้บนที่สูง
    เพื่อหนีให้พ้นจากความพินาศ
10 อุบายของเจ้าได้นำความอับอายสู่คฤหาสน์ของเจ้า
    และทำให้ชนชาติจำนวนมากพินาศ
    จนถึงกับทำลายชีวิตของเจ้าเอง
11 กำแพงหินจะส่งเสียงร้อง
    และคานไม้จะสะท้อนตอบเสียงนั้น

12 วิบัติจงเกิดแก่คนที่สร้างเมืองด้วยการนองเลือด
    และก่อสร้างเมืองด้วยความชั่วร้าย
13 ดูเถิด ไม่ใช่พระผู้เป็นเจ้าจอมโยธาหรอกหรือที่ตัดสินว่า
    แรงงานของบรรดาชนชาติกลับกลายเป็นเชื้อเพลิง
    และบรรดาประชาชาติก็เหนื่อยล้าไปโดยเปล่าประโยชน์
14 เพราะแผ่นดินโลกจะบริบูรณ์
    ด้วยความรู้แห่งพระบารมีของพระผู้เป็นเจ้า เหมือนน้ำที่เต็มทะเล

15 วิบัติจงเกิดแก่คนที่ให้บรรดาเพื่อนบ้านดื่ม
    เทเหล้าจากถุงบรรจุเหล้าองุ่นจนทำให้พวกเขาเมามาย
    เพื่อจะได้มองดูร่างกายที่เปลือยเปล่าของพวกเขา
16 เจ้าจะได้รับความอับอายแทนสง่าราศี
    คราวนี้เป็นเวลาของเจ้า จงดื่มและเปลือยเปล่า
ถ้วยจากมือขวาของพระผู้เป็นเจ้า
    กำลังเวียนมาถึงตัวเจ้า
    และความอัปยศจะปกคลุมสง่าราศีของเจ้า
17 ความรุนแรงที่เจ้าได้กระทำแก่เลบานอนจะเกิดขึ้นกับเจ้าเช่นเดียวกันอย่างท่วมท้น
    และเจ้าทำให้สัตว์วอดวายเช่นไรเจ้าก็จะต้องหวาดหวั่นเช่นนั้น
เพราะการนองเลือด และความรุนแรงที่เจ้าได้กระทำต่อแผ่นดิน
    ต่อเมืองต่างๆ และต่อชาวเมืองทั้งหลาย

18 รูปเคารพมีค่าอะไรในเมื่อมีคนแกะสลักมันขึ้นมา
    หรือรูปบูชาที่สอนความเท็จ
เพราะคนที่ทำมันขึ้นมาวางใจในสิ่งที่ตนสร้างขึ้น
    เขาทำรูปเคารพซึ่งไม่สามารถพูดได้
19 วิบัติแก่คนที่พูดกับสิ่งที่เป็นไม้ว่า
    ‘จงมีชีวิตขึ้นมา’
หรือพูดกับหินซึ่งไม่มีชีวิตว่า
    ‘จงลุกขึ้นเถิด’
มันให้คำแนะนำได้หรือ
    มันถูกแปะด้วยทองคำและเงิน
    มันไม่มีลมหายใจ
20 แต่พระผู้เป็นเจ้าสถิตอยู่ในพระวิหารอันบริสุทธิ์ของพระองค์
    ให้ทั่วแผ่นดินโลกนิ่งเงียบ ณ เบื้องหน้าพระองค์”

คำอธิษฐานของฮาบากุก

คำอธิษฐานของฮาบากุก ผู้เผยคำกล่าวของพระเจ้า ตามทำนองชิกกาโยน[e]

โอ พระผู้เป็นเจ้า ข้าพเจ้าได้ยินกิตติศัพท์ของพระองค์
    โอ พระผู้เป็นเจ้า ข้าพเจ้าเกรงขามในสิ่งที่พระองค์สำแดง
ขอพระองค์ช่วยให้สิ่งดังกล่าวมีชีวิตขึ้นใหม่ในปัจจุบันนี้
    ขอพระองค์กระทำให้เป็นที่ประจักษ์ในปัจจุบันนี้
    โปรดระลึกถึงความเมตตาเมื่อพระองค์ลงโทษ
พระเจ้ามาจากเทมาน
    องค์ผู้บริสุทธิ์จากภูเขาปาราน เซล่าห์
ความเรืองรองของพระองค์ปกคลุมฟ้าสวรรค์
    และแผ่นดินโลกเต็มด้วยพระบารมีของพระองค์
แสงอันเจิดจ้าของพระองค์ปรากฏดุจแสงอรุณ
    แสงทอเป็นประกายจากมือของพระองค์
    ซึ่งเป็นที่พระองค์ซ่อนอานุภาพไว้
ภัยพิบัติไปล่วงหน้าพระองค์
    โรคระบาดตามฝีเท้าของพระองค์ไป
พระองค์ยืนและทำให้แผ่นดินโลกสั่นสะเทือน
    พระองค์มองดู และทำให้บรรดาประชาชาติสะท้าน
เทือกเขาที่ตั้งอย่างถาวรแตกกระจาย
    และเนินเขาที่ยืนยงถล่มลง
    วิถีทางของพระองค์ยั่งยืนตลอดกาล
ข้าพเจ้าเห็นกระโจมของชาวคูชันพบกับความยากลำบาก
    ที่อยู่ของชาวมีเดียนปวดร้าว
โอ พระองค์กริ้วแม่น้ำหรือ
    การลงโทษของพระองค์มีต่อธารน้ำหรือ
เวลาพระองค์ขี่ม้า
    และควบไปกับรถศึกซึ่งนำความรอดพ้นมา
    พระองค์โกรธกริ้วทะเลหรือ
พระองค์เปิดแล่งธนู
    พระองค์ใช้ลูกธนูหลายลูก เซล่าห์
    พระองค์แยกแผ่นดินโลกด้วยแม่น้ำหลายสาย
10 เทือกเขาเห็นพระองค์ และมันก็ยำเกรง
    กระแสน้ำไหลหลากไป
ห้วงน้ำลึกส่งเสียงครืนครั่น
    และดันคลื่นให้สูงขึ้น
11 ดวงอาทิตย์และดวงจันทร์หยุดนิ่งในฟ้าสวรรค์
    เมื่อลูกธนูของพระองค์แล่นไปโดยเร็ว
    เมื่อหลาวของพระองค์พุ่งไปอย่างสายฟ้าแลบ
12 พระองค์ก้าวผ่านไปทั่วแผ่นดินโลกด้วยความโกรธกริ้ว
    และพระองค์บดขยี้บรรดาประชาชาติด้วยความโกรธ
13 พระองค์ออกไปเพื่อช่วยชนชาติของพระองค์ให้รอดพ้น
    เพื่อช่วยผู้ได้รับการเจิมให้รอดพ้น
พระองค์ย่ำเหยียบหัวหน้าพงศ์พันธุ์ของคนชั่วร้าย
    พระองค์เอาทุกสิ่งไปจากเขา
    ตั้งแต่ศีรษะจรดเท้า เซล่าห์
14 พระองค์ให้หัวหน้าประชาชนถูกแทงด้วยหลาวของเขาเอง
    เมื่อบรรดานักรบของเขาวิ่งกรูกันออกมาและทำให้พวกเรากระจัดกระจายไป
    เขาสะใจที่ได้บีบคั้นคนเป็นทุกข์อย่างลับๆ
15 พระองค์ควบม้าย่ำไปในทะเล
    ทำให้น้ำจำนวนมหาศาลปั่นป่วน

16 ข้าพเจ้าได้ยิน และใจของข้าพเจ้าเต้นแรง
    ริมฝีปากของข้าพเจ้าสั่นระริกเมื่อได้ยินเสียง
กระดูกของข้าพเจ้าอ่อนกำลัง
    และขาของข้าพเจ้าสั่นคลอน
แต่ถึงกระนั้นข้าพเจ้ายังจะอดทนรอวันวิบัติ
    ให้มายังชนชาติที่รุกรานพวกเรา

17 ถึงแม้ว่าต้นมะเดื่อจะไม่ผลิใบ
    และเถาองุ่นไม่ออกผล
มะกอกไม่มีลูก
    และไร่นาไม่ผลิตอาหาร
แม้ว่าจะไม่มีฝูงแพะแกะเหลืออยู่ในคอก
    และโคก็ไม่มีเช่นกัน
18 ข้าพเจ้าก็ยังจะยินดีในพระผู้เป็นเจ้า
    ข้าพเจ้าจะชื่นชมยินดีในพระเจ้าผู้ช่วยข้าพเจ้าให้รอดพ้น
19 พระผู้เป็นเจ้าผู้ยิ่งใหญ่เป็นพละกำลังของข้าพเจ้า
    พระองค์ทำให้เท้าของข้าพเจ้าเป็นเหมือนเท้ากวาง
    พระองค์ช่วยข้าพเจ้าให้ขึ้นไปบนที่สูงได้

ถึงหัวหน้าวงดนตรี ด้วยเครื่องสายของข้าพเจ้า

คำกล่าวของพระผู้เป็นเจ้ามาถึงเศฟันยาห์บุตรคูชี ผู้เป็นบุตรเก-ดาลิยาห์ ผู้เป็นบุตรอามาริยาห์ ผู้เป็นบุตรเฮเซคียาห์ ในรัชสมัยของโยสิยาห์ บุตรอาโมนกษัตริย์แห่งยูดาห์[f]

เตือนถึงความพินาศที่กำลังจะมาถึง

พระผู้เป็นเจ้าประกาศดังนี้

“เราจะกวาดล้างทุกสิ่ง
    ให้สิ้นไปจากแผ่นดินโลก”

พระผู้เป็นเจ้าประกาศดังนี้

“เราจะกวาดล้างทั้งมนุษย์และสัตว์
    เราจะกวาดล้างนกในอากาศ
    และปลาในทะเล
เมื่อเรากำจัดมนุษย์ให้สิ้นไปจากแผ่นดินโลก
    คนชั่วร้ายจะเหลือเพียงกองซากปรักหักพัง

ขัดขวางยูดาห์

เราจะยื่นมือของเราออกเพื่อลงโทษยูดาห์
    และทุกคนที่อยู่อาศัยในเยรูซาเล็ม
เราจะกำจัดทุกคนของเทพเจ้าบาอัลที่เหลืออยู่[g]ไปจากที่นั้น
    รวมถึงบรรดาปุโรหิตที่บูชารูปเคารพ
    และจะกำจัดแม้แต่ชื่อของพวกเขาด้วย
บรรดาผู้ที่ก้มกราบบนหลังคา
    เพื่อนมัสการสรรพสิ่งที่อยู่บนท้องฟ้า
บรรดาผู้ที่ก้มกราบและสาบานต่อพระผู้เป็นเจ้า
    และสาบานต่อเทพเจ้ามิลโคมด้วย[h]
บรรดาผู้ที่เลิกติดตามพระผู้เป็นเจ้า
    และไม่แสวงหาพระผู้เป็นเจ้า
    หรือขอคำปรึกษาจากพระองค์

