Print Page Options
Previous Prev Day Next DayNext

Bible in 90 Days

An intensive Bible reading plan that walks through the entire Bible in 90 days.
Duration: 88 days
New Thai Version (NTV-BIBLE)
Version
เฉลยธรรมบัญญัติ 8:1-23:11

พระผู้เป็นเจ้าจะจัดหาให้

ท่านจงปฏิบัติตามพระบัญญัติทุกข้อที่เราบัญชาท่านในวันนี้อย่างเคร่งครัด เพื่อท่านจะได้มีชีวิตอยู่และทวีจำนวนทายาทได้มากขึ้น และเข้าไปยึดครองแผ่นดินที่พระผู้เป็นเจ้าปฏิญาณว่าจะให้แก่บรรพบุรุษของพวกท่าน และจงรำลึกถึงพระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของท่านที่ได้นำท่านผ่านถิ่นทุรกันดารตลอดทางเป็นเวลา 40 ปี เพื่อทำให้ท่านรู้จักถ่อมตัว ทดสอบให้เห็นว่าแท้จริงจิตใจท่านเป็นอย่างไร ท่านจะรักษาพระบัญญัติของพระองค์ได้หรือไม่ แล้วพระองค์ก็ทำให้ท่านถ่อมตัว ปล่อยให้ท่านหิวและเลี้ยงดูท่านด้วยมานาซึ่งท่านไม่รู้จัก[a] บรรพบุรุษของท่านก็เช่นกัน พระองค์ทำให้ท่านทราบว่ามนุษย์มิอาจยังชีพได้ด้วยขนมปังเพียงอย่างเดียว แต่อยู่ได้ด้วยทุกถ้อยคำที่กล่าวจากปากของพระผู้เป็นเจ้า[b] เสื้อผ้าที่ท่านสวมใส่ไม่ฉีกขาด และเท้าท่านก็ไม่บวมในระยะ 40 ปีนี้ ท่านจงรู้อยู่ในใจเถิดว่าพระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของท่านฝึกให้ท่านมีวินัยเช่นเดียวกับเวลาบิดาฝึกบุตรของตนให้มีวินัย ดังนั้น ท่านจงรักษาพระบัญญัติของพระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของท่านโดยดำเนินในวิถีทางของพระองค์และเกรงกลัวพระองค์ เพราะพระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของท่านกำลังนำท่านเข้าไปในแผ่นดินอันอุดมสมบูรณ์ แผ่นดินอันกอปรด้วยแม่น้ำ น้ำพุ และน้ำใต้ดินที่ไหลพุ่งออกมาที่หุบเขาและเนินเขา แผ่นดินที่มีข้าวสาลีและข้าวบาร์เลย์ ต้นองุ่น ต้นมะเดื่อ และทับทิม แผ่นดินที่มีต้นมะกอกและน้ำผึ้ง เป็นแผ่นดินที่ท่านจะมีอาหารรับประทานอย่างไม่ขาดแคลน ท่านจะไม่ขาดสิ่งใดทั้งสิ้น มีเหล็กอยู่ในหิน ท่านขุดทองแดงจากเนินเขาได้ 10 ท่านจะดื่มกินได้อย่างอิ่มหนำ และจะสรรเสริญพระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของท่านที่พระองค์มอบแผ่นดินอันอุดมให้แก่ท่าน

อย่าลืมพระผู้เป็นเจ้า

11 จงระวังเถิด มิฉะนั้นท่านจะลืมพระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของท่าน โดยไม่รักษาพระบัญญัติ คำสั่ง และกฎเกณฑ์ของพระองค์ ซึ่งเราบัญชาพวกท่านในวันนี้ 12 เกรงว่าเมื่อท่านได้ดื่มกินจนอิ่มหนำ สร้างบ้านเรือนสวยงามอยู่ 13 และเมื่อฝูงโคและแพะแกะของท่านเพิ่มจำนวนขึ้น เงินและทองมีมากขึ้น และทุกสิ่งที่ท่านมีก็เพิ่มพูนขึ้น 14 ใจท่านจะลำพอง แล้วท่านก็จะลืมพระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของท่านผู้นำท่านออกจากแผ่นดินอียิปต์ ออกจากบ้านเรือนแห่งความเป็นทาส 15 ผู้นำท่านผ่านถิ่นทุรกันดารอันกว้างใหญ่ไพศาลและน่ากลัวมาก มีทั้งงูพิษและแมงป่อง พื้นดินอันเหือดแห้งไร้น้ำ ผู้โปรดให้มีน้ำไหลจากศิลาที่แข็งแกร่ง 16 ผู้เลี้ยงท่านในถิ่นทุรกันดารด้วยมานาซึ่งบรรพบุรุษของท่านไม่รู้จัก พระองค์ต้องการที่จะให้ท่านรู้จักถ่อมตัว ทดสอบใจท่าน เพื่อสิ่งดีๆ จะเกิดแก่ท่านในบั้นปลาย 17 จงระวัง มิฉะนั้นท่านจะนึกในใจว่า ‘ความสามารถและพลังแรงของเราเองทำให้เรามั่งมีได้ถึงเพียงนี้’ 18 ท่านจงระลึกถึงพระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของท่าน เพราะพระองค์เป็นผู้ให้ท่านมีความสามารถ ท่านจึงมั่งมีได้ พระองค์รักษาพันธสัญญาที่ได้ปฏิญาณต่อบรรพบุรุษของท่าน อย่างที่เป็นอยู่ทุกวันนี้ 19 ถ้าท่านลืมพระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของท่าน และหันไปเชื่อ บูชา และนมัสการบรรดาเทพเจ้า เราขอเตือนท่านเสียแต่วันนี้ว่าท่านจะต้องตายสาบสูญไป 20 เหมือนกับบรรดาประชาชาติที่พระผู้เป็นเจ้าทำให้ตายไปต่อหน้าพวกท่าน ท่านก็จะตายเช่นกัน เพราะท่านไม่ยอมเชื่อฟังพระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของท่าน

เหตุที่พระผู้เป็นเจ้าช่วยอิสราเอล

จงฟังเถิด อิสราเอลเอ๋ย จงข้ามแม่น้ำจอร์แดนไปในวันนี้ เพื่อยึดครองแผ่นดินของบรรดาประชาชาติที่ยิ่งใหญ่กว่าและเข้มแข็งกว่าพวกท่านเอง มีเมืองที่ล้วนแต่ขนาดใหญ่ และความสูงของกำแพงก็สูงระฟ้า ผู้คนมีร่างกายสูงใหญ่กำยำ พวกบุตรของชาวอานาคที่ท่านรู้จัก และท่านได้ยินคนพูดกันว่า ‘ใครจะยืนหยัดสู้กับบุตรของอานาคได้’ ฉะนั้นวันนี้ท่านจงรู้ว่าผู้ที่ข้ามไปล่วงหน้าท่านดั่งเพลิงเผาผลาญคือพระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของท่าน พระองค์จะทำให้พวกเขาพ่ายแพ้และพินาศต่อหน้าท่าน ตามที่พระผู้เป็นเจ้าได้สัญญาไว้ ดังนั้นท่านอย่ารอช้า จงไล่พวกเขาออกไปและฆ่าพวกเขาให้ตายเสีย

หลังจากพระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของท่านขับไล่พวกเขาออกไปพ้นหน้าท่านแล้ว อย่าคิดในใจว่า ‘เป็นเพราะความชอบธรรมของข้าพเจ้า พระผู้เป็นเจ้าจึงได้นำข้าพเจ้าเข้ามายึดครองแผ่นดินนี้’ หากแต่เป็นเพราะความชั่วของประชาชาติเหล่านี้ พระผู้เป็นเจ้าจึงได้ขับไล่บรรดาประชาชาติออกไปให้พ้นหน้าท่าน ไม่ใช่เป็นเพราะความชอบธรรมหรือความซื่อตรงในใจท่าน จึงทำให้ท่านได้เข้ายึดครองแผ่นดินของพวกเขา แต่เป็นเพราะความชั่วของประชาชาติเหล่านี้ พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของท่านจึงขับไล่พวกเขาออกไปให้พ้นหน้าท่าน เพื่อให้สิ่งที่พระองค์ได้ปฏิญาณไว้กับบรรพบุรุษของท่านคือ อับราฮัม อิสอัค และยาโคบบรรลุผล ฉะนั้นจงรู้ไว้ว่าพระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของท่านไม่ได้มอบแผ่นดินอันอุดมนี้แก่ท่านเพื่อยึดครองเนื่องจากความชอบธรรมของท่าน แท้จริงแล้ว ท่านเป็นคนหัวรั้น

สร้างลูกโคทองคำ

จงจำไว้ และอย่าลืมว่าในถิ่นทุรกันดาร ท่านยั่วโทสะพระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของท่าน นับจากวันที่ท่านออกจากแผ่นดินอียิปต์ จนกระทั่งพวกท่านมาถึงที่แห่งนี้ ท่านก็ได้ขัดขืนพระผู้เป็นเจ้าเรื่อยมา แม้แต่ที่โฮเรบ ท่านก็ยั่วโทสะพระผู้เป็นเจ้า ถึงกับทำให้พระองค์โกรธเกรี้ยว และพระผู้เป็นเจ้ากริ้วท่านจนพระองค์พร้อมจะทำให้ท่านพินาศ เมื่อเราขึ้นไปยังภูเขาเพื่อรับแผ่นศิลา คือแผ่นพันธสัญญาที่พระผู้เป็นเจ้าทำไว้กับพวกท่าน เราอยู่ที่ภูเขา 40 วัน 40 คืนโดยไม่ได้ดื่มหรือรับประทานสิ่งใด[c] 10 แล้วพระผู้เป็นเจ้ามอบแผ่นศิลา 2 แผ่นซึ่งจารึกด้วยนิ้วมือของพระเจ้าเอง เป็นพระบัญญัติที่พระผู้เป็นเจ้าได้กล่าวแก่ท่านที่ภูเขาจากใจกลางเพลิงในวันที่มีการประชุม 11 40 วัน 40 คืนล่วงไป พระผู้เป็นเจ้ามอบศิลา 2 แผ่นคือแผ่นพันธสัญญา 12 แล้วพระผู้เป็นเจ้ากล่าวกับเราว่า ‘จงลุกขึ้น ลงไปจากที่นี่โดยเร็ว เพราะผู้คนของเจ้าที่เจ้านำออกจากอียิปต์ประพฤติอย่างเสื่อมทรามเสียแล้ว พวกเขาออกนอกลู่นอกทางไปจากที่เราบัญชาไว้ เขาหล่อรูปเคารพให้ตนเอง’

13 แล้วพระผู้เป็นเจ้ากล่าวกับเราว่า ‘เราเห็นคนพวกนี้แล้ว ดูเถิด เขาเป็นพวกหัวรั้น 14 จงปล่อยให้เป็นเรื่องของเรา เราจะได้กำจัดพวกเขา และทำให้ชื่อของเขาสาบสูญไปจากโลก เราจะให้ประชาชาติหนึ่งที่เข้มแข็งกว่าและมีจำนวนคนมากกว่าพวกเขาเกิดขึ้นมาจากตัวเจ้า’ 15 ดังนั้น เราจึงหันกลับลงมาจากภูเขา ภูเขาลุกเป็นเพลิง และแผ่นพันธสัญญา 2 แผ่นอยู่ในมือทั้งสองของเรา 16 ดูเถิด เรามองเห็นว่าพวกท่านกระทำบาปต่อพระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของท่าน ท่านหล่อรูปลูกโคให้ตนเอง พวกท่านออกนอกลู่นอกทางไปจากที่พระผู้เป็นเจ้าบัญชาท่านอย่างรวดเร็ว 17 ดังนั้นเราจึงคว้าศิลา 2 แผ่นนั้นแล้วเหวี่ยงจากมือทั้งสองของเรา ศิลาก็แตกหักต่อหน้าต่อตาพวกท่าน

โมเสสอธิษฐานขอให้ชาวอิสราเอล

18 แล้วเราทิ้งตัวลงราบกับพื้น ณ เบื้องหน้าพระผู้เป็นเจ้าอย่างคราวก่อนเป็นเวลา 40 วัน 40 คืน เราไม่ได้ดื่มหรือรับประทานสิ่งใด เป็นเพราะบาปทั้งปวงที่ท่านกระทำ สิ่งเลวร้ายที่ท่านกระทำในสายตาของพระผู้เป็นเจ้า และยั่วโทสะพระองค์ 19 เพราะเรากลัวความกริ้วและความโกรธเกรี้ยวของพระผู้เป็นเจ้า เพราะพระองค์กริ้วพวกท่านมากถึงกับจะกำจัดพวกท่านเสีย แต่พระผู้เป็นเจ้าฟังเราอีกครั้ง 20 และพระผู้เป็นเจ้ากริ้วอาโรนมากถึงกับจะกำจัดท่านเสีย เราจึงอธิษฐานให้อาโรนในเวลานั้นด้วย 21 แล้วเราก็เผาไฟรูปลูกโคที่พวกท่านสร้างขึ้นมาซึ่งเป็นบาปยิ่งนัก แล้วทุบให้แตก บดให้ละเอียดเป็นผุยผง เสร็จแล้วก็ปาผงลงในธารน้ำที่ไหลมาจากภูเขา

