Print Page Options
Previous Prev Day Next DayNext

Bible in 90 Days

An intensive Bible reading plan that walks through the entire Bible in 90 days.
Duration: 88 days
New Thai Version (NTV-BIBLE)
Version
เฉลยธรรมบัญญัติ 23:12-34

12 ท่านต้องมีสถานที่ซึ่งอยู่นอกค่ายไว้สำหรับขับถ่าย 13 และท่านจงเอาไม้ติดตัวไปพร้อมกับอาวุธ ยามท่านต้องขับถ่ายก็จงใช้ไม้นั้นขุดหลุม แล้วก็กลบสิ่งที่ท่านขับถ่าย 14 เพราะพระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของท่านย่างเท้าอยู่ท่ามกลางค่ายของท่านเพื่อปกป้องท่านและให้ศัตรูยอมจำนนแก่ท่าน ฉะนั้นค่ายของท่านต้องสะอาดบริสุทธิ์ เพื่อพระองค์จะไม่ต้องเห็นสิ่งที่ไม่เหมาะสมในหมู่พวกท่าน และต้องหันหลังให้ท่าน

กฎเกณฑ์ต่างๆ

15 ถ้ามีทาสที่หนีนายของเขามาพึ่งท่าน ก็อย่าจับทาสส่งคืนให้นายของเขา 16 จงให้เขาอยู่กับท่านในท่ามกลางพวกท่าน เขาพึงพอใจสถานที่ใดมากที่สุดก็ให้เขาเลือกได้ในเมืองของท่าน อย่าบีบบังคับเขาเลย

17 อย่าให้มีชายหรือหญิงชาวอิสราเอลคนใดที่จะมาเป็นชายหรือหญิงแพศยาประจำวิหาร 18 อย่านำค่าแรงของหญิงแพศยาหรือค่าแรงของสุนัข[a]เข้ามาในพระตำหนักของพระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของท่านเพื่อชดใช้คำสัญญา เพราะทั้งสองสิ่งนี้เป็นที่น่ารังเกียจต่อพระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของท่าน

19 อย่าคิดดอกเบี้ยกับพี่น้องของท่าน ดอกเบี้ยที่ได้จากการยืมเงิน จากอาหาร หรือจากสิ่งใดก็ตามที่คิดเป็นดอกเบี้ยได้ 20 ท่านให้ชาวต่างชาติยืมโดยคิดดอกเบี้ยได้ แต่อย่าให้ยืมโดยคิดดอกเบี้ยกับพี่น้องของท่านเอง พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของท่านจะอวยพรท่านในทุกสิ่งที่ท่านทำในแผ่นดินซึ่งท่านกำลังจะไปยึดครอง

21 เมื่อท่านสัญญาต่อพระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของท่าน ก็อย่าเลื่อนกำหนดไม่ทำตามคำสัญญา เพราะพระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของท่านต้องการให้ท่านทำตามที่ได้สัญญาไว้ มิฉะนั้นท่านจะถูกนับว่าท่านมีบาป 22 แต่ถ้าท่านไม่ตั้งคำสัญญา ท่านก็จะไม่มีบาป 23 อะไรก็ตามที่สัญญาด้วยปากท่าน ท่านต้องแน่ใจว่าจะปฏิบัติตามได้ เพราะท่านให้คำมั่นด้วยความสมัครใจต่อพระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของท่านด้วยปากของท่านเอง

24 เมื่อท่านเข้าไปในสวนองุ่นของเพื่อนบ้านท่าน ท่านจะรับประทานองุ่นจนอิ่มได้ตามความต้องการ แต่อย่าเก็บใส่ตะกร้าของท่านไป 25 เมื่อท่านเข้าไปในนาที่เพื่อนบ้านของท่านปลูกข้าวไว้ ท่านจะใช้มือเด็ดรวงข้าวได้ แต่ท่านอย่าใช้เคียวเกี่ยวข้าวที่เพื่อนบ้านของท่านปลูก

24 เมื่อชายใดรับผู้หญิงไว้เป็นภรรยา ถ้านางไม่เป็นที่โปรดปรานในสายตาของเขาเพราะนางทำตนไม่เหมาะสม เขาจึงเขียนใบหย่าใส่มือนางและไล่ออกไปจากบ้าน นางจึงไปจากบ้านเขา[b] ถ้านางจากไปและตกเป็นภรรยาของชายอีกคน สามีคนหลังไม่ชอบนางและเขียนใบหย่าใส่มือนางและไล่ออกไปจากบ้าน หรือถ้าสามีคนหลังที่เอานางไปเป็นภรรยาเกิดเสียชีวิต สามีคนก่อนที่ไล่นางไปจะรับนางไปเป็นภรรยาของเขาอีกไม่ได้หลังจากที่นางมีมลทิน เพราะเป็นสิ่งที่น่ารังเกียจต่อพระผู้เป็นเจ้า และท่านอย่านำความผิดมายังแผ่นดินที่พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของท่านมอบให้แก่ท่านเป็นมรดก

เมื่อชายใดเพิ่งแต่งงานใหม่ อย่าเพิ่งให้เขาออกไปกับกองทัพหรือถูกประจำการใดๆ เขาต้องมีอิสระอยู่ที่บ้าน 1 ปี เพื่อมีความสุขอยู่กับภรรยาที่เขาได้มา

อย่าให้ผู้ใดยึดเอาโม่หิน หรือแม้เพียงหินท่อนบนไปเป็นประกันการชำระหนี้ เพราะจะนับว่าเขาใช้ชีวิตเป็นประกัน

ถ้าผู้ใดถูกจับได้ว่าลักพาพี่น้องชาวอิสราเอล และปฏิบัติต่อเขาเช่นทาสหรือขายเขาไป ผู้ลักพาจะต้องตาย ดังนั้นจงกำจัดคนชั่วร้ายออกไปจากพวกท่าน

จงระวังในกรณีโรคเรื้อน เอาใจใส่โดยทำตามคำชี้แจงทั้งหมดของบรรดาปุโรหิตที่เป็นชาวเลวีอย่างเคร่งครัด ท่านจงเอาใจใส่ในการปฏิบัติตามที่เราสั่งพวกเขา[c] จงนึกถึงว่าพระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของท่านกระทำต่อมิเรียมระหว่างทางที่พวกท่านออกจากอียิปต์[d]

10 เมื่อท่านให้เพื่อนบ้านขอยืมสิ่งใดก็ตาม ท่านอย่าเข้าไปในบ้านของเขาเพื่อเอาสิ่งประกันการชำระหนี้ 11 แต่ท่านจงยืนอยู่ข้างนอก และคนที่ท่านให้ยืมจะนำของประกันการชำระหนี้ออกมาให้ท่านเอง 12 ถ้าเขาเป็นคนขัดสน ก็อย่าเก็บของประกันไว้จนข้ามคืน 13 จงคืนเสื้อคลุมให้เขาก่อนตะวันตกดิน เขาจะได้ใช้คลุมนอนได้ แล้วเขาจะอวยพรท่าน และจะนับว่าท่านมีความชอบธรรม ณ เบื้องหน้าพระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของท่าน

14 ท่านอย่าบีบบังคับผู้รับจ้างที่ขัดสนและยากไร้ ไม่ว่าเขาจะเป็นพี่น้องของท่านคนหนึ่งหรือคนต่างด้าวที่อยู่บนแผ่นดินภายในเมืองของท่าน 15 จงจ่ายค่าจ้างแก่เขาในวันที่เขาทำงานก่อนดวงอาทิตย์ตก เพราะเขาขัดสนและหวังจะได้รับค่าจ้าง เกรงว่าเขาจะร้องหาพระผู้เป็นเจ้าเรื่องท่าน และท่านจะมีความผิด

16 อย่าให้บิดาตายแทนบุตรของเขา และอย่าให้บุตรตายแทนบิดาเช่นกัน แต่ละคนต้องตายเพราะบาปของตนเอง

17 อย่าบิดเบือนความเป็นธรรมที่คนต่างด้าวและเด็กกำพร้าควรได้รับ และอย่ายึดเสื้อผ้าของหญิงม่ายเป็นประกันการชำระหนี้ 18 แต่ท่านจงจำไว้ว่าท่านเคยเป็นทาสในอียิปต์ และพระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของท่านไถ่ท่านมาจากที่นั่น ฉะนั้นเราจึงบัญชาท่านให้กระทำตามนี้

19 เมื่อเก็บเกี่ยวพืชผลในนาของท่าน แล้วท่านลืมฟ่อนข้าวไว้ในนา ก็ไม่ต้องกลับไปเอา จงให้ปล่อยไว้ให้เป็นของชาวต่างด้าว เด็กกำพร้า และหญิงม่าย เพื่อพระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของท่านจะได้อวยพรท่านในทุกสิ่งที่ท่านทำ 20 เมื่อท่านสอยผลมะกอกให้หล่นจากต้น อย่าสอยซ้ำสอง จงปล่อยให้เป็นของชาวต่างด้าว เด็กกำพร้า และหญิงม่าย 21 เมื่อท่านเก็บผลองุ่นจากสวนของท่าน อย่าเก็บเล็มอีก จงปล่อยให้เป็นของชาวต่างด้าว เด็กกำพร้า และหญิงม่าย 22 ท่านจงจำไว้ว่าท่านเคยเป็นทาสในแผ่นดินของอียิปต์ ฉะนั้นเราจึงบัญชาท่านให้ทำตามนี้

25 เมื่อมีคนวิวาทกันจนถึงกับขึ้นโรงขึ้นศาล และบรรดาผู้ตัดสินความตัดสินระหว่างพวกเขา โดยให้ผู้มีความชอบธรรมพ้นข้อหา และผู้มีความผิดต้องรับโทษ และถ้าผู้ผิดสมควรถูกเฆี่ยน ผู้ตัดสินความจะทำให้เขานอนราบลงและเฆี่ยนกันต่อหน้า จำนวนจะมากน้อยตามความผิดของเขา เขาอาจจะถูกเฆี่ยนถึง 40 ครั้ง[e] แต่อย่ามากกว่านั้น เกรงว่าถ้ามีใครเฆี่ยนเขาเกินกว่านั้นแล้ว พี่น้องของท่านจะถูกลบหลู่ต่อหน้าต่อตาท่าน

อย่าเอาตะกร้อครอบปากโคขณะที่มันกำลังนวดข้าวอยู่[f]

ถ้าพี่น้องอาศัยอยู่ด้วยกัน และคนใดคนหนึ่งตายไปโดยที่ไม่มีบุตรชายเลย ภรรยาของผู้ตายต้องไม่แต่งงานกับชายนอกครอบครัวซึ่งเป็นคนอื่น น้องชายของสามีจะเข้าไปหานางและรับนางไว้เป็นภรรยา และให้เขาปฏิบัติหน้าที่ของสามีแก่นาง[g] บุตรชายคนแรกที่นางให้กำเนิดจะได้รับชื่อของพี่ชายที่ตายไป เพื่อว่าชื่อของเขาจะไม่สาบสูญไปเสียจากอิสราเอล แต่ถ้าชายคนนั้นไม่ปรารถนาจะรับภรรยาของพี่ชายของตนไว้เป็นภรรยา นางจะต้องไปหาบรรดาหัวหน้าชั้นผู้ใหญ่ที่ประตูเมือง และพูดว่า ‘น้องชายของสามีไม่ยอมสืบชื่อให้พี่ชายของเขาในอิสราเอล เขาไม่ปฏิบัติหน้าที่ของสามีแทนพี่ชายให้’ แล้วบรรดาหัวหน้าชั้นผู้ใหญ่ของเมืองก็จะเรียกตัวเขามาพูด และถ้าเขายืนกรานว่า ‘ข้าพเจ้าไม่ปรารถนาจะรับนางไว้’ ภรรยาของพี่ชายเขาจะต้องไปหาเขาโดยมีหัวหน้าชั้นผู้ใหญ่ไปด้วย นางจะถอดรองเท้าของเขาออกข้างหนึ่ง แล้วถ่มน้ำลายรดหน้าเขา นางจะตอบเขาว่า ‘ก็เป็นแบบนี้แหละสำหรับชายที่ไม่ยอมมีบุตรให้พี่ชายของตน’ 10 และครอบครัวเขาจะได้ชื่อว่า ครอบครัวของคนที่ถูกถอดรองเท้า