จงนิ่งเงียบที่เบื้องหน้าพระผู้เป็นเจ้าผู้ยิ่งใหญ่
    เพราะวันของพระผู้เป็นเจ้าใกล้เข้ามาแล้ว
พระผู้เป็นเจ้าได้เตรียมเครื่องสักการะบูชา
    พระองค์ได้ชำระบรรดาผู้รับเชิญของพระองค์ให้บริสุทธิ์แล้ว
วันแห่งเครื่องสักการะบูชาของพระผู้เป็นเจ้าจะเกิดขึ้น
    เราจะลงโทษบรรดาเจ้านายชั้นผู้ใหญ่และ
    บุตรชายทั้งหลายของกษัตริย์
และบรรดาผู้ที่สวมเครื่องแต่งกาย
    ของคนต่างชาติ
ในวันนั้น เราจะลงโทษทุกคน
    ที่ก้าวข้ามธรณีประตู
และบรรดาผู้ที่ทำให้วิหารของเทพเจ้าของพวกเขา
    เต็มด้วยความรุนแรงและหลอกลวง”

10 พระผู้เป็นเจ้าประกาศดังนี้ว่า

“ในวันนั้น เสียงร้องจะดังขึ้นไปจากประตูปลา
    มีการร้องไห้ฟูมฟายจากเขตสอง
    และเสียงโครมดังลั่นจากเนินเขา
11 จงร้องไห้ฟูมฟาย พวกเจ้าที่อยู่อาศัยในแขวงครก
    พ่อค้าทั้งหลายของพวกเจ้าจะถูกกวาดล้าง
    ทุกคนที่ค้าเครื่องเงินจะพินาศ
12 ในเวลานั้น เราจะส่องตะเกียงค้นหาเยรูซาเล็ม
    และลงโทษบรรดาผู้ที่นิ่งนอนใจ
    เหมือนเหล้าองุ่นที่ตกตะกอน
พวกที่คิดในใจว่า ‘พระผู้เป็นเจ้าจะไม่กระทำสิ่งใดเลย
    ไม่ว่าจะดีหรือร้าย’
13 ความมั่งมีของพวกเขาจะถูกปล้น
    บ้านเรือนของพวกเขาจะถูกพังทลาย
พวกเขาจะสร้างบ้าน
    แต่จะไม่ได้อาศัยอยู่
พวกเขาจะปลูกสวนองุ่น
    แต่ก็จะไม่ได้ดื่มเหล้าองุ่นจากสวน

วันอันยิ่งใหญ่ของพระผู้เป็นเจ้า

14 วันอันยิ่งใหญ่ของพระผู้เป็นเจ้าใกล้เข้ามาแล้ว
    ใกล้และกำลังมาอย่างรวดเร็ว
จงฟังเถิด เสียงร้องในวันของพระผู้เป็นเจ้าจะขมขื่น
    ผู้เก่งกล้าร้องเสียงดังอยู่ที่นั่น
15 วันนั้นจะเป็นวันแห่งการลงโทษ
    วันแห่งความทุกข์และความปวดร้าว
วันแห่งความทุกข์ใจและความหายนะ
    วันแห่งความมืดและความมืดมน
วันแห่งเมฆหมอกและดำอับแสง
16     วันแห่งแตรงอนและเสียงเตือนศึก
ซึ่งต่อต้านเมืองต่างๆ ที่มีการคุ้มกันอย่างแข็งแกร่ง
    และต่อต้านหอคอยสูง

17 เราจะให้ประชาชนประสบกับความทุกข์
    และพวกเขาจะเดินอย่างคนตาบอด
    เพราะพวกเขากระทำบาปต่อพระผู้เป็นเจ้า
เลือดของพวกเขาจะหลั่งออกเทียบเท่ากับธุลีดิน
    และกายของพวกเขาจะเป็นอย่างมูลสัตว์
18 เงินและทองของพวกเขาจะไม่สามารถ
    ช่วยพวกเขาให้พ้นภัยได้
    ในวันแห่งการลงโทษของพระผู้เป็นเจ้า
ทั่วทั้งโลกจะถูกเผาผลาญในไฟแห่งความ
    หวงแหนของพระองค์
เพราะพระองค์จะทำให้บรรดาผู้อยู่อาศัยทุกคน
    ของแผ่นดินโลกจบสิ้นอย่างทันควัน”

การลงโทษศัตรูของยูดาห์

โอ ประชาชาติที่ไร้ความละอาย
    จงร่วมชุมนุมกัน ร่วมชุมนุมกัน
ก่อนที่วันจะล่วงไปอย่างแกลบ
    ก่อนที่ความกริ้วอันร้อนแรงของพระผู้เป็นเจ้าจะพลุ่งขึ้น
    ต่อพวกท่าน
ก่อนที่วันแห่งความกริ้วของพระผู้เป็นเจ้า
    จะมาถึงท่าน
จงแสวงหาพระผู้เป็นเจ้า พวกท่านทุกคนในแผ่นดินที่ถ่อมตัว
    พวกท่านที่กระทำตามคำบัญชาของพระองค์
จงแสวงหาความชอบธรรม แสวงหาความอ่อนโยน
    พวกท่านอาจจะได้หลบภัยในวัน
    แห่งความกริ้วของพระผู้เป็นเจ้า
เพราะเมืองกาซาจะถูกปล่อยทิ้งไว้
    และเมืองอัชเคโลนกลายเป็นสถานที่ร้าง
ตอนกลางวันแสกๆ เมืองอัชโดดจะไม่มีสิ่งใดเหลืออยู่
    เมืองเอโครนล่มสลาย

วิบัติเกิดแก่บรรดาผู้อาศัยอยู่ริมฝั่งทะเล
    โอ ประชาชาติของชาวเคเรธเอ๋ย
คำกล่าวของพระผู้เป็นเจ้าคัดค้านพวกท่านดังนี้
    โอ คานาอันเอ๋ย แผ่นดินของชาวฟีลิสเตียเอ๋ย
“เราจะทำให้เจ้าพินาศ
    และจะไม่มีใครสักคนเหลืออยู่เลย”
แผ่นดินที่ริมฝั่งทะเลอันเป็นที่ชาวเคเรธอาศัยอยู่
    จะเป็นทุ่งหญ้าสำหรับบรรดาผู้เลี้ยงดูฝูงแกะ
    และสำหรับฝูงแกะ
ดินแดนนั้นจะเป็นของผู้ที่มีชีวิตเหลืออยู่
    ของพงศ์พันธุ์ยูดาห์
    พวกเขาจะพบทุ่งหญ้าที่นั่น
ในเวลาเย็น พวกเขาจะนอนพัก
    ในบ้านเรือนของเมืองอัชเคโลน
พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของพวกเขาจะดูแลพวกเขา
    พระองค์จะทำให้ความอุดมสมบูรณ์ของเขาคืนสู่สภาพเดิม

“เราได้ยินคำดูหมิ่นของโมอับ
    และคำถากถางของชาวอัมโมน
ซึ่งดูหมิ่นชนชาติของเรา
    และคุยโวข่มอาณาเขตของพวกเขา”

ฉะนั้น พระผู้เป็นเจ้าจอมโยธา พระเจ้าของอิสราเอลประกาศดังนี้

“ตราบที่เรามีชีวิตอยู่ฉันใด โมอับจะเป็นเหมือนโสโดม
    และอัมโมนจะเป็นเหมือนโกโมราห์[i]
แผ่นดินซึ่งมีแต่ต้นตำแยและบ่อเกลือ
    และเป็นที่รกร้างตลอดไป
ชนชาติที่เหลือของเราที่ยังมีชีวิตอยู่
    จะปล้นระดมพวกเขา
และบรรดาผู้มีชีวิตรอดของประชาชาติของเรา
    จะยึดดินแดนพวกนั้นไว้”
10 นี่คือสิ่งที่พวกเขาจะได้รับคืน
    สำหรับความยโสของพวกเขา
เพราะพวกเขาดูหมิ่นและคุยโวข่ม
    ชนชาติของพระผู้เป็นเจ้าจอมโยธา
11 พระผู้เป็นเจ้าจะเป็นที่น่าเกรงขามสำหรับพวกเขา
    เพราะพระองค์จะทำลายเทพเจ้าทั้งปวงของแผ่นดิน
ทุกคนจะก้มลงกราบพระองค์จากที่ของตน
    ในแผ่นดินของบรรดาประชาชาติ

12 “โอ ชาวคูชเอ๋ย เจ้าด้วยที่จะถูกสังหาร
    ด้วยดาบของเรา”

13 และพระองค์จะยื่นมือของพระองค์ออก
    เพื่อลงโทษแผ่นดินทางทิศเหนือ
    และทำอัสซีเรียให้พินาศ
และพระองค์จะทำให้นีนะเวห์เป็นที่รกร้าง
    แห้งแล้งอย่างถิ่นทุรกันดาร
14 ฝูงแพะแกะและโคจะนอนอยู่ในนั้น
    สัตว์ป่าทุกชนิดของประชาชาติ
นกกระทุงและเม่น
    จะทำรังอยู่ตามเสาหลัก
เสียงกู่ร้องที่หน้าต่าง
    สิ่งที่พังพินาศจะอยู่ที่ธรณีประตู
    และจะมองเห็นคานไม้ซีดาร์
15 นี่เป็นเมืองที่อยู่กันอย่างสบายๆ
    และปลอดภัย
ซึ่งนึกในใจดังนี้ว่า
    “เราเป็นอยู่ และไม่มีผู้อื่นใดนอกจากเรา”
นางได้กลายเป็นที่รกร้างอะไรเช่นนี้
    เป็นที่อยู่ของบรรดาสัตว์ป่า
คนทั้งหลายที่เดินผ่านนางไป
    ก็เย้ยหยันและยกกำปั้นขึ้น[j]

การลงโทษเยรูซาเล็มและบรรดาประชาชาติ

วิบัติจงเกิดแก่เมืองที่ฝ่าฝืน
    และเป็นมลทิน
เมืองนี้ไม่เชื่อฟังใคร
    ไม่ยอมรับการสั่งสอน
ไม่ไว้ใจพระผู้เป็นเจ้า
    และไม่ใกล้ชิดพระเจ้าของตน

