Bible in 90 Days
38 เขาหล่ออ่างทองสัมฤทธิ์สำหรับชำระล้าง 10 ใบสำหรับแท่น 10 แท่น แต่ละอ่างบรรจุได้ 40 บัท วัดเส้นศูนย์กลางได้ 4 ศอก 39 เขาวางแท่น 5 แท่นไว้ที่ด้านใต้ของพระตำหนัก และ 5 แท่นไว้ที่ด้านเหนือของพระตำหนัก และเขาให้ตั้งถังเก็บน้ำไว้ที่มุมด้านตะวันออกเฉียงใต้ของพระตำหนัก
40 ฮีรามหล่อหม้อ ทัพพี และอ่างน้ำ ดังนั้นงานทั้งหมดที่ฮีรามหล่อขึ้นสำหรับพระตำหนักของพระผู้เป็นเจ้าให้กษัตริย์ซาโลมอนก็เสร็จสิ้น 41 เสาหลักทั้งสองต้น และบัวรูปทรงกลมที่ปิดยอดเสา และโซ่ถักเป็นตาข่ายคลุมบัวทรงกลมที่ยอดเสา 42 และผลทับทิม 400 ผลที่รอบตาข่ายทั้งสอง ตาข่ายแต่ละผืนมีผลทับทิม 2 แถวสำหรับคลุมบัวรูปทรงกลมทั้งสองที่ยอดเสา 43 แท่น 10 แท่น และอ่างน้ำ 10 ใบบนแท่น 44 ถังเก็บน้ำ 1 ใบ มีรูปโค 12 ตัวอยู่ใต้ถัง
45 ภาชนะต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น หม้อ ทัพพี และอ่างน้ำ ที่อยู่ในพระตำหนักของพระผู้เป็นเจ้า ซึ่งฮีรามหล่อให้กษัตริย์ซาโลมอน ล้วนแล้วแต่หล่อด้วยทองสัมฤทธิ์อันมันปลาบ 46 กษัตริย์ได้หล่อภาชนะเหล่านี้ในเบ้าดินที่อยู่ระหว่างเมืองสุคคทและศาเรธาน ในที่ราบของแม่น้ำจอร์แดน 47 ซาโลมอนไม่ได้ชั่งน้ำหนักภาชนะเหล่านี้ เพราะว่ามีจำนวนมากมายมหาศาล จึงไม่ได้ชั่งว่าทองสัมฤทธิ์ที่ใช้นั้นมากเพียงไร
48 ซาโลมอนได้สร้างและหล่อภาชนะทุกชิ้นในพระตำหนักของพระผู้เป็นเจ้า คือแท่นบูชาทองคำ โต๊ะทองคำสำหรับวางขนมปังอันบริสุทธิ์ 49 คันประทีปทองคำบริสุทธิ์ 5 คันที่ด้านใต้ และ 5 คันที่ด้านเหนือ ซึ่งอยู่ด้านหน้าพระตำหนักชั้นใน ดอกไม้ ดวงประทีปและคีม ล้วนเป็นทองคำ 50 และถ้วย กรรไกรตัดไส้ดวงประทีป อ่าง ภาชนะเครื่องหอม และถาดที่ใช้เก็บถ่านร้อน ซึ่งเป็นทองคำบริสุทธิ์ บานพับทองคำสำหรับประตูชั้นในสุดของพระตำหนัก คืออภิสุทธิสถาน และสำหรับประตูพระตำหนักชั้นนอกของพระวิหาร
51 เมื่องานทั้งสิ้นที่กษัตริย์ซาโลมอนทำสำหรับพระตำหนักของพระผู้เป็นเจ้าเสร็จสิ้นลงแล้ว ซาโลมอนก็ได้นำสิ่งที่ดาวิดบิดาของท่านได้ถวาย คือเครื่องเงิน ทองคำ และภาชนะต่างๆ มาเก็บไว้ในคลังพระตำหนักของพระผู้เป็นเจ้า
นำหีบเข้ามาในพระตำหนัก
8 จากนั้นซาโลมอนก็เรียกประชุมที่เยรูซาเล็ม เพื่อให้บรรดาหัวหน้าชั้นผู้ใหญ่ของอิสราเอล หัวหน้าเผ่าทุกคน และบรรดาหัวหน้าตระกูลของชาวอิสราเอล เป็นผู้นำหีบพันธสัญญาของพระผู้เป็นเจ้า ขึ้นมาจากเมืองของดาวิด คือศิโยน 2 ชาวอิสราเอลทั้งปวงรวมตัวกันเข้ามาเฝ้ากษัตริย์ซาโลมอนระหว่างงานเทศกาลในเดือนเอธานิม ซึ่งเป็นเดือนที่เจ็ด 3 เมื่อบรรดาหัวหน้าชั้นผู้ใหญ่ของอิสราเอลมาถึง พวกปุโรหิตก็ยกหีบ 4 และพวกเขาได้นำหีบของพระผู้เป็นเจ้า กระโจมที่นัดหมาย และภาชนะอันบริสุทธิ์ทั้งหมดในกระโจมขึ้นมา พวกปุโรหิตและชาวเลวีหามสิ่งเหล่านั้น 5 กษัตริย์ซาโลมอนและชาวอิสราเอลทั้งมวลที่รวมตัวอยู่ด้วยกันกับท่าน ณ เบื้องหน้าหีบ ได้ถวายแกะและโคมากมายจนนับไม่ถ้วน 6 แล้วเหล่าปุโรหิตก็ได้นำหีบพันธสัญญาของพระผู้เป็นเจ้ามายังพระตำหนักชั้นในของพระวิหาร คือในอภิสุทธิสถาน โดยวางไว้ที่ใต้ปีกเครูบทั้งสอง 7 ด้วยว่าเครูบกางปีกขึ้นปกเหนือที่วางหีบ เพื่อโอบหีบและคานหาม 8 คานหามนั้นยาวมากจนมองเห็นปลายทั้งสองข้างได้จากวิสุทธิสถานซึ่งอยู่ด้านหน้าพระตำหนักชั้นใน แต่มองไม่เห็นจากลานด้านนอก และคานหามก็ยังอยู่ที่นั่นมาจนถึงทุกวันนี้ 9 ในหีบไม่มีสิ่งใดนอกจากแผ่นศิลา 2 แผ่นที่โมเสสบรรจุไว้เมื่ออยู่ที่โฮเรบ ที่ซึ่งพระผู้เป็นเจ้าได้ทำพันธสัญญากับบรรดาผู้สืบเชื้อสายของอิสราเอล ในช่วงเวลาที่พวกเขาออกจากแผ่นดินอียิปต์ 10 และเมื่อปุโรหิตออกจากวิสุทธิสถาน เมฆก้อนหนึ่งก็ปรากฏขึ้นในพระตำหนักของพระผู้เป็นเจ้า 11 ทำให้บรรดาปุโรหิตไม่สามารถยืนปฏิบัติหน้าที่ได้เนื่องจากเมฆก้อนนั้น เพราะพระบารมีของพระผู้เป็นเจ้าได้ปรากฏขึ้นในพระตำหนักของพระผู้เป็นเจ้า
ซาโลมอนสรรเสริญพระผู้เป็นเจ้า
12 ครั้นแล้วซาโลมอนกล่าวว่า “พระผู้เป็นเจ้าได้กล่าวว่า พระองค์จะพำนักอยู่ในเมฆอันมืดทึบ[a] 13 ข้าพเจ้าได้สร้างพระตำหนักอันงามตระการถวายแด่พระองค์ เพื่อเป็นสถานที่ให้พระองค์พำนักตลอดไป” 14 แล้วกษัตริย์ก็หันมายังที่ประชุมของอิสราเอลซึ่งกำลังยืนอยู่ และให้พรแก่พวกเขา 15 ท่านกล่าวว่า “สรรเสริญพระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของอิสราเอล พระองค์ได้กระทำตามสัญญาด้วยวาจาที่ได้ให้แก่ดาวิดบิดาของเราด้วยฤทธานุภาพของพระองค์ พระองค์กล่าวว่า 16 ‘นับตั้งแต่วันที่เรานำอิสราเอลชนชาติของเราออกจากแผ่นดินอียิปต์ เราไม่ได้เลือกเมืองใดจากเผ่าต่างๆ ของอิสราเอล เพื่อสร้างตำหนักให้เป็นที่ยกย่องนามของเรา แต่เราเลือกดาวิดมาเป็นผู้ปกครองอิสราเอลชนชาติของเรา’ 17 ดาวิดบิดาของเราตั้งใจจะสร้างพระตำหนักเพื่อยกย่องพระนามของพระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของอิสราเอล 18 แต่พระผู้เป็นเจ้ากล่าวกับดาวิดบิดาของเราว่า ‘เพราะว่าเจ้าตั้งใจจะสร้างตำหนักเพื่อยกย่องนามของเรา ความตั้งใจของเจ้านั้นดี 19 อย่างไรก็ตาม ไม่ใช่เจ้าที่จะเป็นผู้สร้างตำหนัก แต่บุตรของเจ้าที่จะเกิดแก่เจ้า จะเป็นผู้สร้างตำหนักเพื่อยกย่องนามของเรา’[b] 20 บัดนี้พระผู้เป็นเจ้าก็ได้กระทำตามสัญญา เพราะว่าเราได้ขึ้นมาอยู่ในตำแหน่งของดาวิดบิดาของเรา และนั่งครองบัลลังก์ของอิสราเอล อย่างที่พระผู้เป็นเจ้าได้สัญญาไว้ และเราได้สร้างพระตำหนักเพื่อยกย่องพระนามของพระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของอิสราเอล 21 และเราได้จัดที่ไว้ในนั้นสำหรับหีบพันธสัญญาซึ่งมีแผ่นพันธสัญญาของพระผู้เป็นเจ้า ซึ่งพระองค์ทำไว้กับบิดาทั้งหลายของพวกเรา เมื่อครั้งที่พระองค์นำพวกเขาออกจากแผ่นดินอียิปต์”
ซาโลมอนอธิษฐานในงานถวาย
22 ครั้นแล้วซาโลมอนก็ยืน ณ เบื้องหน้าแท่นบูชาของพระผู้เป็นเจ้า ต่อหน้าที่ประชุมของอิสราเอล และยกมือขึ้นสู่สวรรค์ 23 และกล่าวว่า “โอ พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของอิสราเอล ไม่มีพระเจ้าอื่นใดที่เหมือนพระองค์ ทั้งในสวรรค์เบื้องบนหรือในโลกเบื้องล่าง พระองค์รักษาพันธสัญญา และแสดงความรักอันมั่นคงต่อบรรดาผู้รับใช้ของพระองค์ ที่ดำเนินชีวิตในวิถีทางของพระองค์ด้วยใจจริง 24 พระองค์ได้รักษาสัญญากับดาวิดบิดาของข้าพเจ้า ผู้รับใช้ของพระองค์ พระองค์ได้สัญญาด้วยวาจาของพระองค์ และกระทำตามสัญญาด้วยฤทธานุภาพของพระองค์ในวันนี้ 25 ฉะนั้น บัดนี้ โอ พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของอิสราเอล โปรดรักษาสัญญาที่พระองค์ได้ให้แก่ดาวิดผู้รับใช้ของพระองค์ บิดาของข้าพเจ้า ดังคำของพระองค์ที่ว่า ‘เจ้าจะไม่ขาดคนที่จะนั่งครองบัลลังก์ของอิสราเอล ณ เบื้องหน้าเรา หากบรรดาบุตรของเจ้าใส่ใจในวิถีทางของเขา ให้ดำเนินชีวิต ณ เบื้องหน้าเรา เหมือนกับที่เจ้าได้กระทำมา’ 26 ฉะนั้น โอ พระเจ้าของอิสราเอล ขอพระองค์ยืนยันคำที่พระองค์ได้กล่าวกับดาวิดผู้รับใช้ของพระองค์ ผู้เป็นบิดาของข้าพเจ้าด้วยเถิด
27 แต่พระเจ้าจะพำนักอยู่ในโลกหรือ ดูเถิด สวรรค์เบื้องบนและฟ้าสวรรค์ที่อยู่เกินเอื้อมยังจำกัดพระองค์ไม่ได้ แล้วพระตำหนักที่ข้าพเจ้าสร้างขึ้นมาหลังนี้จะเล็กน้อยกว่านั้นเพียงไร 28 แต่กระนั้นพระองค์ยังสนใจคำอธิษฐานและคำวิงวอนของผู้รับใช้ของพระองค์ โอ พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของข้าพเจ้า ขอโปรดฟังเสียงร้องและคำอธิษฐานที่ผู้รับใช้ของพระองค์อธิษฐาน ณ เบื้องหน้าพระองค์ในวันนี้ 29 ขอพระองค์เฝ้าดูพระตำหนักหลังนี้ตลอดทั้งวันและคืนเถิด นี่เป็นสถานที่ซึ่งพระองค์กล่าวถึงว่า ‘นามของเราจะเป็นที่ยกย่องที่นั่น’ ขอพระองค์ฟังคำอธิษฐานของผู้รับใช้ของพระองค์ เวลาที่เราหันหน้าอธิษฐานมาทางสถานที่แห่งนี้ 30 และขอพระองค์ฟังคำขอร้องของผู้รับใช้ของพระองค์ และของอิสราเอลชนชาติของพระองค์เมื่อเขาหันหน้าอธิษฐานมาทางสถานที่แห่งนี้ และเมื่อพระองค์ได้ยินในสวรรค์ซึ่งเป็นที่พระองค์พำนัก ก็โปรดให้อภัยด้วยเถิด