11 เมื่อผู้ชายต่อสู้กัน ภรรยาของชายคนใดคนหนึ่งเข้ามาใกล้เพื่อจะช่วยสามีนางให้พ้นจากมือของคนที่กำลังทุบตีเขา เธอได้ยื่นมือคว้าอวัยวะสืบพันธุ์ของเขาไว้ 12 ท่านก็จงตัดมือนางทิ้งเสีย อย่าใจอ่อนสงสาร

13 ท่านอย่ามีตุ้มน้ำหนัก 2 ขนาดไว้ในถุงของท่าน คือทั้งขนาดใหญ่และขนาดเล็ก 14 อย่ามีเครื่องชั่งตวงในบ้านของท่าน 2 ขนาดทั้งใหญ่และเล็ก 15 ท่านจงมีตุ้มน้ำหนักที่แท้และเที่ยงตรง มีเครื่องชั่งตวงที่แท้และเที่ยงตรง เพื่อท่านจะได้มีชีวิตอันยืนยาวในแผ่นดินที่พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของท่านมอบให้แก่ท่าน 16 เพราะทุกคนที่กระทำการทุจริตดังกล่าวเป็นที่น่ารังเกียจต่อพระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของท่าน

17 จงจำไว้ว่าชาวอามาเลขกระทำอะไรต่อท่านในระหว่างทางที่พวกท่านออกจากอียิปต์ 18 เขาโจมตีท่านระหว่างทางเมื่อท่านอ่อนล้าและสิ้นกำลัง เขากำจัดพลังจากท้ายขบวนที่ตามท่านอยู่ล้าหลัง โดยไม่เกรงกลัวพระเจ้า 19 ฉะนั้นเมื่อพระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของท่านให้ท่านหยุดพักจากพวกศัตรูรอบข้างในแผ่นดินที่พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของท่านมอบแก่ท่าน และให้ท่านยึดครองเป็นมรดก ท่านอย่าลืมเสียว่า ท่านจะกำจัดชาวอามาเลขให้สูญไปจากใต้ฟ้าสวรรค์[h]

ผลแรกที่เก็บเกี่ยวได้

26 เมื่อท่านก้าวเข้าไปยังแผ่นดินที่พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของท่านมอบให้แก่ท่านเป็นมรดก แล้วท่านก็ได้ยึดไว้เป็นเจ้าของและอาศัยอยู่ ท่านจงเอาพืชผลแรกที่เก็บเกี่ยวได้จากนาซึ่งพระผู้เป็นเจ้ามอบให้แก่ท่าน และนำใส่ตะกร้าไปยังสถานที่ซึ่งพระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของท่านจะเลือก เพื่อเป็นที่สำหรับยกย่องพระนามของพระองค์ที่นั่น แล้วท่านจงไปหาปุโรหิตที่ประจำการในเวลานั้น บอกเขาดังนี้ ‘ข้าพเจ้าขอประกาศต่อพระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของท่านในวันนี้ว่าข้าพเจ้าได้เข้ามาในแผ่นดินที่พระผู้เป็นเจ้าปฏิญาณไว้กับบรรพบุรุษของพวกเราว่าจะมอบให้แก่เรา’ แล้วปุโรหิตจะรับตะกร้าจากมือท่านไปวางไว้ที่เบื้องหน้าแท่นบูชาของพระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของท่าน

ท่านจงกล่าวตอบ ณ เบื้องหน้าพระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของท่านว่า ‘บิดาของข้าพเจ้าเป็นชาวอารัม[i]ที่พเนจรลงไปยังประเทศอียิปต์และอาศัยอยู่ที่นั่นอย่างคนต่างด้าว มีจำนวนคนไม่มากนัก แต่ท่านก็ได้มาเป็นประชาชาติที่ยิ่งใหญ่ เข้มแข็ง และมีจำนวนคนมากหลาย ชาวอียิปต์ทารุณและกดขี่ข่มเหงพวกเราและบังคับให้ทำงานดั่งทาส พวกเราจึงร้องเรียกถึงพระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของบรรพบุรุษของเรา พระผู้เป็นเจ้าได้ยินเสียงและทราบถึงความทุกข์ เห็นการตรากตรำ และการถูกบีบบังคับของเรา พระผู้เป็นเจ้าได้พาพวกเราออกจากอียิปต์ด้วยอานุภาพและพลานุภาพของพระองค์ ด้วยความพรั่นพรึง ปรากฏการณ์อัศจรรย์และสิ่งมหัศจรรย์ พระองค์ได้นำพวกเราเข้ามายังสถานที่นี้และมอบแผ่นดินนี้ให้แก่พวกเรา อันเป็นดินแดนอันอุดมด้วยน้ำนมและน้ำผึ้ง 10 ดูเถิด โอ พระผู้เป็นเจ้า บัดนี้ข้าพเจ้านำพืชผลแรกที่เก็บเกี่ยวได้จากนาซึ่งพระองค์ได้มอบให้แก่ข้าพเจ้า’ แล้วท่านจงวางไว้ที่เบื้องหน้าพระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของท่าน และนมัสการ ณ เบื้องหน้าพระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของท่าน 11 ท่านจงยินดีที่ได้รับสิ่งดีๆ ที่พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของท่านได้ให้แก่ท่านและครอบครัวของท่าน แก่ชาวเลวีและชาวต่างด้าวที่อาศัยอยู่ท่ามกลางพวกท่านด้วย

12 ทุกๆ 3 ปี ท่านจงมอบหนึ่งในสิบของผลิตผลที่ได้จากการเก็บเกี่ยวแก่ชาวเลวี คนต่างด้าว เด็กกำพร้าและแม่ม่าย เพื่อพวกเขาจะได้รับประทานกันให้อิ่มหนำภายในเมืองของท่าน 13 แล้วท่านจงพูดกับพระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของท่านว่า ‘ข้าพเจ้าได้แบ่งส่วนบริสุทธิ์ออกจากบ้านข้าพเจ้าแล้ว แล้วก็แจกจ่ายให้แก่ชาวเลวี คนต่างด้าว เด็กกำพร้าและแม่ม่ายตามพระบัญญัติซึ่งพระองค์ได้บัญชาข้าพเจ้าไว้ ข้าพเจ้าไม่ได้ละเมิดหรือลืมพระบัญญัติข้อใดเลย 14 ข้าพเจ้าไม่ได้รับประทานสิ่งใดจากหนึ่งในสิบขณะที่ข้าพเจ้าอยู่ในช่วงที่ร้องคร่ำครวญ และไม่ได้หยิบยกสิ่งใดขณะที่ข้าพเจ้ามีมลทิน หรือมอบเป็นของถวายแก่คนตาย ข้าพเจ้าเชื่อฟังพระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของข้าพเจ้า ข้าพเจ้าได้ทำทุกสิ่งตามที่พระองค์ได้บัญชาข้าพเจ้าไว้ 15 โปรดมองลงมาจากที่พำนักของพระองค์ จากสวรรค์ และอวยพรชนชาติของพระองค์ คืออิสราเอล อีกทั้งพื้นดินซึ่งพระองค์มอบให้แก่พวกเรา ตามที่พระองค์ได้ปฏิญาณไว้กับบรรพบุรุษของเรา ดินแดนอันอุดมด้วยน้ำนมและน้ำผึ้ง’

ปฏิบัติตามพระบัญญัติของพระผู้เป็นเจ้า

16 ในวันนี้พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของท่านสั่งให้ท่านปฏิบัติตามกฎเกณฑ์และคำบัญชาเหล่านี้ ฉะนั้นท่านจงปฏิบัติตามด้วยความระมัดระวังอย่างสุดดวงใจและสุดดวงจิตของท่าน 17 ท่านประกาศในวันนี้ถึงพระผู้เป็นเจ้าว่า พระองค์เป็นพระเจ้าของท่าน และท่านจะดำเนินตามวิถีทางของพระองค์ รักษากฎเกณฑ์ พระบัญญัติ และคำบัญชาของพระองค์ และจะเชื่อฟังพระองค์ 18 และพระผู้เป็นเจ้าประกาศถึงท่านในวันนี้ว่า ท่านเป็นชนชาติของพระองค์ตามที่พระองค์ได้สัญญาไว้กับท่าน และท่านต้องรักษาพระบัญญัติทุกข้อของพระองค์ 19 พระองค์จะทำให้ท่านอยู่เหนือประชาชาติทั้งปวงที่พระองค์ได้สร้างไว้ ท่านจะได้รับทั้งการยกย่อง กิตติศัพท์ และเกียรติยศ และท่านจะเป็นชนชาติที่บริสุทธิ์ต่อพระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของท่านตามที่พระองค์ได้กล่าวไว้”

กฎบัญญัติของพระเจ้าที่เขียนไว้บนศิลา

27 โมเสสและบรรดาหัวหน้าชั้นผู้ใหญ่ของอิสราเอลบัญชาประชาชนว่า “จงรักษาบัญญัติทุกข้อที่เราบัญชาพวกท่านในวันนี้ และในวันที่ท่านข้ามแม่น้ำจอร์แดนไปยังแผ่นดินซึ่งพระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของท่านมอบให้ท่าน ท่านจงก่อศิลาขนาดใหญ่เข้าด้วยกันแล้วฉาบด้วยปูนขาว จงเขียนกฎบัญญัตินี้ทุกคำไว้บนศิลา เมื่อท่านข้ามเข้าไปในแผ่นดินที่พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของท่านมอบให้แก่ท่าน ดินแดนอันอุดมด้วยน้ำนมและน้ำผึ้ง ตามที่พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของบรรพบุรุษของท่านได้สัญญาท่านไว้ เมื่อท่านข้ามแม่น้ำจอร์แดนไปแล้ว ท่านจงก่อศิลาพวกนี้ขึ้นไว้ที่ภูเขาเอบาล ทำตามที่เราบัญชาท่านในวันนี้ และจงฉาบศิลาด้วยปูนขาว ท่านจงสร้างแท่นบูชาแด่พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของท่านไว้ที่นั่น เป็นแท่นบูชาศิลาโดยที่ท่านจะต้องไม่ใช้เครื่องมือเหล็กสกัด ท่านจงสร้างแท่นบูชาแด่พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของท่านด้วยศิลาที่ไม่ต้องสกัด และจงมอบสัตว์ที่จะเผาเป็นของถวายบนแท่นนั้นแด่พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของท่าน และท่านจงมอบของถวายเพื่อสามัคคีธรรม จงรับประทานที่นั่น และยินดี ณ เบื้องหน้าพระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของท่าน ท่านจงเขียนกฎบัญญัตินี้ไว้ทุกคำลงบนศิลาอย่างชัดเจน”

คำสาปแช่งที่ภูเขาเอบาล

โมเสสและบรรดาปุโรหิตซึ่งเป็นชาวเลวีกล่าวแก่ชาวอิสราเอลทั้งปวงว่า “จงเงียบไว้และฟังเถิดชาวอิสราเอลเอ๋ย ในวันนี้ท่านได้มาเป็นชนชาติของพระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของท่าน 10 ฉะนั้นท่านจงเชื่อฟังพระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของท่าน รักษาพระบัญญัติและกฎเกณฑ์ของพระองค์ ตามที่เราบัญชาท่านในวันนี้”

11 และโมเสสบัญชาประชาชนในวันเดียวกันนั้นว่า 12 “เมื่อท่านข้ามแม่น้ำจอร์แดนไปแล้ว คนที่จะยืนให้พรประชาชนบนภูเขาเกริซิมได้แก่ สิเมโอน เลวี ยูดาห์ อิสสาคาร์ โยเซฟ และเบนยามิน 13 และคนที่จะยืนแช่งสาปบนภูเขาเอบาลได้แก่ รูเบน กาด อาเชอร์ เศบูลุน ดาน และนัฟทาลี 14 และชาวเลวีจะประกาศแก่ชาวอิสราเอลทั้งปวงด้วยเสียงอันดังว่า

15 ‘คนที่สลักรูปเคารพหรือหล่อรูปบูชาซึ่งเป็นที่น่ารังเกียจต่อพระผู้เป็นเจ้า เป็นสิ่งที่ช่างผู้ชำนาญทำ ซึ่งถูกตั้งบูชาในสถานที่ลับ เขาจะถูกแช่งสาป’ แล้วประชาชนทั้งปวงจะพูดตอบว่า ‘อาเมน’