บรรดาเจ้านายชั้นผู้ใหญ่ในเมือง
    ก็คือพวกสิงโตคำราม
บรรดาผู้ปกครองเมืองคือสุนัขป่าในยามค่ำ
    ซึ่งไม่มีอะไรเหลือทิ้งไว้สำหรับเวลาเช้า
บรรดาผู้เผยคำกล่าวของเมืองยโสโอหัง
    พวกเขาเป็นคนดุร้าย
บรรดาปุโรหิตของเมืองดูหมิ่นสิ่งบริสุทธิ์
    และพวกเขากระทำผิดต่อกฎบัญญัติ
พระผู้เป็นเจ้าผู้สถิตในเมืองนั้นมีความชอบธรรม
    พระองค์ทำสิ่งที่ถูกต้อง
ทุกๆ เช้าพระองค์ให้ความเป็นธรรม
    ทุกๆ วันใหม่พระองค์เป็นที่พึ่งได้เสมอ
    แต่คนที่ไม่ยุติธรรมไม่รู้สึกอับอาย

“เราได้ตัดขาดบรรดาประชาชาติ
    หลักยึดของพวกเขาพังพินาศ
เราได้ทำให้ถนนเป็นที่ร้าง
    ไม่มีใครเดินผ่านไปมาได้
เมืองทั้งหลายของพวกเขาถูกทำลายจนไม่เหลือแม้แต่ซาก
    ไม่มีผู้ชายสักคน ไม่มีผู้อยู่อาศัยสักคน
เราพูดดังนี้ว่า
    ‘เจ้าจะเกรงกลัวเราอย่างแน่นอน
    เจ้าจะยอมรับการสั่งสอน
แล้วที่อยู่อาศัยของเจ้าจะไม่ถูกกำจัด
    ตามที่เราได้กำหนดที่จะขัดขวางเจ้าในทุกสิ่ง’
แต่พวกเขายังกระตือรือร้น
    ที่จะทำทุกสิ่งให้เสื่อมทราม”

ฉะนั้น พระผู้เป็นเจ้าประกาศดังนี้
    “รอเราเพื่อวันที่เราจะลุกขึ้นให้คำพยาน
เพราะเราได้ตัดสินใจรวบรวมบรรดาประชาชาติ
    เพื่อเรียกประชุมบรรดาอาณาจักร
เพื่อกระหน่ำการลงโทษของเราลงบนพวกเขา
    และกระหน่ำความกริ้วอันร้อนแรงของเรา
เพราะความหวงแหนของเราลุกเป็นไฟ
    ทั่วทั้งโลกจะถูกเผาผลาญ

บรรดาประชาชาติเปลี่ยนความเชื่อ

เพราะในเวลานั้น เราจะทำให้คำพูด
    ของประชาชนบริสุทธิ์
เพื่อพวกเขาทุกคนจะออกพระนามของพระผู้เป็นเจ้า
    และรับใช้พระองค์ร่วมกัน
10 บรรดาผู้นมัสการซึ่งเป็นชนชาติของเราที่กระจัดกระจายไป
    จะนำของถวายจากโพ้นแม่น้ำของคูชมาให้เรา

11 ในวันนั้น เจ้าจะไม่ต้องอับอาย
    เพราะการกระทำผิดทั้งหลายที่เจ้ามีต่อเรา
เพราะเราจะกำจัดบรรดาผู้ที่โห่ร้อง
    ด้วยความยโสของพวกเขาไปเสียจากเมืองนี้
และพวกเจ้าจะไม่มีวันเย่อหยิ่งอยู่
    ในภูเขาอันบริสุทธิ์ของเราอีกต่อไป
12 แต่เราจะให้มีชนชาติที่ถ่อมตัวและมีใจอ่อนน้อม
    อยู่ในท่ามกลางพวกเจ้า
พวกเขาจะแสวงหาที่พึ่งในพระนามของพระผู้เป็นเจ้า
13 ผู้ที่มีชีวิตเหลืออยู่ของอิสราเอล
    จะไม่กระทำสิ่งใดที่ไม่เป็นธรรม
    และจะไม่พูดเท็จ
ลิ้นที่ลวงหลอก
    จะไม่อยู่ในปากของพวกเขา
พวกเขาจะรับประทานและนอนพัก
    และจะไม่มีผู้ใดทำให้พวกเขาหวาดผวา”

อิสราเอลยินดีและกลับคืนสู่สภาพเดิม

14 โอ ธิดาแห่งศิโยนเอ๋ย จงร้องเพลงเถิด
    โอ อิสราเอลเอ๋ย จงส่งเสียงดังเถิด
จงยินดีและโห่ร้องอย่างสุดจิตสุดใจ
    โอ ธิดาแห่งเยรูซาเล็มเอ๋ย
15 พระผู้เป็นเจ้าได้เอาการตัดสินโทษไปจากท่านแล้ว
    พระองค์ได้ทำให้บรรดาศัตรูของท่านหันกลับไปแล้ว
พระผู้เป็นเจ้ากษัตริย์แห่งอิสราเอลอยู่ท่ามกลางพวกท่าน
    ท่านจะไม่ต้องกลัวสิ่งเลวร้ายอีกต่อไปแล้ว
16 ในวันนั้น จะมีคนพูดกับเยรูซาเล็มดังนี้ว่า
“โอ ศิโยนเอ๋ย อย่ากลัวเลย
    อย่าให้มือของท่านอ่อนล้า
17 พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของท่านอยู่ท่ามกลางพวกท่าน
    พระองค์มีอานุภาพที่จะช่วยให้รอดพ้น
พระองค์จะชื่นชอบในตัวท่านด้วยความยินดี
    พระองค์จะให้ท่านสงบนิ่งด้วยความรักของพระองค์
พระองค์จะยินดีในตัวท่านด้วยการร้องเพลงเสียงดัง”
18 “เราจะทำให้พวกเจ้าหายจากความโศกเศร้ากับเทศกาลต่างๆ
    เนื่องจากสิ่งเหล่านั้นเป็นภาระ
    และเป็นที่ดูหมิ่นแก่พวกเจ้า
19 ดูเถิด ในเวลานั้น เราจะจัดการ
    กับบรรดาผู้กดขี่ข่มเหงของเจ้า
และเราจะช่วยคนง่อยให้รอด
    และรวบรวมบรรดาผู้ถูกขับไล่ไสส่ง
และเราจะให้พวกเขาได้รับการยกย่องและเกียรติ
    ในทุกแผ่นดินที่พวกเขาได้รับความอับอาย
20 ในเวลานั้น เราจะรวบรวมพวกเจ้า
    ในเวลานั้น เราจะพาพวกเจ้าเข้ามา
เราจะให้พวกเจ้าได้รับเกียรติและการยกย่อง
    ในท่ามกลางชนชาติทั้งปวงของแผ่นดินโลก
เมื่อเราทำให้เจ้าเห็นความอุดมสมบูรณ์ของเจ้าคืนสู่สภาพเดิม”
    พระผู้เป็นเจ้ากล่าวดังนั้น

คำบัญชาให้สร้างพระตำหนัก

ในปีที่สองของกษัตริย์ดาริอัส[k] วันแรกของเดือนที่หก[l] คำกล่าวของพระผู้เป็นเจ้ามาถึงเศรุบบาเบลบุตรของเชอัลทิเอลผู้ว่าราชการแห่งยูดาห์ และมาถึงโยชูวาบุตรของเยโฮซาดักหัวหน้ามหาปุโรหิต[m] โดยผ่านทางฮักกัยผู้เผยคำกล่าวของพระเจ้า พระผู้เป็นเจ้าจอมโยธากล่าวดังนี้ว่า “คนเหล่านี้พูดว่า ‘ยังไม่ถึงเวลาที่จะสร้างพระตำหนักของพระผู้เป็นเจ้า’” แล้วคำกล่าวของพระผู้เป็นเจ้าผ่านทางฮักกัยผู้เผยคำกล่าวของพระเจ้าดังนี้ว่า “นี่เป็นเวลาที่พวกเจ้าจะอาศัยอยู่ในบ้านซึ่งกรุด้วยไม้หรือ ในขณะที่ตำหนักนี้ยังปรักหักพังอยู่”[n] ฉะนั้น บัดนี้ พระผู้เป็นเจ้าจอมโยธากล่าวดังนี้ “จงพิจารณาวิถีทางของเจ้าให้รอบคอบ พวกเจ้าหว่านไว้มาก แต่เก็บเกี่ยวน้อยนิด พวกเจ้ารับประทาน แต่ไม่เคยพอ พวกเจ้าดื่ม แต่ก็ไม่จุใจ พวกเจ้าสวมใส่เสื้อผ้า แต่ไม่มีใครรู้สึกอบอุ่น และคนที่ได้รับค่าจ้างก็เก็บไว้ในกระเป๋าที่มีรูโหว่”

พระผู้เป็นเจ้าจอมโยธากล่าวดังนี้ว่า “จงพิจารณาวิถีทางของเจ้าให้รอบคอบ จงขึ้นไปยังเนินเขาขนไม้มา และสร้างตำหนัก เพื่อว่าเราจะได้พอใจที่จะอยู่ในนั้น และเราจะได้รับเกียรติ” พระผู้เป็นเจ้ากล่าวดังนั้น “พวกเจ้าหวังมาก ดูเถิด แต่กลับได้คืนมาเพียงนิดเดียว และเมื่อพวกเจ้านำมันกลับมาบ้าน เราก็ให้ลมพัดมันออกไป ทำไมจึงเป็นอย่างนั้น” พระผู้เป็นเจ้าจอมโยธาประกาศดังนี้ “เพราะตำหนักของเรายังปรักหักพังอยู่ ในขณะที่พวกเจ้าแต่ละคนกลับง่วนอยู่กับบ้านของตนเอง 10 ฉะนั้น เป็นเพราะพวกเจ้า ฟ้าสวรรค์จึงไม่เอื้อหยาดน้ำค้าง และแผ่นดินโลกไม่ให้ผลผลิต 11 เราได้ทำให้ฝนแล้งในแผ่นดินและเนินเขา ในธัญพืช เหล้าองุ่นใหม่ และน้ำมัน ในสิ่งใดก็ตามที่แผ่นดินผลิตได้ ในมนุษย์และสัตว์เลี้ยง และในแรงงานของพวกเขาทั้งหลาย”