22 พวกท่านยั่วโทสะพระผู้เป็นเจ้าที่ทาเบราห์ ที่มัสสาห์ และที่ขิบโรทหัทธาอาวาห์[d] 23 เมื่อพระผู้เป็นเจ้าให้พวกท่านไปจากคาเดชบาร์เนียโดยกล่าวว่า ‘จงขึ้นไปยึดครองแผ่นดินที่เรามอบให้พวกเจ้าแล้ว’ แต่แล้วท่านก็ขัดขืนต่อคำบัญชาของพระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของท่าน พวกท่านไม่ไว้ใจและไม่เชื่อฟังพระองค์[e] 24 ตั้งแต่วันที่เรารู้จักพวกท่าน พวกท่านก็ขัดขืนพระผู้เป็นเจ้าเสมอมา

25 เราจึงทิ้งตัวลงราบกับพื้นเป็นเวลา 40 วัน 40 คืน เพราะพระผู้เป็นเจ้ากล่าวว่า พระองค์จะกำจัดพวกท่าน 26 และเราอธิษฐานต่อพระผู้เป็นเจ้าว่า ‘โอ พระผู้เป็นเจ้าผู้ยิ่งใหญ่ โปรดอย่าทำลายชนชาติของพระองค์เอง ซึ่งเป็นทายาทผู้สืบมรดกของพระองค์ พระองค์ได้ช่วยพวกเขาให้เป็นอิสระด้วยอานุภาพอันยิ่งใหญ่ และพาพวกเขาออกจากอียิปต์ด้วยพลานุภาพของพระองค์ 27 โปรดระลึกถึงบรรดาผู้รับใช้ของพระองค์คืออับราฮัม อิสอัค และยาโคบ ขออย่าใส่ใจในความดื้อรั้น ความชั่วร้าย หรือบาปของคนเหล่านี้เลย 28 เกรงว่าแผ่นดินที่พระองค์พาพวกเราจากมานั้นจะพูดกันว่า “เพราะพระผู้เป็นเจ้าไม่สามารถพาพวกเขาเข้าไปในแผ่นดินที่พระองค์ปฏิญาณไว้กับพวกเขา และเพราะพระองค์เกลียดชังพวกเขา จึงได้พาพวกเขาออกไปฆ่าให้ตายในถิ่นทุรกันดาร” 29 แต่พวกเขาเป็นชนชาติของพระองค์ ซึ่งเป็นผู้สืบมรดกของพระองค์ พระองค์พาพวกเขาออกมาด้วยอานุภาพอันยิ่งใหญ่และพลานุภาพของพระองค์’

โมเสสรับแผ่นศิลาพระบัญญัติ

10 ในเวลานั้นพระผู้เป็นเจ้ากล่าวกับเราว่า ‘จงสกัดศิลา 2 แผ่นเหมือนครั้งแรก แล้วขึ้นมาหาเราบนภูเขา จงสร้างหีบไม้ไว้ด้วย เราจะเขียนคำเหมือนกับที่จารึกใน 2 แผ่นแรกที่เจ้าทำแตกไป แล้วเจ้าจงเก็บมันไว้ในหีบ’ ดังนั้น เราจึงสร้างหีบด้วยไม้สีเสียด สลักแผ่นศิลา 2 แผ่นเหมือนกับครั้งแรก เราขึ้นไปบนภูเขา มือถือศิลา 2 แผ่น แล้วพระองค์เขียนพระบัญญัติลงบนแผ่นศิลาเหมือนกับครั้งแรกซึ่งพระผู้เป็นเจ้าได้กล่าวกับพวกท่านที่ภูเขาจากใจกลางเพลิงในวันที่มีการประชุม แล้วพระผู้เป็นเจ้าก็มอบแผ่นศิลาให้กับเรา แล้วเรากลับลงมาจากภูเขา และเก็บแผ่นศิลาไว้ในหีบที่เราสร้างขึ้น แผ่นศิลาก็ยังอยู่ที่นั่นตามที่พระผู้เป็นเจ้าบัญชาเราไว้

(ชาวอิสราเอลเดินทางจากเบเอโรท-เบเนยาอะคาน ถึงโมเสราห์ ที่นั่นแหละที่อาโรนเสียชีวิตและถูกฝังไว้ที่นั่น และเอเลอาซาร์บุตรชายเป็นปุโรหิตแทนท่าน[f] จากที่นั่นพวกเขาเดินทางไปยังกุดโกดาห์ และจากกุดโกดาห์ก็ไปโยทบาธาห์ซึ่งเป็นแผ่นดินที่มีธารน้ำหลายสาย ในเวลานั้นพระผู้เป็นเจ้าแยกเผ่าพันธุ์เลวีออกไปเป็นผู้หามหีบพันธสัญญาของพระผู้เป็นเจ้า เพื่อประจำการ ณ เบื้องหน้าพระผู้เป็นเจ้าและรับใช้พระองค์ และขอพรในพระนามของพระองค์มาจนถึงทุกวันนี้ ฉะนั้นเผ่าเลวีจึงไม่ได้รับส่วนแบ่งหรือมรดกร่วมกับพี่น้องเผ่าอื่นๆ พระผู้เป็นเจ้าเป็นมรดกของพวกเขา ตามที่พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของท่านกล่าวแก่ชาวเลวี)

10 เราอยู่บนภูเขา 40 วัน 40 คืนเหมือนกับครั้งแรก และพระผู้เป็นเจ้าฟังเราครั้งนั้นเช่นกัน พระผู้เป็นเจ้ายินยอมที่จะไม่ทำลายพวกท่าน 11 และพระผู้เป็นเจ้ากล่าวกับเราว่า ‘จงลุกขึ้น และเดินทางนำหน้าประชาชนไป เพื่อเข้าไปยึดครองแผ่นดินที่เราปฏิญาณต่อบรรดาบรรพบุรุษของพวกเขาว่าจะยกให้เขา’

สิ่งที่พระเจ้าบัญชา

12 มาบัดนี้ โอ อิสราเอลเอ๋ย พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของท่านให้ท่านพึงปฏิบัติตนอย่างไรเล่า มีแต่ให้ท่านยำเกรงพระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของท่าน ให้ดำเนินตามทุกวิถีทางของพระองค์ ให้รักพระองค์ ให้รับใช้พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของท่านอย่างสุดดวงใจและสุดดวงจิต 13 อีกทั้งรักษาพระบัญญัติและกฎเกณฑ์ของพระผู้เป็นเจ้า ตามที่เราบัญชาท่านในวันนี้เพื่อประโยชน์ของท่าน 14 ดูเถิด สวรรค์เบื้องบนและฟ้าสวรรค์ที่อยู่เกินเอื้อม โลกและทุกสิ่งที่มีอยู่ในนั้นเป็นของพระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของท่าน 15 กระนั้นก็ตาม พระผู้เป็นเจ้ามีความผูกพันต่อบรรพบุรุษของท่าน มีความรักต่อพวกท่าน พระองค์จึงได้เลือกผู้สืบเชื้อสายที่มาภายหลังพวกเขา ให้พวกท่านอยู่เหนือชนชาติทั้งปวง อย่างที่เป็นอยู่ทุกวันนี้ 16 ฉะนั้นจงปฏิบัติตามพระบัญญัติในใจด้วย และอย่าดื้อรั้นอีกต่อไป 17 เพราะพระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของท่าน เป็นพระเจ้าเหนือบรรดาเทพเจ้า และเป็นพระผู้เป็นเจ้าเหนือบรรดาเจ้า เป็นผู้ยิ่งใหญ่และกอปรด้วยอานุภาพ และเป็นพระเจ้าที่น่าเกรงขาม พระองค์ไม่ลำเอียงและไม่รับสินบน 18 พระองค์ปกป้องสิทธิของเด็กกำพร้าและหญิงม่าย พระองค์รักคนต่างด้าว ให้อาหารและเครื่องนุ่งห่มแก่เขา 19 ฉะนั้นพวกท่านจงรักคนต่างด้าว เพราะท่านเคยเป็นคนต่างด้าวในแผ่นดินอียิปต์ 20 ท่านจงเกรงกลัวพระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของท่าน จงรับใช้พระองค์และผูกพันอยู่กับพระองค์ และจงสาบานด้วยพระนามของพระองค์ 21 พระองค์คือผู้ที่ท่านควรสรรเสริญ พระองค์เป็นพระเจ้าของท่าน พระองค์ได้กระทำสิ่งต่างๆ อันยิ่งใหญ่และน่าเกรงขามซึ่งท่านเห็นด้วยตาของท่านเองแล้ว 22 เมื่อบรรพบุรุษของท่านลงไปอาศัยอยู่ที่อียิปต์นั้น มีจำนวนเพียง 70 คน[g] และบัดนี้พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของท่านให้ท่านมีจำนวนมากดุจดวงดาวบนท้องฟ้า

ความยิ่งใหญ่ของพระผู้เป็นเจ้า

11 ดังนั้น ท่านจงรักพระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของท่าน และปฏิบัติตามข้อกำหนดของพระองค์ กฎเกณฑ์ คำบัญชา และพระบัญญัติของพระองค์เสมอไป วันนี้พวกท่านจงรู้ไว้ว่า ไม่ใช่พวกลูกๆ ของท่านที่รู้และได้เห็นสิ่งที่พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของท่านสอนให้มีวินัย แต่เป็นพวกท่านที่ได้เห็นความยิ่งใหญ่ อานุภาพ และพลานุภาพของพระองค์ ปรากฏการณ์อัศจรรย์และการกระทำของพระองค์ที่เกิดขึ้นกับฟาโรห์กษัตริย์แห่งอียิปต์และกับทั่วทั้งแผ่นดินของประเทศ และที่พระองค์กระทำต่อกองทัพของประเทศอียิปต์ ต่อม้าและรถศึกของพวกเขา และพระองค์ทำให้น้ำในทะเลแดงท่วมตัวพวกเขาขณะที่เขาไล่ตามท่านไป และพระผู้เป็นเจ้ากวาดล้างพวกเขามาจนถึงทุกวันนี้[h] และที่พระองค์กระทำต่อท่านในถิ่นทุรกันดารจนกระทั่งท่านมาถึงที่นี่ และที่พระองค์กระทำต่อดาธานและอะบีรามบุตรของเอลีอับผู้สืบมาจากเผ่ารูเบน คือพวกเขาตกลงไปในแผ่นดินที่เปิดแยกออก รวมทั้งทุกคนในครัวเรือน ทั้งกระโจม และสิ่งมีชีวิตทุกชีวิตที่อยู่กับเขาด้วย ชาวอิสราเอลทุกคนก็เห็นเหตุการณ์นั้น[i] พวกท่านได้เห็นการกระทำอันยิ่งใหญ่ของพระผู้เป็นเจ้าด้วยตาของท่านเอง

ฉะนั้น จงปฏิบัติตามพระบัญญัติที่เราบัญชาในวันนี้ เพื่อท่านจะได้เข้มแข็งและเข้าไปยึดครองแผ่นดินที่ท่านกำลังจะข้ามไปยึดไว้เป็นเจ้าของ และเพื่อท่านจะมีชีวิตยืนยาวในแผ่นดินที่พระผู้เป็นเจ้าได้ปฏิญาณไว้กับบรรพบุรุษของท่านว่าจะมอบให้แก่พวกเขาและแก่บรรดาผู้สืบเชื้อสาย ดินแดนอันอุดมด้วยน้ำนมและน้ำผึ้ง 10 แผ่นดินที่ท่านกำลังเข้าไปยึดครองนั้นไม่เหมือนกับแผ่นดินของอียิปต์ที่ท่านจากมา ซึ่งเป็นผืนดินที่ท่านต้องลงมือลงแรงหว่านเมล็ดและรดน้ำอย่างปลูกสวนผัก 11 แต่แผ่นดินที่ท่านกำลังจะข้ามไปยึดครองเป็นเนินเขาและหุบเขาซึ่งชุ่มฉ่ำด้วยน้ำฝนจากฟากฟ้า 12 เป็นแผ่นดินที่พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของท่านดูแล พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของท่านเฝ้าดูอยู่เสมอตั้งแต่ต้นปีถึงปลายปี

13 และถ้าพวกท่านเชื่อฟังพระบัญญัติที่เราบัญชาในวันนี้คือ รักพระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของท่าน และรับใช้พระองค์อย่างสุดดวงใจและสุดดวงจิตของท่าน 14 พระองค์จะให้แผ่นดินของท่านมีฝนตกตามฤดูกาล มีทั้งฝนต้นฤดูและฝนปลายฤดู ท่านจะเก็บเกี่ยวธัญพืช เหล้าองุ่น และน้ำมันมะกอกของท่าน 15 และพระองค์จะให้หญ้างอกในทุ่งเพื่อสัตว์เลี้ยงของท่าน และท่านจะมีดื่มกินอย่างอิ่มหนำ 16 จงระวังเถิด มิฉะนั้นใจของท่านอาจจะถูกชักจูงให้หันไปบูชาและกราบนมัสการบรรดาเทพเจ้า 17 พระผู้เป็นเจ้าจะกริ้วพวกท่านมาก จะปิดท้องฟ้า ไม่เอื้อฝน พื้นแผ่นดินก็จะไม่ให้ดอกออกผล แล้วท่านจะตายไปจากแผ่นดินอันอุดมที่พระผู้เป็นเจ้ามอบให้ท่าน