31 ถ้าหากว่าผู้ใดกระทำบาปต่อเพื่อนบ้านของตน และต้องให้คำสาบาน เวลาที่เขามาและสาบาน ณ เบื้องหน้าแท่นบูชาในพระตำหนักนี้ 32 ก็ขอพระองค์ได้ยินในสวรรค์ ขอโปรดตอบและพิพากษาบรรดาผู้รับใช้ของพระองค์ ลงโทษผู้ที่ทำผิดตามความผิดของเขา และโปรดช่วยให้ผู้บริสุทธิ์พิสูจน์ได้ว่าเขาไม่มีความผิด และพ้นข้อหาตามความบริสุทธิ์ของเขา
33 เวลาที่อิสราเอลชนชาติของพระองค์พ่ายแพ้ศัตรู เพราะพวกเขากระทำบาปต่อพระองค์ และหันกลับมาหาพระองค์ และยอมรับพระนามของพระองค์ เขาจะอธิษฐานและวิงวอนต่อพระองค์ในพระตำหนักนี้ 34 ก็ขอพระองค์โปรดฟังจากสวรรค์ และให้อภัยบาปของอิสราเอลชนชาติของพระองค์ และนำพวกเขามายังแผ่นดินซึ่งพระองค์ได้มอบให้แก่บรรพบุรุษของพวกเขาอีก
35 เมื่อฟ้าสวรรค์ปิดและไม่เอื้อฝนเนื่องจากพวกเขาได้กระทำบาปต่อพระองค์ ถ้าหากว่าพวกเขาอธิษฐานโดยหันมาทางสถานที่นี้ และยอมรับพระนามของพระองค์ และหยุดกระทำบาป หลังจากที่พระองค์ให้พวกเขารับทุกข์ทรมาน 36 ก็ขอพระองค์โปรดฟังจากสวรรค์ และให้อภัยบาปของบรรดาผู้รับใช้ของพระองค์ คืออิสราเอลชนชาติของพระองค์ เมื่อพระองค์สอนในวิถีทางที่ดีซึ่งพวกเขาควรดำเนิน แล้วพระองค์โปรดให้ฝนโปรยลงบนแผ่นดินซึ่งพระองค์ได้มอบให้แก่ชนชาติของพระองค์เป็นมรดก
37 ถ้าหากว่าเกิดทุพภิกขภัยในแผ่นดิน หรือเกิดภัยพิบัติ ลมร้อนแห้ง หรือเชื้อรา ตั๊กแตน หรือตัวบุ้ง ถ้าหากว่าศัตรูใช้กำลังล้อมพวกเขาในแผ่นดิน ที่ตามประตูเมือง ไม่ว่าจะเป็นภัยพิบัติหรือการเจ็บไข้ได้ป่วยใดๆ ก็ตาม 38 ถ้าหากว่าผู้ใดหรืออิสราเอลชนชาติของพระองค์อธิษฐานหรือวิงวอนในเรื่องใดก็ตาม เมื่อแต่ละคนทราบความทุกข์ใจของตน และเขาเหยียดมือออกมาทางพระตำหนักนี้ 39 ก็ขอพระองค์ฟังจากสวรรค์ซึ่งเป็นที่พำนักของพระองค์ และโปรดให้อภัย และตอบสนอง และกระทำต่อพวกเขาตามความประพฤติของแต่ละคน (เพราะว่าพระองค์ผู้เดียว พระองค์ทราบถึงจิตใจของมนุษย์ทั้งปวง) 40 เพื่อพวกเขาจะเกรงกลัวพระองค์ ตลอดเวลาที่พวกเขาอาศัยอยู่ในแผ่นดินซึ่งพระองค์มอบให้แก่บรรพบุรุษของพวกเรา
41 ในทำนองเดียวกัน เมื่อชาวต่างแดนซึ่งไม่ใช่อิสราเอลชนชาติของพระองค์มาจากดินแดนแสนไกล เพราะพระนามของพระองค์ 42 (เพราะเขาจะได้ยินถึงพระนามอันยิ่งใหญ่ของพระองค์ อานุภาพและพลานุภาพของพระองค์ และสิ่งที่พระองค์กระทำ) เมื่อเขามาและอธิษฐานมาทางพระตำหนักนี้ 43 ขอพระองค์ฟังจากสวรรค์ซึ่งเป็นที่พำนักของพระองค์ และโปรดทำตามที่ชาวต่างแดนทั้งปวงร้องขอต่อพระองค์ เพื่อชนชาติทั้งปวงบนโลกจะได้รู้จักพระนามของพระองค์ และเกรงกลัวพระองค์ อย่างที่อิสราเอลชนชาติของพระองค์รู้จัก และพวกเขาจะทราบว่าพระตำหนักที่ข้าพเจ้าสร้างหลังนี้ได้รับเรียกว่าเป็นของพระองค์
44 ถ้าหากว่าชนชาติของพระองค์ออกศึกสู้กับศัตรู ไม่ว่าที่ใดก็ตาม และพวกเขาอธิษฐานต่อพระผู้เป็นเจ้า โดยหันมาทางเมืองที่พระองค์ได้เลือก และพระตำหนักที่ข้าพเจ้าได้สร้างเพื่อพระนามของพระองค์ 45 ก็ขอพระองค์ฟังคำอธิษฐานและคำวิงวอนของพวกเขาในสวรรค์ และช่วยเหลือพวกเขา
46 ถ้าหากว่าพวกเขาทำบาปต่อพระองค์ เนื่องจากว่าไม่มีผู้ใดที่ไม่ทำบาป[c] พระองค์จะโกรธกริ้วพวกเขา และให้ศัตรูจับตัวพวกเขาไปเป็นเชลยในดินแดนของศัตรูที่อยู่ไกลหรือใกล้ 47 แต่ถ้าพวกเขามีใจสำนึกได้เมื่ออยู่ในดินแดนที่ตนถูกจับไปเป็นเชลย โดยการกลับใจและขอร้องพระองค์จากดินแดนนั้น กล่าวว่า ‘พวกเราได้กระทำบาป ประพฤติผิด และกระทำตัวเลวทราม’ 48 ถ้าหากว่าพวกเขากลับใจอย่างสุดดวงใจและสุดดวงจิต ในดินแดนของศัตรูที่จับพวกเขาไปเป็นเชลย และอธิษฐานต่อพระองค์โดยหันมาทางแผ่นดินของพวกเขา ซึ่งพระองค์มอบให้แก่บรรพบุรุษ เมืองที่พระองค์ได้เลือก และพระตำหนักที่ข้าพเจ้าสร้างไว้เพื่อพระนามของพระองค์ 49 ก็ขอพระองค์โปรดฟังคำอธิษฐานและคำวิงวอนในสวรรค์ซึ่งเป็นที่พำนักของพระองค์ และช่วยเหลือพวกเขา 50 และให้อภัยชนชาติของพระองค์ ที่ได้ทำบาปต่อพระองค์ และละเมิดกฎในทุกข้อซึ่งขัดต่อพระองค์ โปรดเมตตาพวกเขาต่อหน้าศัตรูที่จับไปเป็นเชลย เพื่อศัตรูจะได้เมตตาพวกเขาด้วย 51 (เพราะว่าพวกเขาเป็นชนชาติของพระองค์ และเป็นบรรดาผู้สืบมรดกของพระองค์ ที่พระองค์นำออกจากประเทศอียิปต์ จากท่ามกลางเตาผิงเหล็ก) 52 ขอพระองค์เฝ้าดูคำวิงวอนของผู้รับใช้ของพระองค์ และคำวิงวอนของอิสราเอลชนชาติของพระองค์ เมื่อใดที่พวกเขาร้องขอพระองค์ ก็โปรดฟังพวกเขาเถิด 53 เพราะว่าพระองค์แยกพวกเขาออกจากชนชาติทั้งหลายในโลก เพื่อเป็นผู้สืบมรดกของพระองค์ ตามที่พระองค์ประกาศผ่านโมเสสผู้รับใช้ของพระองค์[d] ในคราวที่พระองค์นำบรรพบุรุษของเราออกจากอียิปต์ โอ พระผู้เป็นเจ้าผู้ยิ่งใหญ่”
ซาโลมอนอธิษฐานขอพร
54 ครั้นซาโลมอนอธิษฐานวิงวอนต่อพระผู้เป็นเจ้าเสร็จสิ้นแล้ว ท่านจึงลุกขึ้นจากบริเวณแท่นบูชาของพระผู้เป็นเจ้า ที่ที่ท่านได้คุกเข่าพร้อมกับเหยียดแขนขึ้นสู่สวรรค์ 55 และท่านยืนให้พรที่ประชุมทั้งหมดของอิสราเอลด้วยเสียงอันดังว่า 56 “สรรเสริญพระผู้เป็นเจ้า ผู้ให้อิสราเอลชนชาติของพระองค์ได้รับความสงบสุข ตามคำสัญญาที่พระองค์ให้ไว้ทุกประการ พระองค์มิได้ผิดคำพูดไปจากสิ่งดีทุกสิ่งในสัญญาของพระองค์ ที่กล่าวผ่านโมเสสผู้รับใช้ของพระองค์ 57 ขอพระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของพวกเรา สถิตกับพวกเราเหมือนที่พระองค์ได้สถิตกับบรรพบุรุษของเราเถิด ขอพระองค์อย่าจากเราไปหรือทอดทิ้งพวกเราไปเลย 58 พระองค์จะได้โน้มจิตใจของเราเข้าหาพระองค์ เพื่อดำเนินตามวิถีทางของพระองค์ และรักษาพระบัญญัติ กฎเกณฑ์ และคำบัญชา ดังที่พระองค์บัญชาแก่บรรพบุรุษของพวกเรา 59 ขอให้คำอธิษฐานของเราที่ได้วิงวอนขอต่อพระผู้เป็นเจ้า จงอยู่กับพระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของเราตลอดวันและคืน และขอให้พระองค์ช่วยเหลือผู้รับใช้ของพระองค์ และช่วยเหลืออิสราเอลชนชาติของพระองค์ ตามความจำเป็นของแต่ละวัน 60 เพื่อว่าชนชาติทั้งปวงในโลกจะได้ทราบว่าพระผู้เป็นเจ้าเป็นพระเจ้า และไม่มีพระเจ้าอื่นใดทั้งสิ้น 61 ฉะนั้น ขอให้ใจของพวกท่านภักดีต่อพระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของเรา ดำเนินตามกฎเกณฑ์ และรักษาพระบัญญัติของพระองค์ เหมือนที่กำลังปฏิบัติอยู่ในวันนี้”
ซาโลมอนถวายเครื่องสักการะ
62 จากนั้นกษัตริย์และชาวอิสราเอลทั้งปวงก็ได้พร้อมกันถวายเครื่องสักการะ ณ เบื้องหน้าพระผู้เป็นเจ้า 63 ซาโลมอนถวายโค 22,000 ตัว แกะ 120,000 ตัวแด่พระผู้เป็นเจ้า เพื่อเป็นของถวายเพื่อสามัคคีธรรม เท่ากับว่ากษัตริย์และชาวอิสราเอลได้ถวายพระตำหนักของพระผู้เป็นเจ้าแล้ว 64 ในวันเดียวกันนั้น กษัตริย์ก็ได้ทำพิธีชำระให้ส่วนกลางของลานที่อยู่หน้าพระตำหนักของพระผู้เป็นเจ้าบริสุทธิ์ เพราะท่านได้มอบสัตว์ที่เผาเป็นของถวาย เครื่องธัญญบูชา และไขมันจากของถวายเพื่อสามัคคีธรรมที่นั่น เนื่องจากแท่นบูชาทองสัมฤทธิ์ที่อยู่ ณ เบื้องหน้าพระผู้เป็นเจ้านั้นเล็กเกินไปสำหรับสัตว์ที่เผาเป็นของถวาย เครื่องธัญญบูชา และไขมันจากของถวายเพื่อสามัคคีธรรม