16 ‘คนที่ไม่ให้เกียรติบิดามารดาของตนก็ถูกแช่งสาป’ แล้วประชาชนทั้งปวงจะพูดตอบว่า ‘อาเมน’

17 ‘คนที่ขยับเขยื้อนหลักเขตของเพื่อนบ้านของตนก็ถูกแช่งสาป’ แล้วประชาชนทั้งปวงจะพูดตอบว่า ‘อาเมน’

18 ‘คนที่พาให้คนตาบอดหลงทางไปก็ถูกแช่งสาป’ แล้วประชาชนทั้งปวงจะพูดตอบว่า ‘อาเมน’

19 ‘คนที่บิดเบือนความเป็นธรรมซึ่งคนต่างด้าว เด็กกำพร้า และหญิงม่ายควรได้รับก็ถูกแช่งสาป’ แล้วประชาชนทั้งปวงจะพูดตอบว่า ‘อาเมน’

20 ‘คนที่เอาภรรยาของบิดามาเป็นภรรยาของตน หรือละเมิดสิทธิของบิดาของตนก็ถูกแช่งสาป’ แล้วประชาชนทั้งปวงจะพูดตอบว่า ‘อาเมน’

21 ‘คนที่มีเพศสัมพันธ์กับสัตว์ไม่ว่าชนิดใดก็ตามก็ถูกแช่งสาป’ แล้วประชาชนทั้งปวงจะพูดตอบว่า ‘อาเมน’

22 ‘คนที่มีเพศสัมพันธ์กับพี่สาวหรือน้องสาวของตน ไม่ว่าจะเป็นบุตรสาวฝ่ายบิดาหรือบุตรสาวฝ่ายมารดาของตนก็ตามก็ถูกแช่งสาป’ แล้วประชาชนทั้งปวงจะพูดตอบว่า ‘อาเมน’

23 ‘คนที่มีเพศสัมพันธ์กับแม่ยายของตนก็ถูกแช่งสาป’ แล้วประชาชนทั้งปวงจะพูดตอบว่า ‘อาเมน’

24 ‘คนที่ฆ่าเพื่อนบ้านของตนอย่างลับๆ ก็ถูกแช่งสาป’ แล้วประชาชนทั้งปวงจะพูดตอบว่า ‘อาเมน’

25 ‘คนที่รับสินบนเพื่อฆ่าคนที่ไม่มีความผิดก็ถูกแช่งสาป’ แล้วประชาชนทั้งปวงจะพูดตอบว่า ‘อาเมน’

26 ‘คนที่ไม่ทำตามคำในกฎบัญญัตินี้ก็ถูกแช่งสาป’ แล้วประชาชนทั้งปวงจะพูดตอบว่า ‘อาเมน’

ผู้เชื่อฟังได้รับพระพร

28 และถ้าท่านเชื่อฟังพระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของท่าน โดยปฏิบัติตามพระบัญญัติทุกข้อที่เราบัญชาท่านในวันนี้อย่างระมัดระวัง พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของท่านจะทำให้ท่านอยู่เหนือประชาชาติทั้งปวงของโลก แล้วพระพรเหล่านี้จะสถิตกับท่านเสมอไป ถ้าท่านเชื่อฟังพระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของท่าน ไม่ว่าจะอยู่ในตัวเมืองหรือนอกเมืองท่านจะได้รับพระพร ลูกหลานที่เกิดจากท่านจะได้รับพระพร รวมทั้งพืชผลที่ได้จากไร่นา และลูกจากสัตว์เลี้ยง ลูกโคและลูกแกะจากฝูง ตะกร้าและภาชนะนวดแป้งจะได้รับพระพร ท่านจะได้รับพระพรไม่ว่าท่านจะทำอะไรอยู่ที่ไหน

พระผู้เป็นเจ้าจะทำให้ศัตรูของท่านพ่ายแพ้ต่อหน้าต่อตาเมื่อเขาต่อสู้กับท่าน พวกเขาจะเข้าโจมตีจากทิศใดทิศหนึ่ง และจะเตลิดหนีไปทั่วทุกทิศทุกทาง[j]ต่อหน้าท่าน พระผู้เป็นเจ้าจะอวยพรให้ยุ้งฉางของท่านเต็ม อีกทั้งทุกสิ่งที่ท่านทำ และพระองค์จะให้พรท่านในแผ่นดินที่พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของท่านมอบแก่ท่าน ถ้าท่านรักษาพระบัญญัติของพระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของท่าน และดำเนินในวิถีทางของพระองค์ พระผู้เป็นเจ้าจะตั้งให้ท่านเป็นชนชาติบริสุทธิ์แก่พระองค์เองตามที่ได้ปฏิญาณกับท่านแล้ว 10 และทุกชนชาติในโลกจะเห็นว่าท่านเป็นชนชาติของพระผู้เป็นเจ้า และพวกเขาจะเกรงกลัวท่าน 11 พระผู้เป็นเจ้าจะทำให้ท่านเจริญ มีลูกหลานมากมาย ทั้งแก่สัตว์เลี้ยงด้วย พืชผลไร่นาก็บริบูรณ์ในแผ่นดินที่พระผู้เป็นเจ้าได้ปฏิญาณกับบรรพบุรุษของท่านว่าจะมอบให้ท่าน 12 พระผู้เป็นเจ้าจะหลั่งฝนลงมาจากฟากฟ้าให้แก่ท่าน จากแหล่งเก็บฝนอันอุดมของพระองค์ เป็นฝนตามฤดูกาลในแผ่นดินของท่าน และอวยพรทุกสิ่งที่ท่านทำ ท่านจะให้หลายประชาชาติขอยืมจากท่าน ส่วนท่านจะไม่ต้องขอยืมจากใคร 13 ถ้าท่านฟังพระบัญญัติของพระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของท่านซึ่งเราสั่งในวันนี้คือ จงปฏิบัติอย่างระมัดระวัง พระผู้เป็นเจ้าจะทำให้ท่านเป็นเบี้ยบน ไม่ใช่เบี้ยล่าง มีแต่เจริญก้าวหน้ายิ่งขึ้นเท่านั้น และจะไม่ตกต่ำลง 14 และโดยที่ท่านจะต้องไม่หันเหไปจากคำบัญชาของเราในวันนี้ คือปฏิบัติตามกฎ และท่านต้องไม่หันไปเชื่อเทพเจ้าใดๆ และบูชาสิ่งเหล่านั้น

คำสาปแช่งสำหรับการไม่เชื่อฟัง

15 แต่ถ้าท่านไม่เชื่อฟังพระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของท่าน หรือไม่ปฏิบัติตามพระบัญญัติและกฎเกณฑ์ของพระองค์อย่างระมัดระวัง ตามที่เราบัญชาท่านในวันนี้ คำสาปแช่งเหล่านี้จะอยู่กับท่านเสมอไป 16 ท่านจะถูกแช่งสาปไม่ว่าจะอยู่ในตัวเมืองหรือนอกเมือง 17 ตะกร้าและภาชนะนวดแป้งของท่านจะถูกแช่งสาป 18 ลูกหลานที่เกิดจากท่านจะถูกแช่งสาป รวมทั้งพืชผลที่ได้จากไร่นา ลูกโคและลูกแกะจากฝูง 19 ท่านจะถูกแช่งสาป ไม่ว่าท่านจะทำอะไรอยู่ที่ไหน

20 พระผู้เป็นเจ้าจะให้สิ่งร้ายๆ เกิดขึ้นกับท่าน ทำให้เกิดความว้าวุ่นชุลมุนและความลำเค็ญในทุกสิ่งที่ท่านทำ จนท่านถูกกำจัดและสิ้นชีวิตโดยเร็วเนื่องจากการกระทำอันชั่วร้ายของท่านที่ทอดทิ้งพระองค์ 21 พระผู้เป็นเจ้าจะให้ภัยพิบัติเกิดขึ้นกับท่านจนกระทั่งพระองค์ทำลายล้างให้หมดสิ้นไปจากแผ่นดินที่ท่านกำลังจะเข้าไปยึดครอง 22 พระผู้เป็นเจ้าจะทำให้ท่านประสบกับโรคระบาด เป็นไข้สูง เกิดอาการอักเสบ ร้อนราวกับไฟ แล้งฝน ลมร้อนแห้ง เชื้อราระบาดในพืช สิ่งเหล่านี้จะตามรังควานท่านจนกว่าชีวิตจะหาไม่ 23 และท้องฟ้าที่อยู่เหนือศีรษะท่านจะเป็นดั่งแผ่นทองสัมฤทธิ์ พื้นดินที่อยู่ใต้ท่านจะเป็นดั่งแผ่นเหล็ก 24 พระผู้เป็นเจ้าจะให้ฝุ่นและผุยผงปลิวลงบนแผ่นดินของท่านแทนหยาดฝน ซึ่งจะปกคลุมเคลือบติดแน่นอยู่กับท่านจนกว่าท่านจะถูกกำจัดไป

25 พระผู้เป็นเจ้าจะทำให้ท่านพ่ายแพ้ต่อหน้าต่อตาพวกศัตรู ไม่ว่าท่านจะเข้าโจมตีจากทิศใดทิศหนึ่ง แต่ท่านก็จะเตลิดหนีไปทั่วทุกทิศทุกทางต่อหน้าพวกเขา และทุกๆ อาณาจักรทั่วโลกจะหวาดหวั่นเมื่อเห็นว่าเกิดอะไรขึ้นกับท่าน 26 และศพของท่านจะเป็นเหยื่อแก่นกในอากาศและพวกสัตว์ป่าในโลก และจะไม่มีใครหลงเหลืออยู่เพื่อขับไล่สัตว์เหล่านั้นไป 27 พระผู้เป็นเจ้าจะให้ท่านรับทุกข์ทรมานจากฝีอียิปต์ จากเนื้องอก และโรคผิวหนังซึ่งคันและรักษาไม่หายขาด 28 พระผู้เป็นเจ้าจะให้ท่านรับทุกข์ทรมานจากโรควิกลจริต ตาบอด และจิตใจสับสน 29 ท่านจะคลำไปในเวลาเที่ยงวันอย่างคนตาบอดคลำในที่มืด ท่านจะทำสิ่งใดก็ไม่เจริญ และท่านจะถูกผู้คนบีบบังคับและถูกปล้นเรื่อยไป ไม่อาจมีที่พึ่งพิง 30 แม้ท่านจะหมั้นหญิงไว้คนหนึ่ง แต่ชายอื่นจะเป็นผู้แต่งกับเธอ ท่านจะสร้างบ้าน แต่ก็จะไม่ได้อาศัยอยู่ ท่านปลูกสวนองุ่น แต่ท่านก็จะไม่ได้กินผลของมัน 31 โคของท่านจะถูกฆ่าต่อหน้าต่อตาท่าน แต่ท่านกลับไม่ได้กินเนื้อของมัน ลาของท่านจะถูกจับไปต่อหน้าท่าน แต่ก็จะไม่ถูกส่งกลับมาให้ท่านอีก แพะแกะของท่านจะเป็นของศัตรูของท่าน โดยไม่มีใครช่วยท่านได้ 32 บุตรชายบุตรหญิงของท่านจะไปเป็นของชนชาติอื่น นัยน์ตาของท่านจะเฝ้าอาลัยรอคอยพวกเขาจนอ่อนใจวันแล้ววันเล่า และท่านไม่อาจช่วยเหลือพวกเขาได้เลย 33 ชนชาติที่ท่านไม่รู้จักมาก่อนจะเก็บกินพืชผลจากไร่นาและสิ่งที่ท่านลงแรงทำไว้ ท่านจะมีแต่ถูกบีบบังคับและข่มเหงเรื่อยไป 34 ท่านจะเห็นสภาพเหล่านั้นด้วยตาของท่านเองจนอาการคลุ้มคลั่ง 35 พระผู้เป็นเจ้าจะทำให้ท่านมีความทุกข์อันเกิดจากฝีร้ายที่หัวเข่าและขาซึ่งท่านไม่สามารถรักษาให้หายขาด มันจะลามจากฝ่าเท้าขึ้นไปจนถึงกระหม่อม