18 ฉะนั้น จงจดจำคำของเราไว้ในใจและจิตวิญญาณของท่านเสมอ และจงผูกติดไว้เป็นดั่งเครื่องหมายที่มือของท่าน และเป็นเครื่องเตือนใจที่หว่างคิ้วของท่าน 19 ท่านจงสั่งสอนสิ่งเหล่านี้แก่ลูกๆ และจงพูดถึง ไม่ว่าจะเป็นเวลานั่งอยู่ในบ้านหรือเดินไปไหนมาไหน และไม่ว่าจะเป็นเวลาหลับหรือตื่นก็ตาม 20 และจงเขียนไว้ที่วงกบประตูบ้านท่านและที่ประตูเมือง 21 เพื่อจำนวนวันของท่านและของลูกหลานจะทวีขึ้นในแผ่นดินที่พระผู้เป็นเจ้าได้ปฏิญาณว่าจะมอบให้แก่บรรพบุรุษของท่าน ตราบที่ฟ้ายังอยู่เหนือโลก 22 เพราะว่าถ้าท่านรักษาพระบัญญัติทั้งสิ้นที่เราบัญชาท่านให้ปฏิบัติอย่างเคร่งครัด ด้วยการรักพระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของท่าน ดำเนินตามวิถีทางของพระองค์ และผูกพันอยู่กับพระองค์ 23 แล้วพระผู้เป็นเจ้าจะขับไล่ประชาชาติเหล่านี้ไปให้พ้นหน้าพวกท่าน และท่านจะยึดครองแผ่นดินของบรรดาประชาชาติที่ยิ่งใหญ่กว่าและเข้มแข็งกว่าพวกท่านเอง 24 ทุกหนแห่งที่ฝ่าเท้าของท่านจะก้าวเหยียบไปจะตกเป็นของพวกท่าน อาณาเขตของท่านจะเริ่มต้นจากถิ่นทุรกันดารไปจรดภูเขาเลบานอน และจากแม่น้ำยูเฟรติสจรดทะเลที่อยู่ทางทิศตะวันตก 25 จะไม่มีใครยืนต่อต้านท่านได้ พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของท่านจะทำให้ผู้คนในแผ่นดินที่ท่านย่างเท้าก้าวไปเกิดความกลัวและหวาดหวั่นในตัวท่านดังที่พระองค์สัญญาท่านไว้

26 ดูเถิด วันนี้เราให้ท่านเลือกระหว่างพระพรและคำสาปแช่ง 27 ถ้าท่านปฏิบัติตามพันธสัญญาของพระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของท่าน ซึ่งเราบัญชาท่านในวันนี้ ก็จะเป็นพระพร 28 แต่ถ้าท่านไม่เชื่อฟังพระบัญญัติของพระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของท่าน และออกนอกลู่นอกทางไปจากที่เราบัญชาท่านในวันนี้ แล้วหันไปเชื่อบรรดาเทพเจ้า ซึ่งพวกท่านไม่เคยรู้จักมาก่อน ก็จะเป็นคำสาปแช่ง 29 และเมื่อพระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของท่านนำท่านเข้าไปในแผ่นดินที่ท่านกำลังจะเข้าไปยึดครอง ท่านจงประกาศพระพรที่ภูเขาเกริซิม และคำสาปแช่งที่ภูเขาเอบาล[j] 30 ท่านทราบแล้วว่าภูเขาทั้งสองลูกอยู่โพ้นแม่น้ำจอร์แดนทางด้านตะวันตกของถนน ไปทางทิศที่ตะวันตกดิน ในแผ่นดินของชาวคานาอันที่อาศัยอยู่ในอาราบาห์ใกล้เมืองกิลกาล ข้างๆ ต้นโอกแห่งโมเรห์ 31 ด้วยว่าพวกท่านกำลังจะข้ามแม่น้ำจอร์แดนเข้าไปยึดครองแผ่นดินที่พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของท่านมอบให้ท่าน เมื่อท่านยึดได้ และอาศัยอยู่ที่นั่น 32 จงระมัดระวัง ปฏิบัติให้เป็นตามกฎเกณฑ์และคำสั่งที่เราวางไว้ต่อหน้าพวกท่านในวันนี้ทุกประการ

สถานที่นมัสการแห่งเดียว

12 พวกท่านจงระมัดระวังปฏิบัติให้เป็นตามกฎเกณฑ์และคำสั่งเหล่านี้ในแผ่นดินที่พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของบรรพบุรุษของท่านได้มอบให้ท่านยึดครองไปตลอดชีวิตของท่านในโลกนี้ จงทำลายสถานที่ทุกแห่งของบรรดาประชาชาติที่นมัสการบรรดาเทพเจ้าของพวกเขา จนไม่ให้เหลือซาก ซึ่งเป็นที่ที่ท่านจะไปยึดครองซึ่งอยู่แถบภูเขาสูง ที่เนินเขาและใต้ต้นไม้เขียวชอุ่มทุกต้น จงทำลายแท่นบูชาของพวกเขา ทุบเสาหินให้แตก เผาพวกเทวรูปอาเชราห์ และโค่นเทวรูปสลักของพวกเขาลงเสีย และทำให้ชื่อของพวกเขาหายสาบสูญไปจากสถานที่เหล่านั้น อย่านมัสการพระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของท่านในวิธีเดียวกันกับที่พวกเขากระทำ แต่จงหาสถานที่ซึ่งพระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของท่านจะเลือกจากเผ่าต่างๆ ของอิสราเอลให้พบ เพื่อยกย่องพระนามของพระองค์และให้เป็นที่พำนักของพระองค์ ท่านจงไปยังที่นั้น และ ณ ที่นั้น ท่านจงนำสัตว์ที่จะเผาเป็นของถวาย เครื่องสักการะ ถวายหนึ่งในสิบ และของถวายที่ท่านบริจาค ของที่สัญญาว่าจะมอบให้ ของที่ให้ด้วยความสมัครใจ ลูกหัวปีจากฝูงโคและฝูงแพะแกะของท่าน และ ณ ที่นั้น ท่านจงรับประทาน ณ เบื้องหน้าพระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของท่าน พวกท่านและครอบครัวจงยินดีในทุกสิ่งที่ลงแรงกันทำ เพราะพระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของท่านให้พรท่าน

อย่าประพฤติอย่างที่พวกเรากำลังกระทำอยู่ที่นี่ทุกวันนี้ คือทุกคนทำอย่างที่เห็นว่าถูกต้องในสายตาของตนเอง ด้วยเหตุว่าท่านยังไปไม่ถึงที่พำนักและแผ่นดินอันเป็นมรดกซึ่งพระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของท่านมอบให้แก่ท่าน 10 แต่เมื่อท่านข้ามแม่น้ำจอร์แดนไป และอาศัยอยู่ในแผ่นดินที่พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของท่านมอบให้แก่ท่านเป็นมรดก และเมื่อพระองค์ให้ท่านได้ว่างเว้นจากศัตรูรอบข้างทั้งปวง เพื่อท่านจะได้อาศัยด้วยความปลอดภัย 11 และมีสถานที่ซึ่งพระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของท่านจะเลือก เพื่อให้เป็นที่สำหรับยกย่องพระนามของพระองค์ที่นั่น จงนำทุกสิ่งที่เราบัญชาพวกท่านคือ สัตว์ที่จะเผาเป็นของถวาย เครื่องสักการะ ถวายหนึ่งในสิบ และของถวายที่ท่านบริจาค ทุกสิ่งที่ท่านสัญญาว่าจะมอบให้แด่พระผู้เป็นเจ้า 12 จงยินดี ณ เบื้องหน้าพระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของท่าน ทั้งตัวท่านและบุตรชายบุตรหญิง ผู้รับใช้ชายและหญิง และชาวเลวีที่อาศัยอยู่ในเมืองของพวกท่าน ผู้ไม่ได้รับส่วนแบ่งหรือมรดกร่วมกับท่าน 13 ท่านจงระวังอย่ามอบสัตว์ที่จะเผาเป็นของถวายของท่าน ณ ที่ใดๆ ตามใจชอบ 14 แต่จะเป็นสถานที่ซึ่งพระผู้เป็นเจ้าจะเลือกในเผ่าใดเผ่าหนึ่งของท่าน ที่นั่นแหละจะเป็นสถานที่ซึ่งท่านจะมอบสัตว์ที่เผาเป็นของถวาย และท่านจะปฏิบัติทุกสิ่งตามที่เราบัญชาท่านไว้

15 อย่างไรก็ดี ท่านฆ่าสัตว์เพื่อรับประทานเนื้อได้มากตามความต้องการภายในเมืองของท่าน ตามแต่พระพรที่ท่านจะได้รับจากพระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของท่าน ไม่ว่าผู้ใดจะสะอาดหรือไม่สะอาดตามพิธีกรรมก็รับประทานได้ทั้งนั้น เหมือนกับที่ท่านรับประทานเนื้อละองละมั่งหรือเนื้อกวาง 16 เพียงแต่ว่าอย่ารับประทานเลือด ท่านจงให้เลือดไหลดั่งน้ำลงสู่พื้นดิน 17 อย่ารับประทานของที่ท่านมอบให้แด่พระผู้เป็นเจ้าในเมืองที่ท่านอาศัยอยู่ อันได้แก่หนึ่งในสิบของธัญพืช เหล้าองุ่น หรือน้ำมันมะกอก ลูกหัวปีจากฝูงโคและฝูงแพะแกะ หรือของที่ท่านสัญญาว่าจะมอบให้ หรือของที่ให้ด้วยความสมัครใจ หรือของถวายที่ท่านบริจาค 18 แต่ท่านจงรับประทานของเหล่านี้ ณ เบื้องหน้าพระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของท่านในที่ซึ่งพระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของท่านจะเลือก ทั้งตัวท่าน บุตรชายบุตรหญิง ผู้รับใช้ชายและหญิง และชาวเลวีที่อาศัยอยู่ในเมืองของพวกท่าน และท่านจงยินดี ณ เบื้องหน้าพระผู้เป็นเจ้าในทุกสิ่งที่ท่านลงแรงทำ 19 จงระวังอย่าทอดทิ้งชาวเลวีตราบที่ท่านมีชีวิตอยู่ในแผ่นดินของท่าน

20 เมื่อพระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของท่านขยายอาณาเขตของท่านตามที่พระองค์ได้สัญญาไว้ ท่านพูดว่า ‘เราจะกินเนื้อสัตว์’ เพราะท่านอยากรับประทานเนื้อสัตว์เป็นอย่างยิ่ง แล้วท่านก็รับประทานได้มากเท่าที่ต้องการ 21 ถ้าหากว่าสถานที่ซึ่งพระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของท่านจะเลือก เพื่อให้เป็นที่สำหรับยกย่องพระนามของพระองค์อยู่ห่างเกินไปสำหรับท่าน ท่านจะฆ่าโคหรือแพะแกะตัวใดในฝูงที่เป็นของท่านซึ่งพระผู้เป็นเจ้าให้ เพื่อรับประทานในเมืองของท่าน ตามที่เราบัญชาท่านแล้ว 22 ท่านรับประทานได้ไม่ว่าผู้ใดจะสะอาดหรือไม่สะอาดตามพิธีกรรมก็รับประทานได้ทั้งนั้น เหมือนกับที่ท่านรับประทานเนื้อละองละมั่งหรือกวาง 23 แต่ว่าอย่ารับประทานเลือด เพราะชีวิตพึงอยู่ได้ด้วยเลือด และท่านอย่ารับประทานชีวิตพร้อมกับเนื้อ 24 อย่ารับประทานเลือด จงให้เลือดไหลดั่งน้ำลงสู่พื้นดิน 25 อย่ารับประทานเลือด แล้วทุกสิ่งจะเป็นไปด้วยดีสำหรับท่านและลูกหลานที่เกิดมาภายหลังท่าน เมื่อท่านประพฤติตามสิ่งที่ถูกที่ควรตามสายตาพระผู้เป็นเจ้า 26 แต่ท่านจงนำเครื่องสักการะบูชาที่ท่านพึงถวาย และของที่ท่านสัญญาว่าจะมอบให้ ไปยังที่ซึ่งพระผู้เป็นเจ้าจะเลือก 27 แล้วจงมอบสัตว์ที่จะเผาเป็นของถวายทั้งเนื้อและเลือดบนแท่นบูชาของพระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของท่าน จงเทเลือดสัตว์ที่นำมาสักการะบนแท่นบูชาของพระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของท่าน ส่วนเนื้อนั้นท่านรับประทานได้ 28 ท่านจงระมัดระวังปฏิบัติให้เป็นตามคำซึ่งเราบัญชาท่านไว้ เพื่อว่าทุกสิ่งจะเป็นไปด้วยดีสำหรับท่านและลูกหลานที่เกิดมาภายหลังท่านเป็นนิตย์ เมื่อท่านประพฤติตามสิ่งที่ถูกที่ควรตามสายตาพระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของท่าน