65 ในเวลานั้นซาโลมอนฉลองเทศกาลนานถึง 7 วันกับอีก 7 วัน รวมเป็น 14 วันร่วมกับอิสราเอลทั้งปวง ณ เบื้องหน้าพระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของพวกเรา มีผู้ร่วมงานด้วยเป็นจำนวนมากจากบริเวณใกล้เลโบฮามัทไปจนถึงธารน้ำของอียิปต์ 66 ในวันที่แปด ท่านให้ประชาชนกลับบ้านไป เขาเหล่านั้นก็อวยพรกษัตริย์ และกลับบ้านของตนด้วยความยินดีและใจเปรมปรีดิ์ที่พระผู้เป็นเจ้าได้กระทำสิ่งดีๆ ทั้งปวงแก่ดาวิดผู้รับใช้ของพระองค์และแก่อิสราเอลชนชาติของพระองค์
พระผู้เป็นเจ้าปรากฏแก่ซาโลมอน
9 เมื่อซาโลมอนสร้างพระตำหนักของพระผู้เป็นเจ้า และวังของกษัตริย์ และทุกสิ่งที่ซาโลมอนต้องการทำก็สำเร็จทุกประการแล้ว 2 ครั้นแล้วพระผู้เป็นเจ้าก็ปรากฏแก่ซาโลมอนเป็นครั้งที่สอง เหมือนกับที่พระองค์ได้ปรากฏแก่ท่านที่กิเบโอน[e] 3 พระผู้เป็นเจ้ากล่าวกับท่านว่า
“เราได้ยินคำอธิษฐานและคำวิงวอนของเจ้าแล้ว เราได้ทำให้ตำหนักที่เจ้าสร้างบริสุทธิ์แล้วเพื่อนามของเราจะเป็นที่ยกย่องที่นั่นตลอดกาล เราจะเฝ้าดูและระลึกถึงอยู่ที่นั่นตลอดไป 4 ส่วนตัวเจ้าเอง ถ้าหากว่าเจ้าดำเนินตามแบบอย่างของดาวิดบิดาของเจ้า ณ เบื้องหน้าเรา ด้วยใจอันซื่อตรงและเที่ยงธรรม กระทำตามทุกสิ่งที่เราได้บัญชาเจ้าแล้ว โดยรักษากฎเกณฑ์และคำบัญชาของเรา 5 แล้วเราจะสถาปนาบัลลังก์ของเจ้าเพื่อปกครองอิสราเอลไปตลอดกาล ดังที่เราสัญญาดาวิดบิดาของเจ้าว่า ‘เจ้าจะไม่ขาดคนที่จะครองบัลลังก์ของอิสราเอล’[f] 6 แต่ถ้าเจ้าหันเหไป และไม่ติดตามเรา ไม่ว่าจะเป็นตัวเจ้าเองหรือบรรดาบุตรของเจ้า และไม่รักษาคำบัญญัติและกฎเกณฑ์ของเราที่เราได้ตั้งไว้ให้เจ้า และเจ้าไปบูชาบรรดาเทพเจ้า และนมัสการสิ่งเหล่านั้น 7 เราก็จะตัดอิสราเอลออกจากแผ่นดินที่เราได้มอบให้แก่พวกเขา และตำหนักที่เราได้ทำให้บริสุทธิ์เพื่อเป็นที่ยกย่องนามของเรานั้น เราจะทำให้พ้นไปจากสายตาของเรา และอิสราเอลก็จะเป็นดั่งคำเปรียบเปรยในสุภาษิต และเป็นที่หัวเราะเยาะของชนชาติทั้งปวง 8 และตำหนักนี้จะกลายเป็นหินกองพะเนิน ทุกคนที่ผ่านมาก็จะตกตะลึงและเหน็บแนม และจะพูดว่า ‘ทำไมพระผู้เป็นเจ้าจึงได้กระทำอย่างนี้ต่อแผ่นดินนี้และต่อพระตำหนักนี้’ 9 และพวกเขาก็จะพูดว่า ‘เพราะว่าพวกเขาทอดทิ้งพระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของพวกเขา ผู้นำบรรพบุรุษของพวกเขาออกจากแผ่นดินอียิปต์ แล้วพวกเขาก็หันไปเชื่อบรรดาเทพเจ้า จนถึงกับนมัสการและบูชาสิ่งเหล่านั้น ฉะนั้นพระผู้เป็นเจ้าจึงให้ความวิบัติเกิดขึ้นกับพวกเขา’”
กิจกรรมอื่นๆ ของซาโลมอน
10 ซาโลมอนใช้เวลา 20 ปีในการสร้างพระตำหนักของพระผู้เป็นเจ้า และวังของกษัตริย์ 11 ฮีรามกษัตริย์แห่งไทระเป็นผู้จัดหาไม้ซีดาร์ ไม้สนและทองคำ ได้มากเท่าที่ท่านต้องการใช้ กษัตริย์ซาโลมอนได้มอบเมือง 20 เมืองในแผ่นดินกาลิลีให้แก่ฮีราม 12 แต่เมื่อฮีรามมาจากเมืองไทระเพื่อดูเมืองที่ซาโลมอนมอบให้ ปรากฏว่าท่านไม่พอใจกับเมืองเหล่านั้น 13 ฮีรามจึงพูดว่า “น้องชายของข้าพเจ้ามอบเมืองอย่างนี้ให้แก่ข้าพเจ้าได้อย่างไรกัน” เมืองเหล่านั้นจึงได้ชื่อว่าแผ่นดินคาบูลมาจนถึงทุกวันนี้ 14 ฮีรามได้มอบทองคำจำนวน 120 ตะลันต์ให้แก่กษัตริย์[g]
15 นี่เป็นเรื่องแรงงานที่กษัตริย์ซาโลมอนได้เกณฑ์มาสร้างพระตำหนักของพระผู้เป็นเจ้า และวังของท่าน รวมถึงมิลโลและกำแพงเมืองเยรูซาเล็ม และฮาโซร์ เมกิดโด และเกเซอร์ 16 (ฟาโรห์กษัตริย์แห่งอียิปต์ได้ขึ้นไปยึดเกเซอร์และเผาไฟเสีย และได้ฆ่าชาวคานาอันที่อาศัยอยู่ในเมือง แล้วให้เป็นของขวัญวันแต่งงานของบุตรหญิงของตน ซึ่งเป็นภรรยาของซาโลมอน 17 ซาโลมอนจึงสร้างเกเซอร์ขึ้นใหม่) และซาโลมอนเกณฑ์แรงงานสร้างเมืองเบธโฮโรนล่างขึ้นใหม่ด้วย 18 รวมทั้งเมืองบาอาลัทและทามาร์ในถิ่นทุรกันดารในแผ่นดินยูดาห์ 19 และเมืองคลังหลวงที่ซาโลมอนมีอยู่ทั้งหมด เมืองต่างๆ สำหรับเก็บรถศึกและทหารม้าของท่าน และสร้างทุกอย่างตามที่ซาโลมอนต้องการในเยรูซาเล็ม เลบานอน และทั่วทั้งราชอาณาจักรของท่าน 20 กลุ่มชนที่ไม่ใช่ชนชาติอิสราเอลซึ่งยังมีชีวิตอยู่ ได้แก่ชาวอาโมร์ ชาวฮิต ชาวเปริส ชาวฮีว และชาวเยบุส 21 ผู้สืบเชื้อสายของคนเหล่านี้ที่ยังมีชีวิตอยู่ในแผ่นดิน ซึ่งชาวอิสราเอลไม่ได้ทำลายล้างทุกชีวิต ซาโลมอนจึงได้เกณฑ์พวกเขามาทำงานหนักมาจนถึงทุกวันนี้ 22 แต่ว่าซาโลมอนไม่ได้ให้ชาวอิสราเอลมาเป็นทาสรับใช้ แต่ให้พวกเขาเป็นทหาร เจ้าหน้าที่ประจำของท่าน ผู้บัญชา นายทหาร ผู้บัญชาการรถศึกและสารถีของท่าน
23 มีเจ้าหน้าที่ชั้นสูง 550 คนที่คอยควบคุมประชาชนที่ทำงานก่อสร้างให้แก่ซาโลมอน
24 ส่วนธิดาของฟาโรห์ขึ้นมาจากเมืองของดาวิด ไปอยู่ที่ตำหนักของนางที่ซาโลมอนสร้างให้ แล้วท่านก็สร้างมิลโล
25 ซาโลมอนมอบสัตว์ที่เผาเป็นของถวาย และมอบของถวายเพื่อสามัคคีธรรมที่แท่นบูชาที่ท่านสร้างถวายแด่พระผู้เป็นเจ้า พร้อมกับเผาเครื่องหอม ณ เบื้องหน้าพระผู้เป็นเจ้าปีละ 3 ครั้ง ดังนั้นภารกิจของท่านจึงเสร็จสิ้น
26 กษัตริย์ซาโลมอนสร้างกองเรือที่เอซีโอนเกเบอร์ ซึ่งอยู่ใกล้เอโลทบนฝั่งทะเลแดง ในดินแดนของเอโดม 27 ฮีรามให้บรรดาผู้ชำนาญการเดินเรือของท่านไปช่วยทำงานร่วมกับบรรดาผู้รับใช้ของซาโลมอน 28 และพวกเขาไปยังเมืองโอฟีร์ และได้นำทองคำจากที่นั่นมา 420 ตะลันต์เพื่อมอบแก่กษัตริย์ซาโลมอน
ราชินีแห่งเช-บา
10 เมื่อราชินีแห่งเช-บาได้ยินกิตติศัพท์ของซาโลมอน ในเรื่องของพระนามของพระผู้เป็นเจ้า นางจึงเดินทางมาทดสอบท่านด้วยคำปริศนาลึกล้ำ 2 นางมายังเมืองเยรูซาเล็ม พร้อมกับข้าราชบริพารมากมาย ขบวนอูฐแบกทั้งเครื่องเทศ ทองคำ และเพชรนิลจินดามาเป็นจำนวนมาก เมื่อนางมาพบกับซาโลมอน นางก็บอกสิ่งที่อยู่ในใจแก่ท่านจนหมดสิ้น 3 และซาโลมอนก็ไขข้อข้องใจทุกประการ ไม่มีสิ่งใดลึกล้ำเกินกว่าที่ซาโลมอนจะอธิบายแก่นาง 4 ครั้นราชินีแห่งเช-บาได้เห็นว่าคำพูดของซาโลมอนทั้งหมดกอปรด้วยสติปัญญา อีกทั้งวังที่ท่านสร้าง 5 อาหารที่โต๊ะของท่าน เจ้าหน้าที่ชั้นสูงนั่งประจำที่ และการมีต้นห้องคอยรับใช้ เครื่องแต่งกายของพวกเขา พนักงานถวายเหล้าองุ่น และสัตว์ที่ท่านมอบเป็นของถวายที่พระตำหนักของพระผู้เป็นเจ้า ทำให้นางถึงกับตกตะลึง
6 นางจึงกล่าวกับกษัตริย์ว่า “เรื่องราวที่ข้าพเจ้าได้ยินในแผ่นดินของข้าพเจ้าเอง ความสำเร็จของท่านและสติปัญญาของท่านก็เป็นความจริง 7 แต่ข้าพเจ้าไม่เชื่อสิ่งที่ได้ยิน จนกระทั่งได้มาถึงที่นี่และได้เห็นด้วยตาของข้าพเจ้าเอง ดูสิ ข้าพเจ้าได้ยินมาเพียงครึ่งเดียว สติปัญญาและความมั่งคั่งของท่านมากยิ่งกว่าคำบอกเล่าที่ข้าพเจ้าได้ยินมา 8 คนของท่านก็เป็นสุข บรรดาผู้รับใช้ของท่านก็เป็นสุข ที่มีโอกาสได้ฟังคำพูดอันกอปรด้วยสติปัญญาของท่านเรื่อยไป 9 ขอพระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของท่านได้รับพระพรเถิด พระองค์ชื่นชอบในตัวท่าน และให้ท่านครองบัลลังก์ของอิสราเอล เพราะว่าพระผู้เป็นเจ้ารักอิสราเอลเป็นนิตย์ พระองค์กำหนดให้ท่านเป็นกษัตริย์ เพื่อให้ท่านตัดสินด้วยความยุติธรรมและความชอบธรรม” 10 แล้วนางก็มอบทองคำ 120 ตะลันต์แก่กษัตริย์ และเครื่องเทศมากมาย อีกทั้งเพชรนิลจินดาด้วย ซึ่งในเวลาต่อมา ไม่มีผู้ใดนำเครื่องเทศมามากเท่ากับครั้งที่ราชินีมอบให้แก่กษัตริย์ซาโลมอนอีกเลย
11 นอกเหนือจากนั้นแล้ว หมู่เรือของกษัตริย์ฮีรามที่นำทองคำมาจากโอฟีร์ ก็ได้นำไม้จันทน์และเพชรนิลจินดาจำนวนมากมายจากโอฟีร์ด้วย 12 และกษัตริย์ให้ใช้ไม้จันทน์ทำราวบันไดในพระตำหนักของพระผู้เป็นเจ้า และในวังของกษัตริย์ และให้ใช้ทำพิณเล็กและพิณสิบสายสำหรับบรรดานักร้อง ไม่เคยมีใครนำไม้จันทน์มากมายเช่นนี้เข้ามาหรือเคยเห็นอีกนับจากวันนั้น