36 พระผู้เป็นเจ้าจะทำให้ท่านและกษัตริย์ที่ท่านแต่งตั้งให้อยู่เหนือท่าน ไปอยู่ใต้การควบคุมของประชาชาติหนึ่งซึ่งท่านและบรรพบุรุษของท่านไม่รู้จักมาก่อน และ ณ ที่นั้นท่านจะบูชาบรรดาเทพเจ้าซึ่งทำด้วยไม้และหิน 37 ท่านจะเป็นที่น่าหวาดกลัว จะเป็นดั่งคำเปรียบเปรยในสุภาษิต และเป็นที่หัวเราะเยาะในท่ามกลางชนชาติทั้งมวลที่พระผู้เป็นเจ้าจะนำท่านไป 38 ถึงท่านจะหว่านเมล็ดในนามากมาย แต่จะเก็บเกี่ยวได้เพียงน้อยนิด เพราะฝูงจักจั่นจะกัดกินเสีย 39 ถึงท่านจะเพาะปลูกและตัดแต่งสวนองุ่น แต่ท่านจะไม่ได้ดื่มเหล้าองุ่นหรือกินผลของมัน เพราะหนอนกินมันหมด 40 ถึงท่านจะมีต้นมะกอกอยู่ทั่วอาณาเขตของท่าน แต่ท่านจะไม่ได้ชโลมตัวท่านเองด้วยน้ำมันมะกอก เพราะผลของมันจะร่วงหล่น 41 ถึงท่านจะมีบุตรชายบุตรหญิง แต่พวกเขาจะไม่เป็นของท่านเพราะเขาจะถูกจับไปเป็นเชลยศึก 42 ต้นไม้ทุกต้นและพืชผลจากแผ่นดินทั้งหมดของท่านจะตกเป็นของฝูงตั๊กแตน 43 คนต่างด้าวที่อยู่ท่ามกลางพวกท่านจะเจริญและก้าวหน้ากว่าท่านยิ่งๆ ขึ้น และท่านจะตกต่ำลงเรื่อยๆ 44 เขาจะให้ท่านขอยืม และท่านจะไม่เป็นฝ่ายผู้ให้ยืม เขาจะเป็นเบี้ยบน และท่านจะเป็นเบี้ยล่าง

45 คำสาปแช่งดังกล่าวจะเกิดแก่ท่าน จะไล่ล่าและปราบท่านจนกว่าท่านจะหายนะ เพราะท่านไม่เชื่อฟังพระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของท่าน และไม่รักษาพระบัญญัติและกฎเกณฑ์ซึ่งพระองค์บัญชาไว้ 46 สิ่งเหล่านี้จะเป็นเครื่องพิสูจน์ให้เห็นและเป็นสิ่งมหัศจรรย์แก่ท่านและบรรดาผู้สืบเชื้อสายของท่านตลอดไป 47 เพราะท่านไม่ได้รับใช้พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของท่านด้วยความยินดีและใจเปรมปรีดิ์ทั้งๆ ที่ท่านบริบูรณ์ด้วยทุกสิ่ง 48 ฉะนั้นท่านจะรับใช้พวกศัตรูที่พระผู้เป็นเจ้าจะส่งมาต่อต้านท่าน ด้วยความหิวและความกระหาย ด้วยความเปลือยเปล่าและความขัดสนในทุกสิ่ง พระองค์จะวางแอกเหล็กไว้บนคอท่านจนกว่าพระองค์จะกำจัดท่านจนสูญสิ้นไป 49 พระผู้เป็นเจ้าจะนำประชาชาติหนึ่งจากแดนไกลจากสุดขอบโลกมาต่อต้านท่าน เป็นประชาชาติที่ใช้ภาษาที่ท่านไม่เข้าใจ พวกเขามาอย่างรวดเร็วราวกับนกอินทรีที่บินโฉบลง 50 เป็นประชาชาติหนึ่งที่มีหน้าตาโหดเหี้ยมและไม่นับถือคนชรา ไม่เมตตาคนหนุ่มสาว 51 เขาจะกินลูกสัตว์เลี้ยงและพืชผลไร่นาของท่านอย่างตะกละตะกลามจนกระทั่งตัวท่านเองก็ถูกกำจัด อีกทั้งเมล็ดข้าว เหล้าองุ่น น้ำมันมะกอก หรือลูกโค หรือลูกแกะจากฝูงของท่าน พวกเขาก็จะไม่ให้มีเหลือไว้ให้ท่าน จนกว่าพวกเขาจะทำให้ท่านย่อยยับ

52 พวกเขาจะใช้กำลังล้อมทุกเมืองในแผ่นดินของท่าน แม้ท่านมั่นใจในกำแพงเมืองที่สูงและมีการคุ้มกันอย่างแข็งแกร่ง แต่กำแพงเหล่านั้นก็จะถูกพังทลายลงทั้งแผ่นดินของท่าน แล้วพวกเขาจะใช้กำลังล้อมท่านไว้ทุกเมืองทั่วแผ่นดินของท่าน อันเป็นที่ซึ่งพระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของท่านได้มอบให้แก่ท่านแล้ว 53 และท่านจะกินลูกหลานที่เกิดจากท่านเอง เนื้อลูกชายและลูกสาวของท่านซึ่งพระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของท่านได้ให้แก่ท่าน ในยามที่ศัตรูของท่านใช้กำลังล้อมและก่อให้ท่านเกิดความทุกข์ยากลำบาก 54 แม้แต่ชายที่อ่อนโยนและใส่ใจต่อความรู้สึกของผู้อื่นมากที่สุดในหมู่พวกท่านก็ยังจะหวงอาหารไม่ยอมแบ่งปันให้แก่พี่น้อง แก่ภรรยาสุดที่รักของตน หรือแก่ลูกๆ ที่ยังมีชีวิตอยู่เลย 55 เขาจะไม่แบ่งเนื้อของลูกตนเองที่เขากำลังกินอยู่ให้แก่ใครเลย เพราะเขาหมดสิ้นทุกอย่างแล้ว เหตุก็เพราะศัตรูของท่านจะใช้กำลังล้อมและก่อความทุกข์ยากให้กับทุกๆ เมือง 56 หญิงที่อ่อนโยนและใส่ใจต่อความรู้สึกของผู้อื่นมากที่สุดในหมู่พวกท่าน นางเป็นคนไม่ยอมเหยียบย่างไปที่ไหนๆ เพราะนางบอบบางและอ่อนโยนยิ่งนัก นางก็ยังหวงอาหารกับสามีสุดที่รัก และกับบุตรชายบุตรหญิงของนาง 57 ไม่ยอมแบ่งปันรกที่ออกมาจากหว่างขาของนางและทารกที่นางคลอดด้วย เพราะนางจะแอบกินเพียงผู้เดียวในขณะที่ศัตรูก่อความทุกข์ยากในเมืองของท่าน

58 ถ้าท่านไม่ระวังที่จะปฏิบัติตามคำกล่าวทั้งสิ้นในกฎบัญญัติซึ่งเขียนไว้ในหนังสือฉบับนี้ และถ้าท่านไม่เกรงกลัวพระนามอันควรแก่การยกย่องและเกรงขามคือ พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของท่าน 59 แล้วพระผู้เป็นเจ้าจะให้ภัยพิบัติอันร้ายแรงเกิดแก่ท่านและลูกหลานของท่าน เป็นภัยพิบัติที่รุนแรงและต่อเนื่องเป็นเวลานาน รวมถึงโรคระบาดร้ายที่ยากต่อการยับยั้ง 60 และพระองค์จะให้โรคภัยทุกชนิดของอียิปต์ที่ท่านหวาดกลัวเกิดแก่ท่านอีก โดยที่ไม่อาจรักษาให้หายขาดได้ 61 พระผู้เป็นเจ้าจะให้การเจ็บป่วยทุกชนิดและภัยพิบัติที่ไม่ได้ระบุไว้ในหนังสือกฎบัญญัติฉบับนี้เกิดกับท่าน จนกระทั่งท่านถูกกำจัดไป 62 จากจำนวนของพวกท่านเคยมีมากมายดุจดวงดาวบนท้องฟ้า ท่านจะมีเหลืออยู่เพียงไม่กี่คน เพราะท่านไม่เชื่อฟังพระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของท่าน 63 พระผู้เป็นเจ้ายินดีที่ทำให้พวกท่านเจริญและทวีจำนวนมากขึ้น ดังนั้นพระผู้เป็นเจ้ายินดีที่จะทำให้พวกท่านพินาศลงและกำจัดท่านเสียด้วย และท่านจะถูกถอดถอนไปเสียจากแผ่นดินที่พวกท่านกำลังจะเข้าไปยึดครอง

64 แล้วพระผู้เป็นเจ้าจะทำให้ท่านกระจัดกระจายไปอยู่ท่ามกลางชนชาติทั้งปวง คือจากสุดขอบโลกด้านหนึ่งจรดสุดขอบโลกอีกด้านหนึ่ง และท่านจะนมัสการบรรดาเทพเจ้าซึ่งทำด้วยไม้และหิน ซึ่งท่านและบรรพบุรุษของท่านไม่เคยรู้จักมาก่อน 65 และท่านจะไม่มีสันติสุขอยู่ท่ามกลางบรรดาประชาชาติ และฝ่าเท้าของท่านจะไม่ได้พัก พระผู้เป็นเจ้าจะทำให้ท่านหวาดหวั่น หมดหนทาง และสิ้นหวังอยู่ที่นั่น 66 ชีวิตของท่านจะอยู่ในอันตรายเสมอ ท่านจะหวั่นวิตกทั้งวันและคืน และมีชีวิตที่ปราศจากความแน่นอน 67 ในยามเช้า ท่านจะพูดว่า ‘อยากให้ตกเย็นเสียที’ และในยามเย็น ท่านจะพูดว่า ‘อยากให้ถึงรุ่งเช้าเสียที’ เพราะใจของท่านหวั่นหวาดกับสิ่งที่จะเผชิญ และภาพที่ท่านจะเห็น 68 และพระผู้เป็นเจ้าจะนำท่านกลับไปยังประเทศอียิปต์ทางเรือ ซึ่งเป็นการเดินทางที่พระองค์สัญญาไว้ว่าท่านไม่ควรต้องกลับไปอีก และที่นั่นท่านจะประกาศขายตัวเองแก่เหล่าศัตรูเพื่อเป็นทาสชายและทาสหญิง แต่ก็ไม่มีใครอยากซื้อท่านไป”

พันธสัญญาอีกฉบับที่แผ่นดินโมอับ

29 นี่คือคำกล่าวแห่งพันธสัญญาที่พระผู้เป็นเจ้าบัญชาโมเสสให้ทำกับชาวอิสราเอลทั้งมวลที่แผ่นดินโมอับ นอกเหนือพันธสัญญาที่พระองค์ได้ทำที่โฮเรบแล้ว

โมเสสเรียกชาวอิสราเอลทุกคนมาและกล่าวว่า “พวกท่านได้เห็นทุกสิ่งที่พระผู้เป็นเจ้ากระทำให้ท่านเห็นในแผ่นดินอียิปต์ ต่อฟาโรห์ ข้าราชบริพารทั้งปวงและทั่วทั้งแผ่นดิน ท่านเห็นการทดสอบอันยิ่งใหญ่ด้วยตาของท่าน อีกทั้งปรากฏการณ์และสิ่งมหัศจรรย์อันยิ่งใหญ่เหล่านั้น จนกระทั่งถึงวันนี้ พระผู้เป็นเจ้าไม่ได้ให้ท่านมีความเข้าใจ หรือให้ตาได้เห็น หรือให้หูได้ยิน พระองค์นำท่านผ่านถิ่นทุรกันดารเป็นเวลา 40 ปี เสื้อผ้าที่ท่านสวมใส่ไม่ฉีกขาด และรองเท้าที่ท่านใส่ก็ไม่สึกหรอ ท่านไม่ได้รับประทานขนมปัง ดื่มเหล้าองุ่นหรือสุรา เพื่อท่านจะได้ทราบว่าพระองค์เป็นพระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของท่าน เมื่อท่านมาถึงที่แห่งนี้ สิโหนกษัตริย์แห่งเฮชโบน และโอกกษัตริย์แห่งบาชานออกมาสู้รบกับพวกเรา แต่เราก็ตีพวกเขาพ่ายไป เรายึดแผ่นดินของพวกเขา แล้วยกให้แก่ชาวรูเบน ชาวกาด และครึ่งเผ่าของชาวมนัสเสห์เป็นมรดก ฉะนั้นจงระวังที่จะกระทำตามคำกล่าวในพันธสัญญานี้ เพื่อท่านจะถึงซึ่งความเจริญในทุกสิ่งที่ท่านทำ