29 เมื่อพระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของท่านกำจัดบรรดาประชาชาติที่ท่านบุกเข้าไปยึดครองดินแดนและอาศัยอยู่ในแผ่นดินของพวกเขา 30 หลังจากเขาถึงความพินาศต่อหน้าท่านแล้ว จงระวังอย่าให้ถูกกับดัก ด้วยการถามไถ่เรื่องเทพเจ้าของพวกเขาว่า ‘ประชาชาติเหล่านั้นบูชาบรรดาเทพเจ้าของพวกเขาอย่างไร เราจะทำตามอย่างด้วย’ 31 อย่าประพฤติอย่างนั้นต่อพระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของท่าน เพราะทุกสิ่งที่พวกเขากระทำต่อบรรดาเทพเจ้าของเขาเป็นที่น่ารังเกียจ และพระผู้เป็นเจ้าก็รังเกียจ แม้แต่บรรดาบุตรทั้งชายและหญิง พวกเขายังเผาไฟให้แก่บรรดาเทพเจ้าของเขาเลย

32 ท่านจงระมัดระวังปฏิบัติตามทุกสิ่งที่เราบัญชาพวกท่านแล้ว อย่าแต่งเติมเสริมคำ หรือตัดให้หดหายไปจากนี้

นมัสการบรรดาเทพเจ้า

13 ถ้าเกิดมีใครสักคนเป็นผู้เผยคำกล่าว หรือเป็นผู้ทำนายฝันมาปรากฏ และบอกท่านเรื่องหมายสำคัญหรือสิ่งมหัศจรรย์ แล้วหมายสำคัญหรือสิ่งมหัศจรรย์ที่เขาบอกท่านก็เกิดขึ้นจริง และถ้าหากเขาพูดว่า ‘เราหันไปเชื่อบรรดาเทพเจ้ากันเถิด (และท่านเองก็ไม่รู้จักมาก่อน) แล้วเราไปนมัสการกันเถิด’ อย่าฟังถ้อยคำของผู้เผยคำกล่าวหรือผู้ทำนายฝันคนนั้น เพราะว่าพระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของท่านกำลังลองใจว่า ท่านรักพระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของท่านอย่างสุดดวงใจและสุดดวงจิตของท่านหรือไม่ ท่านจงดำเนินชีวิตตามพระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของท่านและเกรงกลัวพระองค์ ปฏิบัติตามพระบัญญัติและเชื่อฟังพระองค์ จงรับใช้และผูกพันอยู่กับพระองค์ ส่วนผู้เผยคำกล่าวหรือผู้ทำนายฝันจะต้องถูกประหาร เพราะเขาสั่งสอนให้ขัดขืนพระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของพวกท่าน ผู้นำท่านออกจากแผ่นดินอียิปต์ และให้ท่านหลุดพ้นจากบ้านเรือนแห่งความเป็นทาส เขาทำให้ท่านละจากวิถีทางซึ่งพระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของท่านบัญชาท่านให้ดำเนินตาม ฉะนั้นท่านจงกำจัดคนชั่วร้ายออกไปจากพวกท่าน

ถ้าพี่ชายน้องชายของท่านที่เกิดจากมารดาเดียวกัน หรือบุตรชายบุตรหญิงของท่าน หรือภรรยาสุดที่รักของท่านหรือเพื่อนสนิทที่รู้ใจ มาแอบลวงล่อใจท่านว่า ‘เราไปนมัสการบรรดาเทพเจ้ากันเถิด’ ซึ่งท่านและบรรพบุรุษของท่านไม่รู้จักมาก่อน ปวงเทพเจ้าของบรรดาประชาชาติที่อยู่รายรอบท่าน ไม่ว่าจะอยู่ใกล้หรือไกลจากตัวท่าน คือไม่ว่าที่ใดในโลกก็ตาม ท่านจะต้องไม่คล้อยตามหรือฟังเขา หรือใจอ่อนสงสารเขา และอย่าแสดงความเมตตาต่อเขาหรือปกปิดความผิดของเขา แต่ท่านจงฆ่าเขา ท่านจงเป็นคนแรกที่ลงมือกำจัดชีวิตเขาเสีย หลังจากนั้นก็ให้คนอื่นลงมือได้ 10 ท่านจงใช้ก้อนหินขว้างให้เขาตาย เพราะเขาพยายามดึงท่านให้ออกห่างจากพระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของท่าน ผู้นำท่านออกจากแผ่นดินอียิปต์ จากบ้านเรือนแห่งความเป็นทาส 11 และชาวอิสราเอลทั้งปวงจะได้ยินเรื่องราวและเกรงกลัว แล้วจะไม่กระทำความชั่วเช่นนี้ในหมู่พวกท่านอีก

12 ถ้าท่านได้ยินว่าเมืองใดเมืองหนึ่งที่พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของท่านให้ท่านอาศัยอยู่ 13 มีคนชั่วมาจากพวกท่านเอง ทำให้ประชาชนในเมืองของพวกเขาหลงผิด โดยพูดว่า ‘เราไปนมัสการบรรดาเทพเจ้ากันเถิด’ ซึ่งท่านไม่รู้จักมาก่อน 14 ฉะนั้นแล้ว ท่านจงไต่ถาม สืบเสาะและสืบสวนให้แน่ชัด ถ้าเป็นความจริงและแน่ใจว่าสิ่งที่น่ารังเกียจเช่นนั้นได้เกิดขึ้นในหมู่พวกท่านจริง 15 ท่านจงฆ่าฟันประชาชนในเมืองนั้น กำจัดทุกคนที่อยู่ที่นั่นรวมทั้งสัตว์เลี้ยงให้ราบคาบด้วยคมดาบ 16 รวบรวมข้าวของที่ริบได้มาไว้ที่กลางลานเมือง จงเผาเมืองและข้าวของที่ริบได้ ดังเช่นสัตว์ทั้งตัวที่เผาเป็นของถวายแด่พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของท่าน ให้เป็นกองสลักหักพังเป็นนิตย์ ไม่มีการก่อสร้างขึ้นใหม่อีก 17 อย่าให้สิ่งที่ถวายแล้วติดมือติดไม้ไปกับท่านเลย เพื่อว่าพระผู้เป็นเจ้าจะหันเหจากความกริ้วอันร้อนแรงของพระองค์ และมีเมตตาต่อท่าน สงสารท่าน และเพิ่มจำนวนทายาทของพวกท่านมากขึ้น ตามที่พระองค์ปฏิญาณต่อบรรพบุรุษของท่าน 18 เพราะท่านเชื่อฟังพระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของท่าน โดยปฏิบัติตามพระบัญญัติซึ่งเราบัญชาท่านในวันนี้ และประพฤติตามสิ่งที่ถูกที่ควรตามสายตาพระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของท่าน

อาหารที่สะอาดและที่มีมลทิน

14 พวกท่านเป็นบุตรของพระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของท่าน อย่ากรีดเนื้อหนังหรือโกนหน้าผากตนเองให้โล้นเพื่อคนตาย ด้วยว่า ท่านเป็นชนชาติบริสุทธิ์ต่อพระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของท่าน และพระผู้เป็นเจ้าได้เลือกท่านให้เป็นชนชาติหนึ่งจากชนชาติทั้งปวงบนแผ่นดินโลก เพื่อให้เป็นสมบัติอันมีค่าของพระองค์

ห้ามรับประทานสิ่งที่น่ารังเกียจ เนื้อสัตว์ที่ท่านรับประทานได้คือ โค แกะ แพะ กวาง ละองละมั่ง เก้ง แพะป่า เลียงผา ละมั่งน้อย และแกะป่า สัตว์เลี้ยงทุกชนิดที่แยกกีบคือแยกเป็น 2 กีบและเคี้ยวเอื้อง ท่านรับประทานได้ อย่างไรก็ตาม ห้ามรับประทานสัตว์บางชนิดที่เพียงเคี้ยวเอื้องหรือเพียงมีกีบแยกเป็นสองคือ อูฐ กระต่าย และตัวแบดเจอร์ เพราะสัตว์จำพวกนี้เคี้ยวเอื้องแต่ไม่แยกกีบ ซึ่งเป็นมลทินสำหรับท่าน และหมู เพราะมันแยกกีบแต่ไม่เคี้ยวเอื้องซึ่งเป็นมลทินสำหรับท่าน ห้ามรับประทานเนื้อสัตว์ประเภทเหล่านี้ และอย่าแตะต้องซากของมัน

สัตว์น้ำที่ท่านรับประทานได้คือ สัตว์ทุกชนิดที่มีครีบและเกล็ด 10 ส่วนสัตว์ที่ไม่มีครีบและเกล็ด ห้ามรับประทาน เพราะเป็นมลทินสำหรับท่าน

11 ท่านรับประทานนกทุกชนิดที่ไม่มีมลทินได้ 12 นกที่ท่านไม่ควรรับประทานคือ นกอินทรี แร้งหนวดยาว แร้งดำ 13 เหยี่ยวแดง เหยี่ยวดำ เหยี่ยวนกเขาชนิดใดก็ตาม 14 อีกาทุกชนิด 15 นกกระจอกเทศ นกเค้าเหยี่ยว นกนางนวล และเหยี่ยวชนิดใดก็ตาม 16 นกเค้าแมวน้อย นกเค้าแมวใหญ่ นกเค้าแมวขาว 17 นกกระทุง อีแร้งกินซากศพ นกงั่วกินปลา 18 นกกระสา นกกระยางชนิดใดก็ตาม นกกะรางหัวขวาน และค้างคาว 19 และแมลงมีปีกทุกชนิดเป็นมลทินสำหรับท่าน ห้ามรับประทาน 20 สิ่งที่มีปีกทุกชนิดที่สะอาด ท่านรับประทานได้

21 ห้ามรับประทานสิ่งที่ตายเอง ท่านให้คนพลัดถิ่นที่อยู่ในเมืองของท่านรับประทานได้ หรือขายให้แก่ชนชาติอื่นได้ เพราะท่านเป็นชนชาติบริสุทธิ์ต่อพระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของท่าน อย่าต้มลูกแพะในน้ำนมของแม่มัน[k]

การให้หนึ่งในสิบ

22 ท่านจงมอบหนึ่งในสิบของพืชผลจากไร่นาของท่านที่ผลิตได้ในแต่ละปี 23 และท่านจงรับประทานธัญพืช เหล้าองุ่น น้ำมัน ลูกหัวปีจากฝูงโคและฝูงแพะแกะของท่านที่เป็นหนึ่งในสิบ ณ เบื้องหน้าพระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของท่านในที่ซึ่งพระองค์จะเลือกเพื่อยกย่องพระนามของพระองค์ที่นั่น เพื่อท่านจะได้รู้จักเกรงกลัวพระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของท่านเป็นนิตย์ 24 พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของท่านอวยพรท่านด้วยพืชผล แต่ถ้าระยะทางที่พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของท่านเลือก เพื่อให้เป็นที่สำหรับยกย่องพระนามของพระองค์นั้นไกลเกินกว่าที่ท่านจะสามารถนำหนึ่งในสิบมาได้ 25 ท่านก็จงขายพืชผลส่วนนั้น ได้เป็นเหรียญเงินเก็บไว้ แล้วนำไปยังที่ซึ่งพระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของท่านเลือก 26 และใช้เงินนั้นสำหรับจ่ายค่าโค แพะแกะ เหล้าองุ่นหรือสุรา อะไรก็ตามที่ท่านและครอบครัวท่านอยากรับประทาน ท่านจะรับประทานและยินดีอยู่ที่นั่น ณ เบื้องหน้าพระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของท่าน 27 ท่านอย่าทอดทิ้งชาวเลวีซึ่งอยู่ในเมืองของท่าน เพราะเขาไม่ได้รับส่วนแบ่งหรือมรดกร่วมกับท่าน

28 ทุกๆ ปลายปีที่สามท่านจงนำหนึ่งในสิบของจำนวนพืชผลที่ได้จากปีที่สาม และเก็บไว้ในที่เก็บของในเมือง 29 บรรดาผู้ที่จะมารับประทานอย่างอิ่มหนำคือ ชาวเลวี (เพราะเขาไม่ได้รับส่วนแบ่งหรือมรดกเป็นของตนเอง) ชาวต่างด้าว เด็กกำพร้า และหญิงม่ายซึ่งอาศัยอยู่ในเมืองของท่าน เพื่อพระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของท่านจะอวยพรท่านในทุกสิ่งที่ท่านทำ