ประชาชนเชื่อฟังพระผู้เป็นเจ้า

12 ครั้นแล้ว เศรุบบาเบลบุตรของเชอัลทิเอล และโยชูวาบุตรของเยโฮซาดักหัวหน้ามหาปุโรหิต พร้อมกันกับประชาชนที่เหลืออยู่จึงเชื่อฟังพระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของพวกเขา และเชื่อฟังคำของฮักกัยผู้เผยคำกล่าวของพระเจ้า ตามที่พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของพวกเขาได้ส่งท่านไป และประชาชนเกรงกลัวพระผู้เป็นเจ้า 13 และฮักกัยผู้นำข่าวของพระผู้เป็นเจ้าตามคำมอบหมายของพระผู้เป็นเจ้าแก่ประชาชนว่า พระผู้เป็นเจ้าประกาศดังนี้ “เราอยู่กับพวกเจ้า” 14 และพระผู้เป็นเจ้ากระตุ้นจิตวิญญาณของเศรุบบาเบลบุตรของเชอัลทิเอลผู้ว่าราชการแห่งยูดาห์ และจิตวิญญาณของโยชูวาบุตรของเยโฮซาดักหัวหน้ามหาปุโรหิต และจิตวิญญาณของประชาชนที่เหลือทั้งหมด เขาทั้งปวงจึงเข้ามาและเริ่มสร้างพระตำหนักของพระผู้เป็นเจ้าจอมโยธา พระเจ้าของพวกเขา 15 ในวันที่ยี่สิบสี่ของเดือนหก ในปีที่สองของกษัตริย์ดาริอัส

พระบารมีของพระตำหนัก

ในวันที่ยี่สิบเอ็ดของเดือนเจ็ด คำกล่าวของพระผู้เป็นเจ้าผ่านทางฮักกัยผู้เผยคำกล่าวของพระเจ้าดังนี้ว่า “จงพูดกับเศรุบบาเบลบุตรของเชอัลทิเอลผู้ว่าราชการแห่งยูดาห์ กับโยชูวาบุตรของเยโฮซาดักหัวหน้ามหาปุโรหิต และกับประชาชนที่เหลือ จงถามพวกเขาดังนี้ว่า ‘ในบรรดาพวกเจ้าที่เหลืออยู่นี้ มีใครบ้างที่เห็นตำหนักนี้เมื่อครั้งที่ความสง่างามปรากฏตั้งแต่แรก แล้วเจ้าเห็นว่าเป็นอย่างไรในเวลานี้ ในสายตาของเจ้าคงดูเหมือนว่าไม่เห็นอะไรเลย’” พระผู้เป็นเจ้าประกาศดังนี้ “แต่จงเข้มแข็งเถิด เศรุบบาเบลเอ๋ย จงเข้มแข็งเถิด โยชูวาบุตรเยโฮซาดักหัวหน้ามหาปุโรหิต จงเข้มแข็งเถิด พวกเจ้าทุกคนที่เป็นประชาชนของแผ่นดิน” พระผู้เป็นเจ้าประกาศดังนั้น “จงปฏิบัติงาน เพราะเราอยู่กับพวกเจ้า” พระผู้เป็นเจ้าจอมโยธาประกาศดังนั้น “ตามพันธสัญญาที่เราได้ทำไว้กับพวกเจ้าเมื่อเจ้าออกจากอียิปต์ วิญญาณของเราอยู่ท่ามกลางพวกเจ้า อย่ากลัวเลย” พระผู้เป็นเจ้าจอมโยธากล่าวดังนี้ “อีกไม่นาน เราจะทำให้ฟ้าสวรรค์และแผ่นดินโลก ทะเลและแผ่นดินแห้งสั่นสะเทือนอีกครั้งหนึ่ง[o] และเราจะทำให้ประชาชาติทั้งปวงได้รับผลกระทบ และสมบัติของประชาชาติทั้งปวงจะเข้ามา และเราจะให้ตำหนักนี้เต็มด้วยความสง่างาม” พระผู้เป็นเจ้าจอมโยธากล่าวดังนั้น “เงินเป็นของเรา และทองคำก็เป็นของเรา” พระผู้เป็นเจ้าจอมโยธาประกาศดังนั้น “ความสง่างามของตำหนักในครั้งนี้จะยิ่งใหญ่กว่าความสง่างามในครั้งแรก” พระผู้เป็นเจ้าจอมโยธากล่าวดังนั้น “และเราจะให้ความสงบสุขแก่ที่แห่งนี้” พระผู้เป็นเจ้าจอมโยธาประกาศดังนั้น

พระพรสำหรับชนชาติที่มีมลทิน

10 ในวันที่ยี่สิบสี่ของเดือนเก้า ในปีที่สองของดาริอัส คำกล่าวของพระผู้เป็นเจ้าผ่านทางฮักกัยผู้เผยคำกล่าวของพระเจ้าดังนี้ว่า 11 พระผู้เป็นเจ้าจอมโยธากล่าวดังนี้ว่า ‘จงถามบรรดาปุโรหิตเรื่องกฎบัญญัติ 12 ถ้าผู้ใดผู้หนึ่งมีเนื้อสัตว์ที่เป็นเครื่องสักการะติดที่ชายเสื้อ และชายเสื้อนั้นแตะขนมปังหรือสตู เหล้าองุ่น น้ำมัน หรืออาหารอื่นๆ แล้วเนื้อนั้นยังจะบริสุทธิ์อยู่หรือ’” บรรดาปุโรหิตตอบว่า “มันจะไม่บริสุทธิ์” 13 ฮักกัยถามว่า “ถ้าผู้ใดผู้หนึ่งมีมลทินจากการแตะต้องศพคนตาย แล้วแตะต้องสิ่งใดสิ่งหนึ่งดังกล่าว สิ่งนั้นจะเป็นมลทินหรือ” บรรดาปุโรหิตตอบว่า “มันจะเป็นมลทิน” 14 ฮักกัยจึงตอบว่า “พระผู้เป็นเจ้าประกาศดังนี้ว่า ‘ชนชาตินี้และประชาชาตินี้ก็เป็นอย่างนั้น ณ เบื้องหน้าเรา ไม่ว่าอะไรที่เขาถวายและกระทำ ล้วนเป็นมลทิน 15 บัดนี้จงพิจารณาว่าอะไรจะเกิดขึ้นตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ก่อนที่ก้อนหินจะถูกวางซ้อนกันในพระวิหารของพระผู้เป็นเจ้า 16 เมื่อมีคนต้องการธัญพืช 20 กระสอบ แต่มีเพียง 10 กระสอบที่กองธัญพืช เมื่อมีคนมาที่ถังเหล้าองุ่นเพื่อตวง 50 ถัง แต่มีเพียง 20 ถัง 17 เรากำจัดทุกสิ่งที่เจ้าใช้มือลงแรงทำด้วยลมร้อนแห้ง ด้วยเชื้อรา และด้วยลูกเห็บ แต่พวกเจ้าก็ยังไม่หันมาหาเรา’” พระผู้เป็นเจ้าประกาศดังนั้น 18 “จงพิจารณาตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ตั้งแต่วันที่ยี่สิบสี่ของเดือนเก้า ตั้งแต่วันที่วางฐานรากของพระวิหารของพระผู้เป็นเจ้า พวกเจ้าจงพิจารณาให้รอบคอบเถิด 19 มีเมล็ดข้าวในยุ้งฉางบ้างไหม จนถึงเวลานี้แล้ว เถาองุ่น ต้นมะเดื่อ ทับทิม และต้นมะกอกก็ยังไม่ออกผลเลย แต่นับจากวันนี้ไป เราจะให้พรแก่เจ้า”

เศรุบบาเบลได้รับเลือก

20 คำกล่าวของพระผู้เป็นเจ้ามาถึงฮักกัยเป็นครั้งที่สองในวันที่ยี่สิบสี่ของเดือนดังนี้ว่า 21 “จงพูดกับเศรุบบาเบลผู้ว่าราชการแห่งยูดาห์ดังนี้ ‘เรากำลังจะทำให้ฟ้าสวรรค์และแผ่นดินโลกสั่นสะเทือน 22 และโค่นบัลลังก์ของอาณาจักรทั้งหลาย เรากำลังจะทำให้อำนาจของอาณาจักรทั้งหลายของบรรดาประชาชาติพินาศ และเราจะคว่ำรถศึกและสารถี ทั้งม้าและสารถีจะล้มลง พี่น้องของพวกเขาเองจะใช้ดาบฆ่าฟันพวกเขา’” 23 ในวันนั้น พระผู้เป็นเจ้าจอมโยธาประกาศดังนี้ “โอ เศรุบบาเบลผู้รับใช้ของเรา บุตรเชอัลทิเอลเอ๋ย เราจะรับเจ้า และทำให้เจ้าเป็นเช่นเดียวกับแหวนตรา เพราะเราได้เลือกเจ้าแล้ว”

เรียกให้กลับมาหาพระผู้เป็นเจ้า

ในเดือนแปด ปีที่สองของดาริอัส[p] คำกล่าวของพระผู้เป็นเจ้ามาถึงเศคาริยาห์ผู้เผยคำกล่าวของพระเจ้า ซึ่งเป็นบุตรของเบเรคิยาห์ผู้เป็นบุตรของอิดโด ดังนี้ว่า พระผู้เป็นเจ้ากริ้วบรรพบุรุษของพวกเจ้ามาก ฉะนั้นจงบอกพวกเขาว่า พระผู้เป็นเจ้าจอมโยธาประกาศดังนี้ ‘จงกลับมาหาเรา’ พระผู้เป็นเจ้าจอมโยธาประกาศดังนี้ ‘และเราจะกลับมาหาพวกเจ้า’” พระผู้เป็นเจ้าจอมโยธากล่าวดังนั้น อย่าเป็นอย่างบรรพบุรุษของพวกท่าน ซึ่งบรรดาผู้เผยคำกล่าวของพระเจ้ารุ่นก่อนๆ ร้องบอกไว้ว่า “พระผู้เป็นเจ้าจอมโยธากล่าวดังนี้ ‘จงหันไปจากวิถีทางอันชั่วร้ายของพวกเจ้า และจากการกระทำอันชั่วร้าย’” แต่พวกเขาไม่ฟังและไม่เอาใจใส่ พระผู้เป็นเจ้าจอมโยธาประกาศดังนั้น “บรรพบุรุษของพวกเจ้าอยู่ไหนล่ะ และบรรดาผู้เผยคำกล่าวของพระเจ้ามีชีวิตยั่งยืนตลอดไปหรือ แต่คำกล่าวของเราและกฎเกณฑ์ของเราซึ่งเราบัญชาแก่บรรดาผู้เผยคำกล่าวผู้รับใช้ของเรานั้น ได้เกิดขึ้นกับพวกเขาตามที่เรากล่าวแล้วมิใช่หรือ พวกเขาได้กลับใจและพูดว่า ‘พระผู้เป็นเจ้าจอมโยธาได้กระทำต่อพวกเราสมกับวิถีทางและความประพฤติของพวกเรา อย่างที่พระองค์ประสงค์ต่อพวกเรา’”