13 กษัตริย์ซาโลมอนมอบทุกสิ่งที่ราชินีแห่งเช-บาต้องการ ไม่ว่านางจะขอสิ่งใด นอกเหนือไปจากสิ่งอื่นๆ ที่กษัตริย์ซาโลมอนได้มอบให้นางด้วยน้ำใจกว้างขวาง จากนั้นนางก็กลับไปยังแผ่นดินพร้อมกับบรรดาผู้รับใช้ของนาง
ความมั่งคั่งของซาโลมอน
14 ในแต่ละปี ซาโลมอนได้รับทองคำหนัก 666 ตะลันต์ 15 นอกเหนือจากทองที่พ่อค้าระหว่างประเทศและพ่อค้าภายในอาณาจักรนำมา และจากบรรดากษัตริย์แห่งอาระเบียและเจ้าเมืองทั้งปวงของแผ่นดิน 16 กษัตริย์ซาโลมอนให้คนทำโล่ใหญ่ 200 อันจากทองคำตีด้วยค้อน โล่แต่ละอันใช้ทองคำหนัก 600 เชเขล[h] 17 และท่านให้ทำโล่เล็ก 300 อัน จากทองคำตีด้วยค้อน แต่ละอันใช้ทองคำหนัก 3 มินา[i] และกษัตริย์เก็บโล่ไว้ในตำหนักวนาลัยแห่งเลบานอน 18 กษัตริย์ให้ใช้งาช้างสร้างบัลลังก์ใหญ่หุ้มด้วยทองคำคุณภาพดีที่สุด 19 บัลลังก์มีบันได 6 ขั้น ด้านหลังบัลลังก์ตอนบนเป็นรูปทรงกลม รูปสิงโต 2 ตัวยืนอยู่ข้างๆ เท้าแขนทั้งสอง 20 แต่ละข้างของขั้นบันได 6 ขั้น มีรูปสิงโตยืนอยู่ที่แต่ละขั้น ไม่เคยมีอาณาจักรอื่นใดที่สร้างบัลลังก์ได้เหมือนอย่างนี้ 21 ภาชนะทุกชิ้นสำหรับเครื่องดื่มทำด้วยทองคำ และภาชนะทุกชิ้นของตำหนักวนาลัยแห่งเลบานอนทำด้วยทองคำบริสุทธิ์ ไม่มีสิ่งใดที่ทำด้วยเงิน เพราะเงินในสมัยของซาโลมอนนับว่าไม่มีค่าอะไร 22 ด้วยว่ากษัตริย์มีกองเรือเดินทะเลของเมืองทาร์ชิช โดยล่องไปกับหมู่เรือของฮีราม กองเรือเดินทะเลมักจะขนทองคำ เงิน งาช้าง ลิง และนกยูงมา ทุกๆ 3 ปี
23 ฉะนั้น กษัตริย์ซาโลมอนมั่งคั่งและเปี่ยมด้วยสติปัญญามากกว่ากษัตริย์อื่นๆ ในแผ่นดินโลก 24 และทั่วแผ่นดินโลกปรารถนาที่จะได้เห็นและได้ฟังคำพูดอันกอปรด้วยสติปัญญา ซึ่งพระเจ้าเป็นผู้ปลูกฝังไว้ในจิตใจของท่าน 25 ทุกคนต่างก็นำของบรรณาการอันได้แก่ เครื่องเงินและทองคำ เครื่องแต่งกาย เครื่องอาวุธ เครื่องเทศ ม้า และล่อ มามอบให้จำนวนมากเป็นประจำทุกปี
26 ซาโลมอนสะสมรถศึกและทหารม้า ท่านมีรถศึก 1,400 คัน และทหารม้า 12,000 คน ซึ่งท่านให้ประจำอยู่ที่เมืองเก็บรถศึกทั้งหลาย และให้ประจำอยู่กับกษัตริย์ในเยรูซาเล็มด้วย 27 กษัตริย์ทำให้มีเงินใช้อยู่ทั่วไปในเยรูซาเล็มราวกับใช้ก้อนหิน และท่านมีไม้ซีดาร์มากมายราวกับต้นมะเดื่อในที่ลุ่ม 28 ม้าของซาโลมอนถูกนำเข้ามาจากประเทศอียิปต์และเมืองคูเอ บรรดาพ่อค้าของกษัตริย์ซื้อจากคูเอตามกำหนดราคา 29 รถศึกเป็นสินค้าเข้ามาจากประเทศอียิปต์ ราคาแต่ละคันมีค่าเป็นเงิน 600 เชเขล และม้าราคา 150 เชเขล และพวกเขาก็ส่งออกไปขายให้แก่บรรดากษัตริย์ของชาวฮิตและแก่บรรดากษัตริย์แห่งอารัม[j]
ซาโลมอนหันเหไปจากพระเจ้า
11 กษัตริย์ซาโลมอนรักหญิงชาวต่างแดนหลายคน นอกจากธิดาของฟาโรห์ ก็มีหญิงชาวโมอับ อัมโมน เอโดม ไซดอน และหญิงชาวฮิต 2 หญิงเหล่านี้มาจากบรรดาประชาชาติที่พระผู้เป็นเจ้าได้กล่าวถึงกับชาวอิสราเอลว่า “เจ้าอย่าแต่งงานกับพวกเขา และพวกเขาก็จะต้องไม่แต่งงานกับพวกเจ้า เพราะว่าพวกเขาจะทำให้จิตใจของเจ้าหันไปติดตามบรรดาเทพเจ้าของเขาอย่างแน่นอน”[k] ซาโลมอนติดพันรักใคร่หญิงเหล่านี้ 3 ท่านมีเจ้าหญิงเป็นภรรยา 700 คน และภรรยาน้อย 300 คน บรรดาภรรยาของท่านทำให้จิตใจของท่านหันเหไป 4 ต่อมาเมื่อซาโลมอนชราลง เหล่าภรรยาของท่านทำให้ใจของท่านหันไปเชื่อในบรรดาเทพเจ้า ทำให้ท่านไม่สัตย์ซื่อต่อพระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของท่าน เหมือนดั่งใจของดาวิดบิดาของท่าน 5 เพราะว่าซาโลมอนหันไปเชื่อเทพเจ้าอัชโทเรท[l]ของชาวไซดอน และเชื่อเทพเจ้ามิลโคม[m]ของชาวอัมโมนที่น่ารังเกียจ 6 ดังนั้นซาโลมอนกระทำสิ่งที่ชั่วร้ายในสายตาของพระผู้เป็นเจ้า และไม่สัตย์ซื่อต่อพระผู้เป็นเจ้า เหมือนดั่งที่ดาวิดบิดาของท่านได้ปฏิบัติมา 7 แล้วซาโลมอนได้สร้างสถานบูชาบนภูเขาสูงให้แก่เทพเจ้าเคโมชของโมอับที่น่ารังเกียจ และให้แก่เทพเจ้าโมเลค[n]ของชาวอัมโมนที่น่ารังเกียจ บนภูเขาทางตะวันออกของเมืองเยรูซาเล็ม 8 ท่านกระทำอย่างนั้นเพื่อภรรยาต่างชาติของท่านทุกคน ซึ่งต่างเผาเครื่องหอมและเครื่องสักการะแก่บรรดาเทพเจ้าของพวกนาง
พระผู้เป็นเจ้ากำหนดศัตรู
9 พระผู้เป็นเจ้าโกรธกริ้วซาโลมอน เพราะจิตใจของท่านหันเหไปจากพระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของอิสราเอล ผู้ได้ปรากฏแก่ท่านถึง 2 ครั้งแล้ว[o] 10 และได้บัญชาท่านในเรื่องนี้ คือท่านไม่ควรติดตามบรรดาเทพเจ้า แต่ท่านก็ไม่ได้ปฏิบัติตามที่พระผู้เป็นเจ้าได้บัญชาไว้ 11 ฉะนั้น พระผู้เป็นเจ้ากล่าวกับซาโลมอนว่า “ในเมื่อเจ้าประพฤติเช่นนี้ และไม่ได้รักษาพันธสัญญาและกฎเกณฑ์ของเราที่เราบัญชาเจ้า เราจะฉีกอาณาจักรที่เจ้าครอบครองอย่างแน่นอน และยกให้กับผู้รับใช้ของเจ้า 12 แต่เพราะเห็นแก่ดาวิดบิดาของเจ้า เราจะไม่ทำเช่นนั้นในชั่วอายุของเจ้า แต่เราจะทำกับบุตรของเจ้า 13 อย่างไรก็ตาม เราจะไม่ฉีกอาณาจักรทั้งหมด แต่เราจะให้บุตรของเจ้าปกครอง 1 เผ่า เพราะเห็นแก่ดาวิดผู้รับใช้ของเรา และเห็นแก่เยรูซาเล็มที่เราได้เลือกไว้”
14 ครั้นแล้วพระผู้เป็นเจ้าก็เร้าให้เกิดศัตรู เพื่อขัดขืนซาโลมอน คือฮาดัดชาวเอโดม ท่านมีเชื้อสายกษัตริย์แห่งเอโดม 15 เพราะในเวลาที่ดาวิดอยู่ในเอโดม โยอาบผู้บังคับกองพันทหารขึ้นไปฝังศพพวกที่ถูกฆ่า เขาได้ฆ่าชายทุกคนในเอโดม 16 (โยอาบและชาวอิสราเอลทั้งปวงอยู่ที่นั่นเป็นเวลา 6 เดือน จนกระทั่งเขาได้ฆ่าชายทุกคนในเอโดม) 17 แต่ฮาดัดหนีไปยังประเทศอียิปต์กับบรรดาผู้รับใช้ของบิดาของท่านซึ่งเป็นชาวเอโดม ขณะนั้นฮาดัดยังเป็นเด็กอยู่ 18 เขาทั้งหลายออกเดินทางจากมีเดียน ไปยังปาราน และนำคนจากปารานไปด้วย จนถึงประเทศอียิปต์ และเข้าเฝ้าฟาโรห์กษัตริย์แห่งอียิปต์ซึ่งได้ยกบ้านหลังหนึ่งให้อยู่อาศัย พร้อมกับโปรดให้ท่านรับอาหารตามกำหนดอยู่เป็นประจำและมอบที่ดินให้ด้วย 19 ฮาดัดเป็นที่โปรดปรานของฟาโรห์มาก จนถึงกับให้ท่านแต่งงานกับน้องของภรรยา คือน้องสาวของราชินีทาเปเนส 20 น้องสาวของทาเปเนสให้กำเนิดบุตรแก่ท่านคือเกนูบัท ซึ่งทาเปเนสเลี้ยงให้เติบโตอยู่ในวังของฟาโรห์ เกนูบัทจึงได้อยู่ที่วังของฟาโรห์ด้วยกันกับบรรดาบุตรของฟาโรห์ 21 แต่ขณะที่อยู่ในอียิปต์ ฮาดัดได้ยินว่า ดาวิดสิ้นชีวิตและถูกนำไปวางรวมกับบรรพบุรุษ และโยอาบผู้บังคับกองพันทหารก็สิ้นชีวิต ฮาดัดพูดกับฟาโรห์ว่า “โปรดให้ข้าพเจ้ากลับไปยังประเทศของข้าพเจ้าเถิด” 22 แต่ฟาโรห์กล่าวตอบว่า “ท่านขาดแคลนสิ่งใดเมื่อท่านอยู่กับเราหรือ จึงอยากจะกลับไปยังประเทศของท่าน” ท่านก็พูดอีกว่า “เพียงขอให้ข้าพเจ้าไปเถิด”
23 พระเจ้าเร้าใจเรโซนบุตรของเอลียาดาให้เป็นศัตรูต่อซาโลมอนด้วย เรโซนได้หนีมาจากเจ้านายของเขาคือฮาดัดเอเซอร์กษัตริย์แห่งโศบาห์ 24 เขารวบรวมพวกผู้ชายได้เป็นกลุ่ม และเขาก็เป็นผู้นำกลุ่มผู้ก่อกวน หลังจากการฆ่าฟันที่ดาวิดตีจนแตกพ่ายไป พวกเขาจึงไปอาศัยอยู่ที่เมืองดามัสกัส และแต่งตั้งเขาให้เป็นกษัตริย์แห่งดามัสกัส 25 เขาเป็นศัตรูของอิสราเอลตลอดชีวิตของซาโลมอน เขาก่อกวนเหมือนกับที่ฮาดัดกระทำ และมุ่งร้ายต่ออิสราเอล และเขาเป็นผู้ที่ปกครองอารัม