ยกเลิกหนี้สินในปีที่เจ็ด

15 ทุกๆ ปลายปีที่เจ็ด ท่านจงยกเลิกหนี้สิน สิ่งที่ต้องทำคือ ผู้ให้ยืมจะยกหนี้ที่เพื่อนบ้านของเขาติดค้างไว้ เขาจะไม่ทวงคืนจากเพื่อนบ้านหรือพี่น้องของเขา เพราะพระผู้เป็นเจ้าสั่งให้ยกเลิกหนี้สิน ท่านจะทวงคืนจากชาวต่างชาติก็ได้ แต่อะไรก็ตามที่เกี่ยวกับหนี้สินของพี่น้องของท่านก็จงยกเลิกเสีย จะไม่มีผู้ยากไร้ในหมู่พวกท่าน เพราะพระผู้เป็นเจ้าจะอวยพรท่านในแผ่นดินซึ่งพระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของท่านมอบแก่ท่าน และให้ท่านยึดครองเป็นมรดก เพียงถ้าท่านเชื่อฟังพระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของท่าน โดยปฏิบัติตามพระบัญญัติทุกข้อที่เราสั่งท่านในวันนี้อย่างเคร่งครัด ด้วยว่าพระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของท่านจะอวยพรท่านตามที่พระองค์ได้สัญญาไว้ และท่านจะให้หลายประชาชาติขอยืมจากท่าน แต่ท่านจะไม่เป็นผู้ขอยืม ท่านจะควบคุมหลายประชาชาติ แต่เขาจะไม่เป็นฝ่ายควบคุมท่าน

ถ้ามีพี่น้องผู้ยากไร้ในหมู่พวกท่าน ที่อาศัยอยู่ในเมืองภายในแผ่นดินของท่านที่พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของท่านมอบให้ ท่านอย่ามีใจแข็งกระด้างต่อพี่น้องผู้ยากไร้ของท่าน แต่ท่านจงหยิบยื่นให้เขา ให้เขายืมได้อย่างพอเพียงตามความจำเป็น ไม่ว่าจะเป็นสิ่งใดก็ตาม จงระวังไว้ เกรงว่าจะเกิดมีความคิดในใจว่า ‘ปีที่เจ็ด ปีแห่งการยกหนี้สินใกล้จะถึงแล้ว’ และแสดงความไม่เป็นมิตรต่อพี่น้องผู้ยากไร้ของท่าน ท่านไม่ให้อะไรแก่เขาเลย เขาจะร้องต่อพระผู้เป็นเจ้าเรื่องท่าน และท่านจะถูกตัดสินว่าเป็นผู้ทำบาป 10 เมื่อท่านเผื่อแผ่หยิบยื่นให้เขา เวลาให้ ท่านก็ไม่ได้ฝืนใจ และเพราะเหตุนี้ พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของท่านจะอวยพรท่านในด้านการงานทุกชนิดและทุกสิ่งที่ท่านทำ 11 จะมีผู้ยากไร้อยู่ในแผ่นดินด้วยเสมอ ฉะนั้นเราขอสั่งท่านว่า ท่านจงหยิบยื่นให้แก่พี่น้องของท่าน แก่ผู้ขัดสนและผู้ยากไร้ในแผ่นดิน

การปลดปล่อยทาส

12 ถ้าพี่น้องชาวฮีบรูทั้งชายและหญิงถูกขายให้แก่ท่าน ก็ให้เขารับใช้ท่าน 6 ปี และปีที่เจ็ดจงปล่อยให้เขาเป็นอิสระ 13 และเวลาท่านให้เขาเป็นอิสระนั้น ท่านอย่าให้เขาไปมือเปล่า 14 ท่านจงเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่จัดหาแพะแกะที่ท่านมีจากฝูง เมล็ดข้าวจากลานนวดข้าว และเหล้าองุ่นจากเครื่องสกัด ท่านจงให้เขาดังที่พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของท่านได้อวยพรท่าน 15 ท่านจงจำไว้ว่าท่านเคยเป็นทาสในแผ่นดินอียิปต์ และพระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของท่านไถ่ท่าน ฉะนั้นเราขอสั่งเรื่องนี้กับท่านในวันนี้ 16 แต่ถ้าเขาพูดกับท่านว่า ‘ข้าพเจ้าจะไม่ไปจากท่าน’ เพราะเขารักท่านและครอบครัว เนื่องจากเขาสุขสบายดีขณะอยู่กับท่าน 17 ท่านจงเจาะหูเขาข้างหนึ่งด้วยเหล็กแหลมโดยแนบหูของเขาไว้ที่ประตู แล้วเขาจะเป็นทาสชายไปตลอดชีวิต และจงกระทำต่อทาสหญิงเช่นเดียวกัน 18 อย่าคิดว่าเป็นการยากเวลาที่ท่านปล่อยให้เขาเป็นอิสระ เพราะเขารับใช้ท่านเป็นเวลา 6 ปีซึ่งมีค่าเท่าๆ กับการจ้างผู้รับใช้ 2 คน แล้วพระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของท่านจะอวยพรท่านในทุกสิ่งที่ท่านทำ

สัตว์หัวปีตัวผู้

19 ท่านจงยกสัตว์หัวปีตัวผู้จากฝูงโคและแพะแกะของท่านให้แด่พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของท่าน อย่าใช้โคหัวปีทำงานหรือตัดขนแกะหัวปีจากฝูงสัตว์ของท่าน 20 ท่านและครอบครัวของท่านจงรับประทานสัตว์หัวปี ณ เบื้องหน้าพระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของท่านทุกปี ในที่ซึ่งพระผู้เป็นเจ้าเลือก 21 แต่ถ้าเป็นสัตว์ที่มีตำหนิ พิการหรือตาบอด หรือมีตำหนิใดๆ มาก ท่านอย่าใช้เป็นเครื่องสักการะแด่พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของท่าน 22 ท่านจงรับประทานสัตว์ภายในเมืองของท่าน ไม่ว่าผู้ใดจะสะอาดหรือไม่สะอาดตามพิธีกรรมก็รับประทานได้ทั้งนั้น เหมือนกับที่ท่านรับประทานเนื้อละองละมั่งหรือเนื้อกวาง 23 เพียงแต่ว่าอย่ารับประทานเลือด ท่านจงให้เลือดไหลดั่งน้ำลงสู่พื้นดิน

งานฉลองเทศกาลปัสกา

16 จงรักษาเดือนอาบีบ และฉลองปัสกาของพระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของท่าน[l] เพราะในเดือนอาบีบพระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของท่านนำท่านออกจากประเทศอียิปต์ในยามค่ำ และท่านจงถวายสัตว์จากฝูงแพะแกะและโคเป็นเครื่องสักการะแด่พระผู้เป็นเจ้าในวันปัสกา ในที่ซึ่งพระผู้เป็นเจ้าจะเลือก เพื่อให้เป็นที่สำหรับยกย่องพระนามของพระองค์ที่นั่น ท่านอย่ารับประทานกับขนมปังมีเชื้อยีสต์ ในระยะเวลา 7 วันท่านจงรับประทานกับขนมปังไร้เชื้ออันเป็นขนมปังแห่งการทนทุกข์ เพราะท่านออกจากแผ่นดินอียิปต์อย่างรีบเร่ง เพื่อให้ท่านระลึกถึงวันที่ออกจากแผ่นดินอียิปต์ตลอดชีวิตของท่าน อย่าให้มีเชื้อยีสต์เหลืออยู่กับท่านไม่ว่าที่ใดเป็นเวลา 7 วัน และอย่าให้มีเนื้อสัตว์ที่ใช้เป็นเครื่องสักการะของเย็นวันแรกเหลือทิ้งไว้จนถึงรุ่งเช้า ท่านอย่าถวายเครื่องสักการะสำหรับวันปัสกาภายในเมืองที่พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของท่านมอบให้ แต่จะเป็นที่ซึ่งพระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของท่านจะเลือก เพื่อให้เป็นที่สำหรับยกย่องพระนามของพระองค์ ท่านจงถวายเครื่องสักการะสำหรับวันปัสกาที่นั่น จะเป็นเวลาเย็นช่วงตะวันตกดินซึ่งตรงกับช่วงเวลาที่ท่านออกจากประเทศอียิปต์[m] ท่านจงต้มเนื้อและรับประทานในที่ซึ่งพระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของท่านเลือก พอรุ่งเช้าท่านจงกลับไปยังกระโจมที่พักของท่าน หลังจากท่านรับประทานขนมปังไร้เชื้อเป็นเวลา 6 วันแล้ว พอวันที่เจ็ดจงประชุมนมัสการเพื่อพระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของท่าน ท่านอย่าทำงานในวันนั้น

เทศกาลเก็บเกี่ยว

ท่านจงนับจากวันที่เริ่มใช้เคียวเกี่ยวข้าวไปจนครบ 7 สัปดาห์ 10 แล้วท่านจงฉลองเทศกาลครบ 7 สัปดาห์สำหรับพระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของท่าน[n] พร้อมกับนำเครื่องบูชามาถวายด้วยความสมัครใจ ท่านจงมอบให้ตามที่พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของท่านอวยพรท่าน 11 และท่านจงยินดี ณ เบื้องหน้าพระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของท่านในสถานที่ซึ่งพระองค์เลือก เพื่อยกย่องพระนามของพระองค์ที่นั่น ร่วมกับบุตรชายบุตรหญิง ผู้รับใช้ชายและหญิง ชาวเลวีที่อยู่ในเมืองของท่าน ชาวต่างด้าว เด็กกำพร้า และหญิงม่ายในหมู่พวกท่าน 12 ท่านจงจำไว้ว่าท่านเคยเป็นทาสในอียิปต์ และท่านจงปฏิบัติตามกฎเกณฑ์เหล่านี้อย่างเคร่งครัด

เทศกาลอยู่เพิง

13 หลังจากที่ท่านรวบรวมพืชผลจากลานนวดข้าวและเครื่องสกัดเหล้าองุ่นแล้ว ท่านจงฉลองเทศกาลอยู่เพิง 7 วัน[o] 14 ท่านจงยินดีในงานเทศกาลร่วมกับบุตรชายบุตรหญิง ผู้รับใช้ชายและหญิง ชาวเลวี ชาวต่างด้าว เด็กกำพร้า และแม่ม่ายที่อยู่ในเมืองของท่าน 15 ท่านจงฉลองเทศกาลเพื่อพระผู้เป็นเจ้า ณ ที่ซึ่งพระผู้เป็นเจ้าเลือกเป็นเวลา 7 วัน เพราะพระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของท่านอวยพรท่านด้วยพืชผลทั้งสิ้นและการงานทั้งปวงที่ท่านทำ เพื่อให้ท่านมีความชื่นชมยินดีอย่างยิ่ง

16 ผู้ชายทุกคนของท่านจงอยู่ ณ เบื้องหน้าพระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของท่านปีละ 3 ครั้ง ในที่ซึ่งพระองค์เลือกคือ ตอนเทศกาลขนมปังไร้เชื้อ เทศกาลครบ 7 สัปดาห์ และเทศกาลอยู่เพิง พวกเขาจะไม่มาอยู่ ณ เบื้องหน้าพระผู้เป็นเจ้าด้วยมือเปล่า 17 ชายทุกคนจะถวายเท่าที่ตนสามารถ ตามแต่พระพรที่พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของท่านมอบแก่ท่าน

ผู้ตัดสินความ

18 ท่านจงแต่งตั้งผู้ตัดสินความและเจ้าหน้าที่ทั้งหลายขึ้นสำหรับทุกๆ เมืองที่พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของท่านมอบให้ ตามแต่ละเผ่าของท่าน ให้พวกเขาตัดสินประชาชนด้วยความชอบธรรม 19 อย่าบิดเบือนความเป็นธรรมหรือแสดงความลำเอียง และอย่ารับสินบน เพราะสินบนอาจปิดบังหูตาของผู้เรืองปัญญาให้มืดบอด และพลิกคดีของผู้ปราศจากความผิดได้ 20 จงมีความเป็นธรรม ท่านจงให้แต่ความเป็นธรรมเท่านั้น เพื่อท่านจะได้มีชีวิตและยึดครองแผ่นดินที่พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของท่านมอบให้

ห้ามนมัสการเทพเจ้า

21 ท่านอย่าตั้งเสาไม้เทวรูปอาเชราห์ไว้ที่ข้างแท่นบูชาที่ท่านจะสร้างขึ้นสำหรับพระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของท่าน 22 และอย่าตั้งเสาหินซึ่งพระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของท่านเกลียดชัง

17 อย่าใช้โคหรือแกะที่มีตำหนิหรือมีจุดด่างเป็นเครื่องสักการะสำหรับพระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของท่าน เพราะเป็นที่น่ารังเกียจต่อพระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของท่าน

ถ้าในเมืองซึ่งพระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของท่านมอบให้นั้น ปรากฏว่ามีชายหรือหญิงในหมู่พวกท่านกระทำสิ่งชั่วร้ายในสายตาของพระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของท่าน คือละเมิดพันธสัญญาของพระองค์ และไปบูชาและนมัสการบรรดาเทพเจ้า ดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ หรือสิ่งทั้งปวงที่อยู่บนท้องฟ้าที่เราไม่ได้บัญชาไว้ หากว่ามีคนมาบอกให้ท่านฟัง ท่านก็จงไต่ถามให้แน่ชัด และถ้าเป็นความจริงและแน่ใจว่าสิ่งที่น่ารังเกียจเช่นนี้ได้เกิดขึ้นในอิสราเอล ท่านจงพาชายหรือหญิงผู้กระทำสิ่งชั่วร้ายนั้นมาที่ประตูเมือง และใช้ก้อนหินขว้างเขาให้ตาย ในกรณีที่มีพยานสองหรือสามปาก คนที่จะรับโทษต้องมีโทษถึงตาย แต่ถ้ามีพยานเพียงคนเดียวเขาจะไม่ได้รับโทษถึงตาย[p] พยานทุกคนจะเป็นคนแรกที่ใช้ก้อนหินขว้างเขาให้ตาย และหลังจากนั้นคนอื่นๆ ก็จะลงมือ ท่านจงกำจัดคนชั่วร้ายเหล่านั้นออกไปจากพวกท่านเถิด

