Bible in 90 Days
15 หลังจากนี้ให้ชาวเลวีเข้าไปปฏิบัติงานในกระโจมที่นัดหมาย และเจ้าจะทำให้พวกเขาบริสุทธิ์ และถวายพวกเขาดั่งเครื่องโบก 16 เพราะพวกเขาถูกแยกออกจากชาวอิสราเอล และมอบให้แก่เราแทนบุตรหัวปีทุกคนที่มาจากครรภ์ของชาวอิสราเอลทั้งปวง เราได้รับพวกเขามาเป็นของเราแล้ว 17 เพราะทุกชีวิตแรกจากทั้งมนุษย์และสัตว์เลี้ยงในหมู่ชนชาวอิสราเอลเป็นของเรา ในวันที่เราฆ่าบุตรหัวปีทุกคนในแผ่นดินอียิปต์ เราได้แยกพวกเขาออกมาสำหรับเราเอง 18 และได้รับชาวเลวีแทนบุตรหัวปีทุกคนของชาวอิสราเอล 19 เราได้มอบชาวเลวีจากชาวอิสราเอลให้เป็นของประทานแก่อาโรนและบรรดาบุตรของเขา เพื่อปฏิบัติงานในกระโจมที่นัดหมายให้ชาวอิสราเอล และทำพิธีชดใช้บาป เพื่อภัยพิบัติจะไม่เกิดขึ้นกับชาวอิสราเอล เมื่อพวกเขาเข้าไปใกล้สถานที่บริสุทธิ์”
20 โมเสส อาโรน และชาวอิสราเอลทั้งมวลกระทำต่อชาวเลวีตามที่พระผู้เป็นเจ้าบัญชาโมเสส 21 ชาวเลวีชำระร่างกายให้บริสุทธิ์ ซักเสื้อผ้าของตนเอง แล้วอาโรนก็จะมอบพวกเขาให้เป็นเครื่องโบก ณ เบื้องหน้าพระผู้เป็นเจ้า และทำพิธีชดใช้บาปให้แก่พวกเขาเพื่อทำให้บริสุทธิ์ 22 จากนั้นชาวเลวีก็จะเข้าไปปฏิบัติงานในกระโจมที่นัดหมายภายใต้การควบคุมของอาโรนและบรรดาบุตรของท่าน เขากระทำต่อชาวเลวีตามที่พระผู้เป็นเจ้าบัญชาโมเสส
23 พระผู้เป็นเจ้ากล่าวกับโมเสสว่า 24 “เรื่องต่อไปนี้เกี่ยวกับชาวเลวี เขาจะมีอายุตั้งแต่ 25 ปีขึ้นไป จะต้องมีส่วนร่วมงานในกระโจมที่นัดหมาย 25 แต่เมื่อถึงอายุ 50 ปีพวกเขาจะหยุดปฏิบัติงานนั้น คือไม่ต้องทำงานอีกต่อไป 26 พวกเขาจะช่วยพี่น้องของเขาที่ปฏิบัติงานรับใช้ในกระโจมที่นัดหมายก็ได้ แต่ไม่ต้องทำงาน ฉะนั้นเจ้าต้องจัดแจงเรื่องงานรับใช้ให้แก่ชาวเลวี”
เทศกาลปัสกา
9 พระผู้เป็นเจ้ากล่าวกับโมเสสในถิ่นทุรกันดารซีนาย ในเดือนแรกของปีที่สองหลังจากที่พวกเขาพ้นออกจากแผ่นดินอียิปต์ว่า 2 “ให้ชาวอิสราเอลฉลองเทศกาลปัสกาตามเวลาที่กำหนดไว้ 3 จงฉลองวันตามเวลาที่กำหนดไว้ในยามโพล้เพล้ของวันที่สิบสี่เดือนนี้ ตามคำบัญชาและกฎเกณฑ์” 4 ดังนั้นโมเสสจึงบอกชาวอิสราเอลให้ฉลองเทศกาลปัสกา 5 พวกเขาก็ทำตามนั้นเมื่ออยู่ในถิ่นทุรกันดารซีนายเวลาโพล้เพล้ของวันที่สิบสี่ของเดือนแรก ชาวอิสราเอลทำทุกอย่างตามที่พระผู้เป็นเจ้าบัญชาโมเสสทุกประการ 6 แต่มีบางคนที่ไม่สามารถฉลองเทศกาลปัสกาในวันนั้นได้ เพราะมีมลทินที่เกิดจากการแตะต้องซากศพ พวกเขาจึงมาพบโมเสสและอาโรนในวันเดียวกันนั้น 7 และพูดกับโมเสสว่า “พวกเรามีมลทินเพราะแตะต้องซากศพ แต่ทำไมพวกเราถึงถูกกันไม่ให้ถวายเครื่องบูชาแด่พระผู้เป็นเจ้าด้วยกันกับชาวอิสราเอลอื่นๆ ตามเวลาที่กำหนดไว้เล่า” 8 โมเสสตอบพวกเขาว่า “จงรอจนกว่าเราจะทราบว่าพระผู้เป็นเจ้าบัญชาอย่างไรในเรื่องของท่าน”
9 แล้วพระผู้เป็นเจ้ากล่าวกับโมเสสว่า 10 “จงบอกชาวอิสราเอลตามนี้ ‘เมื่อใครก็ตามในพวกเจ้าหรือผู้สืบเชื้อสายมีมลทินเพราะแตะต้องซากศพ หรือเดินทางไปที่อื่น พวกเขาก็สามารถฉลองเทศกาลปัสกาของพระผู้เป็นเจ้าได้ 11 โดยให้เขาฉลองในวันที่สิบสี่ของเดือนสองยามโพล้เพล้ เขาต้องรับประทานเนื้อแกะกับขนมปังไร้เชื้อและผักรสขม 12 เขาจะต้องไม่ให้มีของเหลือทิ้งไว้จนถึงรุ่งเช้า หรือหักกระดูกสักชิ้นเดียว[a] เวลาพวกเขาฉลองวันปัสกา เขาต้องทำตามกฎเกณฑ์ทุกข้อ 13 แต่ถ้าชายใดไม่มีมลทินและไม่ได้ออกเดินทางไปไหน แต่ไม่ได้ฉลองเทศกาลปัสกา เขาจะต้องถูกตัดขาดจากชนชาติของเขา เพราะเขาไม่ได้ถวายเครื่องบูชาของพระผู้เป็นเจ้าตามกำหนดเวลา ชายผู้นั้นจะต้องรับโทษบาปของตน 14 ชาวต่างด้าวที่อาศัยอยู่ในหมู่พวกเจ้าที่ต้องการฉลองเทศกาลปัสกาของพระผู้เป็นเจ้า ต้องกระทำตามคำบัญชาและกฎเกณฑ์ของวันปัสกา เจ้าต้องใช้กฎเกณฑ์เดียวกันนี้สำหรับชาวต่างแดนและชาวอิสราเอลโดยกำเนิด’”
เมฆอยู่เหนือที่พำนัก
15 ในวันที่จัดตั้งกระโจมที่พำนัก มีก้อนเมฆปกคลุมกระโจมที่พำนัก ซึ่งเป็นกระโจมแห่งพันธสัญญา และในเวลาเย็น เมฆนั้นอยู่เบื้องบนกระโจมที่พำนักในลักษณะของเพลิงไฟจนกระทั่งเช้า 16 เป็นอย่างนั้นเรื่อยไป มีก้อนเมฆปกคลุมที่พำนัก และมีลักษณะของเพลิงไฟในยามกลางคืน 17 เมื่อใดเมฆลอยตัวขึ้นจากกระโจม ชาวอิสราเอลก็ออกเดินทางต่อไป ที่ใดเมฆหยุดอยู่ ชาวอิสราเอลก็ไปตั้งค่ายอยู่ที่นั่น 18 ชาวอิสราเอลออกเดินทางตามคำบัญชาของพระผู้เป็นเจ้า และชาวอิสราเอลไปตั้งค่ายตามคำบัญชาของพระผู้เป็นเจ้า ตราบที่ก้อนเมฆหยุดอยู่เหนือกระโจมที่พำนัก พวกเขาก็จะยังคงตั้งค่ายอยู่ 19 เมื่อก้อนเมฆอยู่เหนือกระโจมที่พำนักเป็นเวลาหลายวัน ชาวอิสราเอลก็ปฏิบัติตามคำสั่งของพระผู้เป็นเจ้าโดยไม่ออกเดินทาง 20 บางครั้งเมื่อก้อนเมฆอยู่เหนือกระโจมที่พำนักเพียงไม่กี่วัน พวกเขาก็ไปตั้งค่ายอยู่ตามคำบัญชาของพระผู้เป็นเจ้า และออกเดินทางตามคำบัญชาของพระผู้เป็นเจ้า 21 ในบางครั้งเมื่อก้อนเมฆคงอยู่ตั้งแต่เย็นจนถึงเช้า แต่เมื่อเมฆนั้นลอยตัวขึ้นในยามเช้า พวกเขาก็จะออกเดินทางต่อไป ไม่ว่าจะเป็นเวลากลางวันหรือกลางคืนก็ตาม เมื่อเมฆลอยขึ้นพวกเขาก็ออกเดินทาง 22 ไม่ว่าก้อนเมฆจะอยู่เหนือกระโจมที่พำนักเพียง 2 วัน 1 เดือน หรือ 1 ปี ชาวอิสราเอลจะไปตั้งค่ายอยู่ โดยไม่ออกเดินทาง แต่เมื่อเมฆนั้นลอยตัวขึ้น พวกเขาจะออกเดินทางต่อไป 23 พวกเขาไปตั้งค่ายตามคำบัญชาของพระผู้เป็นเจ้า และพวกเขาออกเดินทางตามคำบัญชาของพระผู้เป็นเจ้า พวกเขาปฏิบัติตามคำสั่งของพระผู้เป็นเจ้าที่ได้มอบไว้กับโมเสส
แตรเงิน
10 พระผู้เป็นเจ้ากล่าวกับโมเสสว่า 2 “จงตีแตรยาว 2 คันด้วยเงินและตีด้วยค้อน[b] เจ้าจงใช้แตรนั้นเรียกประชุมและเวลาออกเดินทาง 3 เมื่อพวกเขาเป่าแตรทั้งสองคัน มวลชนทั้งปวงต้องมาประชุมพร้อมกันกับเจ้าที่ทางเข้ากระโจมที่นัดหมาย 4 หากพวกเขาเป่าแตรคันเดียว บรรดาหัวหน้าหรือผู้นำของตระกูลชาวอิสราเอลต้องมาประชุมพร้อมกันกับเจ้า 5 เมื่อเจ้าเป่าแตรให้สัญญาณเสียง บรรดาค่ายทางด้านตะวันออกจะออกเดินทาง 6 และเมื่อเจ้าเป่าให้สัญญาณที่สอง บรรดาค่ายทางด้านใต้จะออกเดินทาง พวกเขาจะเป่าแตรให้สัญญาณเพื่อออกเดินทาง 7 แต่เมื่อจะเรียกมวลชนมาประชุมร่วมกัน เจ้าจะต้องเป่าแตรงอน[c]ที่ไม่ใช่สัญญาณเดียวกัน 8 บรรดาบุตรของอาโรนซึ่งเป็นปุโรหิต เป็นผู้เป่าแตรยาว จงถือเป็นกฎเกณฑ์ของทุกชาติพันธุ์ของพวกเจ้าไปตลอดกาล 9 และหากเจ้าทำศึกสงครามกับศัตรูที่บีบบังคับเจ้าบนแผ่นดินของเจ้าเอง เจ้าก็จงเป่าแตรยาวให้สัญญาณ แล้วพระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของเจ้าจะระลึกถึงพวกเจ้า และเจ้าจะปลอดภัยจากศัตรู 10 ในวันที่พวกเจ้ามีความยินดี ในเทศกาลที่กำหนดไว้ และในยามเทศกาลข้างขึ้น พวกเจ้าต้องเป่าแตรยาวในเวลามอบสัตว์ที่ใช้เผาเป็นของถวาย และของถวายเพื่อสามัคคีธรรม และพวกเจ้าจะเป็นที่ระลึกถึง ณ เบื้องหน้าพระเจ้าของพวกเจ้า เราเป็นพระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของพวกเจ้า”
เริ่มเดินทางออกจากซีนาย