26 เยโรโบอัมบุตรเนบัทเผ่าเอฟราอิมจากเมืองเศเรดาห์ เป็นผู้รับใช้คนหนึ่งของซาโลมอน มารดาชื่อเศรุวาห์หญิงม่าย เยโรโบอัมได้แข็งข้อต่อกษัตริย์ด้วย 27 เหตุผลที่เขาแข็งข้อต่อกษัตริย์ก็คือ ซาโลมอนสร้างมิลโล และกำลังซ่อมกำแพงเมืองของดาวิดบิดาของท่าน 28 เยโรโบอัมเก่งกล้ามาก เมื่อซาโลมอนเห็นว่าชายหนุ่มผู้นี้ขยันขันแข็งกับงาน ท่านจึงให้เขาเป็นผู้ควบคุมคนที่เป็นพงศ์พันธุ์โยเซฟซึ่งถูกเกณฑ์มาทำงานหนัก 29 ในเวลานั้น เมื่อเยโรโบอัมออกไปจากเมืองเยรูซาเล็ม อาหิยาห์ชาวชิโลห์ซึ่งเป็นผู้เผยคำกล่าวของพระเจ้าพบกับเขาที่ถนน อาหิยาห์สวมเสื้อคลุมตัวใหม่ ทั้งสองอยู่ลำพังที่นอกเมือง 30 อาหิยาห์ปลดเสื้อที่สวมออกและฉีกออกเป็น 12 ชิ้น 31 และพูดกับเยโรโบอัมว่า “ขอให้ท่านเก็บไว้ 10 ชิ้น เพราะพระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของอิสราเอลกล่าวดังนี้ว่า ‘ดูเถิด เรากำลังจะฉีกอาณาจักรออกจากมือของซาโลมอน และจะมอบ 10 เผ่าให้แก่เจ้า 32 (แต่เขาจะมีเผ่าหนึ่ง เพื่อเห็นแก่ดาวิดผู้รับใช้ของเรา และเห็นแก่เยรูซาเล็มเมืองที่เราได้เลือกจากเผ่าทั้งปวงของอิสราเอล) 33 เป็นเพราะว่าเขาเหล่านั้นทอดทิ้งเรา ไปนมัสการเทพเจ้าอัชโทเรทของชาวไซดอน เทพเจ้าเคโมชแห่งโมอับ และเทพเจ้ามิลโคมของชาวอัมโมน และพวกเขาไม่ได้ดำเนินชีวิตในวิถีทางของเรา ไม่กระทำสิ่งที่ถูกต้องในสายตาของเรา ไม่รักษากฎเกณฑ์และคำบัญชาของเรา อย่างที่ดาวิดบิดาของพวกเขากระทำ 34 แต่ถึงกระนั้น เราก็จะไม่เอาอาณาจักรทั้งหมดออกจากมือของเขา แต่เราจะให้เขาเป็นผู้ที่ปกครองไปตลอดชีวิต เพื่อดาวิดผู้รับใช้ของเราที่เราเลือก ผู้รักษาคำบัญญัติและกฎเกณฑ์ของเรา 35 แต่เราจะเอาอาณาจักรออกจากมือของบุตรของเขา มอบให้เจ้าทั้ง 10 เผ่า 36 เราจะให้เผ่าหนึ่งแก่บุตรของเขา เพื่อว่าดาวิดผู้รับใช้ของเราจะมีผู้สืบเชื้อสายรับใช้เราในเยรูซาเล็ม เมืองที่เราได้เลือกให้เป็นที่ยกย่องนามของเรา[p] 37 และเราจะให้เจ้าไปเป็นผู้ปกครองทุกสิ่งตามใจปรารถนาของเจ้า และเจ้าจะเป็นกษัตริย์ปกครองอิสราเอล 38 และถ้าเจ้าจะฟังทุกสิ่งที่เราบัญชาเจ้า และดำเนินตามวิถีทางของเรา และกระทำสิ่งที่ถูกต้องในสายตาของเรา ด้วยการรักษาคำบัญญัติและกฎเกณฑ์ของเรา อย่างที่ดาวิดผู้รับใช้ของเรากระทำ เราก็จะอยู่กับเจ้า และจะสร้างพงศ์พันธุ์ที่มั่นคงให้แก่เจ้า อย่างที่เราสร้างให้ดาวิด และเราจะมอบอิสราเอลให้แก่เจ้า 39 และเราจะทำให้ผู้สืบเชื้อสายของดาวิดได้รับทุกข์เพราะเหตุนี้ แต่ไม่ตลอดไป’” 40 ฉะนั้น ซาโลมอนจึงพยายามฆ่าเยโรโบอัม แต่เยโรโบอัมหนีไปอยู่ที่ประเทศอียิปต์ ไปเข้าเฝ้าชิชักกษัตริย์แห่งอียิปต์ และอยู่ที่อียิปต์จนกระทั่งซาโลมอนสิ้นชีวิต
41 กิจอื่นๆ ทั้งสิ้นของซาโลมอน และทุกสิ่งที่ท่านกระทำ รวมทั้งเรื่องสติปัญญาของท่าน ก็ได้มีบันทึกไว้แล้วในหนังสือแห่งพงศาวดารของซาโลมอน 42 ซาโลมอนครองราชย์ในเยรูซาเล็ม ปกครองอิสราเอลทั้งหมดรวมเป็นเวลา 40 ปี 43 และซาโลมอนสิ้นชีวิตและถูกนำไปวางรวมกับบรรพบุรุษของท่าน ศพถูกบรรจุไว้ในเมืองของดาวิดบิดาของท่าน และเรโหโบอัมครองราชย์แทนท่าน
ความโง่เขลาของเรโหโบอัม
12 เรโหโบอัมไปยังเมืองเชเคม เพราะชาวอิสราเอลทั้งปวงได้ไปยังเชเคมเพื่อแต่งตั้งท่านให้เป็นกษัตริย์ 2 ทันทีที่เยโรโบอัมบุตรเนบัททราบเรื่อง (เขาหนีกษัตริย์ซาโลมอนไปอยู่ในประเทศอียิปต์) เขาจึงกลับมาจากอียิปต์ 3 ชาวอิสราเอลที่มาจากทิศเหนือให้คนไปตามเยโรโบอัมกลับไป และพวกเขาพูดกับเรโหโบอัมว่า 4 “บิดาของท่านทำให้พวกเราแบกแอกเหมือนกับแบกภาระหนัก ฉะนั้นในเวลานี้ โปรดช่วยให้งานและการแบกแอกหนักผ่อนลงให้เบาเถิด แล้วพวกเราจะคอยรับใช้ท่าน” 5 ท่านตอบว่า “กลับมาหาเราภายใน 3 วัน” ประชาชนจึงจากไป
6 กษัตริย์เรโหโบอัมปรึกษากับบรรดาผู้สูงอายุที่เคยรับใช้ซาโลมอนบิดาของท่านเมื่อครั้งที่ท่านยังมีชีวิตอยู่ ท่านถามว่า “พวกท่านจะแนะนำให้เราตอบประชาชนเหล่านี้อย่างไร” 7 เขาเหล่านั้นตอบว่า “ถ้าท่านจะเป็นผู้รับใช้ประชาชนในวันนี้ เพื่อปฏิบัติงานรับใช้พวกเขา และพูดจาดีกับพวกเขาเวลาท่านตอบคำถาม พวกเขาก็จะเป็นผู้รับใช้ของท่านตลอดไป” 8 แต่ว่าท่านกลับไม่ใส่ใจในคำปรึกษาที่บรรดาผู้สูงอายุแนะนำ แต่กลับไปรับคำปรึกษาของบรรดาชายหนุ่มที่เป็นผู้รับใช้ซึ่งเติบโตมาด้วยกัน 9 ท่านพูดกับพวกเขาว่า “ท่านจะแนะนำเราอย่างไร เราควรจะตอบประชาชนเหล่านี้อย่างไรดี พวกเขาพูดกับเราว่า ‘ขอให้ท่านช่วยผ่อนแอกที่บิดาของท่านให้พวกเราหามเบาลง’” 10 บรรดาชายหนุ่มที่ได้เติบโตมากับท่านตอบว่า “สำหรับประชาชนที่มาพูดกับท่านว่า ‘บิดาของท่านทำให้พวกเราต้องแบกแอกหนัก แต่ขอให้ท่านผ่อนหนักให้เบาลงเพื่อพวกเรา’ นั้น ท่านน่าจะพูดกับพวกเขาว่า ‘นิ้วก้อยของเราใหญ่กว่าต้นขาของบิดาของเรา 11 และบัดนี้ เมื่อบิดาของเราได้วางแอกหนักไว้กับท่าน เราจะทำให้แอกของท่านหนักยิ่งขึ้น บิดาของเราสั่งสอนท่านด้วยไม้เรียว แต่เราจะสั่งสอนท่านด้วยแมงป่อง’”
12 ดังนั้นเยโรโบอัมและประชาชนทั้งปวงจึงมาหาเรโหโบอัมในวันที่สาม ตามคำสั่งของกษัตริย์ที่ว่า “กลับมาหาเราภายใน 3 วัน” 13 และกษัตริย์ตอบประชาชนอย่างแข็งกร้าว และไม่สนใจกับคำปรึกษาของบรรดาผู้สูงอายุ 14 กษัตริย์เรโหโบอัมพูดกับพวกเขา ตามคำปรึกษาของพวกชายหนุ่มว่า “บิดาของเราทำให้แอกของพวกท่านหนัก แต่เราจะทำให้แอกของท่านหนักยิ่งขึ้น บิดาของเราสั่งสอนท่านด้วยไม้เรียว แต่เราจะสั่งสอนท่านด้วยแมงป่อง” 15 ดังนั้นกษัตริย์ไม่ได้ฟังประชาชน เพราะว่าพระผู้เป็นเจ้าประสงค์ให้เหตุการณ์เป็นไปอย่างนั้น เพื่อสิ่งที่พระผู้เป็นเจ้ากล่าวแก่เยโรโบอัมบุตรเนบัทโดยผ่านทางอาหิยาห์ชาวชิโลห์ จะเกิดขึ้นตามคำกล่าวของพระผู้เป็นเจ้า
อาณาจักรแตกแยก
16 ครั้นชาวอิสราเอลทั้งปวงเห็นว่ากษัตริย์ไม่ได้ฟังพวกเขา ประชาชนจึงตอบกษัตริย์ว่า “พวกเรามีส่วนร่วมอะไรด้วยกับดาวิดหรือ เราไม่ได้รับอะไรที่ตกทอดมาจากบุตรของเจสซี โอ อิสราเอลเอ๋ย จงกลับไปยังกระโจมของตนเถิด บัดนี้ โอ ดาวิดเอ๋ย ดูแลพงศ์พันธุ์ของท่านไปเถิด” ดังนั้นชาวอิสราเอลจึงกลับไปยังกระโจมของตน 17 แต่เรโหโบอัมก็ปกครองลูกหลานของอิสราเอลที่อาศัยอยู่ในเมืองต่างๆ ของยูดาห์ 18 และกษัตริย์เรโหโบอัมให้อาโดรามควบคุมพวกที่ถูกเกณฑ์มาทำงานหนัก ชาวอิสราเอลทั้งปวงก็ใช้หินขว้างเขาจนตาย กษัตริย์เรโหโบอัมจึงรีบขึ้นรถศึกของท่านหนีกลับไปยังเมืองเยรูซาเล็ม 19 ดังนั้นอิสราเอลจึงได้แข็งข้อต่อพงศ์พันธุ์ของดาวิดเรื่อยมาจนถึงทุกวันนี้ 20 และเมื่อชาวอิสราเอลทั้งปวงทราบว่าเยโรโบอัมได้กลับมาแล้ว จึงให้คนไปเชิญท่านมายังที่ประชุม เพื่อแต่งตั้งท่านให้เป็นกษัตริย์ปกครองอิสราเอลทั้งหมด ไม่มีใครอื่นนอกจากเผ่ายูดาห์เท่านั้นที่ยังคงติดตามพงศ์พันธุ์ของดาวิดอยู่
21 เมื่อเรโหโบอัมมายังเยรูซาเล็ม ท่านก็เรียกประชุมพงศ์พันธุ์ยูดาห์ทั้งหมดร่วมกับเผ่าเบนยามิน รวมนักรบที่คัดเลือกได้ 180,000 คน ไปต่อสู้กับพงศ์พันธุ์อิสราเอล เพื่อรวมอาณาจักรเข้าด้วยกันอีกให้แก่เรโหโบอัมบุตรซาโลมอน 22 แต่พระเจ้ากล่าวผ่านเชไมยาห์คนของพระเจ้าดังนี้คือ 23 “จงบอกเรโหโบอัมบุตรซาโลมอนกษัตริย์แห่งยูดาห์ และพงศ์พันธุ์ยูดาห์ ของเบนยามิน และประชาชนทั้งปวงว่า 24 พระผู้เป็นเจ้ากล่าวดังนี้ว่า ‘เจ้าอย่าขึ้นไปต่อสู้กับญาติพี่น้องซึ่งเป็นพงศ์พันธุ์อิสราเอล ทุกคนจงกลับบ้านไป เพราะว่าเราต้องการให้เป็นไปอย่างนั้น’” ดังนั้นเขาเหล่านั้นจึงเชื่อฟังคำของพระผู้เป็นเจ้า และกลับบ้านไป ตามคำกล่าวของพระผู้เป็นเจ้า
ลูกโคทองคำของเยโรโบอัม