ถ้าในกรณีขึ้นศาลในเมืองของท่านเป็นกรณียากเกินกว่าที่ท่านจะพิพากษา ไม่ว่าจะเป็นคดีฆ่าคน คดีความ หรือคดีทำร้ายร่างกาย ท่านจงขึ้นไปยังสถานที่ซึ่งพระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของท่านเลือก จงไปหาบรรดาปุโรหิตซึ่งเป็นชาวเลวี และไปหาผู้ตัดสินความที่ประจำการในเวลานั้น และปรึกษากับเขาเหล่านั้น เขาจะบอกคำตัดสินให้ท่านทราบ 10 ท่านจงทำตามที่เขาตัดสินในสถานที่ซึ่งพระผู้เป็นเจ้าเลือก และท่านจงทำตามที่พวกเขาบอกทุกประการ 11 ตามกฎบัญญัติที่พวกเขาสั่งสอนท่าน และตามการตัดสินที่เขาประกาศแก่ท่าน ท่านจงปฏิบัติตาม และอย่าหันเหไปจากสิ่งที่เขาบอก 12 ผู้ใดเกิดความยโสไม่เชื่อฟังปุโรหิตซึ่งปฏิบัติหน้าที่อยู่ ณ เบื้องหน้าพระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของท่าน หรือผู้ตัดสินความ ผู้นั้นจะต้องตาย ท่านจงกำจัดคนชั่วร้ายเหล่านั้นออกไปจากอิสราเอลเถิด 13 และทุกคนที่ได้ยินก็จะเกรงกลัว และไม่กล้าบังอาจอีก

บรรดากษัตริย์แห่งอิสราเอล

14 เมื่อท่านก้าวเข้ามายังแผ่นดินที่พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของท่านมอบให้ท่านยึดเป็นเจ้าของและอาศัยอยู่ และท่านพูดว่า ‘เราจะให้มีการเลือกกษัตริย์ปกครองเหนือเรา เหมือนกับประชาชาติทั้งปวงที่อยู่รอบข้างเรา’ 15 ท่านจงแน่ใจว่าผู้ที่ท่านจะแต่งตั้งให้เป็นกษัตริย์ปกครองเหนือท่านจะเป็นผู้ที่พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของท่านเลือกไว้ เป็นผู้มาจากกลุ่มของพวกท่านเองซึ่งท่านจะแต่งตั้งให้เป็นกษัตริย์ปกครองท่าน ท่านอย่าให้คนต่างด้าวซึ่งไม่ใช่พี่น้องของท่านเป็นใหญ่เหนือท่าน 16 ขอเพียงอย่าให้กษัตริย์มีม้าศึกจำนวนมากเป็นของตนเอง[q] หรือเป็นเหตุให้ประชาชนกลับไปยังประเทศอียิปต์เพื่อหาม้าศึกเพิ่มขึ้น ในเมื่อพระผู้เป็นเจ้าได้กล่าวกับท่านไว้ว่า ‘เจ้าอย่าหันกลับไปทางนั้นอีก’ 17 และกษัตริย์อย่ามีภรรยามาก[r] เกรงว่าเขาจะถูกชักจูงออกห่างไป เขาอย่าสะสมเงินทองส่วนของตนให้งอกเงยมากเกินไปนัก[s]

18 และเมื่อเขาครองบัลลังก์ในอาณาจักร เขาจงคัดลอกกฎบัญญัตินี้ลงในหนังสือม้วนสำหรับตนเอง โดยคัดมาจากปุโรหิตซึ่งเป็นชาวเลวี 19 กฎบัญญัติจะอยู่กับเขา เขาจะอ่านทุกวันตราบชั่วชีวิต เพื่อให้เขารู้จักเกรงกลัวพระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของเขา โดยรักษาทุกสิ่งในกฎบัญญัตินี้และกฎเกณฑ์เหล่านี้ และปฏิบัติตาม 20 เพื่อใจของเขาจะไม่ฮึกเหิมและนึกไปว่าเขาวิเศษกว่าพี่น้องของตน เพื่อเขาจะได้ไม่หันเหไปจากการปฏิบัติตามกฎบัญญัติ เพื่อให้ตัวเขาและผู้สืบเชื้อสายต่อๆ ไปครองราชย์ในอาณาจักรได้ยาวนาน

ส่วนแบ่งของปุโรหิต

18 ปุโรหิตซึ่งเป็นชาวเลวี รวมทั้งทุกคนในเผ่าเลวีจะไม่ได้รับส่วนแบ่งหรือมรดกร่วมกับชาวอิสราเอล พวกเขาจะรับประทานสิ่งที่นำมาเผาเป็นของถวายแด่พระผู้เป็นเจ้า ซึ่งเป็นมรดกของพวกเขา พวกเขาจะไม่ได้รับมรดกเหมือนพี่น้องเผ่าอื่นๆ พระผู้เป็นเจ้าเป็นมรดกของพวกเขาดังที่พระองค์ได้สัญญาเขาไว้ สิ่งที่ปุโรหิตมีสิทธิ์รับจากประชาชนและจากบรรดาผู้ถวายเครื่องสักการะคือ โคหรือแกะ พวกเขาจะมอบส่วนที่เป็นเนื้อสันขาหน้า แก้มทั้งสองข้าง และส่วนท้องให้แก่ปุโรหิต อีกทั้งพืชผลแรกที่ได้จากธัญพืช เหล้าองุ่น น้ำมันมะกอก และท่านจะต้องให้ขนแกะส่วนแรกที่ตัดมาได้ เพราะพระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของท่านเลือกเขาและบุตรของเขาจากเผ่าพันธุ์ทั้งหมดของท่าน เพื่อประจำการและรับใช้ในพระนามของพระผู้เป็นเจ้าตลอดไป

ถ้าชาวเลวีมาจากเมืองใดก็ตามที่เขาอาศัยอยู่ในอิสราเอล ปรารถนาอย่างยิ่งที่จะไปยังสถานที่ซึ่งพระผู้เป็นเจ้าเลือก เขาก็จะกระทำได้ เขาจะรับใช้ในพระนามของพระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของเขาได้ เหมือนกับชาวเลวีทั้งปวงที่ประจำการรับใช้ ณ เบื้องหน้าพระผู้เป็นเจ้าที่นั่น พวกเขาควรจะได้รับส่วนแบ่งรับประทานเท่าๆ กัน นอกจากนั้นเขายังรับผลประโยชน์ที่ได้จากการค้าขายของบรรพบุรุษด้วย

การกระทำอันน่ารังเกียจ

เมื่อท่านก้าวเข้าไปยังแผ่นดินที่พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของท่านมอบให้ ท่านก็อย่าเรียนรู้วิถีทางอันน่ารังเกียจของบรรดาประชาชาติ แล้วนำมาปฏิบัติตาม 10 อย่าให้พบว่ามีใครในหมู่พวกท่านที่เผาบุตรชายหรือบุตรหญิงของตนเป็นเครื่องสักการะ เป็นผู้ทำนาย หรือใช้เวทมนตร์ หมอดูโชคลาง และผู้ใช้วิทยาคม 11 เป็นผู้สาปแช่ง หรือเป็นคนทรง หรือหมอผี หรือเป็นผู้สื่อกับคนตาย 12 ใครก็ตามที่กระทำสิ่งเหล่านี้เป็นที่น่ารังเกียจต่อพระผู้เป็นเจ้า และเป็นเพราะการกระทำที่น่าชังเหล่านี้ พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของท่านจึงขับไล่ชนชาติเหล่านั้นไปให้พ้นหน้าท่าน 13 ท่านจงเป็นคนดีเพียบพร้อมทุกประการ ณ เบื้องหน้าพระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของท่าน

ผู้เผยคำกล่าวของพระเจ้า

14 บรรดาประชาชาติที่ท่านกำลังจะเข้าไปยึดครองเชื่อพวกใช้เวทมนตร์คาถาและผู้ทำนาย แต่พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของท่านไม่ยอมให้ท่านทำเช่นนั้น

15 พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของท่านจะกำหนดผู้เผยคำกล่าวของพระเจ้าผู้หนึ่งดังเช่นเราให้แก่ท่าน และท่านผู้นั้นมาจากหมู่พี่น้องของท่านเอง ฉะนั้นจงฟังท่านผู้นั้น[t] 16 ตามที่ท่านต้องการจากพระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของท่านที่โฮเรบในวันที่มีประชุมกัน เมื่อท่านกล่าวว่า ‘อย่าให้เราได้ยินเสียงของพระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของเราอีก หรือเห็นเพลิงไฟขนาดใหญ่เช่นนี้อีก เพราะเกรงว่าเราจะถึงกาลวิบัติ’ 17 แล้วพระผู้เป็นเจ้ากล่าวกับเราว่า ‘ทุกสิ่งที่พวกเขาพูดมานั้นถูกต้องทีเดียว 18 เราจะกำหนดผู้เผยคำกล่าวของพระเจ้าผู้หนึ่งดังเช่นเจ้าให้แก่พวกเขา และผู้นั้นจะมาจากหมู่พี่น้องของเขาเอง เขาจะพูดสิ่งที่เราบอกให้พูด และจะพูดทุกสิ่งที่เราสั่งให้เขาพูดกับพวกเขา 19 เขาจะพูดในนามของเรา แต่ถ้าใครก็ตามไม่ฟังคำของเรา เราจะลงโทษผู้นั้น 20 แต่ผู้เผยคำกล่าวผู้ใดกล้าบังอาจพูดในนามของเราโดยที่เราไม่ได้สั่งให้เขาพูด หรือเขาพูดในนามของเทพเจ้าใดๆ เขาจะต้องตาย’ 21 และถ้าท่านคิดในใจว่า ‘เราจะทราบได้อย่างไรว่าผู้เผยคำกล่าวได้รับข้อความมาจากพระผู้เป็นเจ้า 22 เมื่อผู้เผยคำกล่าวพูดในพระนามของพระผู้เป็นเจ้า แล้วสิ่งที่พูดไม่เกิดขึ้นหรือไม่เป็นจริง แสดงว่าพระผู้เป็นเจ้าไม่ได้พูด เขาบังอาจพูดด้วยความอาจเอื้อม ท่านไม่จำเป็นต้องเกรงกลัวเขาเหล่านั้น

กฎเกณฑ์เกี่ยวกับเมืองลี้ภัย

19 เมื่อพระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของท่านกำจัดบรรดาประชาชาติไปจากแผ่นดินที่พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของท่านมอบแก่ท่าน แล้วท่านก็ยึดครองและเข้าไปอาศัยอยู่ในเมืองและในบ้านของพวกเขา ท่านจงแยกเมืองไว้ 3 เมืองสำหรับตนเองในแผ่นดินที่พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของท่านมอบให้ท่านยึดครอง ท่านจงแบ่งแผ่นดินที่พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของท่านจะมอบให้ท่านยึดครองออกเป็น 3 ส่วนและสร้างถนนไว้ให้พร้อม เพื่อว่าผู้ใดที่ฆ่าคนแล้วจะได้หลบหนีไปที่นั่นได้

กฎที่เกี่ยวกับผู้ฆ่าคนและหลบหนีไปที่นั่นเพื่อรอดตายเป็นไปตามนี้คือ เป็นผู้ฆ่าคนโดยไม่มีเจตนา โดยไม่เคยเป็นศัตรูกันมาก่อน ตัวอย่างเช่น ชายคนหนึ่งเข้าป่าไปตัดไม้กับเพื่อนบ้านของเขา ขณะที่เขาเหวี่ยงขวานตัดต้นไม้ หัวขวานบังเอิญหลุดจากด้ามไปถูกเพื่อนบ้าน ทำให้เขาตาย ชายคนนั้นหลบหนีไปยังเมืองใดเมืองหนึ่งที่กล่าวมานี้ได้ เขาจะได้รอดตาย เกรงว่าถ้าระยะทางไกลเกินไป ผู้แก้แค้นเกิดความเกรี้ยวกราดตามล่าจนทัน และฆ่าเขาตายในขณะที่เขาไม่สมควรจะตาย ในเมื่อเขาไม่ได้เป็นศัตรูกับเพื่อนบ้านของเขามาก่อน ฉะนั้นเราสั่งท่านว่า ท่านจงแยกเมืองไว้ 3 เมืองสำหรับตนเอง

และถ้าพระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของท่านขยายอาณาเขตให้ท่านตามที่พระองค์ได้ปฏิญาณกับบรรพบุรุษของท่าน และมอบแผ่นดินที่พระองค์ได้สัญญาว่าจะให้แก่บรรพบุรุษของท่าน เพราะท่านรักษาพันธสัญญาที่เราสั่งท่านในวันนี้อย่างเคร่งครัดด้วยการรักพระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของท่าน และดำเนินในวิถีทางของพระองค์เสมอ ท่านจงเพิ่มเมืองขึ้นอีก 3 เมือง 10 จงกระทำตามนี้เพื่อเลือดของคนไม่มีความผิดจะไม่ไหลนองในแผ่นดินที่พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของท่านมอบแก่ท่านเป็นมรดก ท่านจะได้ไม่เป็นฝ่ายผิดในการตายของเขา