10 ในวันนี้พวกท่านทุกคนกำลังยืนอยู่ ณ เบื้องหน้าพระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของท่าน รวมถึงบรรดาหัวหน้าประจำเผ่า หัวหน้าชั้นผู้ใหญ่ เจ้าหน้าที่ประจำเผ่าของท่าน และชายทุกคนของอิสราเอล 11 เด็กเล็ก และภรรยาของท่าน และชาวต่างด้าวที่อยู่ในค่ายของท่าน รวมถึงคนตัดฟืนและคนตักน้ำให้ท่าน 12 เพื่อให้ท่านร่วมปฏิญาณในพันธสัญญาของพระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของท่าน ซึ่งพระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของท่านทำกับท่านในวันนี้ 13 เพื่อว่าพระองค์จะตั้งให้ท่านเป็นชนชาติของพระองค์ในวันนี้ และเพื่อพระองค์จะเป็นพระเจ้าของท่านตามที่กล่าวไว้กับท่าน และตามที่พระองค์ปฏิญาณกับบรรพบุรุษของท่าน กับอับราฮัม อิสอัค และยาโคบ 14 พระองค์ไม่เพียงให้คำปฏิญาณในพันธสัญญากับท่านเท่านั้น 15 แต่กับบรรดาผู้ที่ไม่อยู่กับเราในวันนี้ด้วย พร้อมกับท่านที่ยืนอยู่กับพวกเราในวันนี้ ณ เบื้องหน้าพระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของเรา

16 พวกท่านทราบว่าเราอาศัยอยู่ในแผ่นดินของอียิปต์อย่างไร และพวกเราเดินทางผ่านชาติต่างๆ ก่อนจะมาถึงที่นี่ได้อย่างไร 17 ท่านได้เห็นสิ่งอันน่ารังเกียจของพวกเขาแล้ว เช่นรูปเคารพสลักด้วยไม้และหิน หล่อด้วยเงินและทองที่อยู่ท่ามกลางพวกเขา 18 จงระวังไว้ มิฉะนั้นอาจจะมีชายหรือหญิงคนใดคนหนึ่ง ตระกูลหรือเผ่าในหมู่พวกท่านในวันนี้เกิดมีใจที่หันไปจากพระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของเรา แล้วไปนมัสการบรรดาเทพเจ้าของประชาชาติเหล่านั้น มิฉะนั้นอาจจะมีรากที่ส่งผลอันขมขื่นและเป็นพิษในหมู่พวกท่าน 19 เมื่อคนประเภทนี้ได้ยินคำกล่าวที่ปฏิญาณในพันธสัญญา ก็จะหลงระเริงว่า ‘ข้าจะปลอดภัย แม้ว่าจะดำเนินชีวิตไปด้วยใจดื้อดึงก็ตาม’ นั่นแหละจะนำความพินาศไปสู่ทั้งคนดีและคนชั่ว 20 พระผู้เป็นเจ้าจะไม่ยกโทษให้เขา แต่ความโกรธและความหวงแหนของพระผู้เป็นเจ้าจะพลุ่งพล่านใส่ผู้นั้น และคำสาปแช่งที่เขียนไว้ในหนังสือฉบับนี้ก็จะถาโถมใส่เขา และพระผู้เป็นเจ้าจะลบชื่อของเขาไปเสียจากใต้ฟ้า 21 พระผู้เป็นเจ้าจะให้เขาประสบกับความวิบัติเพื่อให้เผ่าต่างๆ ของอิสราเอลเห็นเป็นตัวอย่าง ตามคำสาปแช่งของพันธสัญญาที่เขียนไว้ในหนังสือกฎบัญญัติฉบับนี้ทุกประการ 22 ลูกหลานของท่านที่ตามมาในรุ่นต่อไป และคนแปลกหน้าที่มาจากแดนไกลจะเห็นความวิบัติที่เกิดขึ้นกับแผ่นดินและโรคภัยที่พระผู้เป็นเจ้าทำให้เกิดขึ้น 23 ทั่วทั้งแผ่นดินเป็นกำมะถันและเกลือ ผืนดินถูกไฟเผาจนโล่งเตียน ไม่มีอะไรหว่านหรือปลูกไว้เลย ไม่มีแม้แต่หญ้าจะงอก จะเป็นเหมือนเมืองโสโดมและโกโมราห์[k] เมืองอัดมาห์ และเศโบยิม ซึ่งพระผู้เป็นเจ้ากำจัดให้หมดสิ้นไปด้วยความกริ้วอันร้อนแรง 24 แล้วประชาชาติทั้งปวงจะถามว่า ‘ทำไมพระผู้เป็นเจ้าจึงกระทำต่อแผ่นดินนี้ ทำไมความกริ้วจึงพลุ่งขึ้นอย่างร้อนแรงถึงเพียงนี้’ 25 แล้วพวกเขาจะพูดว่า ‘เป็นเพราะพวกเขาทอดทิ้งพันธสัญญาของพระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของบรรพบุรุษของเขา พันธสัญญาซึ่งพระองค์ได้ทำไว้กับพวกเขาเวลาที่พระองค์นำพวกเขาออกไปจากแผ่นดินอียิปต์ 26 แล้วไปบูชาและนมัสการบรรดาเทพเจ้าซึ่งเป็นเทพเจ้าที่พวกเขาไม่เคยรู้จักมาก่อน ที่พระองค์ไม่ได้มอบให้แก่พวกเขา 27 พระผู้เป็นเจ้ากริ้วต่อแผ่นดินนี้มาก แผ่นดินจึงรับคำสาปแช่งทั้งปวงที่เขียนไว้ในหนังสือฉบับนี้ 28 และพระผู้เป็นเจ้าก็ถอนรากถอนโคนพวกเขาไปเสียจากแผ่นดินของพวกเขาด้วยความโกรธอันร้อนแรงและความโกรธเกรี้ยวเป็นที่สุด และโยนพวกเขาลงสู่แผ่นดินอีกแห่งหนึ่งอย่างที่เป็นในปัจจุบัน’

29 สิ่งเร้นลับเป็นของพระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของเรา แต่สิ่งที่ถูกเปิดเผยเป็นของพวกเราและของลูกหลานของเราไปจนนิรันดร์กาล เพื่อพวกเราจะปฏิบัติตามคำสั่งในกฎบัญญัตินี้

ชาวอิสราเอลกลับไปหาพระผู้เป็นเจ้า

30 เราให้ท่านเลือกระหว่างพระพรและคำสาปแช่ง เมื่อสิ่งเหล่านี้ที่เราพูดถึงบังเกิดขึ้นกับท่าน และขณะที่ท่านอยู่ท่ามกลางประชาชาติทั้งปวงซึ่งพระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของท่านทำให้ท่านกระจัดกระจายไปอาศัยอยู่ ท่านก็จะระลึกขึ้นได้ถึงสิ่งที่เราให้ท่านเลือก แล้วท่านกับลูกหลานของท่านกลับไปหาพระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของท่าน และเชื่อฟังในทุกสิ่งที่เราบัญชาท่านในวันนี้อย่างสุดดวงใจและสุดดวงจิตของท่าน และพระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของท่านจะให้ความอุดมสมบูรณ์ของท่านคืนสู่สภาพเดิม และมีเมตตาต่อท่าน พระองค์จะรวบรวมพวกท่านจากชนชาติทั้งปวงเพื่อให้มาอยู่ร่วมกันอีก หลังจากที่พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของท่านทำให้ท่านกระจัดกระจายกันออกไปแล้ว แม้ถ้าท่านถูกเนรเทศไปอยู่ถึงสุดฟากฟ้า พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของท่านก็ยังจะรวบรวมท่านมาจากที่นั่น และพระองค์จะไปตามตัวท่านมาจากที่นั่น และพระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของท่านจะนำท่านเข้าไปในแผ่นดินซึ่งบรรพบุรุษของท่านเคยยึดครอง เพื่อท่านจะยึดครองแผ่นดินนั้นไว้ และพระองค์จะให้ท่านมีความเจริญและมีจำนวนทายาทมากยิ่งขึ้นกว่าที่บรรพบุรุษของท่านเคยมีเสียอีก และพระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของท่านจะให้ท่านปฏิบัติตามพระบัญญัติในใจท่านและในใจของบรรดาผู้สืบเชื้อสายของท่าน เพื่อท่านจะรักพระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของท่านอย่างสุดดวงใจและสุดดวงจิตของท่าน เพื่อท่านจะมีชีวิตอยู่ในแผ่นดินต่อไป และพระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของท่านจะให้คำสาปแช่งเหล่านั้นตกอยู่กับพวกศัตรูและข้าศึกที่กดขี่ข่มเหงท่าน ท่านจะเชื่อฟังพระผู้เป็นเจ้าอีก และรักษาพระบัญญัติทุกข้อของพระองค์ซึ่งเราบัญชาท่านในวันนี้ พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของท่านจะทำให้ท่านเจริญยิ่งนักในทุกสิ่งที่ท่านทำ ให้มีลูกหลานมากมาย รวมถึงสัตว์เลี้ยงด้วย พืชผลไร่นาก็บริบูรณ์ เพราะพระผู้เป็นเจ้าจะชื่นชอบในตัวท่าน และช่วยให้ท่านเจริญรุ่งเรือง เหมือนกับที่พระองค์ชื่นชอบในบรรพบุรุษของท่าน 10 ถ้าท่านเชื่อฟังพระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของท่าน โดยรักษาพระบัญญัติและกฎเกณฑ์ของพระองค์ซึ่งเขียนไว้ในหนังสือกฎบัญญัติฉบับนี้ หากว่าท่านหันเข้าหาพระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของท่านอย่างสุดดวงใจและสุดดวงจิตของท่าน

เลือกระหว่างชีวิตกับความตาย

11 ด้วยว่าพระบัญญัติที่เราบัญชาท่านในวันนี้ไม่ยากเกินไปสำหรับท่าน และไม่ไกลเกินเอื้อมเช่นกัน 12 ใช่ว่าจะอยู่ในสวรรค์ ซึ่งท่านจะอ้างว่า ‘ใครจะขึ้นไปสวรรค์แทนพวกเรา แล้วนำมาให้เรา เราจึงจะได้ยินและปฏิบัติตาม’ 13 จะอยู่ที่โพ้นทะเลโน่นก็ไม่ใช่ ซึ่งท่านจะอ้างว่า ‘ใครจะข้ามทะเลแทนพวกเรา แล้วนำมาให้เรา เราจึงจะได้ยินและปฏิบัติตาม’ 14 แต่คำกล่าวอยู่ใกล้ท่านคือ อยู่ในปากและในจิตใจของท่าน[l] เพื่อท่านจะปฏิบัติตามได้

15 จงดูเถิด เราได้ให้ท่านเลือกระหว่างชีวิตและความเจริญ ความตายและความเลวร้าย 16 ซึ่งเราได้บัญชาท่านในวันนี้ให้รักพระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของท่าน ให้ดำเนินในวิถีทางของพระองค์ ให้รักษาพระบัญญัติของพระองค์ กฎเกณฑ์และคำบัญชาของพระองค์ แล้วท่านจะมีชีวิตและทวีจำนวนทายาท และพระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของท่านจะอวยพรท่านในแผ่นดินที่ท่านกำลังเข้าไปยึดครอง 17 แต่ถ้าใจของท่านหันเหไปและไม่ฟัง แล้วถูกชักจูงไปกราบนมัสการบรรดาเทพเจ้า และบูชาสิ่งเหล่านั้น 18 เราขอประกาศแก่ท่านในวันนี้ว่าท่านจะย่อยยับอย่างแน่นอน ท่านจะไม่มีชีวิตยั่งยืนในแผ่นดินที่ท่านกำลังข้ามแม่น้ำจอร์แดนไปยึดครองกัน 19 เราขอให้ฟ้าดินเป็นพยานกล่าวโทษท่านในวันนี้ว่า เราให้ท่านเลือกระหว่างชีวิตกับความตาย พระพรกับคำสาปแช่ง ฉะนั้นจงเลือกชีวิต เพื่อท่านและผู้สืบเชื้อสายของท่านจะได้มีชีวิตอยู่ 20 รักพระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของท่าน เชื่อฟังพระองค์ และผูกพันอยู่กับพระองค์ เพื่อท่านจะมีชีวิตยืนยาวอยู่ในแผ่นดินที่พระผู้เป็นเจ้าได้ปฏิญาณไว้กับบรรพบุรุษของท่านคือ อับราฮัม อิสอัค และยาโคบ ว่าพระองค์จะมอบให้แก่ท่านเหล่านั้น”