ภาพนิมิตทหารม้า

ในวันที่ยี่สิบสี่ เดือนสิบเอ็ด ซึ่งเป็นเดือนเชบัท ในปีที่สองของดาริอัส คำกล่าวของพระผู้เป็นเจ้ามาถึงเศคาริยาห์ผู้เผยคำกล่าวของพระเจ้า ซึ่งเป็นบุตรของเบเรคิยาห์ผู้เป็นบุตรของอิดโด ดังที่เศคาริยาห์กล่าวคือ ดูเถิด ในเวลากลางคืน ข้าพเจ้าเห็นชายผู้หนึ่งขี่ม้าสีแดง ท่านยืนอยู่ท่ามกลางต้นเมอร์เทิลในหุบเขา ข้างหลังชายผู้นั้นมีม้าสีแดง น้ำตาล และขาว ข้าพเจ้าถามว่า “นายท่าน นี่คืออะไร” ทูตสวรรค์ที่กำลังพูดกับข้าพเจ้าตอบว่า “เราจะชี้ให้ท่านเห็นว่า นี่คืออะไร” 10 ดังนั้นชายที่ยืนอยู่ท่ามกลางต้นเมอร์เทิลตอบว่า “เขาเหล่านี้คือผู้ที่พระผู้เป็นเจ้าได้ส่งมาเพื่อตรวจตราทั่วแผ่นดินโลก” 11 และเขาทั้งหลายตอบทูตสวรรค์ของพระผู้เป็นเจ้า ซึ่งยืนอยู่ท่ามกลางต้นเมอร์เทิลดังนี้ว่า “พวกเราได้ตรวจตราทั่วแผ่นดินโลกแล้ว และดูเถิด ทั่วโลกอยู่ในความสันติสุข” 12 ครั้นแล้ว ทูตสวรรค์ของพระผู้เป็นเจ้าพูดว่า “โอ พระผู้เป็นเจ้าจอมโยธา พระองค์จะไม่มีเมตตาต่อเยรูซาเล็มและเมืองทั้งหลายในยูดาห์นานเพียงไร พระองค์โกรธเคืองพวกเขามาเป็นเวลา 70 ปีแล้ว”[q] 13 พระผู้เป็นเจ้าตอบด้วยคำพูดซึ่งกอปรด้วยความกรุณา และปลอบประโลมทูตสวรรค์ที่พูดกับข้าพเจ้า 14 ดังนั้นทูตสวรรค์ที่พูดอยู่กับข้าพเจ้าบอกข้าพเจ้าว่า “พระผู้เป็นเจ้ากล่าวว่า จงร้องบอกดังนี้ ‘เราหวงแหนเยรูซาเล็มและศิโยนยิ่งนัก 15 และเราเกรี้ยวโกรธบรรดาประชาชาติมากที่ไม่สะทกสะท้านอะไร แต่แรกเรากริ้วพวกเขาเพียงเล็กน้อย แต่ประชาชาติกระทำต่อพวกเขาเกินความตั้งใจของเรา’ 16 ฉะนั้น พระผู้เป็นเจ้ากล่าวดังนี้ ‘เราจะกลับมายังเยรูซาเล็มพร้อมกับความเมตตา และตำหนักของเราจะถูกสร้างขึ้นใหม่ และเชือกที่ขึงจะเหยียดไปที่เยรูซาเล็ม’ พระผู้เป็นเจ้าจอมโยธาประกาศดังนั้น 17 จงร้องบอกต่อไปอีกว่า พระผู้เป็นเจ้าจอมโยธากล่าวดังนี้ ‘เมืองทั้งหลายของเราจะเปี่ยมล้นด้วยความมั่งมี และพระผู้เป็นเจ้าจะปลอบประโลมศิโยนและเลือกเยรูซาเล็มอีก’”

ภาพนิมิตเขาสัตว์และช่างฝีมือ

18 ดูเถิด ข้าพเจ้าเงยหน้าขึ้น และแลเห็นเขาสัตว์ 4 เขา 19 ข้าพเจ้าถามทูตสวรรค์ซึ่งพูดกับข้าพเจ้าว่า “นี่คืออะไร” ท่านตอบข้าพเจ้าว่า “เขาสัตว์เหล่านี้เป็นเขาสัตว์ที่ทำให้ยูดาห์ อิสราเอล และเยรูซาเล็มกระจัดกระจายไป” 20 หลังจากนั้นพระผู้เป็นเจ้าให้ข้าพเจ้าเห็นช่างฝีมือ 4 คน 21 ข้าพเจ้าถามว่า “คนเหล่านี้มาทำอะไร” พระองค์ตอบว่า “นี่คือเขาสัตว์ 4 เขาที่ทำให้ยูดาห์กระจัดกระจายไป และทำให้ไม่มีผู้ใดเงยศีรษะขึ้นได้ ช่างฝีมือเหล่านี้มาเพื่อทำให้พวกเขาหวาดกลัว เพื่อเหวี่ยงเขาสัตว์ของบรรดาประชาชาติลง ประชาชาติเหล่านี้ยกเขาสัตว์ของพวกเขาต่อต้านแผ่นดินของยูดาห์เพื่อให้กระจัดกระจายไป”

ภาพนิมิตชายผู้หนึ่งกับเชือกที่ขึง

ดูเถิด ข้าพเจ้าเงยหน้าขึ้น และแลเห็นชายผู้หนึ่งถือเชือกที่ขึงอยู่ในมือ และข้าพเจ้าถามว่า “ท่านกำลังจะไปไหน” ท่านตอบข้าพเจ้าว่า “จะไปวัดเยรูซาเล็มเพื่อดูว่า ขนาดกว้างและยาวเท่าไหร่” ดูเถิด ทูตสวรรค์ที่พูดกับข้าพเจ้าก้าวเท้าออกมา และทูตสวรรค์อีกท่านก้าวเท้าออกมา และพูดกับท่านนั้นว่า “รีบวิ่งไปบอกชายหนุ่มคนนั้นดังนี้ว่า ‘เยรูซาเล็มจะเป็นเมืองที่ไม่มีกำแพงล้อม แม้ว่าจะมีประชาชนและสัตว์เลี้ยงจำนวนมากอาศัยอยู่ก็ตาม และเราจะเป็นกำแพงไฟให้กับเมืองโดยรอบ’ พระผู้เป็นเจ้าประกาศดังนั้น ‘และเราจะเป็นบารมีในท่ามกลางเมือง’”

พระผู้เป็นเจ้าประกาศดังนี้ “ไปเถิด ไปเถิด หนีไปจากแผ่นดินของทิศเหนือ เพราะเราได้ทำให้พวกเจ้ากระจัดกระจายออกไปยังลมทั้งสี่ของฟ้าสวรรค์

ศิโยนเอ๋ย ไปเถิด จงหนีไป เจ้าเป็นผู้ที่อาศัยอยู่กับธิดาแห่งบาบิโลน” พระองค์ส่งข้าพเจ้าไปยังบรรดาประชาชาติที่ได้ปล้นพวกท่าน เพราะผู้ใดก็ตามที่แตะต้องพวกท่าน เท่ากับเขาแตะต้องแก้วตาของพระองค์ ด้วยว่าพระผู้เป็นเจ้าจอมโยธากล่าวดังนี้ “เราจะยกมือของเราต่อต้านพวกเขาอย่างแน่นอน และบรรดาทาสรับใช้พวกเขาจะปล้นพวกเขาเอง” และพวกท่านจะทราบว่าพระผู้เป็นเจ้าจอมโยธาได้ส่งข้าพเจ้ามา 10 “โอ ธิดาแห่งศิโยนเอ๋ย จงร้องตะโกนและชื่นชมยินดี เพราะเรากำลังมา และเราจะอยู่ท่ามกลางเจ้า พระผู้เป็นเจ้าประกาศดังนั้น 11 ประชาชาติจำนวนมากจะร่วมกับพระผู้เป็นเจ้าในวันนั้น และจะมาเป็นชนชาติของเรา เราจะอยู่ในท่ามกลางเจ้า” และท่านจะทราบว่าพระผู้เป็นเจ้าจอมโยธาได้ส่งข้าพเจ้ามาให้ท่าน 12 พระผู้เป็นเจ้าจะยึดครองยูดาห์เป็นมรดกส่วนหนึ่งของพระองค์ในแผ่นดินอันบริสุทธิ์ และจะเลือกเยรูซาเล็มอีก

13 มนุษย์ทั้งหลายจงนิ่งเงียบ ณ เบื้องหน้าพระผู้เป็นเจ้า เพราะพระองค์กระตุ้นพระองค์เองขึ้นจากที่อันบริสุทธิ์ซึ่งพระองค์สถิต

ภาพนิมิตโยชูวาหัวหน้ามหาปุโรหิต

และพระองค์ให้ข้าพเจ้าเห็นโยชูวาหัวหน้ามหาปุโรหิต[r] ซึ่งยืนอยู่ที่เบื้องหน้าทูตสวรรค์ของพระผู้เป็นเจ้า และซาตานยืนที่เบื้องขวาเขาเพื่อจะกล่าวหาเขา พระผู้เป็นเจ้ากล่าวกับซาตานว่า “พระผู้เป็นเจ้าห้ามเจ้า[s] โอ ซาตานเอ๋ย พระผู้เป็นเจ้าผู้ที่ได้เลือกเยรูซาเล็มห้ามเจ้า นี่คือท่อนไม้ที่ลุกเป็นไฟและถูกดึงออกจากกองไฟมิใช่หรือ” โยชูวาสวมเสื้อผ้าสกปรกและกำลังยืนอยู่ที่เบื้องหน้าทูตสวรรค์ และทูตสวรรค์พูดกับบรรดาผู้ยืนอยู่ที่เบื้องหน้าท่านว่า “จงถอดเสื้อผ้าสกปรกของเขาออก” และท่านพูดกับเขาว่า “ดูเถิด เราได้เอาบาปของเจ้าไปจากเจ้าแล้ว และเราจะให้เจ้าได้ใส่เสื้อผ้าอันบริสุทธิ์” และข้าพเจ้าพูดว่า “ให้พวกเขาโพกศีรษะเขาด้วยผ้าที่สะอาดเถิด” ดังนั้น พวกเขาก็โพกศีรษะให้ และสวมเสื้อผ้าให้เขา และทูตสวรรค์ของพระผู้เป็นเจ้าก็ยืนอยู่ที่นั่น