11 แต่ถ้าผู้ใดเกลียดชังเพื่อนบ้านของตน และคอยหาโอกาสทำร้าย และทำให้เขาบาดเจ็บสาหัสถึงแก่ความตาย แล้วชายคนนั้นก็หลบหนีเข้าไปในเมืองดังกล่าว 12 บรรดาหัวหน้าชั้นผู้ใหญ่ในเมืองของชายคนนั้นให้คนไปตามตัวเขามาจากที่นั่น มอบตัวเขาให้ผู้แก้แค้นลงโทษถึงชีวิต 13 ท่านต้องไม่ใจอ่อนสงสารเขา แต่จงกำจัดการกระทำผิดฐานฆ่าผู้ไร้ความผิดไปเสียจากอิสราเอล เพื่อว่าทุกสิ่งจะเป็นไปด้วยดีสำหรับท่าน

14 อย่าเคลื่อนย้ายหลักเขตของเพื่อนบ้านของท่าน ซึ่งเหล่าบรรพบุรุษได้ปักไว้ในแผ่นดินที่พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของท่านมอบให้ท่านยึดครอง

กฎเกณฑ์เกี่ยวกับพยาน

15 พยานปากเพียงผู้เดียวไม่พอในการตัดสินลงโทษคนที่ถูกกล่าวหากรณีอาญาหรือความผิดใดๆ ที่เขากระทำ คือจะต้องมีพยานปาก 2 หรือ 3 คน จึงจะถือเป็นหลักฐานยืนยันได้[u] 16 ถ้าพยานเท็จคนหนึ่งยืนยันกล่าวหาว่าใครคนหนึ่งกระทำผิด 17 ทั้งสองฝ่ายที่มีเรื่องกันจะต้องไปยืน ณ เบื้องหน้าพระผู้เป็นเจ้า ต่อหน้าบรรดาปุโรหิตและผู้ตัดสินความที่ประจำหน้าที่อยู่ในเวลานั้น 18 บรรดาผู้ตัดสินความจะต้องสืบสวนอย่างรอบคอบ และถ้าพยานเป็นพยานเท็จโดยกล่าวหาพี่น้องร่วมชาติอย่างผิดๆ 19 ท่านจงกระทำต่อเขาอย่างที่เขาตั้งใจกระทำต่อพี่น้องของเขา ดังนั้นท่านจงกำจัดคนชั่วร้ายเหล่านั้นออกไปจากพวกท่านเถิด 20 แล้วคนอื่นๆ จะได้ยินเรื่องและรู้สึกกลัว และจะไม่กล้ากระทำสิ่งชั่วร้ายเช่นนั้นในหมู่พวกท่านอีก 21 ท่านต้องไม่ใจอ่อนสงสาร มันจะเป็นชีวิตต่อชีวิต ตาต่อตา ฟันต่อฟัน มือต่อมือ และเท้าต่อเท้า[v]

กฎเกณฑ์ในยามสงคราม

20 เวลาท่านออกศึกสงครามรบกับศัตรูของท่าน ท่านแลเห็นฝูงม้า รถศึก และกองทัพซึ่งใหญ่กว่าของท่านเอง ท่านต้องไม่กลัวพวกเขา เพราะพระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของท่านอยู่กับท่าน พระองค์นำท่านออกจากแผ่นดินอียิปต์ เมื่อใกล้เวลาที่ท่านจะไปออกรบ ปุโรหิตจะเอ่ยต่อหน้าประชาชน เขาจะพูดว่า ‘อิสราเอลเอ๋ย จงฟังเถิด ได้เวลาที่ท่านจะรบกับพวกศัตรูของท่านในวันนี้ อย่าท้อแท้ใจ หรือหวาดหวั่นพรั่นพรึง หรือตื่นตระหนกเพราะพวกเขา เพราะพระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของท่านไปด้วยกันกับท่านเพื่อต่อสู้กับศัตรูของท่านเพื่อให้ท่านมีชัยชนะ’ แล้วพวกเจ้าหน้าที่จะพูดกับประชาชนว่า ‘มีผู้ใดบ้างที่สร้างบ้านใหม่และยังไม่ได้อุทิศบ้านนั้น ให้เขากลับบ้านไป เกรงว่าเขาจะตายในสงคราม แล้วผู้อื่นจะต้องอุทิศให้แทน และมีผู้ใดบ้างที่ปลูกสวนองุ่นแล้วยังไม่ได้กินผล จงปล่อยให้เขากลับบ้านไป เกรงว่าเขาจะตายในสงคราม แล้วผู้อื่นจะได้กินผลแทน และใครคือชายที่หมั้นกับผู้หญิง แต่ยังไม่ได้แต่งงานกับเธอ จงปล่อยให้เขากลับบ้านไป เกรงว่าเขาจะตายในสงคราม แล้วชายอื่นจะแต่งงานกับเธอ’ และพวกเจ้าหน้าที่จะพูดกับประชาชนต่ออีกว่า ‘มีผู้ใดบ้างที่หวั่นกลัวและท้อใจ จงปล่อยให้เขากลับบ้านไป เกรงว่าเพื่อนของเขาจะท้อใจเช่นเดียวกับเขา’ เมื่อพวกเจ้าหน้าที่พูดกับประชาชนจบแล้ว เขาก็จะเลือกหัวหน้าประจำกลุ่มให้แก่พวกเขา

10 เวลาที่ท่านเข้าไปใกล้เมืองที่จะโจมตี จงเสนอสันติภาพแก่เมืองนั้น 11 และหากเขายินดีรับสันติภาพและเปิดเมืองรับท่าน ให้เกณฑ์คนทั้งปวงที่อยู่ในเมืองมาทำงานหนัก และรับใช้พวกท่าน 12 แต่ถ้าเมืองนั้นไม่ยอมรับสันติภาพจากท่านโดยเลือกที่จะต่อสู้ ท่านก็จงใช้กำลังล้อมเมืองเสีย 13 และเมื่อพระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของท่านมอบเมืองนั้นไว้ในมือของท่าน ท่านจงใช้ดาบฆ่าชายทุกคนในเมือง 14 ท่านจงยึดพวกผู้หญิงและเด็ก สัตว์เลี้ยงและทุกสิ่งที่อยู่ในเมือง เพื่อสิ่งที่ริบได้ทั้งหมดจะเป็นของท่านเอง และท่านจะเพลิดเพลินกับของของศัตรูที่ท่านยึดได้ ซึ่งพระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของท่านได้มอบให้ท่านแล้ว 15 นี่แหละคือสิ่งที่ท่านต้องกระทำต่อเมืองทุกเมืองที่อยู่ไกลออกไปซึ่งไม่ใช่เมืองของบรรดาประชาชาติที่ท่านอาศัยอยู่นี้ 16 จงแน่ใจว่าในเมืองของชนชาติเหล่านี้ที่พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของท่านมอบแก่ท่านเป็นมรดก ท่านจงอย่าปล่อยให้ผู้ใดมีลมหายใจเลย 17 แต่จงทำลายชาวฮิต ชาวอาโมร์ ชาวคานาอัน ชาวเปริส ชาวฮีว และชาวเยบุสให้ราบคาบตามที่พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของท่านบัญชาไว้ 18 เพื่อพวกเขาจะไม่สอนพวกท่านให้กระทำสิ่งอันน่ารังเกียจทั้งสิ้น ตามที่พวกเขาได้ปฏิบัติต่อบรรดาเทพเจ้าของเขา เพราะเป็นการทำบาปต่อพระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของท่าน

19 ยามที่ท่านใช้กำลังล้อมเมืองเป็นเวลานาน ท่านทำศึกสงครามเพื่อจะยึดเมืองไว้ ท่านก็อย่าใช้ขวานตัดโค่นต้นไม้ลง เพราะท่านอาจจะได้ผลไม้จากต้นมากินได้ อย่าโค่นต้นลง ต้นไม้ในทุ่งเป็นมนุษย์หรือที่ควรจะถูกท่านล้อมด้วยกำลัง 20 แต่ถ้าต้นไม้ต้นใดที่ท่านทราบว่าจะใช้เป็นอาหารไม่ได้ ท่านก็ทำลายและโค่นมันลง แล้วเอาไปใช้สร้างเชิงเทินเพื่อปีนขึ้นล้อมเมืองที่ทำศึกกับท่าน จนกว่าเมืองนั้นจะแตก

ฆาตกรที่จับตัวไม่ได้

21 ถ้าพบว่ามีคนถูกฆ่าทิ้งไว้ในทุ่งบนแผ่นดินที่พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของท่านมอบให้ท่านยึดครอง โดยไม่ทราบว่าใครเป็นคนฆ่า บรรดาหัวหน้าชั้นผู้ใหญ่และผู้ตัดสินความของท่านจงออกไปวัดระยะทางจากร่างคนที่ถูกฆ่าถึงเมืองที่อยู่ใกล้ร่างของเขา และบรรดาหัวหน้าชั้นผู้ใหญ่ของเมืองที่อยู่ใกล้ร่างคนถูกฆ่ามากที่สุดจะนำลูกโคตัวเมียตัวหนึ่งซึ่งยังไม่เคยใช้งานหรือเทียมแอกมาก่อน บรรดาหัวหน้าชั้นผู้ใหญ่ของเมืองนั้นจะนำลูกโคตัวเมียลงไปยังลุ่มน้ำไหลในหุบเขาที่ไหลรินไม่ขาดสายซึ่งยังไม่มีใครใช้ไถหรือหว่านพืช หักคอลูกโคตัวเมียที่ลุ่มน้ำแห่งนั้น แล้วบรรดาปุโรหิตคือบุตรของชาวเลวีจะออกไป เพราะพระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของท่านได้เลือกพวกเขาให้เป็นผู้รับใช้พระองค์ และให้พรแก่ประชาชนในพระนามของพระผู้เป็นเจ้า เรื่องโต้เถียงและทำร้ายร่างกายทุกกรณีจะเป็นที่ยุติลงได้ตามการตัดสินของเขา บรรดาหัวหน้าชั้นผู้ใหญ่ของเมืองที่อยู่ใกล้ร่างคนถูกฆ่ามากที่สุดจะล้างมือของเขาเหนือลูกโคตัวเมียที่ถูกหักคอที่ลุ่มน้ำ และพวกเขาจะเป็นพยานว่า ‘เราทั้งหลายไม่ได้ทำให้โลหิตนี้ตก และตาของเราก็ไม่เห็น โอ พระผู้เป็นเจ้า โปรดยกโทษอิสราเอลชนชาติของพระองค์ซึ่งพระองค์ไถ่ไว้ และอย่าให้ความผิดฐานฆ่าคนที่ไม่มีความผิดต้องตกอยู่กับอิสราเอลชนชาติของพระองค์ และอย่าให้พวกเขาต้องรับผิดชอบเรื่องความผิดนั้น’ ฉะนั้นจงกำจัดความผิดฐานฆ่าผู้ไม่มีความผิดไปเสียจากพวกท่าน เมื่อท่านกระทำสิ่งที่ถูกต้องในสายตาของพระผู้เป็นเจ้า

หญิงเชลยศึก

10 เมื่อท่านทำศึกสงครามกับศัตรู และพระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของท่านมอบพวกเขาไว้ในมือท่าน แล้วท่านจับตัวพวกเขาไว้ 11 เมื่อท่านเห็นหญิงงามในหมู่เชลย ท่านต้องการตัวนางไว้เป็นภรรยาของท่าน 12 ท่านจงพานางไปที่บ้านของท่าน เพื่อให้นางโกนศีรษะและตัดเล็บเสีย 13 นางจะเปลี่ยนเสื้อผ้าและอยู่ที่บ้านท่าน นางจะร้องคร่ำครวญถึงพ่อแม่ของนางเป็นเวลา 1 เดือนเต็ม หลังจากนั้นท่านจึงรับนางไว้เป็นภรรยา อยู่กินกับนางฉันสามีภรรยาได้ 14 ต่อมาถ้านางไม่เป็นที่พอใจของท่านอีกแล้ว ท่านจงปล่อยนางไปตามความต้องการของนาง แต่ท่านจะขายนางเป็นเงินไม่ได้ คือจะปฏิบัติต่อนางในฐานะทาสไม่ได้ ในเมื่อท่านได้ล่วงเกินนางเสียแล้ว

15 ถ้าชายคนหนึ่งมีภรรยา 2 คน เขารักคนหนึ่ง และชังอีกคนหนึ่ง ทั้งสองคนมีบุตรด้วยกันกับเขา และถ้าบุตรชายหัวปีเกิดจากหญิงที่เขาชัง 16 เมื่อถึงวันที่เขามอบสมบัติเป็นมรดกให้แก่บุตรของเขา อย่าให้เขากระทำต่อบุตรที่เกิดจากหญิงที่เขารักประหนึ่งบุตรชายหัวปีเพราะรักมากกว่าบุตรที่เกิดจากหญิงที่เขาชังซึ่งเป็นบุตรหัวปีของเขา 17 แต่เขาจงยอมรับบุตรซึ่งเกิดจากหญิงที่เขาชัง ว่าเป็นบุตรหัวปีโดยยกส่วนแบ่งจากทุกสิ่งที่มีให้แก่เขาเป็นสองเท่า เพราะเขาเป็นสิ่งแรกที่แสดงถึงพละกำลังของบิดา สิทธิของบุตรหัวปีเป็นของเขา