11 ในวันที่ยี่สิบเดือนสองของปีที่สอง ก้อนเมฆลอยตัวขึ้นจากกระโจมที่พำนักแห่งพันธสัญญา 12 ชาวอิสราเอลจึงออกเดินทางออกจากถิ่นทุรกันดารซีนายจนกระทั่งก้อนเมฆหยุดอยู่ที่ถิ่นทุรกันดารปาราน 13 พวกเขาออกเดินทางครั้งแรกนี้ตามคำบัญชาของพระผู้เป็นเจ้าโดยผ่านโมเสส 14 บรรดากองทัพจากค่ายยูดาห์ออกเดินทางเป็นกองแรก ตามธงของพวกเขา นาโชนบุตรอัมมีนาดับเป็นผู้บังคับการ 15 เนธันเอลบุตรศุอาร์เป็นผู้นำกองทัพของเผ่าชาวอิสสาคาร์ 16 และเอลีอับบุตรเฮโลนเป็นผู้นำกองทัพของเผ่าชาวเศบูลุน
17 เมื่อรื้อกระโจมที่พำนักลง บรรดาบุตรเกอร์โชนและเมรารีผู้แบกหามกระโจมที่พำนักก็ออกเดินทาง 18 บรรดากองทัพจากค่ายรูเบนออกเดินทางตามไป ตามธงของพวกเขา เอลีซูร์บุตรเชเดเออร์เป็นผู้นำกองทัพ 19 เชลูมิเอลบุตรศูริชัดดัยเป็นผู้นำกองทัพของเผ่าชาวสิเมโอน 20 เอลียาสาฟบุตรเดอูเอลเป็นผู้นำกองทัพของเผ่าชาวกาด
21 แล้วชาวโคฮาทออกเดินทางพร้อมกับแบกหามสิ่งบริสุทธิ์ โดยต้องมีคนตั้งกระโจมที่พำนักก่อนที่พวกเขาจะไปถึง 22 แล้วกองทัพจากค่ายของชาวเอฟราอิมออกเดินทางตามธงของพวกเขา เอลีชามาบุตรอัมมีฮูดเป็นผู้บังคับการ 23 กามาลิเอลบุตรเปดาห์ซูร์ เป็นผู้นำกองทัพของเผ่าชาวมนัสเสห์ 24 และอาบีดันบุตรกิเดโอนีเป็นผู้นำกองทัพของเผ่าชาวเบนยามิน
25 และกองทัพจากค่ายของชาวดานซึ่งเป็นค่ายท้ายสุดก็ออกเดินทางตามธงของพวกเขา อาหิเยเซอร์บุตรอัมมีชัดดัยเป็นผู้บังคับการ 26 ปากีเอลบุตรโอครานเป็นผู้นำกองทัพของเผ่าชาวอาเชอร์ 27 อาหิราบุตรเอนันเป็นผู้บังคับการของชาวนัฟทาลี 28 ชาวอิสราเอลออกเดินทางตามธงของพวกเขา ดังที่กล่าวมา แล้วต่างก็มุ่งหน้าไป
โฮบับและหีบ
29 โมเสสพูดกับโฮบับบุตรเรอูเอลชาวมีเดียนพ่อตาของโมเสสว่า “พวกเรากำลังออกเดินทางไปยังที่ที่พระผู้เป็นเจ้ากล่าวว่า ‘เราจะให้ที่ดินแก่เจ้าทั้งหลาย’ จงมากับเรา แล้วเราจะดีต่อท่าน เพราะพระผู้เป็นเจ้าได้สัญญาสิ่งดีๆ แก่อิสราเอล” 30 เขาพูดว่า “เราจะไม่ไป เราจะกลับไปยังดินแดนและหมู่ญาติพี่น้องของเรา” 31 แต่โมเสสพูดว่า “โปรดอย่าจากพวกเราไปเลย เพราะท่านทราบว่าพวกเราควรไปตั้งค่ายอย่างไรในถิ่นทุรกันดาร และท่านจะช่วยพวกเราได้มาก 32 และถ้าท่านไปกับเรา เราก็จะตอบแทนท่านเหมือนที่พระผู้เป็นเจ้ากระทำสิ่งดีๆ ให้แก่พวกเรา”
33 ดังนั้น พวกเขาจึงออกเดินทางจากภูเขาของพระผู้เป็นเจ้าไปเป็นเวลา 3 วัน หีบพันธสัญญาของพระผู้เป็นเจ้านำหน้าพวกเขาไปในช่วง 3 วันเพื่อหาที่ให้พวกเขาพัก 34 เมฆของพระผู้เป็นเจ้าอยู่เหนือพวกเขาในเวลากลางวัน เมื่อเขาออกเดินทางไปจากค่าย
35 เมื่อใดพวกเขาหามหีบออกเดินทาง โมเสสจะพูดว่า “โอ พระผู้เป็นเจ้า ลุกขึ้นเถิด ขอให้ศัตรูของพระองค์กระจัดกระจายไป ขอให้ข้าศึกของพระองค์เตลิดหนีไปต่อหน้าพระองค์” 36 เมื่อใดหีบหยุดพัก ท่านจะพูดว่า “ขอพระองค์กลับสู่ชาวอิสราเอลซึ่งมีจำนวนเป็นหมื่นเป็นแสน เกินกว่าจะนับได้ถ้วน”
เพลิงไฟจากพระผู้เป็นเจ้า
11 ประชาชนต่างพากันบ่นเรื่องความทุกข์ยาก จนเข้าหูพระผู้เป็นเจ้า เมื่อพระผู้เป็นเจ้าได้ยิน ความกริ้วของพระองค์ก็พลุ่งขึ้น เปลวเพลิงของพระผู้เป็นเจ้าจึงลุกไหม้ท่ามกลางพวกเขาและรอบนอกค่ายบางส่วนด้วย 2 ประชาชนร้องต่อโมเสส ท่านก็อธิษฐานต่อพระผู้เป็นเจ้า ไฟจึงมอดลง 3 สถานที่นั้นจึงเรียกว่า ทาเบราห์[d] เพราะเพลิงไฟของพระผู้เป็นเจ้าได้ลุกไหม้ท่ามกลางพวกเขา
นกกระทาที่ขิบโรทหัทธาอาวาห์
4 คนชาติอื่นในหมู่ชาวอิสราเอลนึกอยากจะกินอาหารบางชนิดเป็นอย่างยิ่ง ชาวอิสราเอลนั่งร่ำไห้อีก และพูดกันว่า “ใครจะให้เนื้อพวกเรากินได้บ้างนี่ 5 พวกเรายังจำได้ว่ามีปลาที่เคยกินในอียิปต์โดยไม่ต้องเสียเงิน อีกทั้งแตงกวา แตงโม ต้นหอมเทศ หัวหอม และกระเทียม 6 บัดนี้ชีวิตจิตใจของเราห่อเหี่ยว แต่ก็ไม่เห็นสิ่งใดนอกจากมานานี้เท่านั้น”[e]
7 มานาเป็นเหมือนเมล็ดผักชี และมีลักษณะคล้ายกับยางไม้หอม 8 ผู้คนเดินเก็บมานามาบดด้วยโม่หรือใส่ครกตำ ใส่หม้อต้มเพื่อทำเป็นขนม มีรสชาติเหมือนขนมอบกับน้ำมัน 9 ยามน้ำค้างลงในยามค่ำที่ค่าย มานาก็ตกลงมาพร้อมกับน้ำค้างนั้น
10 โมเสสได้ยินผู้คนของแต่ละครอบครัวยืนร่ำไห้อยู่ที่ทางเข้าประตูกระโจมของตนเอง พระผู้เป็นเจ้าโกรธกริ้วมาก และโมเสสเองก็เป็นทุกข์ 11 โมเสสพูดกับพระผู้เป็นเจ้าว่า “ทำไมพระองค์จึงทำให้ผู้รับใช้ของพระองค์ต้องลำบาก และทำไมข้าพเจ้าไม่เป็นที่โปรดปรานในสายตาของพระองค์ พระองค์จึงได้ให้ข้าพเจ้าแบกภาระของประชาชนทั้งหมดนี้ 12 ข้าพเจ้าตั้งครรภ์ผู้คนเหล่านี้มาหรือ ข้าพเจ้าให้พวกเขาเกิดมาในโลกนี้หรือ พระองค์จึงได้กล่าวกับข้าพเจ้าว่า ‘จงอุ้มเขาไว้แนบอกเหมือนผู้เลี้ยงอุ้มทารก และนำเขาเข้าไปในแผ่นดินที่พระองค์ปฏิญาณไว้กับบรรพบุรุษของพวกเขา’ 13 ข้าพเจ้าจะไปเอาเนื้อจากไหนมาให้คนเหล่านี้ได้ทั้งหมด พวกเขาร่ำไห้ต่อหน้าข้าพเจ้าและขอว่า ‘ขอให้พวกเราได้กินเนื้อเถิด’ 14 ข้าพเจ้าไม่สามารถดูแลประชาชนทั้งหมดตามลำพังได้ ภาระนี้หนักเกินไปสำหรับข้าพเจ้า 15 ถ้าพระองค์จะทำกับข้าพเจ้าเช่นนี้ ก็ฆ่าข้าพเจ้าให้ตายทันทีไปเสียเลย หากว่าข้าพเจ้าเป็นที่โปรดปรานของพระองค์ ข้าพเจ้าจะได้ไม่ต้องเห็นความน่าสมเพชของตัวเอง”
16 พระผู้เป็นเจ้ากล่าวกับโมเสสว่า “จงรวบรวมชาย 70 คนจากบรรดาหัวหน้าชั้นผู้ใหญ่ของอิสราเอลให้เรา เป็นคนที่เจ้ารู้ว่าเป็นผู้ใหญ่และเจ้าหน้าที่มีอำนาจเหนือประชาชน พาพวกเขามายังกระโจมที่นัดหมายและให้ยืนอยู่พร้อมกับเจ้าที่นั่น 17 แล้วเราจะลงมาพูดกับเจ้าที่นั่น เราจะให้พระวิญญาณที่อยู่บนตัวเจ้ามาอยู่บนตัวพวกเขาด้วย แล้วพวกเขาจะรับภาระของประชาชนไปพร้อมกันกับเจ้า เพื่อเจ้าจะไม่ต้องแบกตามลำพัง 18 จงบอกประชาชนว่า ‘ชำระตัวให้บริสุทธิ์สำหรับวันพรุ่งนี้ แล้วเจ้าจะได้เนื้อรับประทาน เพราะเราได้ยินพวกเจ้าร้องคร่ำครวญว่า “ใครจะให้เนื้อแก่พวกเรากิน พวกเราอยู่ดีกว่านี้ในอียิปต์” ฉะนั้นพระผู้เป็นเจ้าจะให้เนื้อแก่พวกท่าน แล้วพวกท่านก็จะได้รับประทาน 19 ท่านจะได้รับประทานไม่ใช่แค่วันเดียว หรือ 2 วัน 5 วัน 10 หรือ 20 วันเท่านั้น 20 แต่นานถึง 1 เดือนเต็มจนท่านเหม็นเบื่อเอือมระอา เพราะท่านไม่เชื่อฟังพระผู้เป็นเจ้าผู้อยู่ท่ามกลางพวกท่าน และพวกท่านยังมาร้องคร่ำครวญต่อหน้าพระองค์ว่า “ทำไมพวกเราจึงได้ออกมาจากอียิปต์”’” 21 แต่โมเสสพูดว่า “ข้าพเจ้าอยู่ท่ามกลางชายฉกรรจ์ 600,000 คน และพระองค์กล่าวว่า ‘เราจะให้เนื้อพวกเขากินได้นานถึง 1 เดือนเต็ม’ 22 มีฝูงแพะแกะและโคมากพอไว้ฆ่าสำหรับพวกเขาหรือ มีปลาในทะเลมากพอที่จะให้พวกเขาไหม” 23 และพระผู้เป็นเจ้ากล่าวกับโมเสสว่า “มือของพระผู้เป็นเจ้าสั้นเกินไปหรือ บัดนี้เจ้าจะเห็นว่าคำของเราจะเป็นจริงเพื่อเจ้าหรือไม่”
24 โมเสสออกไปบอกประชาชนว่าพระผู้เป็นเจ้ากล่าวว่าอย่างไร และรวบรวมบรรดาหัวหน้าชั้นผู้ใหญ่ของประชาชน 70 คนให้ยืนอยู่รอบกระโจม 25 พระผู้เป็นเจ้าลงมาในลักษณะของก้อนเมฆและกล่าวกับท่าน และให้พระวิญญาณที่อยู่บนตัวท่านมาอยู่บนตัวหัวหน้าชั้นผู้ใหญ่ 70 คนด้วย เมื่อพระวิญญาณสถิตบนพวกเขาแล้ว พวกเขาก็เผยคำกล่าวของพระเจ้า แต่หลังจากนั้นพวกเขาก็ไม่ได้เผยคำกล่าวอีกเลย
26 มีชาย 2 คนที่ยังอยู่ในค่าย คนหนึ่งชื่อเอลดาด อีกคนชื่อเมดาด และพระวิญญาณอยู่บนตัวเขาทั้งสองซึ่งมีชื่อบันทึกอยู่ในบรรดาผู้นำ แต่ยังไม่ได้ออกไปที่กระโจม ฉะนั้นเขาเผยคำกล่าวของพระเจ้าในค่าย 27 มีชายหนุ่มคนหนึ่งวิ่งมาบอกโมเสสว่า “เอลดาดและเมดาดกำลังเผยคำกล่าวของพระเจ้าในค่าย”