แล้วทูตสวรรค์ของพระผู้เป็นเจ้าสั่งโยชูวาว่า พระผู้เป็นเจ้าจอมโยธากล่าวดังนี้ “ถ้าเจ้าจะดำเนินตามวิถีทางของเรา และทำตามคำสั่งของเรา เจ้าก็จะจัดการในเรื่องตำหนักของเรา และดูแลลานตำหนักของเรา และเราจะให้เจ้ามีสิทธิเข้านอกออกในเช่นเดียวกับบรรดาผู้ที่ยืนอยู่ที่นี่ โอ โยชูวาหัวหน้ามหาปุโรหิตเอ๋ย ทั้งตัวเจ้าและบรรดาเพื่อนๆ ของเจ้าที่นั่งอยู่ตรงหน้าเจ้าจงฟังเถิด ด้วยว่า พวกเขาเป็นผู้ชายซึ่งเป็นสัญลักษณ์ ดูเถิด เราจะนำผู้รับใช้ของเรามาคืออังกูร[t] ดูเถิด บนหินที่เราได้ตั้งไว้ตรงหน้าโยชูวา มีตา 7 ตาบนหิน 1 ก้อน” พระผู้เป็นเจ้าจอมโยธาประกาศดังนี้ว่า “เราจะสลักคำจารึก และเราจะเอาบาปออกจากแผ่นดินนี้ภายในวันเดียว” 10 พระผู้เป็นเจ้าจอมโยธาประกาศดังนี้ว่า “ในวันนั้น ทุกคนในพวกเจ้าจะเชิญเพื่อนบ้านของเขามาที่ใต้ร่มเถาองุ่นและใต้ร่มต้นมะเดื่อของเขา”

ภาพนิมิตคันประทีปทองคำ

ทูตสวรรค์ที่พูดกับข้าพเจ้ามาหาและปลุกให้ตื่น ข้าพเจ้าเป็นเหมือนคนที่ถูกปลุกให้ตื่นจากที่ได้หลับสนิท ท่านพูดกับข้าพเจ้าว่า “ท่านเห็นอะไร” ข้าพเจ้าตอบว่า “ดูเถิด ข้าพเจ้าเห็นคันประทีปทองคำล้วนซึ่งมีภาชนะ 1 ใบบนยอด และมีดวงประทีป 7 ดวงบนนั้น มีท่อ 7 ท่อโยงกับดวงประทีปแต่ละดวงที่อยู่บนยอด มีต้นมะกอก 2 ต้นอยู่ข้างๆ ต้นหนึ่งอยู่ด้านขวาภาชนะ และอีกต้นอยู่ด้านซ้าย” และข้าพเจ้าถามทูตสวรรค์ที่พูดกับข้าพเจ้าว่า “นายท่าน นี่คืออะไร” แล้วทูตสวรรค์ที่พูดกับข้าพเจ้าตอบว่า “ท่านไม่ทราบหรือว่า สิ่งเหล่านี้คืออะไร” ข้าพเจ้าตอบว่า “ข้าพเจ้าไม่ทราบหรอก นายท่าน” ท่านจึงตอบข้าพเจ้าว่า “พระผู้เป็นเจ้ากล่าวกับเศรุบบาเบลดังนี้ว่า ‘ไม่ใช่ด้วยฤทธานุภาพ หรือด้วยอานุภาพ แต่ด้วยวิญญาณของเรา’ พระผู้เป็นเจ้าจอมโยธากล่าวดังนั้น

โอ ภูเขาอันยิ่งใหญ่ เจ้าเป็นใคร เจ้าจะกลายเป็นพื้นดินราบที่ตรงหน้าเศรุบบาเบล แล้วเขาจะวางศิลามุมเอกในขณะที่มีเสียงโห่ร้องว่า ‘พระคุณ พระคุณแด่ศิลา’”

แล้วคำกล่าวของพระผู้เป็นเจ้ามาถึงข้าพเจ้าดังนี้ “เศรุบบาเบลได้วางฐานรากของพระวิหารนี้ และเขาจะเป็นผู้สร้างให้เสร็จ แล้วท่านจะทราบว่าพระผู้เป็นเจ้าจอมโยธาได้ส่งเรามา 10 ใครดูหมิ่นวันแห่งความคืบหน้าอันน้อยนิด เขาทั้งหลายจะชื่นชมยินดีและจะเห็นสายดิ่งอยู่ในมือของเศรุบบาเบล ดวงประทีปทั้งเจ็ดนี้คือตาของพระผู้เป็นเจ้า ซึ่งมองเห็นได้ทั่วทั้งโลก” 11 ข้าพเจ้าพูดกับท่านว่า “ต้นมะกอก 2 ต้นนี้คืออะไร ต้นที่อยู่ด้านขวาและด้านซ้ายของคันประทีป” 12 ข้าพเจ้าตอบครั้งที่สองเป็นคำถามว่า “กิ่งของต้นมะกอก 2 กิ่งนี้คืออะไร เป็นกิ่งที่ข้างท่อทองคำ 2 ท่อซึ่งมีน้ำมันทองไหลออกมา” 13 ท่านตอบว่า “ท่านไม่ทราบหรือว่าท่อเหล่านี้คืออะไร” ข้าพเจ้าตอบว่า “ข้าพเจ้าไม่ทราบหรอก นายท่าน” 14 ท่านตอบว่า “นี่คือคนทั้งสองที่ได้รับการเจิม เป็นผู้ที่ยืนข้างพระผู้เป็นเจ้าของทั่วแหล่งหล้า”

ภาพนิมิตหนังสือม้วนเหาะ

ดูเถิด ข้าพเจ้าเงยหน้าขึ้นอีก และแลเห็นหนังสือม้วนเหาะได้ ท่านถามข้าพเจ้าว่า “ท่านเห็นอะไร” ข้าพเจ้าตอบว่า “ข้าพเจ้าเห็นหนังสือม้วนเหาะ มีความยาว 20 ศอก และกว้าง 10 ศอก” ท่านพูดกับข้าพเจ้าว่า “นี่คือคำสาปแช่งที่ออกไปทั่วแผ่นดินโลก เพราะทุกคนที่ลักขโมยจะถูกกำจัดให้สิ้นไป ตามที่เขียนไว้บนด้านหนึ่ง และทุกคนที่ให้คำสาบานเท็จจะถูกกำจัดให้สิ้นไป ตามที่เขียนไว้อีกด้านหนึ่ง” พระผู้เป็นเจ้าจอมโยธาประกาศดังนี้ว่า “เราจะส่งหนังสือม้วนออกไป และมันจะเข้าไปในบ้านของผู้ลักขโมยและของผู้ที่ให้คำสาบานเท็จด้วยนามของเรา และมันจะอยู่ในบ้านของเขา และทำลายบ้านนั้นเสียทั้งส่วนที่เป็นไม้และหิน”

ภาพนิมิตหญิงผู้หนึ่งในตะกร้า

แล้วทูตสวรรค์ที่พูดกับข้าพเจ้าก็ก้าวออกมา และพูดกับข้าพเจ้าว่า “จงเงยหน้าและดูว่า นี่คืออะไร สิ่งที่กำลังจะออกไป” ข้าพเจ้าถามว่า “นี่คืออะไร” ท่านตอบว่า “นี่คือตะกร้าที่กำลังจะออกไป” ท่านพูดว่า “นี่คือบาปของพวกเขาทั่วแหล่งหล้า” ดูเถิด ฝาตะกั่วเปิดออก และมีหญิงผู้หนึ่งนั่งอยู่ในตะกร้า และท่านพูดว่า “นี่คือความชั่วร้าย” และท่านกดนางกลับเข้าไปในตะกร้า และกดฝาตะกั่วปิดปากตะกร้า

ดูเถิด แล้วข้าพเจ้าเงยหน้าขึ้น และแลเห็นผู้หญิง 2 คนก้าวออกมา ลมพัดปีกของนางทั้งสอง ซึ่งเหมือนปีกนกกระสา และนางยกตะกร้าขึ้นระหว่างแผ่นดินโลกและฟ้าสวรรค์ 10 และข้าพเจ้าถามทูตสวรรค์ที่พูดกับข้าพเจ้าว่า “นางทั้งสองจะเอาตะกร้าไปไหน” 11 ท่านตอบว่า “ไปยังแผ่นดินของชินาร์[u] เพื่อสร้างบ้านให้ตะกร้า เมื่อสร้างเสร็จ ตะกร้าจะถูกวางไว้บนฐานตั้งของมัน”

ภาพนิมิตรถศึก 4 คัน

ดูเถิด ข้าพเจ้าเงยหน้าขึ้นอีก และแลเห็นรถศึก 4 คันออกมาระหว่างภูเขาทองสัมฤทธิ์ 2 ลูก รถศึกแต่ละคันมีม้าหลายตัว คันแรกมีม้าสีแดง คันที่สองมีม้าสีดำ คันที่สามมีม้าสีขาว คันที่สี่มีม้าด่างสีเทา ม้าทุกตัวแข็งแรง แล้วข้าพเจ้าถามทูตสวรรค์ที่พูดกับข้าพเจ้าว่า “นี่คืออะไร นายท่าน” ทูตสวรรค์ตอบข้าพเจ้าว่า “หลังจากที่พวกเขายืน ณ เบื้องหน้าพระผู้เป็นเจ้าของแผ่นดินโลกแล้ว ก็จะออกไปยังลมทั้งสี่ของฟ้าสวรรค์ รถศึกที่มีม้าสีดำไปทางทิศเหนือของแผ่นดิน ม้าสีขาวก็ตามไป และม้าด่างสีเทาไปทางทิศใต้ของแผ่นดิน” เมื่อพวกม้าตัวที่แข็งแรงออกมา มันร้อนใจที่จะไปตรวจตราแผ่นดินโลก ท่านพูดว่า “จงออกไปตรวจตราแผ่นดินโลก” ม้าเหล่านั้นก็ออกไปตรวจตราแผ่นดินโลก แล้วท่านร้องบอกข้าพเจ้าว่า “ดูเถิด พวกตัวที่ไปทางทิศเหนือของแผ่นดินทำให้วิญญาณของเราสงบลงในแผ่นดินทางทิศเหนือ”

มงกุฎและพระวิหาร

คำกล่าวของพระผู้เป็นเจ้ามาถึงข้าพเจ้าดังนี้ 10 “จงนำเฮลดัย โทบียาห์ และเยดายาห์ออกจากการเป็นเชลยที่บาบิโลน พวกเขาได้มาถึงแล้ว และในวันเดียวกันก็จงไปบ้านของโยสิยาห์บุตรของเศฟันยาห์ 11 จงเอาเงินและทองคำจากพวกเขา แล้วเอาไปทำเป็นมงกุฎ และสวมบนศีรษะโยชูวาหัวหน้ามหาปุโรหิต ซึ่งเป็นบุตรของเยโฮซาดัก 12 และบอกเขาดังนี้ว่า ‘พระผู้เป็นเจ้าจอมโยธากล่าวว่า นี่คือบุรุษที่ชื่ออังกูร เขาจะแตกหน่อออกไปจากที่ของเขา และเขาจะสร้างพระวิหารของพระผู้เป็นเจ้า 13 เขานั่นแหละที่จะเป็นผู้สร้างพระวิหารของพระผู้เป็นเจ้า และจะได้รับเกียรติอันยิ่งใหญ่ จะนั่งปกครองบนบัลลังก์ของเขา และจะเป็นปุโรหิตบนบัลลังก์ของเขา การปฏิบัติงานทั้งสองจะประสานกันด้วยความสันติสุข’ 14 มงกุฎจะอยู่ในพระวิหารของพระผู้เป็นเจ้าเพื่อเป็นการเตือนให้ระลึกถึงเฮลดัย โทบียาห์ เยดายาห์ และเฮนบุตรของเศฟันยาห์