โยชูวารับช่วงต่อจากโมเสส

31 ครั้นแล้วโมเสสก็ออกไปพูดกับชาวอิสราเอลทั้งปวงดังต่อไปนี้คือ “บัดนี้เรามีอายุ 120 ปีแล้ว เราไม่สามารถเคลื่อนไหวไปไหนมาไหนอย่างคล่องแคล่วอีก พระผู้เป็นเจ้ากล่าวกับเราว่า ‘เจ้าจะไม่ได้ข้ามแม่น้ำจอร์แดนนี้’[m] พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของท่านจะนำท่านข้ามไปด้วยพระองค์เอง พระองค์จะกำจัดประชาชาติเหล่านี้ให้พ้นหน้าท่าน เพื่อท่านจะได้ขับไล่พวกเขาออกไป และโยชูวาจะนำท่านข้ามไป ตามที่พระผู้เป็นเจ้ากล่าวไว้ และพระผู้เป็นเจ้าจะกระทำต่อพวกเขาอย่างที่พระองค์กระทำต่อสิโหนและโอกกษัตริย์ทั้งสองของชาวอาโมร์ และต่อแผ่นดินของพวกเขาที่พระองค์กำจัดเสียสิ้น[n] และพระผู้เป็นเจ้าจะมอบตัวพวกเขาให้แก่ท่าน และท่านจะกระทำต่อพวกเขาตามคำบัญญัติที่เราได้บัญชาพวกท่านแล้วทุกประการ จงเข้มแข็งและกล้าหาญเถิด อย่ากลัวหรือหวาดหวั่นเพราะพวกเขา เพราะผู้ที่ไปกับท่านคือพระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของท่าน พระองค์จะไม่ทำให้ท่านผิดหวังหรือทอดทิ้งท่านไป”[o]

ครั้นแล้วโมเสสจึงเรียกตัวโยชูวามาและกล่าวกับท่านต่อหน้าชาวอิสราเอลทั้งปวงว่า “จงเข้มแข็งและกล้าหาญเถิด เพราะท่านจะไปกับชนชาตินี้ เข้าไปในแผ่นดินที่พระผู้เป็นเจ้าได้ปฏิญาณกับบรรพบุรุษของพวกเขาว่าจะมอบให้แก่พวกเขา และท่านจงให้เขาเข้าไปยึดครอง ผู้ที่นำหน้าท่านไปคือพระผู้เป็นเจ้า พระองค์จะสถิตกับท่าน พระองค์จะไม่ทำให้ท่านผิดหวังหรือทอดทิ้งท่านไป อย่ากลัวหรือหวั่นใจเลย”

อ่านกฎบัญญัติให้ฟังทุก 7 ปี

ดังนั้น โมเสสเขียนกฎบัญญัตินี้และมอบให้แก่บรรดาปุโรหิตซึ่งเป็นบุตรของชาวเลวีผู้เป็นฝ่ายหามหีบพันธสัญญาของพระผู้เป็นเจ้า และแก่หัวหน้าชั้นผู้ใหญ่ทั้งปวงของอิสราเอล 10 และโมเสสบัญชาพวกเขาว่า “ทุกๆ ปลายปีที่เจ็ดตามกำหนดเวลาของปียกเลิกหนี้สิน ซึ่งอยู่ในระหว่างเทศกาลอยู่เพิง 11 เมื่อชาวอิสราเอลทั้งปวงมาอยู่ ณ เบื้องหน้าพระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของท่านในสถานที่ซึ่งพระองค์จะเลือก ท่านจงอ่านกฎบัญญัตินี้ให้ชาวอิสราเอลทั้งปวงฟัง 12 ให้ประชาชนชายและหญิง เด็กๆ และคนต่างด้าวที่อยู่ในเมืองของท่านมา เพื่อให้พวกเขาได้ยินและรู้จักเกรงกลัวพระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของท่าน และจงปฏิบัติตามกฎบัญญัตินี้ทุกประการด้วยความระมัดระวัง 13 และบรรดาบุตรของพวกเขาที่ไม่รู้กฎบัญญัตินี้จะได้ยินและรู้จักเกรงกลัวพระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของท่าน ตราบเท่าที่ท่านมีชีวิตอยู่ในแผ่นดินที่ท่านกำลังจะข้ามแม่น้ำจอร์แดนไปยึดครอง”

14 พระผู้เป็นเจ้ากล่าวกับโมเสสว่า “ดูเถิด ใกล้วันแล้วที่เจ้าจะต้องตาย จงเรียกโยชูวามา และเจ้าทั้งสองมาด้วยกันยังกระโจมที่นัดหมาย แล้วเราจะมอบหมายหน้าที่แก่เขา” ครั้นแล้วโมเสสและโยชูวาก็ไปยังกระโจมที่นัดหมายด้วยกัน 15 แล้วพระผู้เป็นเจ้าก็ปรากฏที่กระโจมในลักษณะของเมฆก้อนมหึมาดั่งเสาหลัก และเมฆก้อนมหึมาดั่งเสาหลักหยุดอยู่ที่ทางเข้ากระโจม

16 พระผู้เป็นเจ้ากล่าวกับโมเสสว่า “ดูเถิด เจ้ากำลังจะสิ้นชีวิตไปอยู่กับบรรพบุรุษของเจ้า และชนชาตินี้จะปันใจไปเชื่อในบรรดาเทพเจ้าต่างชาติประหนึ่งหญิงแพศยาของแผ่นดินที่พวกเขากำลังจะเข้าไปอยู่ พวกเขาจะทอดทิ้งเราและไม่รักษาพันธสัญญาที่เราทำไว้กับพวกเขา 17 ความโกรธของเราจะพลุ่งขึ้นต่อพวกเขาในวันนั้น แล้วเราจะทอดทิ้งเขา และซ่อนหน้าจากเขา พวกเขาจะถูกทำลาย จะประสบกับความเลวร้ายและความทุกข์ยาก เขาจะพูดกันในวันนั้นว่า ‘พวกเราประสบสิ่งเลวร้ายเหล่านี้ก็เพราะพระเจ้าของเราไม่อยู่กับพวกเรามิใช่หรือ’ 18 แล้วเราจะซ่อนหน้าในวันนั้น เพราะพวกเขากระทำสิ่งเลวร้ายทั้งปวง โดยหันเข้าหาบรรดาเทพเจ้า

19 บัดนี้ เจ้าจงเขียนบทเพลงนี้สำหรับพวกเขาและสอนชาวอิสราเอลให้ร้องจนขึ้นใจ เพลงนี้จะเป็นพยานกล่าวโทษชาวอิสราเอลให้เรา 20 เพราะเมื่อเรานำพวกเขาเข้าไปในแผ่นดินอันอุดมด้วยน้ำนมและน้ำผึ้ง ซึ่งเราได้ปฏิญาณไว้ว่าจะให้แก่บรรพบุรุษของพวกเขาแล้ว พวกเขาก็กินจนอิ่มหนำและอ้วนพี และจะหันเข้าหาบรรดาเทพเจ้า และบูชาสิ่งเหล่านั้น และหันหลังให้เราและไม่รักษาพันธสัญญาของเรา 21 เมื่อพวกเขาประสบกับความเลวร้ายและความทุกข์ยากมากมาย เพลงนี้ก็จะยืนยันต่อหน้าพวกเขาเหมือนเป็นพยาน เพราะบรรดาผู้สืบเชื้อสายของเขาจะไม่ลืมเพลงที่ร้องจากปากตนเอง เพราะเรารู้จุดประสงค์ที่พวกเขามี ก่อนที่เราจะพาพวกเขาเข้าไปในแผ่นดินที่เราได้ปฏิญาณไว้ว่าจะมอบให้” 22 ดังนั้น โมเสสจึงเขียนเพลงนี้ไว้ในวันเดียวกันนั้น และสอนให้แก่ชาวอิสราเอล

23 และพระองค์มอบหมายหน้าที่แก่โยชูวาบุตรของนูนโดยกล่าวว่า “จงเข้มแข็งและกล้าหาญเถิด เพราะเจ้าจะนำชาวอิสราเอลเข้าไปในแผ่นดินที่เราได้ปฏิญาณไว้ว่าจะให้แก่พวกเขา เราจะอยู่กับเจ้า”

24 เมื่อโมเสสเขียนคำกล่าวในกฎบัญญัตินี้ลงในหนังสือจบแล้ว 25 โมเสสบัญชาชาวเลวีผู้เป็นฝ่ายหามหีบพันธสัญญาของพระผู้เป็นเจ้าว่า 26 “จงเอาหนังสือกฎบัญญัติฉบับนี้ไปวางไว้ที่ข้างหีบพันธสัญญาของพระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของท่าน เพื่อให้อยู่ที่นั่นเป็นพยานกล่าวโทษท่าน 27 เพราะเราทราบว่าพวกท่านชอบขัดขืนและดื้อรั้นเพียงไร ดูเถิด แม้ว่าขณะนี้เรายังมีชีวิตอยู่กับพวกท่าน พวกท่านก็ยังขัดขืนพระผู้เป็นเจ้า หลังจากเราตายไปแล้ว พวกท่านจะกระทำยิ่งกว่าเพียงไร 28 จงเรียกหัวหน้าชั้นผู้ใหญ่ทั้งปวงและเจ้าหน้าที่ประจำเผ่าของท่านมาประชุมร่วมกับเรา เราจะได้พูดให้พวกเขาได้ยินด้วยหูของเขาเอง และจะให้ฟ้าดินเป็นพยานกล่าวโทษพวกเขา 29 เพราะเราทราบว่าหลังจากที่เราตายไปแล้ว พวกท่านจะประพฤติอย่างเสื่อมทรามอย่างที่สุด และหันไปจากวิถีทางที่เราได้บัญชาไว้ และจากนั้นสิ่งเลวร้ายจะเกิดขึ้นกับพวกท่าน เพราะท่านจะกระทำสิ่งชั่วร้ายในสายตาของพระผู้เป็นเจ้า และยั่วโทสะพระองค์ด้วยสิ่งที่ท่านสร้างขึ้น”

บทเพลงของโมเสส

30 ครั้นแล้ว โมเสสก็กล่าวคำในบทเพลงนี้จนจบ ให้ทุกคนในที่ประชุมของอิสราเอลได้ยินดังนี้ว่า

32 “ฟ้าสวรรค์จงฟังเถิด แล้วเราจะพูด
    ขอให้ผืนแผ่นดินได้ยินคำจากปากของเรา
ขอให้คำสั่งสอนของเราหลั่งลงดั่งหยาดฝน
    คำพูดของเราหยดลงดั่งหยาดน้ำค้าง
ประหนึ่งหยดฝนบนใบหญ้า
    และดุจดังละอองฝนโปรยลงบนพืชพรรณไม้

ด้วยว่าเราจะประกาศพระนามของพระผู้เป็นเจ้า
    จงยอมรับว่า พระเจ้าของพวกเรายิ่งใหญ่
พระองค์เป็นศิลา การงานของพระองค์เพียบพร้อมทุกประการ
    ด้วยว่าทุกวิถีทางของพระองค์เที่ยงธรรม
พระเจ้าแห่งความสัตย์จริงและปราศจากความผิด
    พระองค์เที่ยงธรรมและมีความชอบธรรม

เขาทั้งหลายประพฤติเลวทรามต่อพระองค์
    เขาไม่ใช่บุตรของพระองค์อีกต่อไปแล้วเพราะมลทินของเขา
    และเป็นคนในยุคที่บิดเบือนและไม่ซื่อตรง
ท่านโง่เขลาและไม่มีสติยั้งคิด
    ท่านกระทำตอบพระผู้เป็นเจ้าเช่นนี้หรือ
พระองค์มิใช่พระบิดาของท่านหรอกหรือที่เป็นผู้บันดาลท่านขึ้นมา
    ผู้สร้างและทำให้ท่านมั่นคง