25 แล้วเยโรโบอัมก็สร้างเมืองเชเคมในแถบภูเขาของเอฟราอิมให้แข็งแกร่ง และอาศัยอยู่ที่นั่น ต่อจากนั้นท่านก็ออกไปจากที่นั่น และสร้างเมืองเปนูเอล 26 และเยโรโบอัมนึกอยู่ในใจว่า “คราวนี้ อาณาจักรคงจะกลับมาเป็นของพงศ์พันธุ์ของดาวิด 27 เพราะถ้าหากว่าประชาชนเหล่านี้ขึ้นไปถวายเครื่องสักการะที่พระตำหนักของพระผู้เป็นเจ้าที่เยรูซาเล็ม จิตใจของคนเหล่านี้ก็จะหันกลับมายังเจ้านายของพวกเขาคือเรโหโบอัมกษัตริย์แห่งยูดาห์ แล้วพวกเขาก็จะฆ่าเรา และกลับไปยังเรโหโบอัมกษัตริย์แห่งยูดาห์” 28 ดังนั้นกษัตริย์จึงหารือบางคน และสั่งให้หล่อรูปลูกโคทองคำ 2 ตัว และกล่าวแก่ประชาชนว่า “พวกท่านได้ขึ้นไปยังเยรูซาเล็มมามากพอแล้ว โอ อิสราเอลเอ๋ย ดูนี่สิ บรรดาเทพเจ้าของพวกท่านที่นำท่านออกจากประเทศอียิปต์” 29 แล้วท่านก็ตั้งตัวหนึ่งไว้ในเมืองเบธเอล ส่วนอีกตัวตั้งไว้ในเมืองดาน 30 ฉะนั้น นี่จึงเป็นสิ่งที่นำให้ผู้คนทำบาป เพราะว่าพวกเขาแห่กันไปยังรูปปั้นที่เบธเอลและไปไกลจนถึงเมืองดานด้วย 31 ท่านสร้างวิหารบนสถานบูชาบนภูเขาสูง และแต่งตั้งบรรดาปุโรหิตจากประชาชนทั้งปวงซึ่งไม่ได้มาจากกลุ่มชาวเลวี 32 และเยโรโบอัมกำหนดเทศกาลเลี้ยงฉลองในวันที่สิบห้าของเดือนที่แปด เหมือนกับเทศกาลเลี้ยงฉลองที่มีในยูดาห์ และท่านถวายเครื่องสักการะที่แท่นบูชาในเบธเอล ถวายแก่ลูกโคที่สร้างไว้ และท่านให้บรรดาปุโรหิตไปประจำอยู่ที่สถานบูชาซึ่งท่านสร้างไว้บนภูเขาสูงที่เบธเอล 33 ในวันที่สิบห้าของเดือนที่แปดท่านขึ้นไปยังแท่นบูชาซึ่งท่านสร้างไว้ที่เบธเอล ท่านเป็นผู้ที่กำหนดเลือกเดือนนั้นด้วยตนเอง และท่านจัดตั้งงานเลี้ยงฉลองสำหรับลูกหลานของอิสราเอล แล้วก็ได้ขึ้นไปยังแท่นบูชาเพื่อมอบของถวาย
คนของพระเจ้าเผชิญหน้าเยโรโบอัม
13 ดูเถิด คนของพระเจ้าคนหนึ่งจากยูดาห์มายังเบธเอลตามคำกล่าวของพระผู้เป็นเจ้า ขณะนั้นเยโรโบอัมกำลังยืนมอบเครื่องสักการะอยู่ที่ข้างแท่นบูชา 2 ชายผู้นั้นพูดเสียงดังตามคำกล่าวของพระผู้เป็นเจ้าว่า “โอ แท่นบูชา แท่นบูชาเอ๋ย พระผู้เป็นเจ้ากล่าวดังนี้คือ ‘ดูเถิด จะมีบุตรคนหนึ่งชื่อโยสิยาห์ที่จะเกิดมาในพงศ์พันธุ์ของดาวิด ขณะนี้บรรดาปุโรหิตวางเครื่องสักการะบนแท่นนี้ แต่โยสิยาห์จะวางร่างของบรรดาปุโรหิตที่ประจำสถานบูชาบนภูเขาสูงเพื่อเป็นเครื่องสักการะบนแท่น และกระดูกมนุษย์จะถูกเผาบนแท่น’”[q] 3 และท่านมีเครื่องพิสูจน์ให้เห็นในวันเดียวกันโดยกล่าวว่า “นี่คือเครื่องพิสูจน์ให้เห็นดังที่พระผู้เป็นเจ้าได้กล่าวว่า ‘ดูเถิด แท่นบูชาจะพังลง และเถ้าถ่านที่อยู่บนแท่นจะถูกเททิ้ง’” 4 ครั้นกษัตริย์ได้ยินสิ่งที่คนของพระเจ้ากล่าวด้วยเสียงอันดังต่อต้านแท่นบูชาที่เบธเอล เยโรโบอัมจึงยื่นมือออกจากแท่นบูชาพลางพูดว่า “จับตัวเขาไว้” มือของท่านที่ยื่นออกต่อต้านคนของพระเจ้าก็แข็งเกร็งจนค้างอยู่กับที่ 5 แท่นบูชาก็พังลง เถ้าถ่านก็เทลงจากแท่น ซึ่งเป็นเครื่องพิสูจน์ให้เห็นอย่างที่คนของพระเจ้าบอกตามคำกล่าวของพระผู้เป็นเจ้า 6 กษัตริย์กล่าวกับคนของพระเจ้าว่า “ท่านโปรดขอความเมตตาจากพระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของท่านเพื่อข้าพเจ้าเถิด โปรดอธิษฐานรักษามือของข้าพเจ้าให้หาย” คนของพระเจ้าจึงอธิษฐานขอ และมือของกษัตริย์ก็กลับเป็นเหมือนเดิม 7 กษัตริย์จึงกล่าวกับคนของพระเจ้าว่า “ขอเชิญท่านกลับบ้านกับข้าพเจ้าเถิด ไปรับประทานอาหาร แล้วข้าพเจ้าจะให้รางวัลแก่ท่าน” 8 คนของพระเจ้าตอบกษัตริย์ว่า “แม้ว่าท่านจะให้สมบัติแก่ข้าพเจ้าครึ่งหนึ่ง ข้าพเจ้าก็จะไม่ไปด้วย และข้าพเจ้าจะไม่รับประทานอาหารหรือดื่มน้ำที่นี่ 9 เพราะพระผู้เป็นเจ้าสั่งข้าพเจ้าว่า ‘เจ้าอย่ารับประทานอาหารหรือดื่มน้ำ หรือกลับไปทางเดียวกับที่เจ้ามา’” 10 ดังนั้น ท่านจึงไปอีกทางหนึ่ง และไม่กลับไปทางที่ท่านมายังเบธเอล
ผู้เผยคำกล่าวผู้ชราที่เบธเอล
11 ครั้งหนึ่งมีผู้เผยคำกล่าวผู้หนึ่งซึ่งเป็นคนสูงอายุ เขาอาศัยอยู่ในเบธเอล บุตรของเขามาเล่าทุกสิ่งให้ฟังว่า คนของพระเจ้าได้ทำอะไรบ้างในวันนั้นที่เบธเอล ทั้งกับบอกบิดาของพวกเขาอีกด้วยว่า ท่านกล่าวสิ่งใดกับกษัตริย์ 12 บิดาของเขาจึงถามว่า “ท่านไปทางไหน” บุตรของเขาจึงชี้ทางที่คนของพระเจ้าที่มาจากยูดาห์มุ่งหน้าไป 13 เขาจึงพูดกับบุตรว่า “ผูกอานลาให้พ่อ” และบุตรก็ผูกอานลาให้เขาขึ้นขี่ 14 เขาไปตามหาคนของพระเจ้าจนพบ และเห็นว่าท่านกำลังนั่งอยู่ใต้ต้นโอ๊ก เขาจึงถามว่า “ท่านเป็นคนของพระเจ้า ซึ่งมาจากยูดาห์หรือ” ท่านก็ตอบว่า “ใช่” 15 เขาพูดว่า “ไปบ้านข้าพเจ้า และรับประทานอาหารด้วยกันเถิด” 16 ท่านกล่าวว่า “ข้าพเจ้าไปกับท่านไม่ได้หรอก จะเข้าไปในบ้านกับท่าน รับประทานอาหารหรือดื่มน้ำกับท่านในที่นี้ไม่ได้ 17 เพราะพระผู้เป็นเจ้ากล่าวกับข้าพเจ้าว่า ‘เจ้าอย่ารับประทานอาหารหรือดื่มน้ำที่นั่น หรือกลับไปทางเดียวกับที่เจ้ามา’” 18 และเขาตอบว่า “ข้าพเจ้าเป็นผู้เผยคำกล่าวของพระเจ้าผู้หนึ่งเหมือนกัน พระผู้เป็นเจ้ากล่าวแก่ข้าพเจ้าผ่านทางทูตสวรรค์ว่า ‘จงไปพาเขากลับมาบ้านกับเจ้า เขาจะได้รับประทานอาหาร และดื่มน้ำ’” แต่ว่าผู้สูงอายุคนนั้นพูดเท็จ 19 ดังนั้นท่านจึงกลับไป และรับประทานอาหารที่บ้านของเขา และได้ดื่มน้ำ
20 ขณะที่ทั้งสองกำลังนั่งอยู่ที่โต๊ะ พระผู้เป็นเจ้ากล่าวผ่านผู้เผยคำกล่าวที่พาท่านกลับมา 21 เขาจึงพูดเสียงดังกับคนของพระเจ้าที่มาจากยูดาห์ว่า “พระผู้เป็นเจ้ากล่าวว่า ‘เป็นเพราะเจ้าไม่เชื่อฟังคำของพระผู้เป็นเจ้า และไม่รักษาคำสั่งที่พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของเจ้าบัญชาไว้ 22 แต่กลับมาและรับประทานอาหาร และดื่มน้ำในที่ที่พระองค์กล่าวกับเจ้าว่า “อย่ารับประทานอาหาร และอย่าดื่มน้ำ” ศพของเจ้าจะไม่ได้อยู่ในถ้ำเดียวกับบรรพบุรุษของเจ้า’” 23 หลังจากที่ท่านได้รับประทานอาหารและดื่มแล้ว ผู้เผยคำกล่าวก็ผูกอานลาให้ท่านเดินทางต่อไป 24 ขณะที่ท่านเดินทางจากไป สิงโตตัวหนึ่งออกมาประจันหน้าและฆ่าท่านตาย ศพท่านก็ถูกทิ้งไว้ที่ถนน ลายังยืนอยู่ข้างๆ และสิงโตก็ยืนอยู่ข้างศพด้วย 25 ดูเถิด ผู้คนเดินผ่านมาและเห็นว่าศพถูกทิ้งไว้ที่ถนน และสิงโตก็ยืนอยู่ข้างศพ พวกเขาจึงเข้าไปเล่าเรื่องในเมืองที่ผู้เผยคำกล่าวที่เป็นคนสูงอายุอาศัยอยู่
26 ครั้นผู้เผยคำกล่าวที่เป็นผู้ที่ได้นำท่านกลับมาได้ยินเรื่องดังกล่าว เขาพูดว่า “คนของพระเจ้าเป็นผู้ที่ไม่เชื่อฟังคำของพระผู้เป็นเจ้า ฉะนั้นพระผู้เป็นเจ้าจึงให้ตกเป็นเหยื่อของสิงโตที่ขย้ำตัวและฆ่าท่าน อย่างที่พระผู้เป็นเจ้ากล่าวกับท่านไว้” 27 และเขาพูดกับบุตรว่า “ผูกอานลาให้พ่อ” พวกเขาก็ผูกอานลาให้ 28 และเขาก็ขี่ลาไป พบว่าศพท่านถูกทิ้งไว้ที่ถนน ลาและสิงโตก็ยังยืนอยู่ข้างศพ สิงโตไม่ได้ขย้ำกินศพ หรือขย้ำลา 29 และผู้เผยคำกล่าวก็หามศพคนของพระเจ้า และวางไว้บนหลังลา นำกลับเข้าไปในเมืองเพื่อร้องคร่ำครวญตามพิธี และทำพิธีเก็บศพ 30 เขาวางศพไว้ในถ้ำเก็บศพของเขาเอง และพวกเขาร้องคร่ำครวญถึงท่านว่า “โธ่เอ๋ย พี่ชายของข้าพเจ้า” 31 หลังจากที่ได้เก็บศพไว้ในถ้ำแล้ว เขาพูดกับบุตรว่า “เมื่อพ่อตาย เจ้าจงเก็บศพพ่อไว้ในถ้ำที่เก็บศพคนของพระเจ้าเถิด และวางกระดูกพ่อไว้ที่ข้างๆ กระดูกของท่านผู้นี้ด้วย 32 เพราะสิ่งที่ท่านได้เปล่งเสียงดัง และคัดค้านตามคำของพระผู้เป็นเจ้าเรื่องแท่นบูชาที่เบธเอล และคัดค้านบรรดาวิหารบนภูเขาสูงที่อยู่ในเมืองต่างๆ ของสะมาเรียจะเกิดขึ้นจริงอย่างแน่นอน”
33 หลังจากนั้น เยโรโบอัมก็ยังไม่กลับใจจากการกระทำชั่ว มิหนำซ้ำยังแต่งตั้งบรรดาปุโรหิตจากประชาชนทั้งปวง เพื่อประจำอยู่ที่สถานบูชาบนภูเขาสูง และใครที่ต้องการเป็นบรรดาปุโรหิตที่สถานบูชาบนภูเขาสูง ท่านก็ได้แต่งตั้งให้เป็น 34 สิ่งนี้กลายเป็นบาปของพงศ์พันธุ์ของเยโรโบอัม ซึ่งนำไปสู่ความพินาศและทำให้พวกเขาต้องสาบสูญไปจากแผ่นดินโลก
คำพยากรณ์ลงโทษเยโรโบอัม
14 ในครั้งนั้นอาบียาห์บุตรของเยโรโบอัมล้มป่วย 2 เยโรโบอัมพูดกับภรรยาว่า “ขอเธอช่วยเราหน่อย จงปลอมตัวไป อย่าให้ใครรู้ว่าเธอเป็นภรรยาของเยโรโบอัม ไปที่ชิโลห์ ดูเถิด อาหิยาห์ผู้เผยคำกล่าวของพระเจ้าอยู่ที่นั่น ท่านเป็นผู้ที่พูดถึงเราว่า เราจะได้เป็นกษัตริย์ปกครองชนชาตินี้ 3 เธอเอาขนมปัง 10 ก้อน ขนมกรอบ และน้ำผึ้งไหหนึ่งไปให้ท่าน และท่านจะบอกเธอว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับเด็กน้อย”