บุตรชายผู้ฝ่าฝืน

18 ถ้าชายใดมีบุตรที่ดื้อรั้นและชอบขัดขืนโดยไม่เชื่อฟังบิดามารดา แม้ว่าเขาจะถูกลงโทษ แต่ก็ยังไม่ยอมฟังบุคคลทั้งสอง 19 แล้วบิดามารดาต้องจับตัวเขาไปให้บรรดาหัวหน้าชั้นผู้ใหญ่ของเมือง ณ ที่ประตูเมืองที่เขาอาศัยอยู่ 20 เขาทั้งสองจะพูดกับบรรดาหัวหน้าชั้นผู้ใหญ่ของเมืองว่า ‘บุตรชายของเราคนนี้ดื้อรั้นและชอบขัดขืน เขาไม่ยอมเชื่อฟังเรา ทั้งกินเติบและขี้เมา’ 21 ครั้นแล้วชายทั้งปวงในเมืองนั้นจะใช้ก้อนหินขว้างเขาจนตาย ดังนั้นท่านจงกำจัดคนชั่วร้ายออกไปจากพวกท่านเถิด และชาวอิสราเอลทั้งปวงจะได้ยินเรื่องราวและพากันเกรงกลัว

การปฏิบัติต่อศพผู้ตาย

22 ถ้าผู้ใดกระทำผิดสมควรแก่ความตาย เขาก็จะรับโทษถึงตายโดยถูกแขวนไว้บนต้นไม้ 23 อย่าทิ้งร่างของเขาให้ค้างต้นไม้ข้ามคืน แต่จงฝังร่างเขาภายในวันนั้น เพราะพระเจ้าแช่งสาปคนที่ถูกแขวนไว้[w] ท่านจงอย่าทำให้แผ่นดินที่พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของท่านมอบให้แก่ท่านเป็นมรดกมีมลทิน

22 ถ้าท่านเห็นโคหรือแกะของพี่น้องของท่านหลงทางก็อย่าเพิกเฉย แต่จงนำมันกลับไปให้พี่น้องของท่าน และถ้าเขาอยู่ไกลจากท่าน หรือถ้าท่านไม่รู้จักเขา ท่านก็จงนำมันไปไว้ที่บ้านท่านจนกว่าเจ้าของจะตามหา แล้วท่านจงคืนให้เขาไป จงทำเช่นเดียวกับลาและเสื้อผ้าของพี่น้อง หรืออะไรก็ตามที่เขาทำหายและท่านพบเข้า ท่านอย่าทำเพิกเฉยโดยไม่ช่วยเขาเลย ถ้าท่านเห็นว่าลาหรือโคของพี่น้องของท่านล้มลงอยู่ที่ถนน ก็อย่าเพิกเฉยเสีย ท่านจงช่วยสัตว์ของเขาให้ลุกขึ้น

อย่าให้ผู้หญิงใส่เครื่องแต่งกายของชาย และอย่าให้ผู้ชายใส่เครื่องแต่งกายของหญิง เพราะใครก็ตามที่กระทำสิ่งเหล่านี้นับว่าเป็นสิ่งน่ารังเกียจต่อพระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของท่าน

ถ้าท่านบังเอิญพบรังนกบนต้นไม้หรือพื้นดิน มีแม่นกกำลังกกลูกหรือกกไข่อยู่ ท่านก็อย่าเอาแม่นกและลูกของมันไป จงปล่อยแม่นกไป ส่วนลูกนกนั้นท่านจะเอาไปก็ได้ เพื่อว่าทุกสิ่งจะเป็นไปด้วยดีสำหรับท่าน และท่านจะมีชีวิตยืนยาว

เวลาท่านสร้างบ้าน จงก่อขอบกั้นไว้บนดาดฟ้า ท่านจะได้ไม่ต้องรับผิดชอบ หากมีใครพลัดตกดาดฟ้าตาย

อย่าหว่านเมล็ดพืชชนิดใดลงในสวนองุ่นของท่าน เพราะผลที่จะได้รับ คือทั้งผลจากเมล็ดพืชและผลจากสวนองุ่นจะไม่บริสุทธิ์ 10 อย่าใช้โคและลาเทียมไถด้วยกัน 11 อย่าสวมเสื้อผ้าที่ทอด้วยขนสัตว์ปนกับด้ายป่าน

12 ท่านจงทำพู่ห้อยที่มุมทั้งสี่ของชายเสื้อคลุมที่ท่านใช้คลุมตัว[x]

กฎเกณฑ์เกี่ยวกับการประพฤติผิดทางเพศ

13 ถ้าชายใดได้ภรรยา มีเพศสัมพันธ์กับเธอแล้วก็เกลียดชังเธอ 14 และกล่าวหาเธอถึงการกระทำอันน่าอับอาย ทำให้ชื่อเธอเสียหายว่า ‘ข้าพเจ้ารับหญิงคนนี้ไว้ เมื่อข้องเกี่ยวกับเธอแล้วข้าพเจ้าจึงรู้ว่าเธอไม่ใช่สาวบริสุทธิ์’ 15 บิดามารดาของหญิงสาวจะนำข้อพิสูจน์ว่าเธอเป็นสาวบริสุทธิ์มาให้บรรดาหัวหน้าชั้นผู้ใหญ่ของเมือง ณ ประตูเมือง 16 บิดาของหญิงสาวจะพูดกับบรรดาหัวหน้าชั้นผู้ใหญ่ว่า ‘ข้าพเจ้าได้ยกลูกสาวให้เป็นภรรยาของชายคนนี้ แล้วเขาเกลียดชังเธอ 17 ดูเถิด เขากล่าวหาเธอถึงการกระทำอันน่าอับอายว่า “ข้าพเจ้าเห็นว่าบุตรสาวของท่านไม่ใช่สาวบริสุทธิ์” นี่คือข้อพิสูจน์ความเป็นสาวบริสุทธิ์ของลูกสาวข้าพเจ้า’ แล้วบิดามารดาก็คลี่ผ้าให้บรรดาหัวหน้าชั้นผู้ใหญ่ของเมืองดู 18 บรรดาหัวหน้าชั้นผู้ใหญ่ของเมืองนั้นจะจับตัวชายคนนั้นมาเฆี่ยน 19 และปรับเขา 100 เชเขล[y] แล้วมอบให้แก่บิดาของหญิงสาว เพราะเขาได้ทำให้ชื่อของหญิงพรหมจารีของอิสราเอลมัวหมอง และเธอจะยังคงเป็นภรรยาของเขาต่อไป เขาจะหย่าร้างจากเธอไม่ได้จนชั่วชีวิตของเขา 20 แต่หากว่าข้อกล่าวหาเป็นจริง และไม่สามารถพิสูจน์ได้ว่าเธอเป็นสาวบริสุทธิ์ 21 เขาจะต้องพาหญิงสาวคนนั้นไปที่ประตูบ้านของบิดาของเธอ แล้วพวกผู้ชายจะใช้ก้อนหินขว้างเธอจนตาย เพราะเธอมีความประพฤติน่าอับอายในอิสราเอลโดยทำตนเป็นหญิงแพศยาในบ้านบิดาของเธอเอง ดังนั้นท่านจงกำจัดคนชั่วร้ายออกไปจากพวกท่าน

22 ถ้าชายใดถูกจับได้ว่ามีเพศสัมพันธ์กับภรรยาของชายอื่น ทั้งสองจะต้องตาย คือทั้งผู้ชายที่มีเพศสัมพันธ์และตัวผู้หญิงด้วย ฉะนั้นจงกำจัดคนชั่วร้ายออกไปจากอิสราเอล

23 ถ้าชายคนหนึ่งถูกจับได้ในเมืองว่ามีเพศสัมพันธ์กับพรหมจาริณีคนหนึ่งซึ่งได้หมั้นไว้แล้วกับชายอื่น 24 ท่านจะต้องนำเขาทั้งสองไปที่ประตูเมืองนั้น และใช้ก้อนหินขว้างเขาทั้งสองจนตาย เพราะว่าหญิงสาวไม่ได้ตะโกนร้องขอความช่วยเหลือแม้ว่าเกิดเรื่องในตัวเมือง และเพราะผู้ชายล่วงเกินภรรยาของเพื่อนบ้านของเขา ดังนั้นท่านจงกำจัดคนชั่วร้ายออกไปจากพวกท่าน

25 แต่ถ้าที่เปลี่ยวนอกเมืองมีชายคนหนึ่งพบหญิงสาวที่หมั้นไว้แล้ว และเขาจับตัวเธอไปข่มขืน ในกรณีนี้ฝ่ายชายเท่านั้นที่ต้องตายฐานข่มขืน 26 แต่ท่านไม่ต้องทำอะไรต่อหญิงสาว เพราะเธอไม่ได้กระทำผิดสมควรแก่ความตาย เพราะในกรณีนี้เป็นเหมือนว่าชายคนหนึ่งจู่โจมและฆ่าเพื่อนบ้านของเขา 27 เพราะเขาข่มขืนเธอในที่เปลี่ยวนอกเมือง และแม้ว่าหญิงสาวที่หมั้นไว้แล้วจะตะโกนร้องขอความช่วยเหลือ ก็ไม่มีใครจะช่วยเธอได้

28 ถ้าชายคนหนึ่งพบพรหมจาริณีคนหนึ่งซึ่งไม่ได้หมั้นไว้กับใคร แล้วเขาจับตัวข่มขืนเธอและถูกจับได้ 29 ชายที่ข่มขืนเธอจะต้องมอบเงินหนัก 50 เชเขลให้แก่บิดาของหญิงสาว และเธอจะตกเป็นภรรยาของเขา เพราะเขาได้ล่วงเกินเธอ เขาจะหย่าร้างจากเธอไม่ได้จนชั่วชีวิตของเขา

30 อย่าให้ชายใดเอาภรรยาของบิดามาเป็นภรรยาของตน หรือละเมิดสิทธิของบิดาของเขา

ผู้ถูกกีดกันไม่ให้ร่วมในที่ประชุม

23 ชายที่ลูกอัณฑะไม่ปกติหรืออวัยวะสืบพันธุ์ถูกตัด ก็อย่าให้เข้าร่วมในที่ประชุมของพระผู้เป็นเจ้า

อย่าให้บุตรนอกสมรสเข้าร่วมในที่ประชุมของพระผู้เป็นเจ้า ลูกหลานของเขารุ่นต่อๆ ไปจน 10 ชั่วอายุคนก็อย่าให้เข้าร่วมในที่ประชุมของพระผู้เป็นเจ้า

อย่าให้ชาวอัมโมนหรือชาวโมอับเข้าร่วมในที่ประชุมของพระผู้เป็นเจ้า รวมถึงคนของพวกเขารุ่นต่อๆ ไปจน 10 ชั่วอายุคนก็อย่าให้เข้าร่วมในที่ประชุมของพระผู้เป็นเจ้าตลอดกาล[z] เพราะว่าเมื่อท่านออกจากอียิปต์ พวกเขาไม่จัดหาอาหารและน้ำให้ท่าน เขาว่าจ้างบาลาอัมบุตรของเบโอร์จากเมืองเปโธร์แห่งอารัมนาหะราอิม[aa]ให้สาปแช่งท่าน กระนั้นก็ดีพระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของท่านไม่ได้ฟังบาลาอัม แต่พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของท่านเปลี่ยนการสาปแช่งให้เป็นพระพรแก่ท่าน เพราะพระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของท่านรักท่าน[ab] อย่าพยายามให้พวกเขาสงบสุขหรือเจริญสุขตลอดชีวิตของท่าน

อย่ารังเกียจชาวเอโดม เพราะเขาเป็นพี่น้องของท่าน[ac] อย่ารังเกียจชาวอียิปต์ เพราะท่านเคยเป็นคนต่างด้าวในแผ่นดินของเขา ให้หลานๆ ในชั่วอายุที่สามของพวกเขาที่เกิดตามมาเข้าร่วมในที่ประชุมของพระผู้เป็นเจ้าได้

มลทินในค่าย

เมื่อท่านทำศึกกับศัตรูขณะที่ยังอยู่ในค่าย ท่านจงรักษาตัวให้พ้นจากสิ่งที่เป็นมลทิน

10 ถ้าใครในหมู่พวกท่านเป็นมลทินจากมีฝันเปียกในยามค่ำ เขาต้องไปอยู่ที่นอกค่าย จะเข้ามาในค่ายไม่ได้ 11 จนกว่าจะถึงเวลาเย็นอีกครั้งโดยเขาจะต้องชำระล้างตัวในน้ำ พอตะวันตกดิน เขาจึงจะเข้ามาในค่ายได้

New Thai Version (NTV-BIBLE)

Copyright © 1998, 2012, 2020 by New Thai Version Foundation