จงจำสมัยดึกดำบรรพ์
    นึกถึงสมัยที่ผ่านพ้นมานานแล้ว
จงถามบิดาของท่าน และเขาจะบอกท่าน
    ถามพวกอาวุโสของท่าน แล้วพวกเขาจะเล่าให้ท่านทราบ
เมื่อองค์ผู้สูงสุดมอบมรดกแก่บรรดาประชาชาติ
    เมื่อพระองค์แยกบรรดาบุตรของมนุษย์ให้จากกัน
พระองค์กั้นเขตแดนให้บรรดาชนชาติได้อยู่อาศัย
    ตามแต่จำนวนบุตรของอิสราเอล
และส่วนที่พระผู้เป็นเจ้าได้รับก็คือชนชาติของพระองค์
    ชาวอิสราเอลเป็นผู้สืบมรดกของพระองค์ที่ได้มั่นหมายไว้

10 พระองค์พบพวกเขาในถิ่นทุรกันดาร
    ในที่ร้างอันแร้นแค้นปราศจากผู้คน
พระองค์อารักขาและดูแลเขา
    พระองค์ปกปักรักษาเขาดั่งแก้วตาของพระองค์
11 ดั่งนกอินทรีที่เขี่ยกระตุ้นรังของมัน
    ที่บินวนเวียนอยู่ใกล้ลูกน้อย
กางปีกของมันออกคอยโอบ
    ประคับประคองให้ลูกๆ พักพิงบนปีกของมัน
12 พระผู้เป็นเจ้าเท่านั้นที่นำพวกเขาไป
    โดยไม่มีเทพเจ้าต่างชาติเกี่ยวข้องด้วย

13 พระองค์ให้พวกเขาปกครองในที่สูงแห่งแผ่นดินโลก
    และพวกเขาได้รับประทานผลผลิตจากทุ่งนา
พระองค์ให้เขาดื่มน้ำผึ้งจากซอกหิน
    และน้ำมันจากหินเหล็กไฟ
14 โยเกิร์ตจากนมโค และน้ำนมจากฝูงแพะแกะ
    ลูกแกะ อีกทั้งแพะ
และแกะตัวผู้ของบาชานอันอ้วนพี
    กับข้าวสาลีชนิดดีที่สุด
และท่านได้ดื่มเหล้าองุ่นแดงพันธุ์ดี

15 เยชูรูน[p]อ้วนพีและขัดขืน
    เจ้าอ้วนใหญ่ขึ้น ตัวหนา และอ้วนท้วน
เขาทอดทิ้งพระเจ้าผู้สร้างเขามา
    และเยาะเย้ยศิลาแห่งความรอดพ้นของเขา
16 พวกเขากระตุ้นให้ความหวงแหนของพระองค์พลุ่งขึ้นด้วยบรรดาเทพเจ้าต่างชาติ
    เขายั่วโทสะพระองค์ด้วยรูปเคารพที่น่าชัง
17 พวกเขามอบเครื่องบูชาแก่มารซึ่งไม่ใช่พระเจ้า
    แต่เป็นเทพเจ้าที่ไม่เคยรู้จัก
เป็นบรรดาเทพเจ้าใหม่ๆ
    ซึ่งบรรพบุรุษของท่านก็ไม่เคยเกรงกลัว
18 ท่านเพิกเฉยต่อศิลาผู้บังเกิดเกล้าของท่าน
    และท่านลืมพระเจ้าผู้ให้กำเนิดแก่ท่าน

19 พระผู้เป็นเจ้าเห็นการกระทำเช่นนั้น
    พระองค์โกรธและปฏิเสธบรรดาบุตรชายบุตรหญิงของพระองค์
20 และพระองค์กล่าวว่า ‘เราจะซ่อนหน้าจากพวกเขา
    เราจะดูว่าอะไรจะเกิดขึ้นกับเขาในที่สุด
เพราะพวกเขาเป็นคนในยุคที่บิดเบือน
    เป็นบุตรที่ไม่ภักดี
21 พวกเขาได้ปลุกให้เราเกิดหวงแหนด้วยสิ่งที่ไม่ใช่เทพเจ้า
    พวกเขาทำให้เราโกรธด้วยรูปเคารพซึ่งไร้ค่าของเขา
ฉะนั้นเราจะกระตุ้นให้พวกเขาอิจฉาบรรดาผู้ที่ไม่ได้เป็นชนชาติ
    เราจะทำให้พวกเขาโกรธด้วยประชาชาติที่โง่เขลา[q]
22 เพราะเพลิงไฟลุกขึ้นจากความโกรธของเรา
    และมันเผาไหม้ถึงก้นบึ้งของแดนคนตาย
เผาผลาญแผ่นดินโลกกับพืชผล
    และทำให้ฐานรากของภูเขาลุกโพลง

23 เราจะสุมความวิบัติไว้กับพวกเขา
    และเราจะยิงลูกธนูใส่เขา
24 ชีวิตของเขาจะดับลงด้วยความหิวโหย
    และถูกกลืนกินด้วยความร้อนดั่งเพลิงและโรคระบาดร้ายแรง
และเราจะทำให้เขาถูกรังควานด้วยสัตว์ป่า
    และด้วยพิษของสัตว์เลื้อยคลานที่อยู่บนดิน
25 จะมีการฆ่ารันฟันแทงในที่แจ้ง
    สิ่งอันน่าสะพรึงกลัวจะเกิดขึ้นในเรือน
ทำให้ชายหนุ่มและหญิงสาวล้มตาย
    รวมทั้งเด็กเล็กและคนชราด้วย
26 เราจะพูดก็ได้ว่า เราจะทำให้พวกเขากระจัดกระจายไปให้ไกล
    เราจะทำให้มนุษย์ไม่รำลึกถึงพวกเขาอีกต่อไป
27 แต่เราไม่อยากให้ศัตรูคุยโว
    เกรงว่าปฏิปักษ์จะสำคัญผิดไป
และพวกเขาจะพูดว่า “เราได้ชัยชนะด้วยมือของเราเอง
    พระผู้เป็นเจ้าไม่ได้เป็นผู้กระทำสิ่งเหล่านี้”’

28 พวกเขาเป็นประชาชาติหนึ่งที่ขาดคำปรึกษา
    และไม่มีความหยั่งรู้
29 ถ้าพวกเขามีสติปัญญาก็จะเข้าใจเรื่องนี้ได้
    และก็จะสังเกตได้ว่า อะไรจะเกิดขึ้นกับเขาในที่สุด
30 คนเดียวจะขับไล่คนเป็นพัน
    และสองคนทำให้คนเป็นหมื่นเตลิดหนีได้อย่างไร
นอกจากว่าศิลาของพวกเขาทอดทิ้งเขาไปแล้ว
    และพระผู้เป็นเจ้ายอมยกพวกเขาให้แล้ว
31 เพราะศิลาของพวกเขาไม่เป็นเช่นศิลาของพวกเรา
    แม้แต่พวกศัตรูเองก็ทราบดี
32 เพราะกิ่งก้านของพวกเขาผลิออกมาจากกิ่งก้านของโสโดม
    และจากทุ่งนาของโกโมราห์
ผลองุ่นของพวกเขาเป็นผลที่มีพิษ
    เป็นพวงองุ่นขม
33 เหล้าองุ่นของพวกเขาเป็นพิษดั่งพิษงู
    พิษร้ายของงูเห่า

34 ‘เราไม่ได้เก็บเรื่องนี้ไว้เอง
    และปิดไว้อย่างมิดชิดดั่งของมีค่าของเราหรอกหรือ
35 การแก้แค้นและการสนองตอบเป็นของเรา
    เมื่อถึงคราวเท้าของพวกเขาจะพลาดพลั้ง
เพราะวันหายนะใกล้จะถึง
    และเขาจะถูกพิพากษาอย่างฉับพลัน’

36 เพราะพระผู้เป็นเจ้าจะพิสูจน์ว่าคนของพระองค์ไม่ผิด
    และเมตตาต่อบรรดาผู้รับใช้ของพระองค์
เมื่อพระองค์เห็นว่าพลังของพวกเขาหมดสิ้นแล้ว
    และไม่มีใครเหลืออยู่เลย ไม่ว่าจะเป็นทาสหรืออิสระ
37 พระองค์จะกล่าวว่า ‘เทพเจ้าของพวกเขาอยู่ที่ไหน
    ศิลาที่เขาพึ่งพิง
38 เทพเจ้าผู้กินเครื่องสักการะที่ดีที่สุดของพวกเขา
    และดื่มเหล้าองุ่นจากเครื่องดื่มบูชาของเขา
ให้เทพเจ้าเหล่านั้นลุกขึ้นมาช่วยพวกเจ้า
    และปกป้องเจ้าเถิด

39 บัดนี้ จงดูเถิด เรานี่แหละ เราเป็นผู้นั้น
    และไม่มีพระเจ้าอื่นใดนอกจากเรา
เราฆ่า และเราทำให้มีชีวิตอยู่
    เราทำให้บาดเจ็บ และเรารักษาให้หาย
    และไม่มีใครที่สามารถช่วยให้พ้นจากมือของเราได้
40 เราชูมือของเราขึ้นสู่สวรรค์ และประกาศว่า
    ตราบที่เรามีชีวิตอยู่ชั่วนิรันดร์กาล
41 เมื่อเราลับดาบอันวาววับของเรา
    และการพิพากษาอยู่ในมือของเรา
เราจะลงโทษพวกศัตรูของเรา
    และจะสนองตอบพวกที่เกลียดชังเรา
42 เราจะทำให้ลูกธนูของเราอาบชุ่มด้วยเลือด
    และดาบของเราจะกลืนกินเนื้อหนัง
พร้อมกับเลือดของคนถูกเชือดและเชลย
    จากหัวของศัตรูซึ่งมีผมยาว’

43 บรรดาประชาชาติเอ๋ย จงยินดีกับชนชาติของพระองค์เถิด
    เพราะพระองค์จะแก้แค้นเลือดของบรรดาผู้รับใช้ของพระองค์
พระองค์จะลงโทษศัตรูของพระองค์
    และลบล้างบาปให้แผ่นดินและชนชาติของพระองค์”

44 แล้วโมเสสก็มากล่าวคำในบทเพลงทั้งหมดให้ประชาชนได้ยิน ทั้งตัวท่านกับโยชูวาบุตรของนูน 45 เมื่อโมเสสกล่าวแก่ชาวอิสราเอลจบแล้ว 46 ท่านกล่าวแก่พวกเขาต่อไปว่า “จงใส่ใจในคำพูดที่เรากำชับพวกท่านในวันนี้ เพื่อท่านจะได้สั่งลูกๆ ของท่านให้กระทำตามคำกล่าวในกฎบัญญัตินี้อย่างระมัดระวัง 47 เพราะไม่ใช่เรื่องพูดเล่น แต่เป็นชีวิตของพวกท่าน ท่านจะมีชีวิตยืนยาวในแผ่นดินที่ท่านกำลังจะข้ามแม่น้ำจอร์แดนไปเพื่อยึดครองก็ด้วยการกระทำตามคำสั่งดังกล่าว”

โมเสสสิ้นชีวิตที่ภูเขาเนโบ

48 ในวันเดียวกันนั้นเอง พระผู้เป็นเจ้ากล่าวกับโมเสสว่า 49 “จงขึ้นไปที่เทือกเขาอาบาริมนี้ ไปยังภูเขาเนโบซึ่งอยู่ในแผ่นดินโมอับ ตรงข้ามกับเมืองเยรีโค แล้วมองดูแผ่นดินคานาอันที่เรามอบให้ชาวอิสราเอลเป็นเจ้าของ 50 และสิ้นลมบนภูเขาที่เจ้าขึ้นไป เจ้าจะถูกนำไปรวมอยู่กับชนชาติของเจ้าที่ล่วงลับไปแล้ว อย่างที่อาโรนพี่ชายของเจ้าสิ้นชีวิตที่ภูเขาโฮร์และถูกนำไปรวมอยู่กับชนชาติของเขาที่ล่วงลับไปแล้ว[r] 51 เพราะเจ้าไม่ภักดีต่อเราท่ามกลางชาวอิสราเอลที่แหล่งน้ำเมรีบาห์-คาเดช[s] ในถิ่นทุรกันดารศิน เพราะเจ้าไม่แสดงความเคารพต่อเราท่ามกลางชาวอิสราเอลว่าเราบริสุทธิ์ 52 เจ้าจะเห็นแผ่นดินอยู่เบื้องหน้าเจ้า แต่จะไม่ได้ก้าวเท้าเข้าไปยังแผ่นดินที่เรามอบให้แก่ชาวอิสราเอล”