28 และโยชูวาบุตรของนูนรับใช้โมเสสตั้งแต่หนุ่มพูดว่า “โมเสส นายท่านห้าม 2 คนนั้นเถิด” 29 แต่โมเสสตอบว่า “ท่านอิจฉาแทนเราหรือ เราปรารถนาให้ชนชาติของพระผู้เป็นเจ้าเป็นผู้เผยคำกล่าวของพระเจ้า แล้วพระผู้เป็นเจ้าจะให้พระวิญญาณของพระองค์อยู่บนตัวเขาทุกคน” 30 โมเสสและบรรดาหัวหน้าชั้นผู้ใหญ่ของอิสราเอลก็กลับค่ายไป
31 ครั้นแล้วก็มีลมพัดมาจากพระผู้เป็นเจ้านำนกกระทามาจากทะเล บินลงมาอาศัยอยู่รอบค่ายในระยะห่างเท่ากับเดินไปได้ 1 วัน และสูงจากพื้นดินประมาณ 2 ศอก 32 ผู้คนพากันลุกขึ้นจับนกกระทาในวันนั้นตลอดวันตลอดคืนและตลอดในวันรุ่งขึ้นด้วย คนที่จับได้น้อยที่สุดได้ 10 โฮเมอร์[f] แล้วเขาก็ตากเนื้อมันไว้ที่รอบค่าย 33 แต่ขณะที่เศษเนื้อยังติดอยู่ที่ฟันและยังเคี้ยวไม่หมดเสียด้วยซ้ำ พระผู้เป็นเจ้ากริ้วผู้คนเหล่านั้นมาก พระผู้เป็นเจ้าจึงทำให้พวกเขาเป็นโรคระบาดร้ายแรง 34 ฉะนั้นจึงเรียกสถานที่นั้นว่า ขิบโรทหัทธาอาวาห์ เพราะเป็นสถานที่ฝังบรรดาผู้มีความตะกละอย่างยิ่ง 35 ประชาชนออกเดินทางจากขิบโรทหัทธาอาวาห์ไปยังฮาเซโรท แล้วพวกเขาก็หยุดพักอยู่ที่นั่น
มิเรียมและอาโรนพูดประท้วงโมเสส
12 มิเรียมและอาโรนกล่าวแย้งโมเสสด้วยสาเหตุมาจากหญิงชาวคูชที่โมเสสแต่งงานด้วย เพราะท่านได้แต่งกับหญิงชาวคูช 2 เขาทั้งสองพูดว่า “พระผู้เป็นเจ้ากล่าวผ่านโมเสสเท่านั้นหรือ พระองค์ไม่ได้กล่าวผ่านเราด้วยหรือ” แล้วพระผู้เป็นเจ้าก็ได้ยิน 3 โมเสสผู้นี้เป็นคนถ่อมตัวมาก มากกว่ามนุษย์คนใดในโลก 4 ในทันใดนั้น พระผู้เป็นเจ้ากล่าวกับโมเสส อาโรน และมิเรียมว่า “เจ้าทั้งสามจงออกมายังกระโจมที่นัดหมาย” ทั้งสามก็ได้ออกมา 5 พระผู้เป็นเจ้าลงมาในลักษณะของเมฆก้อนมหึมาดั่งเสาหลัก และหยุดที่ประตูกระโจม พระองค์เรียกอาโรนและมิเรียม ทั้งสองก็ก้าวไปข้างหน้า 6 พระองค์กล่าวว่า
“จงฟังคำพูดของเรา
หากว่ามีผู้เผยคำกล่าวของพระเจ้าในหมู่พวกเจ้า
เราคือพระผู้เป็นเจ้า ซึ่งจะแสดงตัวให้เขารู้ในภาพนิมิต
เราจะพูดกับเขาในฝัน
7 แต่กับโมเสสผู้รับใช้ของเราไม่ได้เป็นอย่างนั้น
เขามีความภักดีในทุกสิ่งที่เกี่ยวกับตำหนักของเรา[g]
8 เราพูดกับเขาต่อหน้าอย่างแจ่มแจ้ง
ไม่มีคำปริศนา
เขาได้เห็นรูปลักษณ์ของพระผู้เป็นเจ้า
แล้วทำไมเจ้าถึงไม่กลัว
แต่กลับพูดต่อต้านโมเสสผู้รับใช้ของเรา”
9 พระผู้เป็นเจ้ากริ้วเขาทั้งสองมาก และได้จากไป
10 เมื่อก้อนเมฆลอยเคลื่อนไปจากกระโจม ดูเถิด มิเรียมเป็นโรคเรื้อนขาวราวหิมะ อาโรนหันไปทางมิเรียม และดูเถิด นางเป็นโรคเรื้อน 11 อาโรนพูดกับโมเสสว่า “โอ นายท่าน อย่าลงโทษเราสองคนเลย เป็นเพราะเราโง่เขลาและกระทำบาป 12 อย่าให้นางเป็นเหมือนคนตายแล้ว เหมือนกับเด็กที่เพิ่งออกมาจากครรภ์มารดา และมีเนื้อหนังที่เปื่อยเน่าไปครึ่งตัว” 13 โมเสสจึงร้องบอกพระผู้เป็นเจ้าว่า “โอ พระเจ้า โปรดรักษานางให้หายเถิด ข้าพเจ้าขอร้อง” 14 แต่พระผู้เป็นเจ้ากล่าวตอบโมเสสว่า “ถ้าพ่อของนางถ่มน้ำลายรดหน้านาง แล้วนางจะไม่อับอายไป 7 วันหรือ ปล่อยให้นางอยู่ที่นอกค่าย 7 วัน หลังจากนั้นค่อยพานางเข้ามาได้” 15 ดังนั้นมิเรียมจึงถูกกักอยู่นอกค่าย 7 วัน ประชาชนไม่ได้ออกเดินทางจนกระทั่งมีคนพามิเรียมกลับเข้ามาอีกครั้ง 16 หลังจากนั้นประชาชนจึงออกเดินทางจากฮาเซโรท และไปตั้งค่ายในถิ่นทุรกันดารปาราน
สอดแนมคานาอัน
13 พระผู้เป็นเจ้ากล่าวกับโมเสสว่า 2 “จงให้พวกผู้ชายไปสอดแนมดินแดนคานาอันที่เรามอบให้แก่ชาวอิสราเอล จงส่งหัวหน้าเผ่าเป็นผู้แทนของบรรพบุรุษแต่ละเผ่าออกไป” 3 โมเสสจึงส่งพวกเขาออกไปจากถิ่นทุรกันดารปารานตามคำบัญชาของพระผู้เป็นเจ้า ทุกๆ คนเป็นหัวหน้าของชาวอิสราเอล 4 มีรายชื่อตามนี้คือ ชัมมูอาบุตรศัคเคอร์จากเผ่ารูเบน 5 ชาฟัทบุตรโฮรีจากเผ่าสิเมโอน 6 คาเลบบุตรเยฟุนเนห์จากเผ่ายูดาห์ 7 อิกาลบุตรโยเซฟจากเผ่าอิสสาคาร์ 8 โฮเชยาบุตรนูนจากเผ่าเอฟราอิม 9 ปัลทีบุตรราฟูจากเผ่าเบนยามิน 10 กัดเดียลบุตรโสดีจากเผ่าเศบูลุน 11 กัดดีบุตรสุสีจากเผ่ามนัสเสห์ (เผ่าของโยเซฟ) 12 อัมมีเอลบุตรเกมัลลีจากเผ่าดาน 13 เสธูร์บุตรมีคาเอลจากเผ่าอาเชอร์ 14 นาบีบุตรโวฟสีจากเผ่านัฟทาลี 15 เกอูเอลบุตรมาคีจากเผ่ากาด 16 นี่คือรายชื่อของบรรดาชายที่โมเสสส่งให้ไปสอดแนมดินแดนนั้น และโมเสสเรียกชื่อโฮเชยาบุตรของนูนว่า โยชูวา
17 โมเสสให้เขาเหล่านี้ไปสอดแนมดินแดนคานาอัน และบอกว่า “จงขึ้นไปในเนเกบและเข้าไปในแถบภูเขา 18 และไปดูว่าดินแดนนั้นเป็นอย่างไร ประชาชนที่อาศัยอยู่เข้มแข็งหรืออ่อนแอ มีจำนวนมากหรือน้อย 19 ดินแดนที่พวกเขาอาศัยอยู่ดีหรือไม่ดี เมืองของเขาเป็นอย่างไร เป็นเพียงค่ายหรือเป็นเมืองที่มีการคุ้มกันอย่างแข็งแกร่ง 20 ดินแดนนั้นอุดมสมบูรณ์ไหม มีต้นไม้บ้างหรือไม่ จงกล้าหาญและนำผลไม้จากดินแดนนั้นกลับมาบ้าง” เวลานั้นเป็นฤดูผลองุ่นแรกสุก
21 ดังนั้น พวกเขาจึงขึ้นไปสอดแนมดินแดนตั้งแต่ถิ่นทุรกันดารศินจนถึงเรโหบซึ่งใกล้เลโบฮามัท 22 พวกเขาขึ้นไปในเนเกบ ไปถึงเฮโบรนซึ่งอาหิมาน เชชัย และทัลมัยบรรดาบุตรของชาวอานาคอาศัยอยู่ เมืองเฮโบรนนี้ถูกสร้างขึ้น 7 ปีก่อนโศอันในอียิปต์ 23 พวกเขามาถึงลุ่มน้ำเอชโคล์ และได้ตัดกิ่งองุ่นมีลูกติดอยู่ 1 พวงจากที่นั่น ใช้ 2 คนหามด้วยไม้คาน และนำทับทิมและมะเดื่อมาด้วย 24 เขาเรียกที่นั่นว่า ลุ่มน้ำเอชโคล์เพราะพวงองุ่นที่ชาวอิสราเอลตัดมาจากที่นั่น
รายงานจากการสอดแนม
25 หลังจากที่สอดแนมดินแดนนั้นได้ 40 วัน พวกเขาก็กลับมา 26 พวกเขาไปหาโมเสส อาโรน และชาวอิสราเอลทั้งมวลในถิ่นทุรกันดารปารานที่คาเดช รายงานให้เขาทั้งปวงทราบ และให้ดูผลไม้ที่มาจากดินแดนนั้น 27 พวกเขาบอกโมเสสว่า “พวกเราไปยังดินแดนที่ท่านให้เราไป ดินแดนอันอุดมด้วยน้ำนมและน้ำผึ้ง และนี่เป็นผลไม้ของดินแดนนั้น 28 อย่างไรก็ดีประชาชนที่อาศัยอยู่ในดินแดนก็มีกำลังมาก เมืองต่างๆ มีขนาดใหญ่มากและได้รับการคุ้มกันอย่างแข็งแกร่ง พวกเราเห็นลูกหลานของชาวอานาคที่นั่นด้วย 29 ชาวอามาเลขอยู่ในดินแดนเนเกบ ชาวฮิต ชาวเยบุส และชาวอาโมร์อาศัยอยู่ในแถบภูเขา และชาวคานาอันอยู่ใกล้ทะเลและตามฝั่งแม่น้ำจอร์แดน”
30 ครั้นแล้วคาเลบขอให้ประชาชนเงียบเสียงและพูดต่อหน้าโมเสสว่า “พวกเราควรขึ้นไปทันที และไปครอบครองดินแดนนั้นกันเถิด เพราะพวกเราตีได้แน่” 31 แต่พวกผู้ชายที่ได้ขึ้นไปกับเขาพูดว่า “พวกเราไม่สามารถขึ้นไปต่อสู้ประชาชนพวกนั้นได้ เพราะเขาแข็งแรงกว่าเรา” 32 แล้วพวกเขาก็ให้รายงานเรื่องสอดแนมของดินแดนนั้นเป็นเรื่องร้ายๆ ว่า “ดินแดนที่พวกเราออกเดินทางไปทั่วเพื่อสอดแนมนั้นเป็นดินแดนที่กินเลือดกินเนื้อของผู้อาศัย และประชาชนทุกคนที่เราเห็นก็มีรูปร่างสูงใหญ่ 33 พวกเราเห็นชาวเนฟิลที่นั่น (ลูกหลานของอานาคมาจากชาวเนฟิล) ในสายตาของพวกเรา เราเป็นเหมือนตั๊กแตน และก็เป็นเช่นนั้นในสายตาของพวกเขาด้วย”
14 แล้วมวลชนก็ส่งเสียงร้องลั่นและประชาชนร้องไห้เสียงดังในคืนวันนั้น 2 และชาวอิสราเอลร่ำรำพันต่อโมเสสและอาโรน และมวลชนพูดกับท่านทั้งสองว่า “พวกเราน่าจะตายกันไปแล้วที่อียิปต์หรือในถิ่นทุรกันดาร 3 ทำไมพระผู้เป็นเจ้าจึงจะนำพวกเราเข้าไปในดินแดนนี้เพื่อให้ตายด้วยคมดาบ ภรรยาและลูกๆ ของพวกเราจะกลายเป็นเหยื่อ มันไม่ดีกว่าหรือถ้าเรากลับไปที่อียิปต์” 4 พวกเขาพูดต่อๆ กันไปว่า “เรามาเลือกผู้นำคนหนึ่งและกลับไปที่อียิปต์กันเถิด”