4 ภรรยาเยโรโบอัมทำตามนั้น นางไปยังชิโลห์ และมาถึงบ้านของอาหิยาห์ เวลานั้นอาหิยาห์มองไม่ค่อยเห็น เพราะสายตามัวเนื่องจากอายุของท่าน 5 พระผู้เป็นเจ้ากล่าวกับอาหิยาห์ว่า “ดูเถิด ภรรยาของเยโรโบอัมกำลังมาถามเจ้าเรื่องบุตรของนาง เพราะเขาป่วย เจ้าจงบอกนางตามนี้”
เมื่อนางมาถึง นางแสร้งทำว่าเป็นหญิงคนอื่น 6 แต่เมื่ออาหิยาห์ได้ยินเสียงนางเดิน ขณะที่นางเข้าประตูมา ท่านพูดว่า “ภรรยาของเยโรโบอัม เข้ามาเถอะ ทำไมท่านจึงต้องแสร้งทำเป็นหญิงคนอื่นด้วยล่ะ ข้าพเจ้าได้รับคำบัญชาให้แจ้งเรื่องร้ายให้ท่านทราบ 7 จงไปบอกเยโรโบอัมดังนี้ ‘พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของอิสราเอลกล่าวว่า “เพราะว่าเราแต่งตั้งเจ้าขึ้นมาจากประชาชน และให้เจ้าได้เป็นผู้นำปกครองอิสราเอลชนชาติของเรา 8 เราได้ฉีกอาณาจักรออกจากพงศ์พันธุ์ของดาวิด และมอบให้กับเจ้า และเจ้ายังไม่ปฏิบัติเหมือนดาวิดผู้รับใช้ของเรา เขารักษาคำบัญญัติของเรา และติดตามเราอย่างสุดจิตสุดใจ ปฏิบัติสิ่งที่ถูกต้องในสายตาของเราเท่านั้น 9 แต่เจ้าได้ทำความชั่วยิ่งไปกว่าคนอื่นๆ ทั้งหมดที่อยู่ก่อนเจ้า และได้สร้างเทวรูปต่างๆ หล่อรูปเคารพให้แก่ตนเอง ทำให้เราเกิดโทสะ และเจ้ายังหันหลังให้เรา 10 ฉะนั้น ดูเถิด เราจะให้ภัยอันตรายเกิดขึ้นกับพงศ์พันธุ์ของเยโรโบอัม และจะตัดขาดทุกคนที่เป็นชายออกจากเยโรโบอัม ทั้งที่เป็นทาสและเป็นอิสระซึ่งอยู่ในอิสราเอล และจะกวาดล้างพงศ์พันธุ์ของเยโรโบอัม เหมือนอย่างที่มนุษย์เผามูลสัตว์จนมอดไหม้ 11 สุนัขจะกินคนในครอบครัวของเยโรโบอัมที่ตายในเมือง และนกในอากาศจะกินคนที่ตายในทุ่งโล่ง เพราะพระผู้เป็นเจ้าได้กล่าวดังนั้น”’ 12 ฉะนั้น จงกลับไปยังบ้านของท่าน เมื่อเท้าของท่านย่างเข้าสู่เมือง เด็กก็จะเสียชีวิต 13 และชาวอิสราเอลทั้งปวงจะร้องคร่ำครวญถึงเด็กนั้น และจะเก็บศพของเขา เขาเป็นเพียงผู้เดียวเท่านั้นของเยโรโบอัมที่จะมีคนเก็บศพให้ เพราะเป็นที่ปรากฏในพงศ์พันธุ์ของเยโรโบอัมว่า เขามีความดีบางสิ่ง อันเป็นที่พอใจของพระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของอิสราเอล 14 ยิ่งกว่านั้น พระผู้เป็นเจ้าจะกำหนดกษัตริย์ท่านหนึ่งเพื่อปกครองอิสราเอล และท่านจะกำจัดพงศ์พันธุ์ของเยโรโบอัมในวันนี้ นับแต่บัดนี้เป็นต้นไป 15 พระผู้เป็นเจ้าจะสลัดอิสราเอลทิ้ง ดุจไม้อ้อที่สะบัดพลิ้วในน้ำ และจะถอนรากถอนโคนอิสราเอลออกไปเสียจากแผ่นดินอันอุดม ซึ่งพระองค์มอบให้แก่บรรพบุรุษของพวกเขา และให้พวกเขากระจัดกระจายออกไปไกลโพ้นจนเลยแม่น้ำยูเฟรติส เพราะว่าพวกเขาได้หล่อเทวรูปอาเชราห์[r] ซึ่งยั่วโทสะพระผู้เป็นเจ้า 16 และพระองค์จะทอดทิ้งอิสราเอล เพราะบาปของเยโรโบอัมที่ท่านกระทำ และเป็นเหตุให้อิสราเอลทำบาป”
17 แล้วภรรยาของเยโรโบอัมก็ลุกขึ้นจากไป และมาถึงเมืองทีรซาห์ ขณะที่นางมาถึงธรณีประตูบ้าน เด็กก็สิ้นชีวิต 18 ชาวอิสราเอลทั้งปวงก็เก็บศพไป และร้องคร่ำครวญถึงเขา ตามที่พระผู้เป็นเจ้าได้กล่าวผ่านอาหิยาห์ผู้รับใช้ ผู้เป็นผู้เผยคำกล่าวของพระเจ้า
เยโรโบอัมสิ้นชีวิต
19 กิจอื่นๆ ทั้งสิ้นของเยโรโบอัม ดูเถิด ท่านทำศึกสงครามและครองราชย์อย่างไรนั้น ก็ได้มีบันทึกไว้แล้วในหนังสือแห่งพงศาวดารของบรรดากษัตริย์แห่งอิสราเอล 20 ท่านครองราชย์เป็นเวลา 22 ปี และได้สิ้นชีวิตและถูกนำไปวางรวมกับบรรพบุรุษของท่าน นาดับบุตรครองราชย์แทนท่าน
เรโหโบอัมครองราชย์ในยูดาห์
21 ฝ่ายเรโหโบอัมบุตรของซาโลมอนครองราชย์อยู่ในยูดาห์ ท่านมีอายุ 41 ปีเมื่อเริ่มเป็นกษัตริย์ และท่านครองราชย์ 17 ปีในเยรูซาเล็มเมืองที่พระผู้เป็นเจ้าได้เลือกมาจากทุกเผ่าของอิสราเอล เพื่อให้เป็นที่นมัสการที่นั่น มารดาของท่านชื่อนาอามาห์ชาวอัมโมน 22 และยูดาห์ได้กระทำสิ่งที่ชั่วร้ายในสายตาของพระผู้เป็นเจ้า และพวกเขายั่วโทสะให้พระองค์โกรธอันเกิดจากความหวงแหนเพราะบาปที่พวกเขากระทำ ยิ่งไปกว่าบาปที่บรรพบุรุษเคยกระทำมาก่อน 23 เพราะว่าพวกเขาสร้างวิหารที่สถานบูชาบนภูเขาสูง เสาหิน และเทวรูปอาเชราห์ ไว้บนภูเขาสูงทุกลูก และใต้ต้นไม้ทุกต้นด้วย 24 และมีโสเภณีชายประจำวิหารในดินแดนนั้น เขาเหล่านั้นทำตามตัวอย่างที่น่ารังเกียจทั้งนั้น ตามแบบอย่างของบรรดาประชาชาติที่พระผู้เป็นเจ้าได้ขับไล่ออกไปต่อหน้าชาวอิสราเอล
25 ในปีที่ห้าของกษัตริย์เรโหโบอัม ชิชักกษัตริย์แห่งอียิปต์ขึ้นมาโจมตีเยรูซาเล็ม 26 ท่านริบของล้ำค่าไปจากพระตำหนักของพระผู้เป็นเจ้า รวมทั้งของมีค่าจากวังกษัตริย์ ท่านริบทุกสิ่งไป พร้อมกับโล่ทองคำทั้งหมดที่ซาโลมอนทำไว้ 27 กษัตริย์เรโหโบอัมจึงตีโล่ทองสัมฤทธิ์ขึ้นแทน และมอบให้พวกเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยที่เฝ้าประตูวังของกษัตริย์ดูแล 28 ทุกครั้งที่กษัตริย์ไปยังพระตำหนักของพระผู้เป็นเจ้า พวกเจ้าหน้าที่ก็จะเป็นผู้แบกโล่ออกมา และหลังจากนั้นก็นำกลับไปยังห้องเก็บอาวุธของเจ้าหน้าที่
29 กิจอื่นๆ ทั้งสิ้นของเรโหโบอัม และทุกสิ่งที่ท่านกระทำ ก็ได้มีบันทึกไว้แล้วในหนังสือแห่งพงศาวดารของบรรดากษัตริย์แห่งยูดาห์มิใช่หรือ 30 ศึกสงครามระหว่างเรโหโบอัมและเยโรโบอัมเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง 31 และเรโหโบอัมก็สิ้นชีวิตและถูกนำไปวางรวมกับบรรพบุรุษของท่าน ศพถูกบรรจุไว้ในเมืองของดาวิด มารดาของท่านชื่อนาอามาห์ชาวอัมโมน อาบียัมบุตรของท่านครองราชย์แทนท่าน
อาบียัมครองราชย์ในยูดาห์
15 ในปีที่สิบแปดของกษัตริย์เยโรโบอัมบุตรของเนบัท อาบียัมก็เริ่มเป็นกษัตริย์แห่งยูดาห์ 2 ท่านครองราชย์ได้ 3 ปีในเยรูซาเล็ม มารดาของท่านชื่อมาอาคาห์บุตรหญิงของอาบีชาโลม 3 ท่านดำเนินชีวิตในบาปทั้งสิ้น ตามแบบอย่างที่บิดาของท่านกระทำ และไม่ได้มีใจที่ภักดีต่อพระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของท่าน เหมือนอย่างกับใจของดาวิดบรรพบุรุษของท่าน 4 แต่พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของท่านก็ยังมอบผู้สืบเชื้อสายรับใช้พระองค์ในเยรูซาเล็มเพราะเห็นแก่ดาวิด พระองค์แต่งตั้งบุตรของท่านต่อจากท่าน และสถาปนาเยรูซาเล็ม 5 เพราะดาวิดกระทำสิ่งที่ถูกต้องในสายตาของพระผู้เป็นเจ้า และปฏิบัติตามทุกสิ่งที่พระองค์บัญชาท่านจนตลอดชีวิต ยกเว้นในเรื่องของอุรียาห์ชาวฮิต[s] 6 มีศึกสงครามระหว่างเรโหโบอัมและเยโรโบอัมตลอดชีวิตของอาบียัม 7 กิจอื่นๆ ทั้งสิ้นของอาบียัม และทุกสิ่งที่ท่านกระทำ ก็ได้มีบันทึกไว้แล้วในหนังสือแห่งพงศาวดารของบรรดากษัตริย์แห่งยูดาห์มิใช่หรือ และมีศึกสงครามระหว่างอาบียัมและเยโรโบอัม 8 อาบียัมสิ้นชีวิตและถูกนำไปวางรวมกับบรรพบุรุษของท่าน ศพถูกบรรจุไว้ในเมืองของดาวิด และอาสาผู้เป็นบุตรของท่านครองราชย์แทนท่าน
อาสาครองราชย์ในยูดาห์
9 ในปีที่ยี่สิบของเยโรโบอัมกษัตริย์แห่งอิสราเอล อาสาก็เริ่มเป็นกษัตริย์แห่งยูดาห์ 10 ท่านครองราชย์ได้ 41 ปีในเยรูซาเล็ม มารดาของท่านชื่อมาอาคาห์บุตรหญิงของอาบีชาโลม 11 อาสากระทำสิ่งที่ถูกต้องในสายตาของพระผู้เป็นเจ้า อย่างที่ดาวิดบรรพบุรุษของท่านได้กระทำ 12 ท่านกำจัดโสเภณีชายออกไปจากแผ่นดิน และให้คนขนพวกรูปเคารพที่บรรพบุรุษหล่อขึ้นไปทิ้งเสีย 13 ท่านได้ถอดถอนมาอาคาห์มารดาของท่านออกจากตำแหน่งมารดากษัตริย์ด้วย เพราะนางได้สร้างเสาเทวรูปอาเชราห์ที่น่ารังเกียจ อาสาโค่นเทวรูปนาง และเผาทิ้งที่หุบเขาขิดโรน 14 แต่สถานบูชาบนภูเขาสูงไม่ถูกกำจัดออกไป กระนั้นก็ดี อาสาก็ยังมีใจภักดีต่อพระผู้เป็นเจ้าตลอดชีวิตของท่าน 15 และท่านนำของบริสุทธิ์ที่เป็นของบิดาของท่าน และที่เป็นของท่านเองด้วย เช่นเงิน ทองคำ และภาชนะ เข้าไปไว้ในพระตำหนักของพระผู้เป็นเจ้า