โมเสสให้พรแก่ชาวอิสราเอล

33 ต่อไปนี้เป็นคำอวยพรที่โมเสสคนของพระเจ้าได้กล่าวแก่ชาวอิสราเอลก่อนที่ท่านสิ้นชีวิต ท่านกล่าวว่า

พระผู้เป็นเจ้ามาจากซีนาย
    และเบิกอโณทัยให้พวกเขาจากเสอีร์
    พระองค์ทอแสงจากภูเขาปาราน
ผู้บริสุทธิ์จำนวนนับหมื่นมากับพระองค์
    แสงไฟแลบแปลบปลาบอยู่ที่มือขวาของพระองค์
พระองค์รักชนชาติของพระองค์อย่างแน่แท้
    บรรดาผู้บริสุทธิ์ทั้งปวงของพระองค์อยู่ในมือของพระองค์
และพวกเขาอยู่ที่แทบเท้าของพระองค์
    รอรับคำสั่งจากพระองค์
โมเสสบัญชากฎบัญญัติไว้แก่เรา
    ให้เป็นมรดกของที่ประชุมของยาโคบ
พระองค์เป็นกษัตริย์ในเยชูรูน
    เมื่อบรรดาหัวหน้าประจำเผ่าประชุมร่วมกัน
    กับเผ่าต่างๆ ของอิสราเอล

ให้เผ่ารูเบนดำรงเผ่าพันธุ์โดยไม่สูญไป
    แม้จำนวนคนของเขาจะมีไม่มาก”

ท่านกล่าวถึงเผ่ายูดาห์ว่า

“โอ พระผู้เป็นเจ้า โปรดฟังเสียงของยูดาห์
    และพาเขากลับมารวมอยู่กับชนชาติของเขา
โปรดต่อสู้แทนเขาด้วยพลังของพระองค์
    และช่วยต่อต้านศัตรูของเขา”

ท่านกล่าวถึงเผ่าเลวีว่า

“ให้ทูมมิมและอูริมของพระองค์
    แก่เลวีผู้บริสุทธิ์ของพระองค์
ที่พระองค์ได้ทดสอบที่มัสสาห์
    ที่พระองค์ได้ต่อสู้ด้วยที่แหล่งน้ำเมรีบาห์[t]
พวกเขาพูดถึงบิดามารดาทั้งปวงว่า
    ‘เราไม่นึกถึงพวกเขา’
เขาไม่นับญาติกับพี่น้องของเขา
    และไม่สนใจลูกหลานของเขา
เพราะพวกเขาปฏิบัติตามคำบ่งบอกของพระองค์
    และรักษาพันธสัญญาของพระองค์[u]
10 พวกเขาสั่งสอนคำบัญชาของพระองค์แก่ยาโคบ
    และสอนกฎบัญญัติแก่อิสราเอล
พวกเขาเผาเครื่องหอม ณ เบื้องหน้าพระองค์
    และสัตว์ทั้งตัวที่เผาเป็นของถวายบนแท่นบูชาของพระองค์
11 โอ พระผู้เป็นเจ้า โปรดอวยพรเขาด้วยพละกำลัง
    และพอใจในสิ่งที่เขาทำ
โปรดบดขยี้ศัตรูของเขา และพวกที่เกลียดชังเขา
    ให้ยับเยินจนไร้เรี่ยวแรงต่อสู้”

12 ท่านกล่าวถึงเผ่าเบนยามินว่า

“ขอให้ผู้เป็นที่รักของพระผู้เป็นเจ้าอาศัยอยู่เคียงข้างพระองค์อย่างปลอดภัย
    พระองค์ปกป้องเขาในทุกยาม
    และให้เขาอยู่ในอ้อมอกของพระองค์”

13 ท่านกล่าวถึงโยเซฟว่า

“ขอให้พระผู้เป็นเจ้าให้พรแผ่นดินของเขา
    ด้วยหยาดน้ำค้างดีที่สุดจากฟ้าสวรรค์เบื้องบน
    และจากห้วงน้ำลึกที่หมอบอยู่เบื้องล่าง
14 และด้วยพืชผลชนิดดีที่สุดภายใต้แสงอาทิตย์
    และพืชผลอันอุดมเดือนแล้วเดือนเล่า
15 ด้วยสิ่งดีที่สุดจากเทือกเขาแห่งโบราณกาล
    และความอุดมของเนินเขาอันยืนยง
16 ด้วยสิ่งดีที่สุดของแผ่นดินและความอุดมที่ผลิตได้
    และเป็นที่โปรดปรานของพระองค์ผู้เป็นที่ประจักษ์ในพุ่มไม้ที่ลุกเป็นไฟ[v]
ให้สิ่งเหล่านี้จงอยู่บนศีรษะของโยเซฟ
    และอยู่บนหน้าผากของราชา ท่ามกลางพี่น้องของเขา
17 พละกำลังของเขาเป็นดั่งโคตัวผู้หัวปี
    และแข็งแกร่งดั่งเขากระทิง
เขาจะผลักดันบรรดาชนชาติไปทั่วแหล่งหล้า
    เขากระทิงคือพลังนับหมื่นของเอฟราอิม
    และพลังนับพันของมนัสเสห์”

18 ท่านกล่าวถึงเศบูลุนว่า

“เศบูลุนเอ๋ย จงยินดีกับการค้าทางทะเลของท่าน
    และอิสสาคาร์ก็อยู่ในกระโจมของท่าน
19 สองเผ่านี้จะเรียกบรรดาชนชาติให้มาที่ภูเขาของตน
    เพื่อถวายเครื่องสักการะที่เหมาะควร
พวกเขาได้รับความอุดมจากทะเล
    และขุดสมบัติที่ถูกซ่อนอยู่ในทราย”

20 ท่านพูดถึงกาดว่า

“สรรเสริญพระองค์ผู้ขยายแผ่นดินกว้างออกไปให้แก่กาด
    เขาหมอบลงอย่างสิงโต
    เขาต่อสู้ทึ้งแขนขาและกระหม่อม
21 เขาเลือกแผ่นดินส่วนดีที่สุดเป็นของตนเอง
    เพราะเป็นส่วนที่จองไว้สำหรับระดับผู้ปกครอง
เขามากับบรรดาระดับผู้ปกครองของชนชาติ
    เขากระทำตามความชอบธรรมของพระผู้เป็นเจ้า
    และคำบัญชาของพระองค์ที่มีต่ออิสราเอล”

22 ท่านกล่าวถึงดานว่า

“ดานเป็นดุจสิงโตหนุ่มที่พุ่งทะยาน
    ออกไปจากบาชาน”

23 ท่านกล่าวถึงนัฟทาลีว่า

“นัฟทาลีเป็นที่โปรดปรานมาก
    และได้รับพระพรจากพระผู้เป็นเจ้ามากมาย
    ได้ครองอาณาเขตแถบทะเลสาบและทิศใต้”

24 ท่านกล่าวถึงอาเชอร์ว่า

“อาเชอร์ได้รับพระพรมากกว่าเผ่าอื่นๆ
    ขอให้เขาเป็นที่ชื่นชอบของพี่น้องของเขา
    และขอให้เขาจุ่มเท้าลงในน้ำมัน
25 สลักกลอนประตูของท่านเป็นเหล็กและทองสัมฤทธิ์
    ขอให้ท่านมีพละกำลังไปตลอดชีวิต

26 โอ เยชูรูน ไม่มีผู้ใดเหมือนพระเจ้า
    พระองค์ล่องผ่านฟ้าสวรรค์มาเพื่อช่วยท่าน
    และผ่านท้องฟ้ามาในความยิ่งใหญ่ของพระองค์
27 พระเจ้าผู้ดำรงอยู่ตลอดกาลเป็นที่พึ่งพิงของท่าน
    แขนของพระองค์ค้ำท่านไว้เป็นนิตย์
และพระองค์ขับไล่ศัตรูไปจากท่าน
    และกล่าวว่า ‘กำจัดเสีย’
28 ดังนั้น อิสราเอลจึงอยู่อย่างปลอดภัย
    บรรดาผู้สืบเชื้อสายของยาโคบอยู่อย่างสันติ
ในแผ่นดินแห่งธัญพืชและเหล้าองุ่น
    ฟ้าสวรรค์ของพระองค์หยดน้ำค้างลงมา
29 โอ อิสราเอล ท่านช่างมีความสุขอะไรเช่นนี้
    ไม่มีใครเป็นอย่างท่าน
    ชนชาติที่รอดมาด้วยพระผู้เป็นเจ้า
องค์ผู้เป็นโล่ป้องกันท่าน
    และดาบแห่งชัยชนะของท่าน
เหล่าศัตรูของท่านจะแสร้งก้มหัวให้ท่าน
    และท่านจะเหยียบย่ำสถานบูชาบนภูเขาสูงของพวกเขา”

โมเสสสิ้นชีวิต

34 โมเสสก็ขึ้นไปจากที่ราบโมอับถึงภูเขาเนโบ ถึงยอดปิสกาห์ซึ่งอยู่ตรงข้ามเมืองเยรีโค และพระผู้เป็นเจ้าให้ท่านมองดูแผ่นดินทั้งหมด จากดินแดนกิเลอาดจนถึงดาน นัฟทาลีทั้งหมด แผ่นดินของเอฟราอิมและมนัสเสห์ แผ่นดินของยูดาห์จนถึงทะเลที่อยู่ทางทิศตะวันตก ในแถบเนเกบ และในหุบเขาคือหุบเขาแห่งเยรีโคเมืองแห่งต้นอินทผลัมจนถึงโศอาร์ และพระผู้เป็นเจ้ากล่าวกับท่านว่า “นี่คือแผ่นดินที่เราปฏิญาณกับอับราฮัม อิสอัค และยาโคบว่า ‘เราจะมอบให้แก่บรรดาผู้สืบเชื้อสายของเจ้า’ เราให้เจ้าเห็นด้วยตาของเจ้าเองแล้ว แต่เจ้าจะไม่ได้ไปเหยียบที่นั่น” ครั้นแล้ว โมเสสผู้รับใช้ของพระผู้เป็นเจ้าก็สิ้นชีวิตลงที่นั่น ในแผ่นดินโมอับตามที่พระผู้เป็นเจ้ากล่าวไว้ พระองค์ฝังร่างโมเสสไว้ในหุบเขาในแผ่นดินโมอับ ซึ่งอยู่ตรงข้ามเบธเปโอร์ แต่ไม่มีผู้ใดทราบที่ฝังศพของท่านมาจนถึงทุกวันนี้ โมเสสสิ้นชีวิตเมื่อมีอายุได้ 120 ปี แม้แต่ตาของท่านก็ยังไม่มัว และร่างกายก็ยังแข็งแรงดีด้วย ชาวอิสราเอลร้องไห้ถึงโมเสสอยู่ที่ราบลุ่มของโมอับเป็นเวลา 30 วัน แล้ววันแห่งการร้องไห้และร้องคร่ำครวญถึงโมเสสก็สิ้นสุดลง

โยชูวาบุตรของนูนเปี่ยมด้วยสติปัญญาจากพระเจ้า เพราะโมเสสได้วางมือบนตัวท่าน ดังนั้นชาวอิสราเอลเชื่อฟังท่าน และปฏิบัติตามที่พระผู้เป็นเจ้าบัญชาโมเสสไว้ 10 ตั้งแต่นั้นมา ไม่เคยมีผู้ใดในอิสราเอลที่เป็นผู้เผยคำกล่าวของพระเจ้าอย่างเช่นโมเสสเลย พระผู้เป็นเจ้าได้กล่าวกับท่านต่อหน้า 11 ไม่เคยมีผู้เผยคำกล่าวของพระเจ้าคนใดที่แสดงปรากฏการณ์อัศจรรย์และสิ่งมหัศจรรย์ใดๆ เหมือนอย่างที่พระผู้เป็นเจ้าให้โมเสสกระทำในแผ่นดินอียิปต์ ต่อฟาโรห์ ข้าราชบริพารทั้งปวงและทั่วทั้งแผ่นดิน 12 และด้วยพลานุภาพอันยิ่งใหญ่ทั้งสิ้น และการกระทำอันพรั่นพรึงทั้งปวงเหมือนอย่างที่โมเสสกระทำต่อหน้าชาวอิสราเอล

New Thai Version (NTV-BIBLE)

Copyright © 1998, 2012, 2020 by New Thai Version Foundation