5 โมเสสกับอาโรนก็ซบหน้าลงกับพื้นต่อหน้ามวลชนชาวอิสราเอลทั้งปวง 6 โยชูวาบุตรของนูนกับคาเลบบุตรเยฟุนเนห์เป็นสองคนที่ร่วมไปสอดแนมดินแดนนั้นด้วยจึงฉีกเสื้อผ้าของตน 7 และพูดกับมวลชนชาวอิสราเอลทั้งปวงว่า “ดินแดนที่เราเห็นจากการสำรวจเป็นดินแดนที่ดีเหลือเกิน 8 ถ้าพระผู้เป็นเจ้าโปรดปรานพวกเรา พระองค์จะนำพวกเราเข้าสู่ดินแดนนี้ และจะมอบดินแดนอันอุดมด้วยน้ำนมและน้ำผึ้งให้แก่เรา 9 แต่อย่าขัดขืนพระผู้เป็นเจ้า และอย่ากลัวประชาชนของดินแดนนั้น เพราะเขาเป็นเสมือนอาหารของเราและไม่มีที่คุ้มกันอีกแล้ว แต่พระผู้เป็นเจ้าสถิตกับพวกเรา อย่ากลัวพวกเขาเลย” 10 แต่มวลชนทั้งปวงบอกให้ใช้หินขว้างพวกเขา ครั้นแล้วพระบารมีของพระผู้เป็นเจ้าก็ปรากฏที่กระโจมที่นัดหมายให้ชาวอิสราเอลเห็น
11 และพระผู้เป็นเจ้ากล่าวกับโมเสสว่า “ประชาชนพวกนี้จะดูหมิ่นเราอีกนานแค่ไหน และเขาจะไม่เชื่อในตัวเรานานแค่ไหนทั้งๆ ที่เราได้แสดงปรากฏการณ์อัศจรรย์ทั้งหลายท่ามกลางพวกเขา 12 เราจะให้โรคระบาดเกิดกับพวกเขาและกำจัดเสียให้สิ้น แล้วเราจะให้ประชาชาติหนึ่งที่ยิ่งใหญ่กว่าและเข้มแข็งกว่าพวกเขาเกิดขึ้นมาจากตัวเจ้า”
13 แต่โมเสสพูดกับพระผู้เป็นเจ้าว่า “ถ้าเช่นนั้นชาวอียิปต์ก็จะรู้เรื่องนี้ พระองค์ได้นำประชาชนพวกนี้ออกมาจากพวกเขาด้วยอานุภาพของพระองค์ 14 แล้วพวกเขาจะบอกกับผู้อยู่อาศัยในดินแดนนี้ว่าเขาได้ยินมาว่า โอ พระผู้เป็นเจ้า พระองค์อยู่ท่ามกลางชนชาตินี้ โอ พระผู้เป็นเจ้า ด้วยว่า พระองค์ได้ปรากฏให้เขาเห็น เมฆของพระองค์อยู่เหนือพวกเขา และพระองค์ออกนำทางล่วงหน้าพวกเขาในตอนกลางวันในลักษณะของเมฆก้อนมหึมาดั่งเสาหลัก และในตอนกลางคืนในลักษณะกลุ่มเพลิงขนาดมหึมาดั่งเสาหลัก 15 มาบัดนี้ถ้าพระองค์ฆ่าชนชาตินี้ประหนึ่งฆ่าเพียงคนเดียว บรรดาประชาชาติที่ได้ยินเรื่องของพระองค์ก็จะพูดกันว่า 16 ‘เพราะพระผู้เป็นเจ้าไม่สามารถนำชนชาตินี้เข้าไปยังดินแดนที่พระองค์ปฏิญาณว่าจะมอบให้แก่พวกเขา ดังนั้นพระองค์จึงได้ฆ่าพวกเขาในถิ่นทุรกันดาร’[h] 17 บัดนี้ ข้าพเจ้าขอร้อง โปรดแสดงอานุภาพของพระผู้เป็นเจ้าให้ยิ่งใหญ่เถิด ตามที่พระองค์กล่าวไว้ว่า 18 ‘พระผู้เป็นเจ้าไม่โกรธง่าย เปี่ยมด้วยความรักอันมั่นคง ให้อภัยบาปและการล่วงละเมิด แต่ก็ไม่ปล่อยให้ผู้กระทำผิดรอดตัวไปได้ พระองค์จะทำให้บาปของบิดาตกทอดถึงบุตรของเขาไปจนถึง 3 และ 4 ชั่วอายุคน’[i] 19 ขอพระองค์โปรดให้อภัยบาปของประชาชนพวกนี้ตามความรักอันมั่นคงยิ่งของพระองค์เถิด และเป็นเพราะพระองค์ได้ยกโทษพวกเขาแล้วตั้งแต่ครั้งที่อยู่ในอียิปต์มาจนบัดนี้”
20 พระผู้เป็นเจ้ากล่าวว่า “เราได้ให้อภัยตามที่เจ้าขอ 21 แต่อย่างไรก็ดี ตราบที่เรามีชีวิตอยู่ และตราบที่ทั่วแผ่นดินโลกจะเต็มด้วยบารมีของพระผู้เป็นเจ้า 22 ชายคนใดที่เคยเห็นบารมีและปรากฏการณ์อัศจรรย์ที่เรากระทำในอียิปต์และในถิ่นทุรกันดาร แต่เขาก็ยังลองดีกับเราถึง 10 ครั้งและไม่ได้ฟังเสียงของเรา 23 เขาเหล่านั้นก็จะไม่ได้เห็นดินแดนที่เราได้ปฏิญาณว่าจะมอบให้แก่บรรพบุรุษของเขา และใครก็ตามดูหมิ่นเราก็จะไม่ได้เห็นด้วยเช่นกัน 24 แต่เพราะคาเลบผู้รับใช้ของเรามีจิตวิญญาณต่างกัน และเขาได้ตามเราอย่างจริงใจ เราก็จะนำเขาเข้าไปในดินแดนที่เขาเข้าไปมาแล้ว และบรรดาผู้สืบเชื้อสายของเขาจะได้ยึดครองดินแดนนั้น 25 ในเมื่อชาวอามาเลขและชาวคานาอันอาศัยอยู่ในหุบเขา พรุ่งนี้จงออกเดินทางกลับไปยังถิ่นทุรกันดารตามทางที่ไปทะเลแดง”
26 และพระผู้เป็นเจ้ากล่าวกับโมเสสและอาโรนว่า 27 “เราจะต้องทนต่อมวลชนชั่วร้ายที่พร่ำบ่นต่อว่าต่อขานเราไปนานแค่ไหน เราได้ยินชาวอิสราเอลบ่นพึมพำต่อว่าเราแล้ว 28 จงบอกพวกเขาว่า พระผู้เป็นเจ้าประกาศว่า ‘ตราบที่เรามีชีวิตอยู่ อะไรที่เจ้าพูดให้เราได้ยิน เราก็จะกระทำต่อเจ้าตามนั้น 29 ศพของพวกเจ้าจะถูกทิ้งไว้ในถิ่นทุรกันดาร ทุกคนที่นับไว้ในทะเบียนที่มีอายุ 20 ปีขึ้นไปและบ่นพึมพำต่อว่าเรา 30 จะไม่มีสักคนที่จะได้ก้าวเข้าไปในดินแดนที่เราได้ยกมือปฏิญาณให้เจ้าอาศัยอยู่ ยกเว้นคาเลบบุตรเยฟุนเนห์และโยชูวาบุตรของนูน 31 ส่วนลูกๆ ของเจ้าที่บอกว่าจะกลายเป็นเหยื่อนั้น เราจะนำพวกเขาเข้าไป และเขาจะรู้จักดินแดนที่พวกเจ้าดูหมิ่น 32 สำหรับพวกเจ้า ศพก็จะถูกทิ้งไว้ในถิ่นทุรกันดารนี้ 33 ลูกหลานของพวกเจ้าจะเป็นผู้เลี้ยงดูฝูงแกะในถิ่นทุรกันดารเป็นเวลา 40 ปี และพวกเจ้าจะได้รับความทุกข์ทรมานเพราะความไม่เชื่อ จนกระทั่งคนสุดท้ายของพวกเจ้าจะทอดร่างนอนตายในถิ่นทุรกันดาร 34 พวกเจ้าจะได้รับความทุกข์ทรมานเนื่องจากบาปของเจ้าเป็นเวลา 40 ปีตามจำนวน 40 วันที่เจ้าได้สอดแนมดินแดนนั้น คือ 1 ปีต่อ 1 วัน แล้วพวกเจ้าจะรู้ว่าเราไม่พอใจเพียงไร 35 เราคือพระผู้เป็นเจ้าได้ลั่นคำพูดไปแล้ว เราจะกระทำตามนี้ต่อมวลชนชั่วร้ายทั้งปวงที่มาชุมนุมร่วมกันต่อว่าเรา พวกเขาจะมาถึงจุดจบในถิ่นทุรกันดารแห่งนี้ และจะตายกันที่นั่น’”
36 ดังนั้น บรรดาชายที่โมเสสส่งไปสอดแนมดินแดนและกลับมาทำให้มวลชนทั้งปวงบ่นพึมพำต่อว่าโมเสสโดยรายงานว่าดินแดนนั้นเลวร้าย 37 บรรดาชายที่รายงานเป็นเรื่องร้ายๆ เกี่ยวกับดินแดนก็ตายด้วยโรคระบาดต่อหน้าพระผู้เป็นเจ้า 38 แต่โยชูวาบุตรของนูนและคาเลบบุตรเยฟุนเนห์ซึ่งได้ไปสอดแนมดินแดนด้วยนั้นยังมีชีวิตอยู่
39 เมื่อโมเสสบอกเรื่องดังกล่าวแก่ชาวอิสราเอลทั้งปวง พวกเขาก็ร้องคร่ำครวญเป็นอย่างมาก 40 ครั้นถึงรุ่งเช้าเมื่อพวกเขาลุกขึ้น โดยขึ้นไปยังแถบภูเขาสูงและพูดว่า “ดูเถิด เราจะขึ้นไปยังสถานที่ที่พระผู้เป็นเจ้าสัญญาไว้ เพราะพวกเราได้ทำผิดไปแล้ว” 41 แต่โมเสสพูดว่า “ทำไมพวกท่านจึงฝืนต่อคำกล่าวของพระผู้เป็นเจ้า สิ่งที่ท่านทำจะไม่บังเกิดผลสำเร็จ 42 อย่าขึ้นไปเลย ด้วยเกรงว่าท่านจะตายต่อหน้าศัตรู เพราะพระผู้เป็นเจ้าไม่ได้อยู่กับท่าน 43 ในที่นั้นชาวอามาเลขและชาวคานาอันรอเผชิญท่านอยู่ และท่านจะต้องตายด้วยคมดาบ เพราะพวกท่านหันหลังให้พระผู้เป็นเจ้า พระผู้เป็นเจ้าจะไม่อยู่กับท่าน” 44 ถึงกระนั้นพวกเขาก็ยังฝืนขึ้นไปยังแถบภูเขาสูง แม้ว่าหีบพันธสัญญาแห่งพระผู้เป็นเจ้าและโมเสสไม่ได้ออกจากค่าย 45 แล้วชาวอามาเลขและชาวคานาอันที่อาศัยอยู่ในแถบภูเขาจึงลงมาโจมตีพวกเขาและไล่โจมตีอย่างไม่ลดละจนถึงโฮร์มาห์
เครื่องสักการะเพิ่มเติม
15 พระผู้เป็นเจ้ากล่าวกับโมเสสว่า 2 “จงบอกชาวอิสราเอลว่า ‘เมื่อพวกเจ้าก้าวเข้าไปยังดินแดนที่เราจะมอบให้แก่เจ้าเพื่ออาศัยอยู่ 3 และเมื่อพวกเจ้ามอบของถวายด้วยไฟจากฝูงโคหรือแพะแกะซึ่งจะส่งกลิ่นหอมเป็นที่พอใจสำหรับพระผู้เป็นเจ้า ไม่ว่าจะเป็นสัตว์ที่ใช้เผาเป็นของถวาย หรือเครื่องสักการะเนื่องมาจากคำสาบานหรือจากความสมัครใจ 4 ก็จงให้คนที่นำของถวายมานั้นมอบเครื่องธัญญบูชาคือ แป้งสาลีชั้นเยี่ยมหนึ่งส่วนสิบเอฟาห์ผสมกับน้ำมันหนึ่งส่วนสี่ฮิน[j] 5 จงเตรียมเหล้าองุ่นหนึ่งส่วนสี่ฮินสำหรับเครื่องดื่มบูชาพร้อมกับลูกแกะซึ่งเป็นสัตว์ที่ใช้เผาเป็นของถวายหรือเป็นเครื่องสักการะ 6 จงเตรียมเครื่องธัญญบูชาคือ แป้งสาลีชั้นเยี่ยมหนึ่งส่วนห้าเอฟาห์ผสมกับน้ำมันหนึ่งส่วนสามฮินพร้อมกับแกะตัวผู้ 7 กับเหล้าองุ่นหนึ่งส่วนสามฮินเป็นเครื่องดื่มบูชา เป็นของถวายที่ส่งกลิ่นหอมเป็นที่พอใจสำหรับพระผู้เป็นเจ้า 8 เมื่อเจ้าเตรียมโคหนุ่มเพื่อเป็นสัตว์ที่ใช้เผาเป็นของถวายหรือเครื่องสักการะ เนื่องมาจากคำสาบานหรือของถวายเพื่อสามัคคีธรรมแด่พระผู้เป็นเจ้า 9 ก็จงนำเครื่องธัญญบูชาแป้งสาลีชั้นเยี่ยมสามส่วนสิบเอฟาห์ผสมกับน้ำมันครึ่งฮินพร้อมกับโคหนุ่ม 10 จงนำเหล้าองุ่นครึ่งฮินสำหรับเครื่องดื่มบูชามาด้วยเพื่อเป็นของถวายด้วยไฟส่งกลิ่นหอมเป็นที่พอใจสำหรับพระผู้เป็นเจ้า
11 โคหรือแกะตัวผู้ 1 ตัว ลูกแกะหรือแพะหนุ่มแต่ละตัวจะต้องตระเตรียมไปตามนี้ 12 จงกระทำตามนี้กับสัตว์แต่ละตัว ตามจำนวนเท่าที่มี 13 ชาวอิสราเอลโดยกำเนิดทุกคนต้องกระทำในสิ่งที่ว่ามานี้ เมื่อเขานำของถวายด้วยไฟส่งกลิ่นหอมเป็นที่พอใจสำหรับพระผู้เป็นเจ้า 14 เมื่อใดที่คนต่างด้าวที่อาศัยอยู่กับเจ้าหรือผู้ที่ตั้งรกรากอยู่ท่ามกลางพวกเจ้า ต้องการมอบของถวายด้วยไฟส่งกลิ่นหอมเป็นที่พอใจสำหรับพระผู้เป็นเจ้า เขาจะต้องปฏิบัติเหมือนกับเจ้า 15 มวลชนจะต้องถือกฎเดียวกัน ทั้งพวกเจ้าและคนต่างด้าวที่อาศัยอยู่ท่ามกลางพวกเจ้า จงถือเป็นกฎเกณฑ์ของทุกชาติพันธุ์ของพวกเจ้าไปตลอดกาล พวกเจ้าเป็นอย่างไรต่อหน้าพระผู้เป็นเจ้า คนต่างด้าวก็เป็นอย่างนั้นเช่นกัน 16 จะมีกฎบัญญัติและกฎเกณฑ์เดียวกันสำหรับพวกเจ้าและคนต่างด้าวที่อาศัยอยู่ท่ามกลางพวกเจ้า’”
17 พระผู้เป็นเจ้ากล่าวกับโมเสสว่า 18 “จงบอกชาวอิสราเอลว่า ‘เมื่อพวกเจ้าไปถึงดินแดนที่เราพาไป 19 และเมื่อพวกเจ้ารับประทานอาหารที่ได้จากแผ่นดินนั้น เจ้าก็จงถวายเครื่องสักการะแด่พระผู้เป็นเจ้า 20 จงถวายขนมก้อนหนึ่งอบจากแป้งรุ่นแรกเป็นเครื่องสักการะที่ได้จากลานนวดข้าว 21 พวกเจ้าจงมอบเครื่องสักการะนี้ที่อบจากแป้งรุ่นแรกแด่พระผู้เป็นเจ้าไปจนทุกชาติพันธุ์ของเจ้า
22 แต่ถ้าเจ้ากระทำบาปโดยไม่มีเจตนา และไม่รักษาพระบัญญัตินี้ที่พระผู้เป็นเจ้ามอบแก่โมเสส 23 ทุกสิ่งที่พระผู้เป็นเจ้าได้บัญญัติแก่พวกเจ้าโดยผ่านโมเสสนับจากวันที่พระผู้เป็นเจ้าบัญญัติไว้ไปจนทุกชาติพันธุ์ของเจ้า 24 และถ้าเป็นการกระทำโดยที่ไม่มีเจตนา และพ้นจากสายตาของมวลชน มวลชนทั้งปวงจะต้องมอบโคหนุ่ม 1 ตัวเป็นสัตว์ที่ใช้เผาเป็นของถวายซึ่งจะส่งกลิ่นหอมเป็นที่พอใจสำหรับพระผู้เป็นเจ้า พร้อมกับเครื่องธัญญบูชาและเครื่องดื่มบูชาตามคำบัญชา และแพะตัวผู้ 1 ตัวสำหรับเครื่องสักการะเพื่อลบล้างบาป 25 ปุโรหิตจะทำพิธีชดใช้บาปให้แก่ชาวอิสราเอลทั้งมวล และพวกเขาจะได้รับการยกโทษในความผิดพลาด และได้นำเครื่องสักการะมามอบ เป็นเครื่องสักการะถวายด้วยไฟแด่พระผู้เป็นเจ้าและเครื่องสักการะเพื่อลบล้างบาป ณ เบื้องหน้าพระผู้เป็นเจ้าสำหรับความผิดพลาดของพวกเขา 26 แล้วชาวอิสราเอลทั้งมวลจะได้รับการยกโทษรวมถึงชาวต่างด้าวที่อยู่ในหมู่พวกเขา เพราะประชาชนทั้งปวงล้วนเกี่ยวข้องกับความผิดพลาดดังกล่าวด้วย
27 ถ้าคนๆ เดียวกระทำบาปโดยไม่มีเจตนา เขาจะต้องมอบแพะตัวเมียอายุ 1 ปีเป็นเครื่องสักการะเพื่อลบล้างบาป 28 ปุโรหิตจะทำพิธีชดใช้บาป ณ เบื้องหน้าพระผู้เป็นเจ้าให้คนที่กระทำผิดพลาดเมื่อเขากระทำบาปโดยไม่มีเจตนา เพื่อทำพิธีชดใช้บาปให้เขา และเขาจะได้รับการยกโทษ 29 จะต้องมีเพียงกฎเดียวสำหรับคนที่กระทำสิ่งใดโดยไม่มีเจตนา ไม่ว่าจะเป็นชาวอิสราเอลโดยกำเนิดหรือเป็นชาวต่างด้าวที่อาศัยอยู่ในหมู่พวกเขาก็ตาม 30 หากผู้ใดแสดงความดื้อกระด้าง ไม่ว่าจะเป็นชาวต่างแดนหรือชาวอิสราเอลโดยกำเนิด ถือว่าผู้นั้นหมิ่นประมาทพระผู้เป็นเจ้า และจะต้องถูกตัดขาดจากชนชาติของเขา 31 เพราะเขาดูหมิ่นคำกล่าวของพระผู้เป็นเจ้า และฝ่าฝืนคำบัญชาของพระองค์ ผู้นั้นจะถูกตัดขาดและจะต้องได้รับโทษ’”
เก็บฟืนในวันสะบาโต
32 ขณะที่ชาวอิสราเอลอยู่ในถิ่นทุรกันดาร พวกเขาพบว่าชายคนหนึ่งกำลังเก็บฟืนในวันสะบาโต 33 พวกที่พบเขาก็พาเขามาหาโมเสส อาโรนและมวลชนทั้งปวง 34 และกักตัวเขาไว้ก่อน เพราะไม่รู้ว่าจะต้องทำอย่างไรกับเขา 35 พระผู้เป็นเจ้ากล่าวกับโมเสสว่า “ชายคนนั้นจะต้องรับโทษถึงตาย มวลชนทั้งปวงจึงใช้ก้อนหินขว้างเขาที่นอกค่าย” 36 ครั้นแล้วมวลชนทั้งปวงก็พาเขาออกไปนอกค่ายและใช้หินขว้างเขาจนตายตามที่พระผู้เป็นเจ้าบัญชาโมเสส
ติดพู่บนเครื่องนุ่งห่ม
37 พระผู้เป็นเจ้ากล่าวกับโมเสสว่า 38 “จงบอกชาวอิสราเอลว่า ‘เจ้าจงทำพู่ห้อยที่ชายเสื้อตลอดทุกชาติพันธุ์ ให้เอาด้ายสีน้ำเงินติดพู่ที่ชายเสื้อทุกมุม 39 เพื่อให้พวกเจ้ามองดูและระลึกถึงคำบัญญัติทั้งสิ้นของพระผู้เป็นเจ้า ให้ปฏิบัติตามและไม่กระทำตามสิ่งล่อตาล่อใจที่เจ้ามักจะโอนเอียงไปเยี่ยงโสเภณี 40 ฉะนั้นพวกเจ้าจงระลึกถึงและปฏิบัติตามคำบัญญัติของเรา และจงเป็นผู้บริสุทธิ์สำหรับพระเจ้าของเจ้า 41 เราคือพระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของเจ้า เรานำพวกเจ้าออกมาจากแผ่นดินอียิปต์เพื่อเป็นพระเจ้าของเจ้า เราคือพระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของเจ้า’”
การขัดขืนของโคราห์ ดาธาน และอาบีรัม
16 โคราห์บุตรอิสฮาร์ ผู้เป็นบุตรโคฮาท ผู้เป็นบุตรเลวี ดาธานและอะบีรามบุตรของเอลีอับ (โอนบุตรเปเลท) และบรรดาบุตรรูเบน ทุกคนต่างก็บุ่มบ่าม 2 และพากันมาประท้วงโมเสส พวกเขามาพร้อมกับชาวอิสราเอล 250 คนซึ่งเป็นหัวหน้าของมวลชนที่คัดเลือกมาจากคณะประชุมและเป็นที่รู้จักดี 3 พวกเขามาประชุมร่วมกันเพื่อประท้วงโมเสสและอาโรน โดยกล่าวกับท่านทั้งสองว่า “พวกท่านกระทำเกินเหตุแล้ว เพราะมวลชนทั้งปวงบริสุทธิ์ ไม่เว้นแม้คนเดียว และพระผู้เป็นเจ้าอยู่ท่ามกลางพวกเขา แล้วทำไมท่านยกตัวเองเหนือคณะประชุมของพระผู้เป็นเจ้า” 4 ครั้นโมเสสได้ยินก็ซบหน้าลงกับพื้น 5 และท่านพูดกับโคราห์และพวกของเขาว่า “ตอนรุ่งเช้าพระผู้เป็นเจ้าจะแสดงว่าใครเป็นของพระองค์และใครบริสุทธิ์ และพระองค์จะให้คนนั้นเข้ามาใกล้พระองค์ พระองค์จะให้คนที่พระองค์เลือกเป็นผู้มาใกล้พระองค์[k] 6 โคราห์และพรรคพวกจงกระทำอย่างนี้คือ จงเอากระถางไฟของตนมา 7 ตักถ่านที่ลุกแดงใส่กระถางและวางเครื่องหอมไว้บนถ่าน ณ เบื้องหน้าพระผู้เป็นเจ้าในวันพรุ่งนี้ และชายใดที่พระผู้เป็นเจ้าเลือก ก็จะเป็นผู้บริสุทธิ์ บรรดาบุตรของเลวีเอ๋ย พวกท่านกระทำเกินเหตุไปเสียแล้ว” 8 โมเสสพูดกับโคราห์ว่า “ขอให้บรรดาบุตรของเลวีฟังเถิด 9 เป็นเรื่องเล็กน้อยสำหรับพวกท่านนักหรือ ที่พระเจ้าของอิสราเอลได้แยกท่านออกมาจากมวลชนชาวอิสราเอล เพื่อนำท่านมาอยู่ใกล้พระองค์และปฏิบัติงานในที่พำนักของพระผู้เป็นเจ้า เพื่อที่จะยืนอยู่ต่อหน้ามวลชน เพื่อช่วยเหลือรับใช้พวกเขา 10 พระองค์ได้นำท่านและพี่น้องชาวเลวีของท่านทุกคนมาใกล้พระองค์ แล้วท่านจะแสวงหาตำแหน่งปุโรหิตด้วยอย่างนั้นหรือ 11 ฉะนั้นที่ท่านและพวกของท่านมาชุมนุมกันก็เพื่อมาต่อว่าพระผู้เป็นเจ้า แล้วอาโรนเป็นอะไรเล่าที่ท่านจะบ่นพึมพำต่อว่าเขา”
12 ครั้นแล้วโมเสสให้ไปเรียกดาธานและอะบีรามบุตรเอลีอับมา แต่เขาทั้งสองกลับพูดว่า “พวกเราจะไม่ขึ้นไป 13 ถือเป็นเรื่องเล็กน้อยหรืออย่างไรที่ท่านพาพวกเราออกมาจากดินแดนอันอุดมด้วยน้ำนมและน้ำผึ้ง เพื่อจะฆ่าเราในถิ่นทุรกันดาร ท่านมาทำตนเป็นเจ้านายเหนือพวกเรา 14 ยิ่งกว่านั้นท่านก็ยังไม่ได้พาเราเข้าไปในดินแดนอันอุดมด้วยน้ำนมและน้ำผึ้ง และแม้แต่จะให้เราได้รับนาหรือสวนองุ่นเป็นมรดก ท่านจะยังนำชายเหล่านี้ให้หลงผิดต่อไปอีกหรือ พวกเราจะไม่ขึ้นไป” 15 โมเสสโกรธมาก ท่านพูดกับพระผู้เป็นเจ้าว่า “ขอพระองค์อย่ารับของถวายจากพวกเขาเลย ข้าพเจ้าไม่ได้เอาลาสักตัวจากพวกเขา และไม่ทำอันตรายแก่พวกเขาสักคน”
16 โมเสสพูดกับโคราห์ว่า “ท่านและพรรคพวกของท่านจงแสดงตน ณ เบื้องหน้าพระผู้เป็นเจ้าในวันพรุ่งนี้ คือทั้งตัวท่านเอง พรรคพวก และอาโรนด้วย 17 แต่ละคนควรนำกระถางไฟของตนไปพร้อมกับเครื่องหอม ทุกคนจงนำกระถางไฟของตนไป ณ เบื้องหน้าพระผู้เป็นเจ้า รวมจำนวน 250 กระถาง ตัวท่านเองและอาโรนด้วย แต่ละคนถือกระถางไฟของตนเอง” 18 ดังนั้นทุกคนจึงเอากระถางไฟของตนไป ตักถ่านที่ลุกแดงใส่กระถาง วางเครื่องหอมไว้บนถ่าน แล้วยืนที่ทางเข้ากระโจมที่นัดหมายพร้อมกับโมเสสและอาโรน 19 เมื่อโคราห์เรียกมวลชนมาประชุมกันเพื่อประท้วงท่านทั้งสองที่ทางเข้ากระโจมที่นัดหมาย พระบารมีของพระผู้เป็นเจ้าก็ปรากฏขึ้นแก่มวลชนทั้งปวง
20 และพระผู้เป็นเจ้ากล่าวกับโมเสสและอาโรนว่า 21 “จงแยกตัวออกมาจากมวลชนเหล่านี้ เราจะได้เผาพวกเขาเสียภายในพริบตา” 22 ทั้งสองจึงซบหน้าลงกับพื้นและพูดว่า “โอ พระเจ้า พระเจ้าของวิญญาณมนุษย์ทั้งปวง ใยพระองค์จะกริ้วโกรธกับมวลชนทั้งปวงในเมื่อมีเพียงคนคนเดียวกระทำบาป” 23 พระผู้เป็นเจ้ากล่าวกับโมเสสว่า 24 “จงบอกมวลชนว่าให้ออกไปจากบริเวณรอบๆ ที่พักของโคราห์ ดาธาน และอะบีราม”
25 โมเสสจึงลุกขึ้นไปหาดาธานและอะบีราม บรรดาหัวหน้าชั้นผู้ใหญ่ของอิสราเอลก็ตามท่านไป 26 และท่านพูดกับผู้คนทั้งปวงว่า “เราขอให้พวกท่านออกจากกระโจมของคนชั่วร้ายเหล่านี้ และอย่าแตะต้องสิ่งของที่เป็นของเขา มิฉะนั้นท่านจะถูกกำจัดไปพร้อมกับบาปทุกชนิดของพวกเขา” 27 ดังนั้นเขาทั้งหลายจึงออกไปจากบริเวณรอบๆ ที่พักของโคราห์ ดาธาน และอะบีราม แล้วดาธานกับอะบีรามก็ออกมายืนอยู่ที่ทางเข้ากระโจมกับบรรดาภรรยา บุตร และเด็กเล็กของเขา 28 แล้วโมเสสพูดว่า “ด้วยเหตุการณ์เช่นนี้พวกท่านจะรู้ว่าพระผู้เป็นเจ้าได้ส่งเรามาเพื่อปฏิบัติงาน และไม่ใช่ความคิดของเราเอง 29 ถ้าหากคนพวกนี้ตายเหมือนๆ กับที่คนทั่วๆ ไปตายและประสบกับสิ่งต่างๆ ที่เกิดขึ้นเหมือนคนทั่วไป ก็นับว่าพระผู้เป็นเจ้าไม่ได้ส่งเรามา 30 แต่ถ้าพระผู้เป็นเจ้าเป็นผู้ทำให้เรื่องที่เกิดขึ้นต่างไปจากนี้ แผ่นดินจะเปิดปากและกลืนพวกเขาเข้าไปพร้อมกับทุกสิ่งที่เป็นของเขา พวกเขาจะลงไปที่แดนคนตายทั้งเป็น และพวกท่านจะได้รู้ว่าคนเหล่านี้ได้ดูหมิ่นพระผู้เป็นเจ้า”
31 เมื่อท่านพูดจบ พื้นดินเบื้องล่างก็แยกออก 32 และแผ่นดินได้ดูดกลืนเขาเหล่านั้นลงไปพร้อมกับครอบครัวและทุกคนที่เป็นของโคราห์อีกทั้งข้าวของทุกอย่างที่เป็นของเขาด้วย 33 ฉะนั้นเขาเหล่านั้นและทุกสิ่งที่เป็นของเขาถูกดูดลงไปในแดนคนตายทั้งเป็น แล้วแผ่นดินก็พลิกกลบพวกเขา เขาเหล่านั้นได้ตายไปในท่ามกลางมวลชน 34 แล้วชาวอิสราเอลทุกคนที่อยู่แถวนั้นได้ยินเสียงร้องของเขาเหล่านั้นก็พากันหนี พูดกันว่า “กลัวว่าแผ่นดินจะดูดกลืนพวกเราลงไปด้วย” 35 เปลวไฟพุ่งออกมาจากพระผู้เป็นเจ้าและไหม้ตัวชาย 250 คนที่กำลังมอบเครื่องหอมอยู่
36 พระผู้เป็นเจ้ากล่าวกับโมเสสว่า 37 “จงบอกเอเลอาซาร์บุตรของอาโรนปุโรหิตให้เอากระถางไฟออกจากเพลิงไฟและโยนถ่านทิ้งไปให้ไกล เพราะกระถางไฟบริสุทธิ์ 38 ส่วนกระถางของชายเหล่านี้ที่กระทำบาป จนเป็นเหตุให้พวกเขาถึงแก่ความตาย เจ้าจงใช้ค้อนตีให้เป็นแผ่นเพื่อใช้คลุมแท่นบูชา เพราะถูกมอบ ณ เบื้องหน้าพระผู้เป็นเจ้าแล้วจึงนับว่าบริสุทธิ์ ฉะนั้นสิ่งเหล่านี้จะเป็นหมายสำคัญที่เตือนชาวอิสราเอล” 39 เอเลอาซาร์ปุโรหิตจึงรวบรวมกระถางไฟทองสัมฤทธิ์ของคนที่ถูกไฟเผาในการถวาย โดยให้คนใช้ค้อนตีกระถางเหล่านั้นให้เป็นแผ่นเพื่อใช้คลุมแท่นบูชา 40 เพื่อเตือนความจำสำหรับชาวอิสราเอลว่าไม่ควรมีผู้ใดเข้ามาใกล้และเผาเครื่องหอม ณ เบื้องหน้าพระผู้เป็นเจ้า ยกเว้นผู้สืบเชื้อสายของอาโรน มิฉะนั้นเขาจะเป็นเหมือนโคราห์และพวกของเขา ตามที่พระผู้เป็นเจ้าได้กล่าวแก่เอเลอาซาร์ผ่านโมเสส
41 วันรุ่งขึ้นมวลชนชาวอิสราเอลทั้งปวงพากันบ่นพึมพำต่อว่าโมเสสและอาโรนว่า “ท่านได้ฆ่าผู้คนของพระผู้เป็นเจ้า” 42 ขณะที่มวลชนชุมนุมกันเพื่อประท้วงโมเสสและอาโรน และหันหน้าไปทางกระโจมที่นัดหมาย ดูเถิด มีก้อนเมฆปกคลุมและพระบารมีของพระผู้เป็นเจ้าได้ปรากฏขึ้น 43 โมเสสและอาโรนมายังด้านหน้ากระโจมที่นัดหมาย 44 พระผู้เป็นเจ้ากล่าวกับโมเสสว่า 45 “จงออกไปให้ห่างจากมวลชนเหล่านี้ เราจะเผาผลาญพวกเขาภายในพริบตา” แล้วทั้งสองก็ซบหน้าลงกับพื้น 46 โมเสสพูดกับอาโรนว่า “หยิบกระถางไฟของพี่ไปด้วย และตักถ่านที่ลุกแดงจากแท่นบูชาใส่ในกระถาง วางเครื่องหอมไว้บนถ่าน และนำไปที่มวลชนโดยเร็ว จงทำพิธีชดใช้บาปให้พวกเขา เพราะยามนั้นความเกรี้ยวโกรธของพระผู้เป็นเจ้าระเบิดออกมาแล้ว ภัยพิบัติได้เริ่มขึ้นแล้ว” 47 อาโรนจึงหยิบกระถางไฟตามที่โมเสสบอกและวิ่งเข้าไปท่ามกลางที่ประชุม ดูเถิด ภัยพิบัติได้เริ่มเกิดขึ้นในหมู่ประชาชนแล้ว แต่ก็มีการถวายเครื่องหอมและทำพิธีชดใช้บาปให้แก่ประชาชน 48 ดังนั้นอาโรนจึงยืนอยู่ระหว่างคนเป็นและคนตาย และภัยพิบัติได้ถูกยับยั้งไว้ 49 กลุ่มผู้ที่เสียชีวิตด้วยภัยพิบัติมีถึง 14,700 คน ไม่นับรวมพวกที่ตายเพราะเรื่องของโคราห์ 50 แล้วอาโรนก็กลับไปหาโมเสสที่ทางเข้ากระโจมที่นัดหมาย และภัยพิบัติได้ถูกยับยั้งไว้
ไม้เท้าของอาโรนงอก
17 พระผู้เป็นเจ้ากล่าวกับโมเสสว่า 2 “จงพูดกับชาวอิสราเอลและนำไม้เท้า 12 อันจากพวกเขามา สำหรับบรรพบุรุษของแต่ละเผ่า จากหัวหน้าทุกคนตามตระกูลของเขา จงเขียนชื่อบนไม้เท้าของเขาแต่ละคน 3 และเขียนชื่ออาโรนบนไม้เท้าของชาวเลวี เพราะจะมีไม้เท้าเดียวสำหรับผู้นำตามตระกูลของเขา 4 และเจ้าจงเก็บไม้เท้าเหล่านั้นไว้ในกระโจมที่นัดหมาย ตรงหน้าหีบพันธสัญญาที่เราพบกับเจ้า 5 ไม้เท้าของคนที่เราเลือกก็จะงอก เราจะทำให้ชาวอิสราเอลหยุดบ่นพึมพำต่อว่าเจ้า” 6 แล้วโมเสสก็พูดกับชาวอิสราเอล หัวหน้าแต่ละคนจาก 12 เผ่าจึงมอบไม้เท้าแก่ท่าน เผ่าละ 1 อันจากหัวหน้าตระกูล ไม้เท้าของอาโรนก็รวมอยู่กับไม้เท้าของพวกเขา 7 โมเสสได้เก็บไม้เท้าไว้ ณ เบื้องหน้าพระผู้เป็นเจ้าในกระโจมแห่งพันธสัญญา
8 วันรุ่งขึ้นโมเสสเข้าไปในกระโจมแห่งพันธสัญญา ดูเถิด ไม้เท้าของอาโรนที่เป็นของเผ่าเลวีงอกและผลิใบ อีกทั้งออกดอกด้วย และเกิดผลเป็นอัลมอนด์สุก 9 แล้วโมเสสก็ได้นำไม้เท้าทั้งหมดออกจากเบื้องหน้าพระผู้เป็นเจ้ามาให้ชาวอิสราเอลทั้งปวง ทุกคนก็เห็นด้วยตาตนเอง แต่ละคนได้มาหยิบไม้เท้าของตนไป 10 และพระผู้เป็นเจ้ากล่าวกับโมเสสว่า “จงวางไม้เท้าของอาโรนคืนที่เบื้องหน้าหีบพันธสัญญา เป็นหมายสำคัญเพื่อเก็บไว้เตือนใจพวกที่ขัดขืน เขาจะได้หยุดบ่นพึมพำต่อว่าเรา พวกเขาจะได้ไม่ตาย” 11 โมเสสกระทำตามนั้น ตามที่พระผู้เป็นเจ้าบัญชาท่าน
12 ชาวอิสราเอลพูดกับโมเสสว่า “ดูเถิด พวกเราจะตายแน่ เราต้องย่อยยับ เราต้องย่อยยับแน่ 13 ใครก็ตามที่เข้าใกล้ เข้าไปใกล้กระโจมที่พำนักของพระผู้เป็นเจ้าจะต้องตาย พวกเราทุกคนจะตายกันไหม”
หน้าที่ของปุโรหิตและชาวเลวี
18 พระผู้เป็นเจ้ากล่าวกับอาโรนว่า “ทั้งตัวเจ้า บุตรชายทั้งหลายของเจ้าและคนในตระกูลของเจ้าจะต้องรับผิดชอบเรื่องที่กระทำผิดต่อที่พำนัก เจ้าและบุตรของเจ้าจะต้องรับผิดชอบเรื่องที่กระทำผิดต่อหน้าที่ของปุโรหิต 2 เจ้าจงนำเผ่าเลวีคือ เชื้อสายจากบิดาของเจ้าซึ่งเป็นพี่น้องของเจ้ามาด้วย ให้พวกเขามาช่วยกันในเวลาที่เจ้าและบุตรชายของเจ้ารับใช้ ณ เบื้องหน้ากระโจมแห่งพันธสัญญา 3 พวกเขาจะคอยช่วยเจ้า และรับผิดชอบหน้าที่ทุกอย่างในกระโจม แต่พวกเขาจะต้องไม่เข้ามาใกล้ภาชนะของสถานที่บริสุทธิ์หรือแท่นบูชา มิฉะนั้นพวกเขาและเจ้าจะตาย 4 พวกเขาจะต้องมาด้วยกันกับเจ้า และรับผิดชอบเรื่องกระโจมที่นัดหมายเพื่อทำงานรับใช้ทุกอย่างของกระโจม แต่อย่าให้ผู้ไม่มีหน้าที่เข้าใกล้ตัวเจ้า 5 เจ้าจงรับผิดชอบเรื่องสถานที่บริสุทธิ์และแท่นบูชา เพื่อมิให้ความเกรี้ยวโกรธตกอยู่กับชาวอิสราเอลอีก 6 ดูเถิด เราได้เลือกชาวเลวีซึ่งเป็นพี่น้องของเจ้าจากท่ามกลางชาวอิสราเอลให้เป็นของประทานแก่เจ้า และถวายแด่พระผู้เป็นเจ้าเพื่อปฏิบัติงานของกระโจมที่นัดหมาย 7 เจ้าและบรรดาบุตรของเจ้าจะปฏิบัติหน้าที่ของปุโรหิต งานต่างๆ ที่เกี่ยวกับแท่นบูชาหรือสิ่งที่อยู่ภายในม่านกั้น เราให้ตำแหน่งปุโรหิตเป็นของประทานแก่เจ้า แต่ถ้าผู้อื่นเข้ามาใกล้จะต้องรับโทษถึงตาย”
ของถวายสำหรับปุโรหิตและชาวเลวี
8 พระผู้เป็นเจ้ากล่าวกับอาโรนว่า “ดูเถิด เราได้ให้เจ้าดูแลของถวายที่นำมามอบให้แก่เรา เช่นของถวายอันบริสุทธิ์ทั้งหมดที่ชาวอิสราเอลมอบให้แก่เรา เราให้เจ้าและบรรดาบุตรของเจ้ารับไว้เหมือนเป็นส่วนแบ่ง และให้รับไว้ตลอดไป 9 ส่วนที่เป็นของเจ้าคือ สิ่งบริสุทธิ์ที่สุดที่ได้จากการถวายด้วยไฟ ของถวายทุกสิ่งที่คนทั้งหลายนำมาให้เรา ไม่ว่าจะเป็นเครื่องธัญญบูชา เครื่องสักการะเพื่อลบล้างบาป หรือของถวายเพื่อไถ่โทษล้วนเป็นของเจ้าและบุตรของเจ้า 10 เจ้าจงรับประทานสิ่งบริสุทธิ์ที่สุดเหล่านี้ ชายทุกคนรับประทานได้ และให้นับว่าเป็นสิ่งบริสุทธิ์ 11 สิ่งอื่นที่เป็นของเจ้าคือ ของถวายจากเครื่องโบกทุกชิ้นที่ชาวอิสราเอลมอบให้เป็นของถวาย เราก็ได้ให้เจ้าและบุตรชายบุตรหญิงรับไว้ตลอดไป ทุกคนในครอบครัวของเจ้าที่สะอาดตามพิธีกรรมรับประทานได้ 12 ทั้งน้ำมัน เหล้าองุ่น และธัญพืชชนิดดีที่สุดอันเป็นผลแรกของสิ่งที่พวกเขามอบให้แด่พระผู้เป็นเจ้า เราก็ให้แก่พวกเจ้า 13 ผลไม้แรกสุกทุกชนิดในแผ่นดินที่พวกเขานำมามอบแด่พระผู้เป็นเจ้าจะเป็นของพวกเจ้า ทุกคนในครอบครัวของเจ้าที่สะอาดตามพิธีกรรมรับประทานได้ 14 ทุกสิ่งที่ถูกมอบแล้วในอิสราเอลจะเป็นของเจ้า 15 ทุกชีวิตแรกในครรภ์ทั้งมนุษย์และสัตว์ที่ถูกนำมาให้พระผู้เป็นเจ้าจะเป็นของเจ้า แต่เจ้าจงไถ่บุตรชายหัวปีและสัตว์ตัวผู้ตัวแรกทุกตัวที่มีมลทิน 16 ราคาค่าไถ่เมื่อมีอายุ 1 เดือนเจ้าต้องไถ่โดยกำหนดเป็นเงิน 5 เชเขล ตามมาตราเชเขลของสถานที่บริสุทธิ์คือ แต่ละเชเขลหนัก 20 เก-ราห์ 17 แต่อย่าไถ่โคตัวแรก แกะตัวแรก หรือแพะตัวแรก เพราะเป็นสิ่งบริสุทธิ์ เจ้าจงสาดเลือดรอบๆ แท่น และเผาไขมันเป็นของถวายด้วยไฟ ส่งกลิ่นหอมเป็นที่พอใจสำหรับพระผู้เป็นเจ้า 18 และเนื้อสัตว์จะเป็นของเจ้า เช่นเดียวกับส่วนอกที่เป็นเครื่องโบก ต้นขาจะเป็นของเจ้า 19 ของถวายทั้งปวงที่บริสุทธิ์ที่ชาวอิสราเอลมอบแด่พระผู้เป็นเจ้าเรายกให้แก่เจ้า แก่บรรดาบุตรชายบุตรหญิงของเจ้าตลอดไป เป็นเกลือ[l]แห่งพันธสัญญาอันเป็นนิรันดร์ ณ เบื้องหน้าพระผู้เป็นเจ้าสำหรับเจ้าและบรรดาผู้สืบเชื้อสายของเจ้า” 20 และพระผู้เป็นเจ้ากล่าวกับอาโรนว่า “เจ้าจะไม่ได้รับมรดกในแผ่นดินของพวกเขา และจะไม่ได้รับส่วนแบ่งใดๆ ในท่ามกลางพวกเขา เราเป็นส่วนแบ่งของเจ้าและเป็นมรดกของเจ้าท่ามกลางชาวอิสราเอล
21 เราได้ยกหนึ่งในสิบของทุกสิ่งในอิสราเอลให้แก่ชาวเลวีเป็นมรดก เป็นค่าตอบแทนการงานของพวกเขา ที่รับใช้ในกระโจมที่นัดหมาย 22 และจากนี้ไปชาวอิสราเอลจะต้องไม่มาใกล้กระโจมที่นัดหมาย มิฉะนั้นเขาจะรับโทษบาปของตนถึงแก่ความตาย 23 แต่ชาวเลวีจะต้องรับใช้งานของกระโจมที่นัดหมาย และต้องรับผิดชอบการกระทำผิดต่อสถานที่ และจงถือเป็นกฎเกณฑ์ของทุกชาติพันธุ์ของพวกเจ้าไปตลอดกาล และพวกเขาจะไม่ได้รับมรดกท่ามกลางชาวอิสราเอล 24 ด้วยว่า เราได้ยกหนึ่งในสิบที่เป็นของชาวอิสราเอลซึ่งพวกเขานำมาเป็นของถวายแด่พระผู้เป็นเจ้าเพื่อให้เป็นมรดกแก่ชาวเลวีแล้ว ฉะนั้นเราจึงบอกพวกเขาว่าพวกเขาจะไม่ได้รับมรดกท่ามกลางชาวอิสราเอล”
25 พระผู้เป็นเจ้าได้กล่าวกับโมเสสว่า 26 “ยิ่งกว่านั้น เจ้าจงบอกชาวเลวีว่า ‘เมื่อเจ้ารับหนึ่งในสิบที่เราได้ให้แก่เจ้าจากชาวอิสราเอลเป็นมรดก เจ้าก็จงถวายหนึ่งในสิบของหนึ่งในสิบที่ได้รับแด่พระผู้เป็นเจ้า 27 และของถวายของเจ้าจะนับว่าเป็นเสมือนธัญพืชจากลานนวดข้าว และเหล้าองุ่นจากเครื่องสกัด 28 ดังนั้นเจ้าจะต้องมอบหนึ่งในสิบแด่พระผู้เป็นเจ้า เช่นเดียวกับที่ประชาชนชาวอิสราเอลมอบให้ คือเมื่อเจ้าได้รับหนึ่งในสิบที่ประชาชนชาวอิสราเอลมอบแด่พระผู้เป็นเจ้า เจ้าก็จะมอบหนึ่งในสิบจากส่วนที่เจ้าได้รับนั้นแก่อาโรนปุโรหิต 29 เจ้าจงมอบส่วนที่ดีที่สุด บริสุทธิ์ที่สุดของทุกๆ สิ่งที่เจ้าได้รับแด่พระผู้เป็นเจ้าเป็นของถวาย’ 30 ฉะนั้นเจ้าจงบอกพวกเขาว่า ‘เมื่อเจ้าถวายส่วนที่ดีที่สุด ก็จะนับว่าส่วนที่เหลือเป็นเสมือนผลผลิตจากลานนวดข้าวและผลจากเครื่องสกัดสำหรับชาวเลวี 31 และพวกเจ้ากับครอบครัวจะรับประทานที่ไหนก็ได้ ถือเป็นเครื่องตอบแทนสำหรับงานรับใช้ในกระโจมที่นัดหมาย 32 พวกเจ้าจะไม่มีความผิดในเรื่องนี้ หากมอบส่วนที่ดีที่สุด แล้วพวกเจ้าก็จะไม่ทำให้ของถวายอันบริสุทธิ์ของชาวอิสราเอลเป็นมลทิน เจ้าก็จะไม่ตาย’”
การชำระมลทิน
19 พระผู้เป็นเจ้ากล่าวกับโมเสสว่า 2 “ต่อไปนี้เป็นข้อกำหนดตามกฎบัญญัติที่พระผู้เป็นเจ้าได้บัญชาไว้ว่า จงบอกชาวอิสราเอลให้นำลูกโคตัวเมียสีแดงปราศจากตำหนิมาตัวหนึ่ง อย่าให้มีจุดด่าง และเป็นตัวที่ยังไม่เคยเทียมแอกมาก่อน 3 เจ้าจงให้ลูกโคแก่เอเลอาซาร์ปุโรหิต เขาจะเอามันไปที่นอกค่ายแล้วฆ่าต่อหน้าเขา 4 เอเลอาซาร์ปุโรหิตจะจุ่มนิ้วในเลือด และประพรมทางด้านหน้ากระโจมที่นัดหมาย 7 ครั้ง 5 และลูกโคจะถูกเผาให้เห็น โดยจะต้องเผาทั้งหนัง เนื้อ เลือด รวมทั้งไส้ด้วย 6 ปุโรหิตจะเอาไม้ซีดาร์ ไม้หุสบ และด้ายสีแดงสดโยนเข้าไปในไฟที่เผาลูกโค 7 แล้วปุโรหิตจะซักเสื้อผ้าของตนและอาบน้ำ หลังจากนั้นก็จะเข้ามาในค่ายและจะมีมลทินจนถึงเย็น 8 คนที่เผาลูกโคจะซักเสื้อผ้าของเขาในน้ำ และมีมลทินจนถึงเย็น 9 คนที่สะอาดจะเก็บขี้เถ้าลูกโค และใส่ไว้ในที่สะอาดที่นอกค่าย เก็บไว้สำหรับชาวอิสราเอลทั้งมวลเพื่อใช้กับน้ำในพิธีชำระตัว เป็นการชำระบาป 10 และคนที่เก็บขี้เถ้าของลูกโคจะซักเสื้อผ้า และเขาจะมีมลทินจนถึงเย็น จงถือเป็นกฎเกณฑ์ของชาวอิสราเอลและชาวต่างด้าวที่อาศัยอยู่ในหมู่พวกเขาตลอดไป