16 มีศึกสงครามระหว่างอาสาและบาอาชากษัตริย์แห่งอิสราเอลตลอดสมัยของทั้งสองท่าน 17 บาอาชากษัตริย์แห่งอิสราเอลขึ้นไปโจมตียูดาห์ และสร้างเมืองรามาห์ให้แข็งแกร่ง เพื่อป้องกันไม่ให้ใครไปมาหาสู่กับอาสาผู้เป็นกษัตริย์แห่งยูดาห์ 18 อาสาจึงนำเงินและทองคำทั้งหมดที่เหลืออยู่ในคลังพระตำหนักของพระผู้เป็นเจ้า และคลังของกษัตริย์ และมอบไว้กับพวกเจ้าหน้าที่ และอาสาผู้เป็นกษัตริย์ใช้พวกเขาไปยังเบนฮาดัดบุตรของทับริมโมนผู้เป็นบุตรของเฮซีโอนกษัตริย์แห่งอารัม ผู้อาศัยอยู่ในเมืองดามัสกัส พร้อมกับกล่าวว่า 19 “ขอให้ทำสัญญาระหว่างท่านกับเราเหมือนกับที่บิดาของท่านและของเราทำ ดูเถิด เราได้ส่งของบรรณาการเป็นเงินและทองคำมาให้ท่าน ขอท่านตัดความสัมพันธ์กับบาอาชากษัตริย์แห่งอิสราเอลเถิด ท่านจะได้ถอนทัพออกไปจากดินแดนของเรา” 20 เบนฮาดัดฟังคำของอาสาผู้เป็นกษัตริย์ และส่งบรรดาผู้บังคับกองพันของท่านไปโจมตีเมืองต่างๆ ของอิสราเอล และยึดเมืองอิโยน ดาน อาเบลเบธมาอาคาห์ และทั่วถิ่นคินเนโรท พร้อมด้วยดินแดนนัฟทาลีทั้งหมด 21 เมื่อบาอาชาทราบดังนั้น ท่านจึงหยุดการก่อสร้างเมืองรามาห์ และอาศัยอยู่ในเมืองทีรซาห์ 22 และอาสาผู้เป็นกษัตริย์ก็ได้ส่งสาสน์ประกาศไปทั่วยูดาห์ ไม่เว้นผู้ใดเลย ทุกคนช่วยขนหินและไม้ที่บาอาชาใช้สร้างเมืองออกไปจากรามาห์ แล้วอาสาผู้เป็นกษัตริย์เอามาสร้างเมืองเก-บาแห่งเบนยามินและเมืองมิสปาห์ 23 กิจอื่นๆ ทั้งสิ้นของอาสา ความสำเร็จด้านยุทธการและทุกสิ่งที่ท่านกระทำ และเมืองต่างๆ ที่ท่านสร้าง ก็ได้มีบันทึกไว้แล้วในหนังสือแห่งพงศาวดารของบรรดากษัตริย์แห่งยูดาห์มิใช่หรือ แต่ในยามชราท่านเป็นโรคที่เท้า 24 อาสาสิ้นชีวิตและถูกนำไปวางรวมกับบรรพบุรุษของท่าน ศพถูกบรรจุไว้ในเมืองของดาวิดบรรพบุรุษของท่าน และเยโฮชาฟัทบุตรของท่านครองราชย์แทนท่าน
นาดับครองราชย์ในอิสราเอล
25 นาดับบุตรของเยโรโบอัมเริ่มเป็นกษัตริย์แห่งอิสราเอลในปีที่สองของอาสาผู้เป็นกษัตริย์แห่งยูดาห์ ท่านครองราชย์ในอิสราเอล 2 ปี 26 ท่านกระทำสิ่งที่ชั่วร้ายในสายตาของพระผู้เป็นเจ้า และดำเนินชีวิตตามแบบอย่างบิดาของท่าน คือทำบาปและยังนำอิสราเอลให้ทำบาปด้วย
27 บาอาชาบุตรของอาหิยาห์ จากพงศ์พันธุ์ของอิสสาคาร์วางแผนโจมตีท่าน และบาอาชาประหารท่านที่กิบเบโธนซึ่งเป็นเมืองของชาวฟีลิสเตีย เพราะนาดับและชาวอิสราเอลทั้งปวงกำลังใช้พลังล้อมกิบเบโธน 28 ดังนั้น บาอาชาจึงฆ่าท่านในปีที่สามของอาสาผู้เป็นกษัตริย์แห่งยูดาห์ แล้วก็ขึ้นครองแทน 29 ทันทีที่ท่านขึ้นเป็นกษัตริย์ ท่านก็ฆ่าทุกคนในพงศ์พันธุ์ของเยโรโบอัม ท่านไม่ปล่อยผู้ใดในพงศ์พันธุ์เยโรโบอัมรอดชีวิตมาได้แม้ชีวิตเดียว ท่านได้กำจัดทุกชีวิตให้สิ้นไป ตามที่พระผู้เป็นเจ้ากล่าวผ่านผู้รับใช้ของพระองค์ คืออาหิยาห์ชาวชิโลห์ 30 เป็นเพราะบาปของเยโรโบอัมที่ได้ทำ และเป็นเหตุให้อิสราเอลทำบาป และเป็นเพราะท่านยั่วโทสะพระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของอิสราเอล
31 กิจอื่นๆ ทั้งสิ้นของนาดับ และทุกสิ่งที่ท่านกระทำ ก็ได้มีบันทึกไว้แล้วในหนังสือแห่งพงศาวดารของบรรดากษัตริย์แห่งอิสราเอลมิใช่หรือ 32 มีศึกสงครามระหว่างอาสาและบาอาชากษัตริย์แห่งอิสราเอลตลอดสมัยของทั้งสองท่าน
บาอาชาครองราชย์ในอิสราเอล
33 ในปีที่สามของอาสาผู้เป็นกษัตริย์แห่งยูดาห์ บาอาชาบุตรของอาหิยาห์ก็เริ่มเป็นกษัตริย์แห่งอิสราเอลที่เมืองทีรซาห์ ท่านครองราชย์ 24 ปี 34 ท่านกระทำสิ่งที่ชั่วร้ายในสายตาของพระผู้เป็นเจ้า และดำเนินชีวิตตามแบบอย่างเยโรโบอัม คือทำบาปและยังนำอิสราเอลให้ทำบาปด้วย
16 และพระผู้เป็นเจ้ากล่าวผ่านเยฮูบุตรของฮานานีถึงการลงโทษบาอาชาว่า 2 “ในเมื่อเรายกเจ้าขึ้นมาจากผงธุลี และแต่งตั้งเจ้าให้เป็นผู้ปกครองอิสราเอลชนชาติของเรา และเจ้าได้ดำเนินชีวิตตามแบบอย่างเยโรโบอัม และเป็นเหตุให้อิสราเอลชนชาติของเราทำบาป ยั่วโทสะเราด้วยบาปของพวกเขา 3 ดูเถิด เราจะกวาดล้างบาอาชาและครอบครัวของเขา และเราจะทำให้ครอบครัวของเจ้าเป็นเหมือนกับของเยโรโบอัมบุตรของเนบัท 4 สุนัขจะกินคนของบาอาชาที่ตายในเมือง และนกในอากาศจะกินคนที่ตายในทุ่งนา”
5 กิจอื่นๆ ทั้งสิ้นของบาอาชา และทุกสิ่งที่ท่านกระทำ รวมทั้งความสำเร็จด้านยุทธการ ก็ได้มีบันทึกไว้แล้วในหนังสือแห่งพงศาวดารของบรรดากษัตริย์แห่งยูดาห์มิใช่หรือ 6 บาอาชาสิ้นชีวิตและถูกนำไปวางรวมกับบรรพบุรุษของท่าน ศพถูกบรรจุไว้ในเมืองทีรซาห์ และเอลาห์บุตรของท่านครองราชย์แทนท่าน 7 ยิ่งกว่านั้นอีก พระผู้เป็นเจ้ากล่าวผ่านผู้เผยคำกล่าวของพระเจ้า คือเยฮูบุตรของฮานานีถึงการลงโทษบาอาชาและพงศ์พันธุ์ของท่าน เพราะเรื่องการกระทำสิ่งที่ชั่วร้ายในสายตาของพระผู้เป็นเจ้า และยั่วโทสะพระองค์ด้วยมือของท่านเอง เช่นเดียวกับที่พงศ์พันธุ์ของเยโรโบอัมกระทำ และเรื่องที่เขาได้ทำลายพงศ์พันธุ์นั้น
เอลาห์ครองราชย์ในอิสราเอล
8 ในปีที่ยี่สิบหกของอาสาผู้เป็นกษัตริย์แห่งยูดาห์ เอลาห์บุตรของบาอาชาก็เริ่มเป็นกษัตริย์แห่งอิสราเอลในเมืองทีรซาห์ ท่านครองราชย์ได้ 2 ปี 9 แต่ศิมรีผู้รับใช้ของท่าน เป็นผู้บัญชาการควบคุมจำนวนครึ่งหนึ่งของกองรถศึกของท่าน ได้คิดกบฏต่อท่าน ขณะที่ท่านกำลังดื่มจนเมามายอยู่ในบ้านของอาร์ซาที่ทีรซาห์ อาร์ซามีหน้าที่ควบคุมวังที่ทีรซาห์ 10 ศิมรีเข้าไปทำร้ายและฆ่าท่าน ในปีที่ยี่สิบเจ็ดของอาสาผู้เป็นกษัตริย์แห่งยูดาห์ และครองราชย์แทนท่าน
11 เมื่อท่านเริ่มครองราชย์ ในทันทีที่ท่านยึดครองบัลลังก์ ท่านก็ได้ฆ่าทุกคนในพงศ์พันธุ์ของบาอาชา ท่านไม่ไว้ชีวิตญาติหรือเพื่อนของท่านที่เป็นชายแม้แต่คนเดียว 12 ศิมรีฆ่าทุกคนในพงศ์พันธุ์ของบาอาชาดังที่กล่าวมา ตามคำของพระผู้เป็นเจ้า ที่ได้กล่าวผ่านเยฮูผู้เผยคำกล่าวของพระเจ้าเรื่องการลงโทษบาอาชา 13 บาปทั้งสิ้นของบาอาชาและของเอลาห์บุตรของท่าน ที่ได้กระทำและเป็นเหตุให้อิสราเอลทำบาป ยั่วโทสะพระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของอิสราเอลด้วยรูปเคารพซึ่งไร้ค่าของพวกเขา 14 กิจอื่นๆ ทั้งสิ้นของเอลาห์ และทุกสิ่งที่ท่านกระทำ ก็ได้มีบันทึกไว้แล้วในหนังสือแห่งพงศาวดารของบรรดากษัตริย์แห่งอิสราเอลมิใช่หรือ
ศิมรีครองราชย์ในอิสราเอล
15 ในปีที่ยี่สิบเจ็ดของอาสาผู้เป็นกษัตริย์แห่งยูดาห์ ศิมรีครองราชย์ได้ 7 วันในเมืองทีรซาห์ กองทัพของอิสราเอลกำลังตั้งค่ายโจมตีเมืองกิบเบโธน ซึ่งเป็นของชาวฟีลิสเตีย 16 เมื่อกองทัพในค่ายได้ยินคำเล่าลือว่า “ศิมรีได้ก่อกบฏ และสังหารกษัตริย์แล้ว” กองทัพของอิสราเอลจึงแต่งตั้งอมรีผู้บังคับกองพันทหาร ให้เป็นกษัตริย์ปกครองอิสราเอล ณ ที่นั่นในวันนั้น 17 ดังนั้นอมรีจึงถอนทัพไปจากกิบเบโธน กองทัพอิสราเอลก็ไปด้วย และไปล้อมเมืองทีรซาห์ 18 ครั้นศิมรีเห็นว่าเมืองถูกยึด ท่านจึงเข้าไปในป้อมปราการของวังกษัตริย์ และเผาวังพร้อมกับตัวท่านด้วย และท่านก็สิ้นชีวิต 19 เพราะท่านทำบาป กระทำสิ่งที่ชั่วร้ายในสายตาของพระผู้เป็นเจ้า ดำเนินชีวิตตามแบบอย่างเยโรโบอัม เนื่องจากท่านทำบาปและเป็นเหตุให้อิสราเอลทำบาปด้วย 20 กิจอื่นๆ ทั้งสิ้นของศิมรี และการที่ท่านก่อกบฏ ก็ได้มีบันทึกไว้แล้วในหนังสือแห่งพงศาวดารของบรรดากษัตริย์แห่งอิสราเอลมิใช่หรือ
Copyright © 1998, 2012, 2020 by New Thai Version Foundation