15 และบรรดาผู้ที่อยู่แดนไกลจะมาช่วยสร้างพระวิหารของพระผู้เป็นเจ้า และท่านจะทราบว่า พระผู้เป็นเจ้าจอมโยธาได้ส่งข้าพเจ้ามาหาพวกท่าน และสิ่งดังกล่าวจะเกิดขึ้น ถ้าท่านจะเชื่อฟังพระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของท่านอย่างจริงจัง”

การร้องขอความเป็นธรรมและเมตตา

ในปีที่สี่ของกษัตริย์ดาริอัส คำกล่าวของพระผู้เป็นเจ้ามาถึงเศคาริยาห์ ในวันที่สี่ เดือนเก้าซึ่งเป็นเดือนคิสเลฟ[v] ประชาชนของเบธเอลได้ส่งชาเรเซอร์ เรเกมเมเลค และพรรคพวกของพวกเขา เพื่อไปถามพระผู้เป็นเจ้าอย่างจริงใจ โดยถามบรรดาปุโรหิตของพระตำหนักของพระผู้เป็นเจ้าจอมโยธา และพูดกับบรรดาผู้เผยคำกล่าวของพระเจ้าว่า “ข้าพเจ้าควรจะร้องไห้และอดอาหารในเดือนห้า อย่างที่ข้าพเจ้าทำมาเป็นเวลาหลายปีหรือไม่”

และคำกล่าวของพระผู้เป็นเจ้าจอมโยธาก็มาถึงข้าพเจ้าดังนี้ว่า “จงบอกประชาชนทั้งปวงของแผ่นดินและบรรดาปุโรหิตว่า เวลาพวกเจ้าอดอาหารและครวญคร่ำร่ำไห้ในเดือนห้าและเดือนเจ็ด ในช่วงเวลา 70 ปีที่ผ่านมานั้น เจ้าอดอาหารเพื่อเราหรือ และเวลาพวกเจ้ารับประทานและดื่ม พวกเจ้ารับประทานและดื่มเพื่อพวกเจ้าเองมิใช่หรือ พระผู้เป็นเจ้าประกาศผ่านบรรดาผู้เผยคำกล่าวของพระเจ้ารุ่นก่อนๆ เป็นคำกล่าวเหล่านี้มิใช่หรือ เมื่อเยรูซาเล็มและเมืองต่างๆ รอบข้างมีผู้คนอาศัยอยู่และเจริญรุ่งเรือง รวมทั้งเนเกบและเนินเขาเชเฟลาห์ด้วย”

และคำกล่าวของพระผู้เป็นเจ้าก็มาถึงเศคาริยาห์ว่า พระผู้เป็นเจ้าจอมโยธากล่าวดังนี้ “จงปกครองด้วยความเป็นธรรมอย่างแท้จริง แสดงความเมตตาและความสงสารต่อกันและกัน 10 อย่ากดขี่ข่มเหงหญิงม่ายหรือเด็กกำพร้าพ่อ คนต่างด้าวหรือผู้ยากไร้ และอย่าคิดร้ายในใจต่อกัน” 11 แต่พวกเขาปฏิเสธที่จะใส่ใจ และยังหัวรั้นหันหลัง และทำหูทวนลมไม่ฟัง 12 พวกเขาทำจิตใจแข็งกระด้างดั่งหินเหล็กไฟ ไม่ฟังกฎบัญญัติและคำกล่าวที่พระผู้เป็นเจ้าจอมโยธาได้ส่งมาให้โดยพระวิญญาณผ่านบรรดาผู้เผยคำกล่าวของพระเจ้ารุ่นก่อนๆ ฉะนั้นความกริ้วอันร้อนแรงจึงมาจากพระผู้เป็นเจ้าจอมโยธา 13 “เวลาเราร้องบอก พวกเขาก็ไม่ฟัง ดังนั้นเวลาพวกเขาร้องบอก เราก็จะไม่ฟัง” พระผู้เป็นเจ้าจอมโยธากล่าวดังนั้น 14 “เราทำให้พวกเขากระจัดกระจายกันไปด้วยพายุหมุนในท่ามกลางประชาชาติทั้งปวงที่พวกเขาไม่เคยรู้จัก แผ่นดินถูกทิ้งร้างไว้เบื้องหลัง จึงไม่มีใครไปมาหาสู่กันได้ พวกเขาทำให้แผ่นดินอันน่าอยู่กลายเป็นที่รกร้าง”

ความสงบสุขและความรุ่งเรืองของศิโยน

และคำกล่าวของพระผู้เป็นเจ้าจอมโยธาก็มาถึงข้าพเจ้าว่า พระผู้เป็นเจ้าจอมโยธากล่าวดังนี้ “เราหวงแหนศิโยนยิ่งนัก และเราหวงแหนศิโยนด้วยความกริ้วอย่างที่สุด” พระผู้เป็นเจ้ากล่าวดังนี้ “เราได้กลับไปยังศิโยน และจะอยู่ในท่ามกลางเยรูซาเล็ม และเยรูซาเล็มจะได้รับเรียกว่าเป็นเมืองที่ภักดี และภูเขาของพระผู้เป็นเจ้าจอมโยธาจะได้รับเรียกว่า ภูเขาอันบริสุทธิ์” พระผู้เป็นเจ้าจอมโยธากล่าวดังนี้ “บรรดาชายและหญิงสูงอายุจะนั่งที่ถนนของเยรูซาเล็ม แต่ละคนถือไม้เท้าเพราะมีอายุมาก และตามถนนในเมืองจะเต็มไปด้วยเด็กๆ ทั้งชายและหญิงกำลังเล่นกัน” พระผู้เป็นเจ้าจอมโยธากล่าวดังนี้ “ถ้าเป็นสิ่งวิเศษในสายตาของประชาชนเหล่านี้ที่มีชีวิตเหลืออยู่ในสมัยก่อน แล้วจะเป็นสิ่งวิเศษในสายตาของเราด้วยหรือ” พระผู้เป็นเจ้าประกาศดังนั้น พระผู้เป็นเจ้าจอมโยธากล่าวดังนี้ “ดูเถิด เราจะช่วยชนชาติของเราให้รอดปลอดภัยจากแผ่นดินทางทิศตะวันออกและทิศตะวันตก และเราจะนำพวกเขามาอาศัยอยู่ในท่ามกลางเยรูซาเล็ม และพวกเขาจะเป็นชนชาติของเรา และเราจะเป็นพระเจ้าของพวกเขา ในความสัตย์จริงและความชอบธรรม”

พระผู้เป็นเจ้าจอมโยธากล่าวดังนี้ “บัดนี้พวกเจ้าที่ได้ยินจากปากของบรรดาผู้เผยคำกล่าวของพระเจ้าในวันที่วางฐานรากของพระตำหนักของพระผู้เป็นเจ้าจอมโยธา พวกเจ้าจงเข้มแข็งเอาไว้เพื่อจะได้สร้างพระวิหาร 10 ก่อนหน้านั้น ไม่มีค่าแรงสำหรับมนุษย์หรือสัตว์ และผู้ที่เข้านอกออกในก็ไม่มีความปลอดภัยจากศัตรู เพราะเราได้ทำให้มนุษย์ทุกคนต่อต้านเพื่อนบ้านของตน 11 แต่บัดนี้เราจะไม่กระทำต่อชนชาตินี้ซึ่งมีชีวิตเหลืออยู่เหมือนในสมัยก่อน” พระผู้เป็นเจ้าจอมโยธาประกาศดังนั้น 12 “ด้วยว่า จะมีการหว่านความสันติสุข เถาองุ่นจะออกผล พื้นดินจะให้พืชผล และฟ้าสวรรค์จะประพรมน้ำค้าง และเราจะทำให้ชนชาตินี้ซึ่งมีชีวิตเหลืออยู่เป็นเจ้าของสิ่งเหล่านี้ 13 และตามที่พวกเจ้าเป็นที่แช่งสาปในบรรดาประชาชาติฉันใด โอ พงศ์พันธุ์ยูดาห์และพงศ์พันธุ์อิสราเอลเอ๋ย เราจะช่วยพวกเจ้าให้ปลอดภัยฉันนั้น และพวกเจ้าจะเป็นพระพร อย่ากลัวเลย แต่พวกเจ้าจงเข้มแข็งเอาไว้”

14 พระผู้เป็นเจ้าจอมโยธากล่าวดังนี้ “ตามที่เราเจตนานำความทุกข์ร้อนมายังพวกเจ้าเมื่อบรรพบุรุษของเจ้ายั่วโทสะเราให้เรากริ้ว และเราไม่เปลี่ยนใจฉันใด พระผู้เป็นเจ้าจอมโยธากล่าวว่า 15 เราได้เจตนาในสมัยนี้อีก ที่จะกระทำดีต่อเยรูซาเล็มและต่อพงศ์พันธุ์ยูดาห์ฉันนั้น อย่ากลัวเลย 16 พวกเจ้าจงปฏิบัติสิ่งเหล่านี้คือ พูดความจริงต่อกันและกัน จงตัดสินความที่ประตูเมืองด้วยความจริงและความสงบสุข 17 อย่าคิดร้ายในใจต่อกัน และอย่ารักการให้คำสาบานเท็จ เพราะเราเกลียดชังสิ่งเหล่านี้” พระผู้เป็นเจ้าประกาศดังนั้น

18 และคำกล่าวของพระผู้เป็นเจ้าจอมโยธามาถึงข้าพเจ้าอีก 19 พระผู้เป็นเจ้าจอมโยธากล่าวดังนี้ “การอดอาหารในเดือนที่สี่ เดือนที่ห้า เดือนที่เจ็ด และเดือนที่สิบ จะเป็นโอกาสของความร่าเริงและน่ายินดี และงานฉลองความรื่นเริงใจสำหรับยูดาห์ ฉะนั้นจงรักความจริงและความสงบสุข”