11 ผู้ใดแตะต้องซากศพจะมีมลทิน 7 วัน 12 เขาจะต้องใช้น้ำชำระตัวในวันที่สามและวันที่เจ็ด แล้วจึงจะถือว่าเขาสะอาด แต่ถ้าเขาไม่ชำระตัวในวันที่สามและวันที่เจ็ด เขาก็จะไม่สะอาด 13 ใครแตะต้องซากศพ คือร่างของคนตายแล้ว โดยไม่ชำระตัว เขาก็ทำให้ที่พำนักของพระผู้เป็นเจ้าเป็นมลทิน ผู้นั้นจะถูกตัดขาดจากอิสราเอล เพราะน้ำที่ใช้ในพิธีชำระไม่ได้รดที่ตัวเขา เขาจึงมีมลทิน และมลทินจะยังคงติดตัวเขาอยู่
14 ต่อไปนี้เป็นกฎบัญญัติในยามที่มีคนตายในกระโจม ทุกคนที่เข้าไปในกระโจม รวมทั้งทุกคนที่อยู่ในกระโจมจะมีมลทิน 7 วัน 15 ภาชนะที่เปิดทิ้งไว้ ไม่มีฝาปิดก็เป็นมลทินเช่นกัน 16 ใครก็ตามอยู่ในทุ่งกว้างไปแตะต้องคนตายโดยถูกดาบฟัน หรือแตะต้องซากศพ หรือกระดูกคน หรือหลุมศพ จะมีมลทิน 7 วัน 17 ให้พวกเขาเอาขี้เถ้าที่ได้จากของถวายเผาด้วยไฟในการชำระบาป โดยเขาต้องเทน้ำที่ไหลใส่ภาชนะ 18 แล้วคนที่สะอาดใช้กิ่งหุสบจุ่มน้ำนั้นประพรมที่กระโจม ที่เครื่องใช้ทุกชิ้น และบนตัวคนที่อยู่ที่นั่น และคนที่แตะต้องกระดูกหรือคนถูกฆ่าตาย คนตายแล้วหรือหลุมศพ 19 คนที่สะอาดจะประพรมคนที่มีมลทินในวันที่สามและวันที่เจ็ด ดังนั้นในวันที่เจ็ดเขาจะต้องชำระกายให้สะอาด ซักเสื้อผ้า และอาบน้ำ พอตกเย็นจึงจะถือว่าเขาสะอาดแล้ว
20 ส่วนคนที่มีมลทินและไม่ชำระตัวเองให้สะอาดจะถูกตัดขาดจากท่ามกลางมวลชน เพราะเขาทำให้ที่พำนักของพระผู้เป็นเจ้าเป็นมลทิน ในเมื่อน้ำในพิธีชำระยังไม่ได้รดถูกตัวเขา เขาจึงมีมลทิน 21 และให้ถือเป็นกฎเกณฑ์ชั่วกาลนานสำหรับพวกเขา ผู้ประพรมน้ำในพิธีชำระตัวจะซักเสื้อผ้าของตน และผู้ที่แตะต้องน้ำในพิธีชำระตัวจะมีมลทินจนถึงเย็น 22 และสิ่งใดที่คนมีมลทินแตะต้องก็จะมีมลทิน และผู้ใดแตะต้องสิ่งนั้นจะมีมลทินไปด้วยจนถึงเย็น”
น้ำไหลจากหิน
20 ชาวอิสราเอลทั้งมวลเข้าไปในถิ่นทุรกันดารศินในเดือนแรก และประชาชนอยู่ที่คาเดชซึ่งเป็นสถานที่ซึ่งมิเรียมสิ้นชีวิตและถูกฝังไว้ที่นั่น
2 มวลชนเหล่านั้นไม่มีน้ำจะใช้ พวกเขาจึงประชุมกันและประท้วงโมเสสและอาโรน 3 และประชาชนโต้แย้งโมเสสว่า “ถ้าพวกเราตายไปพร้อมๆ กับพี่น้องของเรา ณ เบื้องหน้าพระผู้เป็นเจ้าก็คงจะดี 4 ทำไมพวกท่านถึงได้พามวลชนของพระผู้เป็นเจ้าเข้ามาในถิ่นทุรกันดารแห่งนี้และให้เราตายกันที่นี่ ทั้งพวกเราและฝูงสัตว์ 5 และทำไมท่านจึงพาพวกเราออกมาจากอียิปต์ แล้วเข้ามายังที่ยากลำบากเช่นนี้ ที่นี่ไม่มีธัญพืชหรือผลมะเดื่อ เถาองุ่นหรือผลทับทิม และไม่มีแม้แต่น้ำให้ดื่ม” 6 โมเสสและอาโรนออกจากที่ประชุมไปที่ทางเข้ากระโจมที่นัดหมาย และซบหน้าลงกับพื้น พระบารมีของพระผู้เป็นเจ้าก็ปรากฏแก่ท่านทั้งสอง 7 พระผู้เป็นเจ้ากล่าวกับโมเสสว่า 8 “จงหยิบไม้เท้า และเรียกประชุมมวลชน ทั้งเจ้าและอาโรนพี่ชายของเจ้า และเจ้าจงพูดกับหินต่อหน้าพวกเขา และมันจะมีน้ำไหลออกมา เจ้าจงเอาน้ำจากหินให้พวกเขา ให้มวลชนและฝูงสัตว์ดื่มน้ำ” 9 โมเสสหยิบไม้เท้าไปจากเบื้องหน้าพระผู้เป็นเจ้าตามที่พระองค์บัญชา
โมเสสตีหิน
10 โมเสสและอาโรนเรียกประชุมกันที่หิน และท่านพูดกับพวกเขาว่า “ท่านพวกแข็งข้อ จงฟังเถิด เราต้องเอาน้ำออกจากหินนี้มาให้พวกท่านหรือ” 11 และโมเสสยกมือขึ้น ใช้ไม้เท้าของท่านตีหิน 2 ครั้ง แล้วน้ำก็ไหลพรูออกมา มวลชนและฝูงสัตว์ก็ได้มีน้ำดื่ม 12 พระผู้เป็นเจ้ากล่าวกับโมเสสและอาโรนว่า “เป็นเพราะพวกเจ้าไม่เชื่อในตัวเราพอที่จะแสดงต่อหน้าชาวอิสราเอลว่าเราบริสุทธิ์ ฉะนั้นเจ้าจะไม่ได้นำมวลชนเหล่านี้เข้าไปยังแผ่นดินที่เราได้มอบให้แก่พวกเขา”[m] 13 นี่คือน้ำแห่งเมรีบาห์ เป็นที่ที่ชาวอิสราเอลโต้แย้งกับพระผู้เป็นเจ้า และพระองค์แสดงให้เห็นว่า พระองค์บริสุทธิ์ท่ามกลางพวกเขา
เอโดมไม่ยอมรับอิสราเอล
14 โมเสสได้ให้พวกผู้ส่งข่าวจากคาเดชไปยังกษัตริย์แห่งเอโดม[n] โดยกล่าวว่า “อิสราเอลซึ่งเป็นพี่น้องของท่านกล่าวดังนี้ ท่านทราบถึงความยากลำบากทุกประการที่พวกเราได้ประสบมา 15 เหล่าบรรพบุรุษของเราลงไปยังอียิปต์ และเราได้อาศัยอยู่ที่อียิปต์หลายปี ชาวอียิปต์ทารุณพวกเราและบรรพบุรุษ 16 เมื่อเราร้องเรียกถึงพระผู้เป็นเจ้า พระองค์ก็ได้ยินเสียงของเรา และให้ทูตสวรรค์มานำพวกเราออกไปจากอียิปต์ ดูเถิด พวกเรากำลังอยู่ที่คาเดชเมืองที่ชายพรมแดนของท่าน 17 โปรดให้พวกเราผ่านทางดินแดนของท่านเถิด โดยเราจะไม่ผ่านไปทางไร่นาหรือสวนองุ่น และจะไม่ดื่มน้ำจากบ่อ เราจะมุ่งหน้าไปตามถนนหลวง[o]โดยไม่เลี้ยวขวาเลี้ยวซ้าย จนกว่าจะผ่านพรมแดนของท่านไปแล้ว” 18 แต่เอโดมบอกเขาว่า “ท่านจะผ่านไปไม่ได้ มิฉะนั้นเราจะใช้ดาบต่อสู้พวกท่าน” 19 ชาวอิสราเอลพูดตอบว่า “พวกเราจะขึ้นไปบนทางหลวง และถ้าเราหรือฝูงปศุสัตว์ก็ตามดื่มน้ำของท่าน เราก็จะจ่ายให้ ขอแต่เพียงให้เราเดินผ่านไปเท่านั้น” 20 แต่ท่านตอบว่า “ท่านจะผ่านไปไม่ได้” แล้วเอโดมกับกองทัพใหญ่ที่เข้มแข็งก็ออกมาโจมตีพวกเขา 21 เอโดมไม่ยอมให้อิสราเอลผ่านทางพรมแดนของตน ดังนั้นอิสราเอลจึงหันไปจากเอโดม
อาโรนสิ้นชีวิต
22 พวกเขาออกเดินทางจากคาเดช และชาวอิสราเอลทั้งมวลก็มาถึงภูเขาโฮร์ 23 แล้วพระผู้เป็นเจ้ากล่าวกับโมเสสและอาโรนที่ภูเขาโฮร์ที่ใกล้ชายแดนเอโดมว่า 24 “อาโรนจะถูกฝังรวมไว้กับญาติพี่น้องที่ล่วงลับไปแล้ว เนื่องจากเขาจะไม่ได้ก้าวเข้าไปยังแผ่นดินที่เราได้มอบให้แก่ชาวอิสราเอล เพราะเจ้าทั้งสองขัดขืนต่อคำสั่งของเราเรื่องแหล่งน้ำเมรีบาห์ 25 จงพาอาโรนและเอเลอาซาร์บุตรของเขาขึ้นไปยังภูเขาโฮร์ 26 จงถอดเสื้อของอาโรน แล้วสวมให้เอเลอาซาร์บุตรของเขา อาโรนจะเสียชีวิตที่นั่น และจะถูกฝังรวมไว้กับญาติพี่น้องที่ล่วงลับไปแล้ว” 27 โมเสสได้ปฏิบัติตามที่พระผู้เป็นเจ้าบัญชา พวกท่านขึ้นไปยังภูเขาโฮร์ต่อหน้ามวลชนทั้งปวง 28 โมเสสถอดเครื่องแต่งกายของอาโรน สวมให้กับเอเลอาซาร์บุตรของท่าน อาโรนได้สิ้นชีวิตบนยอดภูเขานั้น โมเสสและเอเลอาซาร์จึงลงมาจากภูเขา 29 มวลชนทั้งปวงเห็นว่าอาโรนเสียชีวิตแล้ว พงศ์พันธุ์อิสราเอลทั้งมวลร้องคร่ำครวญถึงอาโรนเป็นเวลา 30 วัน
ชาวคานาอันพ่ายแพ้
21 เมื่อกษัตริย์ชาวคานาอันแห่งอาราดผู้อาศัยอยู่ในเนเกบทราบว่าอิสราเอลกำลังออกเดินทางมาทางอาธาริม จึงเข้าต่อสู้กับชาวอิสราเอลและจับบางคนไว้เป็นเชลย 2 ครั้นแล้วอิสราเอลก็สาบานต่อพระผู้เป็นเจ้าว่า “ถ้าพระองค์มอบชนชาตินี้ไว้ในมือข้าพเจ้าจริงๆ ข้าพเจ้าจะทำลายบ้านเมืองของพวกเขาจนราบคาบ” 3 พระผู้เป็นเจ้าฟังคำขอของอิสราเอลและมอบชาวคานาอันให้ อิสราเอลจึงทำลายประชาชนและบ้านเมืองจนราบคาบ และเรียกชื่อสถานที่นั้นว่า โฮร์มาห์[p]
งูทองสัมฤทธิ์
4 เขาทั้งหลายย้ายจากภูเขาโฮร์ไปทางทะเลแดง เพื่ออ้อมดินแดนเอโดม แต่ในระหว่างทางประชาชนสิ้นความอดทน 5 พวกเขาจึงต่อว่าพระเจ้าและโมเสสว่า “ทำไมท่านจึงพาพวกเราออกจากอียิปต์เพื่อมาตายในถิ่นทุรกันดาร ไม่มีทั้งอาหารและน้ำ และเราก็เกลียดอาหารที่ไร้ค่านี้” 6 พระผู้เป็นเจ้าจึงส่งงูพิษมาในหมู่ประชาชนและกัดพวกเขา ชาวอิสราเอลหลายคนถูกงูกัดตาย 7 ประชาชนมาพูดกับโมเสสว่า “พวกเราได้กระทำบาปเพราะเราต่อว่าพระผู้เป็นเจ้าและท่าน ขอท่านอธิษฐานต่อพระผู้เป็นเจ้าให้เอางูไปจากพวกเราเถิด” ดังนั้นโมเสสจึงอธิษฐานให้ประชาชน
Copyright © 1998, 2012, 2020 by New Thai Version Foundation