Print Page Options
Previous Prev Day Next DayNext

Bible in 90 Days

An intensive Bible reading plan that walks through the entire Bible in 90 days.
Duration: 88 days
New Thai Version (NTV-BIBLE)
Version
กันดารวิถี 32:20 - เฉลยธรรมบัญญัติ 7:26

20 และโมเสสพูดกับเขาเหล่านั้นว่า “ถ้าท่านจะทำอย่างนั้น โดยหยิบอาวุธไปรบในสงครามต่อหน้าพระผู้เป็นเจ้า 21 และพวกท่านทุกคนที่ถืออาวุธจะข้ามแม่น้ำจอร์แดนต่อหน้าพระผู้เป็นเจ้าอย่างนั้นจริง จนพระองค์ได้ขับไล่พวกศัตรูไปต่อหน้าพระองค์ก่อน 22 และแผ่นดินจะถูกควบคุมอยู่ต่อหน้าพระผู้เป็นเจ้า และหลังจากนั้นท่านจะกลับมาได้ และพ้นจากข้อผูกพันกับพระผู้เป็นเจ้า และอิสราเอล และจะเป็นที่ยอมรับของพระผู้เป็นเจ้าว่า พวกท่านเป็นเจ้าของแผ่นดินนี้ 23 แต่ถ้าท่านไม่ทำตามนั้น ดูเถิด ท่านก็ได้กระทำบาปต่อพระผู้เป็นเจ้า และมั่นใจได้เลยว่า บาปจะตามทันพวกท่าน 24 สร้างเมืองให้พวกเด็กๆ ของท่าน กั้นคอกให้แกะของท่าน และจงทำตามที่ท่านได้สัญญาไว้” 25 ครั้นแล้วบรรดาบุตรของกาดและของรูเบนพูดกับโมเสสว่า “พวกเราผู้เป็นผู้รับใช้ของท่านจะทำตามที่นายท่านบัญชา 26 พวกเด็กๆ และภรรยาของเรา ปศุสัตว์และสัตว์เลี้ยงทั้งหมดของเราจะอยู่ในเมืองกิเลอาดนั่น 27 แต่พวกเราผู้เป็นผู้รับใช้ของท่านจะข้ามเขตไป ชายทุกคนที่ถืออาวุธพร้อมสำหรับสงครามจะไปสู้รบต่อหน้าพระผู้เป็นเจ้าตามที่นายของข้าพเจ้ากล่าว”

28 ดังนั้น โมเสสจึงออกคำสั่งกับเอเลอาซาร์ปุโรหิต โยชูวาบุตรของนูน และบรรดาหัวหน้าเผ่าของบรรพบุรุษของชาวอิสราเอล เกี่ยวกับเรื่องของชาวกาดและรูเบน 29 โมเสสพูดกับพวกเขาว่า “ถ้าบรรดาบุตรของกาดและของรูเบน ชายทุกคนที่ถืออาวุธพร้อมเพื่อสู้รบในสงครามต่อหน้าพระผู้เป็นเจ้า จะข้ามแม่น้ำจอร์แดนไปกับพวกท่าน แผ่นดินสยบต่อหน้าท่าน ก็จงให้พวกเขาเป็นเจ้าของดินแดนกิเลอาด 30 แต่ถ้าพวกเขาไม่ข้ามไปกับท่านพร้อมอาวุธ เขาก็จะเป็นเจ้าของด้วยกันกับท่านในดินแดนคานาอัน” 31 บรรดาบุตรของกาดและของรูเบนตอบว่า “พวกเราจะกระทำตามที่พระผู้เป็นเจ้ากล่าวแก่บรรดาผู้รับใช้ของท่าน 32 เราจะข้ามไปยังดินแดนคานาอันต่อหน้าพระผู้เป็นเจ้าพร้อมกับอาวุธ และแผ่นดินที่เรารับเป็นมรดกจะอยู่กับเราต่อไปที่ริมฝั่งแม่น้ำจอร์แดน”

33 แล้วโมเสสก็มอบอาณาจักรของสิโหนกษัตริย์ของชาวอาโมร์ อาณาจักรของโอกกษัตริย์แห่งบาชาน แผ่นดินทั้งหมดกับเมืองต่างๆ และอาณาเขตโดยรอบให้แก่บุตรหลานของกาด ของรูเบน และแก่ครึ่งเผ่าของมนัสเสห์บุตรของโยเซฟ 34 บรรดาบุตรของกาดสร้างเมืองดีโบน อาทาโรท อาโรเออร์ 35 อัทโรทโชฟาน ยาเซอร์ โยกเบฮาห์ 36 เบธนิมราห์ และเบธฮาราน เป็นเมืองที่มีการคุ้มกันอย่างแข็งแกร่ง และมีคอกให้แกะอาศัย 37 บรรดาบุตรของรูเบนสร้างเมืองเฮชโบน เอเลอาเลห์ คีริยาทาอิม 38 เนโบ และบาอัลเมโอน (พวกเขาตั้งชื่อเมืองขึ้นใหม่) และสิบมาห์ และตั้งชื่อเมืองที่เขาสร้างขึ้น 39 บรรดาบุตรของมาคีร์ ผู้เป็นบุตรมนัสเสห์ไปยังกิเลอาดและยึดไว้ แล้วขับไล่ชาวอาโมร์ที่อาศัยอยู่ 40 ดังนั้นโมเสสจึงยกกิเลอาดให้แก่มาคีร์บุตรของมนัสเสห์ และเขาก็ตั้งรกรากอยู่ที่นั่น 41 และยาอีร์บุตรของมนัสเสห์ไปยึดหมู่บ้านต่างๆ และตั้งชื่อว่า ฮาวโวทยาอีร์ 42 และโนบาห์ไปยึดเคนาทและหมู่บ้านต่างๆ ของเมือง และตั้งชื่อว่า โนบาห์ตามชื่อของเขาเอง

การออกเดินทางของอิสราเอล

33 ขั้นตอนการออกเดินทางของชาวอิสราเอลเป็นมาดังนี้คือ เมื่อพวกเขาออกไปจากแผ่นดินอียิปต์ ตามกำลังกองทัพใต้การนำของโมเสสและอาโรน โมเสสได้บันทึกจุดเริ่มต้นของสถานที่ แต่ละขั้นตอนตามคำบัญชาของพระผู้เป็นเจ้า ต่อไปนี้เป็นขั้นตอนตามจุดเริ่มต้นของพวกเขา เขาเริ่มออกเดินทางจากราเมเสสในเดือนแรก วันที่สิบห้าของเดือนแรก วันรุ่งขึ้นหลังจากวันปัสกา ชาวอิสราเอลออกเดินทางไปอย่างมีชัยต่อหน้าชาวอียิปต์ทั้งปวง ในขณะที่ชาวอียิปต์กำลังฝังศพบรรดาบุตรหัวปีที่พระผู้เป็นเจ้าสังหาร พระผู้เป็นเจ้าได้ลงโทษบรรดาเทพเจ้าของพวกเขาด้วย

ชาวอิสราเอลออกเดินทางจากราเมเสส และไปตั้งค่ายที่สุคคท พวกเขาออกเดินทางจากสุคคท และไปตั้งค่ายที่เอธามซึ่งติดกับถิ่นทุรกันดาร พวกเขาออกเดินทางจากเอธาม ย้อนกลับไปยังปีหะหิโรธซึ่งอยู่ทางทิศตะวันออกของบาอัลเซโฟน แล้วไปตั้งค่ายที่หน้าเมืองมิกดล พวกเขาออกเดินทางจากหน้าเมืองหะหิโรธ และผ่านไปท่ามกลางทะเลเข้าไปยังถิ่นทุรกันดาร พวกเขาเดินทางเป็นเวลา 3 วันในถิ่นทุรกันดารของเอธาม และไปตั้งค่ายที่มาราห์ พวกเขาออกเดินทางจากมาราห์ ไปจนถึงเอลิม มีบ่อน้ำพุ 12 บ่อกับต้นอินทผลัม 70 ต้นที่เอลิม และไปตั้งค่ายอยู่ที่นั่น 10 พวกเขาออกเดินทางจากเอลิม และไปตั้งค่ายใกล้ทะเลแดง 11 พวกเขาออกเดินทางจากทะเลแดง และไปตั้งค่ายในถิ่นทุรกันดารสีน 12 พวกเขาออกเดินทางจากถิ่นทุรกันดารสีน และไปตั้งค่ายที่โดฟคาห์ 13 พวกเขาออกเดินทางจากโดฟคาห์ และไปตั้งค่ายที่อาลูช 14 พวกเขาออกเดินทางจากอาลูช และไปตั้งค่ายที่เรฟีดิม ซึ่งเป็นที่กันดาร และไม่มีน้ำให้ประชาชนดื่ม 15 พวกเขาออกเดินทางจากเรฟีดิม และไปตั้งค่ายในถิ่นทุรกันดารซีนาย 16 พวกเขาออกเดินทางจากถิ่นทุรกันดารซีนาย และไปตั้งค่ายที่ขิบโรทหัทธาอาวาห์ 17 พวกเขาออกเดินทางจากขิบโรทหัทธาอาวาห์ และไปตั้งค่ายที่ฮาเซโรท 18 พวกเขาออกเดินทางจากฮาเซโรท และไปตั้งค่ายที่ริทมาห์ 19 พวกเขาออกเดินทางจากริทมาห์ และไปตั้งค่ายที่ริมโมนเปเรศ 20 พวกเขาออกเดินทางจากริมโมนเปเรศ และไปตั้งค่ายที่ลิบนาห์ 21 พวกเขาออกเดินทางจากลิบนาห์ และไปตั้งค่ายที่ริสสาห์ 22 พวกเขาออกเดินทางจากริสสาห์ และไปตั้งค่ายที่เคเฮลาธาห์ 23 พวกเขาออกเดินทางจากเคเฮลาธาห์ และไปตั้งค่ายที่ภูเขาเชเฟอร์ 24 พวกเขาออกเดินทางจากภูเขาเชเฟอร์ และไปตั้งค่ายที่ฮาราดาห์ 25 พวกเขาออกเดินทางจากฮาราดาห์ และไปตั้งค่ายที่มักเฮโลท 26 พวกเขาออกเดินทางจากมักเฮโลท และไปตั้งค่ายที่ทาหัท 27 พวกเขาออกเดินทางจากทาหัท และไปตั้งค่ายที่เทราห์ 28 พวกเขาออกเดินทางจากเทราห์ และไปตั้งค่ายที่มิทคาห์ 29 พวกเขาออกเดินทางจากมิทคาห์ และไปตั้งค่ายที่ฮัชโมนาห์ 30 พวกเขาออกเดินทางจากฮัชโมนาห์ และไปตั้งค่ายที่โมเสโรท 31 พวกเขาออกเดินทางจากโมเสโรท และไปตั้งค่ายที่เบเนยาอะคาน 32 พวกเขาออกเดินทางจากเบเนยาอะคาน และไปตั้งค่ายที่โฮร์ฮักกีดกาด 33 พวกเขาออกเดินทางจากโฮร์ฮักกีดกาด และไปตั้งค่ายที่โยทบาธาห์ 34 พวกเขาออกเดินทางจากโยทบาธาห์ และไปตั้งค่ายที่อับโรนาห์ 35 พวกเขาออกเดินทางจากอับโรนาห์ และไปตั้งค่ายที่เอซีโอนเกเบอร์ 36 พวกเขาออกเดินทางจากเอซีโอนเกเบอร์ และไปตั้งค่ายในถิ่นทุรกันดารศิน (คือคาเดช) 37 พวกเขาออกเดินทางจากคาเดช และไปตั้งค่ายที่ภูเขาโฮร์ ซึ่งอยู่ชายแดนของเอโดม

38 และอาโรนปุโรหิตขึ้นไปบนภูเขาโฮร์ตามคำบัญชาของพระผู้เป็นเจ้า และสิ้นชีวิตที่นั่น เป็นระยะเวลาถึง 40 ปีนับตั้งแต่ครั้งที่ชาวอิสราเอลได้อพยพออกมาจากแผ่นดินอียิปต์ในวันแรกของเดือนห้า 39 อาโรนมีอายุ 123 ปีเมื่อท่านสิ้นชีวิตบนภูเขาโฮร์

40 กษัตริย์แห่งอาราดเป็นชาวคานาอัน อาศัยอยู่ในเนเกบในดินแดนคานาอัน ได้ข่าวว่าชาวอิสราเอลกำลังยกทัพมา

41 พวกเขาจึงออกเดินทางจากภูเขาโฮร์ และไปตั้งค่ายที่ศัลโมนาห์ 42 พวกเขาออกเดินทางจากศัลโมนาห์ และไปตั้งค่ายที่ปูโนน 43 พวกเขาออกเดินทางจากปูโนน และไปตั้งค่ายที่โอโบท 44 พวกเขาออกเดินทางจากโอโบท และไปตั้งค่ายที่อิเยอาบาริมที่ชายแดนโมอับ 45 พวกเขาออกเดินทางจากไอยิม และไปตั้งค่ายที่ดีโบนกาด 46 พวกเขาออกเดินทางจากดีโบนกาด และไปตั้งค่ายที่อัลโมนดิบลาธาอิม 47 พวกเขาออกเดินทางจากอัลโมนดิบลาธาอิม และไปตั้งค่ายที่ภูเขาอาบาริมหน้าเนโบ 48 พวกเขาออกเดินทางจากภูเขาอาบาริม และไปตั้งค่าย ณ ที่ราบโมอับ ริมฝั่งแม่น้ำจอร์แดนที่ฝั่งตรงข้ามกับเยรีโค 49 พวกเขาไปตั้งค่ายที่ริมฝั่งแม่น้ำจอร์แดนตั้งแต่เบธเยชิโมท ไปจนถึงอาเบลชิทธีม ณ ที่ราบโมอับ

ขับไล่ผู้อยู่อาศัย

50 พระผู้เป็นเจ้ากล่าวกับโมเสส ณ ที่ราบโมอับ ริมฝั่งแม่น้ำจอร์แดนที่ฝั่งตรงข้ามกับเยรีโคว่า 51 “จงไปพูดกับชาวอิสราเอลว่า เมื่อเจ้าข้ามแม่น้ำจอร์แดนและเข้าไปในดินแดนคานาอัน 52 เจ้าจงขับไล่ผู้อยู่อาศัยของดินแดนไปพ้นหน้าเจ้า และทำลายรูปเคารพสลัก รูปปั้นหล่อทุกชิ้น และโค่นสถานบูชาบนภูเขาสูงของพวกเขาให้หมด 53 แล้วจงยึดครองดินแดนและอาศัยอยู่ที่นั่น เพราะเราได้มอบดินแดนให้เจ้าครอบครอง 54 เจ้าจงจับฉลากเป็นการตัดสินแบ่งมรดกตามลำดับครอบครัว เจ้าจงให้ชนกลุ่มใหญ่รับมรดกผืนใหญ่ และชนกลุ่มน้อยได้รับมรดกผืนเล็ก ฉลากที่ตกอยู่กับผู้ใด เขาก็จะได้รับตามนั้น เจ้าจะได้รับมรดกตามเผ่าของบรรพบุรุษของเจ้า 55 แต่ถ้าเจ้าไม่ขับไล่ผู้อยู่อาศัยของแผ่นดินไปพ้นหน้าเจ้า ผู้คนเหล่านั้นที่เจ้าปล่อยให้เหลืออยู่ จะกลายเป็นเงี่ยงแหลมในนัยน์ตาของเจ้าและเป็นหอกข้างแคร่ของเจ้า และเขาจะก่อความลำบากในแผ่นดินที่เจ้าอาศัยอยู่ 56 และเราจะกระทำต่อพวกเจ้าเหมือนกับที่เราตั้งใจว่าจะกระทำต่อพวกเขา”

เขตพรมแดนคานาอัน

34 พระผู้เป็นเจ้ากล่าวกับโมเสสว่า “จงบัญชาชาวอิสราเอลว่า เมื่อเจ้าก้าวเข้าไปในคานาอัน นี่แหละคือดินแดนที่จะตกเป็นมรดกของเจ้า ดินแดนคานาอันตามเขตแดนของแผ่นดินดังนี้ ฉะนั้นด้านใต้จะเริ่มจากถิ่นทุรกันดารศินเลียบไปทางเขตแดนเอโดม และทางด้านตะวันออก เขตแดนด้านใต้จะเริ่มจากปลายสุดของทะเลเกลือ และเขตแดนจะเลี้ยวไปทางใต้ขึ้นเนินสูงอัครับบิม เลาะเลียบข้างถิ่นทุรกันดารศินไปจนถึงใต้สุดคาเดชบาร์เนีย และต่อไปถึงฮาซาร์อัดดาร์ แล้วเลยไปถึงอัสโมน เขตแดนจะโอบล้อมจากอัสโมนไปจนถึงธารน้ำอียิปต์ และสิ้นสุดลงที่ทะเล

ส่วนเขตแดนด้านตะวันตก เจ้าจะได้ทะเลใหญ่[a]และชายฝั่งทะเล นี่จะเป็นเขตแดนฝั่งตะวันตกสำหรับพวกเจ้า

เขตแดนด้านเหนือ เจ้าจงทำเครื่องหมายระบุจากทะเลใหญ่ถึงภูเขาโฮร์ จงทำเครื่องหมายระบุจากภูเขาโฮร์ถึงเลโบฮามัท เขตแดนจะไปลงที่เศดัด เขตแดนจะต่อไปถึงศิโฟรน และสิ้นสุดที่ฮาซาร์เอนาน นี่จะเป็นเขตแดนด้านเหนือสำหรับพวกเจ้า

10 เจ้าจงทำเครื่องหมายระบุเขตแดนด้านตะวันออกจากฮาซาร์เอนานถึงเชฟาม 11 และเขตแดนจะลงไปจากเชฟามถึงริบลาห์ ทางด้านตะวันออกของเมืองอายิน และลงไปตามเนินจนถึงไหล่ทางด้านตะวันออกของทะเลสาบคินเนเรท 12 และเขตแดนจะลงไปยังแม่น้ำจอร์แดน และจะสิ้นสุดลงที่ทะเลเกลือ นี่จะเป็นแผ่นดินที่มีเขตพรมแดนโดยรอบสำหรับพวกเจ้า”

13 แล้วโมเสสได้บัญชาชาวอิสราเอลว่า “นี่เป็นแผ่นดินที่พวกท่านจะรับเป็นมรดกด้วยการจับฉลากที่พระผู้เป็นเจ้าได้บัญชาให้มอบแก่เก้าเผ่าครึ่ง 14 เพราะว่าตระกูลจากเผ่าของรูเบน จากเผ่ากาด และครึ่งเผ่าของมนัสเสห์ได้รับมรดกไปแล้ว 15 ทั้งสองเผ่ากับอีกครึ่งเผ่าได้รับมรดกของเขาที่ฝั่งตะวันออกของแม่น้ำจอร์แดน ที่ฝั่งตรงข้ามกับเมืองเยรีโค ทางทิศที่ดวงอาทิตย์ขึ้น”

16 พระผู้เป็นเจ้ากล่าวกับโมเสสว่า 17 “ชื่อของผู้ที่จะแบ่งดินแดนให้แก่พวกเจ้าเป็นมรดก คือเอเลอาซาร์ปุโรหิต และโยชูวาบุตรของนูน 18 เจ้าจงเลือกหัวหน้าจากแต่ละเผ่ามาช่วยแบ่งดินแดนเป็นมรดก 19 นี่คือรายชื่อของเขา คาเลบบุตรเยฟุนเนห์ จากเผ่ายูดาห์ 20 เชมูเอลบุตรอัมมีฮูด จากเผ่าชาวสิเมโอน 21 เอลีดาดบุตรคิสโลน จากเผ่าเบนยามิน 22 บุคคีบุตรโยกลี หัวหน้าจากเผ่าชาวดาน 23 ฮันนีเอลบุตรเอโฟด หัวหน้าจากเผ่าชาวมนัสเสห์บุตรของโยเซฟ 24 เคมูเอลบุตรชิฟทาน หัวหน้าจากเผ่าชาวเอฟราอิม 25 เอลีซาฟานบุตรปาร์นาค หัวหน้าจากเผ่าชาวเศบูลุน 26 ปัลทีเอลบุตรอัสซาน หัวหน้าจากเผ่าชาวอิสสาคาร์ 27 อาหิฮูดบุตรเชโลมี หัวหน้าจากเผ่าชาวอาเชอร์ 28 เปดาเฮลบุตรอัมมีฮูด หัวหน้าจากเผ่าชาวนัฟทาลี” 29 คนเหล่านี้ได้รับบัญชาจากพระผู้เป็นเจ้าให้แบ่งมรดกแก่ชาวอิสราเอลในดินแดนคานาอัน

เมืองของชาวเลวี

35 พระผู้เป็นเจ้ากล่าวกับโมเสส ณ ที่ราบโมอับ ริมฝั่งแม่น้ำจอร์แดนที่ฝั่งตรงข้ามกับเยรีโคว่า “จงบัญชาให้ชาวอิสราเอลยกเมืองที่ได้รับเป็นมรดกแบ่งให้แก่ชาวเลวีบ้าง เพื่อให้เป็นที่อยู่อาศัยของพวกเขา และจงยกทุ่งหญ้ารอบๆ เมืองเหล่านั้นให้แก่ชาวเลวีด้วย เมืองเหล่านั้นจะได้เป็นที่อยู่อาศัย ในขณะที่ทุ่งหญ้าเอาไว้สำหรับสัตว์เลี้ยง ฝูงแพะแกะ และสัตว์อื่นๆ ทั้งหมดของพวกเขา ส่วนที่เป็นทุ่งหญ้าของเมืองที่เจ้ายกให้ชาวเลวีจะห่างออกไปจากกำแพงเมือง 1,000 ศอกโดยรอบ และจงวัดส่วนที่อยู่นอกเมือง ทางทิศตะวันออก 2,000 ศอก ทางทิศใต้ 2,000 ศอก ทางทิศตะวันตก 2,000 ศอก และทางทิศเหนือ 2,000 ศอก โดยมีตัวเมืองอยู่ตรงกลาง ส่วนนี้จะเป็นทุ่งหญ้าสำหรับเมืองของชาวเลวี

เมืองที่พวกเจ้ายกให้แก่ชาวเลวีจะเป็นเมืองลี้ภัย 6 เมืองเพื่อให้ฆาตกรหลบหนีไปอยู่ได้[b] นอกจากนี้แล้ว เจ้าจงยกเมืองอื่นให้อีก 42 เมือง รวมทุกเมืองที่พวกเจ้ายกให้แก่ชาวเลวีได้ 48 เมือง พร้อมกับทุ่งหญ้าให้พวกเขาด้วย เมืองที่ชาวอิสราเอลเป็นเจ้าของ และเจ้ายกให้แก่ชาวเลวีนั้น ให้เป็นสัดส่วนกับมรดกที่แต่ละเผ่าได้รับ จากเผ่าใหญ่ก็เอาไปหลายเมือง และจากเผ่าเล็กก็เอาไปน้อยเมือง จงยกเมืองเหล่านั้นให้แก่ชาวเลวี”

พระผู้เป็นเจ้ากล่าวกับโมเสสว่า 10 “จงไปพูดกับชาวอิสราเอลและบอกเขาว่า เมื่อเจ้าข้ามแม่น้ำจอร์แดนเข้าไปยังดินแดนคานาอัน 11 เจ้าจงเลือกเมืองเพื่อเป็นเมืองลี้ภัยสำหรับพวกเจ้าเอง เพื่อว่าผู้ที่ฆ่าคนโดยไม่มีเจตนาจะได้หลบหนีไปที่นั่นได้ 12 เมืองเหล่านั้นจะเป็นเมืองลี้ภัยของพวกเจ้าให้พ้นจากผู้ตามล่า เพื่อให้คนที่ถูกกล่าวหาว่าฆ่าคนตายจะไม่ถูกประหารก่อนจะมีการตัดสินต่อหน้ามวลชน 13 จงยกจำนวน 6 เมืองให้เป็นเมืองลี้ภัย 14 จงยก 3 เมืองที่อยู่ริมฝั่งแม่น้ำจอร์แดน และอีก 3 เมืองในดินแดนคานาอันให้เป็นเมืองลี้ภัย 15 หกเมืองนี้จะเป็นที่ลี้ภัยสำหรับชาวอิสราเอล ชาวต่างแดน และผู้อาศัยอยู่ท่ามกลางพวกเจ้าอย่างชาวต่างด้าว เพื่อให้ผู้ที่พลั้งมือฆ่าคนหลบหนีไปที่นั่นได้

16 ถ้าเขาใช้เครื่องมือเหล็กตีผู้ใดจนถึงตาย เขาก็เป็นฆาตกร เป็นฆาตกรที่ต้องถูกประหาร 17 ถ้าเขาใช้ก้อนหินในมือที่สามารถฆ่าคนได้ทุบผู้ใดและผู้นั้นถึงตาย เขาก็เป็นฆาตกร ฆาตกรจะต้องถูกประหาร 18 หรือถ้าเขาใช้ไม้ในมือที่สามารถฆ่าคนได้ ฟาดใส่ผู้ใดและผู้นั้นถึงตาย เขาก็เป็นฆาตกร ฆาตกรจะต้องถูกประหาร 19 ตัวผู้ตามล่าล้างแค้นเองจะประหารฆาตกร เมื่อเขาพบตัวก็จะประหารเขา 20 และถ้าคนที่ผลักเขาด้วยความเกลียดชัง หรือดักซุ่มเพื่อขว้างอาวุธใส่เขาจนถึงตาย 21 หรือด้วยความแค้นเขาใช้หมัดชกต่อยจนถึงตาย คนที่ทำให้คนตายต้องถูกประหาร เขาเป็นฆาตกร ผู้ตามล่าล้างแค้นจะประหารฆาตกรเมื่อเขาพบตัว

22 แต่ถ้าเขาผลักผู้ใดด้วยความรู้สึกชั่ววูบ โดยไม่มุ่งร้าย หรือขว้างอาวุธใส่เขาโดยไม่ได้ดักซุ่มอยู่ 23 หรือเนื่องจากมองไม่เห็นตัวเขา และใช้ก้อนหินที่เป็นอันตรายจนถึงตายได้ตกลงบนตัวเขาพอดีจนเขาต้องตาย ทั้งที่เขาไม่ใช่ศัตรู และไม่ได้ตั้งใจจะทำร้ายเขา 24 มวลชนจะต้องตัดสินระหว่างฆาตกรและผู้ตามล่าล้างแค้นตามกฎเหล่านี้ 25 และมวลชนจะต้องคุ้มครองคนที่ถูกกล่าวหาว่าฆ่าคน ให้พ้นจากผู้ตามล่าล้างแค้น และมวลชนจะให้เขากลับไปยังเมืองลี้ภัยที่เขาหลบหนีไปอยู่ และเขาจะอาศัยอยู่ที่นั่นจนกว่าหัวหน้ามหาปุโรหิตที่ได้รับการเจิมด้วยน้ำมันบริสุทธิ์จะเสียชีวิตก่อน 26 แต่ถ้าเมื่อใดที่ฆาตกรก้าวออกจากเขตเมืองลี้ภัยซึ่งเป็นที่เขาหลบหนีไปอาศัยอยู่ 27 และผู้ตามล่าล้างแค้นพบเขาที่นอกเมืองลี้ภัย และถ้าผู้ตามล่าล้างแค้นฆ่าผู้ถูกกล่าวหา เขาก็จะไม่มีความผิด 28 เพราะว่าผู้นั้นต้องอยู่ในเมืองลี้ภัยจนกว่าหัวหน้ามหาปุโรหิตจะเสียชีวิตก่อน แต่หลังจากการตายของหัวหน้ามหาปุโรหิต ผู้ถูกกล่าวหาจึงจะกลับไปยังดินแดนซึ่งเขาเป็นเจ้าของได้ 29 สิ่งเหล่านี้จะเป็นกฎเกณฑ์แห่งโทษทัณฑ์ของทุกชาติพันธุ์ของพวกเจ้า ไม่ว่าจะอยู่ที่ใดก็ตาม

30 ถ้าผู้ใดฆ่าคน ฆาตกรจะต้องถูกประหารในกรณีมีพยานเกิน 1 คนยืนยันเท่านั้น อย่าให้มีผู้ใดถูกประหารเนื่องจากคำให้การของพยานเพียงคนเดียว[c] 31 ยิ่งกว่านี้ เจ้าอย่ารับค่าไถ่สำหรับชีวิตของฆาตกรที่มีความผิดต้องโทษถึงตาย เขาต้องถูกประหารแน่นอน 32 และเจ้าอย่ารับค่าไถ่จากคนที่หลบหนีไปที่เมืองลี้ภัย เพียงเพราะเขาต้องการกลับไปอยู่ในดินแดนของตนก่อนปุโรหิตจะเสียชีวิต 33 เจ้าอย่าทำให้ดินแดนที่เจ้าอาศัยอยู่เป็นมลทิน เพราะการเสียเลือดเนื้อ ทำให้แผ่นดินเป็นมลทิน และไม่มีพิธีชดใช้บาปสำหรับแผ่นดินที่มีการเสียเลือดเนื้อ นอกจากจะเป็นเลือดของผู้ที่เป็นเหตุให้เลือดหลั่ง 34 เจ้าอย่าทำให้แผ่นดินที่เจ้าอาศัย และที่ซึ่งเราพำนักอยู่เป็นมลทิน เพราะว่าเราคือพระผู้เป็นเจ้าอยู่ท่ามกลางชาวอิสราเอล”

มรดกของบุตรหญิงของเศโลเฟหัด

36 บรรดาหัวหน้าบรรพบุรุษของครอบครัวชาวกิเลอาดบุตรของมาคีร์ ผู้เป็นบุตรของมนัสเสห์ ซึ่งมาจากครอบครัวของบรรดาบุตรของโยเซฟ เข้ามาใกล้เพื่อกล่าวต่อหน้าโมเสส บรรดาผู้นำ และบรรดาหัวหน้าบรรพบุรุษชาวอิสราเอล โดยพวกเขาได้กล่าวว่า “พระผู้เป็นเจ้าได้บัญชานายท่านให้มอบดินแดนเป็นมรดกแก่ชาวอิสราเอลโดยการจับฉลาก และนายท่านได้รับบัญชาจากพระผู้เป็นเจ้าให้มอบมรดกของเศโลเฟหัดน้องชายเราแก่บุตรหญิงของเขา ถ้าเผื่อว่าหญิงเหล่านั้นแต่งงานกับบุตรของเผ่าอื่นๆ ของชาวอิสราเอล มรดกของพวกนางที่มาจากบรรพบุรุษของพวกเราก็จะถูกยึดไป และเผ่าที่พวกนางแต่งงานด้วยจะมีมรดกเพิ่มขึ้น ฉะนั้นมรดกบางส่วนของพวกเราจะถูกแบ่งไป เมื่อถึงเวลาฉลองครบรอบ 50 ปีของชาวอิสราเอล มรดกของพวกนางก็จะเพิ่มให้กับมรดกของเผ่าที่พวกนางแต่งงานด้วย และมรดกของพวกนางจะถูกแบ่งไปจากมรดกของเผ่าที่เป็นของบรรพบุรุษของเรา”

และโมเสสบัญชาชาวอิสราเอลตามคำกล่าวของพระผู้เป็นเจ้าว่า “เผ่าของบรรดาบุตรของโยเซฟพูดถูกต้องแล้ว พระผู้เป็นเจ้าบัญชาเกี่ยวกับบรรดาบุตรหญิงของเศโลเฟหัดดังนี้ ‘จงให้พวกเธอแต่งงานกับคนที่เธอคิดว่าดีที่สุด ตราบใดที่เธอจะแต่งกับครอบครัวของเผ่าที่เป็นบรรพบุรุษของเธอ มรดกของชาวอิสราเอลจะไม่ถูกถ่ายโอนจากเผ่าหนึ่งไปยังอีกเผ่าหนึ่ง เพราะชาวอิสราเอลทุกคนยึดมั่นอยู่กับมรดกของเผ่าเดียวกับบรรพบุรุษของตน และบุตรหญิงทุกคนที่ได้รับมรดกจากเผ่าใดของชาวอิสราเอลก็ตาม นางต้องแต่งงานกับคนที่อยู่ในครอบครัวเดียวกับเผ่าของบรรพบุรุษของนาง เพื่อชาวอิสราเอลทุกคนจะได้เป็นเจ้าของมรดกของบรรพบุรุษของตน ดังนั้นมรดกจะไม่ถูกถ่ายโอนจากเผ่าหนึ่งไปยังอีกเผ่าหนึ่ง แต่ละเผ่าของชาวอิสราเอลจะสามารถรักษามรดกของเผ่าให้คงไว้ได้’”

10 ดังนั้น บรรดาบุตรหญิงของเศโลเฟหัดจึงกระทำตามที่พระผู้เป็นเจ้าได้บัญชาโมเสส 11 ด้วยว่า มาลาห์ ทีรซาห์ โฮกลาห์ มิลคาห์ และโนอาห์ ผู้เป็นบุตรหญิงของเศโลเฟหัดได้แต่งงานกับบรรดาบุตรของพี่น้องทางฝ่ายบิดาของเขา 12 พวกนางได้แต่งงานเป็นครอบครัวเดียวกับบรรดาบุตรของมนัสเสห์ผู้เป็นบุตรของโยเซฟ และมรดกของพวกเขายังคงอยู่กับเผ่าเดียวกันกับครอบครัวของบรรพบุรุษของเขา

13 นี่คือคำบัญญัติและคำบัญชาที่พระผู้เป็นเจ้าได้บัญชาผ่านโมเสส สำหรับชาวอิสราเอล ณ ที่ราบโมอับ ริมฝั่งแม่น้ำจอร์แดนที่ฝั่งตรงข้ามกับเยรีโค

บัญชาให้ออกไปจากโฮเรบ

นี่คือสิ่งที่โมเสสกล่าวแก่ชาวอิสราเอลทั้งปวงที่ทางฝั่งตะวันออกของแม่น้ำจอร์แดนในถิ่นทุรกันดาร ในอาราบาห์ตรงข้ามกับสูฟ ระหว่างปารานและโทเฟล ลาบาน ฮาเซโรท และดีซาหับ การเดินทางจากโฮเรบโดยผ่านทางภูเขาเสอีร์ไปจนถึงคาเดชบาร์เนียใช้เวลา 11 วัน ในวันที่หนึ่ง เดือนสิบเอ็ด ปีที่สี่สิบ โมเสสกล่าวแก่ชาวอิสราเอลตามคำที่พระผู้เป็นเจ้าบัญชาให้กล่าวทุกประการ อันเป็นเวลาหลังจากที่ท่านได้ชัยชนะสิโหนกษัตริย์ของชาวอาโมร์ซึ่งอาศัยอยู่ในเมืองเฮชโบน และโอกกษัตริย์แห่งบาชานซึ่งอาศัยอยู่ในเมืองอัชทาโรทและเอเดรอีแล้ว โมเสสตั้งต้นเฉลยกฎบัญญัตินี้ ณ ฝั่งตะวันออกของแม่น้ำจอร์แดนในแผ่นดินโมอับว่า พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของเรากล่าวกับเราที่โฮเรบว่า ‘พวกเจ้าอยู่ที่ภูเขานี้นานพอแล้ว จงเดินทางมุ่งหน้าไปยังแถบภูเขาของชาวอาโมร์ ไปยังดินแดนเพื่อนบ้านในอาราบาห์ ทั้งในแถบภูเขาและที่ลุ่ม และในเนเกบ และชายฝั่งทะเล แผ่นดินของชาวคานาอัน และที่เลบานอน จนถึงแม่น้ำใหญ่คือแม่น้ำยูเฟรติส ดูนั่นสิ เราได้วางแผ่นดินนั้นไว้ให้เพียงแค่เอื้อมของพวกเจ้าแล้ว เจ้าจงเข้าไปและยึดครองแผ่นดินซึ่งพระผู้เป็นเจ้าได้ปฏิญาณว่าจะมอบให้แก่บรรพบุรุษของเจ้าคือ อับราฮัม อิสอัค ยาโคบ และแก่บรรดาผู้สืบเชื้อสายต่อจากพวกเขา’

แต่งตั้งหัวหน้า

ในครั้งโน้นเราบอกพวกท่านว่า ‘เราไม่สามารถทนต่อพวกท่านได้คนเดียว 10 พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของพวกท่านได้เพิ่มจำนวนทายาทพวกท่านมากขึ้น ก็ดูสิ ในขณะนี้จำนวนของพวกท่านมีมากมายดุจดวงดาวบนท้องฟ้า 11 ขอให้พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของบรรพบุรุษของท่านทำให้ท่านมีจำนวนมากขึ้นอีกนับพันเท่า และอวยพรท่านตามที่พระองค์ได้สัญญากับพวกท่านไว้ 12 เราจะแบกภาระและปัญหาอันหนักหน่วงในเรื่องการโต้แย้งของพวกท่านคนเดียวได้อย่างไร 13 ท่านจงเลือกคนจากแต่ละเผ่าของพวกท่าน ขอให้เป็นผู้เรืองปัญญา เข้าอกเข้าใจผู้อื่น และเป็นที่น่านับถือ แล้วเราจะตั้งให้เขาเป็นหัวหน้าของท่าน’ 14 และท่านตอบเราว่า ‘สิ่งที่ท่านเสนอมานั้นดี เหมาะที่เราจะทำ’ 15 ดังนั้น เราจึงเลือกหัวหน้าประจำเผ่าของท่าน ซึ่งเรืองปัญญาและเป็นที่น่านับถือ และตั้งให้เขาเป็นหัวหน้าเหนือท่าน เพื่อดูแลคนกลุ่มละพันคน ร้อยคน ห้าสิบคน สิบคน และเจ้าหน้าที่ต่างๆ ประจำเผ่าของพวกท่าน 16 และเรากำชับบรรดาผู้ตัดสินความของท่านในครั้งโน้นว่า ท่านจงพิจารณาคดีระหว่างพวกพ้องของท่าน และตัดสินด้วยความยุติธรรมระหว่างคนในชาติเดียวกันหรือกับคนต่างด้าว 17 อย่ามีความลำเอียงในการตัดสิน ท่านจงฟังทั้งผู้น้อยและผู้ใหญ่ให้เสมอกัน อย่ากลัวมนุษย์หน้าไหน เพราะการตัดสินเป็นของพระเจ้า คดีใดที่ยากเกินความสามารถของท่าน ก็จงนำมาให้เราพิจารณา 18 ในครั้งโน้น เราได้กำชับท่านแล้วถึงทุกสิ่งที่ท่านควรกระทำ

ส่งสายสืบออกไป

19 แล้วพวกเราออกเดินทางไปจากโฮเรบ ผ่านเข้าไปในถิ่นทุรกันดารอันกว้างใหญ่ไพศาลและน่ากลัว ซึ่งท่านก็เห็นมาแล้ว ในระหว่างทางในแถบภูเขาของชาวอาโมร์ตามที่พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของเราบัญชาพวกเราไว้ และเราก็มาถึงคาเดชบาร์เนีย 20 เราพูดกับท่านว่า ‘พวกท่านมาถึงแถบภูเขาของชาวอาโมร์ซึ่งพระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของเรายกให้เราแล้ว 21 ดูนั่นสิ พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของท่านได้วางแผ่นดินนั้นไว้ให้เพียงแค่เอื้อมของท่าน จงขึ้นไปและยึดครองแผ่นดินตามที่พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของบรรพบุรุษของท่านบอกท่านไว้แล้ว อย่ากลัวหรือท้อใจเลย’ 22 พวกท่านทุกคนก็มาหาเรา แล้วบอกว่า ‘ให้พวกผู้ชายล่วงหน้าเราไปก่อนเถิด เขาจะได้ไปสอดแนมดูสถานที่ให้พวกเรา แล้วให้เขากลับมารายงานว่าพวกเราควรขึ้นไปทางไหนและไปยังเมืองใด’ 23 เราเห็นว่าเป็นความคิดดีจึงได้เลือกชาย 12 คน มาจากเผ่าละ 1 คน 24 พวกเขาก็ขึ้นไปยังแถบภูเขาแล้วลงไปยังลุ่มน้ำเอชโคล์สอดแนมอยู่ที่นั่น 25 เขาเอาผลไม้จากดินแดนนั้นติดตัวลงมาให้พวกเราด้วย พร้อมกับรายงานว่า ‘เป็นแผ่นดินอุดมสมบูรณ์ที่พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของเรามอบให้แก่พวกเรา’

ลองดีกับพระผู้เป็นเจ้า

26 ถึงกระนั้นพวกท่านยังไม่ยอมขึ้นไป แต่กลับขัดขืนต่อคำบัญชาของพระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของท่าน 27 แล้วก็บ่นพึมพำอยู่ในกระโจมว่า ‘เป็นเพราะพระผู้เป็นเจ้าเกลียดชังพวกเรา พระองค์จึงได้นำเราออกจากแผ่นดินอียิปต์ เพื่อให้เราตกอยู่ในมือของชาวอาโมร์ พวกเขาจะได้กำจัดเรา 28 พวกเราจะหนีไปไหนได้ ผู้สอดแนมทำให้เราใจเสียจากคำพูดที่ว่า “ชาวเมืองสูงใหญ่และกำยำกว่าพวกเรา เมืองเหล่านั้นก็ใหญ่ มีกำแพงสูงเทียมฟ้า และยิ่งกว่านั้น พวกเราเห็นลูกหลานพวกอานาค[d]ที่นั่นด้วย”’ 29 แล้วเราก็บอกท่านว่า ‘อย่าตกใจหรือกลัวพวกเขาเลย 30 พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของท่าน พระองค์ได้ล่วงหน้าท่านไปแล้ว และจะเป็นผู้ช่วยในการต่อสู้ เหมือนกับที่ท่านเห็นพระองค์กระทำเพื่อท่านในอียิปต์ 31 และท่านเห็นแล้วว่าพระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของท่านอุ้มชูพวกท่านอย่างไรในถิ่นทุรกันดาร เปรียบดังพ่ออุ้มลูกของตน และท่านก็ผ่านมาได้ตลอดรอดฝั่งจนถึงที่นี่’ 32 แม้เราจะบอกท่านแล้วก็ตาม แต่ดูเหมือนท่านก็ยังไม่เชื่อในพระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของท่าน 33 เวลาท่านเดินทาง พระองค์ก็ล่วงหน้าไปก่อนท่านเพื่อหาสถานที่ให้ท่านตั้งกระโจมในลักษณะของเพลิงไฟในตอนกลางคืน และในลักษณะของเมฆในตอนกลางวันเพื่อชี้ให้ท่านเห็นว่าควรจะไปทางไหน

34 เมื่อพระผู้เป็นเจ้าได้ยินพวกท่านพูด พระองค์ก็โกรธและปฏิญาณว่า 35 ‘ไม่มีใครสักคนในยุคอันชั่วร้ายนี้ที่จะได้เห็นแผ่นดินอันอุดมที่เราได้ปฏิญาณว่าจะมอบให้แก่บรรพบุรุษของพวกเจ้า 36 ยกเว้นคาเลบบุตรเยฟุนเนห์ เขาจะได้เห็นแผ่นดิน และเราจะมอบแผ่นดินที่เขาเหยียบให้แก่เขาและลูกหลานของเขา เพราะเขาทำตามพระผู้เป็นเจ้าด้วยใจจริง’ 37 เป็นเพราะท่าน พระผู้เป็นเจ้าจึงโกรธเราด้วย และพระองค์กล่าวว่า ‘เจ้าเองจะไม่ได้เข้าไปที่นั่นด้วยเช่นกัน 38 แต่ผู้ช่วยของพวกเจ้าคือโยชูวาบุตรของนูนจะได้เข้าไป จงให้กำลังใจเขา เพราะเขาจะเป็นผู้นำชาวอิสราเอลให้ยึดครองแผ่นดิน 39 และพวกเด็กเล็กของเจ้าที่เจ้าบอกว่าจะตกเป็นเหยื่อ และลูกๆ ที่ยังไม่ทราบว่าสิ่งใดดีสิ่งใดชั่วนั่นแหละจะก้าวเข้าไปยังแผ่นดินซึ่งเราจะให้แก่พวกเขา และเขาจะรับมาครอบครอง 40 สำหรับเจ้า จงเดินทางโดยมุ่งหน้าไปทางถิ่นทุรกันดารตามทิศที่ไปสู่ทะเลแดง’

41 แล้วพวกท่านตอบเราว่า ‘เราได้กระทำบาปต่อพระผู้เป็นเจ้า เราจะขึ้นไปต่อสู้ตามที่พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของเราบัญชาไว้’ ดังนั้นท่านทุกคนเตรียมตัวพร้อมอาวุธสงคราม ด้วยคิดว่าการขึ้นไปที่แถบภูเขานั้นง่าย 42 แต่พระผู้เป็นเจ้ากล่าวกับเราว่า ‘บอกพวกเขาว่า “อย่าขึ้นไปต่อสู้ เพราะเราจะไม่อยู่กับพวกเจ้า มิฉะนั้นพวกเจ้าจะตายต่อหน้าศัตรู”’ 43 เราจึงบอกพวกท่าน แต่ท่านไม่ฟังและยังขัดขืนต่อคำบัญชาของพระผู้เป็นเจ้า ท่านบังอาจขึ้นไปที่แถบภูเขานั้น 44 พวกชาวอาโมร์ที่อาศัยอยู่ในแถบภูเขาดังกล่าวจึงออกมาต่อต้านพวกท่าน ไล่พวกท่านเตลิดเปิดเปิงไป เหมือนไล่ด้วยฝูงผึ้ง และตีจนท่านพ่ายแพ้ที่เสอีร์จนถึงโฮร์มาห์ 45 แล้วพวกท่านก็กลับมาร้องไห้กับพระผู้เป็นเจ้า แต่พระผู้เป็นเจ้าไม่ได้ฟังเสียงท่านและไม่สนใจฟัง 46 พวกท่านจึงอยู่ที่คาเดชเป็นเวลานานทีเดียว

เดินท่องเที่ยวไปในถิ่นทุรกันดาร

ครั้นแล้วพวกเราก็หวนกลับและมุ่งหน้าไปทางถิ่นทุรกันดารตามทิศที่ไปสู่ทะเลแดง ดังที่พระผู้เป็นเจ้าบอกเรา พวกเราเดินไปในแถบภูเขาเสอีร์อยู่หลายวัน แล้วพระผู้เป็นเจ้ากล่าวกับเราว่า ‘พวกเจ้าเดินไปในแถบภูเขานี้นานพอแล้ว จงออกเดินทางโดยมุ่งหน้าไปทางทิศเหนือ และสั่งประชาชนตามคำนี้คือ “พวกเจ้ากำลังจะผ่านเข้าไปในอาณาเขตของหมู่พี่น้องของเจ้าคือ ลูกหลานของเอซาวที่อาศัยอยู่ในเสอีร์ คนพวกนั้นจะกลัวพวกเจ้า แต่จงระวังตัวให้ดี อย่าไปสู้รบกับเขา เพราะเราจะไม่ให้แผ่นดินของพวกเขาแก่เจ้า ไม่ให้แม้เพียงผืนเท่าฝ่าเท้าของเจ้าก้าวไป เพราะเราได้ให้ภูเขาเสอีร์เป็นกรรมสิทธิ์แก่เอซาว[e] เจ้าจงใช้เงินซื้ออาหารและน้ำเพื่อดื่มกินกัน”’ เพราะพระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของท่านได้อวยพรท่านในทุกสิ่งที่ท่านทำ พระองค์ทราบว่า ท่านผ่านเข้าไปในถิ่นทุรกันดารอันกว้างใหญ่นี้ พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของท่านอยู่กับท่านเสมอมาเป็นเวลา 40 ปี พวกท่านจึงไม่ขัดสนในสิ่งใดเลย พวกเราจึงเดินทางต่อไป ห่างไกลจากพี่น้องของเราคือบรรดาบุตรของเอซาวที่อาศัยอยู่ในเสอีร์ ไปไกลจากเส้นทางอาราบาห์ จากเอลัทและจากเอซีโอนเกเบอร์

แล้วเรามุ่งหน้าไปทางทิศที่ไปสู่ถิ่นทุรกันดารของโมอับ และพระผู้เป็นเจ้ากล่าวกับเราว่า ‘อย่าไปก่อกวนโมอับหรือก่อเรื่องสู้รบกับพวกเขา เพราะเราจะไม่ให้แผ่นดินของพวกเขาตกเป็นกรรมสิทธิ์แก่เจ้า เพราะเราได้ให้เมืองอาร์เป็นกรรมสิทธิ์แก่ลูกหลานของโลท’[f] 10 (ชาวเอมร่างกายกำยำและมีจำนวนไม่น้อย เคยอาศัยอยู่ที่นั่น พวกเขาสูงใหญ่พอๆ กับพวกอานาค 11 เขาเหล่านั้นมีอีกชื่อว่า เรฟา[g] ซึ่งเหมือนกับชาวอานาค แต่ชาวโมอับเรียกพวกเขาว่า เอม 12 พวกโฮรีเคยอาศัยอยู่ที่เสอีร์ แต่ลูกหลานของเอซาวขับไล่พวกเขาออกไป และกำจัดชาวโฮรีจนสูญสิ้น แล้วอาศัยอยู่ที่นั่นเสียเอง เหมือนอย่างที่ชาวอิสราเอลได้ขับไล่ศัตรูของเขาออกจากแผ่นดินที่พระผู้เป็นเจ้ามอบให้แก่พวกเขา) 13 ‘บัดนี้พวกเจ้าจงลุกขึ้น ข้ามลุ่มน้ำเศเรดไป’ ดังนั้นพวกเราจึงข้ามลุ่มน้ำเศเรดไป 14 เวลาผ่านไป 38 ปีนับจากเวลาที่เราออกจากคาเดชบาร์เนียมาจนถึงเวลาที่เราข้ามลุ่มน้ำเศเรด ในเวลานั้นนักรบรุ่นเดียวกันก็ตายไปจากค่ายหมดแล้ว ตามที่พระผู้เป็นเจ้าได้ปฏิญาณไว้กับพวกเขา 15 มือของพระผู้เป็นเจ้าต่อต้านและทำลายพวกเขาไปจากค่าย จนตายกันหมดทุกคนด้วยอานุภาพอันยิ่งใหญ่

16 ดังนั้น เมื่อนักรบทุกคนได้ตายไปจากพวกพ้องของเขาแล้ว 17 พระผู้เป็นเจ้ากล่าวกับเราว่า 18 ‘วันนี้เจ้าจงข้ามเขตแดนโมอับที่เมืองอาร์ 19 เมื่อเจ้าเข้าไปใกล้พรมแดนของลูกหลานชาวอัมโมนก็อย่าก่อกวนหรือก่อเรื่องสู้รบกับพวกเขา เพราะเราจะไม่ให้แผ่นดินของพวกเขาตกเป็นกรรมสิทธิ์แก่เจ้า เพราะเราได้ให้แก่ลูกหลานของโลทเป็นกรรมสิทธิ์แล้ว’[h] 20 (ที่นั่นเคยเป็นดินแดนของชาวเรฟา พวกเขาเคยอาศัยอยู่ที่นั่น แต่ชาวอัมโมนเรียกพวกเขาว่า ศัมซุม 21 ชนเหล่านั้นร่างกายกำยำและมีจำนวนไม่น้อย พวกเขาสูงใหญ่พอๆ กับพวกอานาค แต่พระผู้เป็นเจ้ากำจัดพวกเขาจนสูญสิ้น ชาวอัมโมนขับไล่พวกเขาออกไป และอาศัยอยู่ที่นั่นเสียเอง 22 พระองค์กระทำเช่นเดียวกันให้แก่ลูกหลานของเอซาวที่อาศัยอยู่ในเสอีร์ เมื่อพระองค์กำจัดชาวโฮรี พวกเขาขับไล่ชาวโฮรีออกไปและอาศัยอยู่ที่นั่นเสียเองมาจนถึงทุกวันนี้ 23 ชาวคัฟโทร์ซึ่งมาจากคัฟโทร์ได้กำจัดชาวอัฟวาที่อาศัยอยู่ในชนบทจนถึงเขตแดนกาซา และยึดครองที่อาศัยของพวกเขาเสีย) 24 ‘จงเตรียมตัวออกเดินทาง ข้ามลุ่มน้ำอาร์โนน ดูเถิด เรามอบสิโหนชาวอาโมร์ผู้เป็นกษัตริย์แห่งเฮชโบนและแผ่นดินของเขาไว้ในมือของเจ้าแล้ว จงเริ่มยึดแผ่นดินไว้และสู้รบกับเขา 25 วันนี้เราจะเริ่มทำให้ชนชาติทั้งโลกหวาดหวั่นพรั่นกลัวเจ้า เขาจะตัวสั่นเมื่อได้ยินเรื่องของเจ้า และเจ็บปวดรวดร้าวเพราะเจ้า’

26 ฉะนั้น เราให้ผู้ส่งข่าวจากถิ่นทุรกันดารเคเดโมทไปหาสิโหนกษัตริย์แห่งเฮชโบนด้วยข้อเสนออันสันติว่า 27 ‘ให้เราผ่านเข้าไปในดินแดนของท่านเถิด เราจะไปเฉพาะเส้นทางสายหลักเท่านั้น จะไม่เลียบซ้ายหรือขวา 28 อาหารและน้ำที่เราจะดื่มกิน เราจะใช้เงินซื้อจากท่าน ขอแต่เพียงท่านให้เราเดินผ่านเข้าไปเท่านั้น 29 เหมือนกับที่ลูกหลานของเอซาวที่อาศัยอยู่ที่เสอีร์ และชาวโมอับที่อาศัยอยู่ที่อาร์ได้ให้เราผ่าน จนกว่าเราจะข้ามแม่น้ำจอร์แดนเข้าไปยังดินแดนที่พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของเรามอบแก่พวกเรา’ 30 แต่สิโหนกษัตริย์แห่งเฮชโบนไม่ยอมให้เราผ่านเข้าไป เพราะพระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของพวกท่านทำให้วิญญาณของสิโหนแข็งกระด้าง และทำให้ใจแข็ง เพื่อให้สิโหนตกอยู่ในมือของพวกท่านอย่างที่พระองค์กระทำแล้วในวันนี้ 31 แล้วพระผู้เป็นเจ้ากล่าวกับเราว่า ‘ดูเถิด เราได้มอบสิโหนและดินแดนของเขาให้แก่พวกเจ้าแล้ว เจ้าจงเริ่มยึดครองดินแดนไว้เป็นเจ้าของ’ 32 เมื่อสิโหนกับคนของท่านออกมาสู้รบกับพวกเราที่ยาฮาส 33 พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของเราก็มอบตัวท่านให้แก่พวกเรา เราจึงกำจัดสิโหนรวมทั้งบรรดาบุตรและคนของท่านทุกคนด้วย 34 เรายึดเมืองทั้งหมดที่เป็นของท่านในเวลานั้นได้ และทำลายทุกๆ เมืองจนราบคาบ ทั้งผู้ชาย ผู้หญิงและเด็ก ไม่มีใครเหลือรอดมาได้สักคน 35 ยกเว้นแต่สัตว์เลี้ยงและสิ่งมีค่าในเมืองที่เรายึดได้เท่านั้นที่ริบไว้ใช้เอง 36 จากเมืองอาโรเออร์ซึ่งอยู่ที่ริมลุ่มน้ำอาร์โนน และจากเมืองที่แถบลุ่มน้ำนั้นจนถึงแคว้นกิเลอาด ไม่มีเมืองใดสูงและแกร่งเกินกำลังของพวกเรา พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของเราได้มอบทุกเมืองไว้ในมือของพวกเรา 37 ยกเว้นดินแดนของลูกหลานชาวอัมโมนที่พวกท่านไม่ได้เข้าไปใกล้คือ แถบฝั่งแม่น้ำยับบอกและเมืองต่างๆ ในแถบภูเขา และพื้นที่ซึ่งพระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของเราห้ามไม่ให้เข้าไป

โอกกษัตริย์แห่งบาชานพ่ายแพ้

จากนั้นพวกเราเลี้ยวขึ้นไปตามทางที่จะไปสู่แคว้นบาชาน โอกกษัตริย์แห่งบาชานและกองทหารของท่านทั้งหมดเข้าปะทะในสงครามกับเราที่เอเดรอี แต่พระผู้เป็นเจ้ากล่าวกับเราว่า ‘อย่าไปกลัวเขาเลย เพราะเราได้มอบเขารวมทั้งผู้คนและดินแดนของเขาไว้ในมือของเจ้าด้วย เจ้าจงกระทำต่อเขาเช่นเดียวกับที่เจ้ากระทำต่อสิโหนกษัตริย์ของชาวอาโมร์ผู้อาศัยอยู่ในเฮชโบน’ ดังนั้น พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของเราก็ได้มอบโอกกษัตริย์แห่งบาชานพร้อมประชาชนของท่านให้แก่เราด้วย เราฆ่าท่านและคนทั้งหมด ไม่มีใครรอดชีวิตมาได้ เรายึดเมืองทุกเมืองที่เป็นของท่านในเวลานั้น ไม่มีเมืองใดที่เราไม่ได้ยึดมา รวมทั้งสิ้น 60 เมือง นับว่าตลอดทั้งแว่นแคว้นอาร์โกบซึ่งเป็นอาณาจักรของโอกแห่งบาชาน เมืองที่มีการคุ้มกันอย่างแข็งแกร่งด้วยกำแพงสูง ประตูเมืองติดสลักดาลประตู แต่ก็มีหมู่บ้านหลายแห่งที่ไม่มีกำแพงกั้น พวกเราทำลายเมืองเหล่านั้นจนราบคาบ เรากำจัดผู้ชาย ผู้หญิง และเด็กทุกคนอย่างที่เรากระทำต่อเมืองของสิโหนกษัตริย์แห่งเฮชโบน แต่สัตว์เลี้ยงและของที่ยึดได้ เราริบเก็บไว้เอง ฉะนั้นพวกเรายึดดินแดนในเวลานั้นได้จากมือของกษัตริย์ทั้งสองของชาวอาโมร์ที่อยู่โพ้นแม่น้ำจอร์แดนคือ ตั้งแต่ลุ่มน้ำอาร์โนนจรดภูเขาเฮอร์โมน ชาวไซดอนเรียกเฮอร์โมนว่าสีรีออน แต่ชาวอาโมร์เรียกเฮอร์โมนว่าเสนีร์ 10 พวกเรายึดทุกเมืองบนที่ราบสูง ทั่วแคว้นกิเลอาดและบาชาน ไกลจนถึงสาเลคาห์ และเอเดรอีซึ่งเป็นเมืองในอาณาจักรของโอกในแคว้นบาชาน 11 (โอกกษัตริย์แห่งบาชานเท่านั้นที่เหลือเป็นท่านสุดท้ายของชาวเรฟา ดูเถิด หีบที่ใช้เก็บร่างของท่านหล่อด้วยเหล็ก หีบใบนั้นไม่ได้อยู่ที่เมืองรับบาห์ของชาวอัมโมนหรอกหรือ ขนาดมาตรฐานคือ ยาว 9 ศอก กว้าง 4 ศอก)

การแบ่งที่ดิน

12 ในเวลานั้น เมื่อเรายึดที่ดินเป็นเจ้าของ เรายกอาณาเขตให้แก่ชาวรูเบนและชาวกาดโดยเริ่มจากเมืองอาโรเออร์ซึ่งอยู่ที่ข้างลุ่มน้ำอาร์โนน และครึ่งหนึ่งของแถบภูเขาในแคว้นกิเลอาดซึ่งมีเมืองต่างๆ รวมอยู่ด้วย 13 ส่วนที่เหลือของแคว้นกิเลอาด บาชานทั้งแคว้น อาณาจักรของโอกคืออาร์โกบทั้งแคว้น เรายกให้ครึ่งเผ่าของมนัสเสห์ (เรียกบาชานทั้งแคว้นว่าดินแดนของเรฟา 14 ยาอีร์จากเผ่ามนัสเสห์รับแคว้นอาร์โกบทั้งแคว้นไปคือแคว้นบาชาน ไกลจนถึงสุดชายแดนเกชูร์และมาอาคาห์ เขาตั้งชื่อของเขาเองคือฮาวโวทยาอีร์แทนชื่อบาชานมาจนถึงทุกวันนี้) 15 เรายกกิเลอาดให้มาคีร์ 16 สำหรับชาวรูเบนและชาวกาดเรายกอาณาเขตจากกิเลอาดคือตั้งแต่กลางลุ่มน้ำอาร์โนนเป็นชายแดนจนจรดแม่น้ำยับบอกสุดชายแดนของชาวอัมโมน 17 ชายแดนด้านตะวันตกที่แม่น้ำจอร์แดนในอาราบาห์ จากทะเลสาบคินเนเรท[i]จรดทะเลอาราบาห์คือทะเลเกลือ ด้านตะวันออกจรดที่เชิงเขาปิสกาห์

18 แล้วเราสั่งพวกท่านในเวลานั้นว่า ‘พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของท่านได้มอบดินแดนนี้ให้ท่านยึดครอง จงให้บรรดานักรบพร้อมอาวุธข้ามแม่น้ำล่วงหน้าไปก่อนพี่น้องของท่านซึ่งเป็นชาวอิสราเอล 19 แต่ให้ภรรยา เด็กเล็ก และฝูงปศุสัตว์ (เรารู้ว่าท่านมีฝูงปศุสัตว์อยู่มากมาย) อยู่ในเมืองซึ่งเราแบ่งยกให้ 20 จนกว่าพระผู้เป็นเจ้าจะให้พี่น้องของท่านได้หยุดพักเหมือนที่พระองค์ให้แก่พวกท่าน และให้พวกเขายึดดินแดนอีกฟากหนึ่งของแม่น้ำจอร์แดนอันเป็นที่ซึ่งพระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของท่านมอบให้แก่พวกเขา จากนั้นพวกท่านทุกคนจะกลับไปครอบครองสิ่งที่เราได้ยกให้’

โมเสสไม่ได้รับอนุญาตเข้าไปในดินแดนคานาอัน

21 ในเวลานั้นเราสั่งโยชูวาว่า ‘พวกท่านได้เห็นทุกสิ่งที่พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของท่านกระทำต่อกษัตริย์ทั้งสองนั้นด้วยตาของท่านเองแล้ว พระผู้เป็นเจ้าจะกระทำเช่นเดียวกันต่ออาณาจักรทุกแห่งที่ท่านจะเข้าไปบุกรุก 22 พวกท่านอย่ากลัวอาณาจักรเหล่านั้นเลย เพราะพระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของท่านเป็นผู้ต่อสู้ให้ท่านเอง’

23 ในครั้งนั้นเราวิงวอนต่อพระผู้เป็นเจ้าว่า 24 ‘โอ พระผู้เป็นเจ้าผู้ยิ่งใหญ่ พระองค์เริ่มแสดงให้ผู้รับใช้ของพระองค์เห็นความยิ่งใหญ่และอานุภาพของพระองค์ จะมีเทพเจ้าใดในสวรรค์หรือในโลกที่สามารถกระทำการเยี่ยงนี้หรือมีอานุภาพทำการใดเทียบเท่ากับพระองค์ได้เล่า 25 โปรดให้ข้าพเจ้าข้ามแม่น้ำจอร์แดนไปดูแผ่นดินอันอุดมที่อีกฟากเถิด บริเวณแถบภูเขาอันงดงามที่นั่นและที่เลบานอน’ 26 แต่เป็นเพราะพวกท่าน พระผู้เป็นเจ้าจึงโกรธเราจนไม่ฟังเรา และพระองค์กล่าวกับเราว่า ‘พอที อย่าพูดเรื่องนี้กับเราอีก 27 เจ้าจงขึ้นไปยังยอดเขาปิสกาห์ แล้วกวาดสายตาดูให้รอบทั้งทางทิศเหนือและทิศใต้ ทิศตะวันออกและทิศตะวันตก ใช้ตาเจ้ามองดูให้ดี เพราะเจ้าจะไม่ได้ข้ามแม่น้ำจอร์แดนนี้ไป 28 แต่จงมอบหมายหน้าที่แก่โยชูวา จงให้กำลังใจเขา และช่วยให้เขาเข้มแข็ง เพราะเขาจะนำชนชาตินี้ข้ามไป และจะให้พวกเขาได้เป็นเจ้าของแผ่นดินที่เจ้าเห็นอยู่นี้’ 29 ดังนั้นพวกเราจึงพักอยู่ที่หุบเขาตรงข้ามกับเมืองเบธเปโอร์

โมเสสสนับสนุนให้ชาวอิสราเอลเชื่อฟัง

บัดนี้ โอ อิสราเอลเอ๋ย จงฟังและปฏิบัติตามกฎเกณฑ์และคำสั่งที่เราสอนพวกท่าน เพื่อจะได้มีชีวิตอยู่และเข้าไปยังดินแดนที่พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของบรรพบุรุษมอบให้พวกท่านเป็นเจ้าของ ท่านอย่าแต่งเติมเสริมคำจากสิ่งที่เราสั่งไว้ หรือตัดคำให้หดหายไป แต่จงรักษาพระบัญญัติของพระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของท่าน ตามที่เราสั่งพวกท่าน ท่านเห็นด้วยตาของท่านเองแล้วว่า พระผู้เป็นเจ้ากระทำอะไรที่บาอัลเปโอร์ เพราะพระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของท่านได้กำจัดทุกคนในหมู่พวกท่านที่หันไปเชื่อเทพเจ้าบาอัล[j]แห่งเปโอร์[k] แต่ทุกคนที่ภักดีต่อพระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของท่าน ท่านยังมีชีวิตอยู่ถึงวันนี้ทุกคน ดูสิ เราได้สอนพวกท่านเรื่องกฎเกณฑ์และคำบัญชาตามที่พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของเราบัญชาไว้ เพื่อให้ท่านปฏิบัติตามในแผ่นดินที่ท่านกำลังเข้าไปยึดครอง ท่านจงรักษาและปฏิบัติตาม แสดงให้บรรดาชนชาติเห็นสติปัญญาและความเข้าใจของท่าน เมื่อเขาได้ยินกฎเกณฑ์เหล่านี้เขาจะพูดว่า ‘ประชาชาติที่ยิ่งใหญ่นี้กอปรด้วยสติปัญญา และเป็นชนชาติที่มีความเข้าใจจริงทีเดียว’ มีประชาชาติใดบ้างที่ยิ่งใหญ่ ซึ่งมีเทพเจ้าอยู่ใกล้เทียบเท่ากับที่พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของเราอยู่ใกล้กับเราเวลาเราร้องเรียกถึงพระองค์ และจะมีประชาชาติใดบ้างที่ยิ่งใหญ่ ซึ่งมีกฎเกณฑ์และคำบัญชาอันชอบธรรมทัดเทียมกับกฎบัญญัติทุกข้อที่เราวางไว้ต่อหน้าพวกท่านในวันนี้

จงระวังเถิด ระวังชีวิตของท่านให้ดี มิฉะนั้นท่านจะลืมสิ่งที่ท่านเห็นด้วยตาของท่าน และมันจะเหินห่างจากใจท่านไปจนชั่วชีวิต จงบอกเรื่องราวนี้ต่อๆ กันไปตราบชั่วลูกชั่วหลาน 10 ถึงวันที่ท่านได้ยืนอยู่ ณ เบื้องหน้าพระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของท่านที่ภูเขาโฮเรบ[l] พระผู้เป็นเจ้ากล่าวกับเราว่า ‘จงพาประชาชนมาหาเรา เพื่อให้เขาได้ยินคำพูดของเรา เขาจะได้รู้จักเกรงกลัวเราตลอดชีวิตของเขาในโลก และให้เขาสอนลูกหลานของเขาด้วยเช่นกัน’ 11 แล้วพวกท่านก็เข้าไปใกล้ ยืนกันอยู่ที่เชิงเขา ขณะนั้นภูเขาลุกเป็นไฟ เปลวเพลิงพลุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้าในความมืด เมฆทึบ อีกทั้งมีความมืดมน 12 ครั้นแล้วพระผู้เป็นเจ้ากล่าวกับพวกท่านจากกลางเพลิง ท่านก็ได้ยินเสียงพูดแต่ไม่เห็นรูปลักษณ์ของพระองค์ มีเพียงแต่เสียงเท่านั้น 13 พระองค์ประกาศพันธสัญญาแก่ท่าน และให้ท่านปฏิบัติตามคือบัญญัติสิบประการ แล้วพระองค์เขียนไว้บนศิลา 2 แผ่น 14 ในครั้งนั้นพระผู้เป็นเจ้าบัญชาให้เราสอนกฎเกณฑ์และคำสั่งแก่พวกท่าน เพื่อให้ท่านปฏิบัติตามในแผ่นดินที่พวกท่านกำลังข้ามไปยึดครอง

ห้ามบูชารูปเคารพ

15 ดังนั้น พวกท่านจงระวังชีวิตของท่านเองให้ดี ในเมื่อท่านไม่เห็นรูปลักษณ์ใดในวันที่พระผู้เป็นเจ้ากล่าวกับพวกท่านที่ภูเขาโฮเรบจากกลางเพลิง 16 จงระวังไว้ มิฉะนั้นพวกท่านจะประพฤติอย่างเสื่อมทรามด้วยการสร้างรูปเคารพให้แก่ตนเอง ไม่ว่าจะเป็นในรูปใด ในลักษณะของชายหรือหญิงก็ตาม 17 จะเป็นสัตว์บกในโลก หรือเป็นนกบินได้ในอากาศ 18 เป็นเหมือนสิ่งที่เลื้อยคลานบนดิน หรือเหมือนปลาที่แหวกว่ายในน้ำใต้แผ่นดิน 19 และจงระวังเถิด มิฉะนั้นเวลาที่ท่านเงยหน้าขึ้นสู่ท้องฟ้า เห็นดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ ดวงดาว และสิ่งทั้งปวงที่อยู่บนท้องฟ้า แล้วพวกท่านอาจจะถูกชักจูงให้หันไปก้มกราบและบูชาสิ่งเหล่านั้น อันเป็นสิ่งที่พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของท่านมอบให้แก่ชนชาติทั้งปวงที่อยู่ใต้ฟ้าทั่วทั้งโลก 20 แต่พระผู้เป็นเจ้าได้พาท่านไป และนำท่านออกจากประเทศอียิปต์ที่เป็นเสมือนเตาผิงเหล็ก เพื่อให้เป็นชนชาติซึ่งเป็นมรดกสำหรับพระองค์เอง อย่างที่ท่านเป็นอยู่ทุกวันนี้ 21 พระผู้เป็นเจ้าโกรธกริ้วเรา[m]ก็เพราะพวกท่าน พระองค์ปฏิญาณว่าเราจะไม่ได้ข้ามแม่น้ำจอร์แดน เราจะไม่ได้ก้าวเข้าไปยังแผ่นดินอันอุดมที่พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของท่านให้ท่านได้รับเป็นมรดก 22 เพราะเราจะต้องตายในดินแดนนี้ เราจะต้องไม่ข้ามแม่น้ำจอร์แดนไป แต่ท่านจะเป็นผู้ข้าม และยึดครองแผ่นดินอันอุดมนั้น 23 พวกท่านจงระวังเถิด มิฉะนั้นท่านจะลืมพันธสัญญาของพระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของท่าน ที่พระองค์ได้ทำไว้กับท่าน ท่านอาจจะสร้างรูปเคารพในรูปลักษณะอย่างหนึ่งอย่างใดที่พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของท่านได้ห้ามไว้แล้ว 24 พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของท่านเป็นดั่งไฟเผาผลาญ[n] พระองค์เป็นพระเจ้าผู้หวงแหน

25 เมื่อพวกท่านมีลูกหลานและอาศัยอยู่ในแผ่นดินจนแก่เฒ่า หากว่าท่านประพฤติอย่างเสื่อมทรามโดยการสร้างรูปเคารพในรูปลักษณะอย่างหนึ่งอย่างใด และกระทำสิ่งชั่วร้ายในสายตาของพระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของท่าน ซึ่งเป็นการยั่วโทสะของพระองค์ 26 เราขอให้ทั้งฟ้าและดินเป็นพยานกล่าวโทษท่านในวันนี้ว่า ท่านจะตายสาบสูญไปจากดินแดนที่ท่านกำลังจะข้ามแม่น้ำจอร์แดนไปยึดครอง ท่านจะอยู่ที่นั่นไม่ได้นาน และจะถูกฆ่าล้างจนไม่เหลือแม้แต่ซาก 27 พระผู้เป็นเจ้าจะทำให้พวกท่านกระจัดกระจายไปอยู่ท่ามกลางบรรดาชนชาติ จะมีเหลืออยู่ก็เพียงไม่กี่คนที่พระองค์ขับไล่ให้ไปอยู่กับบรรดาประชาชาติ 28 และท่านจะบูชาเทพเจ้าที่สลักจากไม้และหิน ทำด้วยมือมนุษย์ เป็นสิ่งที่ไม่สามารถมองเห็น ได้ยิน กิน หรือดมกลิ่น 29 แต่ท่านจะแสวงหาพระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของท่านจากสถานที่นั้น ท่านก็จะพบพระองค์ หากว่าท่านแสวงหาพระองค์อย่างสุดดวงใจและสุดดวงจิตของท่าน 30 ยามที่ท่านตกอยู่ในความทุกข์ยากลำบาก และสิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นกับท่านในวันข้างหน้า ท่านจะกลับไปหาพระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของท่าน และเชื่อฟังพระองค์ 31 เพราะพระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของท่านเป็นพระเจ้าผู้มีเมตตา พระองค์จะไม่ทอดทิ้งและไม่กำจัดท่าน หรือลืมพันธสัญญาที่พระองค์ได้ปฏิญาณไว้กับบรรพบุรุษของท่าน

พระผู้เป็นเจ้าเป็นพระเจ้า

32 จงถามดูเถิดว่า วันที่ล่วงมาในสมัยดึกดำบรรพ์ นับจากวันที่พระเจ้าสร้างมนุษย์ในโลก และจงถามจากสุดฟากฟ้าด้านหนึ่งจนถึงอีกด้านหนึ่งเถิดว่า เคยมีสิ่งใดที่ยิ่งใหญ่เช่นนี้เกิดขึ้นบ้างไหม หรือเคยได้ยินเรื่องเช่นนี้บ้างหรือไม่ 33 มีชาติใดที่เคยได้ยินเสียงเทพเจ้าเอ่ยจากเพลิงไฟดังที่ท่านได้ยิน และยังมีชีวิตอยู่ได้ 34 หรือมีเทพเจ้าใดที่พยายามนำประชาชาติหนึ่งที่อยู่ภายใต้การนำของอีกประชาชาติหนึ่งออกมาให้เป็นของเทพเจ้าเอง โดยใช้วิธีทดสอบโดยปรากฏการณ์อัศจรรย์ สิ่งมหัศจรรย์ โดยการสงคราม โดยอานุภาพและพลานุภาพ และโดยเหตุการณ์อันน่าสะพรึงกลัว เหมือนกับที่พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของท่านกระทำเพื่อท่านในอียิปต์ ให้เห็นต่อหน้าต่อตาพวกท่าน 35 สิ่งเหล่านี้ปรากฏให้พวกท่านเห็น เพื่อให้ท่านทราบว่าพระผู้เป็นเจ้าเป็นพระเจ้า และไม่มีผู้ใดอีกนอกจากพระองค์ 36 พระองค์ให้ท่านได้ยินพระองค์จากสวรรค์ เพื่อสอนท่านให้รู้จักวินัย ให้ท่านเห็นเพลิงไฟบนแผ่นดินโลก และให้ท่านได้ยินเสียงพระองค์กล่าวจากใจกลางเพลิงนั้น 37 เพราะพระองค์รักบรรพบุรุษของท่าน และได้เลือกบรรดาผู้สืบเชื้อสายต่อมา พระองค์นำพวกท่านออกจากอียิปต์ด้วยพระองค์เองและด้วยพลานุภาพอันยิ่งใหญ่ของพระองค์ 38 พระองค์ขับไล่บรรดาประชาชาติที่ยิ่งใหญ่กว่าและเข้มแข็งกว่าพวกท่านเอง เพื่อนำท่านเข้าไป และให้แผ่นดินแก่ท่านเป็นมรดกอย่างที่เป็นอยู่ทุกวันนี้ 39 จงรู้ไว้เสียในวันนี้เถิด และจารึกไว้ในใจของท่านว่า พระผู้เป็นเจ้าเป็นพระเจ้าในสวรรค์เบื้องบนและในโลกเบื้องล่าง ไม่มีผู้ใดอื่นอีกแล้ว 40 ฉะนั้นท่านจงรักษากฎเกณฑ์และพระบัญญัติของพระองค์ตามที่เราสั่งท่านในวันนี้ เพื่อว่าทุกสิ่งจะเป็นไปด้วยดีสำหรับท่านและลูกหลานของท่าน และท่านจะได้มีชีวิตยืนยาวในแผ่นดินที่พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของท่านมอบให้ไว้ตลอดกาล”

เมืองลี้ภัย

41 แล้วโมเสสเลือกเมืองที่อยู่ทางฝั่งตะวันออกของแม่น้ำจอร์แดน 3 เมือง 42 เพื่อให้คนไปหลบซ่อนอยู่ได้ในกรณีฆ่าคนโดยไม่มีเจตนา เพราะไม่เคยเป็นศัตรูกันมาก่อน เขาจะหนีไปอยู่ที่เมืองใดเมืองหนึ่งเพื่อเอาชีวิตรอด 43 เมืองเบเซอร์ในถิ่นทุรกันดารบนที่ราบสูงสำหรับคนจากเผ่ารูเบน เมืองราโมทในแคว้นกิเลอาดสำหรับคนจากเผ่ากาด เมืองโกลานในแคว้นบาชานสำหรับคนจากเผ่ามนัสเสห์

กฎบัญญัติที่ภูเขาซีนาย

44 ต่อไปนี้เป็นกฎบัญญัติที่โมเสสวางไว้สำหรับชาวอิสราเอล 45 นี่คือพันธสัญญา คำสั่ง และกฎเกณฑ์ที่โมเสสกล่าวกับชาวอิสราเอลในยามที่พวกเขาออกจากประเทศอียิปต์ 46 อีกฝั่งของแม่น้ำจอร์แดนที่หุบเขาตรงข้ามกับเมืองเบธเปโอร์ ในแผ่นดินของสิโหนกษัตริย์ของชาวอาโมร์ผู้อาศัยอยู่ที่เมืองเฮชโบน แต่โมเสสและชาวอิสราเอลรบชนะพวกเขาครั้งที่ออกจากอียิปต์ 47 พวกเขายึดแผ่นดินของกษัตริย์สิโหนและของโอกกษัตริย์แห่งบาชาน ทั้งสองเป็นกษัตริย์ของชาวอาโมร์ที่อาศัยอยู่ทางฝั่งตะวันออกของแม่น้ำจอร์แดน 48 นับจากเมืองอาโรเออร์ซึ่งอยู่ที่ชายลุ่มน้ำอาร์โนนจนจรดภูเขาสีรีออน (คือเฮอร์โมน) 49 รวมทั้งที่ราบอาราบาห์ทั้งหมดทางฟากตะวันออกของแม่น้ำจอร์แดนจรดทะเลอาราบาห์[o] ทางตะวันออกจรดเชิงเขาปิสกาห์

พระบัญญัติสิบประการ

โมเสสเรียกประชุมชาวอิสราเอลทั้งหมดและกล่าวว่า “ชาวอิสราเอลเอ๋ย จงฟังเถิด กฎเกณฑ์และคำบัญชาที่เราบอกท่านในวันนี้ ท่านจงเรียนรู้ไว้และปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของเราทั้งหลายทำพันธสัญญาไว้กับเราที่ภูเขาโฮเรบ พระผู้เป็นเจ้าไม่ได้ทำพันธสัญญากับบรรพบุรุษของเรา แต่ทำกับพวกเราซึ่งเป็นพวกเราทุกคนที่มีชีวิตอยู่ในวันนี้ พระผู้เป็นเจ้ากล่าวกับพวกท่านต่อหน้าที่ภูเขานั้นจากท่ามกลางเพลิง ขณะที่เรายืนอยู่ระหว่างพระผู้เป็นเจ้ากับพวกท่านในเวลานั้น เพื่อประกาศสิ่งที่พระผู้เป็นเจ้ากล่าว เนื่องจากพวกท่านกลัวเพลิงไฟและไม่ได้ขึ้นไปบนภูเขา พระองค์กล่าวว่า

‘เราคือพระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของเจ้า คือผู้ที่นำเจ้าออกจากแผ่นดินอียิปต์ จากบ้านเรือนแห่งความเป็นทาส

นอกจากเราแล้ว เจ้าจงอย่านมัสการเทพเจ้าใดๆ

อย่าสร้างรูปเคารพหรือสิ่งใดที่มีลักษณะเหมือนสิ่งที่อยู่ในสวรรค์เบื้องบน หรืออยู่ในโลกเบื้องล่าง หรืออยู่ในน้ำใต้โลกให้แก่ตนเอง อย่าก้มกราบหรือบูชาสิ่งเหล่านั้น เพราะเราคือพระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของเจ้า พระเจ้าผู้หวงแหน เราจะทำให้บาปของบิดาตกทอดถึงบุตรของเขาต่อเนื่องไปจน 3 และ 4 ชั่วอายุของผู้ที่เกลียดชังเรา 10 แต่เราจะแสดงความรักอันมั่นคงนับพันๆ ชั่วอายุของผู้ที่รักเราและปฏิบัติตามบัญญัติของเรา

11 อย่าใช้ชื่อพระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของเจ้าในทางที่ผิด เพราะพระองค์จะถือโทษต่อคนที่นำชื่อของพระองค์ไปใช้ในทางที่ผิด

12 จงปฏิบัติตนในวันสะบาโตโดยนับว่าเป็นวันบริสุทธิ์ ตามที่พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของเจ้าบัญชาไว้ 13 เจ้าจะลงแรงทำงานทั้งสิ้นของเจ้า 6 วัน 14 แต่วันที่เจ็ดเป็นวันสะบาโตสำหรับพระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของเจ้า เจ้าอย่าทำงานใดๆ ในวันนั้น ไม่ว่าจะเป็นตัวเจ้า บุตรชายบุตรหญิง ผู้รับใช้ชายและหญิง โค ลา หรือสัตว์เลี้ยงของเจ้า และผู้อาศัยที่อยู่ในเมือง เพื่อให้ผู้รับใช้ของเจ้าได้หยุดพักเหมือนกับเจ้า 15 จงจำไว้ว่าเจ้าเป็นทาสรับใช้ในแผ่นดินอียิปต์ และพระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของเจ้านำเจ้าออกจากที่นั่นด้วยอานุภาพและพลานุภาพ ฉะนั้นพระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของเจ้าบัญชาให้เจ้าปฏิบัติตนในวันสะบาโต

16 จงให้เกียรติบิดามารดาของเจ้าตามที่พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของเจ้าบัญชาไว้ เพื่อเจ้าจะได้มีชีวิตยืนยาว และทุกสิ่งจะเป็นไปด้วยดีในแผ่นดินที่พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของเจ้ามอบให้แก่เจ้า

17 อย่าฆ่าคน

18 อย่าผิดประเวณี

19 อย่าขโมย

20 อย่าเป็นพยานเท็จกล่าวหาเพื่อนบ้านของเจ้า[p]

21 อย่าโลภ[q]อยากได้ภรรยาของเพื่อนบ้านเจ้า หรือโลภอยากได้บ้านเรือนของเพื่อนบ้าน หรือไร่นา ผู้รับใช้ชายและหญิงของเขา โคหรือลาของเขา หรืออะไรก็ตามที่เป็นของเพื่อนบ้านของเจ้า’

22 นี่คือพระบัญญัติที่พระผู้เป็นเจ้าประกาศด้วยเสียงอันดังแก่ที่ประชุมทั้งหมดที่ภูเขา จากใจกลางเพลิง หมอกเมฆและความมืดมิด พระองค์ไม่ได้กล่าวยิ่งไปกว่านั้น แล้วพระองค์เขียนไว้บนศิลา 2 แผ่นมอบให้กับเรา 23 เมื่อท่านได้ยินเสียงจากความมืด และภูเขาก็ลุกเป็นไฟ ท่านและบรรดาหัวหน้าประจำเผ่าและหัวหน้าชั้นผู้ใหญ่ของท่านจึงเข้ามาใกล้เรา 24 แล้วพวกท่านพูดว่า ‘พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของเราได้ให้พวกเราเห็นพระบารมีและความยิ่งใหญ่ของพระองค์แล้ว และเราก็ได้ยินเสียงพระองค์จากใจกลางเพลิง วันนี้เราเห็นพระเจ้ากล่าวกับมนุษย์และมนุษย์ก็ยังมีชีวิตอยู่ได้ 25 ในเวลานี้ทำไมพวกเราจะต้องเสี่ยงกับความตายเล่า เพลิงไฟขนาดใหญ่เช่นนี้จะทำให้พวกเราไม่รอดแน่ ถ้าหากว่าเราได้ยินเสียงพระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของเราอีก เราจะต้องตายอย่างแน่นอน 26 มีมนุษย์ใดบ้างที่ได้ยินเสียงของพระเจ้าผู้ดำรงอยู่พูดจากเพลิงไฟอย่างที่พวกเราได้ยินและยังมีชีวิตอยู่ได้ 27 ขอให้ท่านเป็นผู้ไปใกล้ๆ เถิด ฟังทุกสิ่งที่พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของเราจะกล่าว แล้วท่านมาบอกให้พวกเราฟังสิ่งที่พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของเราบอกกับท่านในทุกเรื่อง พวกเราจะฟังและปฏิบัติตาม’

28 พระผู้เป็นเจ้าได้ยินสิ่งที่ท่านพูดกับเรา พระองค์จึงกล่าวกับเราว่า ‘เราได้ยินสิ่งที่ประชาชนพวกนี้พูดกับเจ้า ทุกสิ่งที่พวกเขาพูดมานั้นถูกต้องทีเดียว 29 ถ้าใจของพวกเขาเป็นเช่นนั้นได้เสมอไปก็ดีนะ เกรงกลัวเราและรักษาบัญญัติของเราทุกข้อ เพื่อว่าทุกสิ่งจะเป็นไปด้วยดีสำหรับพวกเขาและลูกหลานของเขาไปตลอดกาล 30 เจ้าจงไปบอกพวกเขาให้กลับไปยังกระโจมของตน 31 แต่เจ้าจงยืนอยู่ที่นี่กับเรา แล้วเราจะบอกเจ้าเรื่องบัญญัติ กฎเกณฑ์ และคำบัญชาทั้งสิ้นที่เจ้าควรจะสอนพวกเขา เพื่อให้เขาปฏิบัติตามในแผ่นดินที่เรามอบให้เขาเพื่อยึดครอง’ 32 ฉะนั้นพวกท่านจงระมัดระวังปฏิบัติตามที่พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของท่านบัญชาให้ท่านกระทำ อย่าหันเหไปจากการปฏิบัติตามกฎบัญญัติ 33 ท่านควรปฏิบัติตามวิถีทางที่พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของท่านได้บัญชาไว้ เพื่อจะได้มีชีวิตอยู่ และทุกสิ่งจะเป็นไปด้วยดีสำหรับท่าน และจะมีอายุยืนอยู่ในแผ่นดินที่ท่านจะยึดครอง

พระบัญญัติที่สำคัญที่สุด

ต่อไปนี้เป็นพระบัญญัติ กฎเกณฑ์ และคำบัญชาที่พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของท่านบัญชาให้เราสอน เพื่อพวกท่านจะได้ปฏิบัติในแผ่นดินที่ท่านกำลังจะเดินทางข้ามไปยึดเป็นเจ้าของ ท่านจะได้เกรงกลัวพระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของท่าน ด้วยการรักษากฎเกณฑ์และพระบัญญัติของพระองค์ ซึ่งเราบัญชาท่านและบรรดาผู้สืบเชื้อสายไปจนชั่วชีวิต ท่านจะได้มีชีวิตยืนนาน จงฟังเถิด อิสราเอลเอ๋ย และปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด ทุกสิ่งจะเป็นไปด้วยดีสำหรับท่าน และท่านจะทวีจำนวนคนขึ้นในดินแดนอันอุดมด้วยน้ำนมและน้ำผึ้งตามที่พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของบรรพบุรุษของท่านได้สัญญาไว้

จงฟังเถิด อิสราเอลเอ๋ย พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของเราเป็นพระผู้เป็นเจ้าแต่เพียงผู้เดียว และจงรักพระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของท่านอย่างสุดดวงใจ สุดดวงจิต และสุดกำลังของท่าน[r] ให้บัญญัติที่เราบัญชาพวกท่านในวันนี้อยู่ในใจท่าน ท่านจงสั่งสอนสิ่งเหล่านี้กับลูกๆ ด้วยความพากเพียร และจงพูดถึงไม่ว่าจะเป็นเวลานั่งอยู่ในบ้าน หรือเดินไปไหนมาไหน และไม่ว่าจะเป็นเวลาหลับหรือตื่นก็ตาม ท่านจงผูกติดไว้เป็นดั่งเครื่องหมายที่มือของท่าน[s] และเป็นเครื่องเตือนใจที่หน้าผาก และท่านจงเขียนไว้ที่วงกบประตูบ้านท่านและที่ประตูเมือง

10 เมื่อพระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของท่านนำท่านเข้าไปในแผ่นดินที่พระองค์ปฏิญาณไว้กับบรรพบุรุษของท่าน กับอับราฮัม อิสอัค และยาโคบ เพื่อยกเมืองทั้งหลายที่ใหญ่และอุดมสมบูรณ์ซึ่งท่านไม่ได้สร้าง 11 มีข้าวของเครื่องใช้เต็มบ้านโดยท่านไม่ต้องหา บ่อที่ขุดไว้แล้วโดยท่านไม่ต้องขุด สวนองุ่นและต้นมะกอกที่ท่านไม่ได้ปลูก และเมื่อท่านมีกินจนอิ่มหนำ 12 ท่านจงระวังไว้ มิฉะนั้นท่านอาจจะลืมพระผู้เป็นเจ้าผู้นำท่านออกจากแผ่นดินอียิปต์ จากบ้านเรือนแห่งความเป็นทาส 13 ท่านจงเกรงกลัวพระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของท่าน จงรับใช้พระองค์ และสาบานด้วยพระนามของพระองค์ 14 อย่าหันไปเชื่อเทพเจ้าใดๆ ที่เป็นของบรรดาชนชาติที่อยู่รอบข้างท่าน 15 เพราะพระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของท่านซึ่งอยู่ในท่ามกลางพวกท่านเป็นพระเจ้าผู้หวงแหน เกรงว่าพระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของท่านจะกริ้วมาก และกำจัดท่านให้พ้นจากแผ่นดินโลก

16 อย่าลองดีกับพระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของท่าน เหมือนอย่างครั้งที่ท่านได้ลองดีกับพระองค์ที่มัสสาห์[t] 17 ท่านจงรักษาพระบัญญัติ พันธสัญญา และกฎเกณฑ์ของพระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของท่านอย่างเคร่งครัดตามคำบัญชาของพระองค์ 18 ท่านจงประพฤติตามสิ่งที่ถูกที่ควรตามสายตาพระผู้เป็นเจ้า เพื่อว่าทุกสิ่งจะเป็นไปด้วยดีสำหรับท่าน และท่านจะได้เข้าไปยึดครองแผ่นดินอันอุดมซึ่งพระผู้เป็นเจ้าได้ปฏิญาณว่าจะมอบแก่บรรพบุรุษของท่าน 19 โดยขับไล่ศัตรูทุกคนออกไปให้พ้นหน้าท่าน ตามที่พระผู้เป็นเจ้าได้สัญญาไว้

20 ในอนาคต เวลาบุตรของท่านถามว่า ‘พันธสัญญา กฎเกณฑ์ และคำสั่งทั้งหลายที่พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของเราได้บัญชาพวกท่านไว้มีความหมายอย่างไร’ 21 แล้วท่านจะตอบบุตรของท่านว่า ‘พวกเราเป็นทาสของฟาโรห์ที่ประเทศอียิปต์ และพระผู้เป็นเจ้าพาพวกเราออกจากอียิปต์ด้วยอานุภาพอันยิ่งใหญ่ของพระองค์ 22 และพระผู้เป็นเจ้าได้แสดงให้เราเห็นปรากฏการณ์อัศจรรย์และสิ่งมหัศจรรย์ต่างๆ อันยิ่งใหญ่ และสิ่งเลวร้ายที่เกิดกับอียิปต์ ทั้งฟาโรห์และทุกคนในครัวเรือนของท่าน 23 และพระองค์พาพวกเราออกจากที่นั่น เพื่อพระองค์จะได้นำพวกเราเข้าไปและมอบแผ่นดินที่พระองค์ได้ปฏิญาณไว้ว่าจะมอบแก่บรรพบุรุษของเรา 24 และพระผู้เป็นเจ้าบัญชาให้เราปฏิบัติตามกฎเกณฑ์เหล่านี้ ให้ยำเกรงพระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของเรา เพื่อคงคุณประโยชน์แก่เราเสมอไป และให้มีชีวิตดังที่เป็นอยู่ในวันนี้ 25 ถ้าเราปฏิบัติตามพระบัญญัติทั้งปวงอย่างเคร่งครัด ณ เบื้องหน้าพระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของเราอย่างที่พระองค์บัญชา แล้วความชอบธรรมก็จะเป็นของพวกเรา’

อิสราเอลเป็นของพระผู้เป็นเจ้า

เวลาพระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของท่านนำท่านเข้าไปในแผ่นดินที่ท่านกำลังจะไปยึดครอง และขับไล่ประชาชาติมากหลายไปให้พ้นหน้าท่านคือ ชาวฮิต ชาวเกอร์กาช ชาวอาโมร์ ชาวคานาอัน ชาวเปริส ชาวฮีว และชาวเยบุส 7 ประชาชาติซึ่งมีทั้งจำนวนคนมากกว่าและเข้มแข็งกว่าท่าน เมื่อพระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของท่านยกคนพวกนี้ให้แก่ท่าน และท่านชนะพวกเขา ท่านต้องกำจัดให้ราบคาบ อย่าทำพันธสัญญาใดๆ และอย่าแสดงความเมตตาต่อพวกเขาด้วย อย่าแต่งงานกับพวกเขา ไม่ว่าจะยกบุตรสาวให้บุตรของเขา หรือรับบุตรสาวมาให้บุตรของท่าน เพราะพวกเขาจะทำให้บุตรของท่านเลิกเชื่อพระผู้เป็นเจ้า แล้วหันไปบูชาบรรดาเทพเจ้า และพระองค์จะกริ้วพวกท่านมาก และจะกำจัดท่านโดยเร็ว ฉะนั้นท่านจงกระทำต่อพวกเขาดังนี้คือ จงทำลายแท่นบูชาของพวกเขา จงทุบเสาหินให้แตก โค่นพวกเทวรูปอาเชราห์[u]ของพวกเขาลงเสีย และเผารูปเคารพสลักของพวกเขา

ด้วยว่า ท่านเป็นชนชาติบริสุทธิ์ต่อพระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของท่าน และพระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของท่านได้เลือกท่านให้เป็นชนชาติหนึ่งจากชนชาติทั้งปวงบนแผ่นดินโลก เพื่อให้เป็นสมบัติอันมีค่าของพระองค์ มิใช่ว่า พวกท่านมีจำนวนคนมากกว่าชนชาติทั้งปวง แต่เนื่องจากพระผู้เป็นเจ้ามีความผูกพันกับพวกท่าน พระองค์จึงได้เลือก ด้วยว่า พวกท่านมีจำนวนน้อยที่สุดในบรรดาชนชาติทั้งปวง แต่เป็นเพราะพระผู้เป็นเจ้ารักท่าน และพระองค์รักษาสัญญาที่ได้ปฏิญาณกับบรรพบุรุษของท่าน จึงนำท่านออกมาด้วยอานุภาพอันยิ่งใหญ่ ให้ท่านหลุดพ้นจากบ้านเรือนแห่งความเป็นทาส จากมือของฟาโรห์กษัตริย์แห่งอียิปต์ ฉะนั้นจงรู้เถิดว่าพระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของท่านเป็นพระเจ้าผู้รักษาคำมั่นสัญญา พระองค์รักษาพันธสัญญาและความรักอันมั่นคงยาวนานนับพันชั่วอายุคนต่อบรรดาผู้ที่รักพระองค์ และรักษาพระบัญญัติของพระองค์ 10 แต่พระองค์จะทำให้คนที่เกลียดชังพระองค์ประสบกับความพินาศเป็นการตอบแทน พระองค์จะไม่ลังเลกับคนที่เกลียดชังพระองค์ พระองค์จะให้เขาประสบกับความพินาศ 11 ฉะนั้นท่านจงรักษาพระบัญญัติ กฎเกณฑ์ และคำสั่งที่เราบัญชาท่านในวันนี้เพื่อปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด

12 ถ้าท่านใส่ใจกับคำสั่งเหล่านี้และปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของท่านจะรักษาพันธสัญญาและความรักอันมั่นคงไว้กับท่าน ตามที่พระองค์ปฏิญาณต่อบรรพบุรุษของท่าน 13 พระองค์จะรักและอวยพร จะเพิ่มจำนวนทายาทของท่านให้มากขึ้น พระองค์จะอวยพรลูกหลานที่เกิดจากท่าน รวมทั้งพืชผลที่ได้จากไร่นา ธัญพืช เหล้าองุ่นและน้ำมันมะกอกอย่างเปี่ยมล้น ลูกโคและลูกแกะจากฝูงในแผ่นดินที่พระองค์ปฏิญาณกับบรรพบุรุษของท่านว่าจะให้แก่ท่าน 14 ท่านจะได้รับพระพรมากกว่าชาติอื่นๆ จะไม่มีชายหรือหญิงคนใดท่ามกลางท่าน หรือแม้แต่สัตว์เลี้ยงของท่านเป็นหมัน 15 และพระผู้เป็นเจ้าจะปกป้องท่านให้พ้นจากโรคภัยทั้งปวง พระองค์จะไม่ให้มีโรคระบาดร้ายแรงอย่างที่ท่านรู้จักในประเทศอียิปต์เกิดกับท่าน แต่พระองค์จะให้เกิดกับทุกคนที่เกลียดชังท่าน 16 แล้วท่านจะกำจัดชนชาติทั้งปวงที่พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของท่านมอบให้แก่ท่าน อย่าให้สายตาของท่านแสดงความสงสารพวกเขา และอย่าบูชาเทพเจ้าใดๆ ของพวกเขา เพราะนั่นคือกับดัก

17 ถ้าท่านนึกในใจว่า ‘ประชาชาติเหล่านี้ใหญ่ยิ่งกว่าเรา เราจะขับไล่เขาไปได้อย่างไร’ 18 อย่ากลัวพวกเขาเลย แต่ท่านจงจำไว้ว่า พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของท่านกระทำอะไรบ้างต่อฟาโรห์และชาวอียิปต์ทั้งปวง 19 ท่านเห็นการทดสอบอันยิ่งใหญ่ด้วยตาของท่าน ปรากฏการณ์อัศจรรย์ สิ่งมหัศจรรย์ อานุภาพ และพลานุภาพ อันเป็นวิธีที่พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของท่านนำท่านออกมา พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของท่านก็จะกระทำอย่างเดียวกันต่อทุกชนชาติที่ท่านกลัว 20 ยิ่งกว่านั้นพระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของท่านจะส่งฝูงแตนไปไล่และฆ่าพวกที่ยังมีชีวิตอยู่และหลบหนีไปซ่อนตัว 21 อย่าตกใจกลัวพวกเขาเลย เพราะพระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของท่านอยู่ท่ามกลางท่าน พระเจ้าผู้ยิ่งใหญ่และน่าเกรงขาม 22 พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของท่านจะขับไล่ประชาชาติเหล่านี้ไปให้พ้นหน้าท่านทีละน้อย ท่านอย่ากำจัดพวกเขาโดยเร็ว เพราะเกรงว่าจำนวนสัตว์ป่าจะมีมากเกินไปสำหรับพวกท่าน[v] 23 แต่พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของท่านจะยกพวกเขาให้แก่ท่าน และทำให้เขาว้าวุ่นชุลมุนจนถูกฆ่าตาย 24 แล้วพระองค์จะทำให้กษัตริย์ของพวกเขาตกอยู่ในเงื้อมมือของท่าน และจะทำให้ชื่อของเขาสาบสูญไปจากโลก จะไม่มีผู้ใดยืนต่อต้านท่านได้ ท่านจะฆ่าพวกเขาทุกคน 25 ท่านจะเผารูปเคารพที่เป็นเทพเจ้าของพวกเขาด้วยไฟ อย่าโลภอยากได้เงินหรือทองที่หุ้มสิ่งเหล่านั้น หรือเอาไปเก็บไว้เอง เกรงว่าท่านจะถูกติดกับดัก เพราะเป็นสิ่งที่น่ารังเกียจต่อพระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของท่าน 26 อย่านำสิ่งที่น่ารังเกียจเข้าบ้านของท่าน มิฉะนั้นท่านจะพลอยถูกกำหนดให้พินาศเหมือนกับสิ่งนั้น ท่านควรทั้งเกลียดทั้งชังสิ่งเหล่านั้นเป็นที่สุด เพราะว่ามันเป็นสิ่งที่ถูกกำหนดให้พินาศ

New Thai Version (NTV-BIBLE)

Copyright © 1998, 2012, 2020 by New Thai Version Foundation