20 พระผู้เป็นเจ้าจอมโยธากล่าวดังนี้ “บรรดาชนชาติและบรรดาผู้อยู่อาศัยของเมืองทั้งหลายจะมา 21 บรรดาผู้อยู่อาศัยของเมืองหนึ่งจะไปยังอีกเมืองหนึ่งและพูดว่า ‘เราไปถามพระผู้เป็นเจ้าอย่างจริงใจกันเดี๋ยวนี้ และไปแสวงหาพระผู้เป็นเจ้าจอมโยธากันเถิด เราเองก็กำลังไป’ 22 บรรดาชนชาติจำนวนมากและบรรดาประชาชาติที่เป็นมหาอำนาจจะมาแสวงหาพระผู้เป็นเจ้าจอมโยธาในเยรูซาเล็ม และเพื่อถามพระผู้เป็นเจ้าอย่างจริงใจ” 23 พระผู้เป็นเจ้าจอมโยธากล่าวดังนี้ “ในสมัยนั้น ผู้ชาย 10 คนจากทุกภาษาและบรรดาประชาชาติจะคว้าเสื้อคลุมของชาวยิว 1 คน และจะพูดดังนี้ว่า ‘ให้พวกเราไปกับพวกท่านเถิด เพราะพวกเราได้ยินมาว่า พระเจ้าสถิตกับพวกท่าน’”

การตัดสินโทษศัตรูของอิสราเอล

คำพยากรณ์แห่งคำกล่าวของพระผู้เป็นเจ้าต่อต้านแผ่นดินฮัดราค
    และเมืองดามัสกัสจะหนีไม่พ้น
เพราะสายตาของมนุษย์ทั้งปวงรวมถึงทุกเผ่าของอิสราเอล
    จับอยู่ที่พระผู้เป็นเจ้า
ฮามัทซึ่งเป็นเขตกั้นของแผ่นดิน
    ไทระและไซดอนก็เช่นกัน แม้ว่าพวกเขาจะเรืองปัญญานัก
ไทระได้สร้างป้อมปราการอันแข็งแกร่งให้แก่ตนเอง
    และมีเงินเป็นกองพะเนินอย่างกองฝุ่น
    และมีทองคำอย่างขี้ฝุ่นบนถนน
แต่ดูเถิด พระผู้เป็นเจ้าจะริบทุกสิ่งที่เป็นของเมืองจนเกลี้ยง
    และทำลายอำนาจบนท้องทะเลของเมือง
    และเมืองนั้นจะถูกไฟเผาผลาญ
เมืองอัชเคโลนจะแลเห็นและตกใจกลัว
    กาซาด้วยที่จะบิดตัวด้วยความเจ็บปวดแสนสาหัส
    เอโครนด้วย เพราะความหวังจะสับสน
กษัตริย์จะสิ้นชีพไปจากกาซา
    และอัชเคโลนจะถูกทิ้งให้ร้าง
“ชนชาติประสมจะอาศัยอยู่ในอัชโดด
    และเราจะกำจัดความหยิ่งยโสของฟีลิสเตียให้หมดสิ้นไป
เราจะเอาเลือดออกจากปากของพวกเขา
    และเขี่ยอาหารต้องห้ามที่ติดฟันของพวกเขาออกไป
ส่วนคนที่เหลืออยู่จะเป็นของพระเจ้าของพวกเรา
    ซึ่งจะเป็นบรรดาผู้นำในยูดาห์
    และเอโครนจะเป็นเหมือนชาวเยบุส
แต่เราจะตั้งค่ายที่ตำหนักของเราเช่นผู้ดูแลรักษา
    เพื่อไม่ให้ผู้ใดย่ำเข้าย่ำออก
ไม่ให้ผู้กดขี่ข่มเหงย่ำยีพวกเขาอีก
    เพราะเราเฝ้าดูด้วยตาของเราเอง

กษัตริย์แห่งศิโยนกำลังมา

โอ ธิดาแห่งศิโยนเอ๋ย จงชื่นชมยินดี
    โอ ธิดาแห่งเยรูซาเล็มเอ๋ย จงร้องตะโกน
ดูเถิด กษัตริย์ของเจ้ากำลังมาหาเจ้า
    ท่านมีความชอบธรรมและความรอดพ้น
เป็นผู้ที่อ่อนโยน ขี่ลามา
    บนลูกลา ลาหนุ่ม[w]
10 เราจะตัดกำลังรถศึกไปจากเอฟราอิม
    และตัดม้าศึกไปเสียจากเยรูซาเล็ม
และคันธนูศึกจะถูกหัก
    และท่านจะกล่าวถึงความสงบสุขแก่บรรดาประชาชาติ
ท่านจะปกครองจากทะเลแห่งหนึ่งจรดทะเลอีกแห่งหนึ่ง
    และจากแม่น้ำจนถึงสุดมุมโลก
11 เจ้าก็เช่นกัน เพราะโลหิตแห่งพันธสัญญาของเราที่มีกับเจ้า
    เราจะปลดปล่อยบรรดานักโทษของเจ้าให้เป็นอิสระจากหลุมลึกที่ปราศจากน้ำ
12 โอ บรรดานักโทษแห่งความหวังเอ๋ย จงกลับไปยังป้อมปราการ
    วันนี้เราประกาศว่า เราจะให้คืนแก่เจ้าเป็นสองเท่า
13 เพราะเราได้ง้างยูดาห์ดั่งคันธนูของเรา
    เราได้ทำเอฟราอิมให้เป็นลูกธนู
โอ ศิโยนเอ๋ย เราจะกระตุ้นบรรดาบุตรของเจ้า
    เพื่อต่อต้านบรรดาบุตรของกรีก
    และทำให้เจ้าเป็นดั่งดาบของนักรบ”

พระผู้เป็นเจ้าจะช่วยชนชาติของพระองค์ให้รอดพ้น

14 แล้วพระผู้เป็นเจ้าจะปรากฏแก่พวกเขา
    และลูกธนูของพระองค์จะแล่นไปอย่างสายฟ้าแลบ
พระผู้เป็นเจ้าผู้ยิ่งใหญ่จะเป่าแตรงอน
    และจะเดินก้าวไปในพายุหมุนของทิศใต้
15 พระผู้เป็นเจ้าจอมโยธาจะปกป้องพวกเขา
    และพวกเขาจะห้ำหั่นและเหยียบย่ำก้อนหินสลิง
พวกเขาจะดื่มและคำรามราวกับเมาเหล้าองุ่น
    พวกเขาจะเต็มปริ่มเหมือนอ่าง
    ที่ใช้ประพรมมุมแท่นบูชา
16 ในวันนั้น พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของพวกเขาจะให้พวกเขามีชีวิตรอด
    อย่างฝูงแกะของชนชาติของพระองค์
พวกเขาจะสุกสว่างในแผ่นดินของพระองค์
    อย่างเพชรพลอยฝังมงกุฎ
17 ความดีและความงามจะยิ่งใหญ่อะไรเช่นนี้
    เมล็ดพืชจะทำให้บรรดาชายหนุ่มเติบโต
    และเหล้าองุ่นใหม่ทำให้บรรดาหญิงสาวบานสะพรั่ง

ฟื้นฟูยูดาห์และอิสราเอล

10 ขอฝนจากพระผู้เป็นเจ้า
    ในฤดูใบไม้ผลิ
พระผู้เป็นเจ้าเป็นผู้บันดาลพายุเมฆ
    และพระองค์จะให้สายฝนหลั่งลงมาเพื่อพวกเขา
    และให้เกิดพืชในไร่นาแก่ทุกคน
บรรดารูปเคารพประจำครัวเรือนให้คำแนะนำไร้สาระ
    บรรดาผู้ทำนายเห็นภาพนิมิตอันลวงหลอก
พวกเขาแก้ฝันอย่างผิดๆ
    และไม่สามารถปลอบใจได้จริง
ฉะนั้นประชาชนจึงระหกระเหินอย่างแกะ
    พวกเขารับความทุกข์ทรมานเนื่องจากไม่มีผู้ดูแลฝูง

“ความกริ้วของเราพลุ่งขึ้นต่อบรรดาผู้ดูแลฝูง
    และเราจะลงโทษบรรดาผู้นำ
เพราะพระผู้เป็นเจ้าห่วงใยฝูงแกะของพระองค์ คือพงศ์พันธุ์ยูดาห์
    และจะทำให้พวกเขาเป็นเหมือนม้าที่ภาคภูมิในสงคราม
ศิลามุมเอกจะมาจากเขา
    หมุดยึดกระโจมจะมาจากเขา
คันธนูจะมาจากเขา
    ผู้ปกครองจะมาจากเขา มาด้วยกันทั้งหมด
พวกเขาจะเป็นดั่งนักรบผู้เก่งกล้าในสงคราม
    เหยียบย่ำข้าศึกในโคลนที่ถนน
พวกเขาจะสู้รบเพราะพระผู้เป็นเจ้าสถิตกับพวกเขา
    และพวกเขาจะทำให้บรรดาทหารม้าอับอาย

เราจะทำให้พงศ์พันธุ์ยูดาห์มีพละกำลัง
    และเราจะช่วยพงศ์พันธุ์โยเซฟให้มีชีวิตรอด
เราจะนำพวกเขากลับมา
    เพราะเราสงสารพวกเขา
และพวกเขาจะเป็นอย่างกับว่า
    เราไม่เคยทอดทิ้งพวกเขา
เพราะเราเป็นพระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของพวกเขา
    และเราจะตอบพวกเขา
แล้วเอฟราอิมจะเป็นเหมือนนักรบผู้เก่งกล้า
    และใจของพวกเขาจะยินดีเหมือนได้รับเหล้าองุ่น
บรรดาลูกๆ ของพวกเขาจะแลเห็นและยินดี
    ใจของพวกเขาจะชื่นชมยินดีในพระผู้เป็นเจ้า
เราจะส่งสัญญาณให้พวกเขามารวมกัน
    เพราะเราจะไถ่พวกเขา
    และพวกเขาจะมีจำนวนมากเท่ากับที่เคยมีมาก่อน
แม้ว่าเราให้พวกเขากระจัดกระจายไปในท่ามกลางบรรดาชนชาติ
    ซึ่งอยู่ไกลแสนไกล แต่พวกเขาก็จะยังจำเราได้
ทั้งตัวเขาและบรรดาลูกๆ จะคงชีวิตอยู่ได้
    และพวกเขาจะกลับมา
10 เราจะนำพวกเขากลับมาจากแผ่นดินอียิปต์
    และรวบรวมพวกเขาจากอัสซีเรีย
และเราจะนำพวกเขาไปยังแผ่นดินกิเลอาดและเลบานอน
    จนไม่มีที่พอสำหรับพวกเขา
11 เขาจะเดินผ่านทะเลแห่งความลำบาก
    คลื่นทะเลจะถูกทำให้สงบนิ่ง
    และแม่น้ำไนล์ซึ่งลึกจะแห้งเหือดลง
ความยโสของอัสซีเรียจะถูกทำให้ถ่อมลง
    และคทาของอียิปต์จะล่วงลับไป
12 เราจะทำให้พวกเขาเข้มแข็งในพระผู้เป็นเจ้า
    และพวกเขาจะเดินในพระนามของพระองค์”
    พระผู้เป็นเจ้าประกาศดังนั้น

New Thai Version (NTV-BIBLE)

Copyright © 1998, 2012, 2020 by New Thai Version